เรื่องสั้นๆ (น่าจะสั้น)ไร้สาระ แต่มีอะไรมากกว่านั้น ต้องลองอ่านดูแล้วจะรู้ว่า มีอะไรมากกว่า(ไร้)สาระ....อืม งงมะ - -"
Group Blog
 
All blogs
 

----ถึงคราเคราะห์ ของผมแล้วหรือนี่ 2 -----

สำหรับที่ยังไม่ได้ตอนที่ 1
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=dodeedee&date=19-04-2008&group=2&gblog=8


คืนนึงผมตื่นมาตอนตี 3 ตั้งใจจะไปห้องน้ำ เหมือนปกติ แต่ อนิจา ร่างกายกลับไม่ตอบสนองกับ

แรงกระทำที่พยายามจะลุกขึ้นจากเตียง ใช่แล้ว ร่างกายผมเริ่มรู้สึกชา หลังจากทุลักทุเลลุกขึ้นมาได้ ผมต้องค่อยๆ
ลากขาไปจากที่นอน ในระยะทางไม่เกิน 3เมตรจากเตียงนอนไปห้องน้ำ แต่กลับกลายเป็นเหมือน 3กิโลเมตร

ใช่แล้ว แค่ 2เมตรแรก ผมก็ล้มลงทันที ร่างกายผมหมดความรู้สึก และกลายเป็นเพียงซากที่ยังมีชีวิตอยุ่เท่านั้น
ปกติแล้ว ผมจะต้องนอนคนเดียวในบ้านหลังนี้ แต่คืนนี้ อาจเป็นเพราะบุญเก่ายังหนุนช่วยอยุ่ วันนี้ พ่อและแม่ผมมานอนด้วย อีกห้องนึง
แม้ร่างกายผม จะขยับไม่ได้ แต่ว่า ช่วงลำคอขึ้นไปยังเป็นปกติ ผมตะโกนเรียก พ่อกับแม่กลางตี 3 ท่านวิ่งเข้ามาดู พร้อมกับตกตะลึง ที่เห็นร่างลูกชาย นอนอยุ่ตรงพื้นห้องหน้าประตูห้องน้ำ โดยมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังกระพริบ และปากยังคงเรียกเพรียกหาท่านตลอด

ผมเอง ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น คนแก่ 2คน ที่อายุรวมกัน เกิน 120 ปี
จะมีเเรงขนาดนี้ ท่านทั้ง 2 อุ้มผมขึ้นและวิ่งพาไปที่รถยนต์ทันที ไวมากผมคิด

เมื่อไปถึงโรงบาลแห่งนึงเป็นของเอกชน สิ่งหนึ่งที่บอกว่า ทำไมคนทั่วไปถึงไม่อยากใช้โรงบาลของรัฐ ได้แสดงออกมาในทันที รถที่พ่อผมขับยังไม่ทันจอดสนิทตรงบริเวณที่จอดรถฉุกเฉิน
ผมเห็นบุรุษพยาบาลคนนึง วิ่งออกมาทั้งที่ยังไม่ลืมตา(วิ่งมาพร้อมกับขยี้ตา) มาเปิดประตูรถและถามว่าต้อง
การรถเข็นไหม เป็นอะไรหรือป่าว น้ำเสียงบอกว่าห่วงใยและเต็มใจบริการ จนเรารู้สึกเกรงใจที่ไปปลุกเขาตื่นตอนตี3
รถเข็นมาจอดตรงประตูรถแล้ว แต่ผมจะลงไปยังไงในเมื่อ นอกจากคอแล้ว ร่างกายไม่ยอมฟังคำสั่ง
ของผมเลย ตอนนี้ละ ที่เห็นว่าบุรุษพยาบาล มีอีก 1คน เพิ่มมาเมื่อไรไม่รู้ ช่วยกัน อุ้ม พยุง ลากผม
ลงจากรถและไปนั่งรถเข็นจนสำเร็จ รอดตายแล้ว ผมนึก ในขณะที่รถเข็น กึ่งลากกึ่งเข็นไปนั้น พยาบาลคนนึง
ก็วิ่งเข้ามา หาถามว่าเป็นอะไรไป ผมบอกว่า ขยับตัวไม่ได้

"ทานเหล้ามาไหมวันนี้"
"ป่าว ครับ"
"แล้วเป็นยังไง บ้างตอนนี้"
"ผมขยับ ร่างกายไม่ได้เลยครับ"
"ใจเย็นๆนะคะ เดี๋ยวเรากำลังตามหมอเวร ให้อยู่คะ" ผมแอบนึกในใจ ว่าในขณะที่คนอื่นๆกำลังทำหน้าที่อยุ่
แต่คนที่สำคัญที่สุด ในการรักษา ชีวิตไข้ กลับหายไปไหนไม่มีใครรู้

ผ่านไปเกือบ 30 นาที เสียงหมอผู้ชายคนนึงวิ่งมา
" ใจเย็นๆนะคะ หมอมาแล้วคะ" ผมคิด หากผมเกิดช็อก ขึ้นมาเมื่อ 5 นาทีก่อน
ผมคงไปยมโลกและไม่ได้เจอหน้าหมอคนนี้แน่ แต่เอาเถอะ แค่ขยับร่างกายไม่ได้คงไม่ถึงขั้นนั้นแน่
และอีกอย่าง ถึงจะช้า อย่างไรก็มาแล้ว
"ไปทำอะไรมาละ" น้ำเสียงงัวเงียมาก
"ป่าวครับ นอนอยู่เฉยๆ ตื่นมาก็เป็นแบบนี้ละครับ" หลังจากนั้น หมอก็เข้ามาจับ มาลูบคลำจนหนำใจ
แล้วหมอก็ควักเอา ค้อนขนาดเล็กออกมา
"ยกขาขึ้นสิ" น้ำเสียงเริ่มดุนิดๆ
"เออ หมอครับ ผมขยับไม่ได้เลย " มั่นใจว่าผมบอกไปหลายครั้งละ -*-
แล้วหมอก็เอามือข้างนึง ยกขาผมขึ้น แล้วปล่อยมือออกซะเฉยๆ พร้อมกับบอกว่า
"ยกค้างไว้สิ อย่าปล่อยมันตก"
"หมอครับ มันไม่แรงจะค้างไว้ครับ" เสียงผมก็เริ่มหงุดหงิดละ
หมอคงเริ่มรู้ตัวละ ความรู้สึกช้าจัง หมอเอามือข้างนึงสอดมาใต้ขา ยกขึ้น และจากนั้นก็ใช้ค้อนตีตรงบริเวณเข่าผม ที้ง 2 ข้าง

