|
...มาแว้ว มาแว้ว บทสัมภาษณ์ครูเคท (2)...
สวัสดีครับ ต้องขออภัยที่หายไปหลายวันครับ จริงๆ แล้ววันพฤหัสบดีได้ทำการ update blog ไปแล้วครับ แต่ว่ามัน update ไม่ได้น่ะคับ
วันนี้ก็เลยมา update ตั้งแต่เช้าเลยครับ
มาต่อกันเลยนะครับ
หมายเหตุ : ความเดิมตอนที่แล้วอ่านได้ที่นี่ครับ อิอิ
อ่านเหมือนเดิมน่ะคับ ตัวปกติคือคุณนารากร ตัวหนาคือครูเคทครับ
โดยที่ไม่ได้เรียนเลย ไม่มีพื้นเลยค่ะ เริ่มใหม่เลย สิ่งที่มาสังเกตุได้จนถึงทุกวันนี้คือ วันนี้เคทพูดภาษาญี่ปุ่นได้ประมาณ 20 ประโยคคือไม่เยอะหรอก แล้วก็ไม่ได้ใช้อีกเลย เพราะว่าหน้าที่การงานไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนญี่ปุ่นเลย ไม่ได้พูดญี่ปุ่นมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่วันนี้ 20 ประโยคนั้นยังอยู่ในหัวอยู่เลยค่ะ มันไม่ลืมเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้เลย
เราลองมาวิเคราะห์กันดีกว่าค่ะ ครูเคทว่าภาษาญี่ปุ่น 20 ประโยคที่เราไม่เคยใช้มันมาเลย 20 ปี แต่ทุกวันนี้ยังจำได้ เป็นเพราะอะไร เราเรียนรู้ยังไง เป็นเพราะว่าเรียนรู้มาจากธรรมชาติ เรียนมาจากการใช้งานจริง และก็เรียนรู้โดยไม่แปลไทย มันเป็นการลัดภาษาญี่ปุ่นทางตรงไม่ผ่านภาษาไทย เมื่อไม่ผ่านภาษาไทย สมองไม่ต้องทำการแปลข้อมูล เพราะฉนั้นถ้าเราพูดภาษาอังกฤษเนี่ย เราต้องคิดไทยก่อน และแปลเป็นอังกฤษ จะสังเกตุว่ามันเลยเดือดร้อน มันแปลไม่ได้มันนึกคำศัพท์ไม่ออก มันไม่รู้โครงสร้างใช่ไหมค่ะ แต่ถ้าพูดไปเลยโดยไม่ต้องคิดผ่านภาษาไทยมันกลับจะพูดออกไปได้
นี่ก็เป็นจุดหนึ่ง ที่ครูเคทนำมาใช้กับการเรียนภาษาอังกฤษ เร่มศึกษาภาษาอังกฤษจนเก่งเหมือนทุกวันนี้ยังไงค่ะ จริงๆต้องถือว่ามันเป็นความฟลุ้คมากกว่านะค่ะ เพราะว่ามันก็ไม่มีใครสอน คือตอนที่ไปอเมริกาแรกๆ เราก็เชื่อมั่นมากว่า แหมเราผ่าน LEVEL 16 มาแล้ว ปรากฏว่าวันแรกไปรายงานตัวอาจารย์คณบดี เราก็เตรียมของเรามาอย่างดี ท่องมาเลย เหมือนนางงามเลย พอไปถึงปั๊ป เราก็พูดๆที่เราท่องเอาไว้ พอพูดจบก็นั่งเงียบเพราะหมดแล้วนี่ที่เราท่องมา แล้วอาจารย์แกก็พูดไปเรื่อยๆ อาจารย์พูดไปเราก็ YESๆๆ ไปเรื่อย เรารู้คำเดียวว่า YES แปลว่าค่ะ เสร็จแล้วซักครู่หนึ่งเราก็รู้สึกว่าตายแล้ว มันฟังไม่รู้เรื่องเลย อาจารย์พูดอะไรก็ไม่รู้ แรกๆก็เดาได้คำ 2 คำ พอซักพักไม่รู้เรื่องแน่ๆก็เลยยกมือเลย EXCUSE ME I'M SORRY I DON'T UNDERSTAND WHAT YOU ARE TALKING ABOUT? CAN YOU PLEASE TALK TO MY FATHER ? ให้ครูพูดกับคุณแล้วกันเพราะคุณพ่อมาส่งอยู่หน้าห้องเรียน อาจารย์ก็ตกใจมากเลยแกก็พลิกประวัติ เอ๊ะ TOFEL GMAT คะแนนมันก็ใช้ได้ เอ๊ะรับมาได้ยังไงเด็กคนนี้ อาจารย์ก็มึน บอกแล้วว่าคะแนน TOFEL GMAT เด็กไทยเนี่ยบอกอะไรไม่ได้ เห็นไหมเรื่องสอบเราได้อยู่แล้วอีก แต่เรื่องพูดเรื่องฟังเนี่ยไม่รู้เรื่องอีกแล้ว อาจารย์ก็เริ่มพลิกประวัติใบสมัครก็เลิศ แต่รู้ไหมว่าที่เลิศเนี่ยคุณพ่อเขียน เพราะเราเขียนเองไม่มีทางเลิศอย่างนั้นหรอก มันจะมี STATEMENT OF PURPOSE ที่ว่าอยากจะมาเรียนเพราะอะไร จบไปแล้วจะทำอะไร คุณพ่อก็เขียนให้หรูเลย เพราะฉนั้นที่บอกว่าโรงเรียนรับต้องยกให้คุณพ่อเลย เพราะว่าเคทเขียนอะไรไม่เป็นไร แค่เซ็นอย่างเดียว
แล้วยังไงต่อค่ะ ก็ให้คุณพ่อมาคุย คุณพ่อก็เห็นแล้วว่าชักจะลำบากแล้ว ก็ฝากฝังอาจารย์เสร็จ พอออกจากโรงเรียนวันนั้นคุณพ่อพาไปซื้อคลาสเซ็ทเทปเลย ลูกอัดเข้าไปอัดทุกชั่วโมง แล้วซื้อเทปให้เป็นโหลๆเลย อัดเข้าไปลูก อย่าตกใจอัดเข้าไป แล้วก็เอาเทปมาฟัง พ่อก็พยายามช่วย แล้วพอคุณเดินทางกลับโรงเรียนก็เปิด เราก็อัดทุกชั่วโมงเลย เพราะฟังไม่ออกอาจารย์สอนอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย ก็อัดเทป แต่เป็นเด็กใจสู้ ไม่เป็นไรเรามีเทปเราก็อัดเทป นั่งแถวหน้าทุกชั่วโมงไม่เคยพลาด วิชาหนึ่งประมาณ 3 ชั่วโมงก็อัดเทปมา ได้มากองหนึ่งใช้เวลาแกะ 1 สัปดาห์ยังไม่เสร็จเลยค่ะของเล็คเชอร์วิชาเดียวนี่แหละค่ะ รีไวร์เทปกลับไปกลับมา แหมมันไม่สนุกเหมือนแกะเพลงนะ แกะเสร็จแล้วเล็คเชอร์เล่มหนาเตอะเลยนะ แต่เคทภาคภูมิใจมากเลยนะที่อุตส่าห์ถอดเทปมาได้ตั้ง 3 ชั่วโมงเลยนะ เสร็จแล้วเราก็พยายาม MAKE FRIEND เวลาเจอเพื่อนฝรั่ง เพื่อนฝรั่งก็ถามว่า เคทยูอัดเทปทุกชั่วโมงเลยเหรอ เราก็บอกว่าใช่ ไอถอดเทปมาด้วยนะ ยูอยากจะอ่านไหมล่ะ เพื่อฝรั่งตอนแรกก็นึกว่าสบายแล้วได้เล็คเชอร์ ปรากฏเค้าพลิกไปพลิกมาเค้าส่งคืน THANK YOU เคท
ทำไมล่ะค่ะ คือเราแกะอีท่าไหนไม่รู้เค้าอ่านไม่รู้ คือบางคำเราก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็แกะออกมาเป็นอะไรไม่รู้ บางคำฟังรู้แต่ก็แกะมั่วๆซั่วๆ
คือสิ่งที่เราฟังจากเทปบางทีเราก็ยังจะฟังไม่ชัดเจน ใช่ค่ะ คือเราแกะออกมาคนละคำอ่ะ เพราะฉะนั้นพอฝรั่งอ่านเค้าก็มึนมากเลย แล้วเค้าก็ถามว่าเคทแล้วยูอ่านรู้เรื่องเหรอ เคทก็บอกไม่รู้เรื่องแต่ไอแกะไว้ก่อน ก็ทำอย่างนี้เทอมหนึ่งคือเป็นเด็กที่ตั้งมั่นตั้งใจมาก แต่ทำไปทำมาเริ่มมองเห็นแล้วว่า เอ๊ะเราทำอะไรเนี่ย มันสูญเปล่าหรือเปล่า