เกาะหมาก work_trip
ขอเขียนแบบง่ายๆก็แล้วกัน ประมาณเดือนก่อนได้มีโอกาสไปทำงานเกาะหมาก ซึ่งเพื่อนรุ่นพี่โทรมาล่วงหน้าก่อนทริป 1 วัน เราด้วยความที่อยากไปเกาะหมากเกาะกูดอยู่เป็นทุนก็รับปากไป โดยไม่ค่อยรู้ลายละเอียดเท่าไหร่นัก แต่พอไปก็ชอบเพราะเป็นเกาะเล็กๆ ขนาดไปหน้าฝนก็มีเสน่ห์ของตัวเองเกาะหมาก มีสโลแกนว่าเป็นเกาะสีเขียว เขามี conceptว่าจะพัฒนาท่องเที่ยวแบบช้าๆ แนวอีโค้ทัวร์ ตอนแรกก็ประทับใจว่าเกาะเล็กๆมีคนอยู่ไม่ถึง 400 คน มีเจ้าของที่ดิน แค่ 4 เจ้าหลัก มีแนวคิดการพัฒนาเกาะที่ดี แต่พอไปคุยนานๆแล้วคิดว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยก็ได้ เพราะเกาะหมากก็คล้ายเกาะอื่นๆทางใต้ที่เราสัมผัสมา นักลงทุนต่างถิ่นเริ่มเข้ามา มีการสร้างโน้นนี้นั้น ชุมชนเกือบไม่เหลือความเป็นชุมชน สักเท่าไหร่ คนที่เกาะย้านขึ้นฝั่ง ฝรังย้ายไปอยู่บนเกาะ คนที่อยู่นานๆหลายสิบปีก็ไม่มีสิทธิในที่พักอาศัย เพราะตอนนี้ที่ทางเป็นเงินเป็นทองหมด จะว่าไปแล้ว อนาคตเกาะหมากนั้นจะเหมือนเกาะอื่นๆหรือไม่ก็ขึ้นกับกลุ่มคนแค่ 4 กลุ่ม ที่เป็นเจ้าของที่ดิน หากเกาะหมากจะประสบชะตากรรมแบบเกาะอื่นๆทางใต้ เช่นเกาะพีพี ที่มีแค่สามสี่ตระกูลที่ครองที่ดิน ตอนเริ่มมีการท่องเที่ยว ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมากเพราะหลายคนบนเกาะจบการศึกษาจากต่างประเทศ เขาน่าจะมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาพื้นที่ เขามากกว่าเกาะอื่นๆ แต่หากจะเป็นแบบเกาะอื่นๆ เราก็ไม่ได้แปลกใจหรอก ว่าจะมีชะตากรรมแบบนั้น เพราะผลประโยชน์ที่เห็นตรงหน้าอาจดีกว่าการเก็บไว้ให้ลูกหลานที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาอยู่เกาะหรือเปล่าอันนี้อาจเป็นบันทึกความเห็นส่วนตัวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจจะเป็นหลักฐาน ของประวัติศาสตร์ก็ได้ ว่า เมื่อก่อนเป็นอย่างไร จะว่าไปเหมือนกับประทู้บ่น หน่อยๆ ตามเคย ตัดบทให้ดูวิวสวยๆของเกาะหมากดีกว่านะ การเดินทางไปเกาะหมาก เดินทางได้หลายทาง สะดวกสุดคือจากแหลมงอบ มีทั้งเรือเร็วและเรือช้า เรือเร็วใช้เวลาประมาณชม.กว่า เรือช้าก็อาจปาไปสามชม. โดยส่วนใหญ่แล้วการเดินทางมักมีการจองเป็นเพ็กเก็จทัวร์ เพราะไม่ค่อยมีบริการสำหรับนักท่องเที่ยว แบคเพ็คมากนัก จึงทำให้การท่องเที่ยวเกาะนี้ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับเกาะอื่นแต่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าเกาะอื่นๆ มีไฟฟ้า ถนน และน้ำ พร้อม การท่องเที่ยวก็มีแหล่งท่องที่ยวทางทะเลในหมู่เกาะใกล้เคียงเป็นหลัก เช่นการไปดำน้ำเกาะรัง เที่ยวดูกวางเกาะกระดาด ตัวเกาะหมากเองไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรมากนัก เหมาะสำหรับมาพักจริงๆมากกว่า มีทางจักรยานแต่บางช่วงโดนปิด มีบ้านโบราณ ทะเลตอนที่ไป ไม่สวย ฟ้ามืด เลยเข้าใจว่าอยู่เกาะหน้าฝน นี้มันเปนอย่างไร อากาศเหมือนทางใต้แถวระนอง ความชื้นสูง ต้นยางโบราณขึ้นตะไคร้ เขียว มีเฟรินส์ งออกออกมา บางส่วนของชายฝั่งเป็นระบบนิเวศโกงกางแบบเกาะ คือจะไม่มีโคลนอยู่ข้างใต้ ส่วนต้นมะพร้าวที่เป็นชื่อของเกาะก็เห็นบ้างเป็นช่วงๆ
นมัสเต เนปาล วันฝนตก 1 Kathamandu เมืองจอแจวุ้นวาย
Free TextEditor
