|
The Earth, The Moon, and The Star
26 พฤษภาคม 2549
The Earth, the Moon, and the Star
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว จักรวาลได้ประกอบไปด้วยระบบสุริยะมากมาย ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ต่างๆอาศัยอยู่ร่วมกันในระบบสุริยะของตน วันหนึ่งระบบสุริยะแห่งใหม่ได้เกิดขึ้นมาในห้วงอวกาศ พร้อมดาวเคราะห์ดวงหลักทั้ง9ดวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์แต่ละดวงก็มีลักษณะของตัวเอง ดาวพุธเป็นดาวที่มีขนาดเล็กมาก ในขณะที่ดาวพลูโตก็เล็กไม่แพ้กัน แต่อุณหภูมิบนดาวทั้งสองดวงนี้กลับต่างกันมากเหลือเกิน ดาวพุธและดาวพลูโตจึงเถียงกันอยู่เนืองๆว่าอุณหภูมิของตัวเองเหมาะสมแล้ว อีกฝ่ายต่างหากที่ทำไม่ถูก แต่ดาวพุธและดาวพลูโตก็ไม่เคยมีโอกาสได้เดินทางไปลองอาศัยอยู่ ณ พิกัดอวกาศของอีกฝ่ายเลย ข้อขัดแย้งของทั้งสองดาวจึงมีให้เห็นกันอยู่เนืองๆอย่างยากที่จะแก้ไข จะแก้ไขได้อย่างไรเล่า ในเมื่อดาวทั้งสองดวงถูกควบคุมโดยดวงอาทิตย์ให้เคลื่อนที่อยู่แต่ในวงโคจรของตัวเอง ข้อขัดแย้งทำนองนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับดาวพุธและดาวพลูโตเท่านั้น ดาวศุกร์และดาวอังคารก็มักจะทะเลาะกันว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมีสีอ่อนโยนหรือเข้มแดงไปด้วยฝุ่น ดาวเสาร์และดาวพฤหัสก็ทะเลาะกันว่าการมีหลุมบนตัวหรือมีวงรอบตัวดีกว่ากัน ปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถทำให้กระจ่างได้หากอาศัยเพียงมุมมองของดาวเคราะห์นั้นๆเพียงอย่างเดียว ดาวเคราะห์แต่ละดวงเกิดมาต่างกัน อาศัยอยู่ในที่ต่างกัน ลำพังเพียงความเข้าใจที่สรุปเอาเองจากพิกัดการโคจรของตัวเองจะเข้าใจเหตุผลของจักรวาลได้อย่างไร
ตอนนี้เราก็จะมามองปัญหาของโลกบ้าง ดูเผินๆโลกก็ไม่ได้มีปัญหากับใครโดยตรง ถึงแม้โลกจะแตกต่างจากดาวอื่นอย่างเห็นได้ชัดเพราะโลกเป็นดาวที่ดูมีชีวิตชีวา มีสิ่งมีชีวิต มีระบบนิเวศน์ที่ต่างออกไปจากดาวอื่นอย่างสิ้นเชิง แต่โลกไม่เคยเอาตัวเองไปเทียบกับใคร ไม่เคยตัดสินดาวอื่นจากมุมมองของตัวเอง โลกพอใจในวิถีชีวิตและบทบาทของตนในระบบสุริยะ อย่างไรก็ตามโลกก็ยังมีปัญหาจนได้เนื่องจากประวัติของโลกก่อนที่จะถือกำเนิดในระบบสุริยะ
ดาวฤกษ์ต้นกำเนิดของโลกนั้นอยู่ในระบบสุริยะอีกแห่งหนึ่งก่อนหน้าที่ระบบสุริยะของโลกจะถือกำเนิดขึ้น เมื่อระบบสุริยะแห่งใหม่เกิดขึ้น ดาวฤกษ์ก็ถูกพลังงานของจักรวาลบีบอัดจนสะเก็ดดาวส่วนหนึ่งหลุดออกและเติบโตขึ้นในระบบสุริยะแห่งใหม่ ก่อนหน้าที่จะจากกัน สะเก็ดดาวนั้นได้สัญญากับดาวฤกษ์ว่าไม่ว่าจะอยู่ห่างกันสักแค่ไหน สะเก็ดดาวจะคอยเฝ้ามองดาวฤกษ์อย่างไม่ลืมเลือน
