Episode07:ความรู้สึกเมื่อจะได้กลับบ้าน

Episode 07: ความรู้สึกเมื่อจะได้กลับบ้าน

… เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องกลับบ้าน ระหว่างที่นอนรอที่เตียงนั้น ผมมองเตียงรอบตัวอีกครั้ง มองทั้งป้าๆลุงๆ รวมถึงคนอื่นๆ ที่เขาอาจต้องนอนอยู่ต่อ แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าการได้ออกไปเร็วกว่าพวกเขาเหล่านั้น หมายถึงการที่ร่างกายผม มันจะกลับไปเป็นปกติเหมือนเดิมเร็วกว่าพวกเขาเหล่านั้นหรือไม่ หรือระดับความทุกข์ที่เราเจอนั้น ใครทุกข์น้อยหรือมากกว่ากัน เพราะจิตใจคนเรามันแข็งแกร่งไม่เท่ากัน แต่ที่แน่ๆคือจิตใจผมตอนนั้น มันอ่อนแอและเปราะบางมากจริงๆ จนพร้อมที่จะแตกสลายได้ในทุกเวลา 

..จากนั้นก็ถึงเวลาที่ได้กลับบ้าน เมื่อพยาบาลเตรียมตัวผมเสร็จแล้ว 7ก็เข็นเตียงผมออกไปหน้าห้อง เมื่อนั้นผมก็ได้เห็นคนที่รักผมทุกคนรอผมอยู่ด้วยความหวัง มันเป็นความรู้สึกที่ปีติยินดี เหมือนได้รับพลังงานความรักที่บริสุทธิ์จากทุกๆคนจริงๆ คนที่มาวันนั้นมีทั้งภรรยาที่รักผม คุณแม่และเพื่อนพี่น้องในความเชื่อที่ศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า มันคือความทรงจำดีๆที่ผมจะจดจำมันไว้เพื่อเป็นพลังในยามท้อแท้ต่อไป

???? พลังแห่งรักนั้นมันช่วยจิตใจได้มากมายจริงๆ จากนั้นผมก็นั่งรถกลับบ้าน โดยพี่น้องในความเชื่อมีจิตอาสาขับรถพาเคลื่อนย้ายร่างกายผมที่มีสภาพเหมือนมีชีวิตแค่ครึ่งซีกส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย ขอบคุณจริงๆครับ????

✍️ Write By Heavy ✍️




Create Date : 25 มิถุนายน 2568
Last Update : 25 มิถุนายน 2568 16:26:50 น.
Counter : 69 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
Episode06: สับสนกับความรู้สึกดีใจหรือเสียใจ

Episode 06: สับสนกับความรู้สึกดีใจหรือเสียใจ

… วันนั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์ เป็นวันที่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าให้ผมกลับบ้านได้แล้ว เป็นวันอาทิตย์แรกในรอบหลายปีเลยทีเดียว ที่ผมจะไม่สามารถใช้ทักษะพรสวรรค์หรือของประทานที่เรามีด้านการเล่นเครื่องดนตรี เพื่อจะทำกิจกรรมนมัสการพระผู้สร้างด้วยเสียงเพลงตามพิธีกรรมในคริสตจักร หรือใช้มันเล่นเพื่อผ่อนคลายสร้างความสุขให้กับตัวเอง รวมถึงหารายได้เพิ่มจากมันได้อีกแล้วในตอนนี้ ซึ่งมันคือความเจ็บปวดอีกอย่างหนึ่งมากเลยทีเดียว แน่นอนว่าสามวันที่ผ่านมามันคือความทุกข์ความเจ็บปวดหนักที่อยู่ภายในจิตใจเรา จนเราร้องไห้มันออกมาภายในใจโดยที่มีแค่เราที่ได้เห็นน้ำตานั้น จนเวลาล่วงผ่านไปถึงช่วงบ่าย ก็ถึงเวลาที่ผมจะได้กลับบ้านแล้ว ในใจตอนนั้นมันสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ว่าเรากำลังที่มีความรู้สึก ดีใจหรือเสียใจกันแน่ ผมใคร่ครวญคิดและเข้าใจในความรู้สึกดีใจว่า เราดีใจที่จะได้เจอหน้าคนที่เรารักและคนที่เขารักเรา เราดีใจที่ได้กลับไปอยู่ที่บ้านของเราสักที แต่ในขณะเดียวกันเราก็รู้สึกเสียใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้น และมีความทุกข์ในสิ่งที่เราต้องรอเจอในอนาคตเรื่องของร่างกายเรา

