กูรูหุ้นพันล้าน 18-24

ตอนที่ 18 สัญญาณ "ลงแรง"

กรณีที่หุ้นจะ "ปรับตัวแรง" วอลุ่มมักจะ "พีค" ก่อน ให้สังเกตว่ารายย่อยจะแห่เข้าใส่แบบไม่ลืมหูลืมตา เวลาที่หุ้นปรับตัวมันจะ "ลงแรง" สูตรการเล่นหุ้น ใน"มุมมอง"ของนักลงทุนรายใหญ่ มักจะ"มอง"แตกต่างไปจาก"มุม"ของนักลงทุนรายย่อย เพราะเหตุใด ?

ประเด็นนี้ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ อธิบายว่า ในบางตำรา...สูตรการเล่นหุ้นมักจะบอกว่า "ลงให้ซื้อ...ขึ้นให้ขาย" แต่วิธีคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้ทุกครั้ง ยกตัวอย่างช่วงที่ดัชนี SET ขึ้นไป 1,789 จุด (ต้นปี 2537) หลังจากนั้น มันลงทีเดียวถึง "นรก" เลย (ลงมาปิดต่ำสุด 207 จุด เมื่อเดือนกันยายน 2541) คนที่ผ่านจุดอันตรายที่สุดมาแล้ว เขาจะไม่คิดแบบนี้ เพราะ "ลูกยังเล็ก" อันตราย !! ...เขาจะคิดตรงกันข้ามว่า "ลงให้ขาย" (Cut Loss) "ขึ้นให้ซื้อ" (Follow the Trend) ซึ่งเป็นวิธีที่ "ลดความเสี่ยง" ได้ดีที่สุด เสี่ยยักษ์ ยังบอกเทคนิคด้วยว่า เราจะอ่านเกมได้อย่างไร กรณีที่หุ้นปรับฐานแล้วจะ "ลงแรง" หรือ "ไม่แรง" "สัญญาณขาย" หรือ Sell Signal ตามหลักดีมานด์และซัพพลาย ก็คือ ในกรณีที่หุ้นจะลง "ไม่แรง" นั้น รายย่อยจะยัง "ไม่เข้า" เมื่อหุ้นปรับฐานแล้ว มีโอกาสไปต่อ "สูง" กรณีที่หุ้นจะ "ปรับตัวแรง" ให้สังเกต "วอลุ่ม" มักจะทำ "พีค" ก่อน แสดงว่า...รายย่อยแห่เข้าใส่แล้ว ยิ่งซื้อแบบไม่ลืมหูลืมตา (กลัวตกรถไฟขบวนสุดท้าย) เวลาที่หุ้นปรับตัว จะ "ลงแรง" และ "ลงหนัก"

นอกจากนี้ ยังสามารถนำแนวคิดนี้ ไปใช้อ่านดัชนี SET ได้ด้วย ให้สังเกตว่า ถ้าดัชนี SET กำลังปรับตัวขึ้น ยืนนิดหนึ่ง แล้วขึ้นต่อ...ยืนนิดหนึ่ง แล้วขึ้นต่อ แสดงว่า รายย่อยยังไม่ (กล้า) เข้า SET จะลงไม่แรง เพราะ "จุดมั่นใจ" ยังไม่เกิด "...จำเอาไว้ว่า "จุดมั่นใจที่สุด คือ จุดอันตรายที่สุด" ถ้ายังไม่มีจุดมั่นใจ คนเล่นหุ้นจะไม่กล้าทุ่ม แต่เมื่อไรที่ฮึกเหิมสุดๆ เมื่อนั้นแหละ...อันตรายที่สุด" นี่คือ สุดยอดของเคล็ดวิชาอีกข้อหนึ่งที่เสี่ยยักษ์ เน้นย้ำ !
เทคนิค ในการ "อ่าน" ทิศทางของ ดัชนี SET "แบบวันต่อวัน" (เพื่อวัตถุประสงค์การเล่นเก็งกำไรระยะสั้น) ให้สังเกต "หุ้นค้ำตลาด" ตัวแข็งๆ ในแต่ละวัน ซึ่งมักจะหมายถึง หุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ที่เป็น "หัวโจก" ของวัน เช่น PTT, BBL-F ฯลฯ

"ต้องดูว่า ฝรั่งหรือกองทุน จะ "เล่นขึ้น" หรือ "เล่นลง" ให้สังเกตวอลุ่ม และวิธีการตั้งซื้อ ตั้งขาย ยกตัวอย่าง วันนี้ ตัวค้ำเป็น BBL-F ราคา 119 บาท เขียวอยู่ดีๆ เผลอแปลบเดียว กลับมาแดง แล้วเราต้องไปดู หุ้นตัวใหญ่ๆ (ตัวอื่น) เริ่มถูกเทขายออกมาหรือยัง เช่น PTTEP, TOP จากนั้นเราก็ต้องไปเช็คราคาน้ำมันดิบ ถ้าราคาน้ำมันลง แสดงว่าวันนี้น่าจะมีการปรับฐาน วิธีการอ่านก็ประมาณนี้

...สมมติ BBL-F ตัวค้ำตลาดลง PTTEP ราคา 98 บาท ลงด้วย มีคนตั้งขาย 200 หุ้น ที่ราคา 97.50 บาท เขาพยายามจะชี้นำให้ ดัชนี SET พุ่งลง ทั้งๆ ที่ดูกราฟแล้ว ดัชนี SET น่าจะมีการรีบาวนด์ กราฟมันเริ่มตัดขึ้น แต่มีคนเคาะขายตัวใหญ่ให้ลง ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ หนึ่ง...อยากให้ ดัชนี SET ลงเลย กับ สอง...เพื่อเขาจะซื้อ "เก็บ" ได้ในราคาต่ำ เราต้องประเมินเจตนาให้ออก"
เสี่ยยักษ์ บอกว่า มันมีคนกลุ่มหนึ่งที่จ้องขาย 100 หุ้น 200 หุ้น ในหุ้นที่มีทุนจดทะเบียนใหญ่ๆ เพื่อให้กราฟพุ่งลงมา จากที่กราฟกำลังจะตัดขึ้น จะมีคนพยายามกดมันไว้ เราต้องประเมินดูว่าที่เขาทำอย่างนี้ เขาตั้งใจจะเก็บ(หุ้น)ของหรือไม่

หรืออย่างกรณีของหุ้น PTT วันก่อนมีปริมาณซื้อขาย 11 ล้านหุ้น ราคาอยู่ที่ 210 บาท อีกวันวอลุ่มลงมาเหลือ 7.8 ล้านหุ้น ราคาขึ้นไป 214 บาท แล้ววันนี้วอลุ่มหายเหลือ 2-3 ล้านหุ้น แล้วราคายังยืนได้ 212-214 บาท สัญญาณอย่างนี้ "ถือว่าดี" แสดงว่า มีการเก็บของในลักษณะ "เก็บออกไปเลย" ไม่ได้เอากลับมาหมุนในตลาด ซึ่งมันต่างกับหุ้นบางตัว พอลากราคาขึ้นไปปุ๊บ! ทุกคนแห่ขาย "หุ้นตก...วอลุ่มมาเพียบ" เจออย่างนี้ก็ต้อง "ถอย"

เสี่ยยักษ์ ยังยกตัวอย่างถึงกรณีของหุ้น IRPC สมมติ มีคนเทขายกดลงมาไม้ใหญ่ๆ ที่ราคา 6.10 บาท แล้วในวินาทีเดียวกัน (ทันทีเลย) มีคนมารับต่อทันที 1 ล้านหุ้น โดยข้อเท็จจริงแล้วถ้าหุ้นมันจะลง จะต้องไม่มีรายใหญ่คนไหนกล้าเข้ามารับ ต้องไม่มีใครกล้าสวน

