20 อันดับผักผลไม้ล้างพิษ (ที่หาได้ง่าย ๆ)
1. กล้วยน้ำว้า
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย 2. แอปเปิ้ล ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็กและไมเกรนในผู้ใหญ่ได้ 3. ผักตำลึง ผักตำลึงเป็นผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพง ตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย 4. กระหล่ำ เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย 5. กระเทียม คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป อาจก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย 6. ส้มโอ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียมและฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการแก้อาการเมาค้าง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด มีกรดอินทรีย์ ขับลมในกระเพาะอาหาร รสขมของส้มโอให้สารเพคตินสูงช่วยในการขจัดไขมันสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง 7. มะเขือพวง มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย 8. แครอท เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (Alpha and Beta-carotene) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น 9. ถั่วต่าง ๆ (เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก 10. ทับทิม การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น 11. กระเจี๊ยบ น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้ 12. มะนาว เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษ และทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย 13. หัวหอม ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่ 14. สาหร่าย เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่าง ๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก 15. มะเขือเทศ ในมะเขือเทศมีส่วนประกอบสำคัญคือ lycopene ซึ่งเป็น carotenoid ที่ไม่มี provitamin A activity มะเขือเทศช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจได้ ช่วยเสริมฤทธิ์ต้านมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจเชื่อว่าเกิดจากการมี lycopene ไปปรับการทำงานของระบบฮอร์โมน และภูมิคุ้มกัน ตลอดจนกระบวนการ เมตาบอลิสั่มภายในร่างกาย ในคนสุขภาพดีที่บริโภค lycopene ในรูปของน้ำมะเขือเทศและซอสมะเขือเทศเป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบว่ามีระดับ oxidized LDL ต่ำลง มีคุณสมบัติลดระดับ cholesterol ในเลือด การบริโภคมะเขือเทศลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งในช่องปากและกล่องเสียง, หลอดอาหาร, ลำไส้, เต้านม และรังไข่ และมีการศึกษาหลายการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการบริโภคมะเขือเทศลดการทำลาย DNA ในเม็ดเลือดขาวและต่อมลูกหมากได้ 16. ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษ มีสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิกอันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดที่สุก จึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น. 17. ผักคะน้า เป็นผักที่มีวิตามินหลายชนิดเช่น เบต้า-แคโรทีนถึง 186.92ไมโครกรัม/100 กรัม ซึ่งเป็นสารตัวหนึ่งของวิตามินเอ มีคุณสมบัติ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากจะมีเบต้า-แคโรทีนแล้ว ผักคะน้ายังมีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแคลเซี่ยมช่วยเสริมสร้างกระดูกอีกด้วย 18. ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซี เหนือกว่าส้ม 5 เท่า มีแคลเซียมเป็นปริมาณสูง อีกทั้งยังเป็นแหล่งของวิตามินเอและบี กรดนิโคตินิก ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม เหล็ก โฟเลต และให้ปริมาณกากใยสูง โดยที่มีไขมันต่ำและให้พลังงานแค่เพียงผลละ 25 แคลอรีเท่านั้น น้ำฝรั่งคั้นยังมีสรรพคุณทางยาช่วยบรรเทาการอักเสบ และที่เหมาะกับท่านหญิงทั่วไป ก็คือ เป็นตัวหลักช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้มาก. 19. ใบบัวบก ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ นอกจากนี้ ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยเร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่ 1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง 2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ 3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก 4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ 5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น 20. ผักกาดหอม เป็นผักสุขภาพแนวหน้า เพราะมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินซีสูง ยังให้ฮีโมโกลบิน จึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง โดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์จะช่วยป้องกันโรคโลหิตจางได้อย่างดี ผักกาดหอมมีแคลอรี่ต่ำมาก ขณะเดียวกันก็มีเลซิทินสูงซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย รั ก ษ า สุ ข ภ า พ ด้ ว ย อ า ห า ร ต้ า น โ ร ค
โรคโลหิตจาง
ควรรับประทานวิตามินบี 12 มากๆ แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 คือ นม เนยแข็ง ปลาชนิดต่างๆ และเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ โรคผิวหนังอักเสบ โรคนอนไม่หลับ โรคขนร่วง หมั่นรับประทานอาหารที่มีไบโอตินมากๆ แหล่งอาหารที่มีไบโอตินมากๆ ก็คือ ตับ ถั่ว ยีสต์ โรคโลหิตจาง โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ โรคตะคริว โรคผิวหนังอักเสบ ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง จะช่วยต้านโรคดังกล่าวได้ แหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง คือ ข้าวโพด นม ถั่วเหลือง ไข่ ปลา ข้าวสาลี โรคเหนื่อยง่าย เฉื่อยชา โรคตาแดง โรคริมฝีปากอักเสบ โรคผิวพรรณเป็นตุ่ม หมั่นรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 2 จะช่วยต้านได้ แหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 2 คือ ตับ ไข่แดง นม เนยแข็ง ผักบุ้งฝรั่ง ถั่วหมัก เนื้อสัตว์ต่างๆ และไข่ปลา โรคเหน็บชา โรคอาการประสาท (ฉุนเฉียวง่าย) ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 คือ ถั่วลิสง สาหร่ายทะเล ตับ ถั่วหมัก ถั่วแระ กระเทียม เต้าหู้ เนื้อหมู ข้าวซ้อมมือ รำข้าว โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเฉื่อยชาไม่กะปรี้กะเปร่า ต้องรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีมากๆ แหล่งอาหารที่มีวิตามินซี