12ผมเคยบอกสอนสิ่งดีๆกับผู้คนมากมายในเรื่องความทุกข์ใจของพวกเขา ให้พวกเขามีความเชื่อความหวัง คิดบวกเข้าไว้ แต่พอตัวผมได้มาเจอสัมผัสกับมันด้วยตัวเอง ก็เข้าใจได้เลยว่า สิ่งที่เคยบอกคนอื่นนั้น ในความจริงมันทำไม่ง่ายเลยนะ

           โดยเฉพาะความทุกข์ที่มาจากโรคภัยไข้เจ็บของตัวเอง มันทุกข์อย่างแสนสาหัสจริงๆ ผมเคยอ่านเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งชื่อว่า “โยบ” ชีวิตเขาเจอความทุกข์หนักไล่มาเรื่อยๆ ตั้งแต่ความทุกข์เพราะต้องเสียทรัพย์สินเงินทองโดยไม่ยุติธรรม ต่อมาต้องทุกข์เพราะคนที่เขารักต้องตายจากไป แต่เขาก็ผ่านมันไปได้แม้มันจะยาก 7แต่ก็คงไม่ยากเท่ากับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่ตัวเองต้องเจอ เพราะดูจากจำนวนหน้าจำนวนบทที่เขียนบอกไว้ในไบเบิลนั้น ตอนพูดถึงการเสียทรัพย์สินตามมาด้วยการเสียคนรัก ถือว่าเขียนบันทึกไว้ไม่ได้ยาวเท่าไรเลย แค่บทสั้นๆเอง แต่พอถึงเรื่องความทุกข์ตัวสุดท้าย คือความทุกข์จากการเจ็บป่วยหนักของเขานั้น ปรากฎว่าในไบเบิลเขียนไว้ยาวเป็นมหากาพย์การต่อสู้ความทุกข์ของเขามากมายเลยทีเดียว


จากที่บอกไปนั้น ผมสรุปความรู้สึกในตอนนั้นของผมไม่ได้จริงๆ ว่ารู้สึกดีใจหรือเสียใจดี เอาเป็นว่าผมมีความรู้สึกทั้งสองแบบพอๆกัน ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่สับสนในตัวเองมากจริงๆแบบที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อนเลย

✍️ Write By Heavy ✍️




Create Date : 25 มิถุนายน 2568
Last Update : 25 มิถุนายน 2568 16:22:01 น.
Counter : 19 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
Episode05:สามวันสามคืนที่ยาวนาน

Episode 05:สามวันสามคืนที่ยาวนาน

…ตำแหน่งที่วางเตียงที่ผมนอนรักษาตัวอยู่นั้น มันมีนาฬิกาเข็มติดอยู่ช่วงปลายเตียงระดับระยะสายตาของผมอย่างพอดี ซึ่งทำให้ผมนั้นสามารถมองเวลามันเดินไปได้อย่างง่ายดาย ด้านหนึ่งเป็นเรื่องดี แต่อีกด้านหนึ่งก็เหมือนเครื่องมือที่ทรมานเรา เพราะเครื่องมือที่ใช้ทรมานคนเราได้ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ “เวลา” ที่ทำให้เราทุกข์จากการรอคอยบางอย่าง ทำให้เราอาจทุกข์เพราะความสุขที่เข้ามากำลังจากไปแล้ว ในส่วนของผมช่วงนั้น ผมไม่รู้ว่าการที่ผมมองนาฬิกาหมุนไปเรื่อยๆนั้น มันทำให้ผมนั้นทุกข์หรือสุขกันแน่ ใจนึงผมก็อยากจะออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับมาบ้าน อีกใจนึงก็แสนทุกข์กับสิ่งที่เราต้องเจอในอนาคตจากอาการของเราที่ทำให้เราต้องกลายเป็นคนพิการโดยไม่เคยเผื่อใจมาก่อนเลย