ละครฉากต่อมา มีคนแกล้งทำให้ลบ เคาะขายออกมา 500 หุ้น ที่ราคา 6.05 บาท แต่คนซื้อใหญ่กว่าทำให้ราคาเบ่งขึ้นมาได้ แสดงว่าฐานราคาตรง 6.10 บาท "แข็งแรง" หุ้นก็จะดูดี ราคาตรงจุดนี้เราอาจจะลงทุนระยะสั้นได้ "...นี่คือ "วิชาสังเกต" ที่เราต้องนั่งดูทุกวัน รับรองว่าไม่มีสอนในตำรา" เสี่ยยักษ์ สรุปบทเรียนจากวิชาสังเกต ให้ฟังว่า ถ้าหุ้นตัวไหน สวนทาง ดัชนี SET ของวันได้ แสดงว่า "ดี" หุ้นตัวนั้นต้องมีคนดูแล เช่น ถ้าดัชนี SET "ลง" แต่ราคาหุ้นตัวนี้มันยังยืนได้ แสดงว่าแข็งกว่าตลาด...มันสู้! เล่นสั้นได้

นอกจากนี้ ดัชนี SET ที่แข็งแกร่ง เวลาขาขึ้น จะต้องมีการปรับฐานเป็นระยะๆ ไม่ใช่ขึ้นพรวดเดียว สมมติขึ้นไปแล้ว 15 จุด อีกวันยืน วันต่อมาปรับตัวลงนิดหน่อย อย่างนี้จึงจะถือว่า...โอเค ! เป็นต้น

ตอนที่ 19 Bid และ Offer

"ในช่วงของการสะสมหุ้น ถ้าเป็น "หุ้นดี" ให้สังเกตฝั่ง Bid จะน้อย แต่ฝั่ง Offer จะเยอะ ภาวะอย่างนี้ คือ ช่วงที่ดัชนี SET ประมาณ ตี 4 ตี 5 คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว เขาจะรอรับ แต่จะไม่ไล่ราคา"

สำหรับการลงทุนระยะสั้น การทำความเข้าใจกับ "แนวรับ" หรือ แนว Support และ "แนวต้าน" หรือ แนว Resistance นั้น นับว่ามีความสำคัญอยู่ไม่น้อย

"เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ถ้าราคาหุ้นช่วงไหนที่ทุกคนซื้อขาย "นัวเนีย" อยู่แถวนี้ "แน่น" มาก และนานพอสมควร ถ้าจะฝ่าราคาตรงนี้ขึ้นไปได้ ต้องใช้เงินมาก ยกตัวอย่าง คนที่ติด BLAND-W1 ที่ 0.21 บาท (ขณะที่สัมภาษณ์) เริ่มอึดอัดแล้ว เพราะราคามันนัวเนียอยู่ตรงนี้นาน

โดยหลักจิตวิทยาของคนเล่นหุ้น ถ้า "ขาดทุน" พอราคาขึ้นมาถึงทุน ก็จะรีบขาย ภาษาหุ้นเขาเรียกว่า "ขอชีวิตคืน" ตรงจุดนั้น ก็จะเป็น "แรงต้าน" แต่ถ้าราคามีการ Breakout หรือ การทะลุผ่านแนวต้าน ที่ 0.21 บาท ขึ้นไปได้ แนวต้านตรงนี้ก็จะกลายเป็น "แนวรับ" เลยนะ คนที่จะเล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้น ต้องดูจุดนี้ประกอบด้วย

นอกจากนี้ บางทีก็ต้องดูว่า "ฝรั่ง" (ต่างชาติ) เข้าหรือไม่เข้า ถ้าผ่านไป 2 ชั่วโมง (10.00-12.00 น.) วอลุ่มยัง 5,000 ล้านบาท อยู่เลย แสดงว่าวันนี้ "ฝรั่งไม่เข้า" ตลาดอาจจะนิ่งๆ ไม่ไปไหน แต่ถ้าวันไหนเปิดมา วอลุ่ม "ปี้ด" ขึ้นไปเลย ดัชนี SET กลับมา "บวก" เดาได้เลยว่า วันนี้ ฝรั่งต้องมี "Net Buy" ต้องรีบไปดูเลย หุ้นตัวไหนจะมา ให้เรา "เล่นตามน้ำ" หรือ Follow the Trend ได้

บางที เพื่อความแน่ใจต้องไปเช็คดูว่า วอลุ่มมาจากโบรกฯ ไหน ถ้ามาจาก บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) ใช่เลยของจริง ซึ่งส่วนใหญ่ (รายใหญ่) ก็จะรู้กันก่อนว่า "ฝรั่ง" มีออเดอร์เข้ามาหรือไม่มี

เสี่ยยักษ์ แนะนำเคล็ดลับเพิ่มเติมว่า ถ้าตลาดหุ้นจะ "ดี" มักจะต้องมีตัว Shoot (ตัวยิงประตู) ซึ่งหมายถึง "หุ้นนำตลาด" บางตัว หรือ "ข่าวดี" อะไรบางอย่าง "นำมาก่อน" จะเป็นการส่งสัญญาณให้หุ้นขึ้น พอคุณกล้า...ผมก็กล้า มันเป็นหลักจิตวิทยา ขณะเดียวกัน ถ้าหุ้นจะเปลี่ยนเป็น "ขาลง" มันจะมี "ตัวลงแรง" นำมาก่อน เดี๋ยวหุ้นตัวอื่นก็จะลงแรงตาม ลงหนักๆ ตามกันลงไป...ตลาดหุ้นมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ !!! เช่น ถ้าวันนี้ หุ้น PTT ลงแรง หุ้น KBANK ลง หุ้น TOP รวมทั้งหุ้นตัวอื่นๆ ก็จะไหลลงตาม อย่างนี้เป็นต้น

เสี่ยยักษ์ บอกว่า "ตัวแปร" ที่ส่งสัญญาณเหล่านี้ ต้องใช้ประสบการณ์ และต้องหัดสังเกตบ่อยๆ อย่างบางช่วง ถ้าเราเห็นหุ้น "บิ๊กแคป" บางตัวกล้า "ฉีกตัว" หรือ "กล้าสู้" ขึ้นไป เดี๋ยวหุ้นตัวอื่นก็จะกล้าสู้ขึ้นตาม เราต้องจำว่าหุ้นตัวไหน "แข็ง" และสามารถ "ชี้นำ" ภาวะตลาดได้ อย่างเคส หุ้น PTT เริ่มสู้สวนขึ้นมา หุ้น IRPC เริ่มสู้ตาม แสดงว่าตลาดหุ้นไม่ได้เสียรูปมวย อย่างนี้ถือว่า "ดี" ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อวาน...ตอนท้ายตลาด หุ้น IRPC ยังอยู่ที่ 6 บาท แต่ตีขึ้นมาปิด 6.10 บาท แล้ววันนี้ ดัชนี SET อยู่ในแดนลบ แต่หุ้น IRPC ยังยืนราคาปิดเมื่อวาน หรือบวกนิดๆ แสดงว่า "แข็งแรง" อย่างนี้เราต้อง "จับตา" ถือว่าเจ๋ง

ตรงกันข้ามกับ หุ้น PTTEP คือ ยืนราคาต่ำ เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นขึ้น แต่มันไม่ขึ้น วันนี้หุ้นลบ มันลบตาม ภาพอย่างนี้ "ไม่ดี" เราก็ต้องเก็บข้อมูลเอาไว้ ทุกวันๆ

เสี่ยยักษ์ สรุปให้ฟังว่า การเล่นหุ้นก็คล้ายกับการค้าขาย เราต้องรู้จัก "เลือกสินค้า" เข้าร้าน ต้องค่อยๆ ดูว่า หุ้นตัวไหนกำลังจะเป็นที่นิยม ซื้อได้ช่วงไหนราคาไม่แพง และพฤติกรรมของมันเป็นอย่างไร? ที่จริงแล้ว หุ้นแต่ละตัวจะมี "นิสัยสันดาน" ของมัน ก็คือ ชื่อ ชั้น นามสกุล แซ่ ของมัน ยกตัวอย่าง หุ้น HEMRAJ ตัวนี้ "เคี่ยวมาก" ต้องเล่นดวลกับเขาเลย 1-2 ช่อง (1% กว่า) เขาก็เอากำไรแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะอยู่ในวงการนี้ เราต้องรู้ให้มากๆ หรืออย่าง หุ้น TPIPL ใช้ได้ เพราะมีคนดูแล "มีวอลุ่ม" ราคาบางช่วงแข็ง...ไม่ลง หาจังหวะเล่นรอบได้ เป็นต้น

อีกเกร็ดความรู้หนึ่งที่ เสี่ยยักษ์ ไขปริศนาให้เข้าใจ ก็คือ การตั้ง Bid (เสนอซื้อ) และ Offer (เสนอขาย) หลอกกันได้อย่างไร?

