พุทธอริยะ
Group Blog
 
All Blogs
 
หลวงพ่อทบ

Photobucket


ชาติกำเนิด ณ ที่หมู่บ้านยางหัวลม ตำบลนายม(ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นตำบลวังชมภู) จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อ 114 ปีก่อนโน้น ยังมีครอบครัวของชาวไร่ที่มีฐานะมั่นคงอยู่ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งก็เป็นครอบครัวของ คุณพ่อเผือก และคุณแม่อินทร์ นามสกุล ม่วงดีขณะที่ท่านจะตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สามนั้น ท่านฝันไปว่าได้มีผู้นำช้างเผือกมามอบให้จำนวน 1 เชือก ในฝันท่านก็ได้รับเอาไว้โดยให้เจ้าของเดิมนำไปผูกไว้กับต้นมะขามหน้าบ้าน ช้างเผือกเชือกนี้งดงามมากจริงๆ พอตื่นจากความฝันแล้ว คุณแม่อินทร์จึงปลุกคุณพ่อเผือก แล้วเล่าความฝันให้ฟัง เมื่อคุณพ่อเผือกฟังจนจบแล้ว จึงได้บอกกับคุณแม่อินทร์ว่าเป็นความฝันที่ดี และเป็นนิมิตหมายว่าจะมีผู้มีบุญญาธิการลงมาเกิด และคุณพ่อเผือกยังบอกคุณแม่อินทร์ต่อไปอีกว่าถ้าหากไม่เชื่อแล้วละก็ขอให้คอยดูกันต่อไป หลังจากนั้นอีกไม่นานคุณแม่อินทร์ก็เริ่มตั้งครรภ์ และการตั้งครรภ์ครั้งนี้ก็มีความแตกต่างจากการตั้งครรภ์ทั้งสองครั้งแรกนั้นมาก กล่าวคือ เมื่อคุณแม่อินทร์ตั้งครรภ์ครั้งก่อนๆ นั้นท่านแพ้ท้องอยากจะรับประทานของแปลกๆ เช่น อยากจะรับประทานแกงนก ผัดเผ็ดปลาไหล หรือลาบเลือดเป็นต้น แต่สำหรับครั้งที่สามนี้ ปรากฎว่าคุณแม่อินทร์ท่านรับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไม่ได้เลย ถ้าหากว่าวันไหนท่านรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ หรือเพียงได้กลิ่นเนื้อสัตว์ วันนั้นท่านจะรู้สึกไม่สบายไปตลอดทั้งวันเริ่มต้นด้วยเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนเป็นอย่างนี้ตลอดมาเป็นประจำ ทั้งๆ ที่ก่อนจะตั้งครรภ์คุณแม่อินทร์ก็รับประทานอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ได้ และไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน พอตั้งครรภ์บุตรคนที่สามก็เริ่มเป็นอย่างนี้ นับว่าแปลกมาก พอคุณแม่อินทร์ตั้งครรภ์ได้ครบกำหนด 9 เดือน ท่านก็ได้ปวดท้องอย่างแรง และได้คลอดบุตรชายที่น่ารัก น่าเอ็นดูออกมาลืมตาดูโลก เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ2424 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเส็ง ในขณะที่ทารกน้อยกำลังคลอดออกมานั้น กลับมีกิริยาอาการแปลกประหลาดกว่าทารกแรกเกิดโดยทั่วๆ ไป หรืออาจะเป็นนิมิตหมายของผู้มีบุญญาธิการลงมาจุติก้ได้ กล่าวคือโดยปกติทารกแรกเกิดเวลาที่คลอดออกมาจะต้องส่วนหัวหรือส่วนเท้าโผล่ออกมาก่อน แต่ทารกน้อยบุตรชายของคุณแม่อินทร์ เวลาที่คลอดออกมากลับเอาศรีษะและเท้าโผล่ออกมาพร้อมๆ กัน เมื่อคุณพ่อเผือกและคุณแม่อินทร์เห็นบุตรชายคลอดออกมาแตกต่างจากทารกโดยทั่วไปเช่นนั้น จึงได้ตั้งชื่อบุตรชายคนใหม่ของท่านว่า “ ทบ”

