10 เรื่องสิ้นเปลืองของชายและหญิง

  ปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวด้วยวิธีการออม คือ  การคงไลฟ์สไตล์แบบเดิมๆ  ที่มีมาก่อนที่จะร่วมหัวจมท้ายใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

ไม่ว่าคุณจะเป็นหญิงหรือชาย  ต่างก็มีรายการสิ้นเปลืองเพื่อสนองตอบวิถีการใช้ชีวิตแบสบายๆ  ด้วยกันทั้งนั้น  ซึ่งถ้าหากคุณคิดที่จะออมแล้ว เราคงต้องมาใส่ใจกันอย่างจริงๆจังๆว่า อะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคในการอมเงินของคุณบ้าง และ รายการที่เป็นสิ่งสิ้นเปลืองของครอบครัวคุณ

1.บุหรี่ : สิงห์อมควันทั้งหลาย ถ้าเลิกได้ก็ควรเลิกนะครับ เพราะว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เยอะมาก

2.เหล้าและการเอ็นเตอร์เทนนอกบ้าน : ให้ลองเปรียบเทียบค่าเอนเตอร์เทน แล้วทำให้มันลดลง

3.เครื่องประทินโฉม และเครื่องแต่งกาย : ซื้อเท่าที่จำเป็น ฉลาดใช้ Mix & Match ให้เป็น

4.นิสัยชอบช้อป : ลองดูรอบตัว คุณจะเห็นว่าของจุกจิกหลายอย่างในบ้านบางคร้งเราซื้อมาแทบจะไม่ได้ใช้เลย ของทุกชิ้นมาจากกิเลส ความอยากได้  ถ้าคำนวณเป็นจำนวนเงินเล่นๆ บางทีอาจจะนำไปซื้อของจำเป็นได้สักชิ้น สองชิ้นเลยทีเดียว

5.ห่วงซื้อของถูก : ห่วงซื้อของในราคาถูกเป็นการประหวัดที่ดีวิธีหนึ่ง  แต่ถ้าหากคุณมัวแต่คิดอยากจะซื้อของราคาถูก  และยอมทำตามเงื่อนไขของห้างร้าน  ที่บังคับให้คุณซื้อของจำนวนมาก  ซึ่งบางครั้งมากเกินความจำเป็นใช้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่สำคัญ  หากของถูกจำนวนมากนั้นทำให้คุณต้องเสียค่ารถเพื่อขนกลับละก็  ลองมาคำนวณกันอย่างถี่ถ้วนแล้ว  จะรู้ว่าเป็นความสิ้นเปลืองโดยที่ตัวคุณเองก็หลงคิดว่าเป็นการบริโภคอย่างฉลาด

6.ของกินกระจุกกระจิก : เป็นค่าใช้จ่าที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสาวออฟฟิศ  ลองสังเกตุดูสิ  หลังอาหารเที่ยงจะหิ้วถุงขนม  ผลไม้  ไอศกรีมติดไม้ติดมือกันมาคนละถุง  สองถุง  คิดกันเล่นๆ  ว่า  หากต้องจ่ายเงินค่าของกินกระจุกกระจิกเหล่านี้ (รวมค่าน้ำอัดลมด้วย) วันละ 40 บาท สำหรับ 2 มื้อ  กลางวันและเย็น 1 เดือนจะประมาณ 1,200 บาท เป็นจำนวนเงินที่เยอะไม่ใช่เล่นเลย

7.การเดินทางขณะเร่งรีบ : เส้นทางจากบ้านไปที่ทำงาน  หากคุณออกเช้าหน่อย  คุณอาจเสียเพียงแค่ค่ารถโดยสารประจำทางของขสมก. รถธรรมดาก็ 7 - 8 บาท รถแอร์ก็ 12 บาท เรื่อยไปจนถึง 30 บาท แต่ถ้าคุณออกในเวลากระชั้นชิด คุณต้องลงต่อเรือต่อรถ  แล้วนั่งมอเตอร์ไซด์เพื่อไปให้ทันตอกบัตรเข้างาน  ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคุณเพิ่มขึ้นมาอีก 30 - 40% เลยทีเดียว  ยิ่งถ้าคุณมีรถส่วนตัว  ค่าใช้จ่ายจากการเผาผลาญน้ำมันในขณะรถติด  กับค่าทางด่วน  ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้นยิ่งเสียกว่าการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะเสียอีก ไม่เชื่อก็ลองคำนวณและทำการเปรียบเทียบดูนะครับ

8.อาหารนอกบ้าน : หาคุณต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่นอกบ้าน  ค่าอาหารเครื่องดื่ม  ดูเป้นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คุณจะต้องจ่าย แต่สำหรับอาหารมื้อเย็นและในวันหยุด  หากคุณพากันออกไปกินนอกบ้านหรือซื้อเข้ามากินทุกมื้อจะทำให้คุณเสียเงินไปกับค่าอาหารเพิ่มขึ้นจากปกติ 20 - 50 %

