11 ลูกไม้(เน่า)หล่นไม่ไกลต้น
…11
ลูกไม้(เน่า)หล่นไม่ไกลต้น


เสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินขณะนี้กำลังทำหน้าที่ที่จะว่าเกี่ยวกับตำแหน่งก็ไม่เชิงอยู่ นั่นคือการเป็นไกด์ให้กับพ่อของนักเรียนตัวปัญหาที่สุดแห่งป้อม...เป็นไกด์นำเที่ยวให้กับราชาปีศาจแห่งเดมอสซึ่งล่าสุดที่ได้เจอคือในสงครามที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนั่น แต่เป็นการเจอกับจ้าวปีศาจ ไม่ใช่บุรุษที่อยู่ตรงหน้าเขานี่

บุรุษที่ไม่ว่าจะดูมุมไหนยังไง ในสายตาของเจ้าชายผู้รู้หน้าที่ของตนเองดีอย่างโรเวน ฮาเวิร์ดก็เห็นเป็นเพียงคนที่หนีงานมาเที่ยวเท่านั้น ใช่แล้ว เหมือนใครบางคน

โรเวนนึกย้อนไปเมื่อเย็นวานนี้ เขาที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกหลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของเจ้าหญิงแห่งเดมอสและบารามอสที่ขณะนี้ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างๆบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำยาวซึ่งใบหน้าคมคายนั้นมีรอยยิ้มพรายอยู่ นัยน์ตาสีดำขลับคู่คมที่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจของปีศาจอย่างที่เป็นหลักฐานให้ผู้เคยเห็นมาแล้วรู้ได้ว่าสิ่งที่รุ่นน้องตัวป่วนบอกเป็นความจริง

ความจริงที่เกินจะทำใจยอมรับได้

โรเวนถอนหายใจยาวด้วยความกลัดกลุ้ม ถัดจากการมาเยือนของคนจากอนาคตซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับนักเรียนตัวปัญหาแห่งป้อมอัศวิน มาคราวนี้ก็เป็นทีของราชาปีศาจแห่งเดมอสบ้างแล้วหรือ อยากจะรู้นักว่าทำไมปัญหามันถึงได้ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ แถมมันยังเป็นปัญหาที่...วุ่นวายชะมัดยาด

โรเวนบอกไม่ถูกว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับกษัตริย์ที่หนีความรับผิดชอบทิ้งบ้านเมืองของตนเองไว้แล้วมาเที่ยวอย่างคนตรงหน้า แม้เขาจะทราบแก่ใจดีแล้วว่าราชาแห่งเดมอสไม่เหมือนกษัตริย์องค์ไหนๆ แต่การหนีเที่ยวเป็นอะไรที่...ไม่อยากจะเชื่อ

จะว่ามันเป็นความคล้ายคลึงของพ่อกับลูกดีไหมนะ

ความคล้ายคลึงที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เพราะพระธิดาของจ้าวปีศาจเพิ่งจะมารู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนเองก็เมื่อเกือบจะขึ้นปีสองนี่เอง สงสัยสายเลือดมันจะแรงมาก...

ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่และควรจะน่ากลัวบัดนี้กลับเป็นคนที่ไม่ต่างจากพระธิดาผู้ชอบทำตัวเป็นหัวขโมยเลย เนื่องจากนิสัยที่ออกจะ...ขัดกับคำเล่าลือถึงความน่ากลัวของกษัตริย์แห่งเดมอสยิ่งนัก

และเมื่อจ้าวผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนปีศาจเอ่ยขอให้เขาทำหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวโรงเรียนพระราชา โรเวนก็รู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันทีกับสายตาขบขันแกมรู้ทันในความลำบากใจของเขา คนตรงหน้ารู้ดีอยู่แล้วว่าคำตอบของเขาจะเป็นคำอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก...ตกลง แต่ก็ไม่วายพูดกวนๆอย่างที่เขาต้องเหล่มองหญิงสาวแต่ตัวที่คงจะรู้นิสัยตัวเองดีถึงได้ยิ้มซื่อๆส่งให้ไว้ก่อน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว เจ้าชายโรเวนจึงเป็นอีกผู้หนึ่งที่เดินเคียงมากับบุรุษลึกลับซึ่งได้รับสายตาแสดงความสงสัยและสนใจจากนักเรียนป้อมอัศวินที่เดินผ่าน

เฟรินเผลออ้าปากห้าวหวอดเพราะเพิ่งถูกปลุกด้วยฝีมืออันร้ายกาจของแคเรนที่เธอไม่อยากจะบอกเล่าให้ใครฟังแม้แต่เพื่อนสนิทของเธอเอง ด้วยรู้ดีว่าพวกมันคงจะเอาเธอไปเผาหรือบางทีอาจจะยืมวิธีของแม่สาวผู้น่ากลัวนั่นไปใช้กับเธอก็ได้

“เฟลิโอน่า เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนห้องเดียวกับเพื่อนของเจ้าหรือ” เอวิเดสถามลูกสาวอย่างสนใจ

เฟรินหาวอีกครั้งแล้วตอบเสียงอู้อี้เนื่องจากเอามือปิดปากตามบทเรียนของสุภาพชนที่ท่านอาลูน่าเสี้ยมสอนมาอย่างดีไร้ที่ติ...แม้จะลืมอยู่บ่อยๆหากอยู่ไกลอาจารย์ก็ตามทีเถอะ

“อ๋อ เปล่าฮะ ผม..เอ๊ย! ฉันไปขออาศัยห้องคนอื่นอยู่น่ะ...ค่ะ”

โรเวนแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดแบบผู้หญิงลอดริมฝีปากของคนเคยเป็นผู้ชายมาก่อน

เอวิเดสทำสีหน้าประมาณว่าเห็นใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดี

“ถ้าลำบากนักก็ไม่เป็นไรหรอก เอาแบบที่เจ้าพูดกับเจ้าขโมยนั่นก็พอแล้ว”

เฟรินแสดงอาการโล่งอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“คือผมนอนห้องข้างๆน่ะ ตั้งหลายคืนแล้ว พอดีว่ามีเรื่องกับไอ้คาโลมันนิดหน่อย ก็เลย...” เฟรินไม่เอ่ยต่อเพราะอายตัวเองที่ทำตัวเป็นสาวน้อยที่กำลังอินเลิฟ

“หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องที่พูดเมื่อวานหรอกนะเฟลิโอน่า” นัยน์ตาเข้มๆของผู้เป็นพ่อเรียกสีเลือดสูบฉีดแรงจนใบหน้าสวยเป็นสีก่ำน่าเอ็นดู

“ไม่ใช่นะ! อย่างเจ้าบ้านั่นจะมีปัญหาทำอะไรผมได้เล่า ถึงพักนี้มันเกือบจะทำมากกว่าจูบก็...” เสียงพร่ำบ่นหยุดชะงักเมื่อรู้ตัวสายเกินไปว่าผู้ฟังนั้นนอกจากจะมีพ่อที่ชำนาญการทำให้เธอหลุดบ่อยๆแล้วยังจะมีรุ่นพี่สุภาพบุรุษของเธออีก

รุ่นพี่ที่มองเธอด้วยแววตาตะลึงจนสังเกตได้ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายตาคิดหนัก แล้วตามด้วยการเมินมองไปทางอื่นซึ่งหากเจ้าตัวทำเพื่อไม่ให้รุ่นน้องอายแล้วล่ะก็ มันก็ให้ผลตรงกันข้ามเลย

แม้เฟรินจะอยากแก้ตัวสิ่งที่ตนเผลอหลุดปากไปแล้วแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อบุรุษผู้ฟังทั้งสองไม่กล่าวถึงอีก เธอก็ไม่มีความคิดจะรื้อฟื้นให้มันกลายเป็นหนึ่งในเรื่องน่าขายหน้าของยอดหัวขโมย เฟริน เดอเบอโรว์หรอก



เฟรินรู้สึกเหน็ดเหนื่อยราวกับเพิ่งผ่านสมรภูมิมาหมาดๆ ซึ่งก็อาจจะเป็นการเปรียบเปรยที่เข้าท่าเข้าทางที่สุดในความคิดของเธอ การพาพ่อชมป้อมอัศวินไม่ทำให้เธอเหนื่อยทั้งกายและใจได้ขนาดนี้หรอก แต่การที่ต้องทนรับสายตาของคนเกือบทั้งป้อมที่จับจ้องมายังเธอกับพ่อนี่สิที่เป็นอะไรที่ชวนให้กระอักเอามากๆ

เธอลืมไปได้ยังไงนะว่าการเดินเคียงมากับคนแปลกหน้าในโรงเรียนพระราชาและยังพ่วงเสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินด้วยนั้นจะเป็นเป้าดึงดูดสายตาได้มากแค่ไหน