คือ ดอกกะหล่ำ พริกหยวก มะเขือเทศ สตรอเบอร์รี่ ส้ม มะนาว ผลไม้ต่างๆ โรคภูมิต้านทานโรคต่ำ โรคตาบอดกลางคืน โรคผิวหนังแห้ง ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูง เพื่อให้วิตามินเอ ช่วยถนอมเยื่อบุหลอดลมและอวัยวะย่อยอาหาร แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ คือ ตับ ไข่แดง เนย แครอท ฟักทอง สาหร่าย ผักสีเขียว และผักสีเหลือง โรคกระดูกอ่อน หมั่นรับประทานวิตามินดีเป็นประจำ เนื่องจากวิตามินดีมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดี คือ ตับ เห็ดหอม ปลาทูน่า ปลาแห้งต่างๆ โรคผิวพรรณแตกแห้งได้ง่าย เกิดจุดด่างดำได้ง่ายและแพ้อากาศ รับประทานวิตามินอีมากๆ จะช่วยต้านโรคเหล่านี้ได้ เพราะวิตามินอีมีคุณสมบัติคือ ช่วยบำรุงระบบโลหิตให้ไหลเวียนได้ดี แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี คือ ตับ ไข่แดง นม ถั่วลิสง เนื้อหมู เนื้อวัว ผักบุ้ง โรคสมอง (ในเด็ก) หมั่นรับประทานวิตามินเค ที่สามารถจะทำให้เลือดแข็งตัวได้ดีหากเกิดบาดแผล แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเค คือ ตับ เนย ผักชีฝรั่ง สาหร่าย ทะเล กะหล่ำปลี โสม ผักบุ้ง ถั่วหมัก โรคนิ่ว สามารถต้านโรคนิ่วด้วยการรับประทานรำข้าวเป็นประจำ เนื่องจากในรำข้าวนั้นมีโปรตีนที่จะช่วยลดการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ หากไม่สะดวกในการรับประทานรำข้าวละเอียด ควรนำมาดัดแปลงเป็นขนมหรืออัด หมั่นรับประทานข้าวซ้อมมือเสมอๆ ก็จะช่วยต้านโรคนิ่วได้ โรคปวดท้อง อาการปวดท้องที่มีเป็นประจำเรื้อรังจนเสมือนโรคประจำตัวนั้นสามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานผลไม้สดมากๆ และผักสดทุกชนิดเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะตับสัตว์และนม โรคเล็บเปราะ รับประทานตับสัตว์ มันฝรั่ง ข้าวซ้อมมือ ให้มากๆ ช่วยต้านโรคเล็บซีด เล็บเปราะและสามารถบำรุงรักษาให้เล็บมีสุขภาพที่ดีขึ้นมาได้สวยงามทีเดียว โรคผิวหนังไม่นุ่มนวลสดชื่น หมั่นรับประทาน ไข่ นม เนย ตับสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลันเตา ถั่วแขก มะละกอ ฝรั่ง มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน ถั่วงอก อาหารเหล่านี้จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น ไม่แห้งกร้านได้ดีเยี่ยม โรคเบื่ออาหาร อาหารที่สามารถขจัดโรคนี้ได้อย่างดีที่สุดก็คือ ไข่ อาหารทะเล ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ตำลึง ผักบุ้ง ฟักทอง ถั่วงอก เนย คาร์โบไฮเดรต เส้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ มักกะโรนีและสำหรับผลไม้ที่ดีคือ มะละกอ ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ กล้วย และเนื้อสัตว์ โรคไร้เรี่ยวแรง คนที่ไม่ค่อยมีกำลังวังชาหรือเพิ่งฟื้นจากผ่าตัดหรือฟื้นจากอาการเจ็บป่วย จะสามารถมีเรี่ยวแรงกะปรี้กะเปร่ามีเรี่ยวแรงสดชื่นได้ ด้วยอาหารเป็นต้นว่า ตำลึง ผักบุ้ง ผักคะน้า ไข่แดง เนื้อวัว เนื้อไก่ เป็ด น้ำ โรคเกี่ยวกับกระดูกและฟัน แน่นอนควรที่จะรับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมมากๆ หมั่นรับประทานให้ได้ทุกวันทุกมื้อได้ยิ่งดี จะช่วยต้านโรคนี้ได้ แหล่งอาหารที่ดีที่สุดคือ ตำลึง ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง สะเดา