14ในแต่ละวันที่ผมอยู่ในโรงพยาบาล มีสิ่งที่ต้องทำกิจวัตรหลักก็คือ กินอาหาร ขับถ่าย(ต้องใส่ผ้าอ้อม) ตอบคำถามและนอนพักแค่นั้น มันอาจดูเหมือนง่ายนะ แต่มันไม่ง่ายเลยสำหรับจิตใจผม เพราะการที่ร่างกายเหลือเพียงซีกเดียว มันลำบากมากแค่อยากจะพลิกตัว การพูดตอบคำถามพยาบาล ผมต้องค่อยๆพูดให้ช้าและชัดอย่างที่สุด7 ผมมีการใช้สัญญานมือในการตอบว่าตกลงหรือโอเคแทนด้วย (เป็นทักษะการสื่อสารที่ได้มาจากการทำงานในที่เสียงดังจนคุยไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆ) อย่างน้อยทางพยาบาลเขาจะได้ประเมินอาการผมได้ว่ามีสติรับรู้และเข้าใจในภาษาทุกอย่าง

ประกอบกับวันแรกแฟนผมได้แชทมาหาแจ้งว่า ทางพยาบาลประเมินว่าผมลิ้นแข็งพูดไม่ชัด อาจกินอาหารเองไม่ได้อาจต้องเจาะคอเพื่อให้อาหารทางสายยาง13 ผมจึงต้องฮึดสู้เพื่อปกป้องร่างกายผมให้สมบูรณ์ที่สุด สื่อสารกับพยาบาลให้เขาเข้าใจมากที่สุด พยายามกินอาหารโรงพยาบาลเอง ปลอกไข่ต้มเองด้วยมือเดียว(ทักษะใหม่ในมือไม่ถนัดทำอะไรได้เยอะมาก) พยายามทำด้วยตัวเองมากที่สุด แม้ทางพยาบาลเต็มใจที่จะช่วยเหลือก็ตาม

2
แล้วความพยายามของผมก็สำเร็จ สรุปทางพยาบาลเขาแจ้งแฟนผมว่าไม่ต้องเจาะคอแล้วเขากินเองได้ ผมโล่งใจไปอีกครั้งที่ผ่านสิ่งยากไปได้อีกอย่าง (ในใจก็นึกขำๆว่า ตัวเรานี่ขนาดป่วยหนักยังต้องพยายามดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยได้จริงๆ ฮ่าๆ)
 

????…มีสิ่งหนึ่งที่ผมต้องต่อสู้ภายในอย่างมากเลย คือเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นตัวผม มันคือการที่ตัวผมนั้น โดยมากแล้วจะเป็นคนที่คอยพยายามช่วยเหลือผู้อื่น(ช่วยทางใจและทางแรงกาย แต่ช่วยเรื่องทรัพย์สินไม่ได้เพราะมีไม่พอ) แม้เวลาที่ตัวเองนั้นแย่ ก็จะไม่ค่อยขอความช่วยเหลือใคร นอกจากมันไม่ไหวหมดทางแล้วจริงๆ แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้กระทั่งอยากจะพาตัวเองไปเข้าห้องน้ำ เพื่อขับถ่ายและชำระล้างร่างกายบ้าง ทำได้เพียงให้เจ้าหน้าที่พยาบาลมาช่วยในการเปลี่ยนผ้าอ้อมแทน แน่นอนว่าความเป็นมืออาชีพของเจ้าหน้าที่ ทุกคนเขาทำให้อย่างเต็มที่และไม่รังเกียจ แต่ตอนนี้คนที่อับอายและรู้สึกสมเพชตัวเองมากๆก็คือตัวผมเอง ศักดิ์ศรีทั้งหลายที่มีมา(ในความคิดตัวเอง) มันพังทลายหมดแล้ว ผมเรียนรู้ได้เลยว่า ศักดิ์ศรีของคนเรานั้นสำคัญมากจริงๆ