9.ติดค่านิยม : หากคุณคิดว่าจะต้องใช้เครื่องแต่งตัว หรือของใช้ต่างๆ  ที่มียี่ห้อดื่มกาแฟของร้านสาขาจากเมืองนอกถ้วยละเหยียบร้อย  ดูหนังทุกอาทิตย์สุดสัปดาห์  และติดตามดูคอนเสิร์ตทุกเวที  ละครเวทีทุกเรื่องเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความมีรสนิยมของคุณ  ว่างๆ ก็ลองคำนวณดูว่าค่ารสนิยมของคุณนั้นคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน

10.ใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลือง : การใช้ชีวิตตอบสนองความต้องการของคุณจนลืมนึกถึงความสามารถในการแบกรับของร่างกาย  อาจทำให้คนต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับค่ารักษา และค่าดูแลสุขภาพมากเกินความจำเป้นได้  การถ่างตานั่งฉลองกับเพื่อนจนสว่างอาจไม่ได้เป็นเหตุให้คุณต้องเสียเงินจ่ายค่ายาแก้ปวดหัวเพียงแค่หนึ่งซองเท่านั้น แต่สุขภาพที่ถูกบั่นทอนลงไปอาจทำให้คุณต้องเสียเงินค่ารักษาโรคร้ายที่เป็นผลพวกจากการใช้ชีวิตตรากตรำไปบเรื่องที่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไร




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2556 17:56:06 น.   
Counter : 2409 Pageviews.  


e-Marketer ทำอะไรบ้าง

 

หน้าที่ของ e-Marketer

 

 

 

                ในการทำการตลาดออนไลน์นั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการหลายคนอาจจะมองข้ามไปคือการจัดให้มีผู้รับผิดชอบงานนี้เต็มเวลา โดยอาจมองว่าตำแหน่งงานนี้ไม่จำเป็น สามารถทำเองก็ได้ เพราะการทำตลาดในปัจจุบัน ผู้ประกอบการก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญ คือ เราต้องพิจารณาว่าลูกค้าของเราคือใคร ถ้าลูกค้าของเราเป้นผู้ประกอบการ ( หรือเรียกอีกอย่างว่า เราทำธุรกิจแบบ Business to Business หรือ B2B) ซึ่งโดยมากสินค้า/บริการของเราจะถูกนำไปใช้เป็นปัจจัยการผลิต หรือสนับสนุนการทำงานของผู้ประกอบการรายอื่น ธุรกิจในลักษณะนี้มักมีจำนวนคู่ค้าไม่มากนัก (หลักสิบ) กลยุทธ์การเจริญเติบโตของเราเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายให้ลูกค้าแต่ละราย ในขณะที่มีการหาลูกค้าใหม่เพิ่มอยู่บ้าง การทำตลาดของเราโดยมาก มักจะเป้นการติดต่อสื่อสารแบบตัวต่อตัว มีการออกเยี่ยม โทรศัพท์ โทรสาร ส่ง e-mail หากัน ดังนั้น รูปแบบการทำ e-Marketing มีเพียงการให้ข้อมูลผ่าน Website และทำจดหมายข่าวอิเลคทรอนิกส์ (e-Newsletter) ก็เพียงพอ อาจไม่จำเป็นต้องมีการจ้างผู้ดูแลการตลาดออนไลน์ หรือ e-Marketer เข้ามาแต่อย่างใด

 

                แต่หากเมื่อไรที่ลูกค้าของเราเป็นผู้บริโภคที่ซื้อสินค้า/บริการของเราไปบริโภค ( เป็นธุรกิจแบบ Business to Consumer หรือ B2C ถึงแม้บางกิจการจะไม่ได้ขายให้ผู้บริโภคโดยตรง โดยขายผ่านผู้แทนจำหน่าย ก็ยังถือว่าเป็นธุรกิจแบบ B2C เช่นกัน) การทำ e-Marketing นั้นจะเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก เพราะเราต้องการเข้าถึงผู้บริโภค  ด้วยสื่ออิเลคทรินิกส์ต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น ซึ่งสรุปงานที่ต้องทำได้ ดังนี้

  1. ปรับปรุงหน้า Website

ให้มีความสวยงาม สดใหม่ น่าสนใจอยู่เสมอ พร้อมทั้งดูแลฐานข้อมูลสินค้า รูปภาพ ให้มีความถูกต้องเป็นปัจจุบัน รวมถึงการปรับแต่งทำให้ Website ถูก Search พบขึ้นในลำดับต้นๆ ใน Search Engine ชั้นนำอย่าง Google ในคำค้นสำคัญ ( Key Words) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา หรือที่เรียกกันว่า การทำ Search Engine Optimization

  1. ดูแลฐานข้อมูลสมาชิก

 วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน รวมถึงผลิตและจัดส่ง e-Newsletter ให้ลูกค้า โดยอาจเป็นข้อความอย่างเดียวกันส่งถึงสมาชิกทุกราย (General email)  หรือข้อความที่ออกแบบเฉพาะบุคคล โดยมีการระบุชื่อ ปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจ หรือประวัติการเข้าชม (Personalized e-mail) ซึ่งแบบหลังนี้จะดึงดูดความสนใจและมีโอกาสทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการได้มากกว่า

 