ยอดแค ใบยอ นม ตับสัตว์ ปลาตัวเล็กๆ กุ้ง รวมทั้งกุ้งแห้งด้วย โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคมะเร็ง หมั่นรับประทานหน่อไม้ฝรั่งมากๆ เพราะหน่อไม้อุดมไปด้วยไฮโดรคาร์บอนและโปแตสเซียม ในหน่อไม้ฝรั่งมีแต่กากใย ไม่มีไขมัน กล้วย อุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี โปแตสเซียม เส้นใยอาหาร ไขมันต่ำ แอปเปิล มีคาร์โบไฮเดรตและกากอาหาร เหมาะสำหรับลดน้ำหนัก ไม่อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรงช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้อีกด้วย ดอกกะหล่ำ ไขมันต่ำโปแตสเซียมสูง กะหล่ำปลี อุดมไปด้วยวิตามินเอ แคลเซียม โปแตสเซียม ถั่วฝักยาว มีวิตามินบีสูง และธาตุเหล็กสูง ช่วยลดความเครียดได้อย่างดีเยี่ยม ![]() ที่มา - สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เก็บข้าวสารไม่ให้แมลงมารบกวน
![]() ข้าวสารเป็นอาหารหลักของคนไทย ซึ่งทุกคนทุกครอบครัวต้องรับประทานข้าว อาจจะซื้อข้าวสารมาตุนไว้จำนวนมาก มักจะเจอกับปัญหา คือ... มอดและแมลงรบกวน โดยเฉพาะมดตัวเล็กตัวใหญ่ แม้ว่าคุณแม่บ้านจะเก็บไว้ในที่ปลอดภัยมีฝาปิดมิดชิด แต่มดตัวเล็กก็พยายามเล็ดลอดเข้าไปได้ สังเกตได้จากเวลาหุงจะเห็นมดลอยอยู่ในน้ำเป็นจำนวนมาก ล้างก็ไม่หมด วิธีป้องกัน วิธีที่ 1 ให้นำใบมะกรูดเด็ดทั้งใบไม่ต้องเอาก้านออก ใส่ในถังข้าวสาร 4 - 5 ใบ ถ้าข้าวมากก็ใส่มากหน่อย แต่ต้องคอยเปิดดูถ้าใบมะกรูดเริ่มแห้งหมดกลิ่นก็เปลี่ยนเอาใบใหม่ใส่ลงไป วิธีที่ 2 ให้นำพริกสดมา 7 - 8 เม็ด ผ่าเอาเมล็ดออกให้หมด ให้เหลือแต่เปลือก นำไปใส่ไว้ในถังข้าวสาร ก็ป้องกันได้เช่นกัน วิธีที่ 3 ส่วนข้าวกล้องซื้อมาแล้วให้นำเข้าตู้เย็นในช่องธรรมดาเก็บไว้สัก 5 - 6 วัน ค่อยนำมาไว้ข้างนอกก็จะช่วยได้ วิธีที่ 4 ใช้โรยเกลือป่น อัตราข้าวกล้อง 1 กิโลกรัม ใช้เกลือ 1 ช้อนชา ก็สามารถป้องกันได้หมด ทั้งมด มอด แมลง ขอบคุณข้อมูล : หนังสือเคล็ดลับครัวไทย ประโยชน์จากน้ำผึ้ง-หวานเป็นยา
![]() น้ำผึ้งมีสรรพคุณที่มีมูลค่าเพิ่มและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย นพ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล เขียนคอลัมน์ แพทย์แผนจีน ลงในเว็บไซต์มูลนิธิหมอชาวบ้าน โดยอ้างถึงคัมภีร์ชื่อ เปิ่น-เฉา-กัง-มู่ ที่เขียนโดย หลี่สือเจิน ว่ามีการกล่าวถึงความแตกต่างของน้ำผึ้งที่ได้จากเกสรดอกไม้ชนิดต่าง ๆ กัน ทำให้มีสรรพคุณแตกต่างกันด้วย เช่น น้ำผึ้งจากเกสร ดอกลำไย บำรุงและเลือด บำรุงสมอง ช่วยความจำ ทำให้นอนหลับ น้ำผึ้งจากเกสร ดอกลิ้นจี่ แก้กระหาย กระตุ้นน้ำลาย บำรุงหัวใจและไต น้ำผึ้งจากเกสร เบญจมาศป่า ขับร้อนขับไฟ ขับลมแก้พิษ น้ำผึ้งจากเกสร อบเชยป่า ขับร้อนกระตุ้นความอยากอาหาร บำรุงม้าม บำรุงประสาท น้ำผึ้งจากเกสรของ ส้ม ลดบวม-ขับพิษ แก้กระหายน้ำ คำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานน้ำผึ้ง ได้แก่ 1. ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าดื่มโดยผสมน้ำอุ่น จะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร และทำให้กรดในกระเพาะอาหารเจือจาง ลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ถ้าดื่มโดยผสมน้ำเย็นจะมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร รวมทั้งกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้กระตุ้นการถ่ายอุจจาระ 2. ควรดื่มหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง เพราะการดื่มหลังอาหารทันที จะทำให้มีการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดให้สูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก อีกทั้งจะเป็นการกระตุ้นน้ำย่อยกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้นอีก 3.ควรดื่มก่อนนอน เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง และนอนหลับยาก ที่มา วิชาการ.คอม ---- ผศ.พิชัย คงพิทักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชากีฏวิทยาคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับคุณค่าของน้ำผึ้งว่า มีคุณค่านับไม่ถ้วน เช่น คุณค่าทางอาหาร เป็นอาหารที่สะอาด ปลอดจากจุลินทรีย์ต่าง ๆ น้ำตาลในน้ำผึ้งจะถูกนำไปเผาผลาญเป็นพลังงานและความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย บำรุงร่างกายและสมองให้แข็งแรง สดชื่นแจ่มใส น้ำผึ้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 303 แคลอรี รับประทานในช่วงที่ต้องการ หรือ 1/2-1 ช้อนโต๊ะตอนเช้าและก่อนนอนทุกวัน และ หากใช้น้ำผึ้งดองกล้วยน้ำว้า ทิ้งไว้ 1 เดือน ใช้เป็นยาอายุวัฒนะได้ คุณค่าทางยาฆ่าจุลินทรีย์และเชื้อต่าง ๆ ได้ โดยน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง มีแรงดูดซึม ทำให้จุลินทรีย์ที่ตกลงในน้ำผึ้งเหี่ยวตาย เมื่อเอาน้ำผึ้งมาละลายน้ำ กรดที่มีใน น้ำผึ้งแสดงปฏิกิริยาได้และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้น สามารถฆ่าจุลินทรีย์ได้ด้วย น้ำผึ้งถูกนำไปใช้ในการฆ่าเชื้อโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวอียิปต์ใช้น้ำผึ้งแช่ศพกันเน่าเปื่อยได้ ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ คุณค่าทางการรักษาโรค มีสรรพคุณแก้ท้องผูก เอนไซม์ในน้ำผึ้งจะช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี ขนาดที่ใช้ 1 ช้อนโต๊ะรับประทานก่อนนอน และ คุณค่าในส่วนผสมยาสมุนไพรหลายชนิด สามารถใช้รักษาโรคต่าง ๆ ได้ เช่น แก้ไอ เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ นอกจากน้ำผึ้งจะใช้รักษาโรคแล้วยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องสำอางรักษาผิวให้นุ่มนวลสวยงาม ที่มา - เดลินิวส์ ---- ศาสตราจารย์โรงเรียนแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ แจ้งว่า ได้ทดลองใช้น้ำผึ้งรักษาแผลเปื่อยเหตุเบาหวานที่ขาได้ผลดี ช่วยให้คนไข้ไม่ต้องตัดขาทิ้งมาเกือบ 6 รายแล้ว ศาสตราจารย์แพทย์หญิงเจนนิเฟอร์ เอดดรี กล่าวแจ้งว่า ได้เริ่มการ ทดลอง ใช้น้ำผึ้งราดรดแผลเปื่อยที่ขาของคนไข้โรคเบาหวานให้เป็นชั้นหนา หลังจากที่ลอกผิวหนังที่ตาย และกวาดล้างแบคทีเรียออกหมดสิ้นแล้ว น้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นกรด สามารถฆ่าแบคทีเรียได้ โดยไม่ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน มันจะมีผลสำคัญต่อปัญหาสุขภาพของโลกได้อย่างมหาศาล หมอเจนนิเฟอร์อธิบายว่า โรคเบาหวานทำให้โลหิตไหลเวียนไม่ได้ สะดวก จึงทำให้การต่อสู้กับการติดเชื้อได้น้อยลง แผลเปื่อยเหตุเบาหวานจึงรักษาได้ยาก จนทุกวันนี้แทบจะเป็นเหตุให้ทั่วทั้งโลกมีการผ่าตัดอวัยวะออกทิ้ง เกือบจะทุกๆ 30 วินาที หากว่าเราสามารถพิสูจน์ได้ว่า น้ำผึ้งช่วยรักษาแผลเปื่อยเหตุเบาหวานได้ เท่ากับเราหยิบยื่นความหวังใหม่ให้กับคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก ไม่แต่เพียงประโยชน์จากเงินทองที่ต้องเสียไป ยังปัญหาการดื้อด้านของพวกแบคทีเรียอีกด้วย มันจึงเป็นคุณอย่างมหาศาล ที่มา - ไทยรัฐ ยาอายุวัฒนะจากเห็ดหอม