แต่แม้จะมากมายเพียงใด หากร่างกายชำรุดจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 17เราก็ต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีมันไปเพื่อให้ชีวิตเดินต่อไปได้ (ให้ใจเราปล่อยมันไป) ชีวิตสามคืนในโรงพยาบาลมีกิจวัตรวนเวียนอยู่แบบนั้น เป็นสามวันสามคืนที่ในจิตใจของผมนั้น ช่างสับสน หดหู่ สับสนในอนาคตของตัวเอง ว่าการได้อยู่ต่อ หรือการได้จากไปสักที สิ่งไหนมันจะให้ความสุขกับผมมากกว่ากัน

✍️ write by Heavy✍️




Create Date : 25 มิถุนายน 2568
Last Update : 25 มิถุนายน 2568 16:21:45 น.
Counter : 112 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
Episode04:ช่วงเวลาที่คิดอะไรมากมาย
💦EPISODE 04: ช่วงเวลาที่คิดอะไรมากมาย


🌈 หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เขาจะพาผมไปที่ห้องผู้ป่วยขั้นวิกฤติทางสมอง เพื่อที่จะรักษาอาการป่วยที่ผมเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าพ้นขีดอันตรายและสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ซึ่งระหว่างช่วงเวลาที่รถนอนของผมนั้นได้ถูกเข็นไปในจุดต่างๆตามระบบที่ควรจะเป็น ทุกครั้งที่ออกมาจากจุดหนึ่งเพื่อจะไปอีกจุดหนึ่ง คนที่รักผมที่ไปในวันนั้น โดยเฉพาะภรรยาผมนั้น เธอได้รีบเดินเข้ามาหาที่รถนอนผม เพื่อจับมือส่งพลังงานความรักที่บริสุทธิ์ ให้มีพลังในการสู้ชีวิตต่อไป แน่นอนว่าในช่วงเวลานั้นผมได้รับพลังความรักเต็มเปี่ยม แต่ถ้าถามผมว่าช่วงนั้นจำรายละเอียดเหตุการณ์อะไรได้บ้าง ผมคงไม่สามารถตอบได้หรอกครับ

เพราะช่วงเวลานั้น8 ตัวผมมันดูอ่อนเพลียมากๆจากบาดแผลสดใหม่ในเนื้อสมอง และภายในใจผมลึกๆมันช่างว่างเปล่า สับสนและหวาดกลัวในความทุกข์ที่กำลังเจอในขณะนั้น รวมถึงความทุกข์ที่ผมคงจะต้องเจอต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะนานขนาดไหน


💚 จากนั้นเขาก็พาผมถึงห้องผู้ป่วยขั้นวิกฤติทางสมอง เขาเข็นรถนอนผมไปที่เตียง พร้อมเจ้าหน้าที่พยาบาลมาช่วยอีกสองสามคน เพื่ออุ้มผมจากรถนอนลงสู่เตียงนอนของทางโรงพยาบาล สักพักก็มีหมอเข้ามาซักถามประวัติเล็กน้อย แล้วก็สั่งกับพยาบาลเรื่องการดูแลเคสตัวผมเป็นอันเสร็จ ซึ่งในสถานการณ์ภายในประเทศขณะนั้น ยังอยู่ในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรน่า ทำให้ทางโรงพยาบาลมีนโยบายมาตรการป้องกัน โดยการไม่อนุญาตให้ทางญาติผู้ป่วยเข้าเยี่ยมเด็ดขาด ทำได้เพียงการโทรศัพท์เข้ามาติดต่อถามอาการในแต่ละวันเท่านั้น
15

