Group Blog
 
All Blogs
 
บททดสอบ ความเป็นแม่

เรามีเรื่องของตัวเราเองมาเล่า มาแชร์ให้เพื่อนๆ ฟังค่ะ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเราเองเสียทีเดียว เป็นเรื่องของลูกสาวตัวน้อยๆ ของเรามากกว่า ในช่วงปีแรกๆ ของการแต่งงานเรารู้สึกพอใจมากๆ กันชีวิตครอบครัวทั้งเรื่องงาน เรื่องวิถีความเป็นอยู่ เราขอใช้คำว่าสบายใจและสบายกายมากๆ เรากับสามีเป็นเพื่อนเรียนกันมาก่อน เลยทำให้ชีวิตคู่เป็นอะไรที่สบายๆ ไม่ต้องปรับให้มากนัก อยู่กันแบบเพื่อนคู่คิด คู่ชีวิตได้ งานที่ทำก็ดี เป็นของตัวเอง อยากจะหยุดก็หยุดไปเที่ยวไปทำอะไรได้ตามสบาย ในตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าชีวิตมันสมบูรณ์แล้ว

หลังจากแต่งมาได้ 2 ปีแล้ว ก็เริ่มคิดเรื่องลูก จริงๆ ก็รู้ว่าแฟนเราอยากมีลูกตั้งแต่ปีแรกๆ ที่แต่งงานแล้ว แต่เราก็คิดว่าขอใช้ชีวิตคู่ดูก่อน ซึ่งเค้าก็เห็นด้วย เราคุมกำเนิดอยู่แค่ปีแรก เพราะพอเข้าปีที่ 2 เราก็คิดว่าถ้าเค้าจะมาเกิดก็ให้เค้ามา แต่....ก็รอจนผ่านปีที่ 3 เค้าก็ยังไม่มา

เราก็เลยไปหาหมอที่เก่งเกี่ยวกับเรื่องมีลูก ซึ่งก็มารู้เอาทีหลังว่าที่ไม่ติดซักที เป็นเพราะเรามีปัญหาเรื่องมดลูก แต่คุณหมอก็ให้กำลังใจว่า ไม่ได้ถึงขั้นต้องทำกิฟท์ เราก็รักษาและพยายามที่จะมีอยู่จนเกือบๆ ปี ข่าวดีก็มาค่ะ

ครั้งแรกที่ผลทดสอบออกมาว่า เราท้อง เราดีใจสุดๆ ทั้งตื่นเต้น ทั้งงงๆ ทั้งรู้สึกแปลกใจ เราลูบท้องตัวเองจับอยู่ตลอดเวลา แล้วก็คิดในใจว่า ลูกจ๋า หนูมาแล้วเหรอ แม่ดีใจจัง

ในช่วงการตั้งครรถ์ 3 เดือนแรก เป็นอะไรที่แปลกดีสำหรับเรา เราแฟ้ท้องอยู่ไม่นานนัก ประมาณ 3 อาทิตย์ กว่าๆ ก็ดีขึ้น แต่ก็ทำให้น้ำหนักเราลดไปเยอะเหมือนกัน หลังจากที่ดีขึ้น น้ำหนักเราก็ยังขึ้นไม่มากเท่าไหร่ เป็นเพราะเรารู้สึกอยากอาหารไม่ได้ผิดไปจากก่อนท้องเลย ไม่มีอะไรที่อยากทานเป็นพิเศษ ปริมาณที่ทานก็เหมือนๆ เดิม แต่สภาพจิตใจตอนนั้นเรารู้สึกดีจริงๆ คิดอยู่ตลอดว่าดีใจๆ ปลื้มใจที่ในชีวิตนึงได้ให้กำเนิดคนๆ นึง คิดอยู่แต่แบบนั้นค่ะ เราเป็นคนท้องที่มีความสุขมากๆ คนรอบข้างก็เอาใจ เราเองก็ค่อนข้างจะระวังทั้งเรื่องอากาศ อาหาร และสภาพจิต ดูเหมือนๆ ก็เป็นปกติทั่วไป

พอเข้าช่วงเดือนที่ 7-8 คุณหมอก็ซาวน์ให้อีกที เพื่อดูเพศให้ชัด และดูว่าเค้าเริ่มจะกลับตัวหรือยัง คุณหมอบอกว่าสงสัยจะได้ลูกสาว ในใจเราก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากๆ เพราะอยากให้คนแรกเป็นผู้หญิงเหมือนที่เราเองก็เป็นลูกคนโต แต่...ก็มีอยู่อย่างนึงคือ ลูกสาวไม่ยอมกลับตัว แต่อยู่ในสภาพพับครึ่งท่อน คือเอาขาสองข้างพับขึ้นข้างบน เท้าอยู่บนหัว ตอนนั้นเราก็ถามว่าอันตรายมั้ย คุณหมอก็บอกว่าไม่หรอก แต่คงจะคลอดยาก อาจจะต้องผ่าออก ในจริงเราก็เตรียมพร้อมสำหรับการคลอดเอง แต่ก็คิดว่า อืม ผ่าก็ได้ไม่เป็นไร ขอให้เค้าปลอดภัยก็พอ

และแล้ววันนั้นก็มาถึง เราเตรียมพร้อมทั้งใจทั้งกาย คิดอยู่อย่างเดียวว่าขอให้เค้าปลอดภัย ขอให้เค้าปลอดภัย เราไม่รู้สึกกลัวเจ็บเลยสักนิดเดียว บรรยากาศในห้องคลอดก็เป็นไปด้วยดี หมอยาที่เป็นคนบล็อกหลังก็น่ารักมาก ให้กำลังใจเราตลอด บอกขั้นตอนในการผ่าคลอด ซึ่งก็ใช้เวลาเพียงแค่ช่วงอึดใจเดียวจริงๆ แล้วเสียงของยัยหนูน้อยก็ร้องจ้า

ไม่รู้นะ ในความรู้สึก มันไม่ใช่แบบว่าเป็นฮีโร่ช่วยกอบกู้โลกหรืออะไรทำนองนั้น มันรู้สึกแบบว่าอ้าว...เสร็จแล้วเหรอ เร็วจัง แล้วพอมีสติกลับมาได้ เราก็รีบถามว่าเป็นไงบ้างลูกเรา โอเคมั้ย ครบมั้ย ผู้หญิงใช่มั้ย คุณหมอก็อุ้มเค้ามาใกล้ๆ โอ้โห...แว๊บแรกที่เห็นเค้า ก็เราก็คิดว่าทำไมน่าเกลียดจัง ตาก็ตี่ๆ หน้าก็บวมๆ ตัวงี้แดงเชียว เราไม่ได้ร้องไห้ดีใจเหมือนในละครที่ดู ซึ่งตอนก่อนจะคลอดเราก็คิดไว้ว่าคงจะซาบซึ้งมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบโล่งอกมากกว่าที่เค้าปลอดภัย

พอพยาบาลเค้าเข็นเราออกมาจากห้องคลอดเรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ คุณพยาบาลก็ถามเราว่า ก่อนจะกลับเข้าห้องพัก จะแวะดูลูกสาวก่อนมั้ย เราก็พยักหน้าแว๊บที่สองที่ได้เห็นหน้าเค้า ความรู้สึกว่า รักเค้า มันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นค่ะ

