Be The Miracle...Be The Almighty
Group Blog
 
All blogs
 

Review: สะบายดี หลวงพะบาง



สะบายดี หลวงพะบาง เป็นหนังสัญชาติไทย-ลาว ที่กล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายแห่งในประเทศลาว หนังเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับสองคนคือ ศักดิ์ชาย ดีนาน (ก็เคยสัญญา ตอนที่ 1) และ อนุสอน สิริสักดา ซึ่งเป็นผู้กำกับชาวลาว หนังถ่ายภาพออกมาได้อย่างสวยงามมากๆ อีกทั้งยังมีการถ่ายทอดความลึกซึ้งถึงชีวิตผู้คน ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถึงหนังจะมีพล็อตเรื่องที่ดูธรรมดาก็จริง แต่สิ่งที่สวยงามของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ภาพสวยๆ และอารมณ์สะบายๆเกี่ยวกับความรักกุ๊กกิ๊กตลอดทั้งเรื่อง และได้รับความรู้สึกที่ทำให้ยิ้มได้ตลอดเรื่องเลยทีเดียว ทำให้ผมอยากที่จะไปสัมผัสประเทศลาวด้วยตัวเองเมื่อดูหนังจบ เรื่องราวของ สะบายดี หลวงพะบาง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ชายหนุ่มลูกครึ่ง ลาว-ออสเตรเลีย ที่ชื่อ สอน (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) ซึ่งได้มาเติบโตที่เมืองไทย และไม่เคยได้รับรู้ถึงชีวิตคนลาวมาก่อน สอนเป็นช่างภาพ เจ้านายของสอนได้บอกให้เขาไปถ่ายภาพที่ประเทศลาว ทั้งๆที่เขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้เลย ทำให้เขาต้องหาไกด์นำเที่ยว ซึ่งได้ไปเจอกับไกด์คนหนึ่งที่ชื่อว่า น้อย (คำลี่ พิลาวง) ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มที่จะใกล้ชิดกันมากขึ้นเมื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน ซึ่งสอนมีแฟนอยู่แล้วที่กรุงเทพ ทำให้สอนต้องตัดสินใจว่าจะไปอยู่กับคนที่เรารัก หรือ ไปหาคนที่รักเรา

ผมชอบหนังเรื่องนี้ที่อารมณ์ของหนังดำเนินไปอย่างสะบายๆง่ายๆ และมุขตลกน่ารักๆของเด็กๆที่ขโมยซีนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเด็กแสดงได้น่ารักมาก ทำหน้าทำตาดูเหมือนเล่นจริงเลยทีเดียว หนังเรื่องนี้ทำให้รู้จักประเทศลาวมากขึ้นในมุมที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน ดนตรีประกอบที่ใส่เข้ามาในเรื่องทำให้รู้สึกผ่อนคลายกับการเที่ยวตะลอนๆถ่ายรูปของ สอน โดยที่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง ไปที่ไหน นอนที่นั่น เป็นเหมือนกับการท่องเที่ยวและพักผ่อน เพื่อค้นหาความรู้สึกดีๆที่เรามองข้ามไป มุมกล้องแต่ละมุมในหนังเรื่องนี้ถ่ายออกมาได้สวยงาม และถ้ามองอีกแง่มุมนึง นี่อาจจะเป็นหนังสารคดีท่องเที่ยวสำหรับบางคนไปเลยก็เป็นได้ เพราะได้ใส่รายละเอียดในทุกมุมของลาวได้อย่างเป็นธรรมชาติได้ดีจริงๆ

GRADE B+




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2551    
Last Update : 3 มิถุนายน 2551 3:01:03 น.
Counter : 624 Pageviews.  

