What a Wonderful World
Group Blog
 
All Blogs
 

เป๊ก ผลิตโชค กับ The Scarlet Letter บทเรียนการถูกตีตรา เมื่อดาราตกเป็นเหยื่อ



หลังสิ้นเสียง "ถอดหน้ากากครับ" ของกันต์ พิธีกรสุดหล่อสิ้นสุดลงเมื่อคืนวันพฤหัสที่ผ่านมา เป๊ก ผลิตโชค ที่แฝงอยู่ในคอสตูมหน้ากากจิงโจ้ เจ้าของภาพลักษณ์แบดบอย ฮิปฮอป แรพโย่ว จึงจำเป็นต้องปล่อยมือจากจิงโจ้เพื่อนยากที่เดินร่วมทางกันมาอย่างเสียไม่ได้ การปล่อยมือครั้งนี้คงไม่ต่างจากตอนที่โนบิตะต้องพลัดพรากจากโดเรมอน การที่เราได้รู้จักใครในระยะเวลาสั้นๆแต่เกิดความผูกพันกันมากเหลือเกิน  ย่อมทำให้เกิดความใจหาย วิตกกังวลเมื่อต้องจากกัน  จะว่าไปแล้วในช่วงเวลาสั้นๆหน้ากากจิงโจ้ที่ถูกใครบางคนส่งมา ได้ทำภารกิจของมันได้อย่างยอดเยี่ยม หน้าที่ของมันไม่ได้มีอะไรมากกว่าการทำให้คนไทยทั้งประเทศลดอคติที่ "ตา" และหันมาเปิด "ใจ" ให้กับเพื่อนรักของมันอย่าง เป๊ก ผลิตโชค เพื่อนที่โดน The Scarlet Letter มาทั้งชีวิต


ฉันได้ยินคำว่า The Scarlet Letter จากการเรียนวิชาวรรณคดีอเมริกันเบื้องต้น ตอนเรียนเรื่องนี้ฉันไม่เข้าใจในความมืดของสังคม Puritan ในยุค 1642-1649 ฉันไม่เคยเข้าใจว่าคนเอาอักษร A ไปใส่ความผู้หญิงคนนึงเพื่อใส่ความเรื่องชู้สาวนั้นเค้าทำไปเพื่ออะไร ทฤษฎีการล่าแม่มดมันควรจะหยุดไว้แค่ก่อนยุคมิลเลนเนียมไหม แต่สิ่งที่ฉันหวังไว้มันไม่จริง The Scarlet Letter ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งเมื่อคืนวันพฤหัสที่ผ่านมา แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่อักษร A มันมาเป็นคำ มันมาเป็นประโยค หรือวลีใดๆก็ได้ที่คนบางกลุ่มได้บัญญัติขึ้นมาตีตราบุคคลคนหนึ่งซึ่งตกเป็นเหยื่อ Social Media Bullying มานานนับสิบปี ทั้งที่คนๆนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ทางสังคมใดๆ แค่เป็นคนที่ทำอะไร "ไม่ถูกใจ" คนบางกลุ่มเท่านั้น ฉันจะไม่แก้ตัวเรืองใดๆให้ผลิตโชค เพราะฉันไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว ฉันเป็นแค่คนหนึ่งที่ทนไม่ได้กับการ bully ในทุกรูปแบบเลยอยากถามคำถามนี้ว่า เป๊ก ทำผิดอะไร ถึงต้องโดนล้อเลียนเรื่องการทำศัลยกรรมจมูก เรื่องเพศสภาพ เรื่องพูดไม่ชัด ซ้ำๆย้ำๆอยู่นานนับสิบปี นี่คือภาพลักษณ์ที่สังคม judge เขาโดยทิ้งความเสียหายในด้านหน้าที่การงานไม่น้อย ศิลปินคุณภาพเสียงดีคนหนึ่งแทนที่จะได้ทำมาหากินเหมือนเพื่อนๆ และออกมาทำตามความฝันในการเป็นนักร้องที่เขาตามหามาตั้งแต่เด็ก ต้องไม่มีผลงานมากเท่าที่จะเป็น เพราะผลงานมัน "ไม่ขาย" เวลาไปโปรโมตผลงานเพลงตามรายการต่างๆ ก็จะต้องถูกถามเรื่องหน้าตาทุกครั้ง ไม่มีใครสนใจจำชื่อเพลง ไม่มีใครสนใจว่าเพลงมันเพราะไหม เค้าร้องเป็นยังไง  Hello it's 2017!
สื่อใจร้ายบางเจ้าจิกกัดเขาไม่เลิก จนบางครั้งเขาท้อใจแอบไป live ขอกำลังใจแฟนคลับนับ "สิบ" ของเขาในแฟนเพจ ใช่ค่ะฉันเขียนไม่ผิดหรอก หลักสิบจริงๆ  ศิลปินที่ร้องเพลง ไม่มีใครรู้ ที่ทุกคนรู้จักนั่นแหละ 

ไม่เพียงเฉพาะสื่อเท่านั้น มนุษย์บางคนก็มีความสุขกับการ bully คนอื่นโดยเฉพาะดารา สำหรับผลิตโชค ไม่มีใครสงสัยในความสามารถด้านการร้องเพลง คนจึงหันไปหาจุดอื่นที่จะล้อเลียนเขาได้ เช่นประเด็นการทำจมูก ดัดจริตพูดไม่ชัด ข่าวลือที่ว่าเขาเป็นเกย์ โดยที่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงและไม่มีใครพยายามจะ "ฟัง" สารที่เขาพยายามสื่อออกมาเลย เขาตกเป็นเหยือของการถูกล้อเลียนอย่างสนุกปากของคนบางส่วนในสังคมมานานนับสิบปี ฉันคิดว่าคนเหล่านี้มักจะ judge สิ่งต่างๆจากประสบการณ์ชีวิตอันเลวร้ายของตัวเองโดยไปสนไม่แคร์ว่า ดาราก็คน ร้องไห้ได้ เสียใจเป็น ไ่ม่มีใครควรจะตกเป็นเหยื่อและถูก bully จากคนในสังคม 

