41 Weeks: Birth story from hell, but baby from heaven: ประสบการณ์คลอดน้องไหมฝ้ายแสนทรหด
41 Weeks: Birth story from hell, but baby from heaven: ประสบการณ์คลอดน้องไหมฝ้ายแสนทรหด เฮ้อ กว่าจะมีเวลามานั่งจิ้มประสบการณ์คลอดครั้งแรก ลูกสาวตัวน้อยก็อายุครบ 4 วีคพอดิบพอดีแระ แหะๆ มีลูกอ่อนนี่ หาเวลายากจริงๆ พอมีเวลา ก็อยากจะนอนทดแทนการอดหลับอดนอนมันอย่างเดียวเลย ไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะที่ดั๊นพล่ามน้ำลายแตกฟอง ก็โชว์ผลงานชิ้นโบว์แดงก่อนนะคะ ขอแนะนำ น้องไหมฝ้าย Aviana Nicharee B. น้ำหนักแรกเกิด 3600 กรัม (8 Lbs 1 Oz.) ยาว 50.9 เซ็น (20 inches)  เอาล่ะ เวลายิ่งมีน้อยๆ เริ่มเข้าเรื่องเลยละกัน ก่อนสาวน้อยจะร้องขอหม่ำนม (วันนี้ขอเขียนเป็นภาษาปกตินะลูกนะ เพราะจะได้ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ได้อ่านไว้เป็นประสบการณ์ด้วย) วันพฤหัสบดีที่ 15 พย. จากบล็อคที่แล้วมาบ่นว่า ครบ 40 วีคแล้ว (วันพุธที่ 14 พย.) ยังไม่มีวี่แววอะไร รุ่งขึ้น ตอนอายุครรภ์ 40+1 วีค ก็เข้าไปพบกับหมออีกครั้ง หมอเลยจับวัด NST (Non stress test) ผลปรากฏว่าทุกอย่างปกติดี นั่นคือเด็กดิ้นดี อัตราการเต้นหัวใจก็ปกติดี มีดิ้นทักทายอย่างที่หมอต้องการ ที่ไม่ดี คือเครื่องวัด contraction ไม่ได้เลยสักครั้ง แสดงว่ายังไม่มีวี่แววจะปวดท้องคลอดในเร็ววันนี้ คุณหมอเลยขอตรวจปากมดลูกอีกหน คราวนี้เปิด 1 เซ็น แล้ว (อิอิ ดีใจ) และระหว่างที่ตรวจปากมดลูกอยู่นั้น คุณหมอก็จัดการกวาดปากมดลูก (Stripping Membranes) ให้ด้วยเสียเลย (เจ็บน้ำตาแทบไหล ไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้ากันเรย) เลือดกระจาย และยังไหลกะปิดกะปรอยไปถึงวันรุ่งขึ้นด้วยแต่มันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล คุณหมอบอกว่าเราต้องคลอดก่อน 42 วีค จากนั้นคุณหมอก็ให้เลือกนัดวันเร่งคลอดเลย ไม่อยากโดนเร่งคลอดหรอก แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อยายหนูไม่ยอมออกมาเองง่ายๆ นี่น่า เราเลยเลือกวันที่ 20 พย. เพราะไม่อยากคลอดติดวันหยุด Thanksgiving มากเกินไป กลัวไม่ได้กินไก่งวง เหอๆ ขั้นตอนการเร่งคลอด เราต้องไปทำ Cervical Ripening ก่อน (คือการสอดยาเข้าไปในช่องคลอดเพื่อทำให้เนื้อเยื่อปากมดลูกนิ่มลง) ในตอนเย็น แล้วนอนโรงบาลหนึ่งคืน แล้วเค้าจะค่อยให้ Pitocin (ยาเร่งคลอด)ทางสายน้ำเกลือในวันรุ่งขึ้น วันนั้นเรากลับบ้านไปด้วยความกังวลเพราะได้ยินกิตติศัพท์ของยาเร่งคลอดดี ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ได้ยินมาว่า มันเจ็บเหมือนโดนรถ 10 ล้อชนเลย ไม่พอ ยังเสี่ยงที่จะโดนผ่าด้วย เพราะบางครั้งมันส่งผลต่ออัตราหัวใจเด็ก เหอๆ ช่วงเวลาระหว่างรอไปเร่งคลอดก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเร่งคลอดตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การกิน Evening primrose oil การนั่งเขย่าบอลโยคะ รวมทั้งยอมให้สามีหวิวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ตั้งครรภ์มา (แต่ไม่ประสบความสำเร็จงะ เพราะร่างกายไม่อำนวย มันปวดหน่วงไปหมด อร๊ายยย สงสารอิสามี) แต่ก็ก็ยังไม่ปวดท้องคลอดสักที วันเสาร์ที่ 17 พย. จนมาถึงเช้าวันนี้ มีมูกเลือดออกมา (Bloody show) ดีใจมาก แสดงว่าใกล้คลอดแล้วตั้งหน้าตั้งตาคอยว่าเมื่อไหร่จะปวดท้องสักที จนประมาณ ห้าทุ่ม ก็ได้รู้สึกสักทีที่เค้าเรียกว่า Contraction นั้นเป็นยังไง เจ็บจ้า บอกได้คำเดียวว่าเจ็บ เจ็บมากๆ เจ็บน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล (นี่ขนาดเจ็บแบบเจ็บเตือนๆ ก่อนนะ) แต่มันยังเจ็บแบบห่างๆ กัน ห่างกันประมาณ 15-20 นาที (ที่นี่หมอให้เข้าไปโรงบาลเมื่อปวดท้องทุกๆ 5 นาที แล้วปวดนาน 1 นาที รวมเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตามกฏ 5-1-1) ก็ต้องทนเจ็บกันไป คืนนั้นทั้งคืนแทบไม่ได้นอนเพราะต้องตื่นขึ้นมาร้องครางอย่างเจ็บปวดทุกๆ 20 นาที (อดหลับอดนอนคืนแรก ) วันอาทิตย์ที่ 18 พย. จนช่วงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น รู้สึกว่าจะปวดถี่ขึ้น ประมาณว่าทุก 7-10 นาที (เราโหลด application ช่วยนับไว้เลย มั่นใจว่าไม่ผิดแน่) เลยโทรไปที่โรงบาล เค้าก็บอกให้เข้าไปได้ เค้าจะตรวจดูว่าปากมดลูกเปิดไปถึงไหนอะไรยังไง เราก็ดีใจ ดี๊ด๊า อาบน้ำสระผม แต่งหน้าแต่งตาอ่อนๆ อย่างดี กะว่าจะได้ถ่ายรูปสวยๆ กะลูก หุหุ ประมาณสายๆ ของวัน ก็เข้าไปที่แผนก Labor and Delivery ของโรงบาล ก็โดนจับวัด NST หัวใจน้องปกติ และวันนี้เริ่มจับ Contraction ได้บ้างแต่บางเบามากๆ (ประมาณว่ามาถึงโรงบาลแล้ว แทบไม่ปวดท้องเรย เซ็งเป็ดมาก) และปากมดลูกก็เปิดแค่ 2 เซ็นเท่านั้น สรุปโดนส่งตัวกลับบ้าน (เซ็งเป็ดยิ่งกว่าเดิม) แต่งตัวมาเสียเที่ยวมากๆ วันนั้นทั้งวัน ก็มากลับนั่งมานอนปวดท้องอยู่ที่บ้านต่อ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะมันต้องตื่นมาร้องครวญครางตลอด ทรมานมากกก (อดหลับอดนอนคืนที่สอง) วันจันทร์ที่ 19 พย. จนมาตอนเช้าๆ ของวันรุ่งขึ้น ก็เริ่มปวดถี่ขึ้นอีกครั้ง เจ็บปวดจนน้ำตาไหล ร้องไห้อย่างเจ็บปวดก็หลายครั้ง คิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน คิดถึงเมืองไทยอย่างแรง เราเลยโทรไปรพ.