บรรพชาและอุปสมบท ลุถึงปี พ.ศ.2440 นายทบ ม่วงดี อายุขณะนั้นได้ 16 ปี ก็บังเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตในการครองเรือนที่เห็นว่าไม่มีสาะแก่นสารอันใด หวังเอาพระนิพพานเป็นที่พึ่ง จึงขออนุญาตจากคุณพ่อเผือก และคุณแม่อินทร์ ซึ่งท่านทั้งสองก็มองเห็นความตั้งใจอันดีของลูกชายจึงออกปากอนุญาต และได้นำนายทบ ม่วงดี ลูกชายไปบรรพชาที่ วัดช้างเผือก โดยมี พระอาจารย์สี เจ้าอาวาสวัดช้างเผือกในขณะนั้น เป็นผู้บรรพชาให้ เมื่อเมื่อได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้ศึกษาหาความรู้ต่างๆ ในสำนักของพระอาจารย์สี ไม่ว่าจะเป็นพระธรรม พระวินัย สวดมนต์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน ตลอดจนหัดเทศน์ เรียกได้ว่าท่านไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง จนถึงปี พ.ศ.2445 สามเณรทบ มีอายุครบ 21 ปี ทางคุณพ่อเผือกและคุณแม่อินทร์ ก็ได้นำสามเณรทบไปทำการอุปสมบทที่ วัดศิลาโมง บ้านนายม ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมี ท่านพระครูเมือง เป็นพระอุปัชณาย์ พระอาจารย์ปาน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์สี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ธัมมปัญโญภิกขุ” หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้กลับไปจำพรรษาที่วัดช้างเผือก 2 พรรษา ในระหว่างนี้หลวงพ่อทบก็ได้ใช้เวลาทั้งหมดศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจาก พระอาจารย์สี ซึ่งในขณะนั้นพระอาจารย์สี เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณทางวิปัสสนากรรมฐาน เวทมนตร์คาถา หลวงพ่อทบได้ศึกษาและฝึกฝนจนแก่กล้าเป็นที่ยอมรับของพระอาจารย์สี ต่อมาท่านก็ได้เดินทางไปขอศึกษาวิชาเพิ่มเติมจาก พระอาจารย์ปาน เจ้าอาวาสวัดศิลาโมง ตำบลนายมในสมัยนั้น ซึ่งหลวงพ่อทบก็ได้เรียนวิชากับพระอาจารย์ปานจนสำเร็จสมกับความตั้งใจ พระอาจารย์สีและพระอาจารย์ปาน แท้จริงแล้วทั้งสองท่านนี้เป็นศิษย์ของ หลวงพ่อทรัพย์ตาพรรณ ในครั้งแต่ก่อนโน้นเป็นที่เลื่องลือว่าหลวงพ่อทรัพย์ตาพรรณเป็นผู้วิเศษ มีวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกล่าวอะไรออกมาย่อมเป็นดังคำพูด

ออกแสวงหาความรู้ เมื่อหลวงพ่อทบได้ศึกษาวิชาความรู้จากพระอาจารย์สีและพระอาจารย์ปานจนเจนจบครบถ้วนหมดแล้ว ท่านจึงเข้าไปกราบลาพระอาจารย์สี เพื่อที่จะไปแสวงหาความรู้ต่อไปอีก พระอาจารย์สีเห็นความเด็ดเดี่ยวและตั้งใจจริงของท่าน จึงกล่าวอนุญาตให้ไป พร้อมกันนี้พระอาจารย์สียังได้กล่าวฝากวัดช้างเผือกกับท่านอีกว่า “หากจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ก็ให้กลับมาพัฒนาวัดช้างเผือก อย่าปล่อยให้ร้างนะ” ซึ่งท่านก็รับคำ จากนั้นท่านก็ได้ออกเดินทางไปจำพรรษาที่ วัดวังโป่ง อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นเวลาอีก 2 พรรษา พอออกพรรษาจึงคิดที่จะออกจาริกแสวงหาวิชาความรู้ไปในที่ต่างๆ ต่อไปอีก หลังจากที่หลวงพ่อทบได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะออกท่องเที่ยว เพื่อเสาะแสวงหาความรู้อย่างแน่นอนแล้ว หลวงพ่อทบซึ่งในระยะนั้นกิตติศัพท์ชื่อเสียงของท่านยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก ก็ได้ออกเดินทางจากวัดวังโป่งทันที โดยออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรแต่เพียงรูปเดียว ในช่วงที่ท่านได้ออกเดินธุดงค์นี้ ท่านได้บำเพ็ญศีลและเจริญภาวนาพร้อมกับแสวงหาวิชา ศึกษาเวทมนตร์คาถาตามถ้า หน้าผา ผนังหินใหญ่ ที่มีผู้จาริกได้เขียนไว้ในสมัยก่อน บางครั้งท่านได้เดินไปตกหุบเขาที่ไม่มีบ้านเรือนคนอาศัยอยู่เลย ซึ่งต้องอาศัยดำรงชีพด้วยผลไม้หรือใบไม้เท่านั้นในการประทังความหิวโหย แต่ท่านก็ไม่ได้ย่อท้อคงพากเพียรที่จะได้ศึกษาวิชาอาคมอย่างไม่หยุดยั้ง เคยมีคนกราบนมัสการถามท่านว่า หลวงพ่อเดินธุดงค์ฉันของป่าไม่กลัวอันตรายหรือ ท่านตอบว่าก็ดูพวกสัตว์ต่างๆ มันกิน ก็ไม่เห็นมันเป็นอันตรายเลยนี่ นอกจากนี้หลวงพ่อทบยังเคยผจญกับโขลงช้างป่า ซึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังทิศที่ท่านปักกลดภาวนาอยู่หลายครั้ง พอพวกมันเดินเข้ามาใกล้กลดของท่าน ก็จะมีจ่าโขลงออกมายืนบังกลดของท่านเอาไว้ ไม่ให้ช้างเชือกอื่นๆ เข้ามาใกล้กลดของท่านได้เลย