คงจะด้วยความมือใหม่หรือความง่วงหรืออย่างไรไม่ทราบได้ หมอคนนี้ ระดมตีลงมาอย่างเร็ว (น่าจะใช้คำว่ารัวนะ)
และทุกครั้งที่ตี ความแรงก็เริ่มเพ่มขึ้นตามลำดับ คงหวังว่าขาผมจะขยับบ้าง
ถึงผมจะเห็น แต่ด้วยความที่ ขาผมไม่มีความรู้สึกเลย จึงไม่ได้เจ็บมากนัก ขาผมยังนิ่งอยู่
แต่พยาบาลคงทนไม่ไหว เลยบอกหมอว่า
"เออ หมอ คะ เมื่อกี้ หนูถามเค้าแล้วคะว่า ไม่ได้กินเหล้ามา และไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน"
ได้ผล หมอหยุด และทำท่าคิด คงทบทวนตำราเก่าๆ อยุ่ในใจ ผมก็คิดบ้าง
"ผมยังไม่เคยเจอเคส แบบนี้มาก่อน นอนรอดูผล สักพักนะ" หมอบอก
แล้วเดินไปที่โต้ะพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ ออกมา
ผมนิ่งอยู่ แล้วรอฟัง หรือจะโทรบอกเมียว่ากลับช้ามั้ง ผมเริ่มเครียด แต่ก็มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน

แต่สิ่งที่ผมกำลังสร้าง กับพังลงเมื่อมีเสียงหมอดังแทรกเข้ามา
"ผมไม่เคยเห็นอาการแบบนี้เลยครู" เสียงหมอคุยโทรศัพท์เบาๆ แต่ผมยังดันได้ยิน
"ผมคิดว่า อัมพฤกนะครับ "
"ต้องเจาะเลือดไปตรวจหรอครับ ตรวจอะไร" เอ้ะ มึงเป็นหมอไม่รู้ กูแอบฟังอยู่เริ่มเครียด
"ครับ"
"ครับ"
"จะลองดูครับ" อ้าวเวรละไอ้หมอ นี่มันกำลังจะเอาผมลองอะไร
สักพักนึงก็มีพยาบาลอีกคนเดินมาขอเจาะเลือด
" ยกแขนขึ้นคะ ขอเจาะเลือดนิดคะ" อ้าว อีนี่ก็บอกขยับไม่ได้ไง ความคิดผมเริ่มแรงขึ้นตั้งแต่
ตอนที่หมอจะลองดูนั่นละ
"เออ ขอโทษคะ อาจเจ็บนิดนะคะ "พยาบาลบอกและยกแขนผมคลำหาเส้นเลือด
จากนั้นจึงเจาะและดูดออกไป หลอดใหญ่ๆ
"เสร็จแล้วคะ รอหมอแปบนะคะ เดี๋ยวหมอมา "
"เออ คุณครับ แล้วหมอไปไหนหรอครับ" ผมถาม
"หมอไปล้างหน้าคะ เดี๋ยวก็มา"
" .......... "

หลังจากนั้นพยาบาลก็บอกกับพ่อและแม่ของผมว่า ห้องพิเศษว่าง 1ห้อง คะ สนใจจะพักห้องไหนคะ
พ่อผมบอก ห้องพิเศษ หมอคนเดิมก็เดินมาบอกว่า รอผลตรวจเลือด อีกสัก 2 ชั่วโมงนะ ให้บุรุษพยาบาลพาไปพักที่ห้องก่อน
เอาอีกแล้ว บุรุษพยาบาลอีก2-3 คนยกผมนั่งบนรถเข็น จากนั้น เข็นไปส่งห้อง และ ยกผมนอนลงบนเตียงใหม่ในห้อง วันนี้ เค้าคงปวดแขนเป็นแน่

ผมนอนกระดุกกระดิ้กไม่ได้ อยู่บนเตียง มีเพียงคอที่หมุนไปมาสำรวจห้อง พ่อกับแม่คงเพลีย
ท่านหลับไปบนโชฟา ข้างเตียง แต่ผมยังนอนไม่หลับ
06.00 พยาบาลเข้ามา บอกว่า รอหมอไข้หน่อยนะคะ จะมาตอน 10.00 น. คะ
ผมคิดในใจ เค้าคงกลับไปแล้วหมอ เมื่อคืน ถึงจะรู้สึกแปลก แต่ก็มีความดีใจเล็กน้อย ที่ได้ปลี่ยนหมอใหม่
" เออ คุณพยาบาลครับ ตกลงผมเป็นอะไรกันครับ"
ยิ้ม แล้วบอกว่า " ยังไม่รุ้คะ ต้องรอหมอมาดูอีกที"
".........."
-*- ผ่านมา เกือบ 4ชั่วโมง ยังไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นอะไร

ความรู้สึก หงุดหงิด พล่านขึ้นมาทันที ยังดีที่นี่มีพยาบาล สวยๆ คุยดี เสียงเพราะๆ สลับ
กันเข้ามาดูอาการแทบจะทุก 15 นาที ความหงุดหงิดจึงลดลงได้
จนเมื่อเวลา 10.00น. มาถึง หมออีกคนมาแล้ว แต่ด้วยจรรยาบรรณของคนไข้ที่ดีจึงสามารถเปิดเผยชื่อหมอคนนี้ได้

"เป็นอะไรมานะ" น้ำเสียงที่บ่งบอกว่ากูนี่ใหญ่ซะเหลือเกิน ตั้งแต่คำแรกที่ทักกัน
"นอนอยุ่ดีดี ก็ไม่มีแรงครับ" ผมพยายามแสดงความเป็นมิตรอกไป
หมอยกขาข้างนึงขึ้น แล้วปล่อยตกลงมา โดยไม่สนใจผมเลย เห็นเป็นเหมือนสิ่งของไปได้
หลังจากยกทิ้งสลับไปมาจนพอใจแล้ว ก็เดินออกไป โดยทิ้งความสงสัยไว้อีกมากมาย
ผมเป็นอะไร มาตรวจแบบนี้หรอ ไม่มีคำอธิบายอะไรเลย แค่ยกขาทิ้งแล้วเดินออกไป