อีกครั้ง แบบประมาณ ให้ช้านไปคลอดเสียทีเถอะ ตอนประมาณตี 5 ก็เลยได้เข้าไปโรงบาลอีกหน แต่เหมือนเดิม พอมาถึงโรงบาล Contraction มันไม่ถี่พอ และปากมดลูก็ยังเปิดคาอยู่แค่ 2 เซ็น แน่นอนว่าโดนส่งตัวกลับบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย เจ็บใจมากกก ถ้าอยู่ไทย คงขอหมอผ่าไปนานแล้ว คือไหนๆ เราก็นัดเร่งคลอดวันอังคารอยู่แล้วไง หมอเลยให้รอมาวันอังคารทีเดียว และอีกอย่าง หมอคิดว่าเราน่าจะปวดท้องคลอดเองได้ในไม่ช้า (โดยไม่ต้องเร่งคลอด) วิเคราะห์จากอาการทั้งหลายแหล่ วันจันทร์ทั้งวันก็มานั่งทนปวดท้องเหมือนเมื่อวาน ปวดๆ หยุดๆ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทรมานมากก เหอๆ พอตอนเย็นเลยชวนสามีไปนอนบ้านคุณย่า (แม่สามี) กันดีกว่า เพราะไม่อยากทรมานอยู่ที่เดิมอีกแล้ว คืนนั้นเลยมานอนบ้านคุณย่ากัน (โดยไม่ลืมขนข้าวของเครื่องใช้ที่เตรียมไว้สำหรับไปโรงบาลมาด้วย) แต่ก็ใช่ว่าจะหายปวดท้อง ก็ยังต้องทนปวดท้องทั้งคืนเหมือนเดิม (อดหลับอดนอนก่อนมีลูกคืนที่สาม) นี่เป็นคืนที่สามแล้ว ที่เราไม่ได้หลับไม่ได้นอนนะคิดดูละกัน ว่าร่างกายอ่อนแอแค่ไหนแระ วันอังคารที่ 20 พย. รุ่งขึ้น ตอนประมาณ 8 โมงเช้า เราไปนั่งเบ่งอึ๊ในห้องน้ำ (คนที่เคยปวดท้องคลอดจะรู้ดีว่ามันปวดเหมือนปวดอึ๊ด้วยเราเลยขอไปนั่งเบ่งหน่อยละกัน) เบ่งไป ก็ปวดท้องไป เบ่งไปเบ่งมา ได้ยินเสียงดัง “โผละ” ใช่ค่ะ “น้ำเดิน” ค่ะ ท่านผู้ชม น้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจอย่างแรงง เพราะหมายถึงคงได้คลอดจริงๆ ก็คราวนี้ รีบไปปลุกสามี บอกคุณย่า ซึ่งทุกคนก็ดีใจมาก เพราะรอกันอย่างตื่นเต้นมาหลายวันมากแล้ว จากนั้นเราก็โทรไปบอกโรงบาล เค้าก็บอกให้เราเข้าไปได้เลย เราก็รีบอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็ไปถึงโรงบาลประมาณ 10 โมงเช้า หมอเข้ามาตรวจ ครั้งนี้ไม่โดนส่งตัวกลับแระเพราะปากมดลูกของเราเปิดประมาณ 4 เซ็น และบางมากแล้ว Contraction ก็ถี่ขึ้น ประมาณทุก 7-8 นาที ดูท่าแล้ว เราคงได้คลอดวันนี้แหระ ฮู้เร่ๆๆ แต่ระหว่างรอให้ปากมดลูกเปิดเพิ่ม มันช่างทรมานสุดๆ ปวดท้องมากก แล้วร่างกายเราอ่อนแอจากการอดหลับอดนอนมาสามวันเต็มๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เหนื่อยมากก ทรมานมากกก บ่นได้อีกสิบหน้า ช่วงรอ ก็นั่งโยกตัวบนลูกบอลโยคะ(ทางโรงบาลมีให้) เพื่อให้หัวเด็กลงต่ำประจำที่ สามีก็คอยนวดโน่นนวดนี่ให้ คุณย่าก็คอยให้กำลังไม่ห่าง จนในที่สุดทนไม่ไหว สักประมาณ 4 โมงเย็น เลยขอหมอบล็อคหลัง (Epidural) เพราะเริ่มจะไม่ไหวแระ หมอเลยจะให้ ยาเร่งคลอด (Pitocin) ด้วยเลย เพราะยังไงก็จะไม่รู้สึกเจ็บอยู่แร้ว และปากมดลูกเราเปิดช้ามาก รอมาเกือบวัน เพิ่งจะเปิดเพิ่มมา 2 เซ็น สรุปตอนนี้เปิดมา 6 เซ็นแระ ประมาณ 5 โมง ก็มีวิสัญญีแพทย์เข้ามาอธิบายเรื่องการบล็อคหลัง และให้เซ็นเอกสารยินยอม ตามด้วยบล็อคหลัง (ไม่น่ากลัวและไม่เจ็บอย่างที่คิด) คงเพราะปวดท้องจนไม่กลัวอะไรแล้ว
รูปนี้เป็นตอนที่ตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ว่าจะได้บล็อคหลัง ยิ้มออกแล้ว ก่อนหน้านั้นไม่ได้มีรมณ์จะถ่ายรูปถ่ายไรไว้เรยย (คือหลังๆ ตอนมาโรงบาล เราไม่มีอารมณ์แต่งสวยแระ โทรมยังไง ก็โทรมอย่างงั้น)
ตอนบล็อคหลัง พยาบาลไม่ให้สามีอยู่ด้วยเลยต้องเดินคอตกออกจากห้องไป มารู้ทีหลังจากปากพยาบาลคนเดิมว่า เคยมีสามีคนป่วยเห็นขั้นตอนการบล็อคหลังแล้วเป็นลมล้มตึง แล้วพยาบาลวิ่งไปช่วยไม่ได้ (เพราะต้องคอยกำกับท่าทางคนถูกบล็อคหลังอยู่) หลังๆ มาเลยไม่ให้ใครอยู่ในห้อง นอกจากวิสัญญีแพทย์กับพยาบาลเท่านั้น) แล้วพยาบาลก็สอดท่อปัสสาวะ ตามด้วยยาเร่งคลอด และ รวมทั้งน้ำเกลือ (จริงๆ โดนเจาะรอไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแระ หมอบอกว่า ปากมดลูกควรจะเปิดชั่วโมงละหนึ่งเซน และเราก็จะได้เห็นหน้านางฟ้าตัวน้อยในไม่ช้า ระหว่างนี้เราก็พอได้หลับได้งีบหลับไปชั่วโมงบ้างเพราะไม่รู้สึกปวดท้องแล้ว แต่มันไม่ใช่กรณีเรา เพราะรอจน 4 ทุ่ม ปากมดลูกเราก็เปิดเพิ่มอีกแค่ 2 เซ็น ค้างอยู่ที่แปดเป็นนานสองนาน แถมหัวลููกก็ลอย ไม่ยอมลงต่ำสักทีี ไม่พอ ร่างกายเราเริ่มมีไข้ อุณหภูมิสูงขึ้น เพราะน้ำเดินเป็นเวลานานแล้ว หมอกลัวว่าลูกจะติดเชื้อด้วย หมอเลยให้ยาฆ่าเชื้อผ่านทางสายน้ำเกลือกันไว้ด้วย แล้วหมอก็ตัดสินใจ บอกเราว่าจะรออีกแค่ชั่วโมงเดียว ถ้ายังไม่เปิดเพิ่มหมอจับผ่าแล้วนะจ๊ะ(คนดี) อ้าวเฮ้ยยยย กรีดร้องงงงงง  ที่ดั๊นทนมาตั้งนานข้ามวันข้ามคืน สรุปดั๊นต้องเจ็บอีกต่อนึงเหรอ อย่างเซ็งเป็ด แต่ก็ไม่มีแรงจะโต้เถียงอะไรทั้งนั้น ณ วินาทีนี้ อยากคลอดมากๆ หมอจะทำอะไรก็ทำเถอะ สรุป เราก็จรดปากกายินยอมโดยง่ายๆ ก่อนโดนเข็นเข้าห้องผ่าตัดตอนห้าทุ่มกว่าๆ โดนเพิ่มโดสยาบล็อคหลังเพื่อให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด ระหว่างที่เตรียมการผ่า เรายังบอกหมอไปด้วยว่าขอให้น้องเกิดวันอังคารนะ เพราะพ่อเค้าเกิดวันศุกร์ดวงวันจะได้สมพงค์กัน สรุปน้องไหมฝ้ายถูกดึงออกมาจากพุงเราตอนเวลา 11.53 น.ของวันอังคารที่ 20 พย. ตอนอายุครรภ์เกือบครบ 41 วีค พอดิบพอดี