โดยปกติ ถ้าเราเห็น การตั้งขาย "ไม้ใหญ่ๆ" ถ้าอยู่ฝั่งขาย (Offer) คนที่เห็นก็มักจะใจไม่ดี ซึ่งวอล่ม Offer ไม่ค่อยหรอก...มักจะขายจริง แต่ฝั่ง Bid มันหรอกกันได้ เช่น หุ้น BROCK (ก่อนปรับพาร์จาก 5 บาทเหลือ 1 บาท) มี Bid ช่องบน 6.50-6.60 บาท 1 ช่องวางซื้อ (Bid) ไว้ 7 แสนกว่าหุ้น นั่นคือ เขากลัว "ลง" เป็นการ "หนุน" เพื่อให้คนซื้อตาม แต่ถ้ามีคนเสนอซื้อเข้ามา อยากซื้อเท่าไรก็มีของ (หุ้น) ขายให้ อย่างนี้เป็นต้น "แต่ถ้าเป็น "หุ้นดี" ให้สังเกตว่า มักจะมี Bid วางซื้อไว้น้อย แต่ฝั่ง Offer วางขายไว้เยอะ โดยปกติของ "หุ้นดี" ช่วงเก็บของ หรือ ช่วงสะสมหุ้น รายใหญ่จะตั้ง "เสนอซื้อ" ไว้ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ ...เพราะอะไร ถ้ามีคนขายออกมา เขารอรับ...เขารอเก็บเข้าพอร์ต ซึ่งภาวะอย่างนี้ คือ ช่วงที่ดัชนี SET ประมาณ ตี 4 ตี 5 คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว เขาจะรอรับ แต่ไม่ไล่ราคา" นี่เป็นอีกเกร็ดความรู้ในการอ่านเกมที่ เสี่ยยักษ์ ถ่ายทอดให้เข้าใจ

ตอนที่ 20 เล่นหุ้นสไตล์ "พญาอินทรี"

"เฮียประธาน เขาเป็นเจ้าของคอร์ตแบดมินตัน อยู่แถวถนนบางรัก ฉายาเขาคือ "พญาอินทรี" ถ้าวันไหนที่พวกเรา "เละ" หรือ "เจ๊ง" กันหมด เขาจะบินมาเลย..เขาจะมาซื้อหุ้น" การเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จ "นิสัย" และ "พฤติกรรม" ของคนเล่นหุ้น ถือว่ามีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ นำประสบการณ์ที่พบมาจริงในตลาดหุ้นในช่วง 20 ปี มาถ่ายทอดให้ฟัง โดยระบุถึง "นิสัยคน" ที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ดังนี้...

คนแรก..คนนี้อายุมากแล้ว แต่ "ไม่ยอมปรับตัว" ประกอบอาชีพประสบความสำเร็จมีเงินหลายสิบล้านบาท สุดท้ายก็มาล้มเหลวในตลาดหุ้น
คนที่สอง..เป็นคนที่มีระเบียบวินัยมาก ศึกษาข้อมูลตลอดเวลา มีความมั่นคง คนนี้เป็นอดีตนักแบดมินตันทีมชาติ เขาก็ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
คนที่สาม..ไม่เก่งอะไรเลย อ่อนน้อมถ่อมตน บริการคนอื่นตลอดเวลา ทุกคนรัก ไม่เคยเอาเปรียบเพื่อน คนนี้ก็ประสบความสำเร็จได้ เพราะทุกคนเอื้อเฟื้อ(บอกหุ้น)เขา ไม่มีใครไปหลอกเขา
คนที่สี่..ไม่ประสบความสำเร็จ นิสัยตรงกันข้ามคนอื่นตลอดเวลา เพื่อนบอกแบบนี้มันก็เถียงว่าต้องเป็นแบบนั้น เป็นคนไม่คิดอะไรลึกๆ ชอบสวนชาวบ้าน คือ เหรียญมันมี 2 ด้าน พูดเข้าข้างตัวเองยังไงก็ได้ ไม่เคยโทษตัวเอง คนนี้เจ้าของฉายาว่า "รู้อย่างงี้..." คนๆนี้มีเงินหลายสิบล้านบาทเข้ามาในตลาดหุ้น ตอนนี้ก็เหลือไม่เยอะ
คนที่ห้า..ทำการบ้านตลอดเวลา(แอบ)เช็คพอร์ตคนอื่นตลอดเวลา ชอบคุยกับมาร์เก็ตติ้งของรายใหญ่ เพื่อแอบดูพอร์ตคนอื่น คนนี้ก็ประสบความสำเร็จ แต่เขาตีกอล์ฟคนเดียวไม่มีเพื่อน ขนาดนั่งกินข้าวกับมาร์เก็ตติ้งยังหารค่าอาหารกันเลย นี่เขาก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
คนที่หก..ย้ำคิดย้ำทำ เสียดายตลอดเวลา คิดแล้วคิดอีก เป็นคนละเอียด ไม่เอาเปรียบเพื่อนฝูง คนนี้ก็ประสบความสำเร็จได้
"นี่ผมเล่าให้ฟังถึงนิสัยของแต่ละคนเพื่อจะบอกว่า คนแต่ละคนนิสัยไม่เหมือนกันและก็มีช่องทางประสบความสำเร็จของแต่ละคน แล้วแต่เราจะเลือกทางเดินแบบไหน ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า ไม่เกินความสามารถของทุกคน" เสี่ยยักษ์ยังเล่าถึง ความเหนือชั้นของอดีตเซียนหุ้นคนหนึ่ง ชื่อ "เฮียประธาน" เขาเป็นเจ้าของคอร์ตแบดมินตัน อยู่แถวถนนบางรัก ฉายาเขาคือ "พญาอินทรี" ถ้าวันไหนที่พวกเรา(เสี่ยยักษ์และเพื่อนๆในกลุ่ม) "เละ" หรือ "เจ๊ง" กันหมด เฮียประธาน จะบินมาเลย "เขาจะมาซื้อหุ้น" "สมัยก่อน ผมยกย่องเขามากว่า นี่คือสุดยอดของ "เสือ" ตัวจริง คือเขารวยอยู่แล้ว แต่เขาจะไม่มาเล่นหุ้นทุกวัน ถึงแม้จะไม่มาตลาดหุ้นแต่เขาจะติดตามหุ้นอยู่ที่บ้านเป็นประจำ เวลานี้เขาก็ยังเป็นอย่างงั้นจริงๆ เล่นหุ้นอย่างนี้ก็ประสบความสำเร็จได้"

อีกคนหนึ่งที่เสี่ยยักษ์ยกตัวอย่างให้ฟังด้วยความชื่นชม เขาชื่อ "สุวิทย์" เป็นอดีตนักแบดมินตันทีมชาติ คนคนนี้มีระเบียบวินัยมาก เวลาไม่ซื้อคือไม่ซื้อ ถ้าเขามองเศรษฐกิจไม่ดี เขาจะไม่เล่นหุ้น(เลย) นี่คือหลักการที่ถูกต้อง "อย่างสุวิทย์ เขาจะรอให้เกิดวิกฤติก่อน(หุ้นตกเยอะๆ)นานแค่ไหนเขาก็รอได้ วันที่เกิดวิกฤติ เขาจะมาซื้อหุ้น ตอนนี้ก็น่าจะมีเงินเป็นร้อยล้าน"