Review: The Chronicles of Narnia: Prince Caspian



The Chronicles of Narnia: Prince Caspian ภาคต่อภาคที่สอง ของภาพยนตร์แฟนตาซีสุดอลังการจากนวนิยายขายดีของ C.S. Lewis มาในภาคนี้ เจ้าชายแคสเปี้ยน (Ben Barnes) ได้มีบทบาทหลักในการนำเรื่องราวความสนุกตื่นเต้นผจญภัยมาให้กับเด็กๆทั้งสี่คนที่ต้องไปช่วยกอบกู้ดินแดนแห่งนาร์เนียอีกครั้ง หลังจากในภาคแรกที่พวกเขาทั้งสี่ได้เข้าไปค้นพบโลกแห่งนาร์เนียโดยผ่านตู้เสื้อผ้าและปราบแม่มดขาวได้สำเร็จ มาคราวนี้ชาวนาร์เนียได้เรียกให้พวกเขาทั้งสี่กลับไปอย่างที่ไม่ได้ตั้งตัว เพื่อไปช่วยป้องกันจากการบุกและทำลายนาร์เนียให้สิ้นซากโดยชาวเทลมารีน ซึ่งคือพวกมนุษย์นั่นเอง

ในภาคนี้ยังคงได้ผู้กำกับคนเดิมจากนาร์เนียภาคที่แล้วมากำกับซึ่งก็คือ Andrew Adamson (Shrek, Shrek 2) โดยในตัวหนังนั้นมีทั้งความสนุก และตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม ดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ความตึงเครียดและการต่อสู้สงครามดูรุนแรงและป่าเถื่อนยิ่งกว่าเดิม อารมณ์ของภาคนี้จึงดูแตกต่างจาดภาคที่แล้วค่อนข้างมาก ในฉากสงครามมีความอลังการในการสร้างกองทัพนับหมื่นที่สวยงาม ทำให้นึกถึงหนังมหากาพย์อย่าง The Lord of the Rings ได้เลยทีเดียว จุดเด่นของหนังเรื่องนี้มีหลายอย่าง เช่น CG ที่ทำได้เนียนและสวยงามเหมือนเดิม, บทที่ดูเฉือนคมและอีกทั้งยังตลกอย่างมีกึ๋น เพลงประกอบตอนท้ายเรื่องทำให้แอบซึ้งเล็กๆได้เลยทีเดียว จุดบกพร่องที่อาจจะทำให้เบื่อซึ่งก็คือความยาวของหนังซึ่งนานถึง 150 นาที เนื่องจากมีการเกริ่นเรื่องค่อนข้างนาน แต่นั่นคืออารมณ์ที่ผมคิดว่าผู้กำกับต้องการเกริ่นความเปลี่ยนแปลงของนาร์เนียหลังจากภาคที่แล้วซึ่งผ่านไป 1,300 ปีนาร์เนียเท่ากับ 1 ปีของโลกปกติ ซึ่งผมคิดว่า ที่ต้องทำให้เชื่อว่ากาลเวลาผ่านไปยาวนาน เพราะจะได้ทำให้มีสิ่งที่น่าค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เด็กๆทั้งสี่คนไม่อยู่นั่นเอง โดยรวมแล้ว The Chronicles of Narnia: Prince Caspian เป็นหนังภาคต่อแฟนตาซีครอบครัวที่ดูสนุกมากขึ้นกว่าภาคแรก และไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ถึงแม้ผมจะไม่เคยอ่านหนังสือก็ตาม แต่ก็ยังดูสนุกมากๆครับ

***ภาคต่อของ Prince Caspian คือ The Voyage of the Dawn Treader จะไม่ใช่ Andrew Adamson นั่งแท่นผู้กำกับอีกแล้ว*** (แต่ยังคงเป็น Producer) แต่จะเป็น Michael Apted จาก 007 The World is Not Enough, Amazing Grace, Enough ซึ่งไม่รู้ว่า Narnia ภาคต่อไปจะออกมาดีเหมือนเดิมหรือเปล่า...

GRADE B+




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2551    
Last Update : 1 มิถุนายน 2551 0:33:42 น.
Counter : 576 Pageviews.  