เราเป็นคุณแม่ผ่าคลอดที่เรียกว่าฟื้นตัวเร็วมากๆ ในช่วงเย็นๆ ของวันนั้น เราก็เริ่มจะขบับตัวไปมา พลิกซ้ายพลิกขวา ถึงแม้มันจะรู้สึกเจ็บและจุกมากๆ แต่เราก็คิดไว้ว่า ต้องฟื้นให้เร็วที่สุด จะได้ให้นมแม่ได้ ในวันรุ่งขึ้น ช่วงสายๆ เราก็เริ่มจะเดินเหินได้คล่องขึ้น และพอช่วงบ่ายๆ พยาบาลก็มาถอดเอาสายปัสสาวะออก พอประมาณซัก 4-5 โมงเย็น เค้าก็มีรถเข็นมารับเราไปที่ห้องเด็กอ่อน เพื่อไปฝึกให้นมลูก

แว๊บที่ 3 ที่ได้เห็นเค้า ครั้งนี้เค้านอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมอกเรา แม่ที่เก้ๆ กังๆ อุ้มผิดๆ ถูกๆ คุณพยาบาลก็ถามว่าคนแรกใช่มั้ยคะ เราก็พยักหน้า เค้าก็พยายามจะสอนให้อุ้มและป้อนนมแม่ให้เค้า ลูกสาวตัวน้อยของเราช่างน่ารักเหลือเกิน ในความคิด ตา จมูก ปาก มือ เท้าเล็กๆ จุ๋มจิ๋มไปหมด แรงดูดก็ไม่ค่อยจะมี ดูดได้แป๊บเดียวก็หลับ ต้องคอยเขี่ยแก้ม เขี่ยหัวอยู่คลอด มีความสุขค่ะ

เราอยู่ที่โรงพยาบาลแค่ 4 วันแล้วก็กลับ ตอนที่กลับมาก็ฉุกละหุกกันหน้าดู ตอนที่เราพักฟื้นนี่ เราเลือกที่จะอยู่กับพ่อและแม่ของเรา เพราะว่าใกล้โรงพยาบาลที่คลอดมากกว่าที่บ้านเราเอง และเราก็อยู่กับสามีแค่สองคน เรามาซึ้งใจกับคำว่ามือใหม่จริงๆ เพราะทำผิดทำถูก ในใจก็คิดเอาว่าลูกจ๋า หนูมือใหม่ แม่ก็มือใหม่ เรามาร่วมมือร่วมใจกันนะลูกนะ

เมื่อผ่านไป 10 วัน เราต้องกลับเข้าไปที่โรงพยาบาลใหม่ เพราะลูกสาวมีอาการตัวเหลืองมากขึ้น และต้องรับการตรวจการได้ยินด้วย เนื่องจากเมื่อตอนแรกคลอดนั้น แกยังไม่ผ่านการตรวจ นี่คือครั้งแรกของการพาลูกไปโรงพยาบาลหลังจากที่กลับมาบ้านแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เราก็ยังคงเก้ๆ กังๆ เช่นเดิม การเตรียมความพร้อมของข้าวของเครื่องใช้ก็ยังไม่ค่อยจะถูกเท่าที่ควรจะเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เรากังวลใจไปมากกว่าการที่คุณหมอ ได้บอกในสิ่งที่ทำให้เรา ช็อค

คุณหมอได้ทำการตรวจดูลูกสาวเราตามปกติ แต่พอเค้าลองอุ้มๆ แกดู เค้าก็รีบเอาวางลงที่เตียง และพยายามจับสะโพกของแกดู พร้อมทำสีหน้าไม่ดีนัก เราก็รีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าก็บอกว่ารู้สึกว่าข้อสะโพกจะหลวมๆ นะคะ ทั้งเรา ทั้งแฟน ทั้งคุรยาย (แม่ของเรา) ก็ตกใจมาก แล้วก็รีบถามว่าหมายความว่าอย่างไร เค้าก็บอกว่ายังบอกอะไรไม่ได้มาก สงสัยต้องส่งไปให้ข้างล่าง เอ็กซเรย์กระดูกดู แล้วให้ไปพบหมอกระดูกโดยตรง

ในวินาทีนั้น เรารู้สึกมึนตึบไปหมด เราพยายามเรียกสติกลับมาให้เร็วที่สุด เราหันไปมองหน้าสามี เค้าก็ยิ้มให้แล้วบอกว่า อย่าเพิ่งคิดมาก ให้ทำใจเย็นๆ ก่อน ให้รอดูหมอกระดูกวินิจฉัยอีกที ค่ะ หลังจากคุณหมอกระดูกได้ดูฟิลม์ และลองจับสะโพกลูกสาวเรา เค้าก็บอกว่า ข้อสะโพกมันหลวมจริงๆ หลวมที่ข้างซ้าย ซึ่งเค้าก็แนะนำว่าให้รีบพาไปพบอาจารย์แพทย์เค้าที่รามา ซึ่งเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ โชคดีจริงๆ ที่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ และวันรุ่งขึ้นก็มีคลีนิคกระดูกเด็กพอดี

ก่อนจะกลับ เราก็พาลูกสาวไปตรวจการได้ยินอีกครั้ง ซึ่งผลที่ออกมาก็ยังไม่ผ่าน เราก็ออกมาน้ำตาคลอๆ บอกกับแม่เราว่า วันนี้ไม่ใช่วันของเรา ไม่ว่าอะไรๆ ก็ไม่ดีไปเสียหมด แม่เรากอดเราแน่น พร้อมกับก้มลงจูบที่หน้าผากเจ้าตัวเล็ก บอกกับเค้าว่า หลานยายต้องไม่เป็นนะลูก

ในวันรุ่งขึ้น เราก็ไปที่รามาพร้อมกับแฟนเรา และพี่เลี้ยง นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ไปโรงพยาบาลรัฐ คนเยอะมากๆ ใจเราก็คิดว่า ทำยังไงดี คนเยอะขนาดนี้ กว่าลูกสาวเราจะได้ตรวจก็ต้องรอตั้งนาน ไหนจะเรื่องของอากาศ ลูกเราก็ยังเล็กอยู่ เพิ่งจะแค่ 10 วันเอง จะไม่สบายมั้ย ก็คิดไปต่างๆ นานาค่ะ แต่สุดท้ายก็รอไม่นาน คุณหมอก็ให้ลูกเราเข้าไปตรวจเป็นคนแรก พอท่านได้ดูฟิลม์เอ็กซเรย์ ท่านก็บอกว่า อืม...ไม่ค่อยดีเลย เราก็รีบถามว่า ข้อสะโพกหลุดที่ข้างซ้ายเหรอคะ ท่านก็ส่ายหน้าบอกว่า เปล่า....แต่หลุดทั้งสองข้างเลย

