ยาทาสิวกลุ่มเบนแซค #ฆ่าเชื้อสิวเก่ง #ละลายสิวได้ . Benzoyl peroxide (BP) เบนซอยเปอร์ออกไซด์ หรือ "เบนแซค" (benzac) ใช้ฆ่าเชื้อสิว(แกรมบวก)ได้ จึง"ใช้กับสิวอักเสบได้ดี"(BP แตกตัวได้กรดเบนโซอิกและ hydrogen peroxide ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์เมมเบรนของแบคทีเรียนั่นเอง) . เหมาะกับคนเป็นสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง มีงานวิจัยลดเชื้อสิวถ้าใช้ BP ทา 3 วัน ลดเชื้อสิวได้เทียบเท่าทาคลินดามัยซิน 14 วัน BP ไม่ทำให้เชื้อสิวดื้อยา . เป็นยาที่ชอบไขมันดังนั้นต้องทาบนหน้าที่มันๆจะได้ผลดีกว่าซึมได้ลึกกว่าทาตอนผิวแห้ง จึงให้ทายาก่อนล้างหน้า 5,10,15 นาที (แล้วแต่ผิวตอนนั้นว่าไหวป่ะ) . สำคัญมาก!!!! ทายาทีละน้อยๆ ยิ่งทาเยอะยิ่งระคายเคืองผิว ลดคอมีโดน(ไขมันสิว)ได้บ้างแต่สู้วิตามินเอไม่ได้ แนะนำให้แต้มเฉพาะหัวสิวอักเสบ และสิวที่ขึ้นซ้ำๆ . ยามีความแรง 3 ระดับคือ 2.5, 5 และ 10% จากงานวิจัยพบว่าเปอร์เซนต์ที่ต่างกันให้ผลการรักษาไม่ต่างกัน แนะนำให้ใช้ที่ 2.5% ก็พอ . ข้อเสีย ยาทำให้ผิวมีความเป็นด่าง(ไม่ดี) และทำให้ผิวเสียน้ำเพิ่มขึ้น(ขาดความชุ่มชื้น) เพราะ BP ทำลายโครงสร้างไขมันในผิวจึงไม่ป้องกันน้ำออกจากผิว(ผิวขาดสมดุล) ทำให้ผิวไวแสงในบางราย . เนื่องจาก BP เป็นสารอนุมูลอิสระเพื่อฆ่าเชื้อสิวแต่ทำให้ไขมันที่ผิวเกิดการออกซิเดชั่นจึงทำให้ผิวสูญเสียวิตามินอี(สารต้านอนุมูลอิสระในผิวลดลง) BP คือทำให้เกราะป้องกันผิวสูญเสีย BP ทำให้ผิวระคายเคืองได้ยิ่งความเข้มข้นมากยิ่งระคายผิวมาก ทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน เป็นริ้วๆ จากผิวแห้งขาดน้ำ . ขึ้นชื่อว่ายาจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จึงต้องใช้อย่างระวัง และใช้ให้ถูกต้อง แนะนำให้ทาเฉพาะหัวสิวอักเสบ(ก่อนล้างหน้า) ถ้าผิวแห้ง เป็นขุย ระคายเคืองอยู่ไม่ควรใช้ เพราะจะทำให้สิวแย่ลง และทำให้ผิวยิ่งระคายเคือง . ประสบการณ์ส่วนตัวในการใช้ยากลุ่ม BP นี้ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกับสิวที่รุนแรงระดับน้อยถึงปานกลาง ใช้ร่วมกับตัวยาคลินดามัยซิน ร่วมกับการกดสิวอุดตัน เหมาะกับผิวหน้าที่ยังแข็งแรงอยู่(ยังไม่ได้ผ่านการรักษาสิวมาอย่างโชกโชน) แต่สำหรับสิวดื้อด้าน(เป็นเรื้อรังมานาน)จะไม่ค่อยตอบสนองกับยากลุ่มนี้สักเท่าไหร่ (BP) ยิ่งใช้ก็ยิ่งระคายเคือง แสบ แดง ผู้ป่วยต้องมาตั้งสติ หาวิธีการ(ค้นหาข้อมูลจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ) และบำรุงผิวให้แข็งแรง