Review: Speed Racer



Speed Racer ไอ้หนุ่มสปีดเขย่าฟ้า ภาพยนตร์ที่ใช้ CG ทั้งเรื่องในการทำเป็นหนังแข่งรถสุดมันส์ จากผู้กำกับพี่น้องวาชอว์สกี้ (The Matrix Trilogy) ซึ่งทำออกมาได้สวยงามไร้ที่ติ อีกทั้งดูแล้วได้ความรู้สึกครบรส อบอุ่น มันส์ และฮามากๆกับฉากต่อสู้สุดกวน ซึ่งในช่วงแรกของหนัง หนังได้เล่าเรื่องตัดสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบันอย่างรวดเร็วและเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ระหว่าง สปีด เรเซอร์ ตอนเด็กและปัจจุบัน เป็นการเล่าปูมหลังของตัวละครได้มีสไตล์อย่างมาก หนังเล่าถึงความใฝ่ฝันของ สปีด เรซเซอร์ เด็กหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานกับการเป็นนักแข่งรถเหมือนพี่ชาย เร็กซ์ ให้จงได้ ความทะเยอทะยานที่ต้องการจะทำตามฝัน และด้วยการสนับสนุนจากครอบครัวด้วยแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะมาขัดขวาง สปีดและ มัค 5 รถแข่งคู่ใจของเขาได้ เมื่อสปีดได้เป็นคนดังในหลายสนามแข่ง ก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่ Royalton Industries ติดต่อเข้ามาให้เป็นตัวแทนแข่งรถ ด้วยข้อเสนออันสุดยั่วยวน แต่ด้วยใจที่รักการแข่งรถ มากกว่าการทำธุรกิจ สปีดจึงได้ปฏิเสธข้อเสนอ และทำให้สร้างศัตรูไว้มากมาย สปีดจึงจำเป็นทำทุกอย่าง เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เพื่อเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การแข่งรถให้เป็นไปอย่างยุติธรรม และกู้ศักดิ์ศรีของนักแข่งรถขึ้นมาด้วยใจนักแข่งที่รักการแข่งรถอย่างแท้จริง

หลากหลายฉากในเรื่องนี้ที่น่าสนใจก็คือการแข่งรถด้วยความเร็วสูง ทั้งอันตรายและบ้าคลั่งในสนามอันสุดโหด ทำให้ลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลา ด้วยการตัดต่อรวดเร็วฉับไว สุดเร้าใจในทุกวินาที ผู้พากษ์การแข่งรถในสนามก็มีหลากหลายภาษาที่คอยเอาใจช่วยนักแข่งรถ ตัดสลับกันไปมา แต่หนังก็มีช่วงที่ช่วยให้คนดูผ่อนคลายจากความตรึงเครียดไปบ้าง ด้วยการตัดสลับกับ สไปเทิล และลิงชิมแปนซีคู่หูจอมกวน ซึ่งเป็นอะไรที่ขโมยซีนได้ดีทีเดียว และเอาใจเด็กๆให้หายจากความตึงเครียดในสนามแข่งรถอีกด้วย อีกทั้งยังมีฉากการต่อสู้ที่ฮาประทับใจผมเป็นอย่างมาก ด้วยการต่อสู้ระหว่างนินจาหรือ กลุ่มมาเฟียอาวุธครบมือ ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ซึ่งสู้กับคนในครอบครัวเรซเซอร์ไร้อาวุธ และแต่ละคนมีวิธีการต่อสู้ได้เท่ห์ผสมมั่วดีแท้ จึงเกิดความบ้าอลหม่าน และฮาอย่างบอกไม่ถูก ผสมผสานเทคนิค CG และการตัดต่อแบบเท่ห์ๆเข้าไปอีก ทำให้ดูมีสไตล์ได้สุดๆกันไปเลย หนังตัดต่อได้รวดเร็ว อาจทำให้รายละเอียดบางอย่างแทบจับไม่ค่อยทัน เพราะสีสันในเรื่องนี้สดทุกสีดีจริงๆ ตอนแรกก็กลัวว่าจะดูแล้วมึน เพราะสีสันสดและความเร็วของภาพที่ตัดอย่างไว แต่พอดูไปแล้วก็เริ่มชอบขึ้นเรื่อยๆ หนังใช้เพลงประกอบที่ประพันธ์โดย Michael Giacchino ผู้ประพันธ์ที่เคยทำเพลงประกอบเรื่อง Rattatouille (เข้าชิงออสการ์เพลงประกอบ score ปีล่าสุด), The Incredibles, Mission Impossible III ทำออกมารู้สึกยิ่งใหญ่อลังการดี และเพราะมากกับเพลงธีมของ Speed Racer ที่นำมาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นปี 2008 นักแสดงในเรื่องนี้แสดงกันได้ดีทุกๆคน อีกทั้งยังได้ เรน นักร้องดังจากแดนโสม มาแสดงเป็น เทโจ โทโกคาห์น ซึ่งแสดงได้สมบทบาทดี สำเนียงอังกฤษพูดได้คล่องใช้ได้เลย แต่เสียดายที่ออกมาไม่น้อยไปนิด ความสำคัญของตัวละครนี้ดูเบาไปหน่อย แต่เนื้อหาของเรื่องก็ยังดูโอเค