ผจญเสือสมิง ในป่าดงดิบมักจะมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึง เช่น ผีป่า ผีโป่ง ผีกองกอย หรือเสือสมิง หลวงพ่อทบหลุดรอดมาได้ก็ด้วยการอาศัยเจริญเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง ทำให้ผีเหล่านั้นเกรงกลัวไม่กล้าเข้ามารบกวนท่านได้ ครั้งหนึ่งท่านได้เดินธุดงค์ผ่านไปพบกองกระดูกอยู่กับกองผ้าเหลืองเปื่อยๆ ผุๆ พร้อมกับกลดและบาตรที่สิ้นสภาพ หลวงพ่อทบจึงรู้ในขณะนั้นว่าพระธุงดงค์รูปที่มานอนมรณภาพอยู่ตรงหน้านี้ต้องอาบัติในธุดงค์วัตร มีวัตรอันไม่บริสุทธิ์ จึงต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้อย่างน่าอนาถ ท่านจึงได้รวบรวมผ้าเหลือง กระดูก กลด และบาตรเข้าด้วยกันแล้วนำไปฝังอย่างเรียบร้อย พร้อมกับสวดมาติกาบังสุกุลให้เป็นที่เรียบร้อยจึงตกลงใจปักกลดค้างคืนอยู่ที่ตรงนั้น พอตกดึกในคืนนั้นเอง ขณะที่ท่านกำลังทำสมาธิภาวนา พลันก็มีสิ่งแปลกปลอมเดินเข้ามาใกล้กลด กลิ่นสาบสางคละคลุ้งโชยเข้าจมูกแทบจะสำลัก หลวงพ่อทบยังคงนั่งสมาธิภาวนาอย่างแน่วแน่ ไม่ยอมขยับเขยื้อน เจ้าเสือพานกลอนขนาดใหญ่เห็นท่านไม่เกรงกลัวมัน มันจึงแยกเขี้ยวขู่คำรามอย่างดุร้ายหมายจะกัดกินท่านเป็นอาหาร ท่านจึงรวบรวมจิตแผ่เมตตาออกไปให้กับเสือ พร้อมปากก็พูดว่า “เอ็งหากินของเอ็ง ข้าก็ออกธุดงค์เพื่ออยู่ในทางธรรม เอ็งอาศัยสัตว์น้อยใหญ่ต่อชีวิต ข้าก็อาศัยภัตตาหารดำรงชีวิต เอ็งมาข้าก็ดีใจ ไม่มีอะไรก็นอนเสียเถิด” หลังจากกล่าวจบแล้ว หลวงพ่อทบก็น้อมชีวิตเป็นพุทธบูชา โดยอธิษฐานว่า หากเสือกับท่านมิได้เคยผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรต่อกันในชาติปางก่อน ก็ขอให้เสือหลีกทางให้ ถ้าเคยผูกเวรกันมาก็ขอให้เอาท่านไปกินเพื่อชดใช้กรรม เป็นที่อัศจรรย์ปรากฏว่าเสือตัวนั้นหยุดคำราม และทำตามคำสั่งของท่านอย่างว่าง่าย เหมือนพูดกับนักเรียน มันลดความดุร้ายลง และค่อยๆ ล้มตัวลงนอนข้างๆ กลดของท่าน ส่วนท่านก็ได้เจริญสมาธิภาวนาจนรุ่งเช้า พอท่านลืมตาขึ้นมาดูอีกครั้ง ก็พบว่าเสือสมิงได้หายไปจากที่มันล้มตัวนอนเมื่อคืนนี้ คงเหลือแต่รอยเท้าของมันที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินธุดงค์ต่อไป จนกระทั่งได้พบกับพระธุดงค์อีกรูปหนึ่ง จึงได้ชักชวนกันเดินธุดงค์ไปจนทะลุถึงเขตชายแดนพม่า ณ ที่นั้นเอง หลวงพ่อทบและพระธุดงค์รูปนั้นก็ได้แสดงอภินิหารซึ่งกันและกัน และได้แลกเปลี่ยนวิทยาคม จนเป็นที่พอใจแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง หลวงพ่อทบได้เดินธุดงค์ต่อไปจนถึงประเทศลาว ท่านได้เคยรู้จักคุ้นเคยกับพระเณรที่เวียงจันทร์หลายรูปด้วยกัน เมื่ออยู่ที่นครเวียงจันทร์ ท่านได้ช่วยเหลือพระเณรที่นั่นก่อสร้างสิ่งต่างๆ จนสำเร็จหลายแห่ง จนเป็นที่ชื่นชอบอัธยาศัยของพระเณรในเวียงจันทร์มาก ถึงกับนิมนต์ให้ท่านประจำวัดอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ท่านได้ปฏิเสธไป เพราะท่านยังมีภาระที่จะต้องทำอีกมาก เมื่อหลวงพ่อได้ปฏิเสธในการอยู่เวียงจันทร์แล้ว ท่านก็ได้เดินธุดงค์ออกจากเวียงจันทน์มุ่งหน้ามายังประเทศไทย ท่านเดินลัดเลาะจนมาถึงเขตชายแดนไทยติดต่อกับเขมรที่จังหวัดตราด ท่านได้เดินธุดงค์เข้าไปในเขตของเขมรต้องผจญกับพวกเขมรต่ำเจ้าแห่งอวิชชามนต์ไสยดำทั้งปวง ต้องกัน ต้องแก้ และทำลาย เรียกว่าไม่มีวิชาอาคมกล้าแข็งจริงๆ แล้ว ก็จะถูกพวกเขมรต่ำทดลองด้วยมนตร์ไสยดำ เช่น ยาสั่งบังฟันหรือบิดไส้ แต่ท่านก็สามารถเอาชนะพวกเดรัจฉานวิชาเหล่านี้ได้ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นพากันศรัทธาในตัวท่านมาก นิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาในเขตแดนของเขมรตลอดไป แต่ท่านได้บอกปฏิเสธและได้เดินทางเข้าประเทศไทย ในที่สุดการเดินทางมหาธุดงค์แบบมาราธอนของหลวงพ่อทบก็สิ้นสุดลง จะเห็นได้ว่าท่านเดินด้วยเท้าเปล่าๆ ไปตามทางทุรกันดารแสนจะลำบากยากเข็ญ บางครั้งธุดงค์ไปในที่ห่างไกลหมู่บ้าน มีแต่ป่าดงดิบ และอาหารการกินก็ไม่มี ต้องฉันยอดไม้กับใบไม้แทนข้าว แต่ท่านก็ไม่เคยย่อท้อ ท่านได้เดินธุดงค์จากอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปถึงเขตชายแดนพม่าแล้วย้อนกลับไปประเทศลาว และสุดท้ายก็เข้าชายแดนเขมร นับว่าท่านได้เดินทางด้วยเท้าเปล่าหลายพันกิโลเมตร