12.00น. พยาบบาลเดินมาบอกว่า ผลเลือดออกมาแล้วคะ คุณไทรอยน์เป็นพิษ
อืม ผมรู้แล้วครับ ตรวจมาแล้ว
"อาจทำให้มีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง "
"แล้วผมเป็นอะไรหรอครับ"
"เออ..(นิ่งคิดเล็กน้อย) ภาวะขาดโพแทสเซี่ยมแบบเฉียบพลันและรุนแรงคะ" แค่นั้นละที่ผมอยากรู้
ว่าแต่ แล้วผมเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
"ออ เป็น อีกภาวะนึง มีผลมาจากไทรอยน์เป็นพิษนะคะ " ไทรอยน์รับเคราะห์อีกแล้ว
"แล้ว อีกนานไหมครับ ผมถึงจะหาย "
ไม่แน่ใจคะ ต้องรอถามหมอ" แล้วผมคงได้ถามหรอก มาตรวจยังไม่ถึง 2นาที ก็ไปแล้ว

บ่าย 3.00 น. หมอคนเดิม(คนใหม่)มาอีกครั้ง พร้อมกับนำยาน้ำมาใหม่ บอกว่า
"ทานให้หมด ถ้าอยากหายเร็ว"
"ยาอะไรครับหมอ"ผมถามเพราะเป็นยาน้ำ ที่ดูยังไงก็คล้าย กาวแป้งเปียก
"เป็น โพแทสเซี่ยมแบบสกัด ชดเชยที่ขาดไปนะ" ครั้งแรกที่ได้รับความรู้จากหมอคนนี้เลย
หลังจากนั้น ใน 1วัน ผมต้องทานยานี้ วันละ 3เวลา และ ต้องเติมน้ำเกลือ ตลอด ตั้งแต่เข้ามานอนในห้องนี้
ใครที่เคยเติมน้ำเกลือคง เข้าใจดีว่า ลำบากเวลาจะเคลื่อนย้ายไปไหนมากแค่ไหน
ผมเองก็เช่นกัน ทั้งที่ยังนอน อยู่ยังรำคาญกับสายน้ำเกลือตลอดเวลา ที่เห็นน้ำเกลือหยด ติ๋งๆ

ผ่านไป 1คืน
ผมเริ่มขยับ แขนได้ นั่นละที่ทำให้ผมดีใจมาก กับข้าวที่ยกมานั้นผมกินหมด ผิดวิสัยคนป่วย

หลังจากนั้นผมก็ได้เจอกับหมอคนนี้ทุกวัน วันละ 2เวลา และเวลาละ 2 นาที
ไม่เป็นไรผมคิด งานคงยุ่ง แต่ผมยังคงกินยาน้ำแบบเดิมทุกวัน พอวันที่ 2 เริ่มมียาเม็ด เพิ่มมาอีก 1เม็ด
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเบื่อยา แอบทิ้งยา ผมทานหมด เพราะว่าผมต้องการจากโรงพยาบาลนี้ให้เร็วที่สุด
มีคนมาเยี่ยมหลายคนเวลาเจอพยาบาลๆ จะบอกเพื่อนๆผมว่า ให้ซื้อกล้วยมาแทน ผมต้องกินกล้วยเยอะๆ
ถึงจะหายเร็วๆ

หลังจากนั้น ก็มีกล้วยหลายชนิด อยุ่ในห้องผม แทบจะไม่ต้องกินข้าวเลย เพราะมีแต่กล้วยเต็มห้อง
ยิ่งร้านขายกล้วยทอดอีก เรียกว่า กินจนไม่ทัน

2วันผ่านไป ผมเริ่มขยับได้แล้ว
ผมลุงจากเตียงอย่างช้าๆ มีพ่อผมคอยพยุง ผมอยากเดินได้ไวๆ เบื่อกับการนอนเฉยๆเต็มทีแล้ว
พ่อผมค่อยๆพยุง แต่ว่า พอเดินไปได้สัก 3 ก้าว ผมก้ล้มลงอีก ผมเปลี่ยนใจ สงสัยแรงขายังไม่มีเดี๋ยวอีก
สักพักค่อยลองใหม่

แล้วหลังจาก ล้มอีก 2-3 ครั้ง ผมก็พยุงยืนเองด้วยตัวคนเดียวสำเร็จ เพียงแต่ว่า
ยังเดินไม่ได้เท่านั้น ผมยืนนิ่งๆแบบนั้น 5 นาทีเพื่อทำใจ ที่จะก้าวขาเดินอีกครั้ง
ในที่สุด ผมก็เดินได้ด้วยตัวคนเดียว แม้จะช้าๆ และต้องจับเสาน้ำเกลือตลอด
นั่นทำให้ผมเริ่มเดินจนทั่วห้อง และเริ่มออกไปนอกห้อง โดยลากเสาน้ำเกลือไปด้วย
หลังจากผ่านไป 3 วัน ผมขอคุณหมอกลับไปรักษาต่อที่บ้าน
อีก 2วัน ผมถึงมาทำงานได้
เพื่อนๆต่างเป็นห่วงเป็นใย ถามกันใหญ่เลยว่า
"นี่ๆๆ ชั้นได้ยินว่า โรงบาลนี้พยาบาลสวยสุดในภาคเหนือละ ตกลงเป็นไงวะ"
"หมอก็หล่อนะเว้ยยย "
"อิจฉาวะ มีคนสวยๆมาดูแล24 ชั่วโมง"
"นึกว่าแกเป็นเอดส์ ซะอีก 555555"
"ไอ้ห่า ทิ้งงานให้กุทำเยอะเยะเลย มาแล้วก้รีบเคลียงานเก่าด้วย"
"แกได้เบอร์พยาบาลมาไหมวะ"

เพื่อนผมน่ารักจัง ผมคิด

หลังจากวันนั้นมา สิ่งนึงที่ผมต้องทำตลอดนั่นคือ ผมต้องกินกล้วยวันละ 3 ลูกเป็นอย่างน้อย
และตอบคำถามเรื่องยาลดน้ำหนัก และกาแฟ ตามด้วย ยาจาก ร.พ.อีก 2ชุด ชุดละประมาน 200 เม็ด - -.
ผ่านมาอีกหลายวัน คำถามต่างๆ เกี่ยวกับตัวผม เริ่มหายไป เพราะทุกคนคงทราบกันหมดแล้ว
แต่กับมีอีกสิ่งนึงที่ผมยังคาใจ นั่นก็คือ คนที่ปล่อยข่าวผม ในตอนนั้น คือใคร แล้วเป็นคนๆเดียวกันกับที่เอากาแฟมาขายหรือไม่
ผมอยากเจอเค้าจังเลย เพราะมีสิ่งนึงที่จะถามเค้า
" ค่าตัว ที่เอาผมไปโฆณาขายกาแฟนะ ยังไม่ได้จ่ายให้ผมเลย"
ผมไม่คิดจะเอามากหรอกนะ ขอแค่ค่าห้องพิเศษ ส่วนเกินที่ประกันสังคมจ่ายให้ไม่หมด
แต่เวลามันหักเรา มันหักทุกบาททุกสตังค์ ครบ แต่ทำไมกลับจ่ายเราไม่หมด
วันนี้ ผมยังสงสัยอยุ่ แต่ไม่เจอคนที่เอากาแฟมาขายอีกเลย และ ประกันสังคม ทำไมไม่จ่าย
ให้ครบนะ สงสัยจัง




 

Create Date : 19 เมษายน 2551    
Last Update : 19 เมษายน 2551 4:44:15 น.
Counter : 249 Pageviews.  