            นั่นหมายถึงว่าหลังจากนี้ผมไม่มีโอกาสได้เห็นทุกๆคนที่รักผมและอยากมาให้กำลังใจผมในเวลานั้นได้เลย (ความเลวร้ายของการระบาดของไวรัสโคโรน่านั้น ไม่ใช่อาการของโรค แต่เป็นการที่มันทำให้มนุษย์ไม่สามารถมีปฎิสัมพันธ์กันตามปกติต่างหาก) จากนั้นเจ้าหน้าที่พยาบาล ก็ดำเนินการดูแลผมตามขั้นตอนต่างๆที่ควรเป็น 15 มีการให้น้ำเกลือกับผมพร้อมกับตัวยาลดความดันเลือดทางสายยางไปพร้อมกับน้ำเกลือ พอทุกอย่างโอเคแล้วในการดูแลที่เหมาะสม ทางพยาบาลก็ต้องไปดูแลเคสอื่นต่อไป
                                   
🙂จากนั้นผมก็นอนบนเตียง เริ่มมองสภาพแวดล้อมรอบตัวในตอนนั้น ผมได้เห็นคนหลายวัย ทั้งคนรุ่นผม วัยรุ่นหนุ่มสาว รวมถึงรุ่นสูงวัยทั้งหลายด้วย แต่ละคนก็มีความหนักหนาของอาการต่างกันไป  มีคนหนึ่งเป็นผู้ชายรุ่นเดียวกับผม อยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามเยื้องทางซ้ายของผม ดูแล้วเขานั้นปกติมาก นั่งคุยได้ตามปกติ เหมือนเขามองรอบข้างที่มีแต่อาการหนักๆแบบสงสัยว่า ทำไมตัวเขาเองต้องนอนให้ยาด้วยนะ ทุกอย่างเขาก็ปกติดี มีเพียงสายยางที่ให้ตัวยาทางน้ำเกลือเท่านั้น  ผมเดาว่าเขาอาจคงเป็นความดันสูงแบบผมก็ได้ เพียงแต่เขาอาจมาโรงพยาบาลแบบไม่ตั้งใจเพราะต้องตรวจอย่างอื่นหรือแค่ป่วยเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเขานั้นโชคดีมากๆแล้ว 17
7
ในตอนนั้นผมก็นึกถึงตัวเอง ว่าทำไมไม่มีอาการจากความดันสูงเหมือนคนอื่นเขา เช่นปวดหัวหรือเวียนหัวอะไรแบบนี้ เพราะถ้ามันมีอาการมาก่อนผมก็คงยอมมารักษาตั้งแต่ตอนปกติแล้ว ผมคิดไตร่ตรองสักพัก ก็พบและจำได้แล้วว่า ตัวผมก็มีอาการพวกนี้มาก่อนเหมือนกัน เพียงแต่ตัวผมคงไม่ได้สนใจกับมัน  คงเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาตลอดเวลานั้น ผมใช้ชีวิตมาด้วยความอดทนเสมอมา ดำเนินชีวิตแบบเชื่อในความอดทนของตัวเองรวมกับความศรัทธาด้านจิตวิญญาณแบบสุดโต่ง ส่วนตัวไม่ค่อยจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมากมายนัก รวมทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆด้วย มีขอความช่วยเหลือก็แค่นานๆครั้ง (หลักการใช้ชีวิตส่วนตัวผมคิดเสมอว่าทุกคนคงมีปัญหาอยู่แล้ว จึงไม่อยากเป็นคนที่ทำให้พวกเขาต้องมีความไม่สบายใจเพิ่มอีก ทุกคนควรรับภาระของแต่ละคนเอง)117
17

📌บางทีเจอความลำบาก ผมก็มักจะบอกตัวเสมอว่า “ฉันไม่เป็นไร” หรือไม่ก็ “อดทนนะเดี๋ยวก็ผ่านไป” ความเจ็บปวดที่ผมเจอมา ทั้งทางจิตใจและทางร่างกายนั้น ระดับความเจ็บปวดมันเลยเหมือนกับว่าไม่รุนแรง จากความแข็งแกร่งที่สะสมมา รวมกับความศรัทธาทางจิตวิญญาณที่เต็มขนาด(อาจคิดไปเองว่าตัวเองนั้นศรัทธามากพอ ฮ่าๆ) ซึ่งมันก็คงเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งเหมือนกัน ทุกคนอย่าเอาอย่างผมเลยนะครับ
✍️Write by Heavy ✍️
#เส้นเลือดสมองแตก #stroke #เมื่อฉันเป็นโรคทางสมอง #บทความ #เรื่องเล่า #แค่คิดแล้วเขียน



Create Date : 25 มีนาคม 2568
Last Update : 25 มีนาคม 2568 13:36:47 น.
Counter : 209 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
Episode03:เหมือนทุกสิ่งคงหมุนไปแต่ตัวเรากลับหยุดนิ่ง

Episode 03:เหมือนทุกสิ่งคงหมุนไปแต่ตัวเรากลับหยุดนิ่ง

💚...ห้องแรกที่ผมได้เข้าไป คือห้องสำหรับเคสฉุกเฉิน เป็นห้องที่ผมไม่เคยคิดหรือฝันเอาไว้เลยว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาในนี้ด้วยสถานการณ์เป็นผู้ป่วยหนักซะเอง

ในชีวิตของผมมีหลายครั้งที่ได้มาที่ห้องนี้ (แต่เป็นแค่หน้าห้อง) เพื่อมาให้กำลังใจดีๆให้กับญาติของผู้ป่วย หรือมาที่นี่แล้วอธิษฐานวิงวอนกับพระผู้สร้าง เพื่อส่งพลังดีๆให้กับผู้ป่วย เป็นบทบาทประจำที่ตัวผมเคยทำบ่อยๆ คือการพยายามเป็นผู้ให้ส่งพลังดีๆออกไปให้คนอื่น

แต่ตอนนี้บทบาทของผมนั้น ได้เปลี่ยนไปเป็นผู้รับพลังงานดีๆจากคนอื่นบ้างแล้ว ซึ่งผมขอขอบคุณทุกๆคนที่มาในวันนั้นจากใจจริง รวมถึงทุกคนที่แม้ตัวจะไม่อยู่ที่นั่น แต่ส่งพลังงานดีๆ อธิษฐานวิงวอนด้วยความเชื่อในทุกสิ่งที่ทุกคนศรัทธา ที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อผมอย่างใจจริง โปรดจงรับรู้ไว้ว่า ตัวผมนั้นรับรู้และสัมผัสได้เสมอครับ

7...ผมจำไม่ได้หรอกว่าได้เข้าไปในห้องนั้นนานเท่าไร แต่แน่นอนว่ามันคือห้องฉุกเฉิน นอกจากเตียงของผมแล้วยังมีเตียงอื่นๆอีก ผมจำได้ว่าผมได้เห็นเตียงนึง เป็นผู้ชายวัยกลางคน ตัวเขานอนอยู่ที่เตียง มีอาการกระตุกชักอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าเขาโดนอะไรมาหรือเป็นโรคเดียวกับผมไหม ในขณะที่อีกเตียงนึงคนป่วยนอนแน่นิ่งสนิท โดยมีเจ้าหน้าที่พยายามช่วยกันปั้มหัวใจอยู่ ซึ่งผมจำไม่ได้และไม่สนใจเลยว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันนะ

ในจิตใจผมตอนนั้น มันไม่ได้รีบเร่งอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองในตอนนั้น ต้องการยังไงกันแน่จากสิ่งที่เกิดขึ้น

ว่าอยากให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อหรืออยากที่จะจากไปดี (ซึ่งน่าจะอยากจากไปดีกว่า) 17

เพราะข้างในตอนนั้นมันรู้สึกว่า 62ชีวิตของผมนี่มันช่างเหนื่อยเหลือเกิน65 สี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ต้องสู้อดทนอะไรมาก็เยอะ ถ้าได้อยู่ต่อคงต้องสู้อดทนต่อไปอีกจากอาการทางร่างกายที่ตามมา ภาวะจิตใจตอนนั้น มันเหมือนว่า ทุกสิ่งรอบตัวมันหมุนต่อไป แต่ตัวเราเหมือนกลับหยุดนิ่ง

ในตอนที่ผมนอนแล้วคิดจิตใจวนไปวนมาอยู่นั้น ผมก็มองเห็นกลุ่มคนอีกบทบาทหนึ่ง ที่รับบทบาทในการเป็น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในห้อง ทุกคนนั้นรีบเร่งเพื่อดำเนินขั้นตอนรักษาผมให้พ้นวิกฤต มีทั้งแวะมาที่เตียงผมเพื่อซักถามอาการก่อนเป็นต่างๆ ทั้งเสียบสายวัดความดันโลหิต วัดการเต้นของหัวใจ (ผมมีสติตลอดตอนที่เป็น)

ผมเห็นได้เลยว่าทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ในตอนนั้นผมก็เริ่มคิดในใจว่า ผมคงไม่ได้จากไปแล้วล่ะ คงต้องสู้อดทนในชีวิตต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อพี่ๆเจ้าหน้าที่ทุกคน (แอบผิดหวังเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้จากไป ฮ่าๆ????????)

ผ่านไปสักพักเขาก็ย้ายผมไปเพื่อทำการสแกนสมอง เพื่อประเมินรอยโรคว่าจะต้องทำการผ่าสมองหรือไม่ ซึ่งผลออกมาคือว่าผมไม่ต้องเข้ารับการผ่าสมอง เขาจึงส่งผมเป็นผู้ป่วยในเพื่อรักษาอาการที่เป็นต่อไป…

????หมายเหตุ????

??‘?ตรงนี้หลายคนเข้าใจผิดว่าเมื่อเป็นต้องถูกผ่าตัดทุกคน พอหมอไม่ผ่าให้ก็ไปตำหนิหรือต่อว่าพวกคุณหมอเขาเพราะไม่เข้าใจจริง ซึ่งผมอยากจะบอกว่าถ้าไม่ต้องผ่าตัด ที่จริงคุณต้องดีใจต่างหาก ที่คุณโชคดีกว่าอีกหลายคนที่ต้องผ่าตัด เพราะจากการที่ผมศึกษาภายหลังได้เข้าใจว่า ที่ทางแพทย์เขาตัดสินจะผ่าตัด เพราะว่าเคสของคุณยังไม่ชัดเจนระหว่าง อาการหนักกับอาการเบา


101เขาจึงเลือกทำการผ่าตัดเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของคุณนั่นเอง คือว่าถ้าอาการหนักมาก เขาก็จะไม่เสี่ยงที่จะทำการผ่าตัด เพราะมันจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น หรือถ้าอาการเบาไม่รุนแรงก็ไม่จำเป็นต้องผ่าให้คนป่วยต้องเจ็บตัวและเพิ่มความเสี่ยงจากอาการแทรกซ้อนต่างๆอีก ร่างกายเราไม่มีแผลคือดีมากแล้ว

✍️ Write by Heavy ✍️




Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2568
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2568 11:38:14 น.
Counter : 163 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
1  2  

Heavystrokeman
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



�ทุกสิ่งที่อยากบอก ทุกสิ่งที่เรารู้ ทุกความสุนทรีย์ของโลกใบนี้