เมื่อถามถึงการลงทุนสไตล์ "หมอยง" ท.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม นักลงทุนรายใหญ่ระดับพันล้านบาท เสี่ยยักษ์บอกว่าหมอยงจะมีจิตวิทยาการลงทุนสูง ถ้าตลาดหุ้นตกลงมาเยอะๆเขาซาวด์เสียงว่า ถ้านักลงทุนรายใหญ่ทุกคน "กลัว" กันหมด แสดงว่าพวกคุณเพิ่ง "โดน"(ขาดทุน)มา คุณเพิ่ง Cut Loss มา เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะขายอีกก็มีไม่มาก "เขาจะซื้อ"

"แต่สไตล์การลงทุนของผมกับหมอยงจะต่างกัน หมอยงจะเล่นหุ้นเป็นรอบ(เล็กเล่นเร็ว)แต่ของผมจะรอ "รอบใหญ่" ขอทีเดียวหนักๆ ลักษณะใส่เต็มๆไปเลย ถ้าทุกคนกลัวกันหมด เครื่องมือเครื่องไม้ทางเทคนิคส่งสัญญาณซื้อ ผมก็เข้า ถ้ายัง..ผมก็รอนิ่งๆ" เสี่ยยักษ์บอกว่าอยู่ในวงการนี้มา 20 กว่าปี เห็นพฤติกรรมการเล่นหุ้นของคนเปลี่ยนไม่ค่อยได้ ใครนิสัยมายังไง บุคลิกยังไง วิธีการมันจะเป็นอย่างนั้น ซึ่งคนที่จะประสบความสำเร็จ มันแล้วแต่สไตล์คน แต่คนที่อยู่รอดได้ มีแค่ประเภทเดียว คือ "คนที่ปรับตัว"

นอกจากนี้ คนที่จะ "อยู่รอด" บนเวทีนี้ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง เสี่ยยักษ์ย้ำนักย้ำหนาว่า ข้อสำคัญที่สุดคือ "ถึงเวลาขาดทุน..คุณต้องกล้าขาย" ถ้าคุณทำได้ "คุณจะรอด" พร้อมทั้งยังเล่าถึง "นักพนัน" ที่อยากมาเอาดีในตลาดหุ้นว่า คนที่ชอบเล่นการพนัน แล้วมาเล่นหุ้น ก็ "เจ๊ง" ได้ง่ายๆ "ผมเคยเห็นนักเล่นหุ้นที่เป็นนักพนัน เอาทุกอย่าง เห็นมาเยอะ "หมดตัวทุกคน" ไม่เหลือเลย มีคนหนึ่งเมื่อก่อนเคยมีเงิน 30 กว่าล้านบาท เล่นทุกอย่าง ฟุตบอลก็เล่น หุ้นก็เล่น บ่อนการพนันก็เข้า สุดท้ายแม้แต่ชีวิตครอบครัวเขาก็ล้มเหลว ...ชีวิตเขาพนันทุกอย่าง มีเงิน 20-30 ล้านบาท เคยเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าในประตูน้ำ ตอนนี้มาเช่าบ้านอยู่ราคา 2,000 บาท จุดเสีย..ของคนประเภทนี้คือ เขาจะยืมเงินทุกคน แล้วเขาจะไม่มีโอกาสแก้ตัว ทุกอย่างกลับมาที่เครดิต ถ้าคุณไม่มีเครดิต ก็ไม่มีใครช่วยเหลือคุณ นี่คือความจริง" เสี่ยยักษ์ สรุปถึงนิสัยของคนเล่นหุ้นแต่ละประเภทให้ฟัง

ตอนที่ 21 ตลาดแบบไหน "เล่นแล้วได้ตังค์"

การอ่านอารมณ์ตลาด ถ้า "รายย่อย" สงบเสงี่ยมเจียมตัว "ฝรั่ง" ไม่เข้า บอกได้เลยว่าเล่นหุ้นไม่ได้ตังค์ ถ้าจะเล่นหุ้นให้ได้กำไร รายย่อยต้องมีจุดมั่นใจ นักเก็งกำไรแห่กันเข้ามาเล่นตามน้ำ ตลาดแบบนี้ "ได้ตังค์" ตลาดหุ้นแบบไหนที่เล่นหุ้นแล้วไม่ค่อยได้ตังค์...? (น่าเบื่อ)

"เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์บอกว่า กรณีที่ "รายย่อย" สงบเสงี่ยมเจียมตัวและ "ฝรั่ง" ไม่เข้า ตลาดหุ้นช่วงนั้นจะเงียบเหงา(ไม่น่าเล่น) บอกได้เลยเล่นหุ้นไปก็ไม่ได้เงิน อยู่นิ่งๆดีที่สุด ถ้าคิดให้เป็นหลักวิทยาศาสตร์ อธิบายได้ว่า เพราะเงินไม่มีมาหมุน "ทำกำไรยาก" "ถ้าจะเล่นหุ้นแล้วได้เงิน "รายย่อย" ต้องมีจุดมั่นใจ นักเก็งกำไรต้องตาม(น้ำ)กันแหลก! หุ้นมันจะวิ่งจู๊ด หรือขึ้นไปทำนิวไฮ(จุดสูงสุดใหม่)ได้" เสี่ยยักษ์อธิบายว่า ช่วงที่หุ้นขาขึ้นมันจะมีจังหวะ "พักตัว" จากนั้นให้สังเกตว่า มักจะมีข่าวดีมา "หนุน" จังหวะสองที่ทุกคนมองว่าราคามันวิ่งขึ้นไปทำ "นิวไฮ" ช่วงนี้แหละ นักเก็งกำไรจะแห่ตามกันแหลก!!

ทั้งนี้ สำหรับช่วง "พักตัว" ในหุ้นพื้นฐานดีๆจะใช้เวลาค่อนข้างนาน ไม่ค่อยรีบร้อนขึ้น (จะตรงกันข้ามกับหุ้นปั่น ที่รีบร้อนขึ้น) ยกตัวอย่าง หุ้น ปตท. เวลาเขาจะทำหุ้นตัวนี้ เขาจะต้องค่อยๆเก็บ บีบให้เหลือแต่คนที่ "ใจถึง" จริงๆ พอทุกคนหมดแรง มันก็จะ "วิ่ง"

"ยิ่งหุ้นตัวใหญ่ ถ้าเขารู้ว่าตอนไอพีโอ มีคนไปแย่งกันจอง(หุ้นไม่พอขาย) พอเข้าตลาดมาปั๊บ! เขาจะพยายามกดราคา เพื่อกดลงมารับต่ำๆ ถ้าวันแรกเปิดมาสูง เขาก็จะเทรดให้หุ้นต่ำลงมาก่อน ...แต่คุณดู พอมันเก็บของ(สะสมหุ้น)ได้พอแล้ว สังเกตว่า "วอลุ่มพีค" (เก็บของได้แล้ว) ราคาปรับตัวลงมาเสร็จ คราวนี้ปริมาณซื้อขายจะไม่ได้เยอะ สภาพคล่องจะเริ่มตึงขึ้น ราคาจะค่อยๆขยับขึ้นช้าๆ บางทีก็เล่นไซด์เวย์อยู่นาน จนคนซื้ออึดอัด ใครทนไม่ไหวก็ "คืนของ" ให้เขา แต่พอเขารวบรวมหุ้นได้เต็มที่แล้ว พอ MACD (ระยะเดือน) ตัดขึ้น ทีนี้มันวิ่งขึ้นเร็วมาก"

เสี่ยยักษ์อธิบายว่า ส่วนตัวชอบใช้กราฟ MACD ระยะเดือน (Month) เป็นดัชนีชี้นำหลักสำหรับการลงทุน "รอบใหญ่ๆ" ที่ผ่านมาก็ใช้ได้ผลดีมาตลอด แต่ถ้ามาถามรายละเอียดเกี่ยวกับทฤษฎี "ผมไม่รู้" แต่รู้ว่าถ้า MACD ทะลุ "ศูนย์" ลงไปเลย "ไม่ดี" แต่ถ้า MACD อยู่ต่ำกว่าศูนย์ มันจะขึ้นมาที่ศูนย์ก่อน จากนั้นหุ้นจะปรับตัวลงอีกรอบ คือมีการพักตัวรอบใหญ่ แล้วถ้ามันกลับมาที่ "ศูนย์" อีกที บีบตัวแล้ว "ตัดขึ้น" คราวนี้หุ้นจะเป็นขาขึ้น "รอบใหญ่"

