|
 |
 |
 |
 |
|
เสือสมิงในประพาสต้นจันทบุรี

เสือสมิงในประพาสต้นจันทบุรี คิดว่าพวกเราคงได้ยินตำนานเกี่ยวกับเสือสมิงมาไม่มากก็น้อยนะคะ เป็นนิทานริมกองไฟเรื่องหนึ่งของชาวป่าที่ชาวกรุงผู้ห่างไกลสัมผัสเพียงคำบอกเล่า ส่วนใหญ่พวกพรานไปนั่งห้างยิงสัตว์ตอนกลางคืน หรือเข้าป่าลึกถึงจะมีสิทธิ์เจอ เล่ากันว่าเป็นเสือแก่ที่กินคนมามากจนสามารถจำแลงร่างได้ พอเหยื่อเผลอก็ตะครุบกิน ส่วนการแปลงร่างก็ทำได้ไม่จำกัด เป็นชายก็มี เป็นหญิงก็มี และที่แนบเนียนกว่านี้ก็คือแปลงเป็นพระธุดงค์เพราะคนจะไม่ระแวงเอาเลย เรื่องราวของเสือสมิงมีบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสต้นไปถึงจันทบุรี เป็นที่รู้กันว่าทรงโปรดที่จะเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในหัวเมืองต่างๆ หลายจังหวัดด้วยกัน เพื่อจะได้ทรงเห็นทุกข์สุขของราษฎรได้ใกล้ชิดมากกว่าจะทรงรับรายงานจากทางราชการเพียงอย่างเดียว และอีกอย่างก็เป็นการแปรพระราชฐานเพื่อพระพลานามัยจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นด้วย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ไปถึงจันทบุรี ตอนนั้นจันทบุรีเป็นป่าเสียมากกว่าเป็นเมืองและสวนผลไม้อย่างเดี๋ยวนี้ มีสัตว์ป่าชุกชุมทั้งช้าง ม้าป่า และเสือ โดยเฉพาะเสือถือว่ามีมากเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าทางกรุงเทพต้องการเสือก็ต้องมาดักเอาที่นี่ เพราะเป็นสินค้าที่ต่างประเทศต้องการมาก เพราะเหตุนี้ เจ้าเมืองจันทบุรีนอกจากจะต้องดูแลราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณแล้วยังมีหน้าที่คล้ายๆรพินทร์ไพรวัลย์คือต้องคอยปราบเสือไม่ให้มารังควานชาวบ้านอีกด้วย ใน พ.ศ. ๒๔๑๙ เสือที่จันทบุรีอุกอาจมาก บุกเข้าไปในบ้านคนแล้วคาบคนในบ้านไปกินเสียดื้อๆ ขนาดในเมืองมันก็ยังไม่กลัว กล่าวกันว่าเป็นเสือแก่ที่ไม่ว่องไวพอจะวิ่งไล่จับสัตว์อื่นๆได้ ก็เลยเข้าบ้านมาจับคนกินแทนเพราะง่ายกว่าทำเอาชาวเมืองจันท์ระส่ำระสายเสียขวัญกันไปทั้งเมืองแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน พระยาจันทบุรีเห็นเสือชักจะกำแหงก่อกวนคนมากเกินไปเสียแล้ว ก็ตัดสินใจเปิดศึกขั้นเด็ดขาดด้วยการประชุมพรานมือดีมาหลายคน แจกปืนให้ แยกย้ายกันออกไปล่าเสือ คนไหนไม่มีปืนก็ทำจั่นดัก ล่ากันเอาจริงเอาจังฆ่าเสือตายไปมาก ที่เหลือก็เตลิดหนีเข้าป่าลึก ทำให้ชาวบ้านหายขวัญเสียกลับมาทำมาหากินอย่างสงบได้อีกครั้ง เรื่องเสือจริงสงบลงไม่ทันไร ชาวบ้านก็เริ่มขวัญเสียกันใหม่เพราะมีข่าวเล่าลือเรื่องเสือสมิง ประจวบกับเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพอดีในพระราชนิพนธ์ทรงบันทึกไว้ว่า "...ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิงกันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวเข้า กลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัวเข้า กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นเขาจะเอาลูกของเขา จึงมาเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบปะเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤๅมิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลับเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังไม่ทันกินคน รังควานทับเสียแล้ว ถึงจะทำวิธีที่บอกก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้" อ่านแล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวงกัน เพราะดูๆแล้วอาจารย์คนนี้คิดน้ำมันทาตัวคนให้เป็นเสือขึ้นมาเพื่อประโยชน์อะไรก็ยังแปลกๆอยู่ แล้วเสือลูกศิษย์ทำไมวิ่งถึงข้ามชายแดนมาไกลขนาดนี้แทนที่จะอยู่ถิ่นเดิมในเขมร อีกอย่าง ในเมื่อตอนนี้เสือกินคนเสียแล้วกลับคืนร่างเดิมไม่ได้ อาจารย์จะทำอย่างไรก็ยังไม่มีคำตอบ พระเจ้าอยู่หัวท่านก็คงจะไม่ทรงเชื่อข่าวลือนี้เท่าไรเพราะทรงบันทึกต่อไปว่า "...