พอแกะไปแล้วมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ได้ช่วยผลการเรียนเลย พอเริ่มสอบวิชาแรกก็ได้เรื่องเลย วิชาแรกเป็นวิชาบริหารธุรกิจซึ่งตอนอยู่ จุฬาฯเนี่ยเรียนแล้ว และก็ได้เกรดบี ก็พอใช้ได้อ่ะ ทีนี้พอวิชานี้อาจารย์เค้าให้ลงซ้ำแล้วกัน เพราะว่าเพิ่งมาใหม่เพิ่งปรับตัว อย่าเพิ่งไปเรียนวิชายากเลย พอตอนส่งข้อสอบเคทเดินไปบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ขาอาจารย์จะตรวจข้อสอบเมื่อไรค่ะ ถ้าอาจารย์ตรวจแล้วอ่านไม่ออก อาจารย์โทรมาหาหนูนะค่ะ หนูจะไปอธิบายให้อาจารย์ฟังค่ะ อาจารย์แกก็บอกว่า คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมสอนนักเรียนต่างชาติมาเยอะ ผมชินแล้ว กับภาษาอังกฤษนักเรียนต่างชาติ เคทบอกอย่างไรก็ตามเก็บเบอร์หนูไว้ก่อน เราก็จดเบอร์ให้แกไป ในที่สุดอาจารย์ก็ตรวจข้อสอบหมดทั้งห้อง
แล้วอาจารย์แกโทรมาหาไหมค่ะ โทรค่ะ บอกว่าผมตรวจเสร็จหมดแล้วนะ กำลังจะส่งเกรด คุณมาหาผมด่วนได้ไหม พอไปถึง อาจารย์บอกว่าผมอยากจะให้คะแนนคุณนะ แต่ว่า ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร ซึ่งวิชานี้เนี่ยนะ ถามว่าเรียนรู้เรื่องไหมมันต้องรู้ซิ เพราะภาษาไทยเราเรียนมาแล้ว แล้วก็รู้เรื่องด้วยและก็ไม่ใช่วิชาที่ยาก เรียนมาแล้วรู้เรื่องทุกประการเลย แต่ว่าพอตอบข้อสอบไปแล้วเนี่ย ทำไมอาจารย์ถึงอ่านไม่เข้าใจ
ปัญหามันอยู่ตรงไหน ภาษาอังกฤษที่เราเขียนตอบไปหรือตรงไหนค่ะ เคทคิดว่าแกรมม่าเคทไม่เลวร้ายนะ เคทเขียนไปเคทก็ตรวจสอบแกรมม่าทุกครั้งนะ คือไม่ได้เขียนมั่วซั่ว แต่อาจารย์บอกว่าที่ยูเขียนมา แต่ไอไม่เข้าใจว่ายูหมายความว่ายังไง ตอนแรกเคทก็ไม่เข้าใจว่าเอ๊ะภาษาเราเป็นยังไง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ตอนนั้นเคทคิดไทยไงค่ะ คิดทุกอย่างเป็นภาษาไทยไงค่ะ
คิดคำตอบเหมือนที่เราเรียนในเมืองไทย คิดภาษาไทยก่อนแล้วก็แปลเป็นภาษาอังกฤษ ใช่ค่ะ เพราะฉนั้นแปลถูกต้อง แต่เซ้นส์นี่มันไม่ใช่ เคทจะยกตัวอย่างให้ฟัง อย่าง ฝรั่งเพื่อนเคทคนหนึ่ง ก็มาหาเคท คนนี้เค้าพูดไทยเป็น คุยกันไปคุยกันมา พอคุยเสร็จเค้าก็จะกลับมาก็บอกว่า "สวัสดีนะ เคทขอให้คุณมีวันที่แสนดี" เค้าไม่ได้พูดไทยอะไรผิดเลยนะ พูดถูกหมดเลย ถูกไวยากรณ์ไทยทั้งหมดเลยนะ แต่มันรู้สึกทะแม่งๆไหม คือเพื่อนฝรั่งคนนี้เค้าพูดภาษาอังกฤษในหัวก่อนว่า "HAVE A NICE DAY "แล้วจึงแปลเป็นไทยว่า "ขอให้มีวันที่แสนดี" เพราะฉนั้นสิ่งที่เคทตอบไปในข้อสอบไม่ได้มีอะไรผิดเลย เพียงแต่มันเป็นเซ้นส์ภาษาไทยแล้วแปลเป็นอังกฤษ มันเลยเป็นทะแม่งๆ อาจารย์ก็อ่านไปมึนไป แกก็เลยไม่กล้าให้คะแนน ก็เลยกลายเป็นว่านั่งสอบนั่งซักกันปากเปล่าอีก 3 ขั่วโมงค่ะ กว่าแกจะยอมให้คะแนน A มา
นั่นก็เป็นปัญหาที่มองเห็น คือเรารู้แล้วแหละ 1.เราไม่กล้าพูด อีกอันหนึ่งก็คือเราคิดไทย แต่ว่าสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ นี่คือปัญหาใช่ไหมค่ะ แล้วอย่างนี้เราแก้ปัญหายังไงค่ะ แก้ปัญหาแบบคนไทยเลยค่ะ คือไม่แก้ด้วยตนเอง เป็นกันทั้งประเทศแหละค่ะ เคทก็ไม่ได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง ก็วิ่งโล่เลยนะ ไปหาอาจารย์คนหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่เด็กต่างชาติมักจะไปลงเรียนกับแกเกี่ยวกับภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ แต่เคทไม่ได่เรียนไง ไปถึงก็บอกอาจารย์ขาอาจารย์ช่วยหนูหน่อยซิค่ะ หนูมีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ นี่ขนาดที่คุยกับอาจารย์นี่คุยอังกฤษหมดนะ อาจารย์แกก็มึน ภาษาอังกฤษหนูก็ดีนี่ แล้วมีปัญหาตรงไหน อาจารย์ก็บอกว่าจะให้สอนอะไร แต่เคทบอกในใจว่าไม่ใช่นะ มันต้องมีอะไรบางอย่าง ถ้าเราพูดได้เราต้องมั่นใจเหมือนภาษาไทยซิ แต่ภาษาอังกฤษที่เคทพูดออกไปถูกต้องเลยนะคะ 1.มันพูดไปแบบไม่มั่นใจ 2.ใช้เวลานานมากกว่าจะพูดจบ 1 ประโยค คิดแล้วคิดอีกแปลแล้วแปลอีก 3.ฝรั่งพูดกลับมาไม่ GET เลย แล้วต้องแปลๆแล้วแปลอีกถึงจะ GET เพราะฉะนั้นเคทมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลนะ ทีนี้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษช่วยไม่ได้ เพราะไม่รู้จะสอนอะไร ก็เอาเพื่อนฝรั่งก็ไปหาเพื่อน "JOHN JOHN CAN YOU TEACH ME SPEAK ENGLISH ?" จอห์นก็พูดกลับมาเหมือนอาจารย์เลยว่า "YOU SPEAK ENGLISH NOW"แล้วจะให้ช่วยอะไรล่ะ แล้วเคทก็ไปถามเพื่อนฝรั่งอีกหลายคนทุกคนพูดเหมือนกัน เอ๊ะ มันไม่ใช่แล้ว ทำไมทุกคนมองว่าเคทพูดได้ แต่เคทรู้ทั้งรู้เลยว่าไม่ใช่เพราะว่าเราพูดแล้วมันไม่ใช่ธรรมชาติมันผิดธรรมชาติ
แล้วครูเคทแก้ปัญหายังไงค่ะ ก็คือพอไปหาคนโน้นคนนี้มาหมดแล้ว ฝรั่งก็ช่วยไม่ได้ เพราะเค้าก็บอกว่าเราพูดได้ ครูเคทก็พูดได้เพราะเราคำศัพท์เรารู้ไวยากรณ์ เราคิดไทยแล้วก็แปล ครูเคทก็พูดได้ แต่พูดช้ามาก 2. พูดออกไปแล้วมันทะแม่งๆในหูฝรั่ง เพราะลักษณะการเรียงประโยคมันไม่ใช่ประโยคที่ฝรั่งเค้าพูดกัน ทีนี่ก็เอ๊ะ จะให้ใครช่วยดี แต่พอดีเคทไปอยู่บ้านฝรั่งแล้วก็จะมีเด็กฝรั่งคนหนึ่ง ชื่อสก็อต อายุ 10 ขวบ เคทก็เริ่มรู้สึกว่าคุยกับสก็อตเนี่ยมันสนุกดีเนอะ มันรู้เรื่องเนอะ พอคุยกับแม่สก็อตปั๊ปเริ่มเกิดอาการฟังไม่ออกอีกแล้ว ก็เลยมาสังเกตุว่า เอ๊ะ ถ้ายังงั้นลองดูสิว่า เด็กกับผู้ใหญ่ฝรั่ง เค้าต่างกันอย่างไร เคทเริ่มสังเกตุว่า เออ ที่เราเข้าใจสก็อตเพราะว่าสก็อตพูดประโยคสั้นๆ เค้าพูดกุดๆ แต่แม่เค้าเนี่ยมายาวเป็นหน้าๆกว่าจะจบประโยคหนึ่ง และประโยคของเราก็กุดๆเหมือนสก็อตนั่นแหละ เพราะเด็กความคิดยังไม่ซับซ้อนเค้าก็จะคิดสั้นๆ และพอดีเคทไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กด้วย ก็ไปเลี้ยงเด็กอายุขวบกว่าๆ ชื่อน้องเคทเหมือนกัน เราก็เริ่มสังเกตุว่าน้องเคทยังพูดไม่เป็นนะ แล้วเคทก็เลี้ยงเค้าจนกระทั่งเค้าพูดเป็น เราก็เริ่มสังเกตุว่าตอนแรกๆน้องเคทยังพูดไม่ชัดเลย เพี้ยนเลย ก็เหมือนเด็กไทยที่พูดไม่ชัด ลูกฝรั่งก็พูดไม่ชัดเหมือนกัน แล้วแม่เค้าก็ไม่เห็นสอนอะไร อย่างมีอยู่วันหนึ่งน้องเคทเค้าก็เรียก RABBIT กระต่ายในทีวี. ซึ่งออกเสียงผิดเป็น ว.แหวน คุณแม่เค้าก็ออกเสียงที่ถูกต้องให้ฟัง ครูเคทก็ อ้อ ทำไมเสียงไม่เหมือนกัน ก็แอบสังเกตุแม่ลูกเค้าคุยกัน ก็ปรากฏว่า น้องเคทแกยื่นปากงุ้มๆมันเลยกลายเป็น ว.แหวน ส่วนคุณแม่แกยื่นปากเผยอก็กลายเป็นตัว อาร์ แสดงว่าถ้าเราขยับริมฝีปากหลายๆ POSITION เสียงมันเปลี่ยนได้ ก็เลยเริ่มจับหลักจากน้องเคท จากเด็กทารกเลย ที่ดูปากแม่แล้วก็พูดตาม เค้าไม่รู้ความหมายหรอก เคทก็เลยกลับมาบ้านแล้วก็เปิดทีวี.แล้วก็เริ่มพูดตามทีวี. เหมือนคนบ้าเลย
แค่นี้ก่อนครับ ทำให้อยากติดตามหน่อยอ่ะ อิอิ
บทสัมภาษณ์ของครูเคทยังคงมีอยู่อีกนิดหน่อยครับ อย่างไรก็ติดตามกันก็แล้วกันครับ เพราะว่าในตอนสุดท้ายของบทสัมภาษณ์เนี่ยจะมีจุดสำคัญอยู่น่ะครับ 
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ  
Create Date : 20 ธันวาคม 2548 |
Last Update : 21 กันยายน 2549 16:03:06 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1289 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: undercurrent IP: 58.136.75.186 วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:12:51:09 น. |
|
โดย: วิธีใครวิธีมัน (neve ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:10:59:07 น. |
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 1 มีนาคม 2549 เวลา:17:57:56 น. |
|
โดย: P'Tok (undercurrent ) วันที่: 24 ธันวาคม 2549 เวลา:21:24:22 น. |
|
โดย: prinzessin IP: 68.162.52.124 วันที่: 12 มกราคม 2550 เวลา:9:28:41 น. |
|
|
|
|
GongA |
 |
|
 |
|