เสี่ยยักษ์บอกว่า ระหว่างการ "ก่อตัว" ของหุ้น จากประสบการณ์ดูกราฟราคาเราจะรู้เลยว่าถ้าใครดูเป็น (รู้จริง) กราฟไม่มีหลอก อย่างเช่น หุ้น ATC ถ้าจับจุดถูก MACD ระยะเดือน ตัดขึ้นชัดเจนช่วงปลายปี 2545 สัญญาณดีมาก แต่ก็ต้องทำการบ้านด้านปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วย ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้ารีบเข้าไปซื้อ "ตอนนั้นทั้งกราฟและข้อมูลพื้นฐาน ยืนยันในทิศทางเดียวกัน เรารู้เลยว่าหุ้นตัวนี้มันจะ "เทิร์นอะราวด์" พอวงจรปิโตรเคมีมันมา (ปี 2546) หุ้นขึ้นมหาศาลเลย" หรืออย่างหุ้น ปตท. ตัว MACD ระยะเดือน มันตัดลงมาตั้งแต่ต้นปี 2549 แล้ว หุ้น ปตท.ค่อยๆลงมาจาก 270 บาทลงมา 200 บาท ช่วงนี้รู้เลยว่ามันกำลังพักตัว (หลังจากขึ้นมาต่อเนื่องยาวนาน 3 ปี ช่วงปี 2546-2548) "ช่วงที่ MACD ของหุ้น ปตท. ตัดลงมา ทั้งสองเส้นมันยัง "ถ่าง" กันอยู่เยอะ ผมก็รอให้ MACD มันบีบ พร้อมที่จะตัดขึ้นก่อน เราถึงจะมีจุดมั่นใจเข้าซื้อ (เพื่อเล่นรอบใหม่) เรารู้ว่าพื้นฐานของหุ้นดีมากอยู่แล้ว แต่หุ้นทุกตัวจะต้องมีระยะพักตัว บางครั้งอาจจะกินระยะเวลานานหลายเดือน บางครั้งครึ่งปี บางตัวนาน 2-3 ปี"

เสี่ยยักษ์อธิบายถึงระยะพักตัวของหุ้นเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่หุ้นบางตัว "พักตัวนาน" แสดงว่ามี "คนเจ็บ" กับหุ้นตัวนั้นเยอะ มันต้องใช้เวลา "รอ" ผลการดำเนินงานหรือข่าวดี หุ้นถึงจะมีแรงกลับมาสู้ใหม่ แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ "กำไรดี" อยู่แล้ว ระยะพักตัวก็อาจจะไม่นานมาก วิธีการในการวิเคราะห์หุ้นระดับ "ลึก" ของเซียนหุ้นรายนี้ มีขั้นตอนอย่างไร

"สมมติ ผมจะวิเคราะห์หุ้น ปตท. เรารู้ว่ากำไรสุทธิปีนี้ ไม่น่าจะหนีหุ้นละ 30-35 บาท เทรดกันที่ค่า พี/อี ต่ำแค่ 6-7 เท่า เราก็ประเมินว่า ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่สูงอย่างนี้ไปอีกหลายปี หุ้นปตท. ยังไงก็ต้องดี แต่หุ้นลงมาเหลือ 210-220 บาท คราวนี้เราก็รอเวลาให้กราฟ MACD ยืนยันการ "ตัดขึ้น" ก่อน เราค่อยเข้าไปซื้อ เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงก็จะไม่สูง ระยะเวลา "รอ" ราคาวิ่งขึ้นก็ไม่นานด้วย"

มันเป็นสูตรวิธีคิดว่า การที่ MACD มันบีบแล้ว "รอ" ตัดขึ้นเหนือ "ศูนย์" ราคาหุ้นอยู่ในเขต "Oversold" คือ อยู่ในเขตขายมากเกินไป จนข่าวร้ายไม่มีผลต่อราคา ไม่มีทางร้ายไปกว่านี้แล้ว คนที่ติดหุ้นอยู่จะให้ขายก็ไม่อยากขายขาดทุนมาก จะให้บุ่มบ่ามรีบซื้อก็ยังไม่กล้าซื้อ นิ่งๆเฉื่อยๆชาๆ "จุดนั้นคือจุดที่อันตรายที่สุด แต่เป็น...จุดที่ปลอดภัยที่สุด คือประมาณ ตี 5 ถึง ตี 5 ครึ่ง จ่ายกับข้าวสบายๆ ไม่ต้องแย่งกับใคร ถ้าอยากจะรวย คุณต้องรอจังหวะนี้ให้ได้"

ตอนที่ 22 รู้จักคำว่า "รอคอย"

ถ้าเราเทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด การตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคยืนยัน แล้วทุกคนเริ่มกลัวกันหมด ตรงนั้นคือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้ ความสำเร็จที่ยากที่สุดอาจไม่ใช่การเดินทางเพื่อค้นหา "กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ" เพราะพื้นฐานแห่งความสำเร็จ แท้ที่จริงแล้วคือ การเอาชนะจิตใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน ในตลาดหุ้น การ "รู้เขา" อย่างเดียว มิอาจไปถึงเป้าหมายได้ ต้อง "รู้เรา" อย่างถ่องแท้ด้วย ไม่เช่นนั้นเงินที่กลาดเกลื่อนอยู่ในตลาดหุ้น ก็ไม่สามารถ "หยิบ" ขึ้นมาเชยชมได้ คำจำกัดความสั้นๆที่ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ เน้นย้ำก็คือ ถ้าอยากจะเล่นหุ้นให้รวย ต้องรู้จักคำว่า "รอคอย" (อดทน) ต้องรอจังหวะ รอรอบของมันให้ได้ แล้วทำไม! จะรอมันไม่ได้ คุณต้องนิ่ง คุณต้องใจเย็นๆ "ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพเล่นหุ้น คุณต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ คุณถึงจะอยู่รอด"

เสี่ยยักษ์ บอกว่า "หุ้นในดวงใจ" ไม่ได้มีกันทุกๆเดือน บางทีต้องรอคอยนานเป็นปีถึงจะเจอ "รอบใหญ่" สักตัว สมัยก่อนรายย่อยเป็นใหญ่ในตลาดหุ้น "หุ้นเก็งกำไร" ครองเมือง วางมาร์จิน 30% เล่นหุ้นได้ 100% เล่นกัน "มันส์"สุดๆ แต่สมัยนี้ฝรั่งคุมตลาดหุ้นเราหมดแล้ว ของเรา 100 หัวสมอง เล่นหุ้นไม่ตรงกันเลย แต่ของเขา 10 หัวสมองเล่นหุ้นตัวเดียวกัน เขาคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นยุคนี้ต้องเล่น "หุ้นพื้นฐาน" ถึงจะมีโอกาส เสี่ยยักษ์เล่าว่า วิธีการเล่นหุ้นสมัยก่อน รายใหญ่จะใช้วิธีการ "อมหุ้น" แล้ว "ลาก" ขึ้นยาวๆไม่มีตก แล้วเล่นกันทั้งกระดาน รายย่อยจะ "เล่นรอบ" ได้ตลอดเวลา พอออกจากตัวนี้ ถ้าตัวไหนยังไม่ขึ้น ก็เข้าตัวนั้นดักทางไว้ก่อน ผิดกับยุคสมัยนี้ เล่นหุ้นแบบเดิมไม่ได้แล้ว พฤติกรรมของตลาดเปลี่ยนไปหมด หันมา "เลือกตัวเล่น" (ฝนตกไม่ทั่วฟ้า) ยกตัวอย่างเช่น ถ้า BAY-W1 ขึ้น หุ้นวอร์แรนท์จะขึ้นกันทั้งกระดาน ปาเป้าตัวไหนก็ถูก ผิดกับตอนนี้ BAY-W1 ขึ้นตัวเดียวตัวอื่นลงหมด เป็นต้น