ผมอาจจะไม่คุ้นกับการ์ตูน Speed Racer มากนัก เพราะจำไม่ได้แล้วว่าตอนที่ดูการ์ตูนรู้สึกยังไง แต่หนังเรื่องนี้ก็มาย้ำความทรงจำอีกทีว่าเป็นการ์ตูนที่ดูสนุกอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นหนังครอบครัวผจญภัยที่มันส์มากๆ และอบอุ่นในเวลาเดียวกัน ได้ข้อคิดและความเพลิดเพลินเต็มอิ่ม ซึ่งหลังจากสร้างประสบการณ์ในโลกแห่ง Matrix ให้กับคนทั่วโลกมาแล้ว นี่ถือว่าเป็นการกลับมาของพี่น้องวาชอว์สกี้ ได้ยอดเยี่ยมอีกเรื่องเลยทีเดียว และอาจเป็นหนังฮิตประจำซัมเมอร์ปี 2008 ก็เป็นได้

GRADE A






 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2551 20:18:05 น.
Counter : 842 Pageviews.  

Review: ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น



ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ภาพยนตร์รักวัยใส 4 สไตล์ จากค่ายหนังอารมณ์ดี GTH เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงความรัก 4 รุ่น ที่จี๊ดโดนใจมากๆ เริ่มด้วยที่ รักต้องแย่ง ระหว่าง พุ-ไม้-นานา เด็กมัธยม พุและไม้ซึ่งได้เจอกับเพื่อนเก่าที่ชื่อ นานา และทั้งสองคนต้องการที่จะจีบนานา โดยที่แบ่งกันจีบคนละวัน สำหรับ รักต้องแย่ง เป็นตอนที่ค่อนข้างสนุกพอสมควร และบทเสี่ยวๆของการจีบสาวก็มีให้ได้ฟังกันจนอ้วกกันไปเลยทีเดียว ถามว่าฮามั้ย มันก็ไม่เชิง เพราะมุขมันเสี่ยวมากมาย แต่ก็ดีที่ตอนนี้เป็นตอนที่เปิดเรื่อง และจบเรื่องได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว

ในตอนของ รักนอกใจ คือคู่ระหว่าง เหิร - นวล - อาโออิ ซึ่งเป็นความรักของคนวัยรุ่นกำลังเข้าสู่วัยทำงาน ความรักที่อยู่กันมานานหลายปี แต่อาจจะพังทลายลงเมื่อในเรื่องของการโกหกหลอกลวง ความไม่ซื่อสัตย์ต่อคนรักของเรา เข้ามาเกี่ยวข้อง นวลซึ่งเดินทางไปฝึกงานที่จังหวัดตรัง หลังจากนั้น เหิรก็เดินทางตามไปเพื่อที่จะไปเซอร์ไพรซ์ในวันครบรอบที่คบกัน แต่ระหว่างทาง สาวสวยญี่ปุ่น อาโออิ ก็ทำให้ เหิร เปลี่ยนใจที่จะไปเที่ยว Full Moon Party กับอาโออิ เพราะความสวย sexy ที่เหิรชอบมานานแสนนาน เหิรจึงโกหกนวลไปตลอดทาง แต่ระหว่างนั้นเองความจริงก็ถูกเปิดเผลให้นวลรู้อย่างไม่ได้ตั้งใจ ความรักและซื่อสัตย์เป็นเหมือนกับความรักที่มั่นคง แต่ถ้าความไม่ซื่อสัตย์ต่อคนรัก อาจส่งผลร้ายและทำให้ความรักพังทลาย แต่ถ้าเรากลับมาซื่อสัตย์และพูดความจริงต่อคนรักของเราอีกครั้ง เธออาจจะโอกาสแก้ตัวสักครั้ง และความผิดที่เกิดจากกิเลสของตัวเอง เราก็อาจชนะมันสักวันก็เป็นได้

