ฝ่าดงแขก

มาถึงเมืองแขกแล้วจ้า (มุมไบ-ออรังคบาด)

สวัสดีครับ หลังจากที่หายไปนานเลยเพราะว่าติดภาระกิจส่วนตัวหลายประการครับ

ความเดิมจากตอนที่แล้วนั้นเราแพ๊กกระป๋าพร้อมเอกสารการเดินทางต่างๆพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลยครับ เครื่องบินจากสนามบินสุวรรณภูมิมาที่มุมไบนั้น ส่วนมากจะออกเป็นไฟล์หัวค่ำๆนะครับ ประมาณสักสองสามทุ่มโดยประมาณ ใช้เวลาการเดินทางประมาณสี่ชั่วโมง เครื่องบินก็จะนำท่านร่อนลงสู่สนามบินนานาชาติฉัตราปาตี ศิวะจิ ที่เมืองมุมไบประเทศอินเดียนะครับ เมื่อมาถึงแล้วอย่าลืมปรับเข็มนาฬิกาของเราย้อนกลับหลังไปหนึ่งชั่วโมงครึ่งนะครับ เพราะว่าเวลาท้องถิ่นประเทศอินเดียจะช้ากว่าประเทศไทยเราหนึ่งชั่วโมงครึ่งครับ

จากนั้นเราก็จะต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง จะมีพี่ ตม.แขกมาคอยตรวจพาสปอร์ตและวีซ่าของเรา พร้อมทั้งประทับตราขาเข้าให้เรา ส่วนมากไม่ค่อยมีปัญหาหรอกครับ เพราะว่าพี่ๆแขกเค้าจะไม่ค่อนสนใจกับนักท่องเที่ยวจากบ้านเรานัก จากนั้นจึงมารักระเป๋าที่สายพานครับ คนาวนี้แหละ เราจะได้เริ่มลุ้นเล็กๆเป็นครั้งแรกในเมืองแขกกัน เนื่องจากว่าจะมีกระเป๋าบางใบที่พี่แขกเค้าสงสัยว่าราขนอะไรมา ทำไมกระเป๋าถึงได้ใหญ่โตนัก พี่แขกเค้าเลยเอาชอล์กสีขาวมาขีดไว้เป็นรูปกากบาทบนกระเป๋าเรา เพื่อให้พี่ศุลกากรด้านนอกตรวจกระเป๋าเราอีกที ถ้ากระเป๋าที่เราโหลดมาไม่ได้มีอะไรที่ผิดกฎหมาย เราก็เอาทิชชู่ หรือเศษผ้าที่เรามีเช็ดออกเสียก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปวุ่นวายเปิดกระเป๋าตรวจ สมัตอนเรียนอยู่ที่โน่น ผมกลับมาบ้านทีก็ขนเอาหมูหยอง หมูแผ่น เนื้อเค็ม เนื้อสวรรค์จำพวกนี้ไปด้วยเพื่อที่จะได้เก็บเอาไว้กินนานๆ หรือบางท่านอาจจะกังวลว่าจะกินอาหารแขกไม่ได้ จะขนอาหารแห้งเบาๆพวกนี้ไปด้วยเผื่อฉุกเฉินก้ตามอัธยาศรัยนะครับ ทีนี้พี่แขกเค้าเป็นชาวมังสวิรัติกันเกือบค่อนประเทศ เลยค่อนข้างที่จะ Sensitive กับสินค้าพวกนี้ เราเลี่ยงได้ ก็เลี่ยงไป ถ้าทิชชู่ไม่มี หรือผ้าไม่มีเช็ด เราก็เอาด้านที่เค้ากากบาทมาคว่ำเสีย หรือหามุมเอากระเป๋าใบอื่นๆ หรือกระเป๋าถือมาบังไว้แล้วก็เดินออกไปก็ได้นะครับ ฮ่าๆๆๆ พี่ไทยเรามีวิธีพลิกแพลงเสมอๆ

