ไม่ว่าฤดูร้อนปีไหนๆ กลางวันและกลางคืนที่ผ่านไป คงเป็นเวลาที่เท่ากันเสมอ
space
space
space
 
กุมภาพันธ์ 2568
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
232425262728 
space
space
4 กุมภาพันธ์ 2568
space
space
space

ยอดหญ้า ลานทราย และควายตัวโต
ยอดหญ้า ลานทราย และควายตัวโต
 
ลืมกำพืด แล้วยังข่ม รากเหง้า
อวดเข้า ว่ารวย สวยหรู
อากง ของข้า คือครู
คนไม่รู้ อย่าอ้าง แกล้งอำ
 
               ในประดาหมู่วงศ์ญาติที่เหมือนไม่ใช่ญาติ ไม่ได้มีแค่คนหนึ่งที่เป็นแบบที่เห็น แต่มีคนหนึ่งและคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แสดงให้เห็นอย่างที่ควรจะได้เห็น
               อาฮู ยังไม่มีการมีงานทำดีพอ นอกจากโดนป๊าด่าแล้ว ก็มีญาติๆ ของป๊านี่แหละเป็นตัวโหม
               เขาว่ากันว่าหลานชายคนโตก็เหมือนลูกชายคนเล็กของอากง
               แต่ทว่าตอนนี้ลูกชายคนเล็กแท้ๆ ของอากงกำลังยืนล้วงกระเป๋าทำท่าราวกับเจ้าสัว ปากบนอันเรียบกริบกำลังเกลี่ยยิ้มด้วยความโอหัง เจ้าคนนี้แหละที่กำลังอวดโอ่ลูกสาวของตนว่าได้ที่ทำงานอันแสนมีเกียรติ พอสาธยายความสมบูรณ์แบบของลูกตัวเองให้ญาติๆ ที่มาร่วมไหว้เช็งเม้งฟังแล้ว อาซี๊ก็เข้าประเด็น
               “อาฮู ทำการทำงานอะไรตอนนี้” อาซี๊พูดทั้งๆ ที่สืบข้อมูลมาแล้ว ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงจากปากของอาจู๋พี่ชายปากหมาก็คงไม่กล้ามาพูดเช่นนี้ท่ามกลางประดาญาติที่ออกันหน้าสุสานของอากง
               วงศาคณาญาติเริ่มผสมโรง บางคนที่ดีหน่อยก็อยู่เงียบๆ
               อาฮูเป็นคนไม่อยากเสียมารยาทอยู่แล้วจึงได้แต่บอกเสียงอ้อมแอ้มแทบจะไม่มีใครได้ยิน ปลีกตัวมาเงียบๆ มาเฝ้าชุดไก่ไหว้เจ้ากับเนื้อหมูต้มและปลาหมึกแห้ง กลัวหมาแถวนั้นมาคาบไปกิน ได้แต่มองหลังคาศาลพระภูมิที่ทำด้วยสังกะสีตีตัวเรือนด้วยไม้แล้วทำใจ ที่อันห่างไกลปล่อยให้อาซี๊ตั้งกระทู้ให้อาจู๋ชงแล้วให้ญาติๆ ผสมโรง

               อาฮวยน้องสาวอาฮูเดินมาหา
               “รำคาญชิบหายเฮีย พวกนั้นพูดจาข่มเฮียกันให้สนุกปาก ตอนนี้เขาเรียกเฮียไปไหว้อากงอีกรอบ”
               อาฮูผละเดินไป จุดธูปไหว้อากงเป็นครั้งที่สองพลางอธิษฐาน
               ด้วยจิตคารวะของอั๊วะ ขอให้อากงคุ้มครอง
               “ถ้าทำอะไรไม่ได้ ไปเลี้ยงควายดีไหม” อาซี้พูด แกมยิ้มสะใจ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ควายตัวหนึ่งราคาไม่ใช่ย่อยนา”
               ประโยคแรกเป็นการดูถูกที่คนในยุคนั้นชอบพูดกัน ประโยคหลังเป็นการแก้ทางประโยคข้างหน้าเพื่อให้ตนรอดพ้นการกล่าวหาคนอื่นด้วยการประเมินค่าควายขึ้นมากลบ แล้วตบด้วยรอยยิ้มที่ดูประหนึ่งจะกล่าวโดยไม่กล่าวว่า “กูแน่”
               อาจู๋ปากหมาด่าไปเยอะจึงเลยยืนกอดอก รอลับหลังอาฮูสักนิดค่อยด่าอีกรอบ แต่กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะด่าต่อหน้าเพื่อให้อาฮูเสียหน้าอีกหน
               “ส่งเรียนขนาดนี้แล้ว เอาตัวเองไม่รอด”
               อาฮูงง คิดในใจ “เงินทองของอากงหาใช่ของใครอื่นไม่ เราได้เรียนก็เพราะอากงเค้า”
               ญาติบางคนไม่กล่าวต่อแค่ยิ้มเคอะเขิน ญาติบางคนแสดงความชังอาฮูออกมาทางสีหน้า