หรือไปพบแพทย์(ถ้ายังไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการรักษาสิว) เลี่ยงผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่ทำร้ายผิว ใช้ยากลุ่มใหม่ที่เหมาะกับสภาพผิวและลักษณะสิวของตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดที่คนเป็นสิวหลายๆคนพลาด ก็คือ การทำผิวให้สมดุล(ทำยาก) เช่น ตั้งแต่เลือก cleansing ยาทาสิว บำรุง กันแดด ฯลฯ เดี๋ยวจะมาแนะนำวิธีการดูแลผิวให้สมดุล ในบทความต่อๆไป #krebslabs #เรื่องสิวที่ไม่สิวเลย #benzoylperoxide พูดคุยเรื่องสิว คลิกที่นี่   Create Date : 07 มิถุนายน 2561     0 comment Last Update : 7 มิถุนายน 2561 16:33:02 น.     Counter : 836 Pageviews.   Share Tweet

BHA ทำความสะอาดรูขุมขน ละลายสิวอุดตัน บีเอชเอ (ฺBHA) รักษาสิว BHA หรือ กรดซาลิไซลิก ละลายสิวอุดตัน ลดการหนาตัวของชั้นขี้ไคล เพราะ BHA ละลายในน้ำมันได้ดีกว่าAHA . "BHAจะถูกดูดซึมลงผิวได้ลึกกว่า" BHAจึงช่วยเรื่องสิวได้ดีกว่าAHA . อธิบายได้โดยเร่งการ Exfoliation ของผิว(อธิบายด้านล่าง) โดยปกติการผลัดเซลล์ผิวจากฐานผิวชั้นนอกเป็นหนังกำพร้าจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ โดย BHA ช่วยให้กระบวนการนี้เกิดเร็วขึ้น . "Exfoliation" คือการทำให้เซลล์ผิวจับตัวกันอย่างหลวมๆ และเร่งการผลัดเซลล์ ลดความหนาของหนังกำพร้า(ขี้ไคล) จึงลดสิวอุดตันได้ เพราะสิวเกิดจากการเคราตินในหนังกำพร้าที่หนาตัวแล้วรวมกับไขมันทำให้เกิดสิวอุดตันหรือคอมีโดน(เซลล์ผิว+ไขมันผิว) แล้วพัฒนาตัวเป็นสิวอักเสบ . BHA ทำความสะอาดรูขุมขน(ทางออกของไขมันที่ผิว) และคุณสมบัติการลดความหนาของหนังกำพร้านี้ยังช่วยให้ผิวหนังสามารถดูดซึมยาและสารบำรุงต่างๆได้ดีขึ้น(เพราะขี้ไคลบางส่วนถูกขจัดออกไปแล้ว) . แต่ เนื่องจาก BHA ซึมลงผิวได้ดีจึงทำให้กระบวนการ exfoliation เกิดได้รวดเร็วจนอาจทำให้ผิวเป็นขุย หรือลอกเป็นสะเก็ด(ถ้าผิวยังไม่แข็งแรงหรือผิวยังไม่พร้อม หมายความว่าต้องรู้จักสภาพผิวก่อนใช้ว่าผิวเหมาะหรือเปล่า) แต่ถ้ารู้จักเลือกยี่ห้อ เลือกความเข้มข้นของ BHA (1% หรือ 2%) เลือกรูปแบบที่มีวางขายได้(อันนี้สำคัญมาก เพราะ BHA มีหลายแบบมาก เช่น สกัดจากเปลือกไม้ สังเคราะห์ทางเคมี รูปแบบพิเศษที่ออกแบบมาให้อ่อนโยน) งดใช้ครีมหรือยาที่ทำร้ายผิว(ทำให้ผิวอ่อนแอ) อันนี้ก็ค่อยๆศึกษากันไปเดี๋ยวจะค่อยๆเขียนมาเรื่อยๆ หรือมาสอบถามกันได้ ถ้าเลือกเป็นจะมีประโยชน์กับคนเป็นสิวมากเลย . ถ้าจะเปรียบเทียบความรุนแรงระหว่าง BHA กับยารักษาสิวที่มีตามท้องตลาดแล้ว BHA จะระคายเคืองน้อยกว่า Benzoyl peroxide และ ยาตระกูลกรดวิตามินเอ ที่เคยเขียนไว้แล้วก่อนหน้านี้ . สรุป BHA เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางที่น่าสนใจที่ช่วยเรื่องสิวอุดตันได้ เพราะเราทดสอบกับตัวเองและกลุ่มอาสาสมัครแล้วพบว่าได้ผล โดยความเข้มข้นที่เลือกใช้คือ 2% เพื่อผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นอาจต้องมีการกดสิวอุดตันอุดตันร่วมด้วย (เพราะ BHA, lactic, เอนไซม์จากสับปะรด และมะละกอ ช่วยให้สิวกดออกง่ายขึ้น เพราะทำให้เซลล์ผิวจับตัวกันอย่างหลวมๆ ลดการอักเสบและลดความมันผิว) . เทคนิครักษาสิว ถ้าเรากำจัดสิวอุดตัน(ใช้ BHA+กดสิวอุดตัน) จะป้องกันการเกิดสิวอักเสบในอนาคตได้ เพราะว่าสิวอุดตัน 75% สามารถกลายร่างเป็นสิวอักเสบได้ #krebslabs #acne #BHA #สิว สอบถามเพิ่มเติม คลิกที่นี่   Create Date : 07 มิถุนายน 2561     0 comment Last Update : 7 มิถุนายน 2561 16:24:24 น.     Counter : 1350 Pageviews.   Share Tweet

ยาทาฆ่าเชื้อสิว ยาปฏิชีวนะ กลุ่มยาฆ่าเชื้อสิว ชนิดยาปฏิชีวนะ คลินดามัยซิน(clindamycin) อิริโธมัยซิน(erythromycin) ใช้แต้ม "สิวอักเสบ"(ทาที่อักเสบเท่านั้น)สิวที่ไม่รุนแรงมาก ไม่ควรใช้ยานานเกิน 3-4 อาทิตย์เพราะจะทำให้เชื้อดื้อยา(ทาแล้วก็ไม่ดีขึ้น) เพื่อป้องกันเชื้อสิวดื้อยาแนะนำใช้ร่วมกับยากลุ่ม BP (Benzoyl peroxide) หรือ เบนแซค ข้อเสีย ยามีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จึงอาจทำให้ผิวแห้งผิวระคายเคืองได้ และความแข็งแรงของผิวลดลงเมื่อใช้เป็นประจำ สำหรับคนที่ทายากลุ่มนี้มายาวนานแล้วสิวยังไม่ดีขึ้น(4-6เดือน)แนะนำ ให้ปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาสิวเพราะ โดยจากประสบการณ์ใช้ยาทาฆ่าเชื้อสิวจะไม่ค่อยเห็นผลกับสิวเรื้อรัง จะเห็นผลกับสิวที่ไม่รุนแรงเท่านั้น(สิวเล็กๆน้อยๆ)  เพราะเป็นยาที่แก้สิวที่ปลายเหตุ คือลดสิวอักเสบจากเชื้อสิวไม่ได้ลดที่ต้นเหตุของสิว(คอมีโดน)อย่างพวก กรดวิตามินเอ บีเอชเอ บีพี ข้อมูลเพิ่มเติม  คลิก https://www.facebook.com/Krebslabs/   Create Date : 01 มีนาคม 2561     1 comment Last Update : 1 มีนาคม 2561 16:06:02 น.     Counter : 854 Pageviews.   Share Tweet

ยาทาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ ลดสิวอุดตัน เพื่อป้องกันการอักเสบ #ยาทาสิว #ลดสิวอุดตัน #ป้องกันสิวอักเสบ เป็นยาทารักษาสิวที่ใช้กันทั่วโลก มีงานวิจัยมากมาย แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธีถึงจะเห็นผล สรุปมาให้ดังนี้ . ยาทาสิวกลุ่มเรตินอยด์ Retinoids (ยาทาสิวกลุ่มวิตามินเอ) ชื่อการค้า เรตินเอ(Retin A) ทาก่อนนอน ช่วยลดสิวอุดตัน ซื้อตามร้านขายยา มี 2 แบบ 0.025% กับ 0.05% รายละเอียดเพิ่มเติม . หน้าที่ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตันเพื่อป้องกันการเป็นสิวอักเสบ . เรตินเอช่วยปรับเรื่องการแบ่งเซลล์ให้เป็นปกติ(คนเป็นสิวเกิดจากเซลล์ผิวแบ่งตัวมากเกินไป)และคุมการสร้างผิว(เคราติน)ทำให้สิว(คอมีโดน)หลวมและหลุดออกง่าย แต่อาจทำให้ผิวชั้นนอกบางและไวแสงได้(แมทริกซ์ในผิวหนังลดลง) การหยุดทายาเรตินเอจะทำให้เกิดการรวมตัวของคอมีโดนใหม่และเป็นสิวอุดตันได้ภายใน 2-3 อาทิตย์ เรตินเออาจทำให้ผิวอ่อนแอ ระคายเคืองได้ ดังนั้นเพื่อให้ทายาได้ต่อเนื่องควรใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอควบคู่กับสกินแคร์ดีๆ และใช้เมื่อสภาพผิวพร้อม(อันนี้ต้องรู้จักผิวตัวเองก่อนทา) เพื่อลดอาการระคายเคืองจะได้คุมสิวได้อยู่หมัด . งานวิจัยพบว่าการทาบำรุงก่อนใช้ยากลุ่มวิตามินเอ 2 อาทิตย์ช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวได้(ค่า TEWL ไม่เพิ่มขึ้น) ยากลุ่มวิตามินเอจะดีกว่าเบนแซค (BP) ตรงที่ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว เพราะ BP ทำให้เกราะป้องกันผิวเสียรูป(ผิวอ่อนแอ สิวแย่ลง) นอกจากช่วยเรื่องสิวแล้ว เรตินเอยังกระตุ้นการสร้างคอลาเจนและอีลาสตินในผิวได้ . ข้อเสีย อาจทำให้ผิวแดง ผิวลอกได้ ผิวหนังร้อน คันผิว ถ้าใช้ไปสักพัก จึงต้องทาบำรุงให้เพียงพอ หรือลดความถี่ในการทายาบ้าง เพื่อให้สามารถทายาได้ต่อเนื่อง หลายคนเลิกทายาตัวนี้เพราะทนการระคายผิวไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่ให้เน้นบำรุงผิวโดยเลือกชนิดที่เหมาะกับคนเป็นสิว ที่สำคัญใช้ไปต้องดูสภาพผิวตัวเองไปด้วยเพื่อความปลอดภัย . ถ้าผิวที่ระคายเคืองง่ายแนะนำให้ใช้ differin แทน retin A เพราะระคายเคืองผิวน้อยกว่า แต่ราคาแพงกว่า โดยใช้รักษาสิวได้เหมือนกัน . เมื่อควบคุมสิวได้พอใจแล้ว Dr.Rogers แนะนำให้ทาผิวด้วยกรดวิตามินเอหรืออนุพันธ์ของวิตามินเอ(retinyl palmitate, retinyl acetate, retanal) เหลืออาทิตย์ละ 2 ครั้ง และสามารถเพิ่มขึ้นได้เท่าที่รู้สึกสบายผิว เพื่อได้ประโยชน์ด้านสิว ริ้วรอย ผิวที่เรียบเนียน และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว . ยังไม่หมดเท่านี้ ครั้งหน้าทาง #krebslabs จะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคนเป็นสิว จะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการรักษาสิว จะได้ไม่เชื่อใครง่ายๆ สอบถามเพิ่มเติม คลิก https://www.facebook.com/Krebslabs/   Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2561     1 comment Last Update : 1 มีนาคม 2561 16:07:02 น.     Counter : 1518 Pageviews.   Share Tweet