10 บทง้อของเจ้าชายน้ำแข็ง
10 บทง้อของเจ้าชายน้ำแข็ง



เฟริน เดอเบอโรว์ หรือ เฟลิโอน่า เกรเดเวล นอนทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะความที่อารมณ์สาวแปรปรวนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เธอจำได้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะต่อล้อต่อเถียงกับหมอนั่น แต่...พอฟังมันพูดอย่างนั้นแล้วมันเหมือนขีดความอดทนขาด ทั้งที่เคยทนมาได้ตั้งนานสองนานกับนิสัยแข็งๆเย็นๆของนายเจ้าชายขี้เก๊กนั่น


ตอนที่เป็นเพื่อนกันก็ไม่เห็นจะมีอะไรวุ่นวายขนาดนี้เลย ทำไมพอเลื่อนเป็นคนรักถึงได้มีแต่ปัญหานะ หรือเพราะนิสัยเราเข้ากันไม่ได้จริงๆ


เฟรินคิดทบทวนถึงความเป็นไปในแต่ละวันของตน เธอรู้ว่าทะเลาะกับคาโลบ่อยด้วยเรื่องไร้สาระที่เกิดขึ้นเรื่อยๆไปในชีวิตประจำวัน อันที่จริง เธอเถียงแทบขาดใจว่ามันเป็นสิ่งที่เธอปฏิบัติมานานแล้ว จะให้มาเปลี่ยนปุบปับเพราะฐานะของเจ้าหญิงที่ค้ำคออยู่มันก็ลำบากหนักหนาเกินกว่าที่อดีตหัวขโมยอย่างเธอจะรับได้ ถ้ามันไม่ได้ดีแต่พูดแล้วมาช่วยเธอสักหน่อย เธอก็คงไม่เก็บกดอยู่อย่างนี้หรอก


ขณะที่เจ้าหญิงคนสวยกำลังคิดเพลินๆกับชีวิตของตนเองนั้น อยู่ๆเจ้าหล่อนก็ร้องอุทานออกมาแล้วผุดลุกขึ้น มือเรียวค่อยๆเลื่อนมากุมท้องซึ่งปวดขึ้นมากะทันหันให้เธอไม่เข้าใจ อาการนั้นยังไม่จบ แถมมันยังปวดขึ้นเรื่อยๆและหนักในบริเวณที่เธอนึกสาปแช่งตัวเองที่เกิดมาเป็นผู้หญิงนัก ตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่ามันเป็นอาการปวดท้องของคนที่มีฤดูนาง แต่ว่า...ทำไมเธอถึงเพิ่งจะมาปวดเอาไอ้ตอนนี้ล่ะ


ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ให้เจ้าหญิงแห่งเดมอสต้องตกระกำลำบากอย่างหนำใจ ทะเลาะกับเจ้าชายขี้เก๊กนั่นยังไม่พอ ยังต้องเผชิญกับ...อาการอันเลวร้ายของวันแดงเดือดหรือวันนั้นของเดือนซึ่งแย่ที่สุด!!!


โอ้ พระเจ้า จะกลั่นแกล้งลูกแกะตาดำๆไปถึงไหนนะ แต่ถึงจะสลดหดหู่ไปก็ใช่ว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น ถ้าเธอได้แต่ทนอยู่อย่างนี้ น่ากลัวว่าเข็มวัดระดับอารมณ์จะยิ่งลดต่ำลง มันจะมียาอะไรช่วยบรรเทาได้บ้างรึเปล่านะ แต่จะให้ไปขอที่ห้องพยาบาลก็กระดากชะมัด ยังไงก็ไปถามจากเจ้าคนแสนรู้แสนฉลาดที่เพียบพร้อมไปด้วยของวิเศษก่อนดีกว่า


แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอย่างไหนมันจะน่าขายหน้าน้อยกว่ากัน แต่เธอก็รู้ดีอยู่หรอกว่านายพ่อมดคนนั้นปิดปากสนิทแน่ เพียงแต่ไม่ชอบสายตามันก็เท่านั้น แววตาที่คล้ายกับว่าทะลวงลึกเข้าไปในใจ เธอล่ะไม่ชอบหมอนี่จริงๆเลย แต่ก็งงกับตัวเองเหมือนกันว่าถ้าไม่ชอบแล้วทำไมถึงสนิทกันขนาดนี้


นั่นสินะ...บางทีเธออาจจะไม่เข้าใจไปตลอดเลยก็ได้





ในห้องที่มีบรรยากาศของความขลังและเก่าแก่ที่สุดในโรงเรียนพระราชานั้นมีสองบุรุษกำลังสนทนากัน ฝ่ายหนึ่งมากด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอ่อนวัยหากก็เห็นโลกมามากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่คล้ายไม่เคยเจอกับความลำบาก


“เป็นยังไงบ้างล่ะ” เสียงของชายชราที่น่าเคารพเอ่ยถามขึ้น ให้เด็กหนุ่มขยับยิ้ม ตอบไปว่า


“วุ่นวายน่ะสิครับ”


คำอธิบายสั้นๆที่กินใจความทั้งหมดทำให้มหาปราชญ์เลโมธีอดหัวเราะเบาๆไม่ได้ ก่อนที่แววตาจะทอดมองต่ำลง แล้วเปลี่ยนมาสบกับนัยน์ตาสีฟ้าที่ฉายประกายของความมั่นใจที่ไม่เคยหายไป


“เหตุผลที่ฉันเรียกเธอมา คงจะรู้นะ”


“ครับ ผมทราบว่าท่านเรียกผมมาด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน” เฟนริลตอบ


ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอดินเบิร์กลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าจากเก้าอี้ไปยืนริมหน้าต่าง แววตาที่บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยและแก่ชรามองออกไปไกลเลยแผ่นดินเอเดน...ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของเหล่าปีศาจ


“ฉันอยากจะบอกเธอว่า...เธอสมกับที่มีสายเลือดของจ้าวเอวิเดสจริงๆ” ประโยคที่ไม่แน่ใจว่าเป็นคำชมรึเปล่าเรียกมุมปากของผู้ฟังให้กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม


“พลังนั้น มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น น่าแปลกที่แคเรนกับคอร์ลินมีความสามารถแตกต่างออกไป ปกติผมจะควบคุมมันได้โดยการผนึก แต่...”