  1. ให้ข้อมูล

จุดประเด็น  ตอบคำถาม ทำความเข้าใจ แก้ข่าวกับผู้บริโภคในกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (หรือ Web board) ของเราเอง Web board สาธารณะต่างๆ เช่น pantip.com , sanook.com หรือ Website เกี่ยวกับความสนใจเฉพาะด้าน เช่น สุขภาพ ความงาม แฟชั่น อาหารการกิน ท่องเที่ยว แม่และเด็ก ผู้สูงอายุ ฯลฯ

 

  1. เขียน Blog หรือให้การสนับสนุนผู้เขียน Blog

(Blog เป้นคำผสมเกิดจาก Web+Log ในรูปแบบของ Website ที่บุคคลเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ตนเองสนใจ เปิดกว้างให้ใครก็ได้เข้ามาอ่าน) ซึ่ง Blog ของหลายกิจการหรือบุคคลมีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจใช้สินค้า/บริการของผู้บริโภคคนอื่นๆ

 

  1. หมั่นอัพเดตข้อมูล ข่าวสาร

บนสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ต่างๆ เช่น Facebook, Twitter , YouTube, Instagram  เพื่อเป็นการย้ำเตือน ให้ความรู้ สร้างภาพพจน์กับผู้ติดตาม รวมถึงสามารถทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นเกมส์  แจกของรางวัล  หยั่งเสียง  ถามความคิดเห็น  เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์  และเพิ่มยอดติดตามให้สูงขึ้นได้เมื่อผู้ติดตามมีความผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น นานขึ้น เมื่อถึงโอกาสที่จะต้องตัดสินใจซื้อก็พิจารณาแบรนด์มากขึ้น นานขึ้น เมื่อถึงโอกาสที่จะต้องตัดสินใจซื้อก็จะพิจารณาแบรนด์ที่คุ้นเคยอยู่ก่อน นอกจากนี้ ความสำคัญของ Social Media เหล่านี้คือการที่ผู้ใช้จะสามารถแชร์ (Share) ข้อมูล ข่าวสารที่ตนเองสนใจ หรือชื่นชอบไปยังเพื่อนในแวดวงได้ครั้งละเป็นร้อยเป็นพันรายในคลิกเดียว

 

  1. กรอกข้อมูลบริษัท

สินค้า บริการไว้ใน Web Directory ฟรีต่างๆ ( ที่รวบรวมชื่อ ที่อยู่ ชนิดของสินค้า บริการ แบ่งแยกตามประเภท ) หรือไปโพสต์โฆษณาสินค้า/บริการ ลงในหน้า Classified ที่มีผู้เข้าชมจำนวนมาก เช่น Pantipmarket.com, Tarad.com หรือจะเปิดร้านค้าออนไลน์แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายกับ Website อย่าง Weloveshopping.com ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการเปิด “ สาขา “ เพิ่มขึ้นในโลกออนไลน์ โดยที่สามารถใส่ลิงค์  ที่อยู่ของ Website หลักของกิจการ เพื่อให้ผู้อ่านตามไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้

 

  1. สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการหาตลาดต่างประเทศ

ก็ควรไปสมัครสมาชิกของ e-Commerce ชั้นนำอย่าง Thaitrade.com โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ Alibaba.com ที่ผู้ประกอบการสามารถแสดง  รูปภาพ อธิบายคุณสมบัติ และพูดคุยกับผู้ซื้อต่างประเทศผ่านโปรแกรม Chat ของ Website นั้นๆ ได้ทันที (โดยมาก Website ประเภทนี้เป็นลักษณะของ B2B แต่เนื่องด้วยการทำตลาดต่างประเทศ ผู้ประกอบการอาจต้องการคู่ค้า หรือผู้นำเข้าประเทศปลายทางให้เป็นผู้ทำตลาดให้)

 

      การไปมีข้อมูลในหลายๆ Website จะเพิ่มโอกาสการพบเห็นของลูกค้ามากขึ้นและมีโอกาสถูก Search พบได้ง่ายกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้สื่อออนไลน์ต่างๆข้างต้นนั้น  ควรดูความเข้ากันของสินค้า/บริการกับ Website ที่เราจะไปใช้บริการด้วย โดยเริ่มต้นจากการไปสำรวจก่อนว่าในสื่อต่างๆ เหล่านั้น ส่วนใหญ่เขาลงประกาศสินค้า/บริการประเภทใด ภาพพจน์เป็นอย่างไร กลุ่มและจำนวนผู้เข้าชมเป็นอย่างไร แล้วจึงพิจารณาว่า เราควรไปใช้บริการพื้นที่ของสื่อนั้นๆ หรือไม่  เพราะหากเลือกพื้นที่ผิด  ภาพพจน์ของสินค้า/บริการ  อาจผิดไปจากเจตนารมณ์ที่ผู้ประกอบการตั้งไว้ก็เป็นได้

 

        จะเห้นได้ว่างานการทำตลาดในช่องทางเหล่านี้ให้ได้ทั่วถึง  ต้องการผู้รับผิดชอบเต็มเวลา  ดังนั้น  ผู้ประกอบการควร “ ลงทุน “ จ้าง e-Marketer ซึ่งสามารถทำได้ทั้งการไปจ้างบริษัทรับทำ e-Marketing ( ต้องเลือกให้เป็น มีเกณฑ์ในการส่งมองงานที่ชัดเจนว่า  ในแต่ละรอบการทำงานมีการโพสน์จำนวนกี่ครั้ง  ที่ไหนบ้าง  สร้างผลกระทบอย่างไร  มียอดผู้รับรู้แต่ละครั้งหรือรวมทั้งหมดเป้นจำนวนเท่าไหร่ และที่สำคัญต้องมีคนตรวจงาน และสามารถประเมินได้ว่า  ควรเพิ่มความเข้มข้น หรือ คงไว้ ลด  เลิก การทำ e-Marketing กับผู้ให้บริการรายใด  หรือในช่องทางไหนบ้าง ) หรือจะมอบหมายให้สมาชิกรุ่นใหม่ในครอบครัวหรือพนักงานในบริษัทรับผิดชอบงานนี้ หรือจะจ้างพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นก็ได้

 

        หากผู้ประกอบการยังมีความกังวลว่าการจ้าง e-Marketing  นั้นจะไม่คุ้มค่า  ขอให้พิจารณาว่าการจ้าง  e-Marketing นั้น  เหมือนกับการลงทุนในการทำตลาดอื่นๆ เช่น การโฆษณา  การออกบูธ ซึ่งถือเป้นการลงทุนไปก่อน  ความคุ้มค่าจะอยู่ที่ว่า  เราใช้เครื่องมือหรือบุคลากรได้ดี มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน  นอกจากนี้  ด้วยต้นทุนการเข้าถึงผู้บริโภคที่ต่ำกว่าสื่ออื่นๆ  ของ e-Marketing ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบใช้เงิน  เช่น  ซื้อโฆษณาใน Search Engine อย่าง Google ใน Facebook ใน Website อื่นๆ  การจ้างคนเขียน Blog เชียร์สินค้า  การจ้างดาราถือสินค้าถ่ายรูปลง Instagram และแบบไม่ใช้เงิน  โดยให้ e-Marketing  ( เสียค่าใช้จ่ายเพียงเงินเดือน  สวัสดิการ  เครื่องคอมพิวเตอร์  และค่าอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ) ทำการตลาดออนไลน์ในสื่อต่างๆที่กล่าวในข้างต้น ซึ่งหากสามารถทำได้  “ โดนใจ “ ผู้บริโภคแล้วละก็  จะเกิดการบอกต่อแบบแพร่ระบาด ( Viral Marketing  หรือ แพร่กระจายรวดเร็วราวกับไวรัสได้ในวงกว้างและรวดเร็วกว่าการบอกปากต่อปาก (Word of Mouth) แบบเดิมๆ มาก )  ซึ่งการบอกต่อในลักษณะนี้  มีความน่าเชื่อถือขึ้นอีกระดับ  เพราะเป็นการบอกระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง  ซึ่งมักจะเป็นคนรู้จักกัน  เพื่อน สมาชิก  ในครอบครัว  ไม่ใช่ข่าวสารที่คนขายเป็นผู้บอก

 

        สุดท้ายนี้  หากตัดสินใจจะจ้าง e-Marketing สักคนแล้ว ควรจะมองหาคนที่มีคุณสมบัติดังนี้คือ  ต้องชอบทำงานทางอินเตอร์เน็ต  มีพื้นฐานด้านการสื่อสารการตลาดที่ดี  โดยเฉพาะการเขียน  ใช้ภาษาเดียวกับลุกค้า  หูไว  ตาไว  รู้จักใช้สื่อออนไลน์ต่างๆ ได้เหมาะสม  รู้ว่าสื่อไหน  จังหวะไหน  ควรใช้วิธีการ  Hard Sell ( ตรงไป ตรงมา  มุ่งเน้นการขาย  อธิบายสรรพคุณ  กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ)  หรือ Soft Sell ( มุ่งโน้มน้าว  ชักชวน  จูงใจ  ใช้อารมณ์  ความรู้สึก  ไม่เร่งรัดให้เกิดการตัดสินใจซื้อ  )  นอกจากนี้ควรมีความสามารถในการถ่าย/แต่งรูปได้บ้าง  มีความสร้างสรรค์  ไม่ยึดติดรูปแบบเดิมๆ  แต่รู้กาลเทศะ  เคารพสิทธิ์ผู้อื่น มีความรู้  พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์  และที่สำคัญต้อง  ขยัน  รับผิดชอบ  และสามารถแสดงผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรมได้

 

 




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2556   
Last Update : 22 ตุลาคม 2556 16:07:26 น.   
Counter : 793 Pageviews.  