ตอนนั้นเราช็อคสุดๆ คิดอยู่แต่ว่า นี่เป็นความฝัน นี่เป็นความฝัน เราต้องตื่นแล้วนะ จะหลับแบบนี้ไม่ได้นะ แต่เมื่อท่านค่อยๆ เล่าให้ฟังว่าจะต้องรักษาอย่างไรบ้าง เราก็รู้แล้วว่า มันคือความจริง ในตอนที่คุยกันนั้น ลูกสาวตัวน้อยของเราก็ยังไม่รู้อะไร ยังคงหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข เหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้วคุณหมอกับทีมแพทย์ที่เหลือก็พาเราไปที่ห้องอัลตราซาวน์เพื่อไปดูกระดูกอีกครั้ง ซึ่งหลังจากนั้น ท่านก็บอกว่าหลุดออกมาเยอะมากเหมือนกัน โดยเฉพาะข้างซ้ายและต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุด โดยปกติจะพบอาการอย่างนี้หลับจากที่คลอดออกมา แล้วก็รักษาทันที แต่นี่ทั้งไว้ตั้ง 10 วัน ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงยิ่งขึ้น เราก็ถามว่าทำไมตอนที่แรกคลอดคุณหมอที่ทำคลอดเค้าไม่ทราบหรือไร ทั้งๆ ที่เป็นหมอที่รามาเช่นเดียวกัน ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า เคสอย่างลูกสาวเรา มันดูยาก เหมือนจะไม่หลุด แต่ก็หลุดและเป็นไปได้ว่า ตอนคลอดยังไม่หลุด แต่มาคลายตัวเอาหลังจากนั้น 2-3 วันก็เป็นได้

เราเริ่มร้องไห้ค่ะ ร้องโดยไม่อายใครทั้งนั้น มีมแพทย์ทุกคนมองหน้าเรา และมีสายตาที่บอกว่าทั้งเห็นใจและสงสาร แต่เราก็ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำไม ทำไมมันเกิดขึ้นได้ เราทำอะไรผิดหรือเปล่า ทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า ถึงส่งมาถึงลูกสาวของเราได้

แล้วคุณหมอก็พากลับลงมาที่ห้องที่รักษา พร้อมเอาชุดรั้งสะโพกมาให้ลูกสาวใส่ แต่ก่อนที่จะใส่ชุดนี้ แกต้องดันเอาข้อสะโพกกลับเข้าที่ก่อน และตรงจุดนี้แหละค่ะ ที่เราเกือบล้มทั้งยืน เมื่อต้องเห็นลูกสาวอายุ 10 กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทั้งสามีและเรากอดกันร้องไห้ ไม่เว้นแม้แต่พี่เลี้ยงที่เพิ่งจะจ้างได้แค่ 3 วัน ก็ยังร้องไห้ไปกับเราด้วย ลูกเราต้องอยู่ในชุดที่รั้งเค้าไว้ ตึงทั้งขาให้แบออกให้กว้างที่สุด เราไม่สามารถจะอาบน้ำให้เค้าได้ ต้องเช็ดตัวอย่างเดียว ในระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน ลูกเราก็ร้องไห้มาตลอดทาง ซึ่งเราเดาเอาว่าเค้าคงจะเจ็บมาก เราก็กอดเค้าไป ร้องไห้ไป พอหันหน้าไปหาสามี เราก็เห็นเค้าเอามือเช็ดน้ำตาออกอยู่ตลอดเวลา


เรากลับมาถึงบ้านตอนบ่าย 4 กว่าๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พ่อของเราโทรกลับเข้าบ้าน เพื่อมาถามอาการของหลานสาว เรารับมาแต่คุยไม่ได้ เลยยื่นให้สามี ซึ่งตัวเค้าเองก็เล่าไปร้องไห้ไป นี่เป็นวันแรกค่ะ ที่เห็นน้ำตาของเค้า อีกไม่นาน คุณแม่เราก็กลับมา พอเราเห็นเราก็วิ่งไปกอดเค้า พร่ำบอกแต่ว่า ลูกหนู แม่ ลูกหนู แม่ก็รีบเข้าไปหาหลาน แม่ไม่พูดอะไรค่ะ แต่บอกว่าหนูต้องเข้มแข็งนะลูก ถ้าหนูไม่เข้มแข็ง ลูกเค้าจะรู้เค้าจะเสียใจไปด้วย ไม่เป็นไรนะลูก เค้าเกิดมาเป็นหลานแม่ เค้าต้องโอเค เราทำใจอยู่นานค่ะ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านไปหลังจากนั้นอีกหลายวัน เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่จริงอยู่ดี แต่ท้ายที่สุดหลังจากที่เราได้พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมจากทั้งทางเน็ต และจากคนรอบข้าง เราก็รู้สึกดีขึ้นเป็นระยะๆ

การเลี้ยงลูกคนแรกที่มีปัญหาแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเค้าจะงอแงมากกว่าปกติ เนื่องจากเวลาเค้านอนก็จะอึดอัดและลำบากมาก และการให้นมแม่ก็ค่อนข้างลำบาก เพราะเค้าจะไม่สามารถอยู่ในท่าที่ปกติได้ หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ ที่เราเริ่มจะปรับตัวได้บ้างแล้ว ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่เรากำลังป้อนนมเค้าอยู่ เราก็ลูบหน้าลูบแขนขาเค้าตามปกติ แล้วเราก็สังเกตุเห็นว่า เค้ามักจะชอบเอียงทางขวาอยู่เรื่อย ทุกครั้งที่เค้าหันหน้าไปทางขวา มันจะมีก้อนเนื้อใหญ่ประมาณหัวนิ้วโป้งผู้ใหญ่ ซึ่งเห็นได้ชัดตรงคอด้านซ้าย เราตกใจมากและตอนนั้นก็ไม่มีใครอยู่บ้าน โชคดีที่คุณยายเพิ่งกลับมาจากออฟฟิศ เราก็รีบบอกให้ขับรถไปโรงพยาบาลทันที พอหมอตรวจดู เค้าก็บอกว่ามันเป็นอาการของโรคคอเอียง แต่ลูกสาวเราเป็นเยอะมาก ต้องพยายามให้เค้าหันกลับไปทางซ้ายให้ได้มากๆ

เรากลับมาบ้าน ในตอนนั้นกลั้นใจว่าจะต้องไม่ร้องไห้อีกแล้ว แต่สุดท้ายมันก็เป็นความโกรธค่ะ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโกรธอะไร คิดอยู่แต่ว่า พอได้หรือยัง จะพอได้มั้ย จะต้องให้เจ็บให้ช้ำไปอีกถึงไหน แค่นี้ยังทรมาณกันไม่พออีกหรือ หลังจากนั้น เราก็ให้คุณหมอที่รามาดูให้อีกที ซึ่งเค้าก็บอกว่าเป็นเยอะขนาดนี้ ถ้าได้ขวบคงต้องกรีดเพื่อขยาย เพราะโอกาสที่จะหายเองค่อนข้างน้อย และถ้าไม่รักษารูปหน้าเค้าจะเบี้ยวได้ ในตอนนั้นเราก็ตั้งใจไว้ว่า เราจะต้องทำให้เค้าหายให้ได้ เหมือนที่ตั้งใจไว้ว่าขาเค้าจะต้องหาย

เมื่อผ่านไป 3 เดือน คุณหมอก็นัดไปซาวน์อีกครั้ง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา อาการทางขาเค้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นระยะ ถึงแม้จะไม่ได้ดีเท่ากับของเด็กทั่วไปที่เริ่มรักษาตั้งแต่เกิด แต่ก็นับว่าเป็นพัฒนาการที่ดี เราเคยถามคุณหมอว่าถ้ารักษาแล้ว โอกาสจะกลับมาเหมือนคนปกติได้มีมากแค่ไหน ท่านก็บอกว่ามันก็แล้วแต่เด็ก บางคนก็หายเป็นปกติ เล่นกีฬาได้ด้วยซ้ำไป แต่บางคนที่โชคร้ายหน่อย รักษาไม่ทันหรือไม่ต่อเนื่องก็อาจจะเกินขากางๆ หรือไม่ก็ขาไม่เท่ากัน สุดท้ายก็อาจจะต้องพิ่งการผ่าตัดใส่ข้อสะโพกเทียมให้