อ้อ อาจจะลืมเรื่องเสน่ห์ที่มีมากขึ้นตามส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างผู้หญิงสาวสุดสวยนี่ด้วย ถึงส่วนมากจะถูกบดบังด้วยชุดแบบผู้ชายๆ แต่เจ้าพวกตัวผู้ทั้งหลายนั่นมันก็ยังมองไม่เลิก มองจนเธออยากจะไปละเลงเลือดพวกมันนัก

แต่ที่ยิ่งกว่าสายตาและคำซุบซิบของใครทั้งนั้นก็คือคำทักทายจากเพื่อนร่วมชั้นของเธอเอง

มันเริ่มจากเจ้านักรบตาเดียวปากไม่มีหูรูดนั่นที่ดันไปแพร่ข่าวว่าเธอควงกับหนุ่มคนใหม่ทำให้เพื่อนคนอื่นๆต่างแห่มาดูกันหมด ไม่เว้นแต่นายคนชอบแยกตัวอย่างกัซ โทนีย่า ยิ่งพาให้สติของเธอใกล้จะขาดเข้าไปทุกทีๆ

จะว่าโชคดีได้ไหมนะที่เจ้าคาโลมันหายหัวไปพอดี เธอจึงไม่ต้องทนรับสายตาน้ำแข็งเย็นยะเยือกที่มันชอบทำเวลาไม่พอใจและบอกด้วยการสอบปากคำซึ่งเธอพอจะเดาได้รางๆว่ามันต้อง...

เพียงแค่คิดมันก็ทำให้หน้าเธอร้อนผ่าวเสียแล้ว

“เฟลิโอน่า ไม่สบายหรือไง” เสียงทุ้มจากคนข้างตัวดังชิดหูปลุกสติที่หลุดลอยไปให้กลับมา เฟรินเบือนนัยน์ตาสีฟ้าตื่นๆมาสบกับแววตาแสดงความห่วงใยของคนเป็นพ่อ เจ้าหญิงสองดินแดนขยับยิ้มที่คิดว่าสวยที่สุด

“เปล่าหรอกฮะ ผมสบายดี” เฟรินนึกโล่งอกในใจที่พ่อไม่สาวความต่อ เธอตำหนิตัวเองที่ดันเผลอลืมไปว่าอยู่ในระหว่างเดินไปส่งพ่อปีศาจที่ห้อง

เมื่อเย็นวานนี้ เฟรินเตรียมตัวเตรียมใจรับปฏิกิริยาใดๆก็ตามของเสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินหลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เธอรู้อยู่แล้วว่าพี่เขาจะต้องอึ้ง แม้จะมองไม่ออกถึงบางสิ่งในนัยน์ตาสีน้ำเงินนั้นเธอก็พอจะเดาได้ถึงความคิดของรุ่นพี่โรเวนที่มีต่อพ่อของเธอเอง เธอก็พอจะเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายหรอก เพราะฉะนั้นถึงได้ไม่กล้าบอกอะไรที่จะเป็นการเพิ่มภาระโดยใช่เหตุแบบนี้

แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องพึ่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบภายในป้อมโทรมๆนี้อยู่ดี

ก็จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะนอกจากห้องพักของคนหนีงานมาเที่ยวซึ่งไม่เจียมตัวซะบ้างเลยว่าตัวเองเป็นแขกที่เจ้าบ้านไม่ได้รับเชิญ เอ๊ะ หรือเชิญวะ?

เชิญหรือไม่เชิญก็ช่าง แต่การที่พ่อของเธอบอกหน้าซื่อว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ ช่วยหาห้องที่อยู่ติดกับเฟลิโอน่าด้วยนะ’ อย่างนี้มันก็ออกจะเกินไปหน่อย ไม่รู้ว่าจะห่วงเธอไปทำไมนัก หรือบางทีพ่ออาจจะอยากอยู่ใกล้เธอล่ะมั้ง

ความคิดที่เรียกรอยยิ้มบนดวงหน้า ใช่ว่าเธอจะไม่ดีใจที่จะได้อยู่ใกล้ๆพ่อ เพียงแต่เธอคิดได้ว่าการอยู่ในสายตาของพ่อนั้นคงทำอะไรไม่สะดวกหลายอย่าง นอกจากจะต้องระวังตัวแล้วยังจะกังวลว่าพ่อจะมีแผนการอะไรด้วยนี่สิ แผนการที่ลางสังหรณ์อันเฉียบคมของเธอบอกว่าน่าเป็นห่วงมากๆด้วย

เพราะฉะนั้นเฟรินจึงอดมีความสุขไม่ได้ที่โรเวนบอกว่า...ไม่มีห้องไหนที่ว่างเลย นอกจากห้องที่อยู่ห่างออกไปถึงหนึ่งชั้น ซึ่งราชาปีศาจต้องจำใจไปพักหากยังอยากจะอยู่ที่ป้อมอัศวินนี้ต่อไป

“ว่าแต่...ป้อมอัศวินของเจ้านี่โทรมกว่าที่คิดไว้อีกนะ” เอวิเดสเปรยขึ้นอย่างปุบปับ เฟรินที่ได้ฟังก็ไม่คิดจะแก้ต่างให้ป้อมที่ตนอาศัยอยู่แม้แต่น้อย

“ฮะ ผมก็ว่างั้นแหละ แล้วพ่อเห็นรอยเหมือนรอยมีดปักกำแพงมั้ยฮะ” เฟรินตีหน้าแหยเมื่อเรียกอีกฝ่ายผิดไปจากที่ตกลงกันไว้ “ขอโทษฮะ ฮาเดส”

หนึ่งในคำสั่งของพ่อก็คือคำพูดคำจาของเธอที่ต้องเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่สุภาพ...และออกจะห่างเหินเกินไปก็เปลี่ยนมาให้สนิทสนมกันเหมือนเวลาที่พูดกับพ่อมาดัส (สนิทกันเกินไปจนลูกไม่เคารพน่ะสิ เออ... แต่ปัญหามันน่าจะอยู่ที่นิสัยมากกว่าแฮะ) แต่เฟรินก็ยังยำเกรงพ่อคนนี้ถึงเลือกที่จะพูดสุภาพ

เอวิเดสนึกทวนจากความทรงจำที่ได้ไปทัวร์ป้อมอัศวินที่ขึ้นชื่อเรื่องความโทรมซอมซ่อ “อืม มีรอยอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ มันมาได้ยังไงกันน่ะ”

“ก็ฝีมือของสองผู้คุมกฎคนสำคัญของป้อมน่ะสิฮะ” เฟรินเฉลย หัวเราะกั๊กๆอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก “รอยที่กำแพงมาจากเกมที่พี่ลอเรนซ์ชอบเล่น”

“เกม?”

“เกมไล่ฆ่าซาตานน่ะฮะ” เฟรินปล่อยเสียงหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่เพราะดันนึกภาพประกอบขึ้นมาได้ด้วย แต่แล้วก็ผวาเฮือกหนาวสันหลังขึ้นมาทันใดเนื่องจากเสียงทุ้มที่ดังมาจากทางข้างหน้า

“เฟรี่ บังเอิญจังเลยนะ”

เฟรินมองคนที่เรียกชื่อกวนประสาทด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลหวั่นๆ ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าของรอยยิ้มแบบฉบับคนอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจเดินมากับคู่หูที่หน้าบูดอยู่เนืองนิตย์พอกันก็แทบจะหยุดยั้งขาไม่ให้วิ่งปราดได้ทันเวลา แล้วเปลี่ยนมาเป็นส่งยิ้มซื่อๆใสๆขัดตาทัพแทน

“ง่า... หวัดดียามเย็นฮะรุ่นพี่”

“เช่นกันเฟรี่ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่คราวนั้นสินะ”

คราวนั้นที่ลูคัสพูดหมายถึงต้นเหตุที่ทำให้เธอทะเลาะกับเจ้าน้ำแข็งตายซาก ความทรงจำที่น่าจดจำและน่ากลบไปพร้อมๆกันนั้นก่อให้เกิดรอยยิ้มแห้งเหี่ยวบนใบหน้าหวานของเจ้าหญิงแห่งเดมอส แต่ก็ยังคิดว่าโชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เธอเอ่ยออกไปอย่างไม่ยั้งคิดเมื่อกี้นี้

ลูคัสเบือนสายตาไปมองบุรุษแปลกหน้าที่ยืนข้างๆเธอ เช่นเดียวกับลอเรนซ์

“เฟรี่ แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ” ลูคัสกล่าวยิ้มๆ ผิดกับแววตาที่ชวนให้เฟรินอยากจะลากพ่อปีศาจโกยอ้าวจริงๆ

“เอ่อ เขา...อ่า...คือว่า...” เฟรินมองพ่อเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับรุ่นพี่อย่างไรดีถึงจะฟังน่าเชื่อถือ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคนที่ต้องแนะนำให้รู้จักเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองเสียเลย

“ข้าเป็นคนจากเดมอส เรียกข้าว่า...ฮาเดสก็ได้” คำแนะนำตัวมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเผินๆเหมือนการผูกมิตร หากนัยน์ตาสีดำนั้นกลับฉายแววบางอย่างที่เรียกให้สายเลือดของทริสทอร์เกิดปฏิกิริยา

“คนจากเดมอส” บุรุษหนุ่มผมทองเอ่ยทวน นัยน์ตาสีม่วงขึงเครียดทันที ก่อนถามด้วยน้ำเสียงไร้ความเป็นมิตรอย่างสิ้นเชิง “แล้วมาทำอะไรที่เอดินเบิร์ก”

“เจ้าหญิงแห่งเดมอสอยู่ที่นี่แล้วจะให้ข้ามาทำอะไรได้อีกล่ะ” เอวิเดสตอบเสียงระรื่น ไม่อนาทรร้อนใจกับการแสดงออกของมนุษย์ที่อ่อนวัยกว่ามาก

“หรือจะมาเป็นองครักษ์ให้เฟรี่ ทั้งที่ใช้พลังไม่ได้น่ะหรือ” น้ำเสียงลูคัสยังคงราบเรียบ หากคนที่จำใจรู้จักกันมานานอย่างลอเรนซ์จับได้ว่ามันแฝงไว้ด้วยความท้าทายอยู่ในที ซึ่งผู้เป็นเป้าหมายนั้นก็รู้สึกได้

“ปีศาจมีอำนาจมากกว่าที่พวกเจ้าคิด เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าใคร ซาตานแห่งทริสทอร์”

ดวงเนตรสีนิลเร้นลับมองสบกับนัยน์ตาสีดำสนิทของซาตานหนุ่มที่แม้จะน่ากลัวเพียงใดก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ อีกทั้งยังเป็นคนจากทริสทอร์ซึ่งมีตำนานว่าเป็นทาสของปีศาจ จึงไม่แปลกที่เลือดในกายของลูคัส ซาโดเรียจะตอบสนองต่อบุรุษผู้แท้จริงคือราชาปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองในทางใดก็ตาม

เฟรินที่อยู่เงียบผิดวิสัยเห็นท่าไม่ดีก็เสี่ยงพูดขัดจังหวะออกไป ก่อนที่จะเกิดศึกซาตานปะทะจ้าวปีศาจที่แอบหนีมาเที่ยว

“อ้า ถึงห้องแล้วล่ะฮะ ฮาเดส” เอ่ยเป็นการเตือนทางอ้อม พลางก็สะกิดเอวอีกฝ่ายด้วย

เอวิเดสมองลูกสาวอย่างเข้าใจ พยักหน้าตอบรับ แล้วกล่าวกับอีกมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ถูกใจ

“พรุ่งนี้ค่อยคุยต่อแล้วกัน ลูคัส ซาโดเรีย” แล้วก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ หันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกเด็กเล่นกับนักบวชผมทองที่มองอย่างระแวดระวัง “เจ้าทำท่ายังกับแมวระวังภัยเลยนะ ลอเรนซ์ ดอร์น”

ประโยคที่ลูคัสยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะ เฟรินรีบลากคนปากไวเข้าห้องแล้วปิดประตูทันที แต่เธอก็ยังได้ยินเสียงการเริ่มต้นอีกครั้งอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่ายของเกมโปรดของสองรุ่นพี่ผู้คุมกฎ

เกมไล่ฆ่าซาตาน



ระหว่างที่เฟรินนั่งคุยเล่นอยู่ในห้องของบุรุษแปลกหน้าจากเดมอสซึ่งที่แท้แล้วกลับเป็นคนใกล้ตัวอย่างพ่อตัวเอง ที่ห้องนั่งเล่นของชั้นปีสาม (ถึงจะยังไม่ได้เรียนเลยสักวิชาก็จัดว่าขึ้นปีสามแล้วนะ) บรรดาผองเพื่อนที่หลังๆนี้จะติดนิสัยของเฟรินมาอย่างหนึ่งแล้ว

นิสัยที่เห็นเรื่องลำบากของเพื่อนเป็นเรื่องน่าสนใจของเราไงล่ะ

เสียงพูดคุยปรึกษาหารือดังขนาดเล็ดลอดออกมาข้างนอกให้ผู้ผ่านไปผ่านมาได้แปลกใจที่ลิงทโมนตัวปัญหาแห่งป้อมพูดกันอย่างเอาการเอางานมาก หารู้ไม่ว่าเนื้อหาของบทสนทนาดังกล่าวนั้นชวนหนักใจและเอือมระอาเป็นที่สุดของที่สุด

ศูนย์กลางของการประชุมที่จัดขึ้นด้วยเสียงข้างมากนี้คือนักรบตาเดียวแห่งไนล์ผู้มีจุดเด่นที่ตาข้างหนึ่งคาดไว้ด้วยสายหนังสีเข้มและจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของหมอนี่ก็คือ...ความเชี่ยวชาญในการจีบสาว แม้จะต้องตกเป็นอันดับสองรองจากเฟรินก็ตาม

ความเชี่ยวชาญที่ขณะนี้เป็นจุดสนใจอย่างยิ่งเนื่องจากมันมีความจำเป็นกับคู่รักที่เป็นหัวข้อสนทนาหรือหัวข้อเรื่องซุบซิบนินทาของเพื่อนแสนดีทั้งหลาย

“อืม... ไม่น่าเชื่อเลยนะ” ครี้ดเอ่ย กอดอกพลางพยักหน้าเนิบๆ ทำอาการเดียวกับหลายๆคนในห้อง “ว่าเจ้าเฟรินมันจะหาแฟนใหม่ได้แล้ว คบกันไม่ทันไรเลยก็เขี่ยเจ้าชายทิ้งซะ...แอ๊ก!”

เสียงอุทานดังขึ้นเพราะความเจ็บที่กะโหลกศีรษะซึ่งเรียกให้คนหัวแข็งหันขวับกลับไปมองว่าใครกันที่เอาคทามาโขกหัวเขา...

เอ๋ คทา...

คำตอบได้รับแล้ว หากครี้ดนึกอยากย้อนเวลากลับไปเพื่อที่จะหนีเมื่อรู้ว่าโดนอะไรเขกกบาล ก่อนที่จะได้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าวาววับแสดงเจตจำนงอันมุ่งมั่นที่จะ...ฆ่าเขาให้ตายคาคทาอาวุธสำคัญของเจ้าหล่อนที่เป็นแม่มดภาษาอะไรก็ไม่รู้จากวิทช์

“พวกนาย...”

เสียงที่ข่มกลั้นโทสะเสียดแทงเข้าไปในหัวของหนุ่มๆที่หาเรื่องใส่ตัวซึ่งพากันอกสั่นขวัญแขวนกันหมด

นิสัยชายชาตินักรบอย่างหนุ่มป้อมอัศวิน เจอเรื่องอันตรายบ่ยั่น แต่เจอผู้หญิงโกรธนี่...โกยอ้าว!

เร็วเท่าความคิด ขาของเหล่าทโมนทั้งหลายยกเว้นจ่าฝูงชั่วคราวพากันติดเกียร์หมาโดยทิ้งครี้ดไว้ภายใต้ความเมตตาการุณย์ของแม่มดผู้เหี้ยมโหดขึ้นมาทันตาเห็นหากคทาอยู่ในมือ แต่ทว่าฝูงที่โรมรันพันตูเพื่อจะออกจากห้องก่อนเป็นคนแรกกลับหยุดชะงักความเคลื่อนไหวอย่างทันทีทันใด ไม่มีใครอยากจะเข้าไปใกล้ประตูทางออกกันเลยสักคน เนื่องจากว่า...เจ้าแม่แห่งชั้นปีสามยืนเท้าสะเอวมองด้วยนัยน์ตาสีเขียวมลังเมลืองจากอารมณ์โกรธ และเจ้าหญิงผู้สวยน่ารักก็ยิ้มอย่างเย็นชาราวถอดแบบมาจากญาติห่างๆของเจ้าหล่อนเลยก็ว่าได้

มาทิลด้าแย้มยิ้มเหี้ยมเกรียมเรียกให้เหล่าหนุ่มๆผู้ฟังขนลุกชัน “ดูท่าพวกนายจะว่างงานมากนะ”

“อ่า... มันก็ไม่ว่างเท่าไหร่หรอกจ้ะมาทิลด้า” ครี้ดตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ และก็ร้องดังลั่นกว่าเสียงของคทาที่ประชันความแข็งกับหัวของเขา คราวนี้สาวน้อยผมทองเพิ่มแรงเข้าไปอีกเป็นเท่าตัวทำเอาครี้ดเห็นดาว

“เห็นอยู่ชัดๆว่าว่างงาน! พวกนายนี่มันสมองกรวงเหมือนเจ้าหัวขโมยนั่นกันหมดหรือไงนะ วันๆถึงได้มัวแต่จับกลุ่มคุยฟุ้งเรื่องคนอื่นเค้าน่ะ” แองเจลิน่าพูดพาดพิงไปถึงอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

“ไม่ได้คุยฟุ้งจ้า” ครี้ดที่เริ่มฟื้นตัวจากฤทธิ์คทาของเจ้าหล่อนรีบแก้ตัว ซึ่งเจ้าเพื่อนคนอื่นมันก็ให้เขาเป็นคนรับหน้ากับเหล่าแม่ยอดขมองอิ่มทั้งหลายอีกต่างหาก โธ่เว้ย ไอ้เพื่อนไม่รักดี!