               อาฮูมองไปที่สุสานสีขาวของอากง คิดถึงยามที่ท่านยังมีชีวิต
               “อากง นั่งเรือจากเมืองจีนมากี่วัน” นั่นเป็นคำถามในเส้นทางการเดินเล่นในยามราตรียังอ้อยอิ่ง อีกไม่นานฟ้ากำลังจะสางพร้อมการมาเยือนของรุ่งอรุณ
               “เจ็ดวัน สมัยนั้นถือว่าเร็วที่สุดแล้ว”
               อาฮูอยากถามต่อ แต่อากงไม่พูดอะไรแล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่อาฮูเข้าใจคำว่า “ความทุกข์” จริงๆ เพราะก่อนหน้านั้นมีญาติคนหนึ่งมาเล่าความทุกข์ให้ฟัง พูดไปน้ำตาไหลไป แล้วก็แกล้งฝืนยิ้ม อย่างกะละครหลังข่าวที่เด็กๆ ไม่เคยได้รับรู้เพราะนอนหลับไปก่อนแล้ว
               ความทุกข์ที่ไม่อาจบอกออกมาได้ของอากงจึงมีค่ามหาศาลสำหรับอาฮู เพราะนั่นคือบทเรียนที่แท้จริงของคนโง่อย่างอาฮู ซึ่งในวันที่เขาถามอากงอายุเขาก็แค่ 17 ปี
               แต่อากงเล่า...ต้องรับอะไรหลายๆ อย่างตั้งแต่อายุ 16 แล้ว

               นานครั้ง...อากงจะปริปากเล่าอะไรให้ฟัง
               “สมัยก่อนที่ยังเด็ก อั๊วะไปเลี้ยงควาย มันคือการงานที่เรารับผิดชอบก่อนที่จะมาเมืองไทย ที่เมืองจีนลำบากมาก การศึกษาอะไรเราก็ต้องเรียนรู้กันเอง ตอนนั้นเอาวัวไปกินหญ้า ฉกฉวยเวลาช่วงนั้นไปเอากิ่งไม้เขียนบนทรายเป็นอักษร พี่ก็สอนน้อง น้องก็จำต่อๆ มา”
               อาฮูค่อยๆ เข้าใจ
               วันที่เขาเขียนคำว่า เปา บุ้น จิ้น ตามละครจีนหลังเลิกเรียนผิด เป็นอากงที่มาแก้ให้เขา
               และก็เป็นอากงที่สอนเขาเขียนตัวขีดเดียวที่แทนเลขหนึ่ง
               ยังคงเป็นอากงที่สอนเขียนชื่อของเขาเองในภาษาจีน
               ฮู ไม่ใช่แปลตามตัวว่า ฮูเสียงลมที่พ่นออกจากจมูก มันอาจแปลว่าควายก็ได้ยามที่ฮึดฮัดลมออกจมูก อาฮูคิดไปเรื่อย แต่กระนั้นก็ยังบรรเทาเบาบางความโง่ไปได้บ้าง

               อาฮูเห็นอาซี๊ทำหน้าโอหัง
               เขาคิดในใจ ช่างเตี่ย ช่างแม่ง ลืมไปว่านั่นก็อากงอาม่าเขาทั้งสิ้น ตบปากตัวเองแรงๆ ทั้งที่ยังไม่ได้พูด แค่คิดในใจก็ละอายแล้ว
               “ไปคิดเอาเองเถอะอาฮู สมัยอาเจ๊กซี๊อาเจ๊กจู๋อ่ะ ลำบากกันแค่ไหน”
               อาฮูคิด...ลำบากเรื่องเรียนคำถากถางมากเลยสินะ
               ยอดหญ้าหน้าสุสานอากงไหวปลิว อาฮูรับรู้ถึงสายลมอ่อน ลานทรายที่อาฮูเห็นในจินตนาการ ลากเส้นสี่เส้นเป็นคำว่าท้องฟ้า ขณะเดียวกันก็พลันรำลึกถึงควายตัวหนึ่งที่ไม่มีความผิดอะไรแต่กลับถูกแทนคำว่าโง่จากใครสักคนที่คิดว่าตนฉลาด



Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2568
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2568 11:01:58 น. 0 comments
Counter : 294 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณ**mp5**, คุณดอยสะเก็ด


ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

คิมหันต์วิษุวัต
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นความฝัน ดวงตะวัน กลางคืนเที่ยง
ที่ร้อยเรียง ความทรงจำ อันล้ำค่า
เล่าให้ฟัง ใต้ต้นไม้ แต่นานมา
จึงเล่าผ่าน อักษรา เป็นความเรียง

space
space
[Add คิมหันต์วิษุวัต's blog to your web]
space
space
space
space
space