เราก็เก็บมาคิดเอาเองว่า ไม่เป็นไรหรอก เราจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ต่อให้หมอบอกว่ามีแค่ 1% ที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เราก็จะรักษาเค้าต่อไปเรื่อยๆ คุณหมอหลายท่านในทีมก็น่ารักมากค่ะ ให้กำลังใจเราเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มาหา บางครั้งที่ผลตรวจออกมาดี คุณหมอก็จะบอกว่า หมอดีใจไม่ใช่ที่ผลตรวจดี แต่ที่เห็นรอยยิ้มของคุณแม่

อย่างไรก็ตาม การรักษาแบบนี้ต้องใช้เวลามาก คุณหมอบอกว่าประมาณ 2-3 ปีถึงจะหายสนิท ซึ่งผลพวงจากการรักษาแบบนี้ ลูกอาจจะมีพัฒนาการทางร่างกายช้า เช่นนั่งช้า คลานช้า เดินช้า แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจกันไป ในตอนแรกๆ เราก็กังวลเรื่องนี้ แต่ก็มาคิดตกว่า ถ้าให้แลกกับการที่เค้าจะหายสนิท ต่อให้เค้า 3 ขวบแล้วยังเดินไม่ได้ เราก็ยอม ตอนแรกเราคิดว่า นี่คงจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราเศร้าที่สุดซะแล้ว แต่มันคงเป็นเรื่องของกรรม ที่กำหนดไว้แล้วว่า บททดสอบความเป็นแม่ของเรามันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง

พอเค้าได้เกือบ 4 เดือน เราก็พาไปตรวจร่างกาย ฉีดยาตามปกติ แต่รอบนี้ ต้องพาเค้าไปทดสอบเรื่องการได้ยินด้วย ซึ่งในสองครั้งแรกยังไม่ผ่าน เพราะยังมีน้ำในหูชั้นกลางอยู่ เครื่องตรวจไม่ได้ และในครั้งที่สามนี้ พอดีกับเค้าเป็นหวัดอยู่ ก็ทำให้ตรวจไม่ผ่าน เราก็เริ่มไม่สบายใจเพราะรู้สึกว่าเค้าตอบสนองกับเสียงไม่ดีนัก คุณหมอก็เลยแนะนำให้ไปตรวจด้วยคลื่นความถี่ละเอียดจะดีกว่า

เย็นวันนั้น เราไปที่โรงพยาบาลหนึ่งที่มีเครื่องตรวจชนิดนี้ กล่อยลูกให้หลับและเริ่มการตรวจ หลังจากที่ตรวจไปได้ประมาณแค่ 5 นาที คุณหมอก็มองหน้าเรา และคำถามที่เจ็บปวดว่า ถ้ารู้ว่าลูกมีปัญหาแล้วทำอย่างไร เรามองหน้าหมอแบบงงๆ แต่ก็ตอบไปว่า จะทำทุกอย่างให้เค้าหาย แล้วเราก็ถามกลับว่า ทำไมเหรอ เค้ามีปัญหาเหรอ คุณหมอก็พยักหน้า เราก็คิดว่า อีกแล้วเหรอ มาอีกแล้วเหรอ ความรู้สึกแบบนี้ ทำไมไม่จบไม่สิ้นเสียที แต่ก็ตั้งสติถามว่าอาการของลูกเป็นอย่างไร เค้าก็อธิบายว่า ที่ลูกเราเป็นไม่ใช่หูหนวก แต่เป็นการหูตึงแบบรุนแรง ซึ่งการผ่าตัดคงไม่ช่วยอะไร ถ้าจะให้ดีก็คือต้องใส่เครื่องช่วยฟัง เรามองหน้าสามีแบบพยายามจะให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แต่ในใจเราก็รู้แหละว่ากำลังใจมันแทบจะไม่เหลือแล้ว

ในวินาทีนั้น เราคิดไปแล้วว่าลูกเราคงต้องมีปัญหามากกว่านี้อีกแน่ๆ ที่กำลังรอให้เกิดขั้น ซึ่งถ้าตอนนี้เราท้อ ก็คือจบ แต่ถ้าไม่ท้อเค้าจะต้องหาย พอเสร็จการตรวจ คุณหมอก็บอกว่าลองตรวจดูหูชั้นกลางอีกที ว่าเกิดจากประสาทหูเสียหรืออะไรกันแน่ โชคดีจริงๆ ค่ะ ที่ผลออกมาเกิดจากการมีน้ำในหูชั้นกลางเยอะ ซึ่งคุณหมอก็ยิ้มๆ บอกว่ายังมีหวังนะ รีบรักษาอาการอักเสบให้หายก่อน แล้วรอตอนครบ 6 เดือนมาตรวจอีกที ถ้าการอักเสบหาย บางทีการได้ยินก็จะค่อยๆ กลับมา ยิ้มทั้งน้ำตาเลยค่ะ งานนี้

ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เราเฝ้าติดตามดูว่าลูกมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง เราทิ้งตำราไปหลายเล่ม ทิ้งถ้อยคำของผู้ใหญ่ที่เฝ้าบอกว่า เดือนที่เท่าไหร่ เด็กจะทำอะไรได้บ้าง เราไม่สนไม่แคร์ เราคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเค้าจะคว่ำได้ คลานได้ ตั้งไข่ หรือเดินได้ ก็เพราะเค้าต้องการจะทำเอง ตอนที่ลูกสาวเรา 3 เดือน เค้ามีความต้องการที่จะคว่ำมากๆ แต่ดูเหมือนเป็นงานหนัก เพราะติดที่ชุดรั้งสะโพกที่เค้าใส่ แต่เค้าคงเหมือนเรา คือไม่ยอมแพ้พอใกล้ๆ จะ 4 เดือน เค้าก็คว่ำได้เองค่ะ ช่วงนั้นเองที่คุณหมออนุญาติให้เริ่มถอดชุดในเวลากลางวัน และใส่เฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น วันที่เค้าได้ถอดชุดและลงน้ำครั้งแรก เราน้ำตาไหลเลย นับเป็นเวลา 3 เดือนเต็มที่ลูกไม่มีโอกาสได้อาบน้ำ เล่นน้ำเหมือนเด็กทั่วไป เค้าชอบค่ะ ชอบน้ำมากๆ และพอได้อาบน้ำ เค้าก็รู้สึกสบายตัว หลับปุ๋ยอย่างมีความสุขเกือบจะทุกครั้ง

หลังจากที่เปลี่ยนจากชุดรั้งมาเป็น version ที่สอง ซึ่งทางคุณหมอเรียกว่า กระดองเต่า ก็จะคล้ายๆ กางเกงในแข็งๆ แต่ก็ยังคงต้องแบะขาออกเหมือนเดิม ตอนที่เปลี่ยนให้ครั้งแรก ดูเค้าไม่ค่อยจะชอบมันเท่าไหร่ เพราะเวลาเค้านอนหงาย สะโพกก็จะแอ่นมาก เพราะกระดองมันแข็ง เราเองก็แอบเสียใจนิดๆ เพราะคิดว่าเค้าเพิ่งจะเริ่มชินกับการได้ปล่อยตัวเองเป็นอิสระในช่วงกลางวัน และกำลังสนุกกับการคว่ำได้ ก็ต้องมาติดกระดองอีกแล้ว แต่ก็นั่นแหละค่ะ มันคือการรักษาอย่างนึง