“งั้นก็ซุบซิบนินทา นี่หรือผู้ชาย” มาทิลด่าเอ่ยเสียงเหยียดๆ

“เปล่านะ พวกเราก็แค่คุยกันเรื่องคู่ควงคนใหม่ของเฟรินเท่านั้นเอง” เจค สวอนสารภาพด้วยกลัวว่าเพื่อนคู่ฮาจะโดนชำระโทษจนสมองเสื่อม ไม่มีปัญญามาก๊งเหล้าเป็นเพื่อนกับเขาอีก

เพื่อนฝูงรุมกรูกันเข้ามาตะครุบปากเจ้าคนปากไวที่สารภาพไปเสียแล้ว

“เมื่อกี้...นายว่าไงนะ” แองเจลิน่าถามอย่างไม่เชื่อหู

“เจค ครี้ด เล่ามาเดี๋ยวนี้!” มาทิลด้าออกคำสั่ง

คำส่งของเจ้าแม่ที่เหล่าทโมนทั้งหลายยอมศิโรราบ ปฏิบัติตามแต่โดยดี



สาวน้อยผู้มีเรือนผมสีเงินยาวสลวยเยื้องกายออกจากโรงอาหารของป้อมอัศวินหลังจากฟาดอาหารไปทั้งหมดอย่างชวนให้ตะลึงว่าที่กินๆเข้าไปนั่นเอาไปเก็บไว้ที่ส่วนไหนในร่างเล็กแบบบางนั้นนะ แคเรน วาเนบลีก้มหน้าครุ่นคิดถึงความสงสัยที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เช้า

ความสงสัยที่ผุดขึ้นมาในใจหลังจากที่เห็นว่าผู้เป็นพี่ชายของเธอนั้นหายไปจากห้องแล้ว หายไปอย่างไร้ร่องรอยพอๆกับเจ้าน้องชายฝาแฝดตัวแสบของเธอที่ปกติมันตื่นสายจนไม่น่าให้อภัย มาวันนี้กลับตื่นก่อนเธอและชิ่งไปไหนก็ไม่รู้

มันน่าหงุดหงิดและน่าสงสัยจริงๆเลย

แคเรนบ่นพึมพำบางอย่างกับตัวเองถึงนิสัยลึกลับของเฟนริลที่บางครั้งก็นำความขุ่นเคืองมาให้เธอมากโข อีกทั้งเจ้าคอร์ลินตัวป่วนนั่นก็ดันไม่ยอมอยู่เป็นเพื่อนกันก่อนอีก จริงอยู่หรอกว่าในป้อมอัศวินยุคนี้ไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากสมัยของเธอนัก แต่ยังไงก็ไม่ควรทิ้งให้พี่สาวอยู่คนเดียวเลย แย่ชะมัด แล้วนี่ถ้าเกิดเจอพวก...

“เฮ้ย!”

เสียงอุทานจากคนที่เธอเผลอเดินเหยียบเท้าเข้าให้เพราะไม่ได้มองทางให้ดีๆ เจ้าหญิงคนสวยรีบชักเท้าออก เงยหน้ามองคนที่ดันเอาเท้ามาให้เธอเหยียบแล้วกล่าวขอโทษอย่างผู้มีมารยาทดีไร้ที่ติ หากคำตอบที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายซึ่งออกจะส่งท่าทางตัวผู้เกินไปหน่อยนั้นเกือบจะยั้งเธอไว้ไม่อยู่

“โอ้ว้าว สวยอย่างนี้ไม่เป็นไรเลยจ้า ยังไงคราวหน้าก็ล้มทับทั้งตัวเลยก็ได้นะ”

นัยน์ตาสีดำวาววับมองลึกเข้าไปในแววตาหวานเชื่อมของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่านายคนนี้ไม่มีอะไรนอกจากความปากพร่อยก็คิดจะให้อภัยแล้วเชียว จนกระทั่งเจอกับประโยคต่อมา

“ถ้าว่างไปคุยกันต่อที่ห้องฉันมั้ย ยินดีต้อนรับเลยนะ”

เสียงของความอดทนที่ขาดสะบั้นลงทันใดมาพร้อมกับเสียงเข้มไม่คุ้นหูที่ดังขึ้นจากเบื้องหลังของเธอ

“กล้ามากนะที่พูดอย่างนี้”

“การชวนผู้หญิงที่เพิ่งพบหน้าเข้าห้องนี่เป็นการหมิ่นเกียรติและลบล้างความเป็นสุภาพบุรุษของตัวเองนะรู้รึเปล่า”

ประโยคแรกดังมาจากบุรุษผมทองที่ทำหน้าบึ้งอารมณ์ขุ่นมัวทั้งวันและทุกวัน

ประโยคหลังออกมาจากเรียวปากที่กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มของซาตานผู้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

ทั้งหมดส่งผลให้ใบหน้าของคนที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษซีดเผือดทันใด รีบขอโทษขอโพย ก่อนจะหนีไม่คิดชีวิต

“เหอะ! คนแบบนี้หลุดมาป้อมอัศวินได้ยังไงนะ” ลอเรนซ์เอ่ยเยาะหยัน

“เอาน่าๆ มันก็ต้องมีบ้างแหละ” ลูคัสกล่าวอย่างใจเย็น ก่อนเบนสายตามาสบกับนิลคู่งามที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว “อรุณสวัสดิ์ แคเรน”

เมื่อมีคนทักทายมาอย่างสุภาพ ไฉนเลยจะไม่ตอบกลับไปแบบเดียวกัน

แคเรนเผยรอยยิ้มหวาน...สวย

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่ลูคัส พี่ลอเรนซ์ มาได้จังหวะพอดีเลยนะคะ”

“อืม... อันที่จริงฉันยอมรับนะว่ารอเธออยู่” ลูคัสสารภาพพร้อมเสียงหัวเราะ

แคเรนมีสีหน้ารับรู้ “คงจะถามถึงเรื่องคนจากเดมอสใช่ไหมคะ เสียใจค่ะ ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันไม่ใช่เฟนริลที่จะรู้ทุกเรื่องนี่คะ”

“แล้วพี่น้องของเธอไปไหน” เสียงถามห้วนๆจากลอเรนซ์ไม่ทำให้สาวน้อยหวั่นสักนิด เจ้าหล่อนกลับเชิดศีรษะตั้งตรง ตอบอย่างไม่สนใจว่าสายตาของผู้คุมกฎหน้าบูดจะดุดันมากขึ้นแค่ไหน

“ฉันกับพวกเขาไม่ได้ตัวติดกันขนาดจะรู้ว่าไปไหนนี่คะ ในเมื่อพี่อยากจะพบเขานักทำไมไม่เฝ้าเขาซะเลยล่ะ”

ประโยคชวนหาเรื่องเด่นชัดก่อให้เกิดอาการกัดฟันกรอดอย่างระงับอารมณ์ของชายหนุ่มร่างสูง

“อ่า... เย็นๆฉันค่อยมาหาอีกทีแล้วกัน ไปเถอะลอรี่...” ขาดคำ เสียงดังฉึกเนื่องจากอาวุธถนัดมือของนักบวชถูกปาออกไปยังคนกวนโทสะซึ่งเป็นเป้าชั้นเลิศ จากนั้น เกมไล่ฆ่าซาตานก็เริ่มขึ้นต่อหน้าต่อตาสาวน้อยที่พยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต ก่อนจะเบือนสายตาไปมองมีดสั้นที่ปักคากำแพงซึ่งเป็นต้นเหตุของรอยประดับกำแพงป้อมอัศวินที่แม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดมันก็ยังอยู่...

