"ผมไม่ไช่ผู้เชี่ยวชาญทางธรรม ผมเป็นเพียงแค่คนที่พยายามเอาหลักของธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้เท่านั้น..."
|
|||
เปราะบาง... เปราะบาง....ใครๆได้ยินก็คงนึกถึงเพลงของวง Bodyslam ใช่เลยครับ มันมาจากเพลงของ bodyslam นั่นแหละ จริงๆแล้วผมรู้จักและชอบเพลงนี้มานานแล้ว แต่ก็ได้แต่ฟังผ่านๆไป ... แต่มีอยู่วันนึงบังเอิญได้ยินเพลงนี้เข้า อยู่ดีๆก็เกิดอาการจุกในลำคอ อึ้ง นิ่งไปเลย จริงๆแล้วช่วงชีวิตของคนเรามันจะถูกกระทบกับปัจจัยภายนอกได้ตามสภาพแวดล้อมของจิตใจ มันเป็นไปได้ยากที่ใจคนเราจะมีภูมิคุ้มกันเหตุการณ์ต่างๆแข็งแรงได้ตลอดเวลา ความอ่อนล้าในใจที่เรามองไม่เห็นมันมีผลกับเราอย่างมากโดยไม่รู้ตัว หลังจากฟังเพลงจบ ผมลองตั้งจิตให้สงบนิ่งแล้วถามตัวเองว่าตอนนี้เราเป็นอะไร ทำไมเพลงหนึ่งเพลงถึงได้มีผลกับความรู้สึกของเรามากอย่างนี้ ทั้งๆที่ผ่านมาเราเคยเป็นคนมีเหตุผลกับทุกๆอย่าง รับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีและมีสติ แต่ทำไมวันนี้แค่เพลงๆเดียวทำให้เรารู้สึกได้มากมายเช่นนี้ ณ วันนั้นผมจำได้ว่า ไม่มีคำตอบอะไรจากการถามตัวเองเลย คงเพราะในเวลานั้นมันเหมือนกับคนเมาหมัด คิดอะไรไม่ออก มองอะไรได้ไม่ไกล ยืนประคองตัวอย่างมึนๆ แล้วก็คิดได้เพียงแต่ว่าทำไมชีวิตเรามันมืดมนและตึงเช่นนี้ มีอยู่จังหวะนึงที่ผมเคยคิดจะยอมแพ้สภาพจิตใจของตัวเองในเวลานั้น เพราะมันรู้สึกเหนื่อยและท้อกับสภาพของตัวเองเป็นอย่างมาก มีอาการไม่สนใจใครๆรอบตัว แม้กระทั่งแม่หรือใครๆ จุดนี้คือจุดเปลี่ยน เมื่อเรามีที่ยึดเหนี่ยวในจิตใจ เราจะไม่ยอมให้เราตกลงไปในบ่วงของความทุกข์ได้ เพราะมันจะมีผลกับคนที่เรารัก เค้าจะพลอยกังวลและเป็นห่วงเราไปด้วย คนเรามีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่หลายอย่าง บางคนเลือกธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ บางคนยึดเหล้าเป็นที่ยึดเหนี่ยว บางคนเลือกคนรัก บางคนเลือกสิ่งของเครื่องอัตถบริขาร สำหรับตัวผมเอง ผมมีแม่และคนที่รักเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ผมต้องเอาตัวเองออกจากบ่วงความคิดนี้ให้ได้เร็วที่สุด สิ่งที่ผมทำคือ ทำการแสกนจิตใจตัวเองให้ได้ละเอียดที่สุดด้วยวิธีเดิม คือการตั้งคำถามกับตัวเองให้ตอบเยอะๆ แล้วผมก็ได้คำตอบมาส่วนนึงแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้หลุดออกจากสถานการณ์นั้นได้สักที ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครรู้จักตัวเราเท่าตัวเราเอง ผมจึงไม่มีความคิดที่จะไปคุย ถาม หรือปรึกษาใครเลย แล้วก็พยายามหาตัวเองด้วยตัวเราเองให้เจอให้ได้ แต่สิ่งต่างๆก็เหมือนกับจะดูแย่ลงๆไปทุกวัน จนมีวันนึงมีน้องคนนึงบอกกับผมว่า พี่ลองปรึกษาคนอื่นบ้างดีไม๊ อย่างน้อยก็ลองฟังความเห็นของเค้าว่ามีความเห็นหรือมีความคิดอย่างไรกับเรื่องของเรา ใจจริงในใจลึกของผมก็ค้านความคิดนี้นะด้วยเหตุผลความคิดอย่างที่บอกไปขั้นต้น แต่มาถึง ณ เวลานั้นแล้ว เราลองทุกอย่างแล้ว เราทรมาณกับความหมกมุ่นในความทุกข์ของเราจนรู้สึกแย่มากๆแล้ว ผมตัดสินใจคุยกับคนที่รู้จักเรามากที่สุดคือ แม่.... ผมจำได้ว่า