----ถึงคราเคราะห์ ของผมแล้วหรือนี่ -----

"วันนี้น้ำหนักขึ้นมาจากเมื่อวานครึ่งโลวะ" เสียงผมพูดเปรยๆกับเพื่อนที่ทำงาน


"ชั้นก็ขึ้น ก็ปกตินี่" ใครคนนึงพูดขึ้นมาบ้าง
แต่แปลกมาก ผมคิดในใจ น้ำหนักผมไม่ขึ้นมานานแล้ว มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่

ด้วยความสงสัย ผมจึงไปชั่งน้ำหนักอีกครั้งในตอนเย็น
" เท่าเดิมละ" โล่งอกไป มันคงขึ้นเป็น ธรรมดา หรือว่าเมื่อวานกินไรมากไปมั้ง ชั่งเหอะ

หลังจากนั้นมา น้ำหนักผม ก็เริ่มไม่คงที่ มากบ้าง น้อยบ้าง ในแต่ละวัน อาจแตกต่างกันเกือบ 2 กิโล
แต่พอบอกใครๆ กลับไม่มีใครเชื่อ
" แก นะ เป็นโรควิตกจริต ป่าววะ" เสียงนึงบอกผม
" ไร้สาระน่า " อีกเสียงนึงสำทับ

และแล้ว ก็มาถึงอีกวันนึง ผมต้องทำงานแบบ "กะ" ใช่แล้ว ในโรงงาน ทุกคนจะรู้ความหมายนี้ดี นั่นคือการทำงานในตอนกลางคืน เราเรียกเวลาทำงานแบบนี้ว่า " อยุ่กะ หรือ เข้ากะ " ก็หมายความว่า ทำงานในเวลากลางคืนนั่นเอง
" เฮ้ย ลดลงอีกแล้ววะ " ผมบอกเพื่อน ทำเสียงให้ดูเหมือนพูดเล่น แต่ใจจริงแล้ว ผมยังมีเรื่องนึงที่ยังสงสัยอยู่
" ไม่เอาน่า กูก็เห็นแกกินอยู่ทั้งวัน มันจะเป็นไรไปได้วะ " มันบอกผม และจริงของมัน เพราะผมเวลา
ที่ทำงานเข้ากะ ผมจะบำรุงตัวเองไว้เนื่องจากกลัวว่าจะมีปัญหาต่อสุขภาพ ทั้งนม ขนม กับข้าวกับปลา
จึงไม่มีใครเลย สักคนที่จะคิดว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับผม ในอนาคตที่ใกล้จะถึงนี้แล้ว

ผ่านไป 3 วัน

กับคำถามเดิม ๆ ที่ยังไม่หมดไปจากใจผม วันนี้ มันหายไปอีก 1 กิโล และทุกๆวัน มันยังคงหาย
ไป วันละ ครึ่ง - 1 กิโล สุดแล้วแต่วันไหน ผมทานเยอะ ก็ลดน้อย ทานน้อย ก็ลดเยอะ
แต่มีสิ่งนึงที่เหมือนกันอยู่ นั่นคือ ไม่ว่ายังไง น้ำหนักก็ยังลด หลายคนบอกว่าเป็นเพราะทำงานแบบ
"เข้ากะ" หรือเปล่า ถึงได้ลด แต่คงมีสิ่งนึงที่สะกิดใจทุกคนแล้ว ในเวลา 2สัปดาห์ ที่ผมเข้ากะ รูปร่างผมเปลี่ยนไป

เช้าวันจันทร์ 2สัปดาห์ต่อมา

"เฮ้ย แกไปทำไรมาวะ ถึงได้ผอมลงแบบนี้ " เสียงเดิมที่เคยบอกผมว่าไม่ต้องคิดมาก ถามผมในตอนเช้า
" ไม่นี่ " ผมตอบไป ก็ผมไม่ได้ทำไรเลยจริงๆ แต่คนส่วนมากกลับคิดว่าผมทำ
"ไปกินไรมาป่าว"
"ผอมลงนะนี่"
"บอกหน่อยดิ ทำไรมาวะ จะได้ทำมั่ง"
"....."

และอื่นๆตามมาอีกหลายคำถาม

แม้ใครต่อใครต่างพากันถามในคำถามแบบเดียวกัน แต่ผมกลับคิดว่า " ต้องเป็นไรแน่ "
เที่ยงวันจันทร์เดียวกัน ผมตรงไปที่ตาชั่งอันเดิม ที่ตั้งอยุ่หน้าห้องพยาบาลห้องเก่า
" ตายห่าละ ขนาดนี้เลยหรอ" ผมถึงกลับหลุดปากออกมา พยาบาลมองหน้านิดนึง
คงสงสัยว่าเป็นอะไร ใช่แล้ว วันนี้หลังจากผ่าน 2สัปดาห์ น้ำผมที่เคยเกินกว่ามาตราฐาน วันนี้ ลดลงมากว่าดิมถึง
22 กิโล ใน 14 วัน แม้แต่ตัวผมเอง ยังไม่เคยรู้เลยว่า มันจะลดมากขนาดนั้น

ไวเท่าความคิด
" ชั้นว่าแกกินยาลดน้ำหนักป่าว วะ ถึงลดขนาดนี้" คนนึงถาม เพราะจากที่ใครๆเคยเห็นและรู้จักผม
คงคิดว่า แปลกมาก ถ้าผมจะลดขนาดรูปร่างตัวเองลงได้ขนาดนี้ กับปริมาณ สิ่งของที่ทานในแต่ละวัน

และแล้ว ก็เริ่มมีข่าวลือ มากมายผุดตามออกมา ดังที่นึกไว้

" นี่ๆๆไง ยาลดน้ำหนัก ยี่ห้อ....นี้ละที่ชั้นเคยเห็นมันชื้อ"
" ดูดู นี่ไง กาแฟยี่ห้อนี้ละ...ที่มันกิน ชั้นเห็นมันกินทุกวัน"
" ชั้นว่าเค้าคงไปฟิตเนตมั้ง "
" ชั้นว่า ลดน้ำหนักขนาดนี้ ยาชัวน์"
" ติดยามั้ง"
" นี่ๆๆ กาแฟ นี่ต่างหาก"
" หรือว่าเป็นเอดส์วะ"
" เฮ่ย จะจริงหรอ"