“คทานั่นเป็นของที่ท่านจ้าวให้เธอมาหรือ”


“ครับ ผมเองก็เพิ่งจะนึกออกว่าเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับมันมาบ้าง คทาแห่งรัตติกาลใช้วัตถุดิบพิเศษทำให้มันมีอานุภาพร้ายกาจ มันต่างจากคทาทั่วๆไปตรงที่มันมีชีวิต”


จอมปราชญ์ขมวดคิ้วแปลกใจ “มีชีวิต มันเป็นไปได้หรือ”


“มันเป็นไปได้เพราะลูกแก้วสีดำน่ะฮะ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจนัก แต่คิดว่าคงจะใช่ ถึงผมจะอยากลองเป็นเจ้านายคทาจอมพยศนี่มาก แต่ก็ไม่อยากให้อดีตต้องเปลี่ยนแปลง คงต้องพยายามไม่ใช้มันล่ะ”


“ยากนะ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้ๆแม่ของเธอ” มหาปราชญ์แห่งเอดินเบิร์กเอ่ยอย่างเข้าใจ


เฟนริลยิ้มขัน เสริมว่า “และน้องชายของผมด้วย”


หลังจากนั้นจอมปราชญ์เลโมธีก็บอกเล่าถึงธุระอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งธุระนี้สร้างความกังวลระคนกับความไม่สบายใจให้เฟนริลหนักยิ่งขึ้น แต่มันก็น่าสนุกดี อยากจะรู้นักว่าหากมันเป็นอย่างที่เขาคาดเดาจริงๆ สถานการณ์ที่อลเวงไม่รู้จักจบจักสิ้นอย่างขณะนี้จะเป็นยังไงต่อไป





มันเป็นความบังเอิญที่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตที่ควรจะวุ่นวายจนเกินพอแล้วของนักฆ่าคนหนึ่ง ที่เมื่อได้รู้จักกับเจ้าชายน้ำแข็งและหัวขโมยตัวแสบแล้ว ความสงบสุขก็คล้ายจะพรากจากเขาไปตลอดกาล


เริ่มตั้งแต่นายนักรบตาเดียวดันตาไวมองไปเห็นฉากการสวีตหวานไม่อายฟ้าอายดินของคู่รักที่ไม่รู้ว่าคืนดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเลยลากเขากับโรไปชมบทที่หาดูได้ยากของเจ้าชายน้ำแข็ง และมันก็หาดูได้ยากจริงๆกับการที่ได้เห็นคาโลทำในสิ่งที่มาดมันไม่ให้ จบลงที่เฟรินทำตัวสมหญิงกับเค้าได้ แต่มันออกจะสมหญิงเกินไปเลยทำให้การงอนง้อนี้ไม่มีบทจบเสียที


น่าเหนื่อยแทนคาโลจริงๆพับผ่าเถอะ (สงสารตัวเองด้วยที่ต้องมาเป็นคนกลางให้เจ้าพวกนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะถนัดนัก)


ขากลับ พวกเราก็พูดคุยกันด้วยเรื่องที่ไปแอบชมมา เจ้าครี้ดนึกวิธีดีๆที่จะให้คาโลไปลองใช้ดู แต่ก็โดนโรขัดเสียทุกครั้งไป ถึงโรจะไม่ขัดเขาก็จะขัดล่ะ แต่ละวิธีที่มันนึกได้ชวนติดเรตชะมัด ถึงไอ้คาโลมันจะยอม(รับรองไม่ใช่จำใจหรอก) แต่เฟรินมันคงไม่มีวันยอมอยู่แล้ว และมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะโดนหางเลขของการสำเร็จโทษคนคิดอะไรบ้าๆแบบนี้


“ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ งั้นพวกนายก็ลองว่ามาซิว่ามีแผนการอะไรดีๆที่น่าจะใช้ได้ผล” ครี้ดพูดอย่างหมดความอดทนหลังจากโดนขัดซะทุกครั้ง


สองฝ่ายที่ได้แต่รับฟังหันมามองหน้ากัน นักฆ่ารักสนุกยักไหล่ประมาณว่าช่วยไม่ได้ และขอทานแสนรู้ก็ส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงปฏิเสธ


“ปัญหาอย่างนี้คนนอกเข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอก ต้องให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลดทิฐิหรือเข้าใจกัน เรื่องมันถึงจะลงเอยอย่างมีความสุข” โรเอ่ยคล้ายๆจะสั่งสอน ครี้ดยิ้มรับ


“นายนี่เหมือนพ่อเลยแฮะ ไอ้เฟรินมันคงจะมีความสุขที่ได้นายคอยดูแล”


“เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนเป็นเรื่องธรรมดา”


“น่านสิ มันจะไม่ธรรมดาก็ต่อเมื่อความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนเปลี่ยนเป็นความรัก เนอะ” ครี้ดทำสายตารู้ดีขึ้นมาทันใด คิลเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบ มองการสนทนาที่ชักจะล้วงลึกเรื่องส่วนตัว


โร เซวาเรสขยับยิ้มขรึม ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน เอ่ยตอบกลับไปว่า


“แล้วนายจะเข้าใจว่า...บางครั้งมิตรภาพก็ยืนยงยิ่งกว่าความรัก”


ครี้ดกับคิลที่ได้ฟังถึงกับเบิ่งตากว้างงุนงงกับคำตอบที่ไม่ตรงกับที่ต้องการ ไม่ทันที่จะถาม นายขอทานกิตมศักดิ์ก็เดินผละไปเสียแล้ว


พออยู่กันสองคน ครี้ดก็ถอนหายใจยาว “ฉันก็เข้าใจที่โรบอกหรอกนะ แต่มันก็ทนไม่ได้ที่เห็นเพื่อนสองคนต้องมาเป็นอย่างนี้ ฉันอยากจะช่วย แต่ก็รู้ดีว่าบางทีอาจจะทำให้สถานการณ์มันยิ่งแย่เข้าไปอีก เฟรินน่ะถ้ามันอารมณ์ดีก็ดีอยู่หรอก แต่คาโลนี่สิ แย่ชะมัด”


“คาโลทำไมเหรอคะ” เสียงหวานใสที่ถามอย่างสุภาพนั้นเรียกอาการสะดุ้งราววัวสันหลังหวะจากสองหนุ่มผู้รู้ทันทีว่าใครคือเจ้าของเสียงนี้


สาวน้อยคนงามแห่งป้อมอัศวินผู้แสนจะอ่อนหวานหากก็มีส่วนที่สมกับเป็นจ้าหญิงแห่งประเทศของนักรบใช้นัยน์ตาคู่สวยจับจ้องอาการน่าสงสัยของหนึ่งนักรบและหนึ่งนักฆ่าซึ่งอยู่ๆก็หันหน้าหนีเจ้าหล่อนทันที


“ว่าไงล่ะคะ คาโลเป็นอะไรเหรอ” เรนอนคาดคั้น แววตาสาวเจ้าบ่งว่าชักเริ่มเอาจริง ให้ครี้ดกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ถึงจะเป็นนักรบที่เก่งกาจมาจากไหนก็ยังต้องยอมพ่ายให้กับสาวงาม นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่แม้แต่ในตำราพิชัยสงครามก็ยังมี