สมมุติว่าตอนนี้เราสามารถผ่านด่านแขกอรหันต์ ออกมาจากสนามบินได้แล้วนะครับ ก่อนออกมากประตูสนามบินจะมีบู๊ตแลกเงินอยู่มากมาย แลกได้ตามสะดวกเลยนะครับ แต่แนะนำว่าอย่าแลกเยอะเพราะว่าอัตราแลกเปลี่ยนในสนามบินจะน่าเกลียดมากถึงมากที่สุด แลกแค่พอจ่ายค่ารถแท๊กซี่หรือว่าหาอาหารเช้าทานพวกชาหรือกาแฟก่อนก็พอครับ ประมาณสัก 50 เหรียญก็น่าจะพอ

ก่อนจะออกจากสนามบินให้เดินไปทางขวามือสุด จะมีเคาเตอร์บริการ Prepaid Taxi บอกเจ้าหน้าที่ว่าจะไปที่ไหนแล้วก็จ่ายเงินไป สะดวกมากครับ อาจจะแพงหน่อยแต่ว่าสบายใจ ไม่ต้องต่อรอง แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าเค้าจะพาเราไปอ้อมหรือจะพาเราไปทำมิดีมิร้ายเลยครับ เพราะว่า Prepaid Taxi เค้าจดทะเบียนทุกคัน บอกเจ้าหน้าที่ว่าเราจะไปสถานีรถไฟมุมไบเซ็นทรัล (Mumbai Central – CSTM) ราคาปนะมาณ 400 รูปีครับ จ่ายเงินไปแล้วเราก็รับบิลมา เดินออกมาข้างนอก ก็จะเห็นแท๊กซี่จอดเป็นแถวๆเลยครับ เราเดินไปที่ป้าย Prepaid Taxi ยื่นตั๋วให้เค้าดู พี่เค้าก็จะพาเราไปขึ้นรถเองครับ ส่วนมากรถแท๊กซี่ที่นี่จะเป็นรถแอมบาสเดอร์สีดำขลิบเหลือง จากสนามบินเดินทางไปสถานีรถไฟมุมไบเซ็นทรัล จะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนะครับ ถ้าหากมาถึงตอนกลางวันรถจะติดพอสมควร อาจจะใช้เวลานานเพิ่มขึ้นอีกบ้างนะครับ

เนื่องจากเราได้ทำการจองตั๋วรถไฟมาแล้วทางอินเตอร์เน็ต จึงไมม่จำเป็นต้องไปต่อคิวซื้ออีกให้วุ่นวายนะครับ จองแล้วจ่ายเงินทางอินเตอร์เน็ต ง่ายและสะดวกมากเลยครับ ปริ๊นตั๋วออกมาใส่กระดาษ A4 ก็ขึ้นรถได้เลย แต่ว่าเราจะต้องวางแผนแต่เนิ่นๆ เพราะว่าการเดินทางโดยรถไฟนั้นเป็นที่นิยมมากเลยครับที่อินเดีย เข้าไปจองและซื้อตั๋วรถไฟอินเดียแบบออนไลน์ได้ที่ //www.irctc.co.in หรือ //www.makemytrip.com แต่ถ้าเราจองมาไม่ทัน อย่าตระหนกตกใจไปครับ เพราะว่าตามสถานีรถไฟใหญ่ๆหลายแหล่งจะมีช่องบริการพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ต้องไปแย่งคิวกับแขกให้เสียเวลาครับ ต้องย้ำนะครับว่าให้เข้าไปที่ช่องบริการพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้น ถ้าเห็นป้ายว่า Tourist ก็ตรงดิ่งเข้าไปได้เลยครับ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้นจะได้สิทธิพิเศษหลายอย่างครับ ถ้าท่านจองตั๋วทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้ ให้ไปซื้อที่สถานีเลยครับ เพราะว่าสำหรับผู้ที่ถือวีซ่าท่องเที่ยวอินเดีย การรถไฟเค้าจะกั๊กที่นั่งไว้ให้สำหรับนักทท่องเที่ยวโดยเฉพาะครับ แต่ว่าเค้าไม่เอาขึ้นระบบออนไลน์ จะต้องไปซื้อที่สถานีเท่านั้นนะครับ (วีซ่า Type “T” เท่านั้นนะครับ สำหรับวีซ่า “P”, “S” และ “R” ไม่มีสิทธินะจ๊ะ) เอาเป็นว่าถ้าไม่ซวยสุดๆ ก็ได้ที่นั่ง ที่นอน บนรถไฟแน่นอนครับ รถไฟที่นี่มีเฉพาะชั้นหนึ่ง และสองเท่านั้นนะครับ ขบวนรถก้อมีอีกหลากหลายประเภทมาก จะอธิบายในโอกาสต่อไปนะครับ