เห็ดหอม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lentinus edodes ชาวญี่ปุ่นเรียกเห็ดหอมว่า Shii-ta-ke นิยมทานเห็ดหอมกันมาก เพราะมีกลิ่นหอมรสชาดอร่อย คุณค่าทางอาหารดี มีวิตามินหลายชนิด เช่นวิตามิน B1 (thiamine) วิตามิน B2 (riboflavin) และวิตามิน D มากเป็นพิเศษ ชาวเอเชียเชื่อกันมาแต่โบราณแล้วว่าเห็ดหอมเป็นยา
อายุวัฒนะ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยชะลอความชราได้ ความเชื่อดังกล่าวมิใช่เป็นเรื่องลอยๆ นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยค้นคว้าเรื่องเห็ดหอมอย่างกว้างขวาง ได้หลักฐานสนับสนุนว่าเห็ดหอมมีประโยชน์มาก เมื่อร่างกายคนเรามีอายุมากขึ้น เส้นเลือดจะแข็งขึ้นเรื่อยๆ และแคบเข้า สารจำพวกไขมันที่เรียกว่า Cholesterol ในเลือดมีส่วนทำให้เส้นเลือดแข็งและอุดตัน ในสภาพเช่นนี้เลือดไหลไม่สะดวก เนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆ จะได้รับอาหารน้อยลง เป็นผลให้เกิดการเสื่อมสภาพหรือเกิดโรคได้ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเพาะเส้นเลือดเข้าหัวใจแข็ง โรคเกี่ยวกับสมองเพราะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองแข็ง เป็นตัวอย่างของโรคที่ทำให้คนตายได้มาก ดังนั้น ถ้าเราสามารถป้องกันหรือชะลอการแข็งตัวและการอุดตันของเส้นเลือดได้ ก็จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายไม่แก่และไม่ตายเร็ว สืบเนื่องจากมีผู้ทดลองให้หนูกินเห็ดหอมแล้วพบว่า Cholesterol ในเลือดลดลง ก็ได้มีผู้วิจัยเรื่องนี้กันมาก มีการทดลองเลี้ยงหนูด้วยเห็ดหอมแห้ง พบว่า cholesterol ในเลือดลดลง และยังทดลองเลี้ยงด้วยเห็ดแห้งชนิดอื่นๆ อีก เช่น เห็ดแชมปิยอง (Agaricus bisporus) และเห็ดหูหนู (Auricularia polytricha) ซึ่งก็ลด cholesterol ได้โดยเห็ดแชมปิยองลดได้ดีกว่าเห็ดหูหนู ผู้วิจัยได้สกัดสารจากเห็ดหอมทำให้บริสุทธิ์ หาสูตรได้เป็น C9H11O4N5 มีคุณสมบัติลด cholesterol (Hypocholesterolemic effect) ต่อมามีผู้เรียกชื่อสารนี้ว่า ERITADENINE และมีการทดลองสนับสนุนคุณสมบัติของสารนี้กับหนูอีกมาก สถาบันทางโภชนาการของญี่ปุ่นเพ่งเล็งความสนใจมาที่เห็ดหอม จึงได้ทดลองกับคนได้ผลน่าพอใจว่า หญิงสาวที่ทานเห็ดหอมสด 90 กรัม ทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์ จะทำให้ cholesterol ในเลือดลดลง 12 % ถ้ารับประทานเป็นเห็ดหอมแห้ง 9 กรัมต่อวัน cholesterol ลดลง 7 % เมื่อทดลองกับคนอายุ 60 ปี พบว่า cholesterol ลดลง 9 % หลังจากทานเห็ด 1 อาทิตย์ การที่มี cholesterol ในเลือดสูงอาจทำให้เกิดนิ่วชนิดหนึ่งในถุงน้ำดีที่เรียกว่า cholesterol stone จึงมีการศึกษาผลของ Eritadenine ต่อไขมันในน้ำดีซึ่งออกมาจากตับพบว่า เมื่อให้ Eritadenine กับคนไข้ระดับ cholesterol สูงลดลงหลังจาก 7 วัน และมี bile acid สูงขึ้นทำให้ cholesterol ละลายดีขึ้น ดังนั้นการให้ Eritadenine