ในช่วงเวลานี้ เราเริ่มจะพาลูกออกไปข้างนอกมากขึ้น เช่นสวนสาธารณะ ไปเดินเล่นซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้ก็จะมีคนเข้ามาถามไถ่ว่าลูกสาวเป็นอะไร เราก็ตอบไป ทุกครั้งที่เราตอบคำถาม ก็จะได้รับสีหน้ากลับมาประมาณว่าตกใจมาก แล้วก็จะถามคำถามเดิมๆ ว่าแล้วจะเดินได้ไหม ก็ยังดีที่เค้ายังไม่ถามว่าจะพิการมั้ย ซึ่งถ้าเจอแบบนี้ เราก็คงต้องเดินหนีค่ะ ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะว่ามันเจ็บปวด มันโดนตอกย้ำในสั่งที่เรากลัวอยู่แล้ว ก็พอมันเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา เราก็เริ่มชิน และยินดีที่จะตอบคำถามต่างๆ ถามมา

พอลูกเข้าเดือนที่ 6 เค้าก็เก่งมากขึ้น คว่ำเองหงายเองได้ มีพัฒนาการที่ดี เรื่องที่เค้าคอเอียงก็ดีขึ้น เค้าเริ่มจะหันซ้ายได้สุดมากขึ้น ถึงแม้ในตอนแรกๆ คนอื่นจะไม่เข้าใจเราคิดว่าเราใจร้ายที่ชอบบิดคอเค้า แต่จริงๆ มันคือการทำกายภาพบำบัดอย่างนึง ซึ่งถ้าไม่ฝืนทำตั้งแต่แรก มันก็จะดีขึ้นช้า เราต้องบังคับการหันเค้าอยู่ทุกวัน วันละ 3-4 รอบ รอบนึงก็ประมาณ 10-15 นาที ซึ่งแน่นอนก็ต้องต่อสู้กับความรู้สึกโกรธตัวเองที่ทำให้ลูกเจ็บ อึดอัด ร้องไห้ แต่ก็พยายามคิดว่า เจ็บตอนนี้ดีกว่าไม่หายแล้วต้องไปกรีดตอนครบขวบ ซึ่งในช่วงหลังๆ เค้าก็ให้ความร่วมมือดี เวลานอนคว่ำก็ยอมหันทั้งสองทาง หมอก็จะชมเสมอว่าเก่งแล้วลูก หนูดีขึ้นเยอะๆ

แล้ววันที่น่ากลัวที่สุดวันนึงก็มาถึง วันที่เค้าต้องนัดไปตรวจการได้ยินอีกครั้ง ตอนที่เค้าครบ 6 เดือน ครั้งนี้ เราใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะกว่าเค้าจะยอมหลับก็นานพอดู ผลที่ได้ทำให้เรากับสามี ยิ้มแก้มแทบปริ แทบจะกระโดดจูบคุณหมอให้รู้แล้วรู้รอดไป คุณหมอยิ้มๆ และบอกว่าข้างขวากลับมาเหมือนปกติแล้ว ส่วนข้างซ้ายยังมีน้ำค้างอยู่นิดหน่อยในหูชั้นกลาง ซึ่งหมอคาดว่าน่าจะค่อยๆ ดีขึ้น ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา คุณหมอบอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงจะไม่ต้องใช้เครื่องช่วย แต่ก็ยังขอให้เราใช้วิธีการกระตุ้นเค้าเหมือนเดิม และให้ระวังเรื่องน้ำเข้าหูเวลาอาบน้ำเหมือนเดิม

นี่นับเป็นข่าวดีมากๆ เรากอดลูก หอมลูก กระซิบบอกเค้าว่า แม่ดีใจที่รู้ว่าหนูอาจจะได้ยินเหมือนคนปกติทั่วๆ ไป ทำให้เราได้รู้ว่า ทุกเช้าที่เค้าตื่นมา คำว่า รักหนูนะลูก รักหนูที่สุดในโลกเนี่ยะ เค้าคงจะได้ยินแน่ๆ จากที่เราเคยคิดว่าของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้คือการให้เค้าเกิดมาเป็นลูกเรา ยังไม่เท่ากับการได้รับรู้ว่าเค้ากำลังดีวันดีคืน มันสุขใจจนล้นออกมา

สามีเราหันมายิ้มๆ หอมแก้มลูกสาวแล้วบอกกับเราว่า ลูกสาวคนนี้พิเศษจริงๆ เกิดมาให้พ่อแม่ซ่อมแท้ๆ วันนั้นจำได้ว่า หม่ำข้าวไปสองจาน หลังจากที่ทั้งอาทิตย์ นอนไม่หลับเลยซักคืน

ณ ตอนนี้ลูกสาวเราอายุ 9 เดือนครึ่งแล้ว กำลังหัดคลาน จริงๆ ถ้าจะเรียกว่าคลานก็คงไม่ถูกเพราะเค้ายังต้องใช้แขนสองข้างช่วยถัดๆ ไปมากกว่า แต่เราก็รอได้ค่ะ อย่างที่บอกว่าเราได้ทิ้งตำราบางอย่างไปแล้ว เพราะฉะนั้นเค้าจะเริ่มเดินได้ตอนอายุเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ

มีหลายต่อหลายครั้งที่เราเสียใจที่ลูกเป็นอย่างนี้ และเฝ้าภาวนาอธิฐานว่าขอให้พอเสียที ขอให้เกิดกับเราแทนดีกว่า หลายครั้งที่ในช่วงจังหวะที่รอคำตอบจากคุณหมอว่าอาการเค้าดีขึ้นมั้ย เราแอบคิดอยู่ในใจคนเดียวว่า ถ้าต้องแลกกันให้อายุเราสั้นไปอีก 10 ปี ขอเพียงให้เค้าอาการดีขึ้นสักนิดหน่อย เราก็ให้แลกไปเลย ซึ่งถ้าเป็นได้เช่นนั้นจริง เราคงไม่มาอยู่พิมพ์เรื่องนี้แล้วละค่ะ เพราะเราก็ขออย่างนี้ทุกครั้ง รวมๆ กันแล้วก็น่าจะเกินๆ ร้อยปีได้แล้วมั้งคะ

ลูกสาวเราตอนนี้เป็นเหมือนกับยาชูกำลังชั้นดีให้กับทั้งพ่อและแม่ เค้าตอบแทนความรักของเราด้วยการเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่งอแง อดทนสูง มีความพยายามสูง ทานข้างง่ายสุขภาพแข็งแรง เค้าตอบแทนด้วยรอยยิ้มที่เห็นแต่เหงือกทุกครั้งที่เล่นจ๊ะเอ๋ด้วย (แต่ก็มีดอกไม้สองซี่ ขึ้นข้างล่างแล้วนะคะ) เค้าตอบแทนเราด้วยเสียงหัวเราะเวลาพาเล่นของที่ถูกใจ หรือพาเค้าขึ้นจักรยานที่เค้าชอบมาก