Reader's Digest ล้มละลาย

หลังจากที่ตีพิมพ์มานานถึง 91 ปีนิตยสาร Reader's Digest ได้ถูกศาลสั่งล้มละลาย เนื่องจากบริษัทผู้ดำเนินกิจการก่อหนี้สิน กว่า 465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.4 หมื่นล้านบาท)

          เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 เว็บไซต์เอฟวรี่ทิงส์ อินบัทเจ็ท ได้รายงานว่า บริษัท อาร์ดีเอ โฮลดิง ผู้จัดพิมพ์นิตยสาร รีดเดอร์ส ไดเจสท์ (Reader's Digest) ซึ่งตีพิมพ์มานานถึง 91 ปี ถูกฟ้องล้มละลายหลังจากมีหนี้สินท่วมบริษัทกว่า 465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.4 หมื่นล้านบาท) อันเป็นผลมาจากชาวอเมริกาเหนือได้หันไปบริโภคข่าวสารทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์

          ทั้งนี้ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ก่อตั้งโดย เดวิทท์ และ ลีลา วอลเลนซ์ ก่อนจะกลายมาเป็นบริษัทมหาชนในปี ค.ศ. 1990 นำโดยกลุ่มนักลงทุนเอกชน บริษัท โฮลดิงส์ แอลแอลซี ที่ซื้อรีดเดอร์ส ไดเจสท์ มาในปี ค.ศ. 2007 ด้วยมูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.8 หมื่นล้านบาท) ก่อให้เกิดหนี้สินราว 800 ล้านดอลลาร์สหัรฐ (ราว 2.4 หมื่นล้านบาท) เป็นผลให้บริษัทถูกฟ้องล้มละลายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 เนื่องจากขาดทุนในการใช้จ่ายด้านการโฆษณาและมีภาระหนี้สินที่มากขึ้นจากการซื้อกิจการ 

          ทางด้าน นาย โรเบิร์ท กรูทธ์ ซีอีโอของ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ได้เปิดเผยว่า "เราจะมีการดำเนินงานต่อในกระบวนการทำงานที่ง่ายขึ้น และทำให้เป็นที่จดจำในธุรกิจระหว่างประเทศ สำหรับตลาดท้องถิ่นของเราจะถูกเปิดเสรีแก่บุคคลที่ 3 บริษัทสิ่งพิมพ์อื่น และนักลงทุนเจ้าอื่น ๆ ซึ่งนี่เป็นส่วนใหญ่ในความพยายามของเราที่จะปรับปรุงบริษัท และลดจำนวนหนี้สิน"

และล่าสุด ศาลล้มละลายของสหรัฐฯ ที่ไวท์แพลนส์ นิวยอร์ก ก็ได้ตัดสินให้ บริษัทผู้ผลิต รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ล้มละลายในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ภายใต้ข้อตกลงในการปรับโครงสร้างซึ่งสนับสนุนโดย เวลลส์ ฟาร์โก แอนด์ คอปเปอเรชั่น

 




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2556   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2556 16:25:29 น.   
Counter : 1308 Pageviews.  


Market EveryWhere : 5 วิธีหาเงินจากอาชีพ Digital Artist

5 วิธีหาเงินจากอาชีพ Digital Artist

ตากล้องน้อยใหญ่ ได้เฮ เมื่อทราบข่าว เจ้าของ Blog ก็มิได้นิ่งนอนใจ รีบนำเรื่องที่ได้ประสพพบเจอ มาแชร์กัน

ทุกวันนี้ Internet เข้าถึงแทบจะทุกซอกมุมและมีบทบาทกับผู้คนในทุกๆวันด้วย จะเห็นได้จากในรถใต้ดิน รถไฟฟ้า แทบจะทุกคนต้องหยิบโทรศัพท์ ขึ้นมากันทั้งนั้น แชทบ้าง ถ่ายรูปบ้าง เป็นต้น ที่นี้เข้าประเด็นกันเลยนะครับ Application ที่ได้รับความนิยมในการถ่ายภาพคงจะไม่พ้น Instragram หรือ Application อื่นๆ ที่ใช้กัน ในการถ่ายรูปแล้ว กด Share กด Like กัน ที่นี้รูปสวยบ้าง ไม่สวยบ้างก็ว่ากันไป ล่าสุด Instragram ได้ออกนโยบายใหม่ว่า ภาพถ่ายที่เราได้ถ่ายแล้วโพสนั้น ให้ถือเป็นสมบัติของ Instragram ซึ่ง หมายถึง เค้าสามารถนำรูปที่เราๆท่านๆถ่าย ไปทำเงินได้ โดยที่ไม่ต้องแจ้งให้เราทราบ ทีนี้ จะทำอย่างไร ให้ภาพที่เราถ่ายสามารถทำเงินได้บ้าง

การถ่ายภาพที่สามารถทำเงินได้ ได้นำมาซึ่งอาชีพหนึ่งได้แก่ Digital Artist ซึ่งเป็นอาชีพที่มีบทบาทมากที่สุด จากหัวข้อที่กล่าวไว้ด้านบน 5 ข้อต่อไปนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้สำหรับ Graphic Designer และ Painter เพราะมันจะเป็นแนวทางในการทำเงินให้คุณ