ในตอนของ รักเกินเอื้อม เป็นตอนที่ดูแล้วอินทีสุดแล้วสำหรับผม คือคู่ระหว่าง โอ๋เล็ก กับ นักร้องชาวไต้หวันชื่อดังนามว่า ตี่ตี๋ ซึ่ง โอ๋เล็กเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ ตี่ตี๋ ฟังเพลงและร้องเพลงของตี่ตี๋ ได้ทุกเพลง ด้วยความบ้านักร้องและหวังว่าสักวันจะได้คุยและร้องเพลงตี่ตี๋ได้ถูกต้อง โอ๋เล็กจึงไปสมัครเรียนภาษาจีนที่วัดจีน และมีความใฝ่ฝันว่าจะได้ไปคอนเสิร์ตและร้องเพลงร่วมกับตี่ตี๋สักครั้ง ตอนนี้เป็นตอนที่ดูแล้วสมหวังมากที่สุดแล้ว และคงเป็นตอนที่น่าจะเกิดขึ้นกับทุกคนมาแล้วกับความบ้าดาราหรือนักร้อง เป็นตอนที่ดูแล้ว คอยเอาใจช่วย โอ๋เล้ก อยู่ตลอด เพราะความชอบไม่เข้าใครออกใคร เราอาจจะบ้าซะจน คนรอบข้างเห็นเราเป็นตัวประหลาดเลยก็เป็นได้ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันก็เป็นแค่ระดับของ ความรัก ว่ามากน้อยเพียงใด ไม่ใช่เหรอ คนที่ไม่เคยมีรักในรูปแบบต่างๆ ก็ไม่เคยได้รู้ถึงความรู้สึกนั้นหรอกว่าเป็นอย่างไร

ความรักทั้ง 4 รูปแบบ ที่มีทั้ง สุข ทุกข์ เศร้า ดีใจ ก็เป็นอะไรที่สอนวัยรุ่นอย่างเราๆได้ว่า ความรักไม่ได้อยู่แค่ช่วงเวลาๆหนึ่ง แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันกับทุกๆคนตลอดเวลานั่นเอง...
GRADE B+




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 3 พฤษภาคม 2551 1:14:19 น.
Counter : 1141 Pageviews.  

Review: สี่แพร่ง



สี่แพร่ง ภาพยนตร์สั้น 4 เรื่องราวของความกลัว 4 รูปแบบจาก 4 ผู้กำกับคน ทำหนังออกมาได้สยองคนละแบบ แตกต่างกันไปคนละอารมณ์ โดยรวมในเรื่องราวทั้ง 4 เรื่องนั้นถือว่าทำออกมาได้ระทึกได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่ดูธรรมดาไม่แปลกใหม่ และหนึ่งในนั้นเกือบที่จะเลียนแบบหนังฮอลลีวู้ดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังเรื่องนั้นดูไม่สนุกเลยนะครับ ยอมรับว่าทำออกมาได้ดีมากทั้ง 4 เรื่องเลยล่ะ โดยเฉพาะเรื่องเที่ยวบิน 224 นี่ ผมชอบมากเลยล่ะ...