“อ่า... ฉันนึกขึ้นได้ว่านัดกับเจคเอาไว้ กะจะไปลิ้มชิมรสเหล้าดีๆที่ลดราคาน่ะ เรนอนถามคิลแล้วกันนะ โชคดีนะเพื่อน” ครี้ดหาข้ออ้างไปเรื่อย ส่งยิ้มขอโทษขอโพยเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนเริ่มแดงอย่างที่ยากจะบอกได้ว่าเพราะเขินหรือโกรธ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่คิดจะอยู่ต่อด้วยเหตุผลที่รู้ดีแก่ใจ แต่เจ้าคิลมันจะรู้หรือเปล่านะ


เมื่อปราศจากร่างใหญ่ของนักรบแห่งไนล์ เจ้าหญิงคนสวยก็เปลี่ยนทิศทางมาลงที่นักฆ่าที่ขณะนี้ไม่ใช่หนุ่มหล่อซึ่งมีสีหน้าเหมือนถูกเฟรินแซวเรื่องส่วนตัว ที่เขากลุ้มมากขนาดนี้ก็เพราะว่าหากบอกไป แม่สาวตรงหน้าอาจจะ... ยังไงก็ตาม เขาไม่ชอบน้ำตาผู้หญิงที่สุดเลย ถึงว่า ไอ้ครี้ดมันถึงได้รีบชิ่งหนีไปก่อน


“คุณคิล มันเป็นเรื่องที่บอกฉันไม่ได้หรือ” เรนอนเปลี่ยนคำถามเสียใหม่


“ก็...ทำนองนั้น” คิลตอบแบบประหยัดคำพูด


“คุณเฟรินทะเลาะกับคาโลอีกแล้วเหรอคะ”


ไม่ต้องบอก อาการสะดุ้งเฮือกใหญ่ของคิลก็เป็นคำตอบที่ดีได้ ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน


“ชะ..ใช่ เจ้าพวกนั้นมันก็ทะเลาะกันทุกวันสามเวลาหลังอาหารแหละน่า”


“ถ้าทะเลาะกันธรรมดา ทำไมคุณคิลกับพวกคุณโรถึงได้ปรึกษากันด้วยเรื่องคาโลล่ะคะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเดินผ่านแล้วได้ยินพวกคุณสามคนพูดเรื่องนี้ ตกลงจะบอกมั้ยคะ คุณคิล” น้ำเสียงตอนท้ายชักจะไม่เข้ากับดวงหน้าหวานซึ้งของสาวน้อยคนงามเสียแล้ว


คิลที่โดนไล่จนมุมอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวกลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม พลางคิดในใจว่า...ผู้หญิงนี่ช่างวุ่นวายดีแท้





ตั้งแต่เด็กมาแล้ว...ที่เธอเชื่อมั่นมาตลอดว่ามีเธอคนเดียวเท่านั้นที่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาคนนั้นกว่าใคร ได้เห็นอารมณ์หลากหลายมากกว่าคนอื่นรอบข้าง แต่เมื่อได้มาอยู่ที่แห่งนี้ ป้อมอัศวินที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ เขาได้เจอกับเพื่อน...เพื่อนที่ควรค่าแก่การเชื่อใจ แม้กระนั้น เธอก็ยังคิดอยู่ดีว่าผู้หญิงที่รู้ใจเขาที่สุด...คือเธอ


แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อความจริงปรากฏออกมาว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขาคือเจ้าหญิง หัวขโมยที่กลายเป็นสาวสวยน่ารักทำให้ความมั่นใจของเธอคลอนแคลน และความกังวลก็เข้าครอบงำจิตใจเมื่อสายตาของคนเย็นชาแต่เปลือกคนนั้นมีประกายบางอย่างที่เธอเข้าใจดี แววตาอ่อนโยนที่มีให้กับเธอผู้นั้นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกอื่นที่เธอไม่อยากจะยอมรับ


หลังจากสงครามจบลง ความสัมพันธ์ของเจ้าชายแห่งคาโนวาลกับธิดาแห่งความมืดก็เหมือนจะมีรอยร้าว ซึ่งเธอเกลียดตัวเองเหลือเกินที่เผลอดีใจไปกับสถานการณ์ที่ยังความเจ็บปวดมาให้เขา แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ใช่โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ทั้งๆที่เธอก็เข้าใจดีอยู่แล้ว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าในใจลึกๆของเธอรู้ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม


ไม่ใช่เธอไม่รู้ ว่าเขามองเธอเป็นญาติที่สนิทที่สุด เป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น แต่เธอก็ยังมีความหวัง...หวังว่าความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนแปลงไป เธอได้แต่หวังว่าเขาจะมองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่น้องสาว หากยังไม่ทันที่จะเริ่ม เธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเธอคนนั้นเสียแล้ว แต่มันเป็นการแพ้ที่มีความสุข เพราะเขาคนที่เธอรักจะไม่ต้องจมอยู่กับความเศร้า และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ...คงจะมีเพียงเจ้าหญิงในคราบหัวขโมยเท่านั้นกระมังที่หลอมเหลวหัวใจของเจ้าชายน้ำแข็งคนนี้ได้





คิลรอว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าหญิงโฉมงามตรงหน้าจะแสดงปฏิกิริยา เขาเองก็ไม่ได้ซื่อไม่ได้โง่ขนาดดูไม่ออกว่าเรนอน ธีน็อท เดอะปรินเซส ออฟ คาโนวาลรู้สึกอย่างไรกับนายน้ำแข็งขี้เก๊กเพื่อนสนิทของเขา มันเป็นเรื่องที่หลายๆคนพอจะเดาได้ตั้งแต่ปีหนึ่ง อาจจะมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองเสน่ห์แรงแค่ไหน


“ถ้าเธอหมดธุระแล้ว ฉันไปนะ” คิลหมุนตัวจะเดินไปแต่ชายเสื้อของเขาก็ถูกยึดไว้ด้วยมือน้อยซึ่งผู้เป็นเจ้าของช้อนนัยน์ตาคู่โตขึ้นมอง สายตาอันว่องไวของนักฆ่าเห็นร่องรอยเล็กน้อยที่เจ้าตัวพยายามปกปิดด้วยการยิ้ม...ยิ้มอย่างหวังดี


“มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้บ้างไหมคะ”


คิลถึงกับงงหนักเมื่อได้ฟังประโยคที่ต้องมองว่าคนพูดเป็นแม่พระมาจากไหนถึงได้อาสาช่วยในเรื่องที่ก็รู้อยู่แกใจว่าทำให้ตัวเองเจ็บ เขาเผลอมองสบกับนัยน์ตาคู่สวยที่แม้จะแสดงถึงความกระตือรือร้น หากก็หม่นมัวไปด้วยความเศร้าที่เจ้าของพยายามอย่างเหลือเกินที่จะซ่อนเร้น


“อย่าเลย ฉันว่าปล่อยๆไปเดี๋ยวพวกมันก็คืนดีกันเองแหละ เธออย่าไปสนใจมันนักเลยน่า”