และน้ำหนักที่ทุกคนคิดกัน ก็เทมาอยู่ฝั่ง กาแฟลดความความอ้วน ยี่ห้อนึง อาจเพราะผมชอบกินาแฟ

ผมได้ยินมาว่า มี่ใครคนนึง เอากาแฟชนิดนี้ เข้ามาขายในทันทีที่เริ่มมีข่าวเรื่องตัวผมออกมา
1 กล่องมี 6 ซอง ดื่มได้ 6แก้ว ราคา 3ร้อยกว่าบาท ไม่รู้ว่ากำไรมันจะได้มากไหม
แต่ที่แน่ๆ วันนึง มันขนมาเป็นกระสอบ กระสอบจริงๆครับ ใส่กระสอบมา วางหน้าออฟฟิศ ไม่ถึง1 ชั่วโมง
เหลือแต่กระสอบ เปล่าๆในทันที ขายดีจัง

เวลางานในภาคกลางวันผ่านมา 2 สัปดาห์ ผมต้องทำงานกลางคืนอีกแล้ว
" เฮ้ย แก แกกินกาแฟนี่จริงหรอ ชั้นไม่เคยเห็นแกซื้อมากินเลย กินแต่ของบริษัททุกวัน" คำถามนึงมาทันทีในวันเเรกที่ผมเข้ากะ
" ก็ ชั้นเคยบอกไหมละว่า ชั้นกิน " ผมตอบไป
" เออ ก็จริง ชั้นก็ไม่เคยเห็นแกกินนี่หว่า ลืมไป แกชอบกินของฟรี "มันตอบ หรือแหนบแนม ผมไม่แน่ใจ

หลังจากนั้น พอมีใครมาถามผมเรื่องกาแฟ เป็นต้องเจอกับคำตอบแบบดิม ๆ ยอดขายกาแฟคงเริ่มตก
ผมคิดว่า คนที่ขายกาแฟ คงไม่คิดว่า ผมจะลุกมาประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องกาแฟขนาดนี้ คงสต้อกไว้เยอะ แน่
เพราะในทันที ที่มีข่าวว่าผมประกาศออกไปว่าไม่ได้กินกาแฟชนิดนี้ ยอดขายลดลงอย่างฮวบฮาบ เพราะจากขายวันละกระสอบ เริ่มกลาย เป็น วันละถุงหิ้ว กล่อง ลดลงมาเรื่อย

คงยังไม่หมดสต้อก เพราะเริ่มมีข่าวว่าผมโกหกกลัวคนอื่นจะลดบ้าง (ดูมันทำ) แต่สุดท้าย เพื่อนๆผมคงรำคาญ
เริ่มออกข่าวว่า ผมไม่กินจริงๆ ยอดขาย นิ่งสนิททันที
จะด้วยความแค้นเรื่องกาแฟ ขาดทุน หรือเรื่องส่วนตัวไม่ทราบ แต่ในที่สุด ก็เริ่มมีข่าวใหม่ๆ ออกตามอีกระลอก "มันเป็นเอดส์"

โอวว ผมไม่เคยคิดเลยว่า ในชีวิตนึง ผมจะต้องดังขนาดนี้ ชีวิตยิ่งกว่านิยายจริงๆ ในบริษัท ที่ผมทำงานนี้เป็นโรงงานของญี่ปุ่นขนาด ถือว่า ค่อนข้างจะใหญ่พอสมควรเพราะมีหลายสาขาอยุ่ทั่วโลก
และสาขานึง ในประเทศไทย ทุกคน(คงนอกจากคนญี่ปุ่น)เริ่มรู้จักผม
อา.....ใครเลยจะคิด ว่าคนธรรมดาคนนึง จะเป็นยิ่งกว่าดาราในช่วงข้ามคืน ไปไหนมาไหน ก็มีแต่คนทักทาย
" ผักผ่อนมากๆนะ"
" รักตัวเองด้วย นะ"
" อย่ากินเหล้า อีกนะเว้ย "
" เอา..นี่ผลไม้เราซื้อมาฝาก"
".............." และอื่นๆ

ใครละ จะคิดว่าผมดังจริงๆ จากข่าวที่มีคนปล่อยว่า ผมเป็นเอดส์
แต่ผมคงไม่มีเวลามากที่จะมานั่งดีใจกับข่าวนี้แน่ๆ แรกๆผมเห็นว่าเป็นเรื่องตลก ที่แซวกันเล่นๆใน
หมู่เพื่อนฝูงกัน แต่ ณ เวลานี้ ไม่ใช่อีกแล้ว เรื่องนี้ มันดังข้ามแผนก และ ดังข้ามบริษัท อาาาา เรื่องข่าวลือ
มันกระโดดได้ เหมือนมันมีเท้า ผมเชื่อแล้ว

จนในที่สุด จากอีกอำเภอนึง ณ บ้านที่ผมเคยอาศัยอย่างสุขสงบ ก่อนมาทำงานที่ บริษัทนี้
ก็เริ่มทราบข่าว ทั้งเพื่อนๆที่ไม่เคยเจอหน้ากันมานาน และญาติพี่น้องเริ่มโทรมากันแทบจะทุก15 นาที
ทั้งต่อว่า ทั้งเป็นกำลังใจ ซึ่งผมต้องคอยอธิบายเป็นคนๆไป ว่ามันเป็นข่าวลือ
เพื่อนๆที่สนิทกัน หลังๆโดนข่าวที่ตัวเองพูดเล่น ยังเริ่มคิดว่ามันเป็นความจริง
มีหลายคน ที่ยังไม่สนิทใจ เริ่มบอกให้ผมไปตรวจเลือด เพื่อยืนยัน
และนั่นคือที่มา ทั้งหมด ผมไปตรวจเลือดที่คลีนิกแห่งนึง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก
เพราะผมคิดว่าไม่เป็นไร แต่ที่ไหนได้ ที่นั่นผมได้เจอคนคนนึงใส่ชุดสีแบบเดียวกันแปลว่า ทำงานที่เดียวกัน
ผมไม่รุ้จักเขา แต่เขารู้จักผม ยิ่งเมื่อเขาได้เห็นว่า ผมมาตรวจเลือด เท่านั้น
วันต่อมา ข่าวเรื่องที่มีคนไปเห็นไปตรวจเลือดกลับกลายเป็นว่า ผมไปตรวจเลือดมาแล้ว ทราบผลแล้ว
ว่าเป็นเอดส์จริงๆ ทั้งๆที่ต้องรอผลอีกตั้ง 3 วัน แต่มันกลับรู้กันล่วงหน้าหมดแล้ว
วันที่รอคอยมาถึง ผมเดินทางไปรับผลตรวจ โดยไม่ลืมที่จะมองซ้ายขวา ก่อนเข้าคลีนิก
กลัวจะเจอใครอีก สุดท้ายผลออกมา เป็น ลบ ใช่แล้ว ผมไม่ได้เป็นเอดส์ (ที่จริงผมก็รู้แล้วตลอดเวลา)
ผมไม่ได้เป็นเอดส์ กลับมาที่บริษัท ผมเอาผลตรวจให้หลายๆคน ช่วยกันยืนยัน นั่งยัน นอนยัน
ข่าวลือผมเริ่มซาลง แต่เหมือนว่าเคราะห์ผมยังไม่หมด ยังมีอีกเหตุการณ์นึงตามมา