ยังคงอยู่ให้รุ่นน้องได้รู้ว่าครั้งหนึ่ง ซาตานกับนักบวชเป็นคู่หูที่สนิทกันเพียงไร



กำหนดการนำเที่ยวของเจ้าชายแห่งเจมิไนที่ดำรงตำแหน่งเสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินในวันนี้คือการพากษัตริย์และเจ้าหญิงแห่งเดมอสเยี่ยมชมปราการปราชญ์ ปราสาทขุนนาง และแผ่นดินประชาชนตามลำดับ ซึ่งได้รับคำอนุญาตพิเศษจากจอมปราชญ์เลโมธีให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามายังหอพักอื่นนอกเหนือจากป้อมอัศวินได้

เฟรินที่ตอนแรกดีใจที่ได้มาเยือนหออื่นบ้างก็แทบจะโยนความคิดนี้ลงเหวเนื่องจากว่าแม้จะเปลี่ยนสถานที่หากเธอก็ยังเป็นเป้าสายตาเช่นเคย หัวขโมยที่เกลียดการเป็นจุดเด่นหรือจุดสนใจทำตัวลีบเล็กเดินเคียงมากับบุรุษร่างสูงที่ใส่ชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนยามอยู่ที่เดมอส

บุรุษที่มองเธอด้วยความเอ็นดูเสมอ

ความเอ็นดูที่ใครบางคนอาจมองผิดว่าเป็นแววตาหวานเชื่อมที่มีให้คนรักกัน

และนั่นจึงไม่แปลกหากข่าวลือนี้จะแพร่ขจายโดยตอกไข่ใส่สีซะยิ่งกว่าเดิม

แต่สองผู้เป็นข่าวดังแห่งโรงเรียนพระราชาบัดนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย ยังคงเที่ยวชมสถานที่ซึ่งไม่ใช่ที่เที่ยวอย่างเพลิดเพลิน

เฟรินเดินก้าวไปช้าๆเพราะสายตาไล่ไปตามทางอันหรูหราประดับประดาไปด้วยสิ่งของตกแต่งมากมายของปราสาทขุนนาง ทางอันคุ้นตาที่นำเอาความทรมานให้กับโรคหัวขโมยยิ่งนัก

“ปราสาทขุนนางนี่ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็เลิศอลังการไม่เปลี่ยนเลยแฮะ” เสียงบ่นเบาๆตามประสาเฟริน เดอเบอโรว์ดังไปเข้าหูบุรุษต่างวัยต่างนิสัยทั้งสองซึ่งสะดุดใจกับความหมายของประโยคที่เจ้าตัวเอ่ยออกมาโดยไม่รู้สึกตัว

“ต่อไปก็แผ่นดินประชาชนใช่ไหมฮะพี่โรเวน” เฟรินถาม นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายระยับ แถมเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น ให้โรเวนขยับตัวถอยห่างอย่างกลัวว่าแค่ข่าวลือกับองครักษ์จากเดมอสจะยังไม่พอ พ่วงเขาไปด้วยอีกคน ก่อนตอบด้วยการถามกลับว่า

“ทำไมถึงได้ดีใจนักล่ะเฟริน”

“ก็แหม พี่ไม่รู้เหรอฮะ อาหารที่ห้องอาหารฟีนิกซ์น่ะเขาล่ำลือกันว่าสุดยอดเลยนี่ ผมเองก็เพิ่งกินไปมื้อเดียวเอง หิวแล้วด้วย”

“มื้อเดียว” โรเวนทวนคำขำๆ “ตื่นสายหรือไง”

เฟรินยิงฟันขาว “เมื่อคืนผมคุยกับพ...ฮาเดสจนดึกไปหน่อย วันนี้เลยตื่นเอาเกือบสิบเอ็ดโมง มื้อแรกของผมเลยกลายเป็นมื้อกลางวันน่ะฮะ”

โรเวนโคลงหัวอย่างเข้าอกเข้าใจดี ก่อนจะนำไปยังที่หมายต่อไปซึ่งเป็นหอพักสุดท้าย...แผ่นดินประชาชน

หรือพูดให้ถูก พาไปห้องอาหารฟีนิกซ์



สีหน้าของเมจิคปรินซ์ยามนี้ปนไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจและตกตะลึงเป็นที่ยิ่ง ก่อนจะเรียกหน้ากากฟาโรห์มาสวมกลบความตกใจที่มีต่อภาพตรงหน้าและความจริงที่ได้พิสูจน์มาแล้วกับตาคู่นี้ของตัวเอง

ภาพที่พิสูจน์ว่าสายเลือดนั้นแรง...และคำว่า ‘ลูกไม้(เน่า)หล่นไม่ไกลต้น’ นั้นเป็นเรื่องจริง

โรเวนเคยเห็นเฟริน เดอเบอโรว์ยามทานอาหารมาก่อนแล้วจึงไม่ได้แปลกใจเลยหากความเร็วในการเขมือบและปริมาณที่ยัดเข้าไปในปากของเจ้าหล่อนจะชวนตกตะลึงได้ขนาดนี้ แต่...สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดถึงมาก่อนก็คือความจริงที่ว่านิสัยในการกินของคนที่ทำตัวไม่สมเป็นเจ้าหญิงนั้นได้รับการสืบทอดต่อมาจากรุ่นพ่อซึ่งทำตัวได้ไม่สมกับเป็นราชาพอกันเลย

บนโต๊ะนั้นแออัดยัดเยียดไปด้วยจานอาหารซึ่งฟากหนึ่งคือแถวของจานเปล่าที่ตั้งสูงขึ้นเรื่อยๆจนน่าหวาดเสียวว่ามันจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ แต่ตัวเขมือบทั้งสองก็แก้ปัญหาง่ายๆด้วยการแบ่งเป็นสองแถว และโรเวนหวังว่ามันจะสิ้นสุดลงก่อนจะขึ้นแถวที่สาม

เขาได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าเฟรินไม่กินเนื้อสัตว์ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่มาดัส เดอเบอโรว์ไม่คิดจะเอาลูกสาวคนนี้พ่วงท้ายติดไปเกาะทะเลใต้ด้วย (แต่เหตุผลใหญ่ๆนั้นโรเวนคิดว่าเพราะมีค่าหัวมากกว่า) แต่เขาเพิ่งจะได้รู้วันนี้เองว่าจ้าวปีศาจก็มีรสนิยมการกินไม่ต่างจากพระธิดาเลย

เฟรินเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวเพื่อดื่มน้ำพอดีจึงทันเห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินที่จับจ้องมองของรุ่นพี่ที่นั่งเงียบคอยเธอกับพ่อทานมื้อที่สองของวันอยู่

“มีอะไรเหรอฮะ”

โรเวนยิ้มแล้วเปรยขึ้น “แค่แปลกใจที่ปีศาจไม่ทานเนื้อน่ะ”

“อ๋อ เรื่องนั้นมันมีที่มาที่ไปฮะ แล้วผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง”

สิ้นคำก็จัดการเขมือบจานตรงหน้าหมดในเวลาไม่กี่นาที ให้โรเวนถอนหายใจและนึกเป็นห่วงอนาคตของเดมอส ยิ่งไปกว่านั้นคืออนาคตของคาโนวาลที่จะได้เจ้าหญิงหัวขโมยเป็นราชินี



เมื่อสองพ่อลูกจอมเขมือบอิ่มเอมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฟรินก็นั่งเอนซบไหล่ผู้เป็นพ่ออย่างหมดท่า ผิดกับบุรุษข้างกายที่กินมากกว่าหลายเท่าตัวหากไม่แสดงอาการอึดอัดที่บริโภคอาหารเกินอัตราเลยสักนิด ตรงกันข้าม เอวิเดสกลับบ่นว่าอาหารของเดมอสดีกว่ามีประโยชน์กว่าเป็นไหนๆ

บ่น...ทั้งที่ตัวเองจัดการกินไปไม่ใช่น้อยๆ

โรเวนเอือมระอากับนิสัยอันมีปัญหาของสองพ่อลูกตระกูลเกรเดเวล ก่อนตัดสินใจที่จะเลิกสนใจเพราะมันให้ผลดีกับประสาทตนเองมากกว่า

เฟรินพ่นลมพรืด ก่อนจะพูดอย่างทุลักทุเลด้วยความที่กินไม่รู้จักประมาณตัว

“โธ่เว้ย ไม่น่ากินเยอะเลย บ้าชะมัด”

เอวิเดสแย้มพระโอษฐ์ ดำรัสว่า

“จะมาแข่งกับข้า ยังเร็วไปหลายร้อยปีนะ...เฟลิโอน่า”

เฟรินขานรับอยู่ในใจ สาปแช่งความคิดชั่ววูบที่คิดจะแข่งกับพ่อ

ใช่สินะ ไม่ว่าพ่อคนไหนๆเขาก็ไม่เคยชนะสักที อ้อ... อาจจะยกเว้นเรื่องหมากรุกเรื่องเดียว

“แล้วจะเดินกลับไหวไหม” โรเวนถามเสียงเนือยๆ

เฟรินรวบรวมแรงฮึดจะลุกขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จ พยายามอยู่หลายครั้งจนคนข้างตัวรำคาญ เอ่ยตัดบทง่ายและไม่รอให้เจ้าตัวป่วนได้คัดค้าน ยื่นมือไปโอบหลังคนตัวเล็ก แล้วสอดแขนอีกข้างรองใต้ข้อพับขา ก่อนจะออกแรงเพียงนิดเดียวอุ้มหญิงสาวแต่ภายนอกขึ้นตัวลอยโดยไม่แคร์สายตาคนอื่นที่มองมาอย่างเห็นเป็นเรื่องตื่นตาตื่นใจ