หลังจากที่ผมเล่าและปรึกษาเรื่องต่างๆให้แม่ฟังแล้ว ผมรู้สึกสบายใจมาก ทั้งๆที่ปัญหาต่างๆมันยังไม่ได้ถูกแก้ไขเลย เหตุการณ์ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม อะไรที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตก็ยังคงเกิดขึ้นไปแล้วเหมือนเดิม แต่เรารู้สึกเปลี่ยนไป แม่ได้ปลดล๊อคความคิดของผมด้วยมุมมองของคนนอก แล้วเปิดความคิดผมด้วยขอสรุปว่า "ผมป่วยทางใจ" เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าใจเราป่วยเหรอ ก่อนหน้านี้ผมต้องเผชิญสถานการณ์ต่างๆทั้งการผิดหวังทางด้านความรักกับคนที่คบกันมาสิบปี ต้องเจอกับความผิดหวังและความกดดันทางด้านการงานที่เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่อาจจะต้องเกิดการเปลี่ยนงานที่ทำมาเป็นระยะเวลา 13 ปี ต้องเจอกับสถานการณ์ความเจ็บป่วยของพ่อจนท่านเสียชีวิตไปมาตลอดสองปีพร้อมๆกัน จนถึงวันนี้ผมพยายามที่จะเข้มแข็งรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการพยายามแสดงออกว่าเราเข้มแข็งให้แม่เห็นว่าเราไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง ตลอดเวลาที่เราทำตัวอย่างงั้น เราเข้มแข็งแค่จิตกับการแสดงออก แต่เราลืมมองถึงความเข้มแข็งของใจที่มันจะต้องอยู่คู่กันในการดำเนินชีวิต แล้วเราก็เข้าใจผิดมาตลอดว่าเราเข้มแข็ง เราแข็งแกร่งจนลืมเข้าใจใจของตัวเอง ถ้าวันนั้นผมยังคงรั้นกับการไม่เปิดรับฟังใคร ผมก็ยังคงจะหมดมุ่นย่ำอยู่กับที่กับตัวเองจนผมดแรงไปเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ผมเรียนรู้ได้ว่า ตัวเราไม่ได้แน่จริงเสมอไป การรับฟังความคิดของคนอื่นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องทำในโลกของความเป็นเป็นจริงด้วย จุดนี้ เองทำให้ผมเริ่มเปิดใจให้กับการรับฟังและศึกษาเรื่องของธรรมะ และพยายามที่จะหาคำตอบให้ได้ว่าหลักความคิดทางด้านพระธรรมจะมาอยู่ในโลกของการดำเนินชีวิตของคนเราได้อย่างไร มีคนแนะนำเรื่องของการเข้าวัด นั่งวิปัสนา หลีกหนีจากความวุ่นวาย หรือการฟังเทศน์ให้ผมมากมาย แต่ผมรู้ตัวว่า ผมไม่ได้ Hard core ธรรมะถึงขนาดนั้น ใจยังคงต่อต้านอยู่ ผมเลยตั้งใจว่าผมจะเรียนรู้ธรรมะนอกวัดให้ได้ เพราะผมจะอยู่ข้างนอกวัดนี่แหละแบบมีหลักธรรมะเป็นหลักการคิด ผมยังอยากอยู่กับความวุ่นวายต่างๆ แล้วมีชีวิตอยู่กับมันแบบมีความสุขให้ได้ แล้วคอยมาดูต่อว่าผมจะอยู่ได้ยังไง คอยติดตามกันใน Blog ไปเรื่อยๆแล้วกันนะครับ.... |
cig@
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] ผมมักจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนที่เหมือนกับ "หนังสือที่ไม่มีคนอยากอ่าน" และมีไม่กี่คนที่ผมอธิบายความหมายของคำนี้ให้ฟัง... ผมเปิด Blog ขึ้นมาเพื่อที่จะแบ่งปันความคิดเล็กที่เกิดขึ้น จากการที่เจอเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวันให้กับเพื่อนๆ และจะพยายามเชื่อมโยงหลักความคิดของธรรมะ และนำธรรมะออกมานอกวัด แล้วใช้ได้ในชีวิตประจำวันของสัตว์สังคมเช่นเราให้ได้ ...แต่จะทำได้ดีขนาดไหน เพื่อนๆช่วยแนะนำด้วยนะครับ Group Blog All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |