กันแดด
UV Expert Urban Environment ProtectionQ : เคยใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เป็นแบบกายภาพแล้วรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ หน้าขาว แต่งหน้ายากเพราะเป็นคราบ อยากทราบว่าผลิตภัณฑ์กันแดดของ อาวียองซ์ เป็นประเภทใด และจะมีปัญหากับการแต่งหน้าหรือไม่A : UV Expert Urban Environment Protection เป็นผลิตภัณฑ์กันแดดแบบผสมทั้งกายภาพและเคมี ซึ่งใช้เทคโนโลยีล่าสุดผสานกับส่วนผสมที่ยอดเยี่ยม ให้การปกป้องได้อย่างครอบคลุมทั้งรังสียูวีและมลภาวะ โดยให้ความรู้สึกนุ่มสบายผิว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบขาว ปราศจากความมัน คุณจึงสามารถลงรองพื้นและแต่งหน้าได้เนียนสวยตลอดทั้งวันค่ะQ : ทำไมค่า RSF Tested 98 เปอร์เซ็นต์ ในผลิตภัณฑ์ UV Expert Urban Environment Protection จึงไม่ระบุสูงสุดถึง 100 เปอร์เซ็นต์A : ค่า RSF Tested คือ ค่าการทดสอบการปกป้องผิวจากฟรี แรดิคัล หรืออนุมูลอิสระ ที่เกิดจากรังสียูวี ซึ่งผลิตภัณฑ์ UV Expert Urban Environment Protection ได้ค่าการทดสอบสูงสุดถึง 98 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 2 เปอร์เซ็นต์ที่ขาดไปนั้นอาจเป็นฟรี แรดิคัล ที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญพลังงานภายในเซลล์ของผิวหนัง ซึ่งใช้ในการทำงานและเผาผลาญพลังงานตลอดเวลาอยู่แล้ว จึงเป็นไปได้ที่ยังมี ฟรี แรดิคัล เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่ถูกจำกัด ดังนั้น การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีค่า RSF ถึง 98 เปอร์เซ็นต์ นับว่าสามารถปกป้องผิวจาก ฟรี แรดิคัล ส่วนใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดQ : ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มี SPF 50, PA+++ จะได้ผลทดสอบค่า RSF เท่ากันทุกยี่ห้อหรือไม่A : ไม่เท่ากันค่ะ ขึ้นอยู่กับสูตรและส่วนผสมของแต่ละยี่ห้อ ซึ่งผลิตภัณฑ์ UV Expert Urban Environment Protection เป็นแบรนด์แรกในเมืองไทยที่มีการทดสอบค่า RSF สูงสุดถึง 98 เปอร์เซ็นต์Q : ผลิตภัณฑ์กันแดดเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว สามารถปกป้องผิวได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีเนื้อหนาจริงหรือไม่A : จริงค่ะ ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีเนื้อสัมผัสบางเบาจะสามารถปกป้องผิวได้ดีกว่า เพราะเนื้อสัมผัสบางเบาทำให้เกลี่ยง่าย กระจายได้ทั่วผิว และแนบเนียนกับผิวมากกว่า ช่วยเสริมประสิทธิภาพการปกป้องผิวได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังให้ความรู้สึกนุ่มสบายผิวโดยไม่ทิ้งความเหนอะหนะอีกด้วยQ : จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดทุกวันหรือไม่ เพราะบางวันก็อยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวัน ไม่ได้โดนแสงแดดเลยA : แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้วันที่คุณไม่ได้โดนแสงแดดโดยตรง ผิวของคุณก็ยังถูกทำลายจากรังสียูวีที่ทะลุผ่านกระจก หลอดไฟอ่านหนังสือ หน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรทัศน์ และยังถูกทำลายจาก ฟรี แรดิคัล ที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศอีกด้วยQ : ควรทาผลิตภัณฑ์ UV Expert Urban Environment Protection ซ้ำในระหว่างวันหรือไม่A : ถูกต้องค่ะ หากต้องการปกป้องเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อต้องการออกไปสัมผัสแสงแดดโดยตรง และมีเหงื่อ ควรทาซ้ำทุกสองชั่วโมง ซึ่งผลิตภัณฑ์ มีเนื้อบางเบาเป็นพิเศษจึงสามารถแตะเติมทับเมคอัพ ในระหว่างวันได้โดยไม่ทิ้งความมันและคราบขาว
aviance Slym
aviance slymQ : ตอนนี้ผมใช้ผลิตภัณฑ์ aviance slym ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่เหรอครับ ถึงจะให้น้ำหนักมาอยู่ตามที่ต้องการได้ เพราะผมเองก็เคยใช้ยาลดน้ำหนักมาก่อนA : ใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่กี่กิโลกรัม การลดน้ำหนักปกติให้ลด 0.5 ถึง 1.0 กิโลกรัม ภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายและการปรับพฤติกรรมร่วมด้วย มีผู้ที่ใช้ aviance slym ร่วมด้วยแล้วลดได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวเริ่มต้นในหนึ่งเดือนก็มีตัวอย่างให้เห็นเป็นจำนวนมากQ : อยากทราบว่า คนที่กินยาลดน้ำหนักแล้วเกิดโยโย่ จะลดน้ำหนักได้อีกมั้ยครับA : แม้จะผ่านการเกิดโยโย่มาแล้วก็สามารถลดน้ำหนักได้อีกแน่นอน แต่คราวนี้ต้องลดอย่างถูกหลัก โดยการปรับพฤติกรรมการกินที่ถูกต้อง ร่วมกับปรับพฤติกรรมอื่น ๆ ด้วย เช่น การพักผ่อน การออกกำลังกาย และใช้ผลิตภัณฑ์ aviance slym เป็นตัวช่วยได้ เพื่อให้ได้ผลเร็วยิ่งขึ้นQ : จริงหรือเปล่าที่บอกว่าเวลาจะลดน้ำหนัก ต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อ ถ้าหากว่าไม่กิน แล้วจะลดได้ยาก เพราะมีคนชอบบอกว่าเวลาจะลดหุ่น ให้อดอาหาร เป็นความเชื่อที่ผิดใช่มั้ยครับA : เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร น้ำหนักลดได้เร็วแค่ในช่วงไม่กี่วันแรก หลังจากนั้นก็จะเริ่มลดช้าและบางคนก็ไม่ลด บางคนก็กลับมาอ้วนกว่าเดิมได้อีกด้วยซ้ำ ควรกินให้ครบสามมื้อ แต่ให้เลือกเมนูที่กินจะดีกว่า มื้อแรกสำคัญที่สุดต้องกินให้อิ่มแต่เช้าก่อนเก้าโมง เพื่อจุดสตาร์ทการเผาผลาญพลังงานให้มีประสิทธิภาพทั้งวันเลย และมื้อกลางวันกินตรงเวลา มื้อเย็นกินก่อนหนึ่งทุ่ม ไม่เน้นคาร์โบไฮเดรตมากนัก แต่ไม่ควรอดด้วยเช่นกันQ : ถ้ากินเนื้อสัตว์อย่างเดียว ไม่มีคาร์โบไฮเดรตเลย แต่กินหลังสามทุ่มไปแล้ว จะอ้วนไหม A : มีสิทธิ์อ้วนได้ง่าย ๆ เลยค่ะ เพราะเนื้อสัตว์แม้จะให้พลังงานน้อยกว่าคาร์โบไฮเดรต แต่โปรตีนจากเนื้อสัตว์ก็ยังให้พลังงานราว ๆ ครึ่งหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตในปริมาณเท่ากันอยู่ดี และยิ่งถ้าใช้เนื้อสัตว์ติดมันและมีการปรุงที่ใช้น้ำมันยิ่งอ้วนแน่นอนQ : ถ้าผอมอยู่แล้ว แต่อยากลดส่วนเกิน aviance slym จะลดประมาณกี่กิโลกรัมA : การลดส่วนเกินนั้นขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละคน แต่ถ้าผอมอยู่แล้วจะเอาลงอีกแค่ 1-2 กิโลกรัม ภายใน 1 เดือนไม่ใช่เรื่องยากค่ะQ : น้องสาวกิน aviance slym แล้วบอกคอแห้งมาก จึงดื่มน้ำตามเยอะ ๆ แต่ยังรู้สึกอ่อนเพลีย เป็นเพราะอะไรคะA : หมายความว่าร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานดีมากจากแฟทท์ เบิร์น เพราะทุกการเผาผลาญไขมันแต่ละโมเลกุลก็ต้องใช้น้ำ 1 โมเลกุลเสมอ การดื่มน้ำสะอาดยิ่งช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ถ้าเกิดอาการเพลียให้หาผลไม้น้ำเยอะ ชื่นใจ กินระหว่างวัน ช่วยให้กระชุ่มกระชวยและเพิ่มเส้นใยอีกด้วย ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้ที่ใส่น้ำตาลน้ำเชื่อมค่ะQ : อยากทราบว่า ถ้าเราจะเพิ่มปริมาณการกิน aviance slym เพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้จะเป็นอะไรมั้ยครับA : แนะนำว่าควรกินเพียงวันละสองมื้อกลางวันและเย็น โดยกินแฟทท์-บล็อก 2 เม็ด ก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง และเคี้ยวคาร์โบ-บล็อก 2 เม็ดก่อนอาหารทันที และตามด้วยแฟทท์-เบิร์น 2 เม็ดหลังอาหารทันที เน้นให้เพิ่มการดื่มน้ำเป็น 1 แก้วทุกชั่วโมง หากอยากเพิ่มปริมาณอาจเพิ่มที่ คาร์โบ- บล็อก โดยเคี้ยว 1-2 เม็ดทุกครั้งก่อนการกินขนมหรืออาหารนอกมื้อQ : อยากถามว่ามีวิธีลดหน้าท้องยังไงบ้างครับ ไม่อยากมีพุงA : มีหลายวิธีมาก ต้องป้องกันการสะสมไขมันใหม่ก่อนด้วยการเลี่ยงของทอดของมัน อย่ากินมากไป อย่ากินอาหารดึกเกินไป ต้องเพิ่มการเผาผลาญไขมันสะสม ใช้แฟทท์- เบิร์น ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันสะสม เพราะมีสารสกัดจากชาเขียวเข้มข้นที่ไม่มีคาเฟอีนและน้ำตาล และยังมีสารสกัดเมล็ดองุ่นช่วยเก็บกวาดของเสียจากการเผาผลาญไขมันด้วย และถ้าจะใช้การออกกำลังกายช่วยบ้างก็จะยิ่งเห็นผลเร็วมากขึ้นค่ะpage 39 U-SUCCESS Nov. 2010>>ทักทายกันบ้างนะครับ<<