1.Online Portfolio โชว์ของ

ผลงานและความสามารถขั้นเทพนั้นจะมีความสำคัญอะไรล่ะถ้าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นในสิ่งที่คุณทำ เพราะฉะนั้นควรเริ่มด้วยการโชว์ผลงานให้คนรู้จัก(ให้ถูกที่ถูกทาง)เสียก่อน วิธีการคือสร้างแกลอรี่ขึ้นมาจะเป็นเว็บหรือบล็อกก็ได้ให้จัดเจน ทั้งข้อมูลการติดต่อและรายละเอียดที่จำเป็นทั้งหลายแหล่ อันนี้ต้องศึกษาวิธีการทำ resume กันเองนะครับ ?.ถามว่าต้องเช่าโดเมนทำเว็บหรือบล็อกขึ้นมาเองเลยรึเปล่า? ตอบเลยว่าไม่ครับ ไม่แนะนำด้วยครับเอาไว้ทีหลัง เพราะอะไรล่ะ ?.ลองนึกดูนะครับเวลาที่เราจะค้นหาสิ่งของอะไรซักอย่างผ่าน google จำนวนเว็บที่แสดงผลนั้นมากมายนับไม่ถ้วน แล้วเว็บเราล่ะจะไปอยู่อันดับไหน ถ้าคุณไม่ชำนาญเรื่องการทำเว็บและการทำ SEO ไม่แนะนำให้ทำครับ เพราะจะเสียเวลาเปล่าๆ เพราะฉะนั้นเราต้องจัดแจงผลงานของเราให้มันถูกที่ถูกทางเพื่อให้คนที่มีจุดประสงค์ด้านเดียวกันเข้ามาเจอได้ง่ายและรวดเร็วโดยใช้บริการจากเว็บ Online Portfolio ทั้งหลาย

คุณต้องการโชว์ผลงาน คนที่เข้ามาก็ต้องการคนทำงานเหมือนคุณ เพราะฉะนั้นมันจึงมีเว็บสำหรับ Freelancer ที่เจาะจงงานด้าน digital art หรืองาน design ต่างๆที่ใกล้เคียงให้ได้โชว์ผลงานหรือแม้กระทั่งการจ้างงานก็เกิดขึ้นในที่เดียวอย่างลงตัว แนะนำไว้ 3 ตัว ครับ สมัครสมาชิกแล้วสร้างแกลอรี่ของคุณได้เลย คำนึงไว้ว่าควรทำออกมาให้ดูน่าเชื่อถือสวยงามน่าดึงดูด เพราะบริษัทแนวหน้าจากทั่วโลกกำลังจับตาคุณอยู่

Behance.net
Deviantart.com
Shadowness.com

2. Microstock Sites ขายภาพออนไลน์

Microstock คืออีกช่องทางในการหาเงินจากภาพวาด vector รวมไปถึงภาพถ่าย เป็นวิธีที่สุดแสนจะง่ายดาย นอนรอเงิน.... ใช่แล้วครับนอนรอเงินแต่ไม่รู้ต้องนอนนานเท่าไหร่ ถ้าหากเป็นภาพถ่ายแล้วแน่นอนครับการแข่งขันสูงเหลือเกิน ภาพคล้ายกันมุมเดียวกันคุณจะถ่ายยังไงให้สวยกว่าคนอื่นล่ะครับ คนซื้อจะใส่ใจแค่ภาพขนาดความละเอียด ซื้อเพราะมองว่าสวย หรือสวยกว่า ซื้อเพราะภาพนี้สวยที่สุด แต่สำหรับงาน illustration ,Vector และงาน painting นั้นจุดขายมันอยู่ที่ฝีมือและความเป็นตัวตนของคุณที่จะดึงดูดผู้ซื้อ เราสามารถขายภาพๆเดียวได้เรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุดขายแล้วก็ขายอีกได้หากยังมีคนต้องการ ภาพวาดหรืองาน vector ที่นิยมขายมากที่สุดคือ template ต่างๆ, icon ,ภาพวาด charactor ,ภาพวาดหรือภาพประกอบตัวการ์ตูนทั้งหลายที่เรามักเห็นเค้าเอาไปแปะตามหนังสือหรือนิตยสารด่างๆเป็นต้น

ขอแนะนำ Microstaock Sites ที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน 4 ตัวด้วยกันนอกนั้นหากันเองนะครับ

shutterstock.com
istockphoto.com
fotolia.com
dreamstime.com

3.Envato Marketplaces แหล่งซื้อขายไฟล์ดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุด

ไม่เฉพาะภาพเท่านั้นที่เราจะนำมาขายได้ Envato Marketplaces คือที่ๆสามารถขายได้ทุกอย่างที่สร้างจากไอเดียความคิดของเราตั้งแต่ภาพถ่าย brushes ไปจนถึงสคริปต์ โค้ดต่างๆ วิดิโอ Web Template ซึ่งหมวดหมู่นั้นก็มีมากมายให้เลือก แต่ละหมวดนั้นก็แยกออกไว้เป็นที่เป็นทางง่ายต่อการเข้าถึง ?.คิดว่าอย่างน้อยต้องมีซักอย่างที่คุณถนัดและสามารถใช้ตลาดนี้ทำเงินให้คุณได้ ยกตัวอย่างลิงค์เล็กๆน้อยๆ

Themeforest.net (mobile templates, web, and wordpress)
Graphicriver.net (design templates, photoshop brushes, and vector)
3docean.net (image stock and 3D models)
Photodune.net (photography stock)