เวลาผ่านไป สะเก็ดดาวนั้นก็ถูกพลังงานแห่งระบบสุริยะของตัวเองสร้างตัวขึ้นมาเป็นโลก โลกมีเพื่อนๆเป็นดาวเคราะห์ที่แตกต่างกันอีกแปดดวง ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีวิถีโคจรของตัวเองในระบบสุริยะแห่งใหม่นี้ ไม่รู้ว่าเหตุผลอันใดของระบบสุริยะ ดาวแต่ละดวงได้รับจัดสรรดวงจันทร์มาโคจรอยู่เป็นเพื่อน ดาวบางดวงมีดวงจันทร์หลายดวง บางดวงก็ไม่มีดวงจันทร์ ส่วนโลกนั้นได้ดวงจันทร์มาหนึ่งดวง บทบาทของดวงจันทร์กับดาวอื่นเป็นอย่างไรไม่อาจรู้ได้ แต่ดวงจันทร์กับโลกเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คอยเกื้อหนุนกัน หากโลกขาดดวงจันทร์ ระบบน้ำขึ้นน้ำลงในโลกที่เปรียบเสมือนสายโลหิตหล่อเลี้ยงร่างกายจะหยุดทำงาน น้ำจะท่วมโลก ฤดูกาลจะผันผวน สิ่งมีชีวิตต่างๆก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ ถึงแม้โลกจะคงสภาพอยู่เป็นโลกได้แม้ไม่มีดวงจันทร์ แต่โลกไม่จะมีความสุขสวยงามอย่างที่เป็น ส่วนดวงจันทร์เองก็อาศัยแรงดึงดูดของโลกคอยหลบแสงดวงอาทิตย์เป็นครั้งคราว ไม่ให้ดวงอาทิตย์แผดเผาทำลายหรือถูกดูดโดยหลุมดำขนาดเล็กต่างๆที่ลำพังเพียงดวงจันทร์ไม่อาจต้านทานได้
ในขณะที่โลกดำรงอยู่ในวิถีชีวิตของตัวเองเช่นนี้ โลกก็ไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับดาวฤกษ์เลย โลกยังคอยมองดาวฤกษ์ด้วยความห่วงใยเสมอ แต่ด้วยธรรมชาติระบบสุริยะของโลก ทำให้โลกต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์ และหมุนรอบตัวเองในขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก บางครั้งดาวฤกษ์จึงเข้าใจไปว่าโลกหันหลังให้ตนเพื่อไปมองดวงจันทร์ บางครั้งโลกก็หายไปหลังดวงอาทิตย์เสียเฉยๆเหมือนลืมสัญญา ดาวฤกษ์ไม่เข้าใจเหตุผลนี้เพราะในธรรมชาติกำหนดให้ดาวฤกษ์ไม่ต้องโคจร ไม่ต้องหมุนรอบตัวเอง ดาวฤกษ์จึงไม่เข้าใจและหรี่แสงลง อุกกาบาตซึ่งเป็นเพื่อนของดาวฤกษ์ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน อุกกาบาตซึ่งหวังดีต่อดาวฤกษ์เริ่มเป็นห่วงดาวฤกษ์ เขาจึงรับปากว่าจะไปจัดการโลกที่ลืมสัญญา อุกกาบาตเดินทางข้ามระบบสุริยะด้วยความเร็วแสงจึงไม่ทันได้พิจารณาว่าระบบสุริยะของโลกต่างหากที่กำหนดให้โลกเป็นแบบนี้ อุกกาบาตพุ่งจนดวงจันทร์จนเป็นรอย และพุ่งต่อเข้าชนโลกจนไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ด้วยแรงพุ่งชน อุกกาบาตก็แตกสลายไปด้วย โลกไม่เข้าใจอุกกาบาตว่าทำไมต้องสละชีวิตเพื่อทำร้ายดวงจันทร์เพื่อนของตนรวมทั้งทำร้ายตัวโลกเองซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดาวดาวต่างๆมองอุกกาบาตเหมือนดังผู้ร้าย อุกกาบาตเองก็เสียใจกับสิ่งที่ตนทำลงไป อย่างไรก็ตาม เมื่ออุกกาบาตมองย้อนกลับไป อุกกาบาตก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนจึงมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วไม่ยั้งคิดแบบนั้น หลายๆปัจจัยส่งผลให้อุกกาบาตเดินทางด้วยความเร็วแสง ทั้งการเผาไหม้จากดวงอาทิตย์ รูปทรงของอุกกาบาต และแรงโน้มถ่วงของโลก ทุกปัจจัยประกอบกันเป็นพลังงานตามธรรมชาติ ส่งให้อุกกาบาตเดินทางมาชนโลก