กลับมาตุภูมิ หลวงพ่อทบได้เดินธุดงค์รอนแรมไปเป็นเวลานานๆ จนกระทั่งท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลา และวิชาอาคมที่ท่านได้รับมานี้ก็พอที่จะนำไปสงเคราะห์ให้กับชาวบ้านญาติโยมผู้ยากไร้ได้แล้ว อีกทั้งท่านก็จะได้กลับไปประกอบศาสนกิจอุทิศตนเป็นพุทธบูชายังดินแดนที่ท่านได้ถือกำเนิด เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง เป็นมิ่งมงคลต่อบวรพระพุทธศาสนา เมื่อคิดได้ดังนั้นท่านจึงได้ออกเดินทางจากชายแดนเขมร โดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางคือ วัดศิลาโมง ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อท่านได้มาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้แล้ว ท่านได้ทำการบูรณะวัดครั้งใหญ่ มีการสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดบ่อน้ำ ที่สำคัญท่านได้ทำการก่อสร้างพระอุโบสถขึ้นจนสำเร็จ ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ดีจนทุกวันนี้

เรียนวิชากับหลวงปู่ศุข หลังจากที่หลวงพ่อทบได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดศิลาโมงแล้ว ท่านยังคงตั้งใจที่จะแสวงหาวิชาความรู้อยู่อย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อท่านทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดศิลาโมงเข้าที่เข้าทางแล้ว ท่านได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของ พระครูวิมลคุณากร หรือ หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ว่าเป็นผู้สำเร็จวิชา 8 ประการ ซึ่งมีน้อยองค์นักที่จะสำเร็จได้ ท่านจึงได้เดินธุดงค์ออกจากวัดศิลาโมง มุ่งหน้าไปที่จังหวัดชัยนาท ในที่สุดท่านก็ได้กราบนมัสการหลวงปู่ศุขสมความปรารถนา และที่วัดปากคลองมะขามเฒ่านี้เอง ท่านก็ได้พบกับพระเกจิอาจารย์อีก 2 รูปที่ได้เดินทางมากราบนมัสการหลวงปู่ศุข เพื่อขอเรียนวิชาก่อนหน้าที่ท่านจะมาคือ 1. หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน 2. หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้งการเรียนวิชาจากหลวงปู่ศุขนั้นก่อนที่ท่านจะมอบวิชาอาคมอะไรก็ตามให้กับศิษย์นั้น ท่านจะทดสอบพลังจิตของศิษย์แต่ละองค์เสียก่อนว่ามีความกล้าแข็งสักเพียงใด จากนั้นจะถามถึง วัน เดือน ปี เกิด ของแต่ละองค์เสียก่อน ซึ่งการที่ท่านต้องทดสอบและไต่ถามก็เพื่อท่านจะได้ทราบถึงความสามารถ วาสนา บารมีของแต่ละองค์ ว่ามีมากน้อยเพียงใด ควรจะมอบวิชาอะไรให้ถึงจะเหมาะสมที่สุด ซึ่งหลวงปู่ศุขท่านก็ได้มีเมตตา มอบวิชาอาคมต่างๆ ให้กับหลวงพ่อทบหลายอย่าง ซึ่งท่านก็ได้ใช้วิชาเหล่านั้นสงเคราะห์ญาติโยมมาตลอดชีวิตของท่าน

มอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเง่า หลังจากที่หลวงพ่อทบได้กลับจากการธุดงค์ไปกราบนมัสการท่านพระครูวิมลคุณากรหรือหลวงปุ่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งหลวงพ่อทบก็ได้เดินธุดงค์กลับมาจำพรรษาที่วัดศิลาโมงตามเดิม หลังจากนั้นในระหว่างปี พ.ศ. 2461-พ.ศ.2468 หลังจากการออกพรรษาทุกปี ท่านได้ใช้เวลาในช่วงนี้เดินทางไปกราบนมัสการขอเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมกับ ท่านพระครูสังวรธรรมคุต หรือ หลวงพ่อเง่า พระเถระผู้เฒ่า อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีภูมิ(วัดบ้านติ้ว) และอดีตเจ้าคณะจังหวัดหล่มสัก ซึ่งท่านก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเง่า และหลวงพ่อเง่าได้มีความเมตตาถ่ายทอดพระเวทวิทยาคมให้กับท่านอย่างไม่มีปิดบังอำพราง ไม่ว่าจะเป็นทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด มหาอำนาจ กำบัง ล่องหนหายตัว ซึ่งท่านก็ใช้เวลาหลังออกพรรษาถึง 3 ปี จึงได้เล่าเรียนจนสำเร็จ