“เฮ้ย! พ..พ...” เฟรินยั้งปากตัวเองไว้ทัน “ทำอะไรเล่า ปล่อมผมลงนะ”

“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะได้ไปสักทีล่ะ อยู่เฉยๆเถอะ เดี๋ยวข้าจะพากลับห้องเอง” เอ่ยสั่ง แล้วเดินลิ่วๆไม่สนใจเจ้าชายคนสำคัญแห่งเจมิไนที่กุมขมับอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า ถอนหายใจอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แล้วค่อยเดินตามคนที่ทำอะไรได้สะดุดตาดีแท้

น่ากลัวว่าป้อมจะต้องกลายเป็นพาหุหิมะด้วยฝีมือของเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่สติแตกเพราะเห็นภาพบาดตาบาดใจซะแล้วสิ



เป็นอย่างที่โรเวนคาดเดาไว้ วันรุ่งขึ้น เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องอาหารดรากอนก็ได้ยินข่าวที่เขาพบเห็นมากับตาตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คำเล่าลือหนาหูที่ว่าเจ้าหญิงแห่งเดมอสมีพระคู่หมั้นเป็นบุรุษหนุ่มผมสีดำนัยน์ตาสีดำสนิทซึ่งรักกันหวานชื่น และมีหลายคนได้ยินเจ้าตัวแสบให้อีกฝ่ายเรียกนามที่ไม่ชอบได้ตามสบาย นั่นเองอาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นเชื่อกันว่า...ภาพที่พวกตนเห็นคือภาพของคู่รักที่หวานกันจนเลี่ยน

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ โรเวนก็แทบจะไม่ต้องไปซักถามข่าวลือนั้นจากใครเลย เพราะแค่เขานั่งกินอยู่กับโต๊ะก็มีข่าวจากคนนู้นทีคนนี้ทีลอยมาเข้าหู จนกระทั่งเขาคิดว่าได้ฟังทั้งหมดแล้วก็เกิดอาการอึ้งกะทันหันกับข่าวลือที่ได้รับการปรุงเสริมเติมแต่งจนแทบไม่เห็นเค้าเดิม

และบางทีออกจะหวือหวาเกินไปด้วยซ้ำกับข่าวที่ว่าเฟลิโอน่า เกรเดเวลอยู่ห้องเดียวกับบุรุษจากเดมอสสองต่อสองทั้งคืน

เป็นข่าวที่ใครได้ฟังได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะตีความสองแง่สามง่าม ยังดีที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาเป็นคำพูดเท่านั้น และจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่มันก็ส่งผลไม่ค่อยดีนักกับชีวิตอันหวานชื่นกับคนรักจริงๆของคนที่ตกเป็นขี้ปากเพื่อนร่วมป้อมอัศวินหรืออาจทั้งโรงเรียนพระราชา

ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นเพียงเรื่องตลกร้ายของปีศาจ...เท่านั้นเอง

โรเวนไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดีระหว่างปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม หรือจะยื่นมือเข้าไปช่วยซึ่งอาจเสี่ยงกับอะไรได้หลายๆอย่าง

บางที...เขาน่าจะลองดูไปก่อน แล้วถ้ามันไม่ไหวจริงๆค่อยช่วยสักนิดสักหน่อยก็น่าจะได้



เฟรินยังมีอาการของคนเพิ่งตื่นนอนและมีมือเล็กๆของสาวน้อยผมสีเงินยาวสลวยคอยดันหลังให้ก้าวไปข้างหน้าเหมือนคนละเมอ ภาพที่สร้างรอยยิ้มด้วยความขบขันจากผู้ผ่านไปผ่านมา รวมไปถึงสายตาแสดงความสนใจและสงสัยที่พุ่งไปยังเจ้าหญิงที่ไม่สมเป็นเจ้าหญิง ให้เจ้าหญิงอีกคนหนึ่งเกิดคำถามขึ้นในใจและหมายมั่นว่าจะถามใครสักคนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดี อย่างเช่นเสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมซอมซ่อนี้

“เฟริน”

แคเรนเห็นแองเจลิน่า โรมานอฟยืนเท้าสะเอว มือข้างหนึ่งถือคทา ใบหน้าน่ารักงออย่างไม่พอใจ...อย่างมากด้วย

“นายจะให้คนอื่นรอไปถึงไหนยะ” แองจี้กระแทกเสียงหวังจะให้คนขี้เซาลืมตามองเธอเสียที แต่หารู้ไม่ว่าเจ้าตัวยุ่งนั้นตื่นยากแค่ไหน และเธอก็เพิ่งมารู้ชัดเอาขณะนี้ แองจี้จึงคิดจะใช้วิธีที่ได้ผลเสมอมา แม่มดสาวเงื้อมือที่ถือคทาขึ้นเพื่อจะกระทำแบบเดิมๆ แต่สาวน้อยเอ่ยห้ามด้วยรอยยิ้มหวานล้ำ

“ความรุนแรงบางครั้งก็แก้ปัญหาได้ไม่ถึงที่สุดนะคะพี่แองจี้ ฉันว่าใช้วิธีนี้ดีกว่า”

แองเจลิน่าขมวดคิ้วงง ด้านหลังนั้น เหล่าเพื่อนสนิทของแม่สาวหัวขโมยก็ออกมาดูด้วยความสนใจ คิลกับโรยิ้มกว้างเมื่อเห็นสภาพของเจ้าหญิงที่เดินหลับตามา ส่วนคาโลส่งสายตาบ่งความอิดหนาระอาใจที่เจ้าหล่อนไม่ได้สนใจจะรับรู้เลย

แคเรนเอื้อมมือแตะแกมเนียนใสเบาๆ ก่อนจะไล่ลูบลงมาถึงลำคอ ซึ่งได้รับการตอบสนองโดยส่ายหน้าหนี เรียกรอยยิ้มไม่น่าวางใจจากดวงหน้าสวยหวาน มืออีกข้างของแม่คุณกระชับเอวบางของคนตัวสูงกว่า ก่อนเด็กสาวจะเป่าลมหายใจที่ข้างหูให้เฟรินครางเบาๆด้วยความรำคาญ เสียงซึ่งเรียกให้ผู้มองทั้งสี่รู้ซึ้งเลยว่าสาวน้อยผู้นี้มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย

แคเรนกระซิบแผ่วเบาด้วยถ้อยคำที่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งใดหนอที่ปลุกให้คนขี้เซาลืมนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นทันทีแล้วรีบผละห่างให้หลุดจากมือซุกซนของแม่สาวที่ไม่ไร้เดียงสาเหมือนที่เห็นภายนอกซะแล้ว

เฟรินเบิกตามองคนเองหน้าที่ฉีกยิ้มกว้าง จะด้วยความขำขันในปฏิกิริยาของเธอหรือความพอใจที่ได้แกล้งเธอได้ก็สุดรู้ เธอรู้แค่ว่าวิธีปลุกของแม่เจ้าประคุณไม่เคยซ้ำกันเลยสักหนนับตั้งแต่เธอขออาศัยอยู่ห้องเดียวกัน

“อรุณสวัสดิ์จริงๆได้แล้วสินะคะพี่เฟริน สดชื่นดีไหม”

เฟรินยิ้มฝืดๆ “ง่า... ขอบใจที่ช่วยเหลือนะแคเรน”

“ไม่เป็นไรค่ะ สนุกดี” เธอตอบพร้อมยิ้มซื่อ “รีบเข้าไปเถอะค่ะ เห็นมั้ยว่าคนอื่นเขารออยู่”

ประโยคท้ายเรียกให้เฟรินหันขวับไปมองทันที แล้วก็แทบจะมุดพื้นหนีกลับห้องเมื่อพบนัยน์ตาสี่คู่จับจ้องอยู่

“เอ่อ ตื่นได้แล้วก็ดี” แองจี้บอกปัดๆก่อนรีบแจ้นเข้าห้องที่เป็นสถานที่ประชุมของชั้นปีสามหมาดๆ

“เป็นวิธีปลุกที่ยอดเยี่ยมมาก” โรชมเหมือนจะแกล้งคนที่ถูกวิธีนั้นปลุกซึ่งกัดฟันกรอด ส่งสายตาอาฆาต

“ช่างรังสรรค์ดีแท้” คิลเสริมด้วยรอยยิ้มทะเล้น “น่าให้ใครบางคนทำบ้างเนอะ”

นั่นคือฟางเส้นสุดท้ายของยอดหัวขโมยที่เกือบจะได้เป็นยอดนักมวยปล้ำจากการฝึกซ้อมฝีมืออยู่เสมอกับเพื่อนนักฆ่าปากพาจน และมีเจ้าชายน้ำแข็งที่ต้องเป็นกรรมการห้ามศึกอีกครั้ง