แพร่งที่ 1: เหงา (Happiness) - Grade A-
เหงา กำกับโดย ยงยุทธ ทองกองทุน (แก๊งชะนีกับอีแอบ) ผู้ที่ไม่เคยได้แตะต้องหนังสยองขวัญแบบนี้มาก่อน ทำออกมาได้ถือว่าเป็นอะไรที่บีบคั้นอารมณ์กลัวได้สุดๆ แล้วปล่อยออกมาตู้มเดียวจนคนดูจะช็อคตายคาโรงได้เลยทีเดียว ถือว่าสุดยอดมากๆครับ บทพูดก็ไม่มีเลย มีแต่ข้อความสนทนาทาง sms นั่นแหละที่แทบจะอ่านไม่ค่อยทัน (ตัวหนังสืออ่านยากเล็กน้อย)

แพร่งที่ 2: ยันต์สั่งตาย (Tit For Tat) - Grade C+
ยันต์สั่งตาย กำกับโดย ปวีณ ภูริจิตปัญญา (บอดี้ศพ#19) จากการโชว์เหนือด้าน CG ให้กับเรื่องบอดี้ ครั้งนี้กลับมาโชว์เหนือ CG กับพลังมนต์ดำกับการเล่นของ และใช้มุมกล้องที่สั่นไหวไปมา ด้วยความเท่ห์ของภาพ ทำให้ดูเวียนหัวเล็กน้อยถึงปานกลาง ถึงแม้จะทำภาพให้เป็นแบบนั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้หนังดูระทึกไปมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่ถึงยังไงผมก็ชอบตอนจบของเรื่องนี้ที่สุดแล้วล่ะนะ

แพร่งที่ 3: คนกลาง (Middle) - Grade B
คนกลาง กำกับโดย บรรจง ปิสัญธนะกูล (ชัตเตอร์,แฝด) เป็นหนังที่มีบทตลกที่สุดจากทั้ง 4 เรื่อง ถึงแม้จะเป็นหนังสยองขวัญแต่ก็ทำให้ทุกคนหัวเราะได้มากกว่าครึ้งเรื่อง ความน่ากลัวยังคงอยู่ แต่ความระทึกลดน้อยลง อีกทั้งเรื่องนี้ยังมีคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นในแต่ละคน ที่ถือว่าดีมากๆ ชอบตรงจุดนี้แหละ แต่ตอนจบนั้นไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ...เหมือนจะเลียนแบบฮอลลีวู้ดได้เนียนดีนะ

แพร่งที่ 4: เที่ยวบิน 224 (Last Fright) - Grade A
เที่ยวบิน 224 กำกับโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ (ชัตเตอร์,แฝด) เป็นหนังที่เล่นกับสถานการณ์ และสถานที่ที่ถูกบีบบังคับให้อยู่ที่ที่หนึ่ง ทำให้มีความน่ากลัวและความกดดันสูง บวกกับความระทึกของเรื่องนี้ที่มีอยู่มาก อีกทั้งยังให้เหตุการณ์เกิดขึ้นบนเครื่องบินที่ไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้ เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าดีที่สุดแล้วจากทั้ง 4 เรื่อง ด้วยมุมกล้อง บทสนทนา และนักแสดงที่มีคุณภาพ พลอย เฌอมาลย์ ก็แสดงได้ยอดเยี่ยม ถือว่าเป็นการปิดหนังเรื่อง สี่แพร่ง ได้ดีมากๆเลยทีเดียว

โดยรวมแล้ว สี่แพร่ง เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การดูในโรงภาพยนตร์อย่างยิ่ง หลากหลายอารมณ์ความกลัวที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ดูสนุกหลากหลายรสชาติดี แต่สี่แพร่งยังมีเนื้อเรื่องที่ดูธรรมดา ความแปลกใหม่ของเนื้อเรื่องยังมีน้อย แต่เรื่องนี้ถือว่ามีมาตรฐานสากลโกอินเตอร์ได้เลยล่ะครับ




 

Create Date : 29 เมษายน 2551    
Last Update : 29 เมษายน 2551 0:18:53 น.
Counter : 683 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

OaterALMIGHTY
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Live my Life as a Movie.
Friends' blogs
[Add OaterALMIGHTY's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.