การแสดงออกของคิลดูจะผิดสังเกต ไปสักหน่อย ยิ่งเมื่อเจอกับคำพูดเป็นเชิงปลอบในแบบฉบับของหนุ่มอ่อนหัด ก็ยิ่งทำให้สาวเจ้าชักจะคาดการณ์อะไรได้


เรนอนขมวดคิ้วสงสัย “ถ้าคุณคิลว่าอย่างนั้น แต่ว่าถ้ายังไม่มีวี่แวว ฉันไม่คิดจะปล่อยไปเฉยๆหรอกนะคะ” เจ้าหล่อนบอกอย่างไม่เลิกล้ม คิลนึกสบถอยู่ในใจ แล้วถามอีกฝ่ายว่า


“แล้วเธอคิดว่าจะช่วยอะไรได้ล่ะ”


“คุณคิลบอกเองไม่ใช่หรือคะว่าที่ทะเลาะกันอีกครั้งนี่เพราะอยู่ๆคุณเฟรินก็เกิดโมโหอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้”


“ใช่ พวกฉันเองยังงงๆพอกับเจ้าคาโลเลย”


เมื่อเอ่ยถึงคนที่สาวน้อยผู้ฟังพยายามจะตัดใจ คิลก็อยากจะตบหัวตัวเองสักครั้งแล้วไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์เจ้าคนที่เชี่ยวชาญการจีบสาวนัก ยิ่งเมื่อสาวเจ้าหน้าเจื่อนลง คิลกระแอมไออย่างผิดธรรมชาติ พูดต่อไปเหมือนไม่เห็นความผิดปกติที่อีกฝ่ายไม่อยากให้รู้


“ยังไงก็ตาม อย่าเพิ่งไปยุ่งกับเฟรินตอนนี้จะดีกว่า สงสัยว่าเจ้านั่นจะอยู่ในช่วงคลื่นลมแรงอีกแล้วล่ะ” พอเห็นว่าอีกฝ่ายงงๆก็ขยายความให้อย่างลืมนึกไปว่าคนที่ตนกำลังพูดด้วยนั้นก็เคยอยู่ในช่วงคลื่นลมแรงเช่นกัน


“ก็ไอ้นั่นไง ฤดูนา...” ไม่ใช่ว่าเจอเข้ากับต้นเหตุของเสียงฝ่ามือกระทบกับผิวแก้มหรือรอยแดงเป็นปื้นสวยงามบนผิวขาวๆ แต่เพราะก่อนที่คนเอ่ยจะเผลอปากเปราะเหมือนเพื่อนซี้ก็ยั้งตัวเองไว้ทันเนื่องจากความทรงจำของรอยชาที่น่าระลึกถึงเข้ามาสอดแทรกให้คำต่อมาที่จะพูดกลืนหายไปในคอ


แต่เพียงเท่านี้ มันก็ให้ความกระจ่างแจ้งแก่ผู้ฟังที่สมเป็นกุลสตรีดีแท้ ดีหน่อยที่ครั้งนี้แม่คุณทูนหัวไม่ได้โชว์ความหนักหน่วงของฝ่ามือพิฆาต


“ถ้างั้นให้ผู้หญิงจัดการน่าจะดีกว่านะคะ แล้วฉันจะขอให้มาทิลด้ากับแองจี้ช่วยด้วย” แม้ดวงหน้าหวานจะมีสีเรื่อ แต่เรนอนก็ข่มความอายที่แสดงให้เห็นชัดกล่าวออกไปจนได้


“แองเจลิน่า... จะดีเหรอ” คิลถามขึ้นลอยๆ เขาเกาแก้มอย่างนึกหาคำตอบเมื่อโดนนัยน์ตาคู่โตจับจ้อง “ก็...เรื่องเมื่อตอนปีสามไง”


“ที่ว่าแองจี้...เอ้อ” เรนอนพูดไม่ออก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าภายใต้ท่าทางไม่ยี่หระกับฐานะที่เปลี่ยนแปลงดุจนิทานของเจ้าหญิงแห่งเดมอส น้องนุชแห่งป้อมอัศวินจะเจ็บเพียงใดกับการรักคนที่ไม่สมควรรัก


คิลจับสังเกตท่าทางที่เหมือนเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนของเจ้าหล่อน ทีตัวเองทำเป็นไม่เป็นไร ทีเพื่อน... ซึ่งมันก็ดีอยู่หรอก แต่เขาก็ไม่ชอบใจเลยที่เจ้าหญิงงี่เง่านี่ชอบทำตัวเป็นแม่พระไม่เข้าเรื่อง


“ฉันไม่คิดว่าคนอย่างแองเจลิน่าจะอยู่กับอดีตหรอกนะ เธอคงจะก้าวผ่านมันไปได้...ในสักวันหนึ่ง”


ประโยคที่ผู้ฟังเลือกที่จะเงียบ เพราะไม่แน่ใจว่านักฆ่าตรงหน้ากล่าวถึงใคร แองจี้ หรือ...เรนอน


“ฉันจะลองเกริ่นๆดูก่อนดีกว่าค่ะ”


“ก็ดี”


เมื่อไม่มีใครพูดอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความเงียบจะเข้ามาปกคลุมและส่งผลให้ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างกัน คิลใช้สมองอย่างหนักครุ่นคิดหาหัวข้อเรื่องที่จะมาทำลายความเงียบที่ชวนอึดอัดนี้ แต่ก็ไม่ทันอีกฝ่าย


“คุณคิลคะ คือฉัน...”


หนุ่ม(?)นักฆ่ามองสตรีเบื้องหน้าอย่างสนใจว่าหล่อนจะพูดอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบว่าใบหน้าที่สวยหวานนั้นขึ้นสีให้ยิ่งมีเสน่ห์ชวนมอง


“ฉันอยากจะขอโทษที่เมื่อตอนนั้น...ที่ไปตลาดด้วยกัน ฉัน...ตบหน้าคุณ...”