เค้าตอบแทนเราด้วยการพยายามจะเลียนแบบสิ่งที่เราทำให้ดูอย่างตั้งใจ ถึงแม้ว่าที่ทำออกมามันจะตลกสุดๆ ก็ตามที เค้าเป็นลูกสาวที่เรารอคอยมาตลอด ถึงแม้ว่าเค้าจะมีของแถมมาให้แม่เค้า ถึงแม้ว่าเป็นเพราะเค้า แม่ที่บ่อน้ำตาลึก จะทลักทลายแบบไม่อายใครอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าเค้าอาจจะมีอะไรๆ พิเศษอีกก็ได้ในอนาคต แต่...........แม่รักหนูที่สุดในโลกและในชีวิตนี้ นะลูกนะ




Create Date : 02 ธันวาคม 2548
Last Update : 28 มิถุนายน 2550 11:14:19 น. 33 comments
Counter : 1377 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ ผ่านมาจาก Pantip อ่านจนจบรู้สึกสงสารน้อง และนับถือพี่มากค่ะ นักสู้ทั้งแม่ทั้งลูก ขอให้น้องดีวันดีคืนนะคะ

ถ้าพี่พอมีเวลาว่าง ลองเขียนบล๊อคให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลลูกตั้งแต่แรกเกิดก็ดีนะคะ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มากๆ กับทั้งแม่มือใหม่ จะได้เป็นวิทยาทานให้คนอื่นๆ ด้วยไงคะ

//www.ae-steffen.com
ป.ล. รูปน้องตาตี่จริงๆ ด้วยค่ะ


โดย: เอ๋ IP: 124.120.147.128 วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:0:10:21 น.  

 
สวัสดีค่ะ

ชอบกระทู้ที่คุณเขียนนะค่ะ "สำหรับเรา การมีลูกคือการต่อชีวิต"

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ ขอให้ลูกสาวหายเร็วๆ

สู้สู้ นะค่ะ


โดย: lovekun IP: 168.120.40.22 วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:17:36:44 น.  

 
เข้ามาปรบมือให้คุณแม่คนเก่งค่ะ อ่านแล้วซึ้งเลย เราพอเข้าใจความรู้สึกเลยค่ะ ตอนที่ผลออกมาว่าธาร่าไม่ค่อยได้ยิน ก็กลัวไปสารพัด ลุงสามีก็เป็นคนหูพิการ แบบว่าอาจเป็นพันธุกรรมน่ะค่ะ พอหมอจับตรวจABRแล้วออกมาผ่าน ก็ดีใจมากเหมือนกัน

ตอนนี้ก็ต้องมาเริ่มฝึกพูดกันใหม่ มีเหมือนกันที่อิจฉาแม่คนอื่นๆที่ลูกเค้าปรกติทุกอย่าง ไม่เคยมีปัญหา แต่ก็อย่างที่คุณตื่นมา...ว่าน่ะค่ะ มันเป็นแบบทดสอบของความเป็นแม่

อยากเห็นรูปลูกสาวคุณตอนนี้จังเลย คงน่ารักน่าดู


โดย: แม่ธาร่า (kanu_memphis ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:1:26:18 น.  

 
เข้ามาปรบมือให้คุณแม่คนเก่งค่ะ อ่านแล้วซึ้งเลย เราพอเข้าใจความรู้สึกเลยค่ะ ตอนที่ผลออกมาว่าธาร่าไม่ค่อยได้ยิน ก็กลัวไปสารพัด ลุงสามีก็เป็นคนหูพิการ แบบว่าอาจเป็นพันธุกรรมน่ะค่ะ พอหมอจับตรวจABRแล้วออกมาผ่าน ก็ดีใจมากเหมือนกัน

ตอนนี้ก็ต้องมาเริ่มฝึกพูดกันใหม่ มีเหมือนกันที่อิจฉาแม่คนอื่นๆที่ลูกเค้าปรกติทุกอย่าง ไม่เคยมีปัญหา แต่ก็อย่างที่คุณตื่นมา...ว่าน่ะค่ะ มันเป็นแบบทดสอบของความเป็นแม่

อยากเห็นรูปลูกสาวคุณตอนนี้จังเลย คงน่ารักน่าดู


โดย: แม่ธาร่า (kanu_memphis ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:1:29:22 น.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ วันนี้น้องหนึ่งไม่สบายไม่ได้ไปโรงเรียน น้องม่สบายบ่อยค่ะเป็นหวัดง่าย แต่อ่านกระทู้ของคุณแล้วรู้สึกว่าเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ อดทนมากถ้ามีเวลาว่างก็ลองเขียนหนังสือออกมาดีมั้ยค่ะ เคยเป็นพยาบาลค่ะแต่ออกมาเลี้ยงลูกแล้ว อ่านเรื่องแล้วเมื่อกี้ร้องไห้เลยค่ะ
รูปน้องน่ารักมากนะคะขอตัวไปดูลูกต่อค่ะ


โดย: แม่น้องหนึ่ง IP: 124.157.221.55 วันที่: 8 ธันวาคม 2549 เวลา:12:46:02 น.  

 
ตามมาอ่านจากพันทิปค่ะ ขอเป็นกำัลังใจให้คุณแม่ คุณลูกและทุกๆคนในครอบครัวค่ะ ขอให้น้องหายไวๆ นะคะ

รู้สึกชื่นชมในตัวคุณแม่มากเลยค่ะ อ่านไปก็ร้องไห้ไป ตัวเองเพิ่งจะแท้งไปเมื่อสามอาทิตย์ก่อน หลังจากที่รอมานานเกือบห้าปี คิดว่าความทุกข์นี้มากมายเหลือเกิน แต่ได้มาอ่านเรื่องราวของคุณแล้วรู้สึกมีำกำลังให้สู้ต่อ ขอบคุณมากนะคะ

ขอเป็นกำลังใจให้และขอให้คุณพระคุ้มครองทุกๆคนในครอบครัวของคุณด้วยนะคะ


โดย: vienniev@hotmail.com IP: 216.67.21.118 วันที่: 25 ธันวาคม 2549 เวลา:4:15:38 น.  

 
เพิ่งเข้ามาอ่านวันนี้เอง น้ำตาไหลเลยสงสารน้องมากเลย

ลูกชายเราก็มีปัญหา แต่ถ้าเทียบกับคุณแล้วคงน้อยกว่ามาก แทบไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย ขอเล่าให้ฟังนะ เพื่อแชร์ความรู้สึกกัน

เกิดมาวันแรกคุณหมอมาตรวจที่ห้อง อยู่ๆนักเรียนแพทย์ และพยาบาลเข้ามากันเต็มห้อง มุงดูลูกเรา ใจหายหมดเลยเกิดอะไรขึ้น เค้าดูปกติดี

ซักพักหมอหันมาบอกว่าลูกคุณผิดปกติที่จู๋จี๋ เรียกเราให้ดู ถามเรา ตั้งแต่เริ่มท้อง คลอดยังไง(คุณหมอเฉพาะทาง) คือ จู๋จี๋เค้า ท่อที่ปลายเอาไว้ฉี่ มันไม่ได้อยู่ตรงปลาย แต่อยู่ตรงกลาง เวลาที่เค้าฉี่จะเลอะขา เหมือนเด็กผู้หญิง ไม่พุ่งไปข้างหน้าเหมือนเด็กผู้ชาย ซึ่งไม่รู้ว่ามีท่อข้างในกี่ท่อ โดยปกติ จะมี 2 ท่อ และเค้ายังเล็กมาทำอะไรไม่ได้ ต้องรอให้โตกว่านี้ และนัดตรวจทุก 6 เดือน นอนร้องไห้เลย คือเค้าต้องผ่าตัด และจู๋จี๋เค้าอาจจะไม่สมบรูณ์เหมือนปกติ ถ้าไม่มีท่อครบอีก

ออกจากโรงพยาบาล ให้น้าข้างบ้านเลี้ยงลูกให้ พอดีลูกสาวเค้าเรียนแพทย์ 2 คน พยาบาล 1 คน น้องเค้ามาดู ก็พูดเหมือนคุณหมอที่ รพ.