พัฒนาวัดต่างๆ ภายหลังจากที่หลวงพ่อทบได้ไปเรียนพระเวทวิทยาคมจากหลวงพ่อเง่าแล้ว ท่านเห็นว่าวิชาอาคมของท่านนั้นได้เรียนเอาไว้มากแล้ว สมควรที่จะช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมผู้ตกทุกข์ได้ยาก ตลอดจนพัฒนาวัดวาอารามในท้องถิ่นแถบนี้ให้เจริญขึ้นมาให้ได้ ท่านจึงได้ยุติการเดินธุดงค์เอาไว้ก่อน และได้ใช้เวลาเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดสงเคราะห์ญาติโยม และได้สร้างถาวรวัตถุในบวรพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาให้ได้ โดยท่านได้สร้างพระอุโบสถให้กับวัดต่างๆ ถึง 16 หลัง พอถึงหลังที่ 17 ท่านได้วางเพียงศิลาฤกษ์เท่านั้น ท่านก็มามรณภาพเสียก่อน ในขณะที่ท่านกำลังพัฒนาวัดวาต่างๆ นั้น ท่านได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นพระคู่สวดเมื่อปี พ.ศ.2455 ท่านอายุได้ 29 ปี พรรษา 9 ตอนนั้นท่านกลับมาจากการเดินธุดงค์และจำพรรษาที่วัดศิลาโมง พอถึงปี พ.ศ.2490 ท่านอายุได้ 66 ปี พรรษา 45 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ และพอถึงปี พ.ศ.2497 ท่านมีอายุได้ 73 ปี พรรษา 53 ท่านก็ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะอำเภอชนแดน และได้รับการสถาปนาจากกรมการศาสนาเป็น พระครูวิชิตพัชราจารย์

ท่านมักจะเอ่ยถึงนามพระอาจารย์ของท่านให้ศิษย์ฟังอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่ศุข เก่งอย่างนั้น หลวงพ่อเง่าท่านเก่งอย่างนี้ พระอาจารย์สีกับพระอาจารย์ปานเก่งไปอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งนามของพระอาจารย์ของท่านที่ท่านเอ่ยออกมาเป็นการยกย่องไว้เหนือเกล้า ไม่มีการลบหลู่ดูหมิ่นเป็นอันขาด ปากของท่านก็มีประกาศิตเหมือนปากของพระร่วงเลยทีเดียว พูดคำไหนเป็นคำนั้น ให้พรใครคนนั้นก็เจริญก้าวหน้า ถ้าเผลอสาปแช่งหรือดุด่าก็จะเป็นไปตามปากของท่านทุกประการ นับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นที่เลื่องลือและกล่าวขานกันมาก ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จึงมีคนเดินทางไปขอพรท่านอย่างเนืองแน่นทุกวันมิได้ขาด

รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ภายหลังจากที่หลวงพ่อทบได้กลับมาจากการเดินธุดงค์แล้ว ท่านก็ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดศิลาโมงเรื่อยมา หลวงพ่อทบท่านจำพรรษาที่วัดศิลาโมง ขณะนั้นท่านอยู่ในฐานะพระลูกวัดธรรมดา ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นพระลูกวัดธรรมดา ท่านก็เป็นผู้นำในการก่อสร้างถาวรวัตถุหลายอย่างในวัดศิลาโมง จนเจริญรุ่งเรืองกว่าวัดอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน พอถึงปี พ.ศ.2466 หลวงพ่อทบ จึงได้ย้ายไปจำพรรษาที่ วัดเสาธงทอง ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งก็อยู่ห่างจากวัดศิลาโมงออกไปเล็กน้อยเมื่อท่านมาจำพรรษที่วัดเสาธงทอง ซึ่งในขณะนั้นมี พระอธิการย่อง เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้ช่วยพัฒนาวัดเสาธงทองให้เจริญรุ่งเรืองจนผิดหูผิดตาเลยทีเดียว พอดีเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ว่างมานาน ทางคณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้หลวงพ่อทบเป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้วเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2472 จากนั้นเป็นต้นมาท่านก็เป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ตามลำดับดังนี้1. พ.ศ. 2472 – 2479 เป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว2. พ.ศ. 2476 – 2478 เป็นเจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง3. พ.ศ. 2479 – 2499 เป็นเจ้าอาวาสวัดสว่างอรุณ4. พ.ศ. 2480 – 2497 เป็นเจ้าอาวาสวัดศิลาโมง5. พ.ศ. 2500 – 2519 เป็นเจ้าอาวาสวัดชนแดนตามข้อมูลข้างบนนี้ จะเห็นว่าทางราชการและคณะสงฆ์มองเห็นความสำคัญของท่าน จึงได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆ หลายวัด บางวัดก็แต่งตั้งให้ท่านรักษาการเจ้าอาวาสไปก่อน รอจนกว่าจะมีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสตัวจริง เราจะเห็นว่าหลวงพ่อทบทำงานหนักมาก ต่อไปจะเป็นประวัติของวัดต่างๆ ที่หลวงพ่อทบเคยไปเป็นเจ้าอาวาส วัดเกาะแก้ว วัดเกาะแก้ว หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า วัดเกาะ ตั้งอยู่เลขที่ 106 บ้านนายม ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 18 ไร่ 93 ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือ 87 ตารางว่า ติดต่อกับลำคลองวังชมภู ตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 585 พื้นที่วัดเป็นที่ราบ มีลำคลองและทางสาธารณะล้อมรอบ อาคารเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถกว้าง 11 เมตร ยาว 13.20 เมตร สร้างมาแต่โบราณ ศาลาการเปรียญ 1 หลัง สร้างเมื่อ พ.ศ.2520 กุฏิสงฆ์มีจำนวน 2 หลังเป็นอาคารไม้ สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในอุโบสถ ปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มาก และมีเจดีย์ 7 องค์ กล่าวกันว่าสร้างมาแต่สมัยลพบุรี วัดเกาะแก้วเดิมเป็นวัดที่สร้างขึ้นมานานก่อนสมัยสุโขทัย แต่คงจะทรุดโทรมลงบ้างตามกาลเวลา และได้มีการบูรณะก่อสร้างให้เป็นวัดที่มั่นคงนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2398 เป็นต้นมา หลวงพ่อทบได้มาเป็นเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ. 2472-2479 วัดเสาธงทอง วัดเสาธงทอง หมู่ที่ 4 ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 40 ไร่ อาณาเขต ทิศเหนือยาว 4 เส้น ติดต่อกับวังชมภู ทิศใต้ยาว 4 เส้น ติดต่อกับถนนหลวง ทิศตะวันออกยาว 10 เส้น ติดต่อกับหมู่บ้าน ทิศตะวันตกยาว 10 เส้น ติดต่อกับวัดร้าง ซึ่งมี น.ส. 3 ก. เป็นหลักฐาน พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ อาคารเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถกว้าง 8.40 เมตร ยาว 9.55 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ.2519 โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กศาลาการเปรียญกว้าง 16.40 เมตร ยาว 28.90 เมตร สร้างปี 2510 กุฏิมีจำนวน 13 หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในพระอุโบสถ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ และพระมหากัจจายนะ วัดเสาธงทอง เดิมเป็นวัดที่สร้างมานานกว่า 700 ปี ต่อมาได้ชำรุดทรุดโทรมลง และได้มีการสร้างให้เป็นวัดขึ้นอีก ประมาณปี พ.ศ.2387 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2519 หลวงพ่อทบท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ.2476-2478วัดสว่างอรุณ วัดสว่างอรุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า วัดใน ตั้งอยู่เลขที่ 88 ในหมู่บ้านชนแดน หมู่ที่ 1 ตำบลชนแดน อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 8 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา อาณาเขต ทิศเหนือยาว 80 วา ติดต่อกับถนนสาธารณะ ทิศใต้ยาว 75 วา ติดต่อกับหมู่บ้านชนแดน ทิศตะวันออกยาว 29 วา ติดต่อกับที่ดินนายอัง ทิศตะวันตกยาว 60 วา ติดต่อกับถนนสาธารณะ พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่ม สภาพแวดล้อมเป็นทุ่งนาและหมู่บ้าน อาคารเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถกล้าง 6 เมตร ยาว 11 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2384 ศาลาการเปรียญกล้วง 12 เมตร ยาว 20 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ.2482 หอสวดมนต์กว้าง 6 เมตร ยาว 10 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2524 เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว กุฏิสงฆ์จำนวน 3 หลัง สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปั้น วัดสว่างอรุณสร้างขึ้นเป็นวันนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2451 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในปี พ.ศ.2455 มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ 8 รูป สามเณร 4 รูป ทางวัดได้เปิดสอนพระปริยัติธรรมที่วัดนี้ และใช้เป็นที่สอบธรรมสนามหลวงด้วย หลวงพ่อทบได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสว่างอรุณ เมื่อ พ.ศ.2479-2499 วัดศิลาโมง วัดศิลาโมง ตั้งอยู่เลขที่ 170 บ้านยางหัวลม หมู่ที่ 8 ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 11 ไร่ 60 ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือยาว 100 เมตร ติดต่อกับทางสาธารณะ ทิศใต้ยาว 150 เมตร ติดต่อกับทางสาธารณะ ทิศตะวันออกยาว 200 เมตร ติดต่อกับที่ดินของนายป้อม ทัพมีบุญ และทางสาธารณะ ทิศตะวันตกยาว 75 เมตร ติดต่อกับทางสาธารณะ ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 112 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มอยู่ท่ามกลางหมู่บ้าน อาคารเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถกว้าง 6 เมตร ยาว 9 เมตร สร้างประมาณ พ.