ได้ฤกษ์เสียที สำหรับ โครงการเที่ยวเนปาลด้วยตัวเอง ตอนแรกกะจะไปกันสามคน แต่วันสุดท้ายได้ไปสองคน เพราะหนูเล็ก เพื่อนร่วมทีม ดันไม่ได้ดูวันพาสปอร์ต หมดอายุ เวลาเหลือไม่เกินหกเดือน เลยอดไปในวินาทีสุดท้าย เลยเหลือกันไปแค่สองคน หนีร้อนจากกรุงเทพ ไปหาความหนาวเย็นบนเขา เดินทางโดยสายการบินไทย เพราะเอาปลอดภัยไว้ก่อน ไม่ดีเลย์เหมือนสายการบินแขก เพราะกลัวกลับมาทำงานไม่ทัน ออกจากเมืองไทยสักสิบโมง ถึงโน้นก็บ่ายๆ มีรถจากเกสเฮาท์มารับ ไปพักย่านทาเมล ไปตามหนังสืออีกที บ้านเมืองเขาดูวุ้นวายดี คนขับรถ ขับไปบีบแตรไปตลอดทาง จน อยากจะร้องกรีด บีบหาอะไรกันนักหนานะ คนเนปาลขับรถ แท๊กซี่เมืองไทยหรือรถเมล์สาย 8 ชิดซ้ายเลย รถที่นี้เปนคันเล็กๆ ถนนก็แคบๆ คนเดินปนกะรถ ดูเวียนหัวไปหมด วันแรกเข้าพักย่านทาเมล เหลือเวลานิดหน่อยเดินไป กัฐมานฑุ เดอร์บาร์สแควร์ เสียตังเข้าไปชม แต่คนเนปาลไม่ต้อง เสียไปสัก 200 รูปี เงินเรา 1 บาท ประมาณ 2 รูปีของเขา เดินรอบๆถ่ายรูป แล้วเดินกลับที่พักเพราะฝนเริ่มลง ไปหาอะไรกินแถวทาเมล วันแรก กินอาหารเนปาล ดู เลือกร้านดูดีหน่อยเพราะไม่อยากท้องเสียในวันแรก อากาศเริ่มหนาวเลยเข้าที่พักเพื่อพักเอาแรงวันรุ่งขึ้น ไกด์จะมารับไปเที่ยว แถวๆรอบๆหุบเขากาฐมานฑุ ต่อรองราคาได้ประมาณ 1800 รูปี เพราะไม่อยากเสียเวลางมเส้นทางอยู่ วันแรกที่ไป ได้เห็นกุมารีด้วย กุมารี ไม่ให้คนถ่ายรูป เธอ จะโผล่หน้าออกมาเป็นเวลา ตรงหน้าต่าง เขาว่าโชคดีที่เห็นกุมารี เราก็ว่าคงโชคดีที่มาตรงเวลาเธอออกมาให้เห็นตรงหน้าต่างมากกว่า หนุ่มสาวชาวเนปาลี ไม่มีไรทำก็มานั้งกันบนขั้น รอบๆ ของวัด ดูๆ แล้วคล้ายเด็กไทยนั้ง แถวหน้าสยาม ผิดแต่ วัดเขาสวยดูเป็น เนปาลดี แถมแถวนั้นก็มีของขายนักท่องเที่ยวคล้ายๆกัน วันแรกยังไม่ได้ช๊อพอะไรมากนักแค่เดินมาเที่ยวแล้วเดินกลับ ไปย่านทาเมล ตกเย็น ได้เวลาดับไฟของเขตทาเมล แปลกดี เขาขาดแคลนพลังงานเลยใช้วิธีการดับไฟเป็นเขตๆ เพื่อสลับกันใช้ ประชาชนเขาก็ชิน ดับที 3-4 ชม. ที่ทาเมลที่ไปดับตั้งแต่ 6 โมงถึง 3 ทุ่ม แต่พวกเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะที่นี้กว่าจะมืดก็ปาไป 2 ทุ่ม จนเพื่อนที่ไปด้วยกันบ่นว่าทำไมมันยังไม่มืดสักที เหอะๆ สุดท้ายเข้านอนโดยอาบน้ำอุ่นใส่เสื้อหนาว นอนไม่หลับพี่แขกแกเล่นบีบแตรทั้งคืน จนประสาทจะเสีย ออกไปหาไรเขวี้ยงเสียดีไหม และแล้วก็หลับแบบไม่สนิท เหอะๆ วันแรกก็จบลงด้วยประการฉะนี้
วันเศร้าๆ ลมแรงๆ ในชิคาโก
ไปคนเดียว วันแรกแดดพอได้ อากาศดี เลยไปเดินเนวี เพียร ขึ้นชิงช้าชมเมืองจากที่พักเดินหลงวนๆสองรอบจึงเจอโรงแรม วันนี้เหนื่อยเลยขอพักสมองกับหัวจาย เร็วหน่อย ที่ขาดไม่ได้รูปจ๊ะ เพื่อเข้ากะบรรยากาศ รูปแรกดูเศร้าๆ เหงาๆ น่ะรูปที่สอง ลมแรง เดินไป คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไป พอถ่ายรูปก็วางกล้องแล้ววิ่งไปแหกยิ้ม เศร้าจัง มีคนที่มาเที่ยวเขาคงสงสารเลยอาสาถ่ายรูปนี้ให้ ชีวิตก็แบบนี้ หวานๆขมๆ อมเปรี้ยวรูปนี้ชอบน่ะ ดูแล้วชอบตามด้วย ของขึ้นชื่อที่ชิคาโก และมินลิเนียลปาร์ค แถมคนให้ดูด้วย อิอิปิดท้ายด้วยสองหนุ่มในเรือใบ หากขอกระโดดลงไปเรือจะล่มไหมหนอ ขอบคุณค่ะ ขอจบแค่นี้
หวัดดีเพื่อนๆ บล๊อกนี้กะว่าเอาไว้โพสเรื่องที่เราไปเที่ยวมา
อันนี้คือลิงค์ เวป ยาฮูโฟโตที่เก็บภาพไปเที่ยวและ ที่มาเรียนจ้า