1 เดือนต่อมาคุณยายอาบน้ำให้หลาน จับพลิกไปพลิกมา ก็เจอก้อนที่ต้นคอลูก เหมือนน้องชุณพี่ อาบน้ำเสร็จพาไปโรงพยาบาลเลย คุณหมอแนะนำเหมือนคุณเลยให้หันข้างเหมือนกัน แต่ลูกเราเป็นนิดเดียว พี่หมอ พี่พยาบาลที่บ้าน เปิดตำรากันใหญ่ ช่วยน้อง จับหันทางโน้น ทางนี้ ทุกวันนี้หายแล้ว

2 ขวบกว่า ก่อนเข้าเตรียมอนุบาล ก็คุยกันเรื่องผ่าจู๋จี๋ เพราะกลัวลูกไปโรงเรียน ยืนฉี่แบบเพื่อนๆไม่ได้ 2 ขวบกว่าต้องเข้าห้องผ่าตัด เราเข้าไปส่งลูก ดมยาสลบ ลูกพับไปกับแขนเราเลย น้ำตาไหล ร้องไห้ พูดกับใครไม่ได้เลย เวลาผ่านไปช้ามาก เกือบสองชัวโมง กว่าลูกจะออกมา เรา และคุณยาย คุณจ๋า(น้าคนเลี้ยง)เฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัด รถเข็นลูกออกมาหัวใจเหมือนจะสลาย ท่อมากมายตามตัวลูก เค้ารู้สึกตัวแล้วแพ้ยาสลบ เหมือนงงๆ อยากอาเจียน ไม่ยอมนอนเตียงให้แม่อุ้ม
อยู่ รพ. 10 วันได้ ล้างแผลแต่ละที แม่ร้องไห้ทุกที ผ่านมาวันนี้ลูกอยู่ ป 1 แล้ว จู๋จี๋เค้าปกติแล้ว แต่จะสั้นนิดๆ กว่าที่ควรจะเป็น มีท่อทั้ง 2 ท่อ อาจต้องผ่าตัดซ้ำ เพราะหมอเปิดหนังหุ้มปลายพับขึ้นมา เพื่อความสะอาด และเผื่อจู๋จี๋โตจะดึงลงมาปิด
กลัวลูกเป็นปมด้อย สำหรับแม่ ลูกจะเป็นยังไงก็รักเสมอ

ณ เวลาที่ทุกข์ที่สุดคุณมีสามีที่ดีอยู่ใกล้ๆ สำหรับเรา สามีเป็นวิศวกร ช่วงนั้นกำลังแย่ต้องทำงานต่างจังหวัด เจอกันอาทิตย์ละครั้ง มีแม่เราที่รักหลานเหลือเกิน พอช่วงก่อนผ่าตัดเราแยกทางกัน พักนึ่ง แต่เค้าก็มาดูลูกบ้าง เพิ่งกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งซัก 2 ปีกว่ามานี่เอง เพราะลูกนี่แหละ

ปัญหามากมายต้องการกำลังใจ กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้
เข็มแข็งสู้ต่อไป ร้องไห้ได้ และก็ยิ้มได้ บททดสอบที่ยิ่งใหญ่ กว่าเรื่องใดๆในโลกนี้


โดย: พีพี IP: 203.170.167.166 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:40:25 น.  

 
สู้ ๆ ๆ นะ เพื่อลูกค่ะ


โดย: Natti นัทตี้ (NATTI นัทตี้ ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:53:35 น.  

 
น้องโชคดีมากค่ะที่ได้เกิดเป็นลูกคุณแม่คนนี้ ลูกสาวน่ารักและเป็นคนเก่งมากนะคะ น่ารัก น่ากอดมากเรยค่ะ น้องเก่งจริงๆ


โดย: afanee IP: 124.120.137.12 วันที่: 20 มีนาคม 2550 เวลา:23:39:28 น.  

 
เจ้าของบล็อคไปไหนเนี่ย


โดย: Natti นัทตี้ (NATTI นัทตี้ ) วันที่: 28 มีนาคม 2550 เวลา:4:37:21 น.  

 
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ เพราะเราก็เตรียมตัวจะเป็นคุณแม่มือใหม่เหมือนกันค่ะ


โดย: tookjah วันที่: 27 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:32:03 น.  

 
เพิ่งเข้ามาอ่านคะ...คุณมุก...อ้านแล้วร้องไห้เลยอะ คุณมุกเก่งมากๆ เป็นคุณแม่ที่เก่งที่น่ายกย่องที่สุดเลย..... หากเป็นตุ๊ก ไม่รู่ว่าจะทำได้เท่าครึ่งนึงของคุณมุกหรือป่าว


โดย: tete' my little star IP: 203.146.147.122 วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:53:47 น.  

 
เจ้าของบลอคไม่มาปัดฝุ่นทำความสะอาดโละของเก่าซักหน่อยเหรอคะ หายไปไหนเอ่ย


โดย: ป้อม(kanu_memphis) IP: 74.185.165.26 วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:0:35:11 น.  

 
อ่านแล้วน้ำตาคลอเลย.. ขอให้เชื่อมั่นในความรักของแม่จะทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีค่ะ


โดย: เอื้อมดาว IP: 124.121.82.158 วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:10:06:56 น.  

 
ฮาโหล ฮาโหล
มีใครอยู่มั๊ย.........))))))))


โดย: ริวคิ-mawin-maji-minic วันที่: 29 มิถุนายน 2550 เวลา:13:42:14 น.  

 
แวะมาเยี่ยม น้องชุณฬีจ้า.....
เป็นไงบ้างตอนนี้....แผลคงค่อยๆ ดีขึ้นแล้วนะ
แต่เอ๊.....ทำไมบ้านเงียบๆ เจ้าของบ้านอยู่ป่าวจ้ะ

ก๊อก...ก๊อก....ก๊อก


โดย: นางฟ้าตาหวาน วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:39:24 น.  

 
ผ่านมาทางเวบพันทิบคะ เลยแวะเข้ามาอ่าน ซึ้งใจจริงๆ คะคุณแม่เข้มแข็งมาก น้องก็น่ารัก เขาเป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ ของเราที่สวรรค์ประทานลงมาให้ เป็นกำลังให้คุณแม่นะคะ


โดย: แม่น้องธีร์ IP: 203.113.123.18 วันที่: 9 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:46:25 น.  

 
เพิ่งได้อ่าน น้ำตาจะไหล
มุกสู้ๆนะ


โดย: โบว์ (แม่ตุ่น) IP: 124.121.99.42 วันที่: 24 กรกฎาคม 2550 เวลา:22:22:09 น.  

 
ให้ความรู้สึกดีจังเลยครับ


โดย: Pleng-Ticha-korn วันที่: 30 กรกฎาคม 2550 เวลา:21:39:15 น.  

 
เก่งจังคุณมุก คนเป็นเเม่นี่สู้ได้ทุกอย่างเพื่อลูกจริงๆเลยเนอะ


โดย: เเอม IP: 58.136.93.22 วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:20:24:40 น.  