STEP 1
เนื้อหาภายในเล่ม1. เรื่องพญาอินทรีย์ และปลามังกร2. กระแสธุรกิจเครือข่าย และการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับธุรกิจ3. แนวทางการโปรแกรมตัวเองสู่ความสำเร็จ4. เงิน5. ความเข้าใจเกี่ยวกับการข่ายตรงระบบเครือข่ายหลายชั้น6. เรื่องคนตัดต้นไม้7. แนวโน้มในการหารายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป8. ระบบปิรามิดผิดกฎหมาย9. ความสวยงานมของธุรกิจเครือข่าย10. "ฉันไม่มีเงิน" ทำธุรกิจเครือข่ายได้มั้ย?11. ความกลัวในการเริ่มธุรกิจของตนเอง12. ความฝันและความมุ่งมั่น13. ความล้มเหลวในธุรกิจเครือข่าย ความผิดอยู่ที่ใคร?14. สูตรมหัศจรรย์ในการขยายเครือข่าย15. อรงบันดาลใจ + ระบบอัตโนมัติ16. การแนะนำคนเข้าสู่ธุรกิจและหอยไม่มีมุก17. การหา และการสร้าง "ผู้นำ" ในเครือข่าย18. เสาหลักในการดดดำเนินธุรกิจเครือข่าย 3 ประการ19. 50 วิธีในการเพิ่มรายได้ในธุรกิจเครือข่าย20. สูตร 70% 27% และ 3% ของ Dale Calvert21. ความเอื้ออารี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่22. ข้อแนะนำ 8 ข้อ สู่ความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย23. ปั้นดนให้เป็นดาว24. นักตื้อบันลือโลก25. ลูกทีมทำงานเพียง 10%26. ความต่อเนื่องและความสม่ำเสมอ27. วิธีแนะนำผู้ที่ผิดหวังจากธุรกิจเครือข่าย เข้าสู่ธุรกิจเครือข่าย28. เครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจเครือข่าย29. ผู้นำ จะหาได้ที่ไหน? จะพัฒนาเขาอย่างไร? จะสอยอะไรเขา30. ลูกทีมไม่ชอบขาย ลูกทีมไม่ทำงาน31. ก้าวแรกในธุรกิจเครือข่าย32. คำคม33. การกำหนดเป้าหมายลงทุนเรียนรู้เพื่อปฏิเสธสิ่งที่รู้ย่อมดีกว่าปฏิเสธสิ่งที่ไม่รู้ราคาหนังสือ >>> แปรผกผันกับความสนใจ สนใจศึกษาข้อมูลทั้งหมด สอบถามได้นะครับthiti_noom@hotmail.com081-6092779 หนุ่ม
"ให้เวลาผมห้านาที"
"ให้เวลาผมห้านาที แล้วผมจะทำนายอนาตคทางการเงินตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ"ในหนังสือที่ขายดีถล่มทลายทั่วโลกเล่มนี้ T. Harv Eker จะแนะนำให้คุณได้รู้จักวิธีการวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนแผนผังการเงินในหัวคุณเพื่อช่วยให้คุณหาเงินและเก็บเงินได้มากขึ้น รวมทั้งจ่ายเงินได้อย่างเหมาะสมซึ่งวิธีการทั้งหมดนี้ได้ช่วยให้เขาเปลี่ยนจากคนที่เคยถังแตกมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ในเวลาแค่สองปีครึ่งถอดรหัสความคิดที่แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนธรรมดา· คนรวยเชื่อว่า ฉันกุมชะตาชีวิตของตัวเอง คนธรรมดาเชื่อว่า ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้· คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนธรรมดาแค่อยากรวย· คนรวยคิดการใหญ่ คนธรรมดาคิดการเล็ก· คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนธรรมดามุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค· คนรวยชื่นชมผู้ที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆ คนธรรมดาชิงชังผู้ที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ· คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนธรรมดาขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือล้มเหลว· คนรวยเต็มใจนำเสนอตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนธรรมดามองคนที่นำเสนอตัวเองและการขายในแง่ลบ· คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนธรรมดามองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่· คนรวยเลือกรับเงินตามผลงาน คนธรรมดาเลือกรับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน· คนรวยเลือก ทั้งสองทาง คนธรรมดาเลือก ทางใดทางหนึ่ง· คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนธรรมดาสนใจแต่รายได้จากการทำงาน· คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนธรรมดาทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน· คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนธรรมดาปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง· คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนธรรมดาคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว++ปกหลังหนังสือ ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน Secret of the Millionaire Mind++
ตำนานฮุนได ซัมซุง
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกันจากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้นทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า"ผมขโมยเองครับ"ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่องพ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย" คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว" ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เองฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลยตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี... เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกันคืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า " ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้" คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า " ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้" แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้ .......วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิวก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่" ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี ..... ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3 วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ" ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง...ฉันถามเขาว่า"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ" น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี . วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอน้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..."น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี... หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... เขาบอกกับฉันว่า"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง" สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท...แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลน้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธานส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด" น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....ฉันบอกกับน้องว่า "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..." "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี... เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปีเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า " ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ"เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉันคำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ....... "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขาคุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม จบบริบูรณ์....ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัทน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า"ซัมซุง"และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับบู มิง ฮอง เล่าเรื่อง