ทายาทนักฆ่าแห่งซาเรสก็ตกอยู่ในภาวะเดียวกับเจ้าหญิง ผิวหน้าขาวที่ตัดกับผมสีดำนั้นร้อนผะผ่าวอย่างกระดากอาย หวนนึกไปถึงวีรกรรมที่ตนเคยทำไว้โดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะกลับมายังเอดินเบิร์ก


“ช่างมันเถอะ ฉันผิดเองแหละ”


“ไม่หรอกค่ะ ก็คุณคิลไม่ได้ตั้งใจนี่นา มันเป็นอุบัติเหตุ แล้วฉันก็ยังตบไปซะเต็มแรงเลยด้วย” เจ้าหล่อนว่าแล้วยิ้มเฝื่อน


คิลเผลอยกมือขึ้นสัมผัสกับบริเวณที่เคยมีรอยแดงอย่างน่ากลัวจนต้องให้เพื่อนสนิทรักษาให้และโดนเพื่อนซี้อีกคนมีโอกาสล้อไปอีกนาน เขายอมรับว่าขณะนั้นโกรธมาก แต่เมื่อมีเวลาคิดทบทวนบวกด้วยเข้าใจความรู้สึกของหล่อนในเวลานั้นจึงยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดได้อย่างไม่ยากเย็น


“ไม่ว่าจะตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุ ความจริงที่ว่าฉัน...ง่า ล่วงเกินเธอมันก็สมควรแล้วล่ะที่จะโดนน่ะ ฉันว่าเราจบเรื่องนี้กันดีกว่า ตกลงนะ” คิลส่งยิ้มที่เรียกหัวใจดวงน้อยให้สั่นไหว นัยน์ตาสีม่วงมีชีวิตชีวาต่างจากใครคนหนึ่งที่สาวน้อยเจ้าของหัวใจพยายามลบออกไปนั้นสร้างความรู้สึกแปลกๆแก่เจ้าหญิงคนงามผู้อยู่ๆก็เกิดสับสนในตัวเองขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน รีบผละไปจากตรงนั้นหากก็ยังไม่ลืมบอกทิ้งท้ายไว้ว่า


“เรื่องคุณเฟริน ถ้ามีอะไรคืบหน้าฉันจะเล่าให้คุณฟังนะคะ” ก่อนจะรีบร้อนเดินไปราวกับคนที่ตนยืนคุยด้วยตั้งนานสองนานเป็นผีที่เพิ่งเห็นว่าไร้ขา ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมบางๆของขนมหวานที่เจ้าตัวชอบทำเป็นงานอดิเรกให้หนุ่มนักฆ่านึกอยากกินขนมขึ้นมาตะหงิดๆ





แม่จอมยุ่งตัวปัญหากำลังนอนอย่างสงบเพราะฤทธิ์โอสถวิเศษที่ได้มาจากพ่อมดที่วิเศษยิ่งกว่ามาบรรเทาอาการปวดฤดูนางในเวลาไม่กี่นาที ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยและมีความสบายเข้ามาแทนที่ สบายจนหนังตาคล้อยต่ำลงเรื่อยๆพอกับที่ระยะจากหลังถึงเตียงค่อยหดแคบลง จนในที่สุด หญิงสาว(แต่เปลือก)ก็นอนหลับตาพริ้มอย่างแสนสุขสม สบายกายสบาย...ใจ เท่าที่สมองจะผลักดันความทรงจำที่นำความกลัดกลุ้มมาให้ไปห่างจากเวลานี้


เด็กหนุ่มที่รอให้หัวขโมยสาวเข้าสู่นิทรานั้นก็ขยับยิ้มน้อยๆที่ฉายชัดถึงความอ่อนโยน เรือนผมสีน้ำตาลทองที่ยาวกว่าบุรุษทั่วไปตกละลงมาข้างแก้มเนื่องจากเจ้าตัวชะโงกไปข้างหน้าเล็กน้อย เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าใช้นิ้วที่แม้จะไม่เล็กเท่าสตรีแต่ก็เรียวสวยจับปลายเส้นเกศาที่นุ่มมือ แววตาอ่อนโยนแปรเปลี่ยนวูบหนึ่งก่อนจะซ่อนกลบจนมิด รอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏนั้นไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของได้


ร่างเพรียวของพ่อมดหนุ่มแห่งเดมอสขยับเล็กน้อยเมื่อโสตประสาทอันฉับไวได้ยินเสียงเปิดประตูอย่างแผ่วเบา เขาตวัดสายตาไปมองแล้วก็เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยฉีกยิ้มกว้างอย่างระรื่นไม่เคยเปลี่ยนส่งมาให้ หัวขโมยหนุ่มขยับปากที่ผู้เข้าใจอ่านได้ความว่า


‘มาแล้ว เตรียมตัวได้เลย’


เพียงเท่านั้นคนที่คอยอยู่ก็ลุกขึ้น พระพักตร์ของเจ้าชายปีศาจแห่งแผ่นดินนักรบชวนให้คนที่รู้จักเขาดีอกสั่นขวัญแขวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบังเกิดรอยยิ้มมีเลศนัยให้ผู้มองได้เห็นภาพจำแลงของเทวดาซึ่งมีปีกเป็นสีดำสนิท


เจ้าชายหนุ่มน้อยผู้ชื่นชอบอาชีพหัวขโมยมากกว่ายิ้มอย่างอ่อนใจและปลงตกกับเกมที่คนเป็นพี่จะลงมือเล่น...เกมที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีหนทางแห่งชัยชนะ เพราะใครก็ตามที่ได้เห็นเดอะปรินซ์ ออฟ คาโนวาลในมาดนี้ จะได้รู้ซึ้งเลยว่า...สมญานามเจ้าชายปีศาจไม่ได้ตั้งขึ้นเล่นๆ!





หากว่าหนึ่งในเจ้าของห้องจะประหลาดใจที่มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมานั่งบนเตียงว่างซึ่งเจ้าของไม่อยู่ก็ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัด นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมมีประกายของความเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์เป็นปกตินั้นกระตุ้นให้สัญชาตญาณซึ่งได้รับมาจากบุพการีของผู้มองนึกอยากหลอมท่าทางแข็งเครียดนั้น


“มีธุระอะไร” น้ำเสียงยังคงรักษาไว้ด้วยฉายาเจ้าชายน้ำแข็งที่ใครบางคนชอบเรียก


เฟนริล วาเนบลีใช้นัยน์ตาสีเดียวกันมองภาพของเจ้าชายแห่งคาโนวาลในโลกอดีต เห็นในมือของอีกฝ่ายมีหนังสือสองเล่มที่คาดว่าเจ้าตัวคงไปห้องสมุดอย่างที่ทำเป็นกิจวัตร ให้เฟนริลต้องขำในใจว่า...น่าจะเอาเวลาไปคิดหาทางง้อสาวดีกว่ามั้ง แต่คงจะหวังพึ่งคนคนนี้ไม่ได้หรอก


“ห้องสมุดคงไม่มีคู่มือง้อสาวหรอก จริงไหม” เขาเอ่ยกระเซ้าคนมาดไม่เคยหลุดที่เกิดอาการหน้าขึ้นสีซึ่งงัดวิชาหน้ากากฟาโรห์ขึ้นมาใช้ไม่ทัน แต่ก็รีบกลบซ่อนในทันที แล้วตอบอย่างชวนให้คนปกติหนาวเหน็บ


“ไม่ใช่เรื่องของนาย”


คนสอดเรื่องคนอื่นเลิกคิ้วสูงอย่างกวนโมโห รอยยิ้มยังไม่หายไปจากดวงหน้าขาวที่ติดจะสวย “ถ้าฝ่ายหนึ่งไปขอนอนด้วยนี่ถือว่าฉันเป็นผู้เกี่ยวข้องแล้วล่ะ”


“งั้นก็ไปขอเกี่ยวกับเฟริน อย่ามายุ่งกับฉัน” คาโลกล่าวเสียงเด็ดขาดเป็นเชิงเตือนกลายๆ แต่ผู้ฟังที่หัวไวก็แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้


“คงจะไม่ได้ เพราะตอนนี้เฟรินกำลังไม่สบาย”


คำพูดเรื่อยๆแต่กลับเป็นหมัดเด็ดที่เรียกสีหน้าเป็นกังวลจากคนเย็นชาแค่ภายนอก เจ้าชายมาดมากขอละทิ้งหน้ากากน้ำแข็งชั่วคราว ให้พ่อมดจอมวางแผนได้นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ


“มันเป็นอะไร” น้ำเสียงร้อนรนจนรู้สึกได้ แต่เฟนริลก็ทำเป็นไม่สนใจ ตอบกลับเหมือนกำลังสนทนากันด้วยเรื่องของดินฟ้าอากาศ


“เห็นว่าปวดท้อง นอนหน้าซีดเชียว” ประโยคสั้นๆที่ทำให้มาดน้ำแข็งนั้นละลายหายไปกับอากาศ เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ที่ระมัดระวังในการแสดงออกแทบจะลืมไปเลยว่าตัวเองยังไม่คืนดีกับเจ้าหญิงแห่งเดมอส เดินเร็วจนเกือบจะเป็นวิ่งเพื่อไปหาคนป่วยทั้งที่คนที่คิดถึงก็อยู่แค่ห้องข้างๆนี่เอง


เฟนริลเดินออกจากห้องนั้นมายืนพิงประตูอยู่ด้านนอก เขากอดอกครุ่นคิดว่าจะใช้เวทไหนดีในการล็อคประตู ซึ่งต้องคิดหนักเพราะด้วยความที่พ่อของตนก็เป็นถึงพ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล หากลงเวทธรรมดาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขังท่านไว้ข้างใน และเขาก็ใช้เวทที่ต้องอาศัยคทาไม่ได้ด้วย จึงเหลือทางเดียวคือ...วาจาสิทธิ์


พ่อมดหนุ่มยกมือข้างขวาขึ้น วาดวงเวทกลางอากาศ เกิดแสงเป็นรูปวงกลมเวทมนตร์ที่เพียงแค่เขาวาดดาวหกแฉกลงไป อักขระโบราณก็ปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ


“ข้าแต่มหาเวทมนตร์ดำอันยิ่งใหญ่ โปรดประทานพลังแก่ข้า ในนามของผู้มีสายเลือดปีศาจ ขอสั่งให้อาณาเขตที่ข้าสร้างขึ้นเป็นดั่งปราการที่ไม่มีใครทลายได้”


วงเวทเล็กๆเบื้องหน้ากลายสภาพในบัดดล มันใหญ่ขึ้นและหมุนวนเร็วจนมองไม่ทัน ก่อนจะสลายไปราวกับภาพลวงตา ซึ่งมีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่รู้ว่ามันกำลังทำงานได้เป็นอย่างดี


วาจาสิทธิ์คือเวทมนตร์ชั้นสูงที่มีเพียงปีศาจเท่านั้นที่ใช้ได้ คาถาที่ร่ายจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ผู้ใช้ ขอเพียงอยู่ภายใต้เงื่อนไขบางประการที่ทำให้เวทนี้จัดอยู่ในระดับสูงจนหาผู้ใช้แทบไม่ได้


“เฟนริล พี่จะทำอะไรน่ะ” คำถามจากเดอะทีฟที่มีสีหน้าสงสัยซึ่งเมื่อครู่ไปแอบที่ไหนสักแห่งในป้อมอันทรุดโทรมหลบสายตาของผู้เป็นบิดา เขาเดินเคียงมากับพี่สาวฝาแฝดที่ดูแล้วไม่มีส่วนไหนเหมือนกันเลย


“ไหนพี่บอกว่าท่านแม่หลับเพราะฤทธิ์ยา” แคเรนเปรยขึ้น


“ใช่ ยาวิเศษเหมือนในนิทานไงล่ะ” เฟนริลกล่าว ก่อนจะระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ให้น้องทั้งสองนึกสงสารคนสองคนที่อยู่ในห้องซึ่งไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกขังไว้ในนั้นเพื่อปรับความเข้าใจ


“นิทานเรื่องไหนล่ะ” คอร์ลินถามเนือยๆอย่างขี้เกียจจะเดาแล้ว แต่พี่ชายก็ยังไม่ยอมบอก


“นิทานอมตะน่ะสิ”


นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยแพรวพราวอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในยามที่เจ้าตัววางแผนการอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...แผนการสำหรับแกล้งใครสักคน





เฟรินไม่ยักรู้ว่าฤทธิ์ของยาวิเศษที่ได้รับมาจากเจ้าพ่อมดมากเล่ห์นั่นจะครอบคลุมไปถึงความฝันด้วย


หัวขโมยแห่งบารามอสหรือเจ้าหญิงแห่งเดมอสกระพริบนัยน์ตาสีน้ำตาลอย่างตะลึงงัน พลางถามตัวเองว่าทำไมความฝันของเธอถึงได้...ออกแนวหวานแหววได้ขนาดนี้หนอ


คำเรียกขานภาพตรงหน้าที่ไม่ได้โอเว่อร์เกินไปเลย


เพราะมันเป็นสีชมพู... ทุ่งดอกไม้ที่แม้จะมีหลากสีสันแต่ก็เน้นที่สีชมพูซึ่งแสดงถึงภาพลักษณ์ของความอ่อนหวาน ...หวานอย่างที่คนเคยเป็นผู้ชายมาก่อนชวนเลี่ยน กระอักกระอ่วนในใจพิกล


...หรือเราจะสมเป็นผู้หญิงกับเขาแล้ว


ไม่สมหรอก มันเป็นไปแล้วล่ะ


เสียงกระซิบของปีศาจที่ห่างหายไปนานบอกอย่างที่เจ้าตัวไม่ต้องการ แล้วเสริมประโยคที่เจ้าของหัวใจเต้นผิดจังหวะ


ถ้านายทำตัวสมเป็นเจ้าหญิง แม้สักเศษเสี้ยว เจ้าหมอนั่นคงดีใจแหละน่า


...บะ..บ้าสิ แล้วทำไมต้องอยากให้มันพอใจด้วยล่ะ


นายไม่รู้จริง?


