Group Blog
 
All Blogs
 

ชุณฬี่ กับภาพรอยแผลจากการล้ม

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นวันที่สนุกมากๆ ค่ะ เพราะว่าอากาศค่อนข้างจะดี ลมเย็น แดดร่ม ชุณฬี่ก็ออกไปเดินเล่นตั้งแต่เช้า กลับมาก็ทานนม ทาน ข้าว เข้านอนบ่ายแบบปกติ จนตื่นช่วงเย็นก็ออกไปเล่นข้างนอกต่อ เมื่อวานเป็นตัวตลกให้พี่ๆ ที่ออฟฟิศอีกตังหาก ทั้งร้องเพลง เต้นรำ แถมวันนี้เด็กๆ (ลูกของลูกน้อง) กลับจากโรงเรียนเร็ว ก็เลยกลายเป็นชุณฬี่แอนด์เดอะแกงค์เหมือนตอนปิดเทอม

พอกลับบ้านช่วงเย็น ชุณฬี่ก็ชวนพี่ยุ้ย (พี่เลี้ยง) ไปเดินเล่นข้างนอกต่อ บอกว่าจะไปวิ่งเล่น ไปสู้ๆ กัน เหมือนทุกเย็นที่ทำเป็นประจำในวันที่ฝนไม่ตก วันนี้อารมณ์ดีจริงๆ ค่ะ เล่นไม่รู้จักเหน็ดจากเหนื่อยเลย แม่ก็เตรียมกับข้าวเหมือนทุกวันตามปกติ ในขณะที่กำลังทอดปลาเก๋าของโปรดของชุณฬี่อยู่ พี่ยุ้ยก็ตะโกนเข้าบ้านเสียงดัง พร้อมกับเสียงรองเท้า ตึงๆๆ และเสียงร้องโหของชุณฬี่

ตะหลง ตะหลิว แทบจะลอยค่ะ เมื่อเห็นเจ้าเล็กแห้งของมุก นอนแบมาในอ้อมกอดของพี่เลี้ยง พร้อมกับเลือดกลบปาก ปาป๊าก็เด่งดึ๋งออกจากโซฟาโดยอัตโนมัติพร้อมตะโกนถามว่า เกิดอะไรขึ้น มุกก็ตะโกนกลับไปบอกว่า ผ้าชุบน้ำ ด่วน แล้วก็รีบอุ้มฬี่ไปนอนที่โซฟา ค่อยๆ เช็ดเลือดออก

ปรากฏว่า ปากแตกทั้งริมฝีปากบนและล่าง ข้างบนจะเป็นเยอะหน่อย และเห็นว่าผิวปากลอกออกมาเป็นแผ่น มุกก็เลยค่อยๆ เช็ดและดึงมันออกไป แล้วก็เช็ดทำความสะอาดให้คราบดำๆ ออกให้หมด ส่วนริมฝีปากล่างนี่ เป็นแค่แผลถลอกเล็กน้อย แต่ก็มีเนื้อผิวหลุดออกมาเหมือนกัน ก็เลยต้องค่อยๆ ดึงออกมา

ระหว่างนี้ ยัยหนูก็ร้องไห้ไป เลียริมฝีปากตัวเองไป แล้วก็พูดไปว่า "จะไม่ร้องไห้อะ จะไม่เจ็บ" มุกก็ได้แต่ปลอบลูก และก็สั่งพี่เลี้ยงให้หยิบยาห้ามเลือด มาให้ แต่พอทาปุ๊บ ฬี่มันก็เลียกินเข้าไปปั๊บ พอสักพักเลือดก็หยุดไหละค่ะ จังหวะนี้ เค้าก็เริ่มจะหยุดร้อง มุกก็เลยเปิดริมฝีปากขอดูเหงือกกับฟันของลูก

โห.......ใจหายลงไปกองอยู่ใต้ตาตุ่ม เพราะเห็นรอยบิ่นเล็กๆ อยู่ที่ฟันซี่หน้า (ฟันกระต่ายข้างขวา) พอใช้นิ้วเขี่ยๆ ดู ปรากฏว่า มันโยกได้นิดๆ แต่ไม่มีเลือดออกมา ป๊าก็หันมาถามว่าเป็นไง มุกก็เลยบอกป๊าว่า ฟันลูกแตกนะ แต่ไม่แน่ใจว่าแตกไปถึงไหนอะ พอเจ้าตัวเล็กได้ยินก็เริ่มจะร้องไห้อีก แล้วบอกแม่ว่า "ฟันจะไม่แตกอะ แง๊ๆๆๆ" มุกก็เลยต้องหลอกเค้าและบอกว่า ไม่แตกลูก ฟันไม่แตก ยังสวยเหมือนเดิม

