หัวใจ....นำพา...อนาคต....ทางใด
....อายุครบ 26 ปีไปเรียบร้อยแล้วจ้า...พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตอีกเช่นเคย.......บางครั้งก็เราก็เหมือนเด็กงี่เง่าเอาแต่ใจ...ใช้หัวใจในการตัดสินปัญหา...แต่คิดไปคิดมา...เราอยู่ทุกวันนี้ก็ด้วยหัวใจดวงนี้ไม่ใช่หรือ.......รู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อ ก็หัวใจดวงนี้ที่รู้สึก...รู้สึกดี รู้สึกสนุก ก็หัวใจดวงนี้ที่รู้สึก....ไม่รู้เลยอนาคตจะเป็นอย่างไร อาจดีขึ้น หรือเลวลง...แต่รู้แค่ว่า"ต้องการปล่อยหัวใจ จากพันธนากาล คงไว้แค่ความสบายใจ"
จะไม่โทษโชคชะตา โทษฟ้า โทษฝน แต่จะอดทน...อยู่เป็นคนต่อไป
..... เดือนหน้าอายุจะ 26 เต็มแล้ว.....ปี ๆ นึงมันช่างผ่านไปเร็วจัง และปีหน้า เราจะอยู่ที่บริษัทนี้มา ครบ 2 ปีแล้ว....และไม่รู้มันจะจบลง แค่ 2 ปีหรือเปล่า?.... ทำไมมันเหนื่อยใจแบบนี้ก็ไม่รู้....ทั้ง ๆ ที่เรากำลังทำสิ่งที่ฝัน แต่มันกลับไม่มีความสุขเอาซะเลย....... 2 ปีมานี้มีความรู้และประสบการณ์มากมาย....มากจนคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางทำได้....... แต่ชีวิตย่อมต้องเดินต่อ...ถึงจะทุกข์ไปบ้าง...เสียน้ำตาไปบ้าง....แต่ก็คงต้องสู้ต่อ........ อย่างน้อย ชนะคนอื่นไม่ได้....แต่ก็ชนะตัวเองได้.....
เด็กน้อยบนดอยใหญ่...แห่งหมู่บ้านซะละวะ
เคยคิดเล่น ๆ มั้ย?ถ้าชีวิตคุณไม่มีไฟฟ้า...น้ำประปา...ทีวี...คอมพิวเตอร์...อินเทอร์เน็ต และสิ่งความอำนวยสะดวกอื่นๆ คุณจะอยู่อย่างไร?เราเคยถามตัวเองหลายครั้ง...แต่ทุก ๆ ครั้งเรามักจะบอกตัวเองเสมอว่า...เราอยู่ไม่ได้...จนวันที่ 5-10 ธันวาคมของปีนี้ที่มาถึง...เราอยากไปหาที่พักผ่อนเพียงเพราะเราเบื่อกับการทำงานเบื่อกับสังคม..และอยากอยู่อย่างที่ไม่มีการติดต่อบ้างสักระยะ...เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้มันจะทำให้เราค้นพบ...ตลอดเวลาเราคิดเสมอว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราบอกว่าขาดมันไม่ได้...แต่กลับมีคนกลุ่มนึง...ที่เค้าไม่เคยมีแม้แต่โอกาสที่จะมีมันเลย...แต่เค้าอยุ่ได้..และอยู่อย่างมีความสุขมากกว่าเราซะอีก...ใครจะเชื่อ ระยะทาง 12 กม.จากปลายเขา...กว่า 470 กม.จากกรุงเทพ..มันทำให้เราค้นพบอะไรที่เหมือนต่างออกไปอีกโลกนึง..เราก็เหมือนคนออฟฟิตทั่วไป วันหยุดมีเงินก็อยากไป ต่างประเทศ...ไปเที่ยวที่ดี ๆ สบาย ๆ แต่ที่เหล่านั้นไม่เคยทำให้เราสบายใจสักนิด..เท่า.."หมู่บ้านซะละวะ" หรือ สาละวะ สะละวะ ซาละว่ะ แต่ต้องบอกว่า ก่อนเดินทางเราไปด้วยคำว่า ซะละวะ เราลองหาข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านด้วยคำนี้เพื่อเตรียมตัวเดินทางแต่ไม่เจอเลยแม้แต่น้อย(555 ไปโดยไม่รู้ว่าจะลำบากเล้ยยย) หมู่บ้านแสนกันดารห่างไกลกว่า 7 ชม.ที่เราต้องเดินเท้าเข้าไป เพียงแค่เริ่มชม.ที่ 3 เราเริ่มถามตัวเองว่า "ชั้นมาทำอะไรที่นี่"(ดั่งเพลงพี่เบิร์ดเลยทีเดียว) และชั้นจะเดินมันต่อไปไหวมั้ย...ชั้นจะ ๆ ๆ ๆ อีกมากมาย...แต่ทุกคำตอบของชั้นอยู่ที่ใจ...ว่าชั้นต้องทำได้ชั้นเดินขึ้นเขาลงห้วย...ต้องใช้คำนี้จิง ๆ กว่า 7 ชม. เมื่อไปถึงชั้นได้เห็นเด็ก มอมแมม เลอะเทอะไปด้วยคราบโคลน..และฝุ่นจากท้องถนน...สิ่งแรกที่คิดคือ เด็กพวกนี้คงไม่ต่างอะไรกับเด็กมอมแมมธรรมดาในกรุงเทพแต่ 3 วันบนนั้นทำให้ความคิดชั้นเปลี่ยนไป...เด็กที่นั่นน่ารัก..ใส..และปราศจากสิ่งเจือปนมาก ๆ ชั้นข้ามผ่านสิ่งที่เห็นด้วยตาไปสัมผัสถึงความใสซื่อเหล่านั้นและหลงเสน่ห์เข้าแล้วจริง ๆ ...เด็กที่พูดภาษาไทยได้เพียงไม่กี่คำ...คำที่ถนัดปากคงเป็นคำว่า สวัสดี แต่เค้าแสดงออกซึ่งความน่ารักออกมากให้เห็นจนอดคิดถึงไม่ได้เลยทีเดียว...การกลับมาครั้งนี้...คงไม่มีของฝาก...คงไม่มีรูปถ่ายสวย ๆ ...คงไม่มี อะไร ๆ มาเล่าให้ใครๆ ฟัง นอกจากคำว่า...."ประทับใจ"ปล.ทริปนี้อิชั้นไม่สามารถมีแรงแบกกล้องได้จริง ๆ
...... คำถามที่ไม่อยากตอบ ........
.... มีมั้ย..คำถามที่คุณไม่อยากจะตอบเวลาที่ใครถามคุณ....ฉันมี!.... เมื่อวันที่ 29 ที่ผ่านมา...ชั้นดีใจ และอดปลื้มใจแทนน้องสาวไม่ได้..ที่มีผู้ชายคนนึงให้เกียรติ และมาสู่ขอ....... และมันก็เป็นวันที่ชั้นได้เจอกับญาติ ๆ มากมาย...และคำถามที่ตามมามากมายเช่นกัน....
จะทนได้อีกนานมั้ย....?
จะทนได้อีกนานมั้ย...กับความกดดันที่มีอยู่ทุกวันจะทนได้อีกนานมั้ย...กับสภาพร่างกายที่เหนื่อยหล้าจะทนได้อีกนานมั้ย...กับงานที่ท่วมหัวจะทนได้อีกนานมั้ย...กับที่นี่?