กลับมาที่สถานีรถไฟกันดีกว่าครับ ทีสถานีมุมไบเซ็นทรัลนี้ หากเรามาถึงตอนกลางวันหรือตอนค่ำ เราจะเห็นถึงความสวยงาทของสถานี้ที่เป็นศิลปะแบบยุโรป เค้าว่ากันว่าสร้างมาจากเค้าโครงของสถานีรถไฟแห่งหนึ่งในอังกฤษครับ ส่วนความสวยงามนี้ได้การันตีจากการที่ องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนสถานีนี้ให้เป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้วล่ะครับ หากมองมาจากภายนอกนั้นให้บรรยากาศเหมือนกับว่าเรากำลังอยู่ที่ประเทศอังกฤษเลยทีเดียวครับ ผิดแต่ว่าจะมีร้านค้าแผงลอย และพี่ๆแขกหนุ่มสาวเดินกันให้ไสวเลยครับ ที่นี่เราต้องระมัดระวังเรื่องของทรัพย์สินเราให้ดีนะครับ เพราะว่าสถานีนี้ขึ้นชื่อเรื่องของความวุ่นวายสถานีหนึ่งของอินเดีย ซึ่งเป้นที่ถูกอกถูกใจ ของบรรดามิจฉาชีพทั้งหลายครับ

Photobucket
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

ถ้าใครมาถึงที่นี่ตอนดึก เพื่อที่จะมาต่อรถไฟไปออรังคบาดแบบผมแล้วล่ะก็ ให้มองหาป้าย Retiring Room หรือ Waiting Roomไว้นะครับ เพราะว่าที่นี่จะเป็นห้องให้เราใช้รอรถไฟได้โดยไม่ต้องไปนั่งรอ หรือนอนรอ ที่พื้นสถานีแบบแขกเค้าทำกัน แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องซื้อตั๋วโดยสารแบบโบกี้ปรับอากาศเท่านั้นน่ะครับ ที่นี่ปลอดภัยครับ มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชม. เพียงยื่นตั๋วให้เค้าดูแล้วลงชื่อไว้ ก็สามารถเข้าไปนั่งนอ หรือนอนรอบนเก้าอี้ยาวได้ ห้องน้ำสะอาดครับ อาจจะงีบรอก็ได้นะครับ เอาแรงไว้ก่อน เนื่องจากเรามาถึงที่นี่ดึก อ้อ..ที่สถานีมุมไบเซ็นทรัล ห้องที่ว่านี้อยู่ที่ชั้นสองของอาคารครับ ขึ้นบันไดยาวๆที่หน้าสถานีถึงชั้นสอง เดินไปจนสุดทางเดินก็เจอเลยครับ หาง่ายมากๆ