เหมือนเมื่อครั้งก่อนเรามาสัตหีบครั้งหนึ่ง น้ำจืดในเรือหมด ต้องเกณฑ์ให้ทหารขึ้นไปตักน้ำที่หนองบนบกไกลฝั่งประมาณ ๓ เส้น พวกชาวบ้านบอกว่าที่นี่มีเสือสมิงมาเที่ยวอยู่ พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์มาติดตามเวลากลางคืน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นตาลริมหนองน้ำนั้น คอยจะแก้ศิษย์ซึ่งกลับเป็นคน ในเวลานั้นก็ยังอยู่ พวกทหารพากันกลัว กลับมาเล่าจนเรารู้ เราอยากจะให้ไปตามตัวลงมาให้เห็นหน้าอาจารย์สักหน่อยหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกเสียแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ไปเสียจากสัตหีบ ท่านขรัวอาจารย์นั้นป่านนี้เสือมันจะเอาไปกินเสียแล้วฤๅอย่างไรก็ไม่รู้ "
Create Date : 04 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 4 กันยายน 2554 18:10:10 น. |
Counter : 1290 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
มหาเจดีย์แห่งเชียงกุตระ ชเวดากอง
ชเวดากอง...มหาเจดีย์แห่งเชียงกุตระ
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง
เจดีย์ที่สวยที่สุดในโลก
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น     
ประวัติ
ตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อง 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 สร้างโดยชาวมอญ ตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีสองพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ามา พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น
พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมื่อพระเจ้าพินยาอู ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมมาเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตรในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆ เรื่อยมาทำให้พระเจดีย์นั้นได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311 (ในสมัยกรุงธนบุรี) ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา
รูปแบบการก่อสร้าง
บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด โดยเฉพาะชื้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 72 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด
Create Date : 03 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 3 กันยายน 2554 18:01:15 น. |
Counter : 774 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จักรพรรดิเจงกิสข่าน
ประวัติศาสตร์โลกตะวันออก จอมนักรบผู้มีชื่อเสียงที่สุด คือ จักรพรรดิเจงกิสข่าน
สมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีสข่าน (พ.ศ. 1705 หรือ 1708 – 18 สิงหาคม พ.ศ. 1770) เจงกีส แปลว่า “เวิ้งสมุทร,มหาสมุทร” (ซึ่งเปรียบได้ว่า เจงกีส ข่าน มีความยิ่งใหญ่ ดั่งเวิ้งมหาสมุทรนั่นเอง) จักรพรรดินักรบชาวมองโกลผู้พิชิต ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิมองโกล เดิมมีพระนามว่า เตมูจิน (Temüjin) ตามสถานที่เกิดริมฝั่งแม่น้ำโอนอน เสด็จขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาเมื่อพระชนมพรรษาเพียง 13 พรรษา และต้องดิ้นรนต่อสู้ขับเคี่ยวกับชนเผ่าต่างๆ ที่เป็นอริอยู่หลายปี ปราบ “ไนมาน” เอามาเป็นเมืองขึ้น พิชิต “ตันกัต” และยอมรับการจำนนของชาว “อุยกูร์เติร์ก”