ในสมัยก่อนถ้า "เจ้าของหุ้น" อยากให้หุ้นของตัวเองขึ้น เขาจะลากขึ้นไปให้ถึงจุดสุดยอดเลย (เล่นยาว) แต่เดี๋ยวนี้ เปล่า! เจ้าของหุ้นมันคิดแบบว่า จะ "ถอนทุนคืน" เร็วๆ เขาคิดว่าหุ้นอยู่ในกระเป๋าตัวเอง ขายแล้วได้ตังค์เลย จะ(โง่) ถือนานไปทำไม! พอเอาหุ้นเข้าตลาด (ขายไอพีโอ) เสร็จ ก็ทยอยปล่อยหุ้นขาย รวยอยู่คนเดียว ใครไปซื้อหุ้นอย่างนี้ก็ "ซวย" !!! สำหรับหุ้นที่ดี "ผู้บริหาร" หรือ "เจ้าของ" จะต้องไม่เอาเปรียบผู้ถือหุ้นคือไม่มีพฤติกรรมทุจริต และต้องดูแลหุ้นของตัวเอง หุ้นอย่างนี้จะมี "รอบเล่น" เสี่ยยักษ์กล่าวว่า คนเล่นหุ้นทุกคนจะต้องเคยมีประสบการณ์ "เฉียดรวย" (เจอหุ้นขึ้นรอบใหญ่)มาหมด แต่ทำไม! หลายคนเล่นหุ้นแล้วไม่ได้ตังค์หรือได้กำไรน้อย สาเหตุที่คุณไม่ชนะ เพราะเจอแบบไม่มีกลยุทธ์ กล้าๆกลัวๆอ่านตลาดไม่ขาด จะซื้อตามก็ไม่กล้า (จะรอให้มันปรับฐานราคาก่อน...สุดท้ายก็ไปซื้อแพง) หุ้นขึ้นนิดหน่อยก็รีบขายตัดกำไรทิ้ง เท่าที่สังเกต...พฤติกรรมอย่างนี้ จะเกิดกับคนที่เทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด เพราะการตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย ข้อเสียอีกอย่างคือ ใจไม่นิ่ง

ถ้าจะเล่นหุ้นให้รวย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคมันพร้อม (ตัดขึ้นก่อน) พื้นฐานหุ้นรองรับ จุดสำคัญ...ถ้าตลาดหุ้นช่วงไหนคนเริ่มกลัวกันหมด "แหยงตลาด" ตรงจุดนั้นคือ "จุดที่ปลอดภัยที่สุด" ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้เลย "นี่คือ..เคล็ดลับ" เมื่อสอบถามเสี่ยยักษ์ถึงประสบการณ์ "เฉียดตาย" และ "เฉียดรวย" "ส่วนใหญ่จะ "เฉียดตาย" (รอด)มากกว่า ยกตัวอย่างหุ้นธนายง สมัยก่อน 600-700 บาท แล้ววันนี้เป็นยังไงเหลือ "บาทกว่า" หุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.) ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปิดกันหมด ดัชนี SET ลงมาเหลือ 200 จุด ถ้าใคร Cut Loss ไม่เป็นฟันธงเลยว่า "ตาย" หมด"

เพราะฉะนั้นการเล่นหุ้น เราต้องมี "เป้า" ในใจตลอดเวลาว่า ถ้าราคาลงมาเท่าไร? คุณต้องขาย ยกตัวอย่าง วันที่เกิดเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่ม (11 กันยายน 2544) วันเดียวโดนไป 26% เรามองว่าเรื่องมันคงไม่จบง่ายๆ ต้องมีการแก้แค้น "เวลาที่เกิดเหตุการณ์ช็อก!ตลาด ผมจะประเมินว่า จากนี้ไปสถานการณ์จะดีขึ้นกว่านี้มากมั้ย! ถ้าคำตอบคือ "ไม่มีทาง" นั่นหมายถึงว่า เราต้องยอมขาย(ขาดทุน) ผมมีคติว่า ถึงคราว "แพ้" ก็ต้องยอมแพ้ ต้องกล้าขาดทุน พอเปิดตลาดมาดัชนีดิ่งลงเหว ผมก็รอให้มันรีบาวด์แล้วก็ขายล้างพอร์ตหมด จำได้ว่าตอนนั้นขาดทุนไป 20-30 ล้านบาท"

เสี่ยยักษ์บอกว่าจากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการนี้มาอย่างยาวนาน ไม่มีใครที่ซื้อหุ้น "ถูกตัว" หมดทุกครั้ง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาชีพเราต้องมอง "โอกาส" และ "ความเสี่ยง" อยู่ตลอดเวลา ถ้าลงมาถึงตรงไหน คุณต้องตัดสินใจเด็ดขาด "คนที่พลาดมักจะเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเด็ดขาด ไม่เด็ดเดี่ยว แล้วชอบอ้างเหตุผลมากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง...ลองไปคิดดูว่าจริงอย่างที่พูดหรือไม่"

ตอนที่ 23 กลยุทธ์สร้าง "ดีมานด์"

ถ้าคิดจะ "สร้างราคาหุ้น" แล้วไม่ให้วงแตก มือทำหุ้นที่เป็นมืออาชีพเขาจะบอกเจ้าของหุ้นว่า คุณต้องโอนหุ้นมาให้ก่อน แล้วต้องเอาเงินมาให้ด้วย...ล้านเปอร์เซ็นต์เลย ถึงจะสำเร็จ !!! "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง สมัยก่อนมี "นักปั่นหุ้นชั้นเซียน" อยู่คนหนึ่ง ชื่อเสียโด่งดัง เขาเกาะกันกับอดีตนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งนักการเมืองคนนี้ตอนแรกเล่นหุ้นไม่เป็นเลย ก็มาเข้ากลุ่มกับ "นักปั่นหุ้น" คนนี้ เขาก็ใช้เพาเวอร์ทางการเมืองไปหาหุ้น(เน่าๆ)แล้วเอามา "ปั้น" จนร่ำรวย สมัยก่อนพอได้หุ้นมา วิธีการเขาจะเอามาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ แล้วก็ออกหุ้น PP (Private Placement) วิธีนี้ "ฮิตมาก" คือ การเสนอขายหุ้น "แบบเจาะจง" ในราคา "ถูก" ให้กับพรรคพวกตัวเอง แล้วก็เอามาเล่นกันในตลาด แรกๆก็เริ่มออกสตาร์ทจุดเดียวกัน หมายถึง ต้นทุนเท่ากัน คุณได้กำไรเท่าไร ทุกคนก็ได้ด้วย คือ "แบ่งผลประโยชน์กันลงตัว" พอเขาเริ่ม "รู้ทาง" (รวย) คราวนี้ไม่เป็นอย่างงั้นแล้ว ไม่อยากแบ่งใครจะกินรวบคนเดียว พอเขาหาหุ้นมาได้ก็ให้นอมินีเก็บหุ้น PP ราคาต่ำไปหมด แล้วก็ไปชักชวนพรรคพวกให้มาช่วยกันทำหุ้น ถ้าใครหลงกลก็ต้องไปซื้อหุ้นราคาแพงต่อจากเขา เล่นกันไปสุดท้ายก็ "วงแตก" ต้องมานั่งทะเลาะกัน นิทานเรื่องนี้เสี่ยยักษ์สรุปให้ฟังว่า ใหญ่กับใหญ่ หรือ เสือกับเสือ อยู่ด้วยกันไม่ได้นาน สุดท้ายก็แตกคอกันเอง เกี่ยวกับการ "ทำหุ้น" ที่เสี่ยยักษ์เคยเกริ่นไปแล้วในบทก่อนๆ คราวนี้มาขยายความให้ฟังเพิ่มเติมว่า... "หุ้นตัวไหนที่ "เจ้าของ" ไม่ทำ (ยกเว้นหุ้นมวลชน) อย่าหวังว่ามันจะขึ้นได้เอง คิดง่ายๆมีซัพพลาย(มีหุ้น)แต่ไม่มีดีมานด์(คนซื้อ) มันจะขึ้นได้ยังไง อันนี้แน่นอนที่สุด ถ้าเจ้าของไม่ร่วมมือด้วย ฟันธงเลยครับ "ไม่มีทาง" หุ้นที่หวือหวาๆเจ้าของเปิดไฟเขียวให้ทั้งนั้นแหละ" ที่จริงแล้ว "การปั่นหุ้น" คนภายนอกจะดูเหมือนง่าย แต่ถ้าไม่ไปคุยกับเจ้าของหุ้นก่อนไม่มีทางเลยครับ เดี๋ยวนี้! เจ้าของลงมาเล่นเองยิ่งน่ากลัว ถ้าคุณไม่ไปคุยกับเขาก่อนแล้วทะเล่อทะล่าไปทำหุ้นเขา โดนโยนหุ้นใส่ คุณอยากได้หุ้นเท่าไร...เอาไปเลย คุณไม่มีทางออก "ยิ่งขาย...ยิ่งตก"