4.Design Contest ลงแข่ง

นักวาดภาพทุกวันนี้บอกได้เลยว่าน้อยคนนักที่จะใช้ Photoshop ไม่เป็น หรือแม้กระทั่ง Illustrator เพราะทุกวันนี้คนที่วาดภาพได้ก็ต้องทำกราฟฟิคดีไซน์ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือคงไม่ใช่ปัญหา และถ้าหากคุณสามารถแบ่งเวลาเล็กน้อยออกมาจากกิจกรรมที่หนักหนาสาหัสของคุณได้ละก็มันก็จะเป็นโอกาสทำเงินได้เช่นกัน คือ ลงแข่งขันออกแบบกิจกรรม Contestต่างๆ ไม่มีอะไรเสียหายบางทีอาจพลาดรางวัลแต่นั่นอาจจะทำให้เราได้อะไรใหม่ๆแนวคิดใหม่ๆจากการประกวดก็ได้

อย่างแรกเลยง่ายสุดแต่มันยากตรง concept ส่วนการลงมือนั้นก็ไม่ถือว่ายากมากนัก "Logo Design Contest"
เว็บที่มีการประกวด Logo เป็นประจำ สั่งตรงจากผู้ประกอบการกันเลย ยกตัวอย่าง 3 เว็บ

99designs.com
Logotournament.com
Mycroburst.com

T-shirt Design Cntest
งานวาดภาพหรือออกแบบลายลายสกรีนเสื้อของคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดโนโลก ไปโชว์ให้ต่างชาติเห็นว่าไอเดียของเราก็เจ๋งไม่แพ้ใครเผลอๆคุณอาจได้รางวัลติดไม้ติดมือกลับมาก็ได้ ยกตัวอย่าง 3 เว็บที่มีการแข่งขันชิงรางวัลกัน

Threadless.com
Designbyhuman.com
Teetonic.com

5.Writing Tutorials ทำสื่อเรียนรู้ออนไลน์

ถ้าหากคุณมีเวลาเหลือจากการทำงานก็ควรหยิบเอาความรู้ความสามารถที่คุณมีออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นบ้าง ทำบทเรียนออนไลน์(tutorial)สอนโน่นสอนนี่ที่คุณถนัด เพราะมีเว็บที่ยอมจ่ายให้คุณสำหรับบทความหรือวิดีโอการสอนคุณภาพ ถ้าหาก Tutorial ของคุณได้เผยแพร่ในเว็บเหล่านั้นแล้ว เงินก็จะตามมาตามข้อตกลงจากทางเว็บ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่คุณภาพของ tutorial ว่ายากหรือง่าย
ในไทยยังไม่เคยเห็นเว็บที่รับซื้อ tutorial แต่ทำได้ครับถึงไม่ได้เงินแต่อย่างน้อยก็สร้างความน่าเชื่อถือในงานของคุณเพราะฉะนั้นก็คงหนีไม่พ้นเว็บนอก คนที่เลือกเดินทางนี้ภาษาอังกฤษจำเป็นที่สุด

psd.tutsplus.com
tutorial9.net
design.creativefan.com
designinstruct.com
vector.tutsplus.com
vectordiary.com

สรุป


5 หัวข้อที่กล่าวมานั้นเป็นแนวทางหลักๆที่นิยมทำกัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการใช้อาชีพ digital artis เพื่อสร้างรายได้ ยังมีอีกหลายช่องทางให้ค้นคว้าอีกเยอะ ส่วนวิธีทำแต่ละหัวข้อนั้นต้องศึกษากันเองเพราะมันยาวเหลือเกิน

ขอบคุณความรู้จาก //jayce-o.blogspot.com

(ที่มา : //goo.gl/T1b7B )v




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2556   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2556 16:13:00 น.   
Counter : 1864 Pageviews.  


การ Upgrade Brand

ยุทธศาสตร์อัพเกรดแบรนด์
การ co-brand อย่างแน่นแฟ้นแบบที่เรียกว่า Brand Collaboration เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ขึ้นมา 1 ชิ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับนักการตลาดที่จะสรรหาแบรนด์ที่มี positioning ใกล้เคียงกัน เพราะการเอาแบรนด์ของตนไปผูกติดกับแบรนด์อื่นหากแบรนด์นั้นไม่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงพอ อาจทำให้ร่วมด้วยช่วยกันร่วงได้ โดยเฉพาะ premium หรือ luxury brand ที่นิยมแสวงหา strategic partner มาเสริมค่าเติมราคาให้กับแบรนด์ตน เหล่านี้คือตัวอย่างของการทำการตลาดของ luxury brand ที่เชื่อว่า “ข้ามาคนเดียว” ไม่เพียงพออีกต่อไป

หรูขึ้นอีกขั้นด้วย fashion designer

สินค้ากลุ่มนี้หรูอยู่แล้วแต่เพื่อความหรูยิ่งกว่า จึงจ้างวานแฟชั่นดีไซเนอร์แสดงไอเดียอันบรรเจิดเพื่อให้เกิดโปรดักส์ใหม่แบบ limited edition ให้เป็นมากกว่าเบนซ์

Mercedez Benz CLK Designo by Giorgio Armani เป็น Limited Edition ที่มีเพียง 100 คันทั่วโลก เครื่องหนังสีน้ำตาลตกแต่งภายในเบนซ์คันนี้ ด้วยฝีมือของ Giorgio Armani ทำให้เบนซ์รุ่นแฟชั่นนี้ได้ใจทั้งคนรักเบนซ์และอาร์มานี่ไม่น้อย