ในปี พ.ศ. 1749 เตมูจิน ได้ทรงเปลี่ยนพระนามมาเป็น เจงกีส ข่าน และจากปี พ.ศ. 1754 ด้วยการรบพุ่งหลายครั้ง สมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีส ข่าน สามารถยึดครองจีนตอนเหนือ จักรวรรดิคารา-จิไต (Kara-Chitai Empire) จักรวรรดิคาเรสม์ และดินแดนอื่นๆ อีกมากมาย นับถึงเวลาเมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีส ข่าน
สวรรคต จักรวรรดิมองโกลได้แผ่ขยายตั้งแต่ทะเลดำไปจดมหาสมุทรแปซิฟิก โดยทั้งหมดเริ่มที่จีนตอนเหนือ หลังจากยึดปักกิ่งได้ สมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีส ข่านได้ส่งทูตไปยังเปอร์เซีย แต่ทางสุลต่านตัดหัวคนที่เขาส่งไป เจงกีส ข่านสั่งระดมพลไปบุกเปอร์เซีย เมืองทุกเมืองที่ต่อต้านจะถูกเผาทั้งเมือง หลังการยึดสมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีส ข่าน ได้สั่งทหาร 10,000 คนบุกไปทางเหนือ โดยไม่ได้ถูกหยุดเลยจนถึงสุดขอบทะเล โดยใช้การโจมตีแบบใหม่แบบที่ยุโรปไม่รู้จักทำให้ยุโรปเกือบพินาศทั้งทวีป
สมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีส ข่าน มีพระชนมชีพอยู่ตรงกับประมาณ 1 ศตวรรษ ก่อนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุงสุโขทัย ปัจจุบัน พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักการทหารที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติ ศาสตร์ของโลก หลังจากการจากไปของสมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีส ข่าน พระราชโอรสของพระองค์ได้นำทัพกลับไปที่ยุโรป แต่ในขณะที่จะเข้าเวียนนา ข่านพระองค์ใหม่ก็สิ้นพระชนม์ ทำให้ยุโรปรอดจากการยึดครอง หลุมฝังศพเจงกิสข่าน
สุสานฝังพระศพของจักรพรรดิเจงกิสข่าน อยู่ที่ไหน ? ตามตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับเจงกิสข่าน เชื่อกันว่า สุสานฝังพระศพของจักรพรรดิเจงกิสข่าน อยู่ที่แถบบริเวณภูเขาของเมือง Burkhan Khaldun และนักโบราณคดีมากมายหลายคณะ ทั้งคณะชาวมองโกล หรือชาวมองโกเลียในปัจจุบัน และคณะจากประเทศอื่นๆ ก็ได้พยายามค้นหาสุสานฝังพระศพของจอมจักรพรรดิเจงกิสข่านมาเป็นเวลายาวนานแล้ว แต่ก็ยังไม่พบ
มาล่าสุด มีรายงานข่าวจากคณะนักโบราณคดีคณะหนึ่ง ประกอบด้วย นักโบราณคดีชาวสหรัฐอเมริกาและชาวมองโกเลีย เปิดเผยเมื่อกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ.2544 ว่า คณะพวกเขาได้ค้นพบสุสานฝังศพขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อกันว่า น่าจะเป็นสุสานฝังพระศพของจอมจักรพรรดิเจงกิสข่าน
Create Date : 03 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 3 กันยายน 2554 7:49:58 น. |
Counter : 1395 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด
แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด
1. ทุพลเพศ มี ขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ
2. พรรณพยัคฆ์ หรือ ลายเสือ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง
3. ปีศาจ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้
4. หิณโทษ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง
5. กอบเพลิง เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว
6. เหน็บเสนียด มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ
ขอขอบคุณ สารานุกรมไทย
Create Date : 01 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 1 กันยายน 2554 16:37:44 น. |
Counter : 890 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
 |
 |
 |
|
|