Life isn't measured by the number of breaths we take, but by the places and moments that take our breath away.
Group Blog
 
All Blogs
 

หัวใจของแม่.. สะกดคำว่า" ท้อ" ไม่เป็น

คุณแม่มือใหม่มีลูกแฝด งานนอกบ้านก็ต้องทำ เรียกว่า มือก็ไกว ดาบก็แกว่ง .. หนำซ้ำยังหาแหล่งประโยชน์ที่เป็นที่พึ่งเพื่อแบ่งเบางานให้อุ่นใจเบากายไม่ได้ สภาพแวดล้อมทางกายที่อ่อนแอ ทำให้หัวใจของผู้หญิงคนหนึ่ง พาลจะยอมแพ้..

ขบวนรถไฟแห่งความคิดที่สุมเชื้อของความน้อยใจในโชคชะตา ดูเหมือนว่า จะขับเคลื่อนต่อไปอีกยาวนาน จนแม้แต่ใจเจ้าของก็ยังกลัวใจของตัวเอง เธอไขว่คว้าขอกำลังใจเพื่อจะได้ยืนเป็นเสาหลักให้ลูกๆไปได้นานๆ

...ลูกสาวคู่แฝดพึ่งอายุ 5 เดือนเท่านั้นเอง

***************************************************

ในสภาพของคนเป็นแม่นั้น ไม่ว่ามองมุมไหนก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเสมอนะคะ ถ้ามองว่า การเป็นแม่เป็นอาชีพหนึ่งของผู้คน ก็เป็นอาชีพที่สำคัญที่สุด เพราะชี้ความเป็นความไปของอนาคตทั้งกับตัวเองและครอบครัว ถ้ามองเป็นประสพการณ์ชีวิต ก็เป็นประสพการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้ามองว่า เป็นภาระหน้าที่ก็เป็นภาระที่จำเป็นที่สุดในการสะท้อนคุณค่าการมีชีวิตอยู่ของผู้หญิงคนหนึ่ง

เพราะความที่การเป็นแม่นั้นมีอำนาจและคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ สามารถชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตของคนที่เกิดมากับเรา ดังนั้นความรับผิดชอบจึงใหญ่ยิ่ง ปัจจัยที่จะสนับสนุนให้คุณแม่เดินไปถึงเป้าหมายนั้น ระหว่างทาง...คนเป็นแม่ต้องยอมลงทุนนะคะ ลงทุนทั้งกำลังใจ ลงทุนทั้งความคิดและสมอง ลงทุนด้วยชีวิต และเดิมพันด้วยอนาคตของตัวเอง

และที่สำคัญก็คือ ...ต้องสะกดคำว่า ท้อแท้...ไม่เป็นด้วยอีกต่างหากนะคะ...

คุณค่าของความเป็นแม่อยู่ตรงการถ่ายทอดบุคคลิกและความคิดของเรา เป็นมรดกให้แก่ลูกๆของเราเอง ถ้าเราเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักคำว่า เหน็ดเหนื่อย เป็นคนแกร่ง เป็นคนที่มีมุมมองต่างๆของชีวิตเป็น ลูกๆของเราจะเห็นและรับมอบสิ่งนี้ผ่านเราไป เพราะเราอยู่กับลูกของเราทุกวัน เขาซึมซับความคิดเห็นและตัวตนของพ่อแม่ไปเป็นตัวเขาด้วนส่วนหนึ่ง ดังนั้น เวลาที่เหนื่อย เวลาที่ท้อ ขอให้คิดถึงลูก...ที่คุณรักนะคะ

ให้คิดว่า เขาจ้องมองเราอยู่ การคิด การพูด การกระทำ สายตาท่าทางของเรา ลูกกำลังเลียนแบบ กำลังหัดเรียนรู้จากเรา .. พอคิดอย่างนี้ได้ คงพอมีกำลังใจให้คุณแม่ยิ้มออกและสู้ต่อไปกับชีวิตได้ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆนะคะ

พอจะเหนื่อย พอจะร้องไห้ เวลาที่เจออุปสรรคใดๆ คุณแม่จะสะกดมันไว้ได้ ให้ความรู้สึกมันละลายไปเป็นเพชรในใจของเรา เพราะสำหรับลูกๆแล้ว แม่เป็นวีรสตรีที่เก่งที่สุดของลูกๆ ถ้าแม่ยังยิ้มได้ ใจยังสู้ไหวอยู่เสมอ ลูกๆก็จะได้นิสัยของการต่อสู้และแกร่งเหมือนที่คุณแม่เป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ลูกๆของคุณเมื่อโตขึ้น จะได้มีชีวิตอยู่บนโลกที่ต้องดิ้นรนนี้ได้อย่างสง่างาม เพราะได้ภูมิคุ้มกันจากแม่ของเขา ซึ่งถ่ายทอดให้เขาในทุกวินาทีที่ได้เติบโตขึ้นมา....

คนเป็นแม่นั้น มีกิริยาอันรู้จักชีวิตตามความจริงที่โหดร้าย แต่ยังคงยืนอยู่บนโลกได้อย่างงดงามและมั่นคง แม้แต่ภูเขาที่ว่าใหญ่จึงยังโค่นลงได้ ด้วยศิโรราบต่อหัวใจของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ผู้ไม่เคยหยุดพักเพื่อตัวเอง และทำแต่สิ่งดีงามเพื่อส่งมอบลูกๆที่มีคุณภาพให้แก่โลกและแผ่นดินนี้

อย่าลืมนะคะ.. คนเป็นแม่ ไม่รู้จักคำว่า ท้อ สะกดคำว่าเหนื่อยไม่เป็น กำลังใจของคนที่เป็นแม่นั้นไม่เคยหมด ลุกโชนเป็นอมตะทั้งกลางวันและกลางคืนเสมอคะ..

******************************************************

ในฐานะของคนที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กๆ ขอแนะนำให้มีที่พักในถิ่นแวดล้อมที่ไม่เป็นพิษต่อกายและใจของเด็กๆ เพราะการกระทำนั้นเสียงดังชัดกว่าการพูดอบรมคนเสียอีกนะคะ เด็กๆนั้นซึมซับสิ่งรอบตัวเพื่อหล่อหลอมความเป็นตัวเองในอนาคตมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ดังนั้น ทุกวินาทีของสิ่งแวดล้อมล้วนมีผลกับพฤติกรรมของเด็กๆในวันข้างหน้า

ย้ายออกจากที่คุณแม่คิดว่า ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมอันสร้างสรรค์ของลูกๆก่อนดีไหมคะ พอตั้งหลักได้เพราะใจลดความกังวลตรงนี้ไป ความเหน็ดเหนื่อย ความท้อแท้ที่มีอาจหายไปมากกว่าครึ่ง เพราะปัจจัยความเครียดไม่มี

... อย่าลืมนะคะ ถ้าใจไม่เหนื่อยเสียอย่าง บางทีการเหนื่อยกายก็กลายเป็นเรื่องเล็กกระจิดริดไปเลย เวลาก็ผ่านไปเร็ว ....ลองนึกถึงตอนที่หัวใจเราเบาสบาย เพราะมีความสุขสิคะ ตากแดดเปรี้ยงๆก็ยังรู้สึกว่าเย็นฉ่ำ ของหนักบนบ่าก็ยังเบาราวปุยนุ่น

แต่ถ้าใจมีความเครียดกังวลอยู่แล้ว ต่อให้เดินตัวเบาๆ ไม่มีอะไรต้องแบกต้องหาม เดินๆไปแค่คนทักสะกิดเข้าหน่อย ก็แทบจะขาอ่อน พาลเป็นลมเป็นแล้งเอาได้เสียตรงนั้นทีเดียว ทั้งๆที่เขายังไม่ได้สัมผัสเราแม้แต่ปลายนิ้วก้อยเสียด้วยซ้ำไป