 

Create Date : 19 เมษายน 2551    
Last Update : 19 เมษายน 2551 4:38:40 น.
Counter : 222 Pageviews.  

สองเงาในเกาหลี

ผมหยิบหนังสือเล่มนึง ในห้องสมุดของบริษัทขึ้นมา ตอนแรกผมนึกว่ามันคือนิยายรักทั่วไป ทั้งปกและชื่อเรื่อง
มันเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายที่ผมหยิบขึ้นมาอ่านก่อนหมดเวลาเบรคเที่ยง ผมอ่านหนังสือที่มีในห้องสมุดนี้ จนจะหมดห้องสมุดละ
เหลือเพียงแค่ เรื่องสั้นนิยาย เรืองย่อละคร แปลกใจจัง ทำไมผมกลับไม่ชอบอ่านมันนะ
หนังสือเล่มนี้ (ผมหมายถึงเรื่อง สองเงาในเกาหลี) ผมชอบLศิลปะของหน้าปก ดูเหงาๆตรงๆกับชื่อเรื่องมีคนสองคน และเงาสองเงา ในหน้าปก และสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจมากไปกว่านั้น คือ ชื่อคนเขียน "ทรงกลด บางยี่ขัน" ผมคิดในใจ หันมาแต่งละครรักแล้วหรือ
แปลกนะ ผมคิด จะมีใครเหมือนผมบ้างไหมที่เวลาหยิบหนังสือสักเล่ม เรามักจะดูชื่อหนังสือ
ต่อมา จึงดูชื่อคนเขียน ไม่ใช่ว่าผมจะอ่านแต่หนังหนังสือของนักเขียนชื่อดังนะ แต่ว่า ผมว่าชื่อมันมีมนต์เสน่ห์
อย่างหนึ่ง ทำให้ผมอยากรู้ว่า เค้า(คนเขียน)จะถ่ายทอดอะไรออกมา
บอกตามตรง ผมคิดไม่ออก
ทุกครั้ง หลังจากอ่านปกหน้า สัน ปกหลัง ผมจะอ่าน คำนิยาม นิยม คำนำ คำพรรณาหรือ อะไรก็แล้วแต่ ที่อยุ่ในหน้าที่ 2 รองจากหน้าสำนักพ์พิมพ์ในทันที เพื่อฟังที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนั้น หวังว่า จะเจอบางอย่างที่ผมค้นหา
ผมคิดเสมอ ทุกครั้งที่ผมได้อ่านหนังสือ ผมอ่านเพื่อไร เพื่อความสนุก บันเทิงหรือเปล่า
ก็ใช่นะ แต่ไม่ทั้งหมด ทุกครั้ง ผมจะเจอคำถามที่เคยผ่านมาในชีวิตจริง แล้วผ่านหายไปโดยที่ผมเองยังไม่เคยได้คำตอบ หรืออาจเพราะบางทีคำตอบนั้นผมรู้เองแล้วแต่ไม่ยอมรับทำเป็นไม่รู้เสีย
นานๆครั้งผมจะเจอหนังสือสักเล่มหนึ่งทีทำให้ผมมีส่วนร่วมในการเดินทางของใครคนนึงหรือการกิน อยุ่ เทียว หรือการทำอะไรก็แล้วแต่ ของใครสักคน ที่กลั่นกรองมันออกมาจากใจคนเขียนหนังสือเล่มนี้เองก็เหมือนกัน
รู้ไหม ในชีวิตนึง ผมไม่เคยรู้สึกว่าอยากไปเกาหลีเลย
แม้ว่าตอนนี้ จะมีกระแสเกาหลีฟีเวอร์มากก็ตามผมไม่แม้แต่นิดเดียว ที่จะนึกถึงประเทศนี้เลย
จนมาถึงวันนึง ที่ผมได้อ่านหนังสือ ของ " ทรงกลด บางยี่ขัน " เน้นจังชื่อนี้
เพราะว่า ผมจำชื่อนักเขียนเหล่านี้ไม่ค่อยได้ จนแม้บางครั้ง ใครจะบอกว่า ผมไม่เหมาะจะเป็นนักอ่านเลย
เหตุเพียงเพราะว่า ผมขี้ลืม ซึ่งมันก็คือความจริง ผมจำชื่อนักเขียนที่เขียนหนังสือแต่ละเล่มไม่ได้ แต่ว่า ผมกลับจำชื่อหนังสือและข้อความในนั้นได้ นี่สิแปลก
เรื่อง สองเงาในเกาหลีเอง ก็เช่นกัน ผมใช้เวลาอ่าน 6 ชั่วโมง 38 นาทีไม่มากไป ไม่น้อยไป แต่ก็พอจะซึมซับ ส่วนที่ผู้เขียนเอง ต้องการ สื่อออกมาได้
ผมจำชื่อตัวละครในนั้นได้น้อยมาก จำได้เพียง ชื่อ ผม(ผู้เขียน) พิณ และอีกไม่กี่คนเองในหนังสือเล่มนั้น
รื่องราวหวานเศร้า ในเวลา 10 วันในเกาหลีถูกสื่อมาได้อย่างโดนใจผม ผู้ชายคนนึงและผู้หญิง อีกคนนึง ที่ทำความตกลงกันว่า จะไม่ถามเรื่องของกันและกัน และทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตในเกาหลีร่วมกัน เที่ยวด้วยกัน กินด้วยกันหลงทางด้วยกัน และปั่นจักรยานด้วยกัน มันช่างโรแมนติกและลุ้นเหลือเกิน
แต่สุดท้าย มีพบเจอย่อมมีการลาจาก แต่ฉากจบ มันช่าง.....เรียกน้ำตาและเร้าอารมภ์ของคนอ่านเสียเหลือเกิน จนเกิดคำถามมากมายที่ตามมา
หนังสือจบแล้ว แต่ความอยากรู้ของคนอ่านกลับยังไม่จบแค่นั้น ทิ้งความสงสัยเอาไว้มากมาย ผม(ผู้เขียน)และพิณ จะได้เจอกันอีกไหม เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่แต่งขึ้นกันแน่ ความสงสัยนี้คงไม่ได้รับคำตอบเป็นแน่ แต่เอาเถอะ ถ้าหนังสือไม่ดีผมคงไม่อ่าน 2 รอบเป็นแน่ ถึงแม้จะมีคำถามที่ค้างคาใจอยู่อีก2-3 ข้อ
แต่ว่า คงต้องรอผู้เขียน พบกับพิณ อีกครั้ง แล้วเราคงได้เห็นภาค 2 ของหนังสือเล่มนี้
ตอนนี้ ใคร ที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ คงสัยว่า เป็นยังไงแล้ว ผมแนะนำว่า ให้ไปหามาอ่านเสีย
จะยืมเพื่อนหรือ ซิ้อเอง (ผมแนะนำอย่างหลัง) ก็ได้ แล้วคุณจะซาบซึ้ง ถึงความโรแมนติกแบบแบ็กแพ็กเกอร์
อยากให้คุณ "ทรงกลด บางยี่ขัน " ได้มาอ่านบทความนี้ของผมจัง มีเรื่องอยากถามอยู่ 2-3 เรื่อง
1.คุณบอกอะไรกันแน่ตอนลากจากกัน
2.ค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ของคุณ ตีเป็นเงินไทย กี่บาท
และ 3. ผัดวุ้นเส้นที่คุณ พิณ ทำ อร่อย จริงๆอย่างนั้นหรือ อยากชิมบ้างจัง