ตอนที่ได้ยินเสียงร้องอันเป็นดั่งเสียงสวรรค์ของลูกครั้งแรก อิแม่มานต่อมน้ำตาแตกอย่างแรง น้ำตาไหลไม่ต่างกับเขื่อนแตก ร้องไห้ยิ่งกว่าเผาเต่าเสียอีก มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้เลยว่าคืออะไร มันคือดีใจ ปลื้มใจ และที่สำคัญคือโล่งใจ ที่ในที่สุดก็จะได้เห็นหน้านางฟ้าตัวน้อยๆ ของตัวเองแล้ว ช่วงที่พยาบาลกะลังทำความสะอาดลูกอยู่ เราก็ร้องไห้ไม่หยุด ได้ยินเสียงสามีบอกะพยาบาลผู้ช่วยคนอื่นๆ พูดเป็นเสียงเซ็งแซ่ว่าลูกมีผมดกดำ ต้องพาไปตัดผม อย่างนั้นอย่างนี้ อิแม่ก็โล่งใจไปอีก เพราะกลัวลูกไม่มีผม เพราะโดนคุณยายทักท้วงเรื่องกินเผ็ดของเราตอนตั้งท้อง จะทำให้ลูกไม่มีผม อิอิ แถมพยาบาลก็คอยเปิดผ้าแง้มๆ ให้เราเห็นลูกช่วงที่โดนทำความสะอาดเป็นพักๆ ด้วย พอเค้าห่อตัววัดน้ำหนัก และอะไรๆ เสร็จ เค้าส่งให้สามี(ซึ่งแชะภาพอย่างเมามัน)อุ้ม แล้วเอามาถ่ายรูปสามคนพ่อแม่ลูก ปลื้มใจจริงๆ

ช่วงนั้นหมอก็จัดการเย็บแผลกันอย่างเมามันไป ส่วนสามีก็ตามลูกที่โดนพยาบาลพาไปที่ Nurseryไปเฝ้าดูตามติดไม่ห่างสายตา ปรากฏว่า ดีแล้วที่ผ่า ถ้าเบ่งเองอันตรายแน่ๆ เพราะหัวลูกอยู่ในท่าเงยหน้าอยู่ไม่พอ ยังมีสายสะดือพันคอแบบหลวมๆ อยู่สองรอบอีกด้วย เหอๆ โชคดีจริงๆ ที่ตัดสินใจผ่า
พอเย็บแผลเสร็จ เราก็โดนเข็นไปที่ห้องพักฟื้น (recovery) แล้วสามีก็เข็นลูกออกมาจาก nursery มานั่งรอให้ร่างกายฟื้นตัวด้วยกันอยู่ในห้องนี่แหละ ก่อนจะพาไปส่งที่ห้องพักของเราเอง (Postpartum) สรุปได้อยู่กับลูกได้ป้อนนมลูกตั้งแต่คืนแรกเลยจ้ะ ได้เห็นหน้าลูก ได้อุ้มลูก มีความสุขมากๆ เกินคำบรรยายจริงๆ
อ้อมแขนคุณพ่อ
 อ้อมแขนคุณแม่ (ที่สภาพดูไม่ได้แรงงง)

มาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ชื่อจริง Aviana แอวิอาน่า 
ชื่อกลาง Nicharee ณิชารีย์ แปลว่า บริสุทธิ์และประเสริฐ 
ชื่อเล่น Maifai ไหมฝ้าย คุณพ่อน้องเป็นคนเลือกชื่อนี้เองค่ะ เพราะออกเสียงเพราะทั้งไทยและอังกฤษ อีกทั้งคุณยายที่เมืองไทยก็ชอบชื่อนี้มากๆด้วย  ในอ้อมอกคุณพ่อ

ภาพนี้ตอนอายุ สามวันมั้ง เริ่มลืมๆ อิอิ

 
ปกติผ่าคลอด ที่นี่จะนอนโรงบาลสี่คืนแต่เราคลอดจะเที่ยงคืน หมอจะให้อยู่ห้าคืนก็ได้ แต่เราขออยู่ 4 คืนพอ ก็ออกจะโรงบาลตอนบ่ายวันเสาร์ 24 พย.

สรุปได้ฉลอง Thanksgiving ในโรงบาลจริงๆ ด้วย
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านกันนะคะ ยาวมากกก จากนี้ไปเราก็จะไปอัพเดทชีวิตลูกน้อยกันต่อที่บล็อคของน้องไหมฝ้ายซึ่งกำลังจะตามมาเร็วๆ นี้ ฝากไว้ด้วยนะคะ
Create Date : 19 ธันวาคม 2555 |
|
24 comments |
Last Update : 20 ธันวาคม 2555 5:44:24 น. |
Counter : 18406 Pageviews. |
|
 |
|