บ้านพักข้าราชการนั้น อย่างไรเสียก็ยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าปัจจุบันหรือเปล่าคะ บางทีไปอยู่ตรงนั้นแล้ว เมื่อใจเบาสบายไปเปลาะหนึ่ง อาจพอเห็นลู่ทางอื่นๆที่จะแก้ไขอะไรๆอีกได้มาก อาจได้เจอข้าราชการที่หัวอกเดียวกัน ถึงแม้เขาไม่มีลูกแฝดอย่างคุณ แต่เขาอาจมีภาระของการเลี้ยงลูกหลายคนในวัยไล่เลี่ยกัน อาจได้แง่คิดอะไรหลายๆอย่าง ได้ข้อมูลเรื่องที่ตัวคุณกำลังมองหาอยู่นะคะ

เวลาคุณแม่มองตัวเองในกระจก อย่าลืมยิ้มให้กับผู้หญิงคนนั้นในกระจกด้วยทุกครั้ง เพราะโลกใบนี้จะหัวเราะกับเราได้ทุกเวลาที่เรายิ้ม แต่ถ้าเราร้องไห้ โลกใบนี้จะหมดความสว่าง เพราะความเศร้าในหัวใจนั้น มีอำนาจครองงำทุกอย่างรอบตัวเอาไว้จนหมดได้ ไม่เว้นแม้แต่โลกใบนี้ที่คุณกำลังยืนอยู่ ...รวมทั้งโลกในใจของลูกคุณด้วยที่จะมืดสนิท เพราะคนเป็นแม่ลืมจุดคบไฟแห่งความหวัง ลืมความเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ที่ต้องเป็นต้นแบบให้กับเด็กๆ..

เวลาคุณแม่จะบ่น จะร้องไห้ จงร้องไห้ให้เบาที่สุด หัดยิ้มด้วยน้ำตา ด้วยหัวใจที่เปี่ยมความรัก และพร้อมจะมอบให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง แม้ว่า ต้องกลั่นออกมาจากก้นบึ้ง ต้องสกัดคัดคั้นมันออกมาจากลมหายใจเรา .

... ก็ไม่ใช่ด้วยประการทั้งปวงนี้หรือคะ ความรักจึงได้ชื่อว่า การเสียสละ และความรักของแม่จึงได้ชื่อว่า

เป็นความรักของผู้ประเสริฐที่มีแต่ให้ เป็นบ่อน้ำทิพย์ที่ตักได้ไม่สิ้นสุด

แม่เป็นหนึ่งในพระอรหันต์ที่ลูกต้องกราบไหว้ด้วยชีวิตทั้งชีวิต ก็เพราะความเป็นแม่นี่แหละนะคะ...




 

Create Date : 04 เมษายน 2549    
Last Update : 4 เมษายน 2549 22:38:31 น.
Counter : 437 Pageviews.  

ความรักต้องเคียงคู่กับความรู้







เดี๋ยวนี้ คนบ่นไม่พอใจเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย แต่บางครั้ง เราก็ลืมไปว่า การแก้ปัญหาให้ตรงจุด ยิ่งเรื่องสำคัญ...เราจำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นตัวตั้งตัวตีหลักอยู่ด้วยเสมอ ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นการกล่าวโทษผู้อื่นไปเสียโดยไม่เจตนา ..ซึ่งไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย กลายเป็นผู้แพ้ที่ค้าความต่อกันด้วยอารมณ์เพียงอย่างเดียว

ชีวิตเดียวที่เรามี ควรหรือที่จะเอามาพัวพันกับความวุ่นวายอันเก็บเกี่ยวสิ่งมีค่าอันใดมิได้เลยแม้แต่น้อย...