"สมมติ ผมเป็นเจ้าของหุ้นนะ อยากให้หุ้นของผมมีคนมาเล่น ก็ต้องหาคนมาทำหุ้นให้ ผมมีเงินให้คุณ มีหุ้นให้คุณ บอก Target ไปเลยว่า ผมอยากได้ราคาเท่าไร? ถ้าทำถึงเป้าหมายตรงนี้ คุณได้เท่าไร? ถ้างั้นไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะอะไรรู้มั้ย! ถ้าคุยกันปากเปล่า ไม่มีหุ้น ไม่มีเงินมาให้ สุดท้ายก็ทะเลาะกันเอง สมมติผมกำลังเล่นขึ้นไปอยู่ดีๆ แต่มีคนโยนหุ้นก้อนใหญ่ออกมา (ล่าสุดเหมือนกรณีหุ้น EMC) วงแตกเลย...เกมโอเวอร์! ใครขายว่ะ! คุยกันแล้วนี่หว่า ถามหน่อยใครมีหุ้นก้อนใหญ่ ถ้าไม่ใช่เจ้าของขายเอง นี่ไง...วิธีการหลอกให้เข้าไปติดกับดัก"
ดังนั้นวิธีที่ได้ผลแน่นอนที่สุด เขาจะ "โอนหุ้น" มาให้ก่อนก้อนหนึ่งแล้วก็ให้เงินมาอีกก้อนหนึ่ง แล้วให้มืออาชีพเป็นคนทำ แต่ถ้านักข่าวไปถามเจ้าของหุ้น ร้อยทั้งร้อยจะปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง "ผมมีหน้าที่บริหารอย่างเดียวครับ" เชื่อเถอะ! ตอบอย่างนี้ทุกราย เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะ "สร้างราคาหุ้น" แล้วไม่ให้วงแตก มือทำหุ้นที่เป็นระดับมืออาชีพ เขาจะบอกเจ้าของหุ้นว่า คุณต้องโอนหุ้นมาให้ก่อนแล้วต้องเอาเงินมาให้ด้วย และต้องสัญญากันว่าระหว่างทางตรงจุดไหนขายได้ ตรงไหนห้ามขาย...เชื่อผมเถอะ! ล้านเปอร์เซ็นต์เลย ต้องใช้วิธีนี้ถึงจะสำเร็จ เมื่อเรารู้เกมว่า หุ้นตัวนี้เป็น "หุ้นปั่น" ล้านเปอร์เซ็นต์ เสี่ยยักษ์แนะนำว่า อย่างเราเล่นหุ้นเก็งกำไร คุณต้องเล่นเป็น "ตัวประกอบ" อย่าเล่นเป็น "พระเอก" เพียงแต่ว่าถ้าเขาปั่นกัน เราก็เล่นน้อย ถ้าอยากเล่นเยอะต้องเล่นหุ้นมวลชน หลอกกันไม่ได้

โดยยกตัวกรณีของหุ้น NMG-W2 ช่วงใกล้หมดอายุ ช่วงต้นปี 2550 หุ้นตัวนี้ถูกลากราคาจาก 0.24 บาทขึ้นไป 2.40 บาทภายในเวลาเพียง 10 วัน ในวงการรู้ว่า ใคร...? เป็นคนมาเล่น NMG-W2 คนนี้ปั่นหุ้นไม่ต้องมีสตอรี่อะไรเลย เขาเคยลากหุ้นบางตัวจาก 1-2 บาทให้วิ่งไป 7-8 บาทได้เลย ถือว่าใจถึงและมือถึงที่สุดในวงการ ไม่มีใครเกิน "เสี่ย" คนนี้ ตอนนั้นหุ้น NMG-W2 แปลงสภาพ 14 บาท ราคาหุ้นแม่ NMG อยู่ที่ 8.50 บาท เล่นข่าวได้เวลาช่อง 9 อสมท. เขาเล่นหุ้นแม่ขึ้นมาที่ 11 บาท แต่ลาก NMG-W2 ขึ้นไป 900% ใกล้หมดอายุแล้ว เล่นกันขึ้นไปได้ยังไง "ตอนนั้น มีคนโทรศัพท์มาถามผมว่า ติด NMG-W2 ที่ "บาทกว่า" จะทำยังไงดี ผมบอกว่ามันจะหมดอายุอยู่แล้ว ยังไงคุณก็ต้องทิ้งแล้ว เขาถามว่าจะขายยังไงหมด ผมบอกว่าคุณก็ขายแบบเหวี่ยงแห (กระจาย) ซิ! พอขายหมดที่ 1.20 บาทเขาลากขึ้นไป 2.40 บาทเลย ถามว่า ถ้าคุณเป็นรายย่อยจะเล่นหุ้นประเภทนี้ยังไง ผมจะยกตัวอย่าง กลยุทธ์ที่นักลงทุนรุ่นน้องที่เล่นหุ้น NMG-W2 ให้ฟัง ไอ้คนนี้ที่จริงมันเป็นรายใหญ่พอสมควร มันมีโทรศัพท์ 4 เครื่อง สั่งซื้อกระจาย 2,000 หุ้น 2,000 หุ้น 2,000 หุ้น กระจายออเดอร์ (เป็นหางว่าว) คือ เขาพยายามแตกออเดอร์ให้ย่อยๆๆ ไม่อยากให้รายใหญ่จับได้ วิธีนี้เขาก็หาเงินใช้ได้เรื่อย" นี่เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการลงทุน "หุ้นปั่น" ที่เสี่ยยักษ์เล่าให้ฟัง

ตอนที่ 24 รังเสือ..ถ้ำมังกร

ภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า "เสือ 2 ตัว ไม่อยู่ถ้ำเดียวกัน" คำๆนี้เป็นจริงอย่างไร "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์อธิบายว่า โดยธรรมชาติ "ใหญ่กับใหญ่" จะอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน..เชื่อผมซิ!!! มันเป็นอย่างนี้จริงๆ สุดท้ายมันก็จะ "ขี่" (เอาเปรียบ) กันเอง ..พูดตรงๆผมเคยเล่นหุ้นปั่น วันที่ผมขายหมดแต่บางคนไม่ได้ขาย ผมเสียเพื่อนไปก็หลายคน เสียน้องไปก็หลายคน สุดท้ายมันไม่ได้อะไรขึ้นมา มันไม่คุ้มหรอก..เชื่อผมซิ!!!