ศ.2450 ศาลาการเปรียญ กว้าง 12 เมตร ยาว 15 เมตร สร้าง พ.ศ.2522 หอสวดมนต์กว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร สร้าง พ.ศ. 2516 กุฏิสงฆ์จำนวน 2 หลัง สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในอุโบสถและมีเจดีย์เก่าปรักหักพัง วัดศิลาโมง สร้างขึ้นเป็นวัดตั้งแต่ พ.ศ.2425 ชาวบ้านเรียกว่าวัดยางหัวลม ตามชื่อของหมู่บ้าน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ.2450 และหลวงพ่อทบ ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดศิลาโมง เมื่อ พ.ศ.2480-2497 วัดพระพุทธบาทชนแดน วัดพระพุทธบาทชนแดน ตั้งอยู่เลขที่ 99 บ้านเขาน้อย หมู่ที่ 4 ตำบลชนแดน อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 27 ไร่ 3 งาน อาณาเขต ทิศเหนือติดต่อกับภูเขาน้อยและหมู่บ้าน ทิศใต้ยาว 4 เส้น ติดกับถนนใหญ่ ทิศตะวันออกยาว 5 เส้น ติดต่อกับลำคลอง ทิศตะวันตกยาว 2 เส้น ติดกับถนนสายวัดโป่ง ซึ่งมี น.ส.3 ก. เลขที่ 1361 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ลาดเอียงอยู่ติดต่อกับภูเขา สภาพแวดล้อมเป็นหมู่บ้านและป่าไม้ อาคารและเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถ สร้าง พ.ศ.2517 พื้นปูด้วยหินอ่อน ศาลาการเปรียญกว้าง 24 เมตร ยาว 34 เมตร สร้าง พ.ศ.2522 เสาคอนกรีตยกพื้นสูง หอสวดมนต์กว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร สร้าง พ.ศ.2510 มีกุฏิสงฆ์จำนวน 7 หลัง สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในพระอุโบสถ และรอยพระพุทธบาทจำลองที่ประดิษฐานอยู่บนภูเขา วัดพระพุทธบาทชนแดน กระทรวงศึกษาได้ประกาศเป็นวัดตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2516 ชาวบ้านมักเรียกว่าวัดพระพุทธบาทเขาน้อย หรือวัดเขาน้อย เพราะตั้งอยู่ที่เขาน้อย โดยมีนายปั้น ก้อนพล บริจาคที่ดินให้สร้างวัด ซึ่งได้มอบถวายแด่หลวงพ่อทบ พระเกจิอาจารย์ในภูมิภาคนี้ การสร้างวัดได้ดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2490 ได้รับวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2517 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร ได้ผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2517 ได้เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม เมื่อปี พ.ศ.2512 หลวงพ่อทบท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาส วัดพระพุทธบาทชนแดน เมื่อ พ.ศ. 2500-2519 วัดช้างเผือก วัดช้างเผือก ตั้งอยู่เลขที่ 313 บ้างยางหัวลม หมู่ที่ 7 ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 10 ตารางวา อาณาเขต ทิศเหนือยาว 80 เมตร ติดต่อถนนสาธารณะ ทิศใต้ยาว 160 เมตร ติดต่อกับที่นาของนางแล่ม ชีพราหมณ์ ทิศตะวันออกยาว 170 เมตร ติดต่อกับที่ดินของบริษัทจุลไหมไทย จำกัด ทิศตะวันตกยาว 190 เมตรติดต่อกับที่ดินของนายชู ชาวใต้ ซึ่งมี น.ส. 3 ก. เลขที่ 219 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ อาคารเสนาสนะต่างๆ มีดังนี้ ศาลาการเปรียญกว้าง 12 เมตร ยาว 15 เมตร สร้าง พ.ศ.2517 หอสวดมนต์กว้าง 9 เมตร ยาว 12 เมตร สร้าง พ.ศ.2512 กุฏิสงฆ์มีจำนวน 2 หลัง มณฑปเก็บศพหลวงพ่อทบ สร้าง พ.ศ.2520 อุโบสถหลังใหม่สร้างแทนหลังเดิม วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2519 ก่อสร้างแล้วเสร็จและผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2535 วัดช้างเผือกสร้างขึ้นก่อน พ.ศ.2440 ก่อนหลวงพ่อทบจะบรรพชาเป็นสามเณรมีพระอาจารย์สีเป็นเจ้าอาวาส หลังจากพระอาจารย์สีมรณภาพแล้วตามประวัติไม่ได้ระบุว่ามีพระภิกษุมาจำพรรษา จึงทำให้กลายเป็นวัดร้าง จน พ.ศ.2516 หลวงพ่อทบได้มาบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ ใช้เวลาบูรณะอยู่ 3 ปี ตัวของท่านก็ปวยและมรณภาพในวันงานศิลาฤกษ์พระอุโบสถหลังที่ 17 ปัจจุบันวัดช้างเผือกมีพระอธิการพรหม จันทปัญโญ เป็นเจ้าอาวาส
เมื่อปี พ.ศ.2507 หลวงพ่อทบท่านมีอายุได้ 83 ปี ความไม่เที่ยงแห่งสังขารก็เริ่มรุกรานท่านให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ในระยะนี้นัยน์ตาของท่านก็เริ่มฝ้าฟางลง จนในที่สุดก็บอดมืดสนิททีเดียว ซึ่งนายแพทย์ผู้รักษากล่าวว่า นัยน์ตาของหลวงพ่อได้หมดอายุแล้ว ถึงแม้ว่าดวงตาของท่านจะมืดบอดไม่เห็น แต่ท่านก็ยังสร้างและบูรณะวัดวาอารามอีกหลายแห่ง และภายหลังจากที่ท่านได้ระลึกว่า การที่ท่านจะอยู่ในตำแหน่งโดยที่นัยน์ตาของท่านมองอะไรไม่เห็นเช่นนี้ น่าจะไม่ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมา ฉะนั้นท่านจึงได้ขอลาออกจากตำแหน่งพระครูวิชิตพัชราจารย์ เจ้าคณะอำเภอชนแดน แต่ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านเกินกว่าจะกล่าวได้ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยฐานะกรมการศาสนา ก็มีมติให้ท่านคงดำรงตำแหน่งพระครูวิชิตพัชราจารย์กิตติมศักดิ์ต่อไปจนตลอดอายุ เมื่อหลวงพ่อทบท่านได้ลาออกจากสมณศักดิ์แล้ว ท่านยังคงคิดถึงวัดที่ท่านได้เคยอาศัยอยู่กับพระอาจารย์สีมาก่อน นั่นคือ วัดช้างเผือก ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นวัดร้างไม่มีผู้ใดจะคิดบูรณะ ร้างมาประมาณกว่า 30-40 ปี แล้ว อนึ่งท่านก็ยังคงจดจำคำของพระอาจารย์สีที่เคยบอกกับท่านไว้เมื่อ 68 ปีที่แล้ว่า หากถึงวาระสุดท้ายก็ให้กลับไปวัดช้างเผือก อย่าปล่อยให้ร้างนั้นได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นท่านจึงได้ออกจากวัดพระพุทธบาทชนแดนทันทีที่ได้รับนิมนต์ให้มาช่วยบูรณะวัดศิลาโมง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดช้างเผือกนัก เพราะเห็นว่าสะดวกดีที่จะได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดช้างเผือกต่อไป หลวงพ่อทบท่านได้บูรณะวัดศิลาโมง จนเห็นว่าสมควรจะได้ไปทำการบูรณะวัดช้างเผือกแล้ว ท่านก็ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดช้างเผือกซึ่งร้างรอท่านให้ช่วยปลูกฟื้นฟูอยู่ หลังจากนั้นวัดช้างเผือกก็เปลี่ยนสภาพจากวัดร้างที่ไม่มีใครสัญจรไปมา นอกเสียจากพวกเด็กเลี้ยงควายจะได้ไปอาศัยพักร่มเงาบนกุฏิที่เก่าคร่ำคร่าจะพังมิพังแหล่ ซึ่งมีอยู่หลังเดียวกับศาลาการเปรียญที่ทรุดโทรมอย่างถึงที่สุดแล้ว พระอุโบสถแลเห็นเพียงแต่ฐาน เพราะส่วนบนปรักหักพังลงมาจนหมดสิ้น กลับกลายเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดของตำบลวังชมพูในปัจจุบัน