วันก่อน..ไปเจอเรื่องพ่อแม่ที่ขุ่นใจกับ nursery ของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ...ฟังแล้วก็เข้าใจถึงความช้ำในหัวอกของคนเป็นพ่อแม่ที่รักลูก อยากให้เขาดูแลลูกเราอย่างดี แต่บางทีพ่อแม่ก็ต้องฉุกคิดอะไรบางอย่างบ้างเหมือนกัน

...บางครั้งพ่อแม่ก็ฉลาดขึ้น และสามารถเรียนรู้ประสพการณ์ชีวิตอันมีสาระได้ โดยผ่านการให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้าตัวเล็กนี้แหละ บางครั้งเราก็สอนลูกในบางเรื่อง แต่บางเรื่องชีวิตลูกก็สอนเราเหมือนกัน สอนให้เราเห็นสิ่งที่เป็นสัจจธรรมของชีวิต สอนให้พ่อแม่ได้ดำรงตนในฐานะของการเป็นอรหันต์ที่แท้จริงของลูก เพื่อให้ลูกๆได้กราบไหว้ด้วยความเคารพบูชา และภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่.

-----------------------------------------------------------------------

".......................ลูกกับเงินทอง อะไรสำคัญกว่ากัน ถ้าลูกสำคัญกว่าเงินทอง ก็ต้องทบทวนด้วยว่า ขนาดเงินทองที่สำคัญน้อยกว่า เรายังไม่ไว้ใจให้ใครถือได้ง่ายๆเลย แต่ทำไม ลูกที่เราว่าสำคัญกว่า เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทำไมยอมให้ไกลหูไกลตา ทำไมยอมให้คนอื่นเอาไปเลี้ยงแทนเรา ทำไมยอมห่างลูกเพื่อไปหาเงิน ทั้งๆที่ลูกมีค่ายิ่งกว่าเงิน ยิ่งกว่าทองที่เรามีทั้งหมดในชีวิตเรา

ลูกของเรา เรายังเลี้ยงเองไม่ได้ด้วยความจำเป็นต่างๆ แล้วมีหรือที่คนอื่นเขาจะเลี้ยงลูกเราได้ดีกว่าหรือดีเท่ากับที่เขาเลี้ยงลูกเขา ที่เขามาเลี้ยงลูกเราก็ด้วยความจำเป็นเหมือนกัน ดังนั้นหวังได้ยากที่จะให้เขามาเลี้ยงลูกเราได้ดีดั่งที่เราหวัง ถ้าอยากได้ดีอย่างที่เราหวังก็ต้องจ้างเขาด้วยเงินสูงมากๆ ซึ่งเราก็จะไปวนเวียนอยู่กับการหาเงินเพื่อมาจ่ายค่าเลี้ยงลูกเราอีก เรียกว่า สับสนวุ่นวายกันไปหมด

ตัดปัญหาทั้งหมดให้ง่าย ด้วยการเลี้ยงลูกด้วยตนเอง ถ้าเลี้ยงไม่ได้ ต้องระงับความอยากมีลูกไว้ก่อน เพราะไม่มีใครมีความสุขเลยทั้งตัวเราและเด็กที่เกิดมา เผลอๆจะต้องถูกลูกที่เกิดมาแต่เราไม่ได้เลี้ยงอย่างใกล้ชิด มานั่งกล่าวหาเราอีก ลำเลิกตัดพ้อว่า เราไม่สามารถให้เขาได้เรื่องวัตถุเงินทอง ถึงตอนนั้นคนเป็นพ่อแม่ต้องมานั่งน้ำตาตกเสียใจต่อคำกล่าวหาของเด็กที่ไม่ได้รับการอบรมเรื่องความเคารพ การมีสัมมาคารวะ

