สัปดาห์หนังสือ......ปราศจากหนังสือ
ผ่านกันไปอีกครั้งสำหรับ งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ แต่สำหรับผม มันคือ งาน สัปดาห์แห่งการเสียเงินในรอบ 6 เดือน..........พลางนั่งดูกองหนังสือ ที่ซื้อมา จากงานสัปดาห์หนังสือครั้งที่แล้ว กว่า 15 เล่ม ชวนให้คิดไปว่า จะมีใครใหม ที่เป็นเหมือนเรา พอถึงเวลาที่ต้องซื้อ ก็ซื้อไว้ก่อน ไม่มีเวลา ไม่เป็นไร มีหนังสือไว้ก่อนเป็นดี ถ้ามีคนเป็นเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า หนังสือบางเล่ม ในชั้นหนังสือของผม ยังใหม่เอี่ยมแอบซ่อน ตัวอยู่เงียบๆ ท่างกลางความเป็นระเบียบ ของคนช่างจัดอย่างผม หลายครั้ง ที่หยิบมันขึ้นมา เหมือนว่าจะให้โอกาส มันได้ทำหน้าที่ของมัน แต่แล้วก็วางมันลงที่เดิม ให้มันอยู่อย่างเดิม และบอกกับตัวเองว่า รอวันที่มีโอกาส เหมาะๆ น่าจะช่วยให้มันทำหน้าที่ของมันได้อย่างเด็มที่ขึ้นเพราะว่าหลายต่อครั้ง ที่หนังสือ บางเล่มหน้าปก และชื่อเรื่องชวนให้อยากอ่าน แต่ข้างในกลับไม่ใช่ ดังนั้นหนังสือพวกนั้น ผมมักจะเรียกมันว่า ชี้ชะตา ที่หน้า 30 คืออ่านไปถึง 30 แล้ว ยังไม่มีแรงกระตุ้นให้อ่านต่อ ก็เป็นอันว่ามันต้องถูกส่งกลับไปยัง ซอกเล็กๆในชั้นหนังสือ ที่เดิมที่มันจากมา หลายคนอาจจะคิดว่า มันน้อยเกินไปที่จะ ตัดสินกันแค่เพียง 30 หน้า เพราะว่า อาจจะพลาด ของดีที่อยู่หลังจากนั้นไปก็ได้ ก็เอาเป็นว่า วันดีคืนดี ที่ตัวมันเรียกร้อง ให้ผมทำความรู้จักกับมันต่อเมื่อไหร่ ผมจะให้เวลากับมันมากขึ้นแล้วกันกลับมาต่อกันที่งาน สัปดาห์หนังสือกันดีกว่า ในงานเราจะพบกับหนังสือ หลายประเภท ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นการรวมหนังสือ ที่มากที่สุด ของประเทศเลยก็ว่าได้ แต่ละคน ก็มุ่งความสนใจไปที่ หนังสือ ที่ตัวเองชอบและก็เลยผ่าน บูธหนังสือ ที่อยู่นอก ความสนใจมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ ผมเองมองหา แต่บูธที่มีหนังสือ แบบที่ชอบ อัลเทอเนทีฟ ไรเตอร์ บทความวิจารณ์หนัง หนังสือ ท่องเที่ยวผจญภัย เรื่องสั้นเรื่องแปลต่างกันก็แต่ ครั้งนี้ผมเลือก ที่ดูเพียงอย่างเดียว พิจารณา แต่ละเล่ม ให้ดี ว่าผมอยากอ่านมัน จริงๆหรือเปล่า คิดอีกรอบ ว่าทำไม เราถึงอยากอ่านเล่มนั้น พลางเห็นคนเยอะแยะ ที่แย่งกันซื้อ ชนิดที่เรียกว่านึกว่ามีการ แจกฟรี ผมไม่ว่าอะไรครับ เพราะว่า ทำให้นึกถึงตัวเองว่า เราก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน หกชั่วโมงผ่านไปกับงาน สัปดาห์หนังสือ โดยปราศจากหนังสือ ซักเล่มชวนให้คิดไปว่า อะไรนะที่เป็น แรงจูงใจให้คนเราซื้อหนังสือ เล่มนั้นๆ ชื่อเรื่อง นักเขียนเนื้อหาหรือว่าทั้งสามเหตุผล แต่ไม่ว่าอะไร ก็ตาม ผมก็แค่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ ต่างๆที่ พวกเค้าขนซื้อกันไปอย่างมากมายจะไม่ต้องทำหน้าที่ เป็นแค่ หนังสือที่โชว์อยู่ในชั้นรอเวลา ที่เจ้าของจะหยิบขึ้นมาอ่าน เหมือนหนังสือ ของผมThe Different light
วันแรก วันเริ่มต้น
ทุกๆอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น หลายๆครั้ง ที่เรามักบอกกับตัวเองว่าอยากมี อยากเป็น อย่างนั้นบ้าง ไม่ผิดที่เราจะมีความอยากเพราะถ้าความอยากเป็นแรงผลักดันให้เรา ทำในสิ่งที่เราหวัง มันก็จะเป็นแรกกระตุ้นให้เราเริ่ม ลงมือทำอะไร ซักอย่าง ..... หลายๆ ครั้งที่ความคิดเรามักฟุ้งฝัน ลอยไปไกล โดยเฉพาะคนอย่างผมด้วยแล้ว การได้อยู่นิ่งๆ คิดถึงเรื่องราว ต่างๆ หรือ บางครั้งก็ปล่อยให้ จินตนาการ กับความฝันทำหน้า ที่ของตัวมันเองด้วยแล้ว เป็นสิ่งที่ทำให้ผม มีความสุขมาก ปล่อยใจ ปล่อยความคิดไปเรื่อยและถึง จุดนึงก้อย้อนความคิดของตัวเองว่า เราคิดมาถึงจุดนี้ได้ยังไง เป็นเรื่องที่ผมมักทำอย่างสมำเสมอ เพราะมันมักจะทำให้เรา ได้อยู่กับตัวเองแต่สิ่งนึง ที่ผมมักจะขาด ก็คือการลงมือ ทำผมมักคิดว่า ผมอยากจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างนี้ แต่ก็นั่นหละครับก็ได้แต่คิด คนเราเสียโอกาสหลายๆ อย่างไปเพราะว่าเรามัวแต่คิด มัวแต่ลังเล มัวแต่ไตร่ตรองอยู่นาน จนพอเราจะเริ่มลงมือ ทุกอย่างมันก็สาย เกินไปแล้วอ่าน blog คนอื่นทุกวัน ? อยากมี blog เป็นของตัวเอง ?ได้แต่คิดว่า อยากมี ?แล้วมันจะมีมั๊ย ?แต่วันนี้ ความคิดกับการเริ่มต้น ได้มาพบกันแล้วผลจึงเกิดเป็น blog นี้ไงครับสวัสดีวันเริ่มต้น