ผมจองตั๋วแบบ AC Chair Car ไว้สำหรับการเดินทางช่วงมุมไบ-ออรังคบาด ด้วยขบวนรถด่วน Tapovan Express ราคาตั๋วตนละ 331 รูปีครับ จะออกจากสถานีมุมไบเซ็นทรัลเวลา 06.10 น. พองีบหลับรอจนเวลาประมาณตีห้าครึ่งก็ลงมารอที่ชานชาลาครับ ที่สถานีทุกแห่งจะมีบอร์ดบอกเวลาไว้อย่างชัดเจนครับ ว่ารถขบวนไหนจะออกที่ชานชาลาไหน เวลาเท่าไหร่ พร้อมทั้งบอกลำดับของโบกี้ด้วยนะครับว่าอยู่ตรงไหน สะดวกมากๆ

มีครั้งนึงครับ ผมจะมาที่ออรังคบาดเนี่ยะแหละครับ แต่ว่าไม่ได้มาขึ้นที่มุมไปอันเป็นสถานีต้นทาง เพราะว่านั่งรถมาจากที่อื่น จำได้เลยครับว่าจะขึ้นที่สถานีชุมทางแมนแมด (Manmad Junction) ตั๋วก็มีแล้ว แต่ว่าพอรถไฟมาถึง ปรากฏว่าผู้คนล้านแปดเลยครับที่โดยสารมากับรถไฟขบวนนั้น แบบโหนกันจนล้นออกมานอกโบกี้เลยครับ มันไม่มีแม้กระทั่งช่องให้เบียนเดินก้าวขึ้นรถไฟ ผมก้อคิดในใจแบบ เอาล่ะซี..จะทำไงดี จะทิ้งตั๋วแล้วไปรถบัสแทนก็เสียดายเงิน ขี้เกียจแบกกระเป๋าอีก เลยเดินทำหน้าละห้อยไปหาเจ้าหน้าที่คนนึง เอาตั๋วให้เค้าดูแล้วเรียกคะแนนสงสารแบบสุดฤทธิ์ ประมาณว่าท่านครับ ช่วยผมหน่อย ผมมีตั๋วแต่ไม่สามารถขึ้นรถได้จะทำไงดีครับ คราวนี้โชคดีครับ พี่เค้าบอกว่าถ้าผมไม่มีปัญหา ผมสามารถนั่งที่ท้ายขบวนกับพี่เค้าได้ เพราะว่าพี่เค้าเป็นพนักงานคุมท้ายรถครับ ผมก็ตามไปแบบว่าง่าย ผลคือพี่เค้าเอาเสื่อมาปูให้นั่ง เอาข้าว เอาน้ำมาให้กินแบบเซอร์ไพรซ์มากๆครับ ได้ลองโบกธงที่ท้ายขบวนด้วย เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเที่ยวอินเดียอีกอันหนึ่งเลยครับ