แต่ถ้าเราพร้อมทางจิตใจที่จะมีลูก เรื่องเงินทองไม่สำคัญ เพราะเราจะทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงใจ เสียสละอบรมเขาด้วยความใกล้ชิดเอง ลูกอยู่ในการดูแลกำกับของเราเต็มที่ โอกาศที่เด็กจะผูกพันเคารพพ่อแม่จะมีมากกว่า เรียกว่า เลี้ยงลูกมาด้วยมือตัวเองแล้วเมื่อเขาเติบโต เราก็จะชื่นใจในผลงานของเราได้มากกว่า ความเสี่ยงในปัญหาต่างๆก็จะน้อยกว่าอีกด้วย... การมีลูกต้องพร้อมที่จะเป็นชีวิตที่เสียสละด้วยใจประเสริฐ และด้วยเหตุนี้แล พ่อแม่จึงได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ของลูก ...

มีความรักลูกแล้ว ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องลูกด้วย จึงจะได้ชื่อว่า เราเลี้ยงลูกเราเป็น."




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 4 เมษายน 2549 22:28:58 น.
Counter : 236 Pageviews.  

คนจีนหรือคนไทย?






 

วันนี้เจอกระทู้ถามในพันทิพย์ว่า ....คนไทยโดน จีนกลืนชาติแล้วหรือเปล่า... อ่านแล้วเกิดอยากระบายความในใจ เพราะบังเอิญว่า รู้ในพื้นเพเก่าของบรรพบุรษ อีกทั้งเข้าใจในจุดที่ตัวเองยืนอยู่อย่างชัดเจน จึงพอมีสะพานความคิดเชื่อมต่อสองวัฒนธรรมนี้ได้.... ในฐานะของปัจเจกบุคคล

--------------------------------------------------------------------------

ต้นตระกูลเล่ากันมาเป็นทอดๆว่า ตอนที่มาถึงแผ่นดินไทย พอเก็บหอมรอมริบได้บ้าง อยากเป็นชาวนาก็เป็นไม่ได้เต็มตัวดอก เพราะมีกฎหมายห้ามการครอบครองที่ดิน ทั้งๆที่ตอนอพยพมาก็อยากทำอาชีพทำนา เพราะก็ทำมาแต่ดั้งเดิม จึงมีความถนัดอยู่บ้าง ซ้ำเห็นว่า แผ่นดินไทยมีดินและน้ำอันอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นการเป็นชาวนา จะไม่มีวันอดตาย แต่สมัยนั้น ถ้าจะทำนาจริงๆ แม้แต่เช่าที่นาก็ยังยาก อาจถูกเพ่งเล็งและค่าเช่าที่ดินก็แพงโข คนจีนแบบเสื่อผืนหมอนใบ จะไปหาเงินได้ที่ไหน

อยากจับเสือมือเปล่าด้วยการทำงานในสิ่งที่ตนถนัด เช่น ตัดผม เพราะลงทุนด้วยเงินทองส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็อาศัยฝีมือของตนเอง ก็ทำไม่ได้ อยากเป็นทหาร ตำรวจ ก็สมัครไม่ได้ กฏหมายไทยห้ามไว้หมด ดังนั้น ที่ต้องมาเป็นพ่อค้าคนกลางก็ด้วยความจำเป็น เพราะไม่มีอาชีพไหนเลยที่เอื้ออำนวย แต่การเป็นพ่อค้าคนกลาง ทุกอย่างต้องเริ่มต้นด้วยเงินทองเป็นหลักเพียงอย่างเดียว จำต้องหมุนเงินให้เป็น หลักการจึงต้องเริ่มที่ความซื่อสัตย์ ความประหยัด ความกตัญญูรู้คุณคน ความอ่อนน้อม เพื่อให้มีเครดิตแก่ตนเอง มีความน่าเชื่อถือ เกิดความไว้วางใจกับคนที่เราทำการค้าด้วย แล้วยังต้องอดทน ต่อให้แพ้ ต่อให้ท้อแต่ยังไงก็ต้องลุกขึ้นมา เพราะไม่เช่นนั้น วันรุ่งขึ้น ทุกอย่างอาจหายไปในพริบตา ข้าวอาจไม่มีกิน ลูกเมียอาจต้องอด