นอกจากนี้ การเข้าไปเทรดหุ้นกับโบรกฯไหน เสี่ยยักษ์จะดูว่าโบรกฯนั้นมี "พอร์ตเล่นหุ้น" ด้วยรึเปล่า! ถ้า "มี" โดยส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบไปเทรดหุ้นที่นั่น เพราะคิดแง่ลบไว้ก่อนว่า "เขาจะดักกินเรา" (รู้ความเคลื่อนไหวรายใหญ่) ส่วนโบรกฯไหน ที่เห็นรายใหญ่ไปรวมตัวกันมากๆแสดงว่าเขาจับมือกันแน่นแล้ว เสี่ยยักษ์ยังเล่าถึงวิธีการเอาเปรียบ (ขี่) กันในวงการรายใหญ่ที่เจอมากับตัวเอง "คุณคิดว่ามาร์เก็ตติ้งเขาไม่มีอินไซด์เหรอ ผมเคยทะเลาะกับคนบางคน เขาไปซี้กับมาร์เก็ตติ้งของผม เขาก็เป็นรายใหญ่เหมือนกัน โดยใช้วิธีเลี้ยงมาร์เก็ตติ้งไว้หลายคนหลายโบรกฯ กลางคืนก็พาไปเที่ยว พาไปกินเหล้า แล้วก็บอกมาร์เก็ตติ้งของผมว่า เวลาเสี่ยยักษ์จะซื้อหุ้นอะไร ก็ให้สั่งซื้อให้เขาก่อน เขาจะสั่งประมาณว่า ถ้าพี่ยักษ์ซื้อหุ้นตัวนี้ 10 ล้านหุ้น ซื้อให้เขาก่อนเลย 2 ล้านหุ้น เอาเปรียบกันอย่างงี้เลย ผมจะบอกให้ว่าอยู่ในวงการนี้นานๆ ยิ่งคุณเป็นรายใหญ่ จะมีพวกที่จ้องหาผลประโยชน์จากคุณ มันขี่กันซึ่งๆหน้า เวลาที่ผมจะขายหุ้น ก็สั่งว่าให้ขายของเขาก่อน แล้วค่อยขายให้ผม" กรณีที่ "ใหญ่กับใหญ่" จะอยู่ "รัง" เดียวกันได้ เขาต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน "อย่าง "ผม" กับ "ปู่" (เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล) เล่นหุ้นห้องวีไอพี อยู่ติดกัน ต่างคนต่างไม่รู้พอร์ตกัน พูดจริงๆด้วยศักดิ์ศรี (ที่เสมอกัน) เขาก็ไม่แอบถามมาร์เก็ตติ้งผม ส่วนผมก็ไม่แอบถามมาร์เก็ตติ้งเขา อย่างงี้..ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ แต่เวลาเรานั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกัน (ลูกค้าวีไอพี โบรกฯ จะจัดอาหารกลางวันให้มานั่งรับประทานร่วมกัน) เราก็คุยกัน เขาอาจจะถามว่าหุ้นตัวนี้ วิชัย (เสี่ยยักษ์) เล่นมั้ย! บางทีผมก็อาจจะถามว่า ตัวนี้ปู่ซื้อมั้ย! ถ้าเห็นแนวทางเดียวกันก็อาจจะซื้อเหมือนกัน แต่หลังๆผมกับปู่วิธีการเล่นหุ้นจะต่างกันมาก สมัยก่อนเราจะเล่นหุ้นทางเดียวกัน (ออกแนวเก็งกำไร) ถ้าซื้อด้วยกันหุ้นตัวนั้นจะขึ้นเยอะ แต่หลังๆพอผมมาสำเร็จกับวิธีการเล่นหุ้นอีกแบบหนึ่ง หันมาเน้น "หุ้นมวลชน" ปู่ก็จะไปทาง Value Investor คือ เขาจะเล่นหุ้นกระจายเป็น 10-20 ตัว ไม่เล่นกระจุกตัวเหมือนสมัยก่อน เวลาหุ้นขึ้น มันก็ไม่แรงเหมือนก่อน" ในยุคที่ยังเล่นหุ้นเก็งกำไร เสี่ยยักษ์ย้อนเล่าอดีตว่า รายใหญ่ๆจะเล่นหุ้นทางเดียวกันหมด ในลักษณะเกาะกลุ่มกันเล่น เรียกว่า "ก๊อบปี้หุ้น" กันเลย อย่างหุ้น SHIN-W1 สมัยก่อนจะเฮโล! กันเข้าไปเล่น แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนต่างสำเร็จวิชาคนละวิชา เวลาคิดอะไรจะไม่ค่อยเหมือนกันแล้ว

"ตั้งแต่ยุค SHIN-W1 ผ่านมา ก็แบ่งกลุ่มกันออกมา พอนานๆไปต่างคนต่างค้นหาแนวทางตัวเอง จุดเปลี่ยน! เป็นเพราะว่าเมื่อก่อนรายย่อยใหญ่กว่าต่างชาติเยอะ เดี๋ยวนี้ พลังรายย่อยลดลง สถาบันใหญ่ขึ้นมา ต่างชาติคุมตลาด รายย่อยก็แทบจะไม่มีความหมาย ชี้นำตลาดไม่ได้ ทุกคนก็เริ่มเปลี่ยนวิธีการเล่นหุ้น อย่างกลุ่มผมคือ เราเล่นด้วยกัน พอดัชนี SET ตกลงมา กลุ่มนี้ก็ขาดกำลัง หลายคนติดหุ้น แต่ยังมีวงเงินกู้พอเล่นได้ แต่ภาวะตลาดไม่เอื้อ ทุกคนก็ไม่อยากเล่น กลุ่มที่เคยมีพละกำลังก็สลายกำลังไปหมด ผิดกับเมื่อก่อน พอบอกว่าจะเล่นหุ้นตัวไหนใส่กันไปยิ่งกว่าพายุ หุ้นนี่วิ่งแรงเลย พอช่วงหลังๆคุยกันว่าจะเล่นหุ้นตัวนี้ อีกคนบอกว่าไม่เอาดีกว่า มันไม่ได้แตกคอกัน แต่ไม่แข็งแรงอย่างเดิมอีกแล้ว" เสี่ยยักษ์สรุปว่า ในที่สุดวิธีการลงทุนก็เปลี่ยนกันไปหมด "เสี่ยปู่" ก็ไปสำเร็จวิชา "เล่นหุ้นมูลค่า" เขาก็ไปทำ Company Visit ไปคุยกับผู้บริหาร ส่วนตัวผมก็เปลี่ยนสไตล์คือ "รอเล่นรอบใหญ่" จะให้จับปลาซิวปลาสร้อย (หุ้นเก็งกำไร) เหมือนสมัยก่อนไม่ค่อยเอากันแล้ว..แต่ทุกวันนี้ ก็ยังมีกลุ่มรายใหญ่ที่ไปรวมตัวอยู่กับโบรกเกอร์บางแห่ง เขาก็ยังชอบ "เล่นข่าว" (ไล่ราคาหุ้น) อยู่ คือวิธีคิดมันไม่เหมือนกัน
เมื่อถามว่าในวงการเล่นหุ้น "รายใหญ่" จะลิ้งค์ถึงกันหมดหรือไม่!! "ส่วนใหญ่จะรู้จัก(ชื่อเสียง)กันว่าใครเป็นใคร อยู่ที่ไหน แต่บางคนก็ไม่เคยเจอตัวกัน" เสี่ยยักษ์ย้ำว่า โบรกเกอร์ที่เล่นหุ้นอยู่ทุกวันนี้ มีรายใหญ่ที่สุดอยู่ 2 คน "ผม" กับ "ปู่" (ที่เล่นใหญ่ระดับพันล้าน) แต่บอกได้เลยว่า เราไม่เคยเอาเปรียบน้อง มีข่าวอะไรดีๆก็บอกหมด อย่าง "ยะ" มีเงินกว่าล้านบาท เขาก็แฝงตัวเข้ามาในกลุ่ม เราก็ให้โอกาสทุกคน "พูดตรงๆผมเคยเล่นหุ้นปั่น วันที่ผมขายหมด บางคนไม่ได้ขาย ผมเสียเพื่อนไปก็หลายคน เสียน้องไปก็หลายคน สุดท้ายมันไม่ได้อะไรขึ้นมา สุดท้ายผมต้องถามคนใกล้ตัวว่า พี่ขาดทุนเท่าไร น้องขาดทุนเท่าไร ผมจ่ายเงินให้ก้อนหนึ่งไปแบ่งกัน แล้วพวกต่อที่ 3 ต่อที่ 4 ที่บอกต่อๆกัน เจ๊งหุ้นกันเป็นแถบๆ อย่างนี้เราเสียชื่อเสียง มันไม่คุ้มหรอก..เชื่อผมซิ!!!"


Create Date : 14 กันยายน 2552
Last Update : 14 กันยายน 2552 11:34:44 น. 0 comments
Counter : 415 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

Low2Higher
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Low2Higher's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com