Episode03:เหมือนทุกสิ่งคงหมุนไปแต่ตัวเรากลับหยุดนิ่ง

Episode 03:เหมือนทุกสิ่งคงหมุนไปแต่ตัวเรากลับหยุดนิ่ง

💚...ห้องแรกที่ผมได้เข้าไป คือห้องสำหรับเคสฉุกเฉิน เป็นห้องที่ผมไม่เคยคิดหรือฝันเอาไว้เลยว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาในนี้ด้วยสถานการณ์เป็นผู้ป่วยหนักซะเอง

ในชีวิตของผมมีหลายครั้งที่ได้มาที่ห้องนี้ (แต่เป็นแค่หน้าห้อง) เพื่อมาให้กำลังใจดีๆให้กับญาติของผู้ป่วย หรือมาที่นี่แล้วอธิษฐานวิงวอนกับพระผู้สร้าง เพื่อส่งพลังดีๆให้กับผู้ป่วย เป็นบทบาทประจำที่ตัวผมเคยทำบ่อยๆ คือการพยายามเป็นผู้ให้ส่งพลังดีๆออกไปให้คนอื่น

แต่ตอนนี้บทบาทของผมนั้น ได้เปลี่ยนไปเป็นผู้รับพลังงานดีๆจากคนอื่นบ้างแล้ว ซึ่งผมขอขอบคุณทุกๆคนที่มาในวันนั้นจากใจจริง รวมถึงทุกคนที่แม้ตัวจะไม่อยู่ที่นั่น แต่ส่งพลังงานดีๆ อธิษฐานวิงวอนด้วยความเชื่อในทุกสิ่งที่ทุกคนศรัทธา ที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อผมอย่างใจจริง โปรดจงรับรู้ไว้ว่า ตัวผมนั้นรับรู้และสัมผัสได้เสมอครับ

7...ผมจำไม่ได้หรอกว่าได้เข้าไปในห้องนั้นนานเท่าไร แต่แน่นอนว่ามันคือห้องฉุกเฉิน นอกจากเตียงของผมแล้วยังมีเตียงอื่นๆอีก ผมจำได้ว่าผมได้เห็นเตียงนึง เป็นผู้ชายวัยกลางคน ตัวเขานอนอยู่ที่เตียง มีอาการกระตุกชักอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าเขาโดนอะไรมาหรือเป็นโรคเดียวกับผมไหม ในขณะที่อีกเตียงนึงคนป่วยนอนแน่นิ่งสนิท โดยมีเจ้าหน้าที่พยายามช่วยกันปั้มหัวใจอยู่ ซึ่งผมจำไม่ได้และไม่สนใจเลยว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันนะ

ในจิตใจผมตอนนั้น มันไม่ได้รีบเร่งอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองในตอนนั้น ต้องการยังไงกันแน่จากสิ่งที่เกิดขึ้น

ว่าอยากให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อหรืออยากที่จะจากไปดี (ซึ่งน่าจะอยากจากไปดีกว่า) 17

เพราะข้างในตอนนั้นมันรู้สึกว่า 62ชีวิตของผมนี่มันช่างเหนื่อยเหลือเกิน65 สี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ต้องสู้อดทนอะไรมาก็เยอะ ถ้าได้อยู่ต่อคงต้องสู้อดทนต่อไปอีกจากอาการทางร่างกายที่ตามมา ภาวะจิตใจตอนนั้น มันเหมือนว่า ทุกสิ่งรอบตัวมันหมุนต่อไป แต่ตัวเราเหมือนกลับหยุดนิ่ง

ในตอนที่ผมนอนแล้วคิดจิตใจวนไปวนมาอยู่นั้น ผมก็มองเห็นกลุ่มคนอีกบทบาทหนึ่ง ที่รับบทบาทในการเป็น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในห้อง ทุกคนนั้นรีบเร่งเพื่อดำเนินขั้นตอนรักษาผมให้พ้นวิกฤต มีทั้งแวะมาที่เตียงผมเพื่อซักถามอาการก่อนเป็นต่างๆ ทั้งเสียบสายวัดความดันโลหิต วัดการเต้นของหัวใจ (ผมมีสติตลอดตอนที่เป็น)

ผมเห็นได้เลยว่าทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ในตอนนั้นผมก็เริ่มคิดในใจว่า ผมคงไม่ได้จากไปแล้วล่ะ คงต้องสู้อดทนในชีวิตต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อพี่ๆเจ้าหน้าที่ทุกคน (แอบผิดหวังเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้จากไป ฮ่าๆ????????)

ผ่านไปสักพักเขาก็ย้ายผมไปเพื่อทำการสแกนสมอง เพื่อประเมินรอยโรคว่าจะต้องทำการผ่าสมองหรือไม่ ซึ่งผลออกมาคือว่าผมไม่ต้องเข้ารับการผ่าสมอง เขาจึงส่งผมเป็นผู้ป่วยในเพื่อรักษาอาการที่เป็นต่อไป…

????หมายเหตุ????

??‘?ตรงนี้หลายคนเข้าใจผิดว่าเมื่อเป็นต้องถูกผ่าตัดทุกคน พอหมอไม่ผ่าให้ก็ไปตำหนิหรือต่อว่าพวกคุณหมอเขาเพราะไม่เข้าใจจริง ซึ่งผมอยากจะบอกว่าถ้าไม่ต้องผ่าตัด ที่จริงคุณต้องดีใจต่างหาก ที่คุณโชคดีกว่าอีกหลายคนที่ต้องผ่าตัด เพราะจากการที่ผมศึกษาภายหลังได้เข้าใจว่า ที่ทางแพทย์เขาตัดสินจะผ่าตัด เพราะว่าเคสของคุณยังไม่ชัดเจนระหว่าง อาการหนักกับอาการเบา


101เขาจึงเลือกทำการผ่าตัดเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของคุณนั่นเอง คือว่าถ้าอาการหนักมาก เขาก็จะไม่เสี่ยงที่จะทำการผ่าตัด เพราะมันจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น หรือถ้าอาการเบาไม่รุนแรงก็ไม่จำเป็นต้องผ่าให้คนป่วยต้องเจ็บตัวและเพิ่มความเสี่ยงจากอาการแทรกซ้อนต่างๆอีก ร่างกายเราไม่มีแผลคือดีมากแล้ว

✍️ Write by Heavy ✍️




Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2568
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2568 11:38:14 น.
Counter : 105 Pageviews.

0 comments
(โหวต blog นี้) 
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Heavystrokeman
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



�ทุกสิ่งที่อยากบอก ทุกสิ่งที่เรารู้ ทุกความสุนทรีย์ของโลกใบนี้