Photobucket

Photobucket

เมื่อจับจองที่นั่งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามตั๋ว ถ้าใครหิวหรือ ต้องการเครื่องดื่มเรียกความสดชื่นก็สามารถเรียกหาผู้ชายใส่ชุดสีขาว โพกหัวด้วยผ้าสีขาวมีเข็มกลัดตราการรถไฟของอินเดียสีทองเงาแว๊บได้นะครับ สามารถสั่งเครื่องดื่มร้อนเช่น ชาร้อน(การัมใจ) อันเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของแขก หรือกาแฟมาดื่มได้ครับ สนนราคาจอกละ 6 รูปีเท่านั้น ส่วนอาหารก็มีอาหารเช้าอินเดียแบบง่ายๆ เช่นโดซ่า (เหมือนขนมถังแตกบ้านเรา แต่ไม่หวานครับ) มาจิ้มแกงผักรวมแบบแขก หรือว่า อิ๊ดลี่ (เหมือนขนมถ้วยฟูบ้านเรา ไม่หวานเช่นกัน) มาจิ้มทานกับแกงผักรวมแบบแขกหรือซอสแขกที่เรียกว่าชัตนี่ก็ได้ครับ ซัตนี่นี่เปรียบเสมือนพิกน้ำปลา หรือน้ำพริกบ้านเราน่ะครับ เป็นนเครื่องจิ้มของแขกที่ขาดไม่ได้ในมื้ออาหาร ชัตนี่ที่นิยมก็เช่นชัตนี่สะระแหน่ หอมๆเผ็ดๆ หรือชัตนี่มะพร้าว รสชาดมันๆ อร่อยไปอีกแบบครับ แต่ว่าอาหารก็ไม่ฟรีนะครับ ราคาชุดละ 20-25 รูปี อาหารมีให้เลือกไม่เยอะครับเพราะเป็นรถวิ่งระยะทางสั้นๆ ถ้สใครเดินทางแบบชั้นธรรมดา ก็จะมีพนักงานหิ้วกาน้ำชา กาแฟ หรือแบกลังใส่อาหาร เครื่องดื่ม หรือขนม snack มาบริการตลอดครับ ไม่ต้องกลัวอด แต่ว่าเลือกทานดีๆนะครับ เดี๋ยวจะท้องเสียเอา ถ้าเป็นกังวลก็ทานชาร้อนกับขนมบิสกิตรองท้องก่อนก็ได้ครับ หากท้องไส้ของใครที่ค่อนข้างไว ก็กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ อ้อ..เรื่องแพกเกจอาหารนี่ต้องทำใจหน่อยนะครับ เพราะว่าวัสดุหลักคือกระดาษหนังสือพิมพ์ครับ ฮ่าๆๆ แต่ถ้าเป็นอาหารหลักก็จะมีแผ่นพลาสติกใสรองมา แต่ถ้าเป็น snack ก็จะห่อหนังสือพิมพืแบบถุงกล้อยแขกสมัยก่อนมาเลยครับ ต้องทำใจๆ

รถไฟจะใช้เวลาเดินทางประมาณแปดชั่วโมงครับ สำหรับระยะทาง 380 กิโลเมตร ไม่น่าเกินบ่ายโมงครึ่ง ท่านก็จะมาถึงสถานีออรังคบาดแล้วครับ

ตามกันต่อตอนหน้านะครับ เราจะไปตะลุยออรังคบาด เที่ยวชมและสักการะพุทธสถานที่ยิ่งใหญ่สองแห่งคือ หมู่ถ้ำอาชันต้า และหมู่ถ้าแอโลร่าครับ

Photobucket


Create Date : 30 ธันวาคม 2553
Last Update : 30 ธันวาคม 2553 15:41:48 น. 2 comments
Counter : 804 Pageviews.  

 
น่าสนใจมาก

ปีหน้ามีคิวที่จะต้องไปมุมไบเสียด้วย.. แต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์นั่งรถไฟอินเดีย เพราะเห็นหลายคนเล่าให้ฟังแล้ว เหนื่อยแทน ตอนที่ไปเดลีครั้งที่ก่อนก็แค่นั่งบัสไป-กลับราชสถาน เลยยังไม่มีโอกาสสัมผัส

ขอเก็บข้อมูลครับ


โดย: sirimas_m วันที่: 30 ธันวาคม 2553 เวลา:18:06:07 น.  

 


โดย: nootikky วันที่: 30 ธันวาคม 2553 เวลา:18:19:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ๊กอ้วน
Location :
Mysore India

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เมืองคนใช้หัว เมืองให้ผัวเฝ้าห้างเมืองเดินทางต้องทำใจ เมืองวัวเป็นใหญ่ นักเลงโต เมืองสุดโอ่วรรณะ เมืองมีพระแก้ผ้า เมืองคงคาแสนบรรเจิด เมืองบ่อเกิดปรัชญา เมืองศาสดากำเนิด เมืองเลิศสุดสุด เมืองพุทธอันยิ่งใหญ่...
[Add เจ๊กอ้วน's blog to your web]