ท่านเล่าว่า เวลาโดนกลั่นแกล้ง โดนเอาเปรียบ ก็ต้องข่มใจยอมรับ กินข้าวไปน้ำตาก็กลืนลงท้องไปด้วย ทุกวินาทีมีค่าเกินกว่ามาเสียเวลานั่งพร่ำบ่นในความอับจนแห่งโชคชะตา บางทีรับเงินลูกค้ายังต้องแอบใช้หลังมือเช็ดน้ำตาเวลาเก็บเงินลงกระเป๋า เพื่อระบายความทุกข์ที่อัดอั้นในใจให้พอเบาบางลงไปได้ การยิ้มทั้งน้ำตาเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องทำให้ได้

อยากบอกเจ้าของกระทู้ว่า ไม่ใช่ว่าคนจีนทุกคนในกาลก่อนหน้านี้ ที่อยากเป็นพ่อค้าคนกลาง เพราะสมัยนั้น เขาไม่ได้คิดว่า เขาจะรวยจากการเป็นพ่อค้าคนกลางเลย เขาพกความน้อยใจเสียใจที่ต้องจากแผ่นดินเกิด ต้องมาอดทนระกำลำบาก ต้องมาปรับตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ความที่แผ่นดินแม่ของเขาไม่เอื้ออำนวย เขาจำเป็นต้องมาเสี่ยงตายเอาดาบหน้า

พอเขามาแผ่นดินไทย อะไรๆที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเลวร้ายอย่างไร เขาก็มองว่า ยังไงเสียก็ยังไม่อดตาย ยังพอดิ้นรนให้ชีวิตมีลมหายใจผ่านไปได้แต่ละวัน เขาจึงรักเมืองไทยเหมือนลูกที่รักแม่คนที่สอง เพราะยากดีมีจน เขาก็ได้อาศัยแม่คนที่สองนี้ ที่แม้ไม่ได้ให้กำเนิดมาก็จริง แต่ก็ให้ข้าวให้น้ำมาจนเติบโตมั่นคง จนเขามีชีวิตสืบตระกูลต่อมาได้ถึงลูกถึงหลาน

อาม่าเล่าเปรียบเทียบเสมอว่า ถ้าแม่ให้กำเนิดเรา กับแม่ที่เลี้ยงดูอุ้มชูเรามา หากต้องเลือกเสียแล้ว แม่ที่เลี้ยงเรามาด้วยความเมตตานั้น ต้องมาก่อน เพราะแม่ที่ให้กำเนิดเราเลี้ยงเราให้มีชีวิตเพียงเก้าเดือน แต่แม่ที่เราอาศัยข้าวน้ำท่านนั้น เลี้ยงเรามานานกว่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะมีชีวิตบนโลกใบนี้เพียงเก้าเดือนเท่านั้น

โดยส่วนตัว ทุกวันนี้แม้อยู่ใช้ชีวิตต่างแดนที่ต้องเจอกับคนจีนที่มาจากประเทศอื่นๆต่างๆทั่วโลก ก็บอกเขาแค่ว่า ฉันนี้มีแค่โครงร่างภายนอกแบบคนจีนเท่านั้น แต่ฉันเป็นคนไทยด้วยเลือดเนื้อ ด้วยใจและความคิดทั้งสิ้น หายใจอยู่บนแผ่นดินไทย บรรพบุรุษของฉันล้วนเลือกฝังกระดูกบนพื้นที่สยาม ดังนั้น แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินแม่ของฉัน ชีวิตของฉันไม่มีและไม่เคยมีแผ่นดินอื่น
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 4 เมษายน 2549 22:17:53 น.
Counter : 541 Pageviews.  


greenery
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




If you can't live with someone who you love,please love someone who you live (with).
Friends' blogs
[Add greenery's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.