ในเวลานี้ที่เป๊ก ผลิตโชคกลับมาอีกครั้ง ฉันไม่รู้หรอกว่าจริงๆผลิตคิดอะไร เขาแคร์ไหม หรือเขาเลือกที่จะรับแต่เรื่องดีๆที่กำลังถาโถมใส่เขา แต่บทเรียนที่เกิดจากการตีครามันทำให้เราย้อนมาถามว่า เราควรจะเลิกไหม กับการใส่ The Scarlet Letter บนหน้าใครๆ เพื่อสนองความสะใจของตัวเอง




 

Create Date : 18 มีนาคม 2560    
Last Update : 18 มีนาคม 2560 9:54:34 น.
Counter : 1660 Pageviews.  

The Mayan Prophecy of 2012 - สารคดีช่อง NG ที่ได้อะไรมากกว่า "โลกจะแตก"

เมื่อกี้เปิดดูช่อง Nat Geo ทางสกายเมื่อกี้นี้ รู้สึกคิดถึงทีวีไทย อยากให้นำรายการอะไรที่มีสาระอย่างนี้ ดูเสร็จแล้วมีประเด็นให้คนขบคิดต่อ อย่างตอนเด็กๆ ก็จะมีการ์ตูนช่องเจ็ดที่แสดงให้เห็นการทำงานของร่างกาย ทำให้รู้จักแอนตี้บอดี้ครั้งแรก โตมาหน่อย ก็มีรายการทางช่องเก้าชื่อ Mega Clever ฉลาดสุดๆ แต่ไม่รู้เกิดอะๆรขึ้นกับวงการฏโทรทัศน์บ้านเราในขณะนี้ ซึ่งมีสัดส่วนของบันเทิงมากกว่าสาระ เพียงเพราะผูจัดคิดว่า คนดูชอบ ซึ่งนั่นก็เป็นคำถามว่า คนดู "ชอบ" สิ่งที่สถานีจัดให้จริงเหรอ ละครน้ำเน่าทุกช่องมันถึงได้เป็นไฮไลท์ของการดูทีวี

ลองคิดเล่นๆว่า ถ้าสถานีต่างๆลองค่อยๆเพิ่มสัดส่วนรายการที่มีสาระลงไปใชชวงไพร์มไทม์ มันจะเป็นอย่างไรนะ เช่นเอา อั้ม พัชราภามาสอนภาษาอังกฤษ เอานุ่น มาสอนศิลปะไทย เอากบมาสอนจริยะศึกษา วันละนิดหน่อย พร้อมฉายสารคดีจากช่อง discovery, national geographic ก่อนข่าว ทีวีมันจะเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่ช่วยยกระดับการศึกษาของคนไทยได้มากขนาดไหนนะ

เอาล่ะ เวิ่นเว้อกับทีวีไทยไปมากแล้ว กลับมาที่เนื้อหาของรายการในวันนี้ดีกว่า เริ่มด้วยนักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันแกสงสัยว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่คำนายของชาวมายาที่ว่าโลกจะเกิดภัยภิบัติใหญ่หลวงในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 แกก็เริ่มสำรวจตรวจสอบซากหิน หิมะ อะไรต่างๆในหลากหลากสถานที่ มันช่างเข้าเค้ากับคำทำนายของชาวมายาซะนี่กระไร ใครอยากอ่านรายละเอียดเรื่องนี้ก็ใช้อากู๋หาเอานะคะ มันมีหลายแนวคิดที่สนับสนุนและคัดค้านคำทำนายนี้

แต่จุดใหญ่ใจความที่ได้จากการดูในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นการย้อนมาขบคิดต่อว่า ถ้าเราเหลือเวลาอันน้อยนิดที่จะอยู่ในโลกใบนี้ เราจะเลือกทำอะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิต หลายคนอาจจะต้องพิจารณาตัวเองว่า เรากำลังทำอะไรอยู่นี่ ถ้าเรากำลังจะตาย เราจะเสียเวลาทำสิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ สำหรับฉัน อยากจะใช้ชีวิตให้มันคุ้ม ทำอะไรที่อยากทำ อยู่กับคนที่รัก อย่างเพลง Live like you were dying - Tim Mccaw หรือเพลง หากไม่มีพรุุ่งนี้ของพี่แอม เสาวลักษณ์ เลยตั้งเป้าว่าจะทำดี พูดดี คิดดีกับทุกคน บอกรักพาร์ทเนอร์ทุกวัน กลับไทยให้บ่อยขึ้น กลับไปหาพ่อแม่ซึ่งเป็นคนที่รักที่สุด ไปเยี่ยมเพื่อนรักที่เมลเบิร์น และเที่ยวให้มันสุดคุ้ม ปล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังต้องทำงาน เพื่อรักษาสมดุลย์ทางการเงิน ฮิฮิ


ว่าแต่ ถ้าคำนายมันจะเป็นจริงขึ้่นมา พวกคุณจะทำอะไรก่อนวันที่ 21 ธันวา 2012

The Choice is Yours






 

Create Date : 30 มกราคม 2555    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2558 17:09:44 น.
Counter : 667 Pageviews.  


Idiot Linguist
Location :
Bangkok , Thailand, Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Happy to be alive
Friends' blogs
[Add Idiot Linguist's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.