“อย่างที่พวกนายคงรู้กันหมดแล้วจากความแสนรู้ของใครบางคน” มาทิลด้าเกริ่นด้วยการชมขอทานกิตติมศักดิ์คนแสนรู้ “ว่าเหตุผลที่เรายังไม่มีการเรียนการสอนก็เนื่องมาจากการคลาดแคลนครูผู้สอนและปัญหาขลุกขลักบางประการ”

เหล่าผองเพื่อนตัวแสบยังสงบปากสงบคำได้อยู่

“ขณะนี้จอมปราชญ์เลโมธีกำลังคัดเลือกอาจารย์ที่จะมาสอนสองวิชานี้ คือวิชาดาบกับวิชาประวัติศาสตร์จากผู้สมัครมากมาย มากจนต้องใช้เวลานานโขและต้องมีผู้ช่วยเยอะ นั่นแหละหนึ่งในปัญหาขลุกขลักที่ว่า” มาทิลด้าบอกเล่าด้วยเสียงดังฟังชัดเพื่อหวังว่าจะไม่มีใครนอนตั้งแต่แรกเริ่ม

“มีใครรู้มั่งว่าเขาคัดเลือกอาจารย์กันยังไง” เจ้าชายอาชูร่า เอพริลถามอย่างสนใจ และปลุกความอยากรู้อยากเห็นรวมถึงความเฮฮาได้ทุกสถานที่ของชาวป้อมอัศวิน จนบางครั้งก็ลืมคำนึงถึงสถานการณ์

“ฉันรู้ๆ วิชาดาบก็ต้องเชี่ยวชาญการยืนหลับ วิชาประวัติศาสตร์ก็ต้องรู้จักการกล่อมให้นักเรียนไปสวรรค์ชั้นฟ้า” เอ็ดเวิร์ด ลอเรนโซ่ทำหน้าที่แทนหัวขโมยที่เงียบจนน่าแปลกใจ และก็ได้รับคทาเขกกบาลแทนด้วย

“ไม่ใช่เวลาพูดเล่นนะ” แองจี้แหวใส่อย่างหงุดหงิด

แล้วทันใดก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพอดีในความเงียบจากการขัดเสียงฮาของแม่มดสาวแห่งวิทช์ ครี้ดที่อยู่ใกล้ประตูสุดเลยลุกขึ้นเปิดให้ แล้วก็แทบจะสะกดความตกใจไว้ไม่ได้ ถอยปรูดไปชนเข้ากับเดท ไฟเออร์เข้าพอดิบพอดี

พวกตัวป่วนทั้งหลายต่างก็อยู่ในอารมณ์ตกใจพอๆกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟรินและคิลที่แทบตะลึงกับแขกที่มาเยือน

ฮาเดส องครักษ์หรือราชาปีศาจแห่งเดมอสที่มากับเจ้าชายโรเวนยืนยิ้มอย่างคนอัธยาศัยดีให้กับผองเพื่อนของพระธิดาสุดที่รัก ก่อนจะก้าวเข้ามาโดยไม่รอคำเชิญตามประสาคนที่ไม่เคยแคร์สายตาใครหน้าไหนทั้งนั้น

“เฟลิโอน่า” เอวิเดสเอ่ยพระนามของเจ้าหญิงแห่งบารามอสและเดมอสอย่างที่ทำให้เพื่อนคนอื่นรู้ชัดว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่ใช่นายกับบ่าว เจ้าหญิงกับองครักษ์ แต่มันมากกว่านั้น...มากจนน่าคิด

“ทำไม...” เฟรินกล่าวออกไปได้เพียงเท่านั้น อาการตื่นตกใจยังมีอยู่ เธอเบือนสายตาไปมองเจ้าชายโรเวนที่ยิ้มอย่างอ่อนใจส่งให้แทนคำตอบ

เท่านั้นเฟรินก็กลืนน้ำลายเอื๊อก ยิ้มแห้งๆด้วยรู้ว่าพูดอะไรไปพ่อเธอก็คงไม่สนใจจะฟัง จึงเปลี่ยนเป็นเอ่ยชวนให้ท่านนั่งลงแทนที่คิลซึ่งรู้ว่าตัวเองควรลุกไปนั่งที่อื่น และประจวบเหมาะเหลือเกินที่เก้าอี้ว่างเหลือเพียงตัวข้างๆเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลซึ่งใช้นัยน์ตาคู่งามมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะเบือนหลบเมื่อสบตากัน

เมื่อเห็นแขกนั่งลงเรียบร้อยแล้ว มาทิลด้าก็ประชุมต่อ

“ถึงไหนแล้วนะ เอ้อ อาจารย์ชามัลทราบว่าพวกเราจะมีเวลาพักมากเกินพอจากการคัดเลือกอาจารย์ แกเลยให้งานเป็นการอำลาก่อนลาจากไปเป็นคิงบารามอส” สิ้นประโยคนั้น เสียงโห่ก็ดังคับห้องประชุม ให้มาทิลด้าทุบโต๊ะขู่ จนเสียงเสียบลงเธอจึงพูดต่อ “รายงานวิชาประวัติศาสตร์ หัวข้อคือ ‘ว่าด้วยสงคราม...นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน’ จำนวนมากกว่าหนึ่งพันหน้า เสร็จก่อนเริ่มการเรียนการสอน”

คราวนี้เสียงโห่ดังกว่าเก่า แทบจะเป็นการคร่ำครวญของผู้แพ้ที่โดนแย่งชิงสิ่งของมีค่าไป ซึ่งก็เป็นการเปรียบเปรยที่เข้าท่า เพราะรายงานหนาชนิดนรกยังชิงชังนั้นแย่งชิงเวลาพักผ่อนอันล้ำค่าของพวกเขาไป!

“ยังไม่จบ” คำสั้นๆนั้นก่อให้เกิดความเงียบราวป่าช้า แววตาของลิงทโมนทั้งหลายหวังว่าสิ่งที่เจ้าแม่แห่งป้อมเอ่ยจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิดเอาไว้ แต่พวกเขาคิดถูก “อาจารย์ท่านอื่นก็มีงานให้ทำเหมือนกัน”

สิ้นคำ ราวกับเกิดกลียุคกับป้อมอัศวินปีสามซึ่งโดนอุกกาบาตหล่นทับเข้าอย่างจัง



การประชุมยังไม่เสร็จสิ้น เจ้าหญิงแห่งอเมซอนยังคงทำหน้าที่ดุจหัวหน้าชั้นปี อธิบายถึงรายงานทั้งหมดที่ถาโถมเข้ามาในทีเดียว แต่ละวิชาก็ให้หัวข้อมาอย่างชวนให้กระอัก อย่างเช่นวิชาเวทมนตร์ของอาจารย์แม่มดวิงกี้ที่ให้นักเรียนไปฝึกเวทที่ไม่มีในบทเรียนมาแสดงให้แกดู น่าสงสัยว่าแกจะลืมไปหรือยังว่าเมื่อปีหนึ่งเคยมีนักเรียนเกือบผ่าแกด้วยสายฟ้า

ยิ่งกว่านั้นอาจารย์แต่ละท่านยังมีรายละเอียดที่ให้เสริมในรายงานคนละอย่างกันด้วย จึงเป็นหน้าที่ของมาทิลด้าที่ต้องร่ายยาวให้เหล่าผองเพื่อนฟัง ชวนให้หนุ่มๆทั้งหลายแห้งเหี่ยวตายซากราวกับคนที่หลงทางอยู่ในแอ่งกระทะร้อนถูกคั้นน้ำไป ความคิดของทุกคนที่มีต่องานมหาโหดหินทั้งหมดนี้ไปในทางเดียวกัน

มันเป็นงานที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการทำสงครามเสียอีก

นั่นคือความจริงที่เกือบทุกคนเห็นด้วย และทำให้ไม่มีใครกล้าหลับตาเข้าสู้ความฝันอันแสนหวานแม้ว่าความเป็นจริงจะทรมานและเรียกร้องให้หนังตาหย่อนคล้อยลงมาทุกทีๆแค่ไหนก็ตาม อ้อ อาจจะยกเว้นใครบางคน

ครอก...ฟี้ ครอก...ฟี้

เสียงกรนสม่ำเสมอดังขึ้นจากคนที่หลับได้หลับดีซึ่งเอนหลังพิงผนักอย่างอ่อนปวกเปียก ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมยาวสีน้ำตาลเอนไปทางด้านข้างหนุนกับไหล่คนตัวโตที่เอนมาหนุนกระหม่อมคนตัวเล็กด้วยลักษณะเดียวกัน เสียงกรนนั้นดังมาจากสองหน่อผู้เข้าคู่กันอย่างเหมาะเจาะ