เป็นประจำทุกวันควรมีประโยชน์ในการป้องกันนิ่วชนิดนี้ ในปัจจุบันถึงแม้ว่า วิทยาศาสตร์และการแพทย์จะก้าวหน้าไปมากเพียงใด ก็ยังไม่สามารถเอาชนะโรคร้ายชนิดหนึ่งได้คือโรคมะเร็ง ทำให้ผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก เซลล์มะเร็งอาจเกิดขึ้นในร่างกาย หรือโดยถูกกระตุ้นจากสารเคมี ไวรัส หรือฉายรังสี การรักษาโรคมะเร็งแบ่งได้เป็น 3 วิธีคือการผ่าตัด การฉายรังสี และการใช้สารเคมี คือยาต่างๆ ยาที่รักษาโรคมะเร็งมีผลโดยตรงต่อเซลล์มะเร็ง แต่มักจะมีอันตรายต่อเซลล์ ปกติด้วย โดยเฉพาะไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังมาก ในบางกรณีร่างกายคนเราสามารถระงับมะเร็งได้เอง การรักษามะเร็งโดยเพิ่มความต้านทานในร่างกายจึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า เพื่อช่วยให้เข้าใจถึงการทำงานของสารที่สกัดจากเห็ดหอม จึงขอทบทวนถึงขบวนการต่อต้านเนื้องอกหรือมะเร็งในร่างกาย (defense mechanism ) แบ่งได้เป็น 2 แบบคือ การสร้างสาร interferon และการสร้างภูมิต้านทาน Interferon คือสารจำพวกโปรตีน มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ สร้างขึ้นโดยเซลล์หลายชนิดในร่างกาย เมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น ไวรัส หรือสารสังเคราะห์พวก double stranded polyribonucleotides อาจชักนำให้เกิดการสร้าง interferon ได้ทั้งในสิ่งมีชีวิตและในหลอดทลอง interferon จะทำการป้องกัน viral infection ทั่วไป รวมทั้งที่ทำให้เกิดมะเร็ง แต่การชักนำให้สิ่งมีชีวิตสร้าง interferon ขึ้นในร่างกายมักจะมีผลที่ไม่ต้องการตามมาหลายประการ ดังนั้นถ้ามีวิธีชักนำที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก็จะเป็นการดีที่จะได้ interferon ไว้เป็นเกราะป้องกันโจมตีของไวรัส มนุษย์ทราบมานานแล้วว่า ร่างกายของตนมีภูมิต้านทานโรค (immunity) โดยสังเกตว่า ผู้ที่เคยเป็นโรคระบาดต่างๆ เมื่อหายแล้วจะไม่กลับเป็นโรคร้ายนั้นอีก ในปัจจุบันเราสามารถอธิบายการเกิดภูมิต้านทานโรคได้ว่า เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่เรียกว่า antigen เข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นให้เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างภูมิต้านทานขึ้นมา เซลล์พวกนี้คือ lymphocyte (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) เซลล์แม่ lymphocyte เริ่มมีอยู่ในตัวทารกหรือสัตว์ในครรภ์ที่ไขกระดูก เซลล์ดังกล่าวจะกระจายไปเป็น 2 พวก คือ เซลล์พวกหนึ่งไปสู่ม้ามและต่อมน้ำเหลืองเรียกชื่อว่า Bone marrow-derived cells หรือ B-cells เมื่อ B-cells ถูกกระตุ้นด้วย antigen จะเปลี่ยนลักษณะไปเป็น plasma cells (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) แล้วสร้างสารจำพวกโปรตีนที่เรียกว่า antibody เพื่อเข้าจับกับ antigen ให้หมดฤทธิ์ เซลล์อีกพวกหนึ่งออกจากไขกระดูกจะตรงไปสู่ต่อมไทมัสเรียกชื่อว่า Thymus-derived lymphocytes หรือ T- cells เป็นเซลล์ที่มีอายุยืน เมื่อมีแอนตีเจนมากระตุ้น T-cells จะเปลี่ยนลักษณะแบ่งตัวเป็น small lymphocyte อาจทำหน้าที่เป็น Killer cells จัดเป็น cellular immunity ของร่างกาย สถาบันมะเร็งแห่งชาติของญี่ปุ่นทำการวิจัยที่สกัดจากเห็ดหอม เห็ดแชมปิญอง และเห็ดอื่นอีก 3-4 ชนิด พบว่ามีสารที่สามารถต่อต้านเนื้องอกและมะเร็ง