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น โลกพยายามติดต่อดาวฤกษ์เพื่ออธิบาย แต่ด้วยระยะทาง โลกและดาวฤกษ์จึงไม่อาจเข้าใจมุมมองของกันและกัน โลกบอกให้ดาวฤกษ์ลองหมุนรอบตัวเอง ในขณะที่ดาวฤกษ์บอกให้โลกหยุดหมุน แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถทำอย่างที่อีกฝ่ายเรียกร้องได้ การที่จะอยู่รอดในระบบสุริยะของตนนั้น ดาวทั้งหลายไม่อาจฝืนกฎธรรมชาติ
เรื่องราวของโลกและดาวฤกษ์ดูเลวร้ายลง ทางช้างเผือกจึงอาสาเข้ามาช่วยประสาน ทางช้างเผือกรับอาสานำข่าวสารของทั้งคู่ข้ามระหว่างระบบสุริยะเพื่อให้ทั้งคู่ได้คุยกันมากขึ้น แม้จะไม่สามารถเข้าใจระบบชีวิตของอีกฝ่ายได้อย่างถ่องแท้ แต่ทั้งดาวฤกษ์และโลกก็ได้พูดคุยกันมากขึ้น ถึงบางครั้งจะมีอุกกาบาตที่ไม่เข้าใจมากระทบเป็นครั้งคราว โลก ดาวฤกษ์ และดวงจันทร์ก็พยายามที่จะเข้าใจกัน เพราะจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ดาวต่างๆได้รู้แล้วว่า ความรุนแรงจากการไม่พยายามเข้าใจกันมีแต่จะทำให้บาดเจ็บกันทุกฝ่าย
กล่าวถึงดวงจันทร์ จากเหตุการณ์อุกกาบาตชนครั้งนั้น ดวงจันทร์จึงมีรอยแผลติดตัวมาจนบัดนี้ แต่ด้วยมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างโลกและดวงจันทร์ ดวงจันทร์ไม่ได้มองว่าตัวเองมีแผลเลย แต่กลับมองว่ารอยบนผิวของตนเป็นรูปกระต่ายที่น่ารักกำลังตำข้าว ข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักหล่อเลี้ยงโลก เพื่อนแท้ของตน นับจากวันนั้น โลกและดวงจันทร์ก็ยังเป็นมิตรที่ดีต่อกันเสมอมา หากเรามองจากมุมมองของโลกออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน เราจะเห็นทั้งดาวฤกษ์และดวงจันทร์ ดวงจันทร์ทอแสงลงมาที่โลกอย่างนุ่มนวล โลกให้ร่มเงาแก่ดวงจันทร์อย่างเพื่อนที่เกื้อกูลกัน ในขณะเดียวกัน โลกก็ยังมองไปยังกาแลกซี่อันไกลโพ้น ส่งยิ้มอย่างรักใคร่ให้ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่กระพริบแสงอย่างมีชีวิตชีวา
จากเรื่องราวของระบบสุริยจักรวาล ทำให้เราได้ข้อคิดอย่างหนึ่ง นั่นคือ ด้วยมุมมองของแต่ละคนประกอบกับประสบการณ์ที่ต่างกัน ทำให้คนเราตีความอะไรแตกต่างกัน บางครั้งการกระทำอาจเหมือนกันแต่เหตุผลเบื้องหลังต่างกัน คนเราเห็นกันแค่การกระทำ ไม่เห็นเหตุผลเบื้องหลัง จึงไม่เข้าใจกันและกัน และตัดสินกันและกันผิดไป บางการกระทำ บางคนอาจมองเป็นลบเพราะเคยชินกับระบบที่ตนถูกหล่อหลอมมาให้ตีความ แต่ในความเป็นจริง เหตุการณ์ต่างๆล้วนแฝงเหตุผลเฉพาะของตัวเอง ถ้าเพียงแต่เราพยายามเข้าใจความแตกต่างในมุมมองอื่นซึ่งบางทีก็ยากจะเข้าใจ ข้อขัดแย้งต่างๆบนโลกนี้คงบรรเทาลง
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2553 1:01:12 น. |
|
0 comments
|
Counter : 270 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|