คำย้อนถามที่เรียกให้ดวงหน้าร้อนวูบวาบกับคำตอบที่คล้ายจะสลักอยู่ในส่วนลึกตลอดเวลา และเป็นคำตอบที่ต้องยอมปราชัยให้กับเจ้าปีศาจบ้าซึ่งมักจะถีบศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเฟริน เดอเบอโรว์ให้กระเด็นไปไกล


เจ้าหล่อนถอนหายใจลึกยาว ก่อนจะผลักปัญหาที่ไม่จำเป็นในโลกของความฝันไปให้ไกลๆจากความสงบสุขยามนี้


เรื่องพรรค์นั้น...ไว้ตื่นแล้วค่อยคิด


หากขาที่เตรียมจะก้าวก็พลันหยุดชะงักเพราะสาวเจ้าผู้เป็นเจ้าของเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตนทำอะไรไว้ และผลลัพธ์ของมันคือการที่เธอต้องอยู่ในช่วงสงครามกับเจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาลซึ่งควรจะจบๆไปโดยเร็ว หากไม่เป็นเพราะอาการบ้าๆของคนเป็นฤดูนาง


แล้วจะทำยังไงดี?


ถามตัวเองอย่างคนไร้หนทาง ไอ้การง้อน่ะ...ไม่ยาก แต่สิ่งที่เธอถนัดมันใช้ได้กับผู้หญิงเท่านั้น แล้วการจะง้อคนอย่างคาโล เจ้าชายผู้ไม่เคยหลุดมาดก็มีลางสังหรณ์ว่าจะเปลืองตัวใช่เล่น


เธอไม่ได้คิดไปเองแน่ ที่ว่า...ตั้งแต่มันไปตามง้อเธอที่เมืองสกอร์ปิโอ้ ความ...เอ่อ จะเรียกว่าความหื่นมันก็ออกจะรุนแรงไป ลามกเหรอ...ไม่ถึงขนาดนั้น มันแค่...สมเป็นผู้ชายขึ้น...ก็เท่านั้น ไม่งั้นมันก็เป็นเหมือนตุ๊กตาน้ำแข็งมีชิวิต ถ้าให้เลือก ขอเป็นอย่างตอนนี้แหละดีแล้ว เพราะนอกจากจะสมเป็นคนแล้วยังจะยั่วง่ายหลอมเร็วสมใจเธอนัก


สิ่งที่เธอติดใจที่สุดในมาดใหม่ของมันก็คงไม่พ้น...แววตา แน่นอนว่ามีเสน่ห์อย่างที่มันไม่ยอมใช้พร่ำเพรื่อ


อ่อนโยน...อย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น


เจ้าเล่ห์...อาจจะมีเพียงเธอกับคิลล่ะมั้งที่รู้ว่ามันก็ใช่เล่น


และ...แววตาที่ฉายชัดถึงความรู้สึกที่มันมีให้เธอ พอเจอมันจ้องอย่างนี้ทีไรเธอชอบใจอ่อนทุกที


มีด้วยหรือ เตาหลอมคุณภาพเยี่ยมกลับโดนหลอมซะเอง แถมคนที่หลอมยังเป็นน้ำแข็งอีก แปลกพิลึก


ที่สุดแล้ว คนหัวไวผู้เชี่ยวชาญเรื่องรักๆใคร่ๆก็หาหนทางแก้ปัญหาของตัวเองไม่เจอ


...จะยอมให้คิลรู้ไม่ได้เด็ดขาด


เจ้าตัวไม่วายคิดไปเรื่องอื่น ทั้งที่ควรจะกลุ้มใจเหมือนคนปกติกับเขาบ้าง แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหากเจ้าเพื่อนซี้คนใดคนหนึ่งของเธออยู่ด้วย มันคงจะพูดประมาณว่า


‘จะไปหวังอะไรกับผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่เชิงอย่างนายกันล่ะ’


คำสมประมาทที่แค่คิดเองก็ทำเอาพักตร์สวยๆมุ่ยลงไปถนัดตา มองกราดไปทั่วทุ่งดอกไม้ที่ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเจ้าหญิงโฉมงามเย็นลงเลย ตรงกันข้าม ทิวทัศน์ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ยิ่งเพิ่มระดับความกรุ่นโกรธเข้าไปอีก


หากยังไม่ทันที่เฟรินจะได้อาละวาดหรือตะโกนให้สมใจอยาก ภาพที่ต้องยกมือขึ้นมาขยี้ตาซ้ำสองสามครั้งก็ปรากฏขึ้นห่างจากเธอไม่กี่ก้าว ถามตัวเองว่าตาฝาดไปหรือเปล่า เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่...


อะไรล่ะที่เป็นไปไม่ได้


เจ้าปีศาจบ้ากระซิบถามอีกครั้ง แต่มันเป็นน้อยครั้งหรืออาจจะเป็นครั้งแรกที่เธอยอมรับคำพูดของมันอย่างไม่มีคำค้าน พลางด่าตัวเองที่ดันขี้ลืมขนาดหนัก ลืมไปได้อย่างไรกันว่านี่คือความฝันของเธอ เป็นธรรมดาที่คนที่เธอคิดถึงสุดใจจะมาปรากฏให้เห็น


แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่เธอก็รู้สึกดีใจ ที่อย่างน้อย...นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นไม่ได้ฉายแววเย็นเยียบที่ในยามนี้เธอแสนจะชิงชัง


“คาโล...” เธอเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าบุรุษเบื้องหน้าจะหายไป มือน้อยๆกำแน่น เรียวปากเม้มอย่างกลัดกลุ้ม


จะพูดยังไงกับมันดีฟะ!


นัยน์ตาสีน้ำตาลมองสบกับนัยน์ตาคู่สีฟ้าที่ผู้เป็นเจ้าของเอื้อมมือมาสัมผัสกับใบหน้าเธอ ส่งผลให้หัวใจเจ้ากรรมสั่นสะท้าน ดวงหน้าร้อนผ่าว แต่เธอก็ไม่ได้ปัดมือของคนถือสิทธิ์ฉวยโอกาสนั้น เธอกลับค่อยๆปรือตาเป็นสัญญาณบอกใบ้อีกฝ่ายว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป


คาโลแย้มยิ้มละไม ก่อนที่พักตร์คมคายของเจ้าชายแห่งแผ่นดินนักรบผู้ป่าเถื่อนจะโน้มลงมาเพื่อแสดงที่สุดของความโรแมนติกให้กับเจ้าหญิงโฉมงามแห่งบารามอส


สัมผัสแผ่วเบานุ่มนวลที่ริมฝีปากเหมือนจริงจนเธอต้องย้ำเตือนตัวเองว่านี่คือความฝัน และคนตรงหน้าก็ไม่ใช่ของจริง ใช่แล้ว บางทีเมื่อเธอลืมตา บุรุษผู้มอบจุมพิตอาจจะเลือนหายไปจากเบื้องหน้าเธอ


เร็วเท่าความคิด เปลือกตาค่อยๆลืมขึ้นพร้อมจังหวะของหัวใจที่เต้นระรัวลุ้นกับการเดิมพันที่น่าจะรู้ผลอยู่แล้ว หากทว่า...มันกลับไม่เป็นเช่นที่เธอคิด





เพียงได้ยินว่าแม่จอมวุ่นของเขาไม่สบาย ก่อนที่สมองอันชาญฉลาดจะคิดทบทวนว่าจริงหรือไม่จริง ขาก็พาก้าวมายังห้องข้างๆซึ่งหัวขโมยสาวนอนหลับอยู่เสียแล้ว


ความเป็นห่วงลดลงเหลือแค่ครึ่งเดียวเมื่อได้ยลชัดๆว่าคนป่วยอยู่ในสภาพไหน เท่าที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า คนที่ทำตัวไม่สมกับเป็นเจ้าหญิงนั้นหลับพริ้มอย่างไม่มีที่ท่าป่วยไข้ แถมยังเป็นการนอนที่แสนสบายมาก ดูได้จากที่แม้จะหลับไม่ได้สติก็ยังมีรอยยิ้มพราย จนผู้มองสงสัยนักว่ามันกำลังฝันอะไรอยู่หนอ


หรือจะฝันว่าได้เขมือบอาหารมื้อใหญ่?


การเดาที่คาโลคิดว่าเป็นไปได้มาก จนเกิดความรู้สึกเหนื่อยใจกับเจ้าหญิงที่นอนอย่างมีความสุขซึ่งไม่ได้รู้เลยว่าเขา...ต้องปวดหัวมากแค่ไหนตั้งแต่มีเจ้าหล่อนเข้ามาเพ่นพ่านในหัวใจ


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับตัว หรือเรื่องการรับมือกับอารมณ์สาวที่คนเป็นสาวมาไม่นานเริ่มหัดกับเขาบ้างแล้ว และยังทำได้ดีจนเกินพออีกต่างหาก


“อือ...” เสียงครางในลำคอเรียกสติที่เริ่มลอยไปของเจ้าชายให้กลับมาสนใจคนที่นอนยิ้มอย่างสุขี นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองอย่างเอ็นดูเมื่อแลเห็นคนหลับหัวเราะคิกคัก ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ามันขี้เซามาก เขาคงคิดว่ามันกำลังแกล้งหลับ


ความตั้งใจทีแรกที่เพียงจะมาดูให้เห็นว่าเฟรินไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วค่อยกลับมลายหายไป เมื่อเรียวปากอิ่มขยับคล้ายพูดบางอย่าง เรียกให้คาโลที่กำลังจะก้าวหยุดชะงัก มองคนที่ยังหลับตานิ่งอยู่ด้วยความฉงน ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงแล้วก้มลงจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย


“อืม... คาโล...”


ดวงตาคนข้างบนเบิ่งกว้างหลังจากที่ได้ยินชัดๆว่าเจ้าหญิงยอดยุ่งเอ่ยอะไร ภาพสะท้อนบนนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยคือดวงหน้าหวานงดงามของเจ้าหญิงแห่งสองดินแดนที่เป็นหญิงสาวผู้มีเสน่ห์มากจนสติของเขาเริ่มจะคลอนแคลน


ขณะนั้น เขาห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่สิ ถึงจะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เขาก็เลือกที่จะทำเช่นนี้


สัมผัสเพียงแผ่วเบานั้นไม่ควรทำให้คนขี้เซาปลุกยากเย็นแสนเข็ญลืมตาตื่นขึ้นมาได้ แต่...เจ้าคนที่ตื่นยากเสียยิ่งกว่าใครกลับลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย


นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ปรือขึ้นมองสบกับเขาตรงๆนั้นทำให้คาโลถอนจุมพิตอย่างแสนเสียดาย หากยังไม่ยอมผละจากตำแหน่งที่ล่อแหลมนั้น


“คาโล...” เฟรินเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย “ฉันยังฝันอยู่อีกเหรอ”


คาโลอยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้คนอวดดีเอื้อมมือเรียวมาสัมผัสกับใบหน้าอย่างผู้มีสิทธิ์...สิทธิ์ของหัวขโมยที่ช่วงชิงหัวใจของเจ้าชายในปราสาทน้ำแข็ง


มือใหญ่ยกขึ้นกุมมือน้อยไว้แล้วเลื่อนลงมาอยู่ในตำแหน่งของหัวใจ...ซึ่งกำลังสั่นไหวรับกับความรู้สึกของเจ้าตัวที่มีต่อสตรีตรงหน้า


นัยน์ตาสองคู่สบประสาน ฝ่ายหนึ่งที่คิดว่านี่เป็นความฝันคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะอีกฝ่ายฉายชัดถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้


“เฟริน ฟังนะ”


ประโยคสั้นๆที่เรียกหัวคิ้วให้มุ่นด้วยความสงสัย ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลจะบ่งอาการรับรู้ มองภาพเบื้องหน้าอย่างงุนงงด้วยดวงตาที่เบิ่งโต รับรู้ถึงความอบอุ่นจากมือของคนตัวใหญ่กว่าซึ่งกุมไว้แน่น รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจทั้งของตนเองและของบุรุษที่แสนจะอยู่ใกล้ชิดเธอ


เฟรินตะลึงมองคนที่ปกติเลือกจะใช้สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์แบบเจ้าชายน้ำแข็ง หากยามนี้กลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าคมคายซึ่งลดความเย็นลงไปมาก...มากจนแทบเรียกได้ว่ากลายเป็นอบอุ่นอย่างที่หาดูได้ยากยิ่ง


พอเห็นสาวเจ้าตื่นเต็มตาแล้ว เจ้าชายแห่งแผ่นดินเถื่อนของนักรบก็กล่าวเสียงจริงจัง ให้คนฟังยิ้มหวาน นึกขำในใจว่าคนที่ควรจะพูดไม่ใช่มัน แต่ควรเป็นเธอต่างหาก


“เฟริน ฉันขอโทษ”


พระพักตร์ของเจ้าหญิงแห่งเดมอสเผยรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของเจ้าชายหนุ่มบนหอคอยงาช้างแทบหยุดเต้น นัยน์ตาสีฟ้าที่เก็บอารมณ์ได้ดีเสมอทอดมองสตรีผู้อยู่เบื้องล่างอย่างเต็มไปด้วยความรัก ก่อนจะทำตามที่ความรู้สึกเรียกร้อง


ทว่า...บรรยากาศที่แสนหวานกลับพังทลายลงในทันใด เนื่องจากปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่เรียกให้นัยน์ตาสองคู่เบิ่งกว้างอย่างตะลึงงัน


ปรากฏการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในโรงเรียนพระราชา...





To Be Continued...

- - - - - >




Create Date : 10 มกราคม 2549
Last Update : 20 มกราคม 2549 23:01:16 น.
Counter : 322 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Dark_Angel MIDNIGHT
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]