ถึงกาลมรณภาพ แต่แล้วเหมือนฟ้าผ่ามาลงท่ามกลางท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งปราศจากเมฆฝนแม้แต่น้อย เมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันเศษของวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2519 หลวงพ่อทบเหมือนเป็นไข้ นายแฉล้ม ชีพราหมณ์ เป็นผู้สังเกตอาการของหลวงพ่อทบได้ดีกว่าผู้อื่น เริ่มมีอาการวิตกกังวลเต็มไปด้วยความกระสับกระส่าย เขาตัดสินใจนำรถมารับหลวงพ่อทบเพื่อที่จะรีบพาท่านไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯทันที แล้วอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ในขณะที่รถกำลังพาท่านไปกรุงเทพฯ มาถึงตำบลนาเฉลียง ออกจากวัดช้างเผือกมาได้ประมาณ 15 กิโลเมตร หลวงพ่อทบก็ปิดเปลือกตาลงอย่างสนิท พร้อมกับการกำหนดลมหายใจเป็นครั้งสุดท้าย มันเป็นเวลาสี่โมงเย็นพอดี หลวงพ่อทบก็มรณภาพลงอย่างสงบบนรถนั่นเอง ข่าวหลวงพ่อทบมรณภาพดังกึกก้องอย่างรวดเร็ว ประชาชนทั่วทุกสารทิศที่ได้ทราบข่าวต่างก็พากันมุ่งตรงมายังวัดช้างเผือกในทันที วันแล้ววันเล่าที่คณะกรรมการวัดต้องทำงานอย่างหนัก ข้าวของเครื่องบริขารของหลวงพ่อได้รับการสำรวจอย่างถี่ถ้วนโดยเฉพาะพระเครื่องรางของขลังทั้งหมดได้ถูกเก็บรวบรวมในทันที เพื่อรอการตรวจเช็คของกรรมการต่อไป ประชาชนจำนวนเรือนหมื่นได้ไปออกันอยู่ที่วัดช้างเผือกตลอดเวลาที่มีพิธีบำเพ็ญกุศลมิได้ขาด จนกระทั่งครบ 100 วัน ศพของท่านยังคงเก็บไว้ที่วัดช้างเผือกตลอดมา มิได้ทำการณาปนกิจหรือเผาแต่อย่างใด ทั้งนี้เพื่อทำตามคำสั่งของท่านที่ให้เก็บศพไว้เพื่อสร้างมณฑปและโลงแก้ว สำหรับใช้เป็นที่เก็บศพของท่านอย่างถาวร ให้ลูกหลานได้กราบไหว้ต่อไป ความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งสำหรับพระเกจิอาจารย์อย่างหลวงพ่อทบ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันเกิดและวันมรณภาพของท่าน ซึ่งไม่น่าจะมาคล้องจองกันได้อย่างประหลาด กล่าวคือ หลวงพ่อทบเกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2424 ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเส็ง แล้วมรณภาพในวันที่ 14 มีนาคม 2519 เวลาบ่าย 4 โมงเย็น ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ(4) รวมอายุได้ 95


Create Date : 14 กรกฎาคม 2551
Last Update : 15 กรกฎาคม 2551 11:42:07 น. 2 comments
Counter : 687 Pageviews.

 
ดี


โดย: เอก IP: 203.113.118.7 วันที่: 4 สิงหาคม 2551 เวลา:14:47:24 น.  

 
เชิญชม //www.ayothaya amulet.com


โดย: โรจ ราชบุรึ IP: 125.25.213.45 วันที่: 12 มีนาคม 2554 เวลา:23:04:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Chinpei
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Chinpei's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.