 
คุณแม่เก่งมาก ๆ บททดสอบนี้หาคนจะผ่านมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณแม่เก่งจริง ๆ อ่านไปน้ำตาไหลไป

ขอบคุณมากค่ะ ที่เขียนเรื่องราวดี ๆ แบบนี้มาให้อ่าน



โดย: snof IP: 61.7.149.197 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:3:31:17 น.  

 
เพราะความเข้มแข็งของคุณแม่นะคะ ทุกอย่างที่เลวร้ายก็จะดีขึ้น
นับถือจริงๆค่ะ ทั้งคุณแม่มุกและคุณพีพี นะคะ
ได้รู้ว่าน้องๆอาการดีขึ้นแล้วก็ดีใจด้วยอย่างมากเลยค่ะ
อ่านแล้วก็น้ำตาไหล...หัวอกคนเป็นแม่น่ะค่ะ

ขอให้โชคดีนะคะ
ขอให้น้องแข็งแรง


โดย: มามี้น้องพอ IP: 222.123.125.214 วันที่: 11 ธันวาคม 2550 เวลา:19:56:39 น.  

 
แวะเข้ามาอ่านค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่คนเก่งนะคะ
เพราะมีแม่แบบนี้น้องถึงน่ารักและหายไวขึ้นไงคะ


โดย: กอล์ฟนะคะ (HACKER HUNTING in The City ) วันที่: 11 ธันวาคม 2550 เวลา:21:33:45 น.  

 
มาจากpantip เหมือนกันค่ะ ลูกชายคนเล็กเราเป็นเหมือนลูกของคุณเจ้าของบล็อค+กับลูกของคุณพีพีเลยแต่เหมือนจำยิ่งกว่าอีกมากมาย
ทั้งกระดูกสะโพก ทั้งจู๋จี๋ เป็นทั้งสองอย่างเลยค่ะ แถมด้วยกระเพาะปัสสาวะออกมาอยู่ที่หน้าท้องอีกค่ะ เราหัวใจสลายไปเลย ทุกวันนี้ ลูกสาวคนโตยังจำเรื่องทุกอย่างได้ เพราะเค๊าถูกทิ้งทันทีที่น้องเกิด
แต่เค๊าก็รักน้องมาก ส่วนตัวเรากับสามีแทนที่จะรักกันมากขึ้น ป่าวเลย กลายเป็นอารายที่เห็นตัวตนกันมากขึ้น กำลังใจไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ เราไม่ได้จากใคร เรายืนด้วยตัวเราเอง เพราะคิดว่าเราต้องเป็นหลักให้ลูก
ทุกวันนี้ลูกยังต้องใส่แพมเพอร์สตลอด ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ ต้องสอนเองที่บ้าน เพราะมีปัญหาเรื่องสังคม อีกไม่นานลูกต้องไปผ่าตัดอีก
โอกาสเหมือนคนปกติ 30 % นี่เป็นเหตุผลที่เราและสามีวิ่งหนีหมอตลอด เพราะเรารู้ว่าหมอจับผ่าแน่นอน ซึ่งโอกาสสำเร็จมีเพียงน้อยนิด เรายอมที่จะ
ดูแลเค๊าเอง ใ่ส่แพมเพอร์สตลอดก็ไม่ว่าอาราย ไม่ต้องไปโรงเรียน เราสอนเอง แต่ที่หนักสำหรับเราตอนนี้คือคำว่าครอบครัวของเรากำลังจะแตก
แต่สำหรับเรา มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ขอเพียงในวันต่อจ่อไปเรมีเงินรักษาลูกก็พอ


โดย: มามี้น้องเจ๋ง IP: 222.123.170.211 วันที่: 11 ธันวาคม 2550 เวลา:23:48:49 น.  

 
อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากเลยคะ ขอเป็นกำลังใจให้แม่และพ่อด้วยคะ


โดย: คุณหญิงแม่ IP: 61.19.219.151 วันที่: 12 ธันวาคม 2550 เวลา:16:05:50 น.  

 
เข้ามาอ่านแล้วน้ำตาไหลเลยค่ะ นับถือจริงๆค่ะ สุ้ๆนะคะ


โดย: Nut IP: 58.8.47.160 วันที่: 9 มกราคม 2551 เวลา:21:52:58 น.  

 
ถึงจะมาเยี่ยมช้าไปหน่อย แต่ก็มาด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม

ภูมิใจเถอะครับ คุณเป็นคนที่คนบนฟ้าเลือกแล้วว่าเข้มแข็ง เชื่อมั่น และศรัทธา พร้อมดูแลเธอได้

ขอบคุณสำหรับการอณุญาติให้นำประสบการณ์และเรื่องราวเผยแพร่ต่อได้ ยังมีพ่อๆแม่ๆอีกหลายคนที่คนบนฟ้าเลือกสรรแต่อาจจะยังขาดความเชื่อมั่น แลพศรัทธาต่อตัวเองเพียงพอ เรื่องของเราๆอาจจะมีส่วนช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความหมายของชีวิตพวกเขาได้บ้าง เล็กๆก็ยังดี

เชื่อมั่นและศรัทธาเสมอ


โดย: พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร (Nong Fern Daddy ) วันที่: 27 มิถุนายน 2552 เวลา:9:22:55 น.  

 
เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยค่ะ ขนาดยังไม่มีลูก มีแต่หลานก้อรักมากเหมือนลูกเลยค่ะ ขอให้น้องเป็นเด็กดี น่ารัก มีสุขภาพแข็งแรงนะคะ


โดย: Pocky IP: 58.8.202.224 วันที่: 6 สิงหาคม 2552 เวลา:15:54:43 น.  

 
เพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่าน น้ำตาไหลไม่รู้ตัวเลยค่ะ คุณเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย
ตอนนี้น้องหายดีแล้วใช่มั๊ยคะ


โดย: ขอคิดด้วยคน IP: 125.25.151.108 วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:11:00:56 น.  

 
อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยค่ะ ตอนนี้ก็ท้องอยู่ด้วยค่ะ เข้าใจความรู้สึกเลยค่ะ ตอนนี้ชุณฟี่คงแข็งแรงมากแล้ว ขอให้คุณพระคุ้มครองน้องนะคะ รักของแม่เป็นรักแท้จริงๆค่ะ ถ้าไม่ได้มีลูกคงไม่เข้าใจค่ะ


โดย: เจ้าแต้ม IP: 125.25.28.192 วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:21:15:04 น.  

 


โดย: Kingkimson วันที่: 1 มีนาคม 2553 เวลา:19:31:51 น.  

 
อ่านแล้ว ซึ้งมากๆ เลยค่ะ เป็นบททดสอบที่หนักเอาการเลยทีเดียว เข้ามาเป็นกำลังใจให้คุณแม่ และเรื่องที่เกิดขึ้นก็ผ่านจากเหตุการณ์เลวร้าสย มาสู่เหตุการณ์ที่ดีขึ้น เพราะว่าครอบครัว และกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญค่ะ


โดย: แม่ปู๋ (pukim ) วันที่: 2 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:38:19 น.  

 
เป็นกำลังใจให้น่ะค่ะสู้ๆๆค่ะ


โดย: ae IP: 183.88.154.108 วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:10:55:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ตื่นมาตาแป๋วๆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ตื่นมาตาแป๋วๆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.