จาก Casual Sport สู่ Real Fashion Brand

PUMA ถือเป็นแบรนด์กีฬาที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนี้ เพราะช่างขยันจับ fashion brand มาใส่กีฬา ทั้งการแตกไลน์และออกรุ่นพิเศษ เช่น จับมือกับ Shanghai Tang แบรนด์แฟชั่นหรูจากจีน ออกรองเท้าในชื่อ “Shanghai Tang Peony” ด้วยลวดลายของดอกไม้หลากสีนานาพรรณ ก่อนหน้านั้น Shanghai Tang ร่วมกับ PUMA ในการสร้างสรรค์ “Shudoh Tang” เพื่อสนับสนุนฟุตบอลโลกหญิง ในปี 2003 มาแล้ว

ปี 2003 เช่นกัน PUMA แตกไลน์แบรนด์ให้หรูยิ่งขึ้นในนาม 96HOURS โดยไม่ยอมน้อยหน้าแบรนด์กีฬารายอื่น PUMA ว่าจ้างให้ Neil Barrett ออกแบบแบรนด์ใหม่ใน lifestyle & fashion Category

96 HOURS เป็นการ upgrade ขึ้นอีกขั้น ชนิดที่ว่าหรูไม่แพ้ leading fashion brand เลยทีเดียว แต่งองค์ทรงเครื่องรอนักช้อปแล้ววันนี้ที่ Sport Global Mall สยาม พารากอน เช่นเดียวกันกับ 96 hours กระเป๋าใบละ 10,000 บาทขึ้นไป รองเท้าคู่ละ 25,000 บาท นอกจากนี้ยังมีอีก 4 คอลเลกชั่นที่อยู่ภายใต้ Black Station ของ PUMA คือ STRACK by Philippe Strack, MAHANUALA, NUALA และ MIHARA ซึ่ง 3 คอลเลกชั่นหลังอวดโฉมที่เซ็นทรัล ชิดลม ซึ่งทุกคอลเลกชั่นล้วนแล้วแต่ผ่านการดีไซน์ด้วยดีไซเนอร์ระดับโลก สนนราคาขั้นต่ำ 10,000 บาท แต่ นุสารี แฝงทอง Marketing Manager บริษัท เยอรมันสปอร์ตแอนด์ไลฟ์สไตล์ จำกัด บอกกับ POSITIONING ว่า แม้จะแพงแต่มีคนซื้อและขายดีทุกคอลเลกชั่น โดยจะเน้นโฆษณาในแมกกาซีน เช่น แมกกาซีนของเอ็มโพเรียม สยามพารากอน และใช้กลยุทธ์ product placement ด้วย

ด้าน UMBRO ไม่น้อยหน้าออกแบรนด์ UMBRO BY KIM JONES ดีไซเนอร์หนุ่มเปรี้ยวปรี๊ดจากอังกฤษ ผู้วาดไอเดียผ่าน DAKS มาแล้ว พรทิพย์ วัฒนผลมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวซ์ วินเนอร์ จำกัด บอกกับ POSITIONING ว่า ดีไซน์เปรี้ยวๆ ของ KIM JONES ซึ่งติดอันดับ 20 ของ 100 ดีไซเนอร์ทั่วโลกจากการจัดอันดับของนิตยสาร THE FACE ทำให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดา Metro Guy อย่างยิ่ง ด้วยสนนราคาเบาะๆ 4,900-20,000 บาท ลบภาพ UMBRO แบบเดิมๆ ไปได้เลย และแต่ละรุ่นแต่มีเพียง 1 size เท่านั้น

การพบกันของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำกับโรงแรมหรู

และก็เป็น Versace (อีกแล้ว) ที่ถูกนำไปเสริมเติมค่าให้กับแบรนด์นั่นแบรนด์นี่อยู่เนืองๆ Palazzo Versace ที่ควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย ด้วยสนนราคาแพงสุดที่ 1,700 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อคืน นอกจากโลเกชั่นสุดหรูแล้ว แน่นอนโลโก้เมดูซ่าได้แผ่ปกคลุมทั่วทั้งโรงแรม และที่นี่มี Versace Shop ไว้บริการแฟนพันธุ์แท้ของ Versace เช่นกัน

มือถือดึงแบรนด์พรีเมียมมาอัพเกรด

มือถือระดับแมส เป็นของคู่กายที่ใครๆ ก็พกพาเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันและเป็นแฟชั่นประการหนึ่ง แต่ NOKIA 7270 จ้างวานให้ VERSACE มาอัพเกรดเพิ่มความหรูให้มากกว่า NOKIA ธรรมดา กลายเป็น NOKIA 7270 by VERSACE ซึ่งเป็น limited edition ด้วยสไตล์ ART DECO สีเหลืองจัดจ้าน ผนวกกับสายห้อยโทรศัพท์หรูที่ใช้คริสตัลของแบรนด์ดัง SWAROVSI ทำให้สนนราคาถูกเคาะที่ประมาณ 45,000 บาท...พอหอมปากหอมคอ




 

Create Date : 10 มีนาคม 2549   
Last Update : 11 มีนาคม 2549 7:06:59 น.   
Counter : 852 Pageviews.  


1  2  3  

ผู้ประสบภัยจากความรัก
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add ผู้ประสบภัยจากความรัก's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com