โรเวนคลึงขมับเบาๆเพื่อคลายอาการปวดประสาทซึ่งเกิดขึ้นจากสองพ่อลูกตระกูลเกรเดเวล นัยน์ตาสีน้ำเงินฉายแววหนักใจกลัดกลุ้มกับการนอนไม่สมฐานะของคู่ตัวปัญหา เสียงกรนที่ควรจะมีแค่หนึ่งกลับเป็นสองจึงไม่แปลกที่จะเรียกสายตาคนอื่นในห้องให้หันมามองเป็นตาเดียว

สายตาของเพื่อนๆมองอย่างเห็นใจและปลงอนิจจังเมื่อแองเจลิน่าเดินไปยืนตรงหน้าเจ้าตัวแสบที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เธอกำคทาในมือแน่น คราวนี้หมายมาดว่าจะโป๊กหัวเจ้าตัวยุ่งให้ได้

ก่อนที่คทาของแม่มดสาวจะได้สัมผัสถูกศีรษะของเจ้าหญิงแห่งเดมอส มือใหญ่ของบุรุษผู้ควรจะหลับสนิทก็จับมือของเด็กสาวไว้แน่น...ราวปลอกเหล็ก ทำเอาแองจี้ร้องอุทานอย่างตระหนก นัยน์ตาสีฟ้าของเธอเบิ่งโตสบกับนิลคู่คมที่บัดนี้ฉายประกายชวนให้ผู้เห็นหวาดหวั่น กลัวเกรง

“เจ้าจะทำอะไรเฟลิโอน่า”

สุรเสียงจ้าวปีศาจคาดคั้นโดยไม่สนว่าเด็กสาวตรงหน้าจะเป็นเพียงแม่มดที่ไร้พิษสง ลืมคำนึงไปว่าที่นี่คือเอดินเบิร์กอันสงบสุข

แองเจลิน่าตัวสั่นเทาอย่างระงับไม่อยู่ เพราะความกลัวเริ่มเข้าครอบงำใจ ยิ่งเมื่อสัมผัสถึงไอดำทะมึนที่แผ่ออกมาจากร่างสูงของคนจากเดมอส สาวน้อยก็แทบจะน้ำตาเล็ด และบังเกิดความรูสึกสิ้นหวังแก่ชาวป้อมอัศวินปีสามที่ตะลึงกับเหตุการณ์ ขาหนักอึ้งจนไม่อาจก้าวไปช่วยเพื่อนร่วมชั้นได้

เจ้าชายแห่งเจมิไนอยากจะบอกกษัตริย์แห่งแดนปีศาจว่าเป็นการเข้าใจผิด แต่เขาก็ไม่ต่างจากรุ่นน้องที่ขาทั้งสองข้างดุจมีเหล็กถ่วงไม่อาจก้าวได้ ให้เขาได้รับรู้ถึงความน่ากลัวที่ซ่อนไว้ภายใต้ท่าทางของเด็กซนๆ ให้ได้ตราตรึงในใจกับพลังอำนาจของปีศาจที่มนุษย์ตัวจ้อยมิอาจหาญต่อกร

“อย่าน่า แองจี้ไม่ได้ทำอะไรผมหรอก ปล่อยเธอเถอะ”

เสียงของคนที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์นี้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมดังขึ้นในความเงียบเชียบวังเวง เฟรินวางมือของตนลงบนแขนของผู้เป็นพ่อ บีบเบาๆเป็นเชิงบอกให้ปล่อยมือจากเพื่อนคนหนึ่งของเธอ

เอวิเดสเบือนสายตามองมองพระธิดา ก่อนจะปล่อยมือที่กุมแน่นจนแขนเล็กเรียวเป็นรอยช้ำ

เฟรินสบถขรม แล้วจูงมือคนตัวโตกว่าลากออกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดพร้อมกับโรเวน ฮาเวิร์ด

ทิ้งไว้เพียงเหล่าผองเพื่อนผู้ราวกับผ่านมรสุมลูกใหญ่ หลายคนระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมายาวอย่างโล่งอก บางคนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ทบทวนความทรงจำที่ไม่น่าเชื่อของตนเองและความน่าสะพรึงกลัวของปีศาจที่ได้พบเจอกับตัวเองชนิดใกล้เกินความจำเป็น



คิล ฟีลมัส ทายาทนักฆ่าแห่งซาเรสกำลังถูกไล่จนมุม

ไม่ใช่ด้วยน้ำมือของศัตรูผู้เก่งกล้าสามารถ ไม่ใช่ด้วยน้ำตาของสตรีที่บีบคั้นสำนึกผิดชอบชั่วดี แต่เป็นสายตาสอดรู้สอดเห็นของผองเพื่อนแสนดีร่วมสิบห้าชีวิตที่ถลึงตาจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ขณะนี้

มันทำเอานักฆ่าอย่างเขากลืนน้ำลายไม่ลงคอไปซะงั้น

นี่ยังไม่รวมถึงไอเย็นยะเยือกของคนตาสีฟ้าที่อยู่หลังใครเพื่อนทั้งที่ในใจมันคงอยากรู้แทบเป็นแทบตายแล้ว แต่ยังไม่ลืมรักษามาดของเจ้าชายน้ำแข็งไว้ให้ได้ชื่นชม น่ายกย่องความใจเย็นของพ่อเจ้าประคุณจริงๆ พับผ่าเถอะ

ครี้ดที่อยู่ประชิดตัวคิลที่สุดจับบ่าทั้งสองด้วยมือหนาของมันแรงจนคิลชักหน้าแหย อยากจะตะบันหน้าเจ้าคนไม่รู้จักออมแรง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเสียงเซ็งแซ่จากรอบทิศทางนั้นทำให้เขาหัวหมุนไปหมด ทุกคนต่างก็อยากรู้ความจริง สิ่งที่สงสัยเกี่ยวกับฐานะที่แท้จริงของคนจากเดมอสผู้สร้างความตื่นตระหนกให้พวกตนและสร้างความเดือดร้อนอย่างยิ่งกับคิล

จนในที่สุด เมื่อหนุ่มนักฆ่าหมดความอดทน เสียงตะโกนลั่นบ่งว่าสติอันแสนบางขาดหลุดลุ่ย ฝูงลิงทโมนที่วุ่นวายหยุดชะงักในพริบตา

คิลระบายลมหายใจยาวอย่างอึดอัดใจ นึกทวนถึงคำอธิบายเกี่ยวกับเวทวาจาสิทธิ์ซึ่งพ่อของเพื่อนซี้ใช้มันกับเขาด้วยวิธีเอาพลังของเขาไปใช้ร่ายเวท

เวทที่ราชาปีศาจใช้จะพันธนาการถ้อยประโยคต้องห้ามไม่ให้เขาพูดออกมา คิลไม่สามารถเอ่ยถึงความจริงที่ว่าบุรุษจากเดมอสผู้แสดงตัวเป็นองครักษ์คือพ่อตัวแสบของเจ้าตัวป่วนนั่นเอง!

“ตกลงแกจะบอกมั้ยคิล” ครี้ดถามแกมขู่

“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ เขาเป็นองครักษ์ของไอ้เฟริน มันก็เท่านั้น” คิลพูดไม่มีพิรุธตามวิสัยนักฆ่า แต่เพื่อนทั้งหมดไม่เชื่อ

“แกบอกความจริงมาซะดีๆเลยเพื่อนยาก” เอ็ดเวิร์ดกล่าวเนิบๆ “ไม่งั้นพวกเราคงได้ตายเพราะความอยากรู้แหงมๆ”

“แต่ฉัน...” คำออกตัวกลืนหายไปในลำคอเมื่อมาทิลด้าพูดขึ้นทะลุกลางป้อง จี้ให้คิลแสดงอาการอ้าปากเหวอ

“ฉันเห็นเฟรินร้องให้ซบอกนาย นั่นใช่วันที่องครักษ์คนนั้นมาหรือเปล่า เฟรินรู้อะไรถึงต้องร้องให้ด้วย”

คิลอ้ำอึ้งตะลึงงัน

“คนอย่างเฟรินร้องให้ เหลือเชื่อ...”

“หรือว่า...ผู้ชายคนนั้นคือคู่หมั้นที่พ่อของเค้าเลือกให้หรือเปล่าครับ”
ความคิดเห็นนี้เป็นของซีบิล สเวน

นักบวชหน้าอ่อนยิ้มแหยเมื่อทุกสายมองมาที่เขา ไม่เว้นแม้แต่คิล

แองจี้เห็นสีหน้าของคิลก็ได้ข้อสรุปว่า “จริง...งั้นเหรอ...”

ไม่ทันที่คิลจะปฏิเสธ เพื่อนของเขาทุกคนก็เชื่อสมมุติฐานนี้ปักใจ นำความกลัดกลุ้มเป็นที่สุดมาให้หนุ่มนักฆ่า และความรู้สึกบางอย่างบังเกิดในใจของคนที่ได้ชื่อว่าเย็นชาแต่เปลือก



To Be Continued...



Create Date : 11 มกราคม 2549
Last Update : 11 มกราคม 2549 10:33:33 น.
Counter : 456 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Dark_Angel MIDNIGHT
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]