คือสาร lentinan เป็นสารประกอบพวก polysaccharide สามารถยับยั้งการเจริญของเนื้องอกที่เกิดขึ้นในหนู ( sarcoma 180 transplanted mice ) สารสกัดจากเห็ดหอมให้เปอร์เซนต์การยับยั้ง 80.7% และยังพิสูจน์ว่า Lentinan เป็นตัวสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทาน โดยทำงานเกี่ยวกับ T-cells จากการทดลองพบว่า ถ้าให้ lentinan กับหนูอ่อนๆที่ตัดต่อมไทมัสออกแล้ว lentinan จะไม่สามารถแสดงผล antitumor อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่แสดงผลของ lentinan ต่อหนูที่เป็นเนื้องอกหรือกับคน มีการค้นพบมานานแล้วว่า สารสกัดจากเห็ดบางชนิดมีผลต่อต้านไวรัสที่ทำให้เกิดโปลิโอและ ECHO ไวรัส ต่อมามีผู้ศึกษาว่าสารจากเห็ดหอมมีผลต่อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคต่างๆอย่างไร ได้มีการทดลองสกัดสารจากเห็ดหอมด้วยน้ำ แล้วแยกได้สารชนิดหนึ่งให้ชื่อว่า Ac2P นำมาทดสอบความสามารถต่อต้านไวรัส (antiviral activity ) กับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ โปลิโอและโรคอื่นๆ โดยทำในหลอดทดลองพบว่า Ac2P สามารถต่อต้านไวรัสพวก myxovirus คือ RNA virus เฉพาะที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ ต่อมานำมาทดลองกับหนูพบว่า ระงับอาการของโรคได้ดี แต่ยังไม่รู้กระบวนการที่แน่นอนและไม่เกี่ยวข้องกับ interferon มีการศึกษาสารตอต้านไวรัสที่ได้จากเห็ดหอม แต่ผู้ทดลองคิดว่าสารนี้อยู่ที่สปอร์จึงสกัดสารจากสปอร์ด้วยฟีนอล แล้วนำไปทดสอบกับหนูที่เป็นไข้หวัดใหญ่พบว่า ทำให้หนูมีเปอร์เซ็นต์การรอด 60% สารที่สกัดได้มี RNA เขาจึงเรียกว่า mushroom RNA การทำงานต่างจาก LENTINAN โดย mushroom RNA สามารถชักนำให้เกิด interferon ยับยั้งไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ พิสูจน์โดยฉีด mushroom RNA ให้กระต่ายแล้วตรวจเซรุ่มในเลือดพบสาร interferon สรุปว่าเห็ดหอมมีดีหลายอย่างคือ รสดี มีคาร์โบไฮเดรท โปรตีน วิตามิน คุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับเห็ดอื่นๆเช่น เห็ดฟาง เห็ดแชมปิญอง และเห็ดเป๋าฮื้อ มีโปรตีนและแคลอรีน้อยกว่า เห็ดหอมยังมีสารสำคัญ 4 ชนิดคือ 1. Eritadenine โครงสร้างเป็นสาร 4-(9-adenyl) 2 (R), 3( R )- dihydroxy-4-(9- adenyl) butyric acid มีคุณสมบัติลด cholesterol ในเลือด 2. Lentinan โครงสร้างเป็นสาร beta 1,3-glucan มีคุณสมบัติต่อต้านเนื้องอกและมะเร็ง โดยทำงานเกี่ยวข้องกับ T-cells 3. Ac2P โครงสร้างเป็น polysaccharide โมเลกุลใหญ่ประกอบด้วย น้ำตาลเพนโตส เป็นส่วนมากมีคุณสมบิต่อต้านไวรัส 4. Mushroom RNA โครงสร้างเป็น double-stranded RNA มีคุณสมบัติต่อต้านไวรัส โดยชักนำให้สร้าง interferon คนไทยได้ทานเห็ดหอมน้อยมากเมื่อเทียบกับเห็ดชนิดอื่น เนื่องจากมีราคาสูงมาก เพราะยังต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ หวังว่าประเทศไทยคงมีการวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงเห็ดหอมให้มากขึ้น เพื่อที่คนไทยจะได้มีโอกาสทานเห็ดซึ่งเป็นยาอายุวัฒนะเพิ่มขึ้น ที่มา: สุทธพรรณ ตรีรัตน์ วารสารเห็ด (สมาคมนักวิจัยและเพาะเห็ดแห่งประเทศไทย)
|
Affleck
![]() ![]() ![]() ![]() Group Blog All Blog Friends Blog
Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |