Linkin Park กับแต่ละเพลงใน Living Things
Album Title : Living Things
Release Date : 26 June 2012
Length : 37 mins
Recorded at : NRG Recording Studios (North Hollywood, CA)
Producers : Rick Rubin & Mike Shinoda
01 "LOST IN THE ECHO"
เพลงเปิดของอัลบั้มที่อลังการ ตื่นเต้นเร้าใจ ซับซ้อน แต่ก็เข้าถึงได้อย่างน่าประหลาด เริ่มต้นด้วยความเงียบแล้วค่อยระเบิดสู่เสียงดังที่ผสมปนเปกัน โดยเริ่มจากซาวด์อิเลคโทรแหลม ๆ เสียงกลองที่สั่นสะเทือนของร็อบ กับซาวด์สังเคราะห์ของโจ และกีตาร์ของแบรดที่ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ แล้วผนึกรวมเข้ากับเสียงแร็พของไมค์ในท่อน "You were that foundation" (เธอคือผู้วางรากฐาน) แล้วตามด้วยเสียงร้องของเชสเตอร์ในท่อน "This time I finally let you go" (คราวนี้ สุดท้ายฉันก็ปล่อยเธอไป) ตามด้วยเสียงเครื่องจักรแบบบ้าคลั่งในช่วงท้ายท่อนบริดจ์ก่อนตามด้วยเสียงเอคโค่ของเชสเตอร์ และเสียงเบสแบบราบเรียบของฟีนิกซ์ เนื้อเพลงโดยรวมพูดถึงการขจัดสิ่งลวงตาและสิ่งที่ทำให้ผิดหวัง These promised are broken, defeated. Each word gets lost in the echo, (คำสัญญานี้ได้พังทลาย ถูกทำลายลงเสียแล้ว แต่ละถ้อยคำรางเลือนหายไปกับเสียงสะท้อน)
02 "IN MY REMAINS"
เพลงที่ 2 ของอัลบั้ม เชสเตอร์จะร้องเพลงนี้ด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด คลอไปกับซาวด์อิเลคโทรนิค อะเกรสซีฟ เสียงในแนวราบ เสียงที่ไม่สอดคล้องและเสียงโลหะกระทบกัน แล้วค่อยยกระดับสู่ความแม่นยำ และร้องเพลงด้วยเสียงรัวแหลมสูง เชสเตอร์จะร้องท่อน Like an Army falling, one by one (ดั่งกองทัพที่ดับดิ้น, คนแล้วคนเล่า) แล้วร้องซ้ำท่อนนี้เพื่อบิวท์อารมณ์ คลอไปกับเสียงกลองของร็อบในจังหวะมาร์ช ที่คอยขับเคลื่อนทุกอย่างให้ดำเนินไปพร้อม ๆ กัน
03 "BURN IT DOWN"
ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม ฟังได้ที่นี่
04 "LIES, GREED & MISERY"
เป็นเพลงที่มีเสน่ห์และมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เปิดเพลงด้วยเสียงแร็พของไมค์ไปพร้อม ๆ กับเสียงสังเคราะห์และสเต็ปแบบติด ๆ ขัด ๆ ซาวด์เหมือนกับ Linkin Park ผสม Skrillex แล้วก็ผสมกับ M.I.A. เสียงคีย์บอร์ดท่อนบริดจ์แบบคลุมเคลือทอดไปสู่เสียงร้องสวดของเชสเตอร์ในท่อน You Did It To Yourself (เธอทำตัวของเธอเอง) ก่อนที่จะเริ่มกรีดร้องซ้ำไปซ้ำมาอย่างบ้าคลั่ง
05 I'LL BE GONE
เฉียบคมด้วยเสียงปรบมือและเสียงคีย์บอร์ดในระหว่างท่อนเริ่ม ก่อนที่จะเข้าสู่ท่อนฮุคหนัก ๆ ที่เป็นจุดเด่นของเพลงและเสียงกีตาร์ริฟฟ์ของแบรด
06 "CASTLE OF GLASS"
เป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนเกมส์มากที่สุด เมโลดี้ที่เกือบ ๆ จะเป็นอัลเทเนทีฟคันทรี เป็นเพลงโฟล์คที่งดงาม โดดเด่นด้วยเนื้อร้องของไมค์และเชสเตอร์ที่เป็นเหมือนบทกวี เชสเตอร์ร้องท่อน Take me down to the river bank... wash the poison off my skin...show me how to be whole again. (พาฉันไปยังชายฝั่ง... ชะล้างพิษบนผิวกาย... แสดงให้ฉันเห็นว่าจะกลับคืนมาสมบูรณ์พร้อมอีกครั้งได้เช่นไร) เป็นเพลงที่มุ่งตรงไปบนโครงสร้างในแบบดั้งเดิม มีท่อนที่ไมค์และเชสเตอร์ร้องด้วยกันด้วยความสิ้นหวังในท่อน Im on a crack in this castle of glass" (ฉันอยู่บนรอยร้าวของปราสาทแก้วแห่งนี้) นับเป็นเพลงที่เปราะบางที่สุดในอัลบั้ม
07 "VICTIMIZED"
เพลงที่หนักที่สุด และมีความเป็นอะเกรสซีฟมากที่สุดในอัลบั้ม เร่าร้อนและแผดเผาด้วยเสียงกรีดร้องของเชสเตอร์ในท่อนฮุค โหดร้าย รุนแรง และสั่นสะเทือน แต่ก็ยังให้ความรู้สึกว่าเป็นเพลงคลาสสิก
08 "ROADS UNTRAVELED"
บางที่ก็บอกว่าเพลงนี้เป็นคลาสสิกร็อคที่ไม่เหมือนกับอะไรที่เคยได้ฟังมาก่อน บางที่ก็บอกว่าเป็นเพลงโฟล์คแบบใหม่ที่น่าสนใจ ก็เลยขอสรุปว่าเพลงนี้เป็น Folk Rock ละกัน
09 "SKIN TO BONE"
เพลงที่มีเสียงร้องในสไตล์เพลงที่เอาไว้ร้องรอบกองไฟ เปิดด้วยเสียงอิเลคโทรอันมีชีวิตชีชา ก่อนที่ทุกอย่างจะกระโดดสู่ท่อนรับที่เป็นอีกหนึ่งเซอร์ไพรส์
10 "UNTIL IT BREAKS"
1 ใน 2 เพลงบัลลาดของอัลบั้ม โดดเด่นในฐานะเพลงบัลลาดที่สะเทือนอารมณ์ เริ่มด้วยเสียงแร็พของไมค์ บีทที่พุ่งตรงมาจากทุกทิศทาง หลังจากนั้นก็เป็นท่อนแร็พที่คล้ายกับของ Kanye West แล้วเข้าสู่ท่อนบรรเลงต่อเนื่อง เสียงร้องของเชสเตอร์ที่เหมือนกับสวดอ้อนวอนต่อ strength of the rising sun (แสงอันแรงกล้าของดวงตะวัน) เสียงรอบ ๆ ที่ค่อย ๆ ดังและหนักแน่นขึ้นตามไปกับเสียงแมชชีน
11 TINFOIL
คอนเฟิร์มเรียบร้อยแล้วว่าเพลงนี้เป็นดนตรีบรรเลง
12 "POWERLESS"
1 ใน 2 เพลงบัลลาดของอัลบั้ม เป็นเพลงที่เป็นบทสรุปของอัลบั้ม ด้วยส่วนผสมระหว่างสกอร์ของ John Williams และพลังในส่วนที่ดีที่สุดของ LP
หลังจากอ่านและนำทุกอย่างมาสรุปรวมกันแล้วพบว่า LIVING THINGS คู่ควรกับปรัชญา Hybrid Theory ของ Linkin Park เป็นอย่างยิ่ง ทั้งแนวเพลงที่แทบจะให้คำจำกัดความกันไม่ได้เลยทีเดียวว่าเป็นแนวไหน เพราะใน LIVING THINGS มีทั้งส่วนผสมของ Rap + Rock + Electro + Folk รวมกัน แถมท่าทางว่าจะรวมกันได้อย่างลงตัว สร้างสรรค์ และอลังการซะด้วย เพราะรีวิวของแต่ละที่ให้เครดิตอัลบั้มนี้กันไม่น้อยที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นดนตรีในแบบอลังการ ซับซ้อน รวมไปถึงดนตรีในแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เอาเป็นว่าอัลบั้มนี้จะออกมาเป็นแบบไหน เหมือนกับที่ได้อ่านรีวิวไปแล้วรึเปล่า 26 มิ.ย. นี้คงได้รู้กัน
Credit & Source : HitFix / LPA / Artist Direct / Noisecreep / Rolling Stone
Note :
- ข้อมูลส่วนไหนผิดทักท้วงกันได้ หรือถ้ามีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็บอกมาได้โลดดด (ถ้ากลัวไม่เห็นคอมเม้นท์ก็ฝากข้อความไว้ที่ Cbox ด้านข้างก็ได้)
- อนุญาตให้นำข้อมูลไปเผยแพร่ต่อได้ (ถือว่าช่วยกันโปรโมต LP และช่วยวงทำมาหากิน ยอดขายในไทยยิ่งดีแค่ไหน โอกาสที่จะได้ดูคอนเสิร์ตในไทยก็ยิ่งสูงแค่นั้น 555+) แต่ยังไงก็ก็อปเครดิตกันไปด้วยนะ ^^