ออ ตกลง ในเกาหลี ทำไมมีแต่คนชื่อ คิม .......สงสัยอีกแล้ว




 

Create Date : 06 เมษายน 2551    
Last Update : 6 เมษายน 2551 19:54:39 น.
Counter : 583 Pageviews.  

กาแฟดำกับความทรงที่ลืมไป




ผมพยายามที่จะนึกว่า กาแฟแก้วแรก ที่ผมเคยดื่มมัน เมื่อไรนะ
นานมากแล้วสิ ตั้งแต่ผมเรียนชั้นมัธยมได้มั้ง ที่ผมเคยได้ลิ้มชาติของมัน แต่เมื่อไรนั้น
ผมจำมันไม่ได้แล้ว ที่แน่ๆหลังจากนั้นมาผมก็ได้ดื่มมันมาตลอด แรกๆนั้นผมคิดเอาเองว่า รสชาติของกาแฟของมันน่าจะหวาน
จนเมื่อผมได้เข้าเรียนต่อในระดับ ปวส. รสนิยมเรื่องกาแฟของผมเริ่มเปลี่ยนไป
ผมเริ่มศึกษามัน จึงได้รู้ว่า กาแฟที่เราดื่มกันทุกวันเพราะว่าเราได้ติดคาเฟอีนในกาแฟต่างหาก ส่วนน้อยที่จะติดใจในรสชาติของมันแถมยังทำให้อ้วนจากน้ำตาลและครีมเทียมต่างๆที่เราผสมเพิ่มเข้าเพื่อปรุงรสชาติของมัน
พอรุ้ ผมจึงเริ่มที่จะหัดกิน กาแฟแบบใหม่นั่นคือ ผมเริ่มที่จะไม่เติมครีมเทียม ลงไปในแก้วกาแฟของผม และลดปริมาณของน้ำตาลลง
ผมได้กาแฟแก้วใหม่ในทันที รสชาติขมมากขึ้น หวานน้อยลงและ สีดำจากแก้วเดิมที่ดื่มเมื่อวานยังเป็นสีน้ำตาล วันนี้ มันเป็นสีดำแล้ว
รสชาติที่ขมขึ้น ทำให้ผมดื่มมันช้าลง แต่มันยังไม่อาจเปลี่ยนใจในความรู้สึกว่าอยากดื่มกาแฟ
หลังจากนั้น ผมดื่มกาแฟแบบนี้มาอีกหลายปี จนมาถึงวันนึง ที่ผมเริ่มเข้าทำงานที่บริษัทแห่งนึง ที่บริษัทแห่งนี้ได้จัดให้มีมุมเล็กๆสำหรับดื่มกาแฟ ที่ทางบริษัทใด้จัดเตรียมไว้ให้ดื่มเวลาเบรค
ด้วยเวลาที่เร่งรีบ ผมไม่สารถที่จะดื่มกาแฟขมๆ ทันใน 10 นาที ด้วยความรีบร้อนและความรีบนี่เอง ทำให้ครีมเทียมและน้ำตาลที่ห่างหายจากชีวิตผม กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกใหม่ๆ
ความรู้สึกที่ว่า "ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ยังไงก็ได้กาแฟเท่าเดิม แค่เติมนั่นนี่นิดหน่อย
เพื่อความอร่อยที่มากขึ้น และเร็วขึ้น"
จนผมลืมความรู้สึกแบบเดิมๆ ไป

นี่ผ่านมาอีกหลายปี

จนมาถึงวันนี้ วันที่ผมได้เขียนบทความนี้ วันนี้ น้ำตาลที่ทำงานหมด
ทุกคนต่างถามหาน้ำตาล " ใครมีน้ำตาลมั่ง " ผมได้ยินคำนี้หลายรอบแล้ว เช้านี้
แล้วจู่ๆผมก็เกิดความรู้สึกแบบเดิมๆขึ้นมา ความรู้สึกสมัยที่ยังเป็นนักศึกษานั่นคือ ความรู้สึกสงสัยในกาแฟ
ถ้าวันนึง เราตื่นขึ้นมา โดยรู้ว่า ไม่มีกาแฟในโลกนี้อีกแล้ว เราจะทำยังไง เราจะหาอะไรมาดื่มแทน
แล้วผมก็ได้พบคำตอบว่า กาแฟ ไม่มีอะไรมาแทนที่ของมันได้
สิ่งที่เราดื่มด่ำจริงๆแล้ว นอกจากคาเฟอีนที่มีอยู่ในตัวของมันเองแล้ว
เรายังดื่มด่ำกับกลิ่นของมัน รสชาติขมๆของมัน (มันทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด ...มันชนะใจเรา)และความเคยชินกับรวมกลุ่มกันดื่มและพูดคุยกัน
และเกิดคำถามนึงขึ้นมา ว่า แล้วถ้าไม่มีครีมเทียมและน้ำตาลสำหรับใส่กาแฟขึ้นมาบ้างละ
เราจะทำอย่างไร นั่นสิ สำหรับคนอื่นผมไม่รู้ แต่สำหรับ แค่ความหวานที่หายไป ไม่ได้ทำให้ผมเลิกดื่มกาแฟแน่ๆ
เพราะว่าวันนี้ ผมได้ชงกาแฟในอีกแบบนึงมาดื่ม กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล และครีมเทียม
หลายๆคนคงจะนึกว่า ไม่เห็นแปลก เพราะบางคนก็ดื่มกันแบบนี้ ใช่ ไม่แปลกสำหรับคนแต่แปลกสำหรับผม หลายปีมานี่ ทำไมผมไม่เคยนึกที่จะดื่มมันแบบนี้
ผมติดกาแฟหรือว่าติดน้ำตาลกันแน่?
กาแฟแก้วนี้ทำให้คำตอบกระจ่างแก่ผมแล้ว ไม่น้ำตาล ผมยังดื่มกาแฟได้ หรืออย่างน้อยยังเรียกว่าดื่มกาแฟได้อยุ่ แต่ไม่มีกาแฟ เราจะดื่มอะไร นอกจากน้ำตาลและครีมเทียม รสชาติ คงไม่ต้องพูดถึง
กาแฟดำแก้วสอนผมให้รู้ว่า ทำไมคอกาแฟตัวจริงถึงไม่นิยมใส่อะไรเลยลงในแก้วกาแฟของเขานอกจากน้ำร้อน สอนให้ผมนึกถึงเรื่องที่เคยทำและลืมมันไปแล้วในอดีต มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆที่ใครก็อาจจะลืมได้
แต่มันทำให้ผมกลับจำขึ้นมาได้
เช้านี้ผมดื่มกาแฟจริงๆ กาแฟที่มีแต่ กาแฟและน้ำร้อน
ผมค้นพบสัจธรรมข้อนึงว่า คนเราที่ดื่มกาแฟแล้วติดนั้น เราติดกาแฟจริงๆ
ไม่ได้ติดอย่างอื่น
ทำไมผมถึงมาเขียนเรื่องนี้ลงในบล็อก ของผมละ หลายคนคงสงสัย
หากท่านทนอ่านมาถึงตรงนี้ได้ ก็แปลว่าท่านเองคงเคยเกิดคำถามเช่นเดียวกันกับผมมาแล้ว บางท่านอาจได้คำตอบแล้ว และบางท่านอาจยังไม่พบคำตอบ
ตอนนี้ ผมพบคำตอบนั้นแล้ว คนเราคงขาดกาแฟไม่ได้แน่เพราะเราได้เสพมันจนติดแล้ว มันเป็นสิ่งเสพติดอีกอย่างที่ถูกกฏหมาย
ที่แน่ๆ วันพรุ่งนี้ ถึงน้ำตาลจะมีแล้วในบริษัท แต่แก้วกาแฟของผมคงไม่เติมน้ำตาลและครีมเทียมอีกแล้ว อาจมีหลายคนที่ไม่สงสัย แต่ว่า คงมีบางคนที่เกิดคำถามแน่ หากสังเกต ว่าผมดื่มกาแฟที่แตกต่างจากวันอื่นๆ

กาแฟหมดแก้วแล้ว
ผมจิบมันทีนะนิด ทีละนิด จนมาถึงตรงนี้ แค่กาแฟแก้วเดียว ทำให้ผมเขียนมาได้ถึงตรงนี้ "น่าแปลกจัง" ผมคิด แล้วผมก็ได้คิดว่า จริงแล้ว มีอีกหลายเรื่งที่สามารถบันทึกลงไปในความทรงจำของผม แต่ผมต่างหากที่ไม่เคยสังเกตุและนำมันออกมาได้
จากนี้ไป ผมจะเขียนราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น บันทึกมันเอาไว้เผื่อว่าวันนึง ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เพื่อจะเตือนให้ผม นึกถึงสิ่งที่ผมลืมมันไป
ผมจะเขียนมันออกมาเป็นแบบไหน หากมีคนสนใจเซิญอ่านต่อไปอีก
วันนี้ ได้มีนักเขียนอีกคนนึงถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว แม้ว่า สำนวนต่างๆจะไม่สวยงาม
หรือไม่ชวนให้น่าอ่าน แต่ว่า มันเป็น อีกสำนวนนึงของนักเขียนสมัครเล่น ที่สะท้อนออกมา
ถึงความเป็นตัวเอง
ท้ายนี้ ผมยังยืนยันที่จะเขียนสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองแน่นอน
หากวันนึงผมเกิดลืม อะไรขึ้นมา อย่างน้อยๆ ยังอ่านย้อนหลังได้
ออ เมื่อวานผมได้อ่านหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า สองเงาในเกาหลี
เกือบจะอ่านจบละ แล้วจะมาเล่าให้อ่านนะ แน่ละตามมารยาทแล้ว ผมคงไม่เล่าถึงสิ่งที่ได้อ่านเจอ
ในหนังเล่มนี้แน่ ไม่ต้องห่วง !




 

Create Date : 12 มีนาคม 2551    
Last Update : 16 มีนาคม 2551 16:09:54 น.
Counter : 246 Pageviews.  

ขอให้ความรักอยู่คู่ผมตลอดไป

แม้ว่าจะเหนื่อยกับความรักมาสักกี่ครั้ง

ผมก้ยังยิ้มสู้กับมันได้

ใครๆหลายคนเคยบอกว่า ความรักคือยาพิษ แต่สำหรับผม

ความรักคือการเรียนรู้กัน คือความเข้าใจ คือความผูกพันธ์

แม้ว่าวันนี้ ความรักของผมจะยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอน

แต่ผม ก็ไม่เคยที่จะหันหลังให้กับมัน เชื่อว่าสักวันนึง ผม คงได้เจอกับรักแท้ สักวัน

ตอนนี้ ผมเพ่งพูดคุยกับเพื่อนคนนึงอยู่ เราคบกันแบบเพื่อน ความสัมพันธ์ นี้จะยัง

อยู่ต่อไป

แม้ว่าหากวันใด วันหนึ่ง เค้า ต้องจากเราไป จะเพราะอะไรก็ช่าง

ผมก็พร้อมที่จะยอมรับมัน ผมจะไม่มีวันหันหลังให้กับความรัก

สักวันนึง ผมคงเจอกับความรักที่แท้จริง

ขอให้รักอยู่คู่กับผมตลอดไป .....




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2550 2:09:19 น.
Counter : 257 Pageviews.  

1  2  

ชายพายเรือ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ชายพายเรือ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.