แล้วก็ปลอบกันอีกสักพักใหญ่ๆ ก็ให้เค้าอยู่กับพ่อกับพี่เลี้ยง พี่ยุ้ย(ที่เป็นพี่เลี้ยง) ก็เสียใจมาก เพราะไม่นึกว่าน้องจะล้มลงหน้าฟาดพื้นแบบนี้ เพราะก็เล่นด้วยกันทุกวันนอกบ้าน มุกก็ต้องปลอบทั้งลูกด้วย ทั้งพี่เลี้ยงด้วยว่าอย่าคิดมาก มันเป็นอุบัติเหตุ และก็รู้ว่าน้องเค้าเสียใจจริงๆ ที่รับชุณฬี่ไว้ไม่ทัน มุกก็บอกว่า ของอย่างนี้ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า และหนูก็ทำถูกต้องคือรีบพากลับบ้านได้เร็วที่สุด แล้วก็เลยได้โอกาสสอนวิธีปฐมพยาบาลขั้นต้น หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก

แล้วมุกก็กลับไปทำกับข้าวต่อ พอทำเสร็จ ก็ยังคิดอยู่ว่าชุณฬี่คงจะเจ็บปากมาก เพราะเริ่มบวมเจ่อ และคงจะเคี้ยวข้าวลำบาก ดีที่ว่าตอนเย็นๆ ได้กินเกี้ยวน้ำกับข้าวต้มมัดรองท้องไปแล้ว ก็คิดว่าถ้าคืนนี้ไม่กินข้าวก็จะให้ทานนมอย่างเดียว ปรากฏว่าเค้าก็เป็นปกติเลยค่ะ ร่าเริง พูดมากเหมือนเดิม แล้วก็ทานข้าวเอง หมดชาม ยังซัดส้มโอต่อได้อีก
พอทานข้าวกันเสร็จ มุกก็ชวนปาป๊ากับชุณฬี่ออกไปร้านหมอฟันทันที กะจะให้คุณหมอดู แล้วก็จะเลยไปซื้อยาที่ทาแผลในปากแบบขี้ผึ้ง จะได้ทาตอนที่หลับไปแล้วได้ แล้วชุณฬี่ก็ตบนมอัดเม็ดมาอีก 3 ห่อค่ะ มุกก็ตามใจทุกอย่างแบบว่า วันนี้หนูเจ็บตัวไปแล้ว แม่ยอมทุกอย่าง พอดีว่าคุณหมอฟันเค้ากลับไปแล้ว เจอแต่ผู้ช่วย ซึ่งเค้าก็บอกว่าเคสแบบนี้ให้รอไปก่อนประมาณ 1 เดือน เพื่อดูว่ามันจะอักเสบหรือไม่ เพราะบางทีมันอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ หรือถ้าเป็นฟันมันก็จะดำขึ้นเรื่อย หรือที่เรียกว่าฟันตาย แล้วค่อยมาถอนออก หรือจะครอบฟันก็แล้วแต่

พอกลับมาบ้านก็คุยกันว่า คงไม่รอหรอก พรุ่งนี้จะไปที่โรงพยาบาลเลยไปให้หมอฟันเด็กดูโดยเฉพาะไปเลยดีกว่าจะได้รู้ว่าต้องรอ หรือต้องทำอะไรต่อไป

คืนนั้น ประมาณ ตีหนึ่งกว่าๆ ชุณฬี่ก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา มุกกับป๊าก็ตกใจนึกว่าเค้าเจ็บแผลหรือเจ็บฟัน ที่ไหนได้ บังเอิญเค้าดันไปเลียกินขี้ผึ้งที่แม่ทาปากไว้ให้ แล้วมันดันไปติดฟัน ติดเหงือก ที่นี้ก็เลยโมโหเป็นอย่างมาก พาลโกรธแม่กับพ่อบอกจะไปหาพี่ยุ้ย มุกก็ต้องปลอบใจ เอาทั้งวิตามินซีให้ นมอัดเม็ดให้ และตบท้ายด้วยนมอีกหนึ่งขวดเล็กจนหลับไปแบบอารมณ์ดี และตื่นเช้ามาก็ทำตัวได้ตามปกติ ส่วนแม่มันนะเหรอ หลับไม่ลงอีก 1 ชั่วโมงกว่าๆ นอนไปก็มองหน้าลูกไป นึกสงสารลูกจับใจ ทั้งที่อีกใจก็รู้ว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องปกติของเด็กๆ ทุกคน บางคนก็เจ็บตัวเยอะ บางคนก็เจ็บตัวน้อย แล้วบังเอิญชุณฬี่ก็เพิ่งจะเริ่มเดินได้ไม่เท่าไหร่ ขาก็ยังอ่อนอยู่มาก โอกาสเจ็บตัวก็เยอะกว่าทั่วๆ ไป แล้วมันก็คงจะไม่ถูกที่เราจะไปห้าม หรือไปหยุดโอกาสในการเรียนรู้ของเค้า พอคิดได้อย่างนี้ ก็นอนหลับตาลงค่ะ

เช้านี้โทรไปที่โรงพยาบาลเกษมราษฏร์เช็คดูว่ามีหมอเด็กเข้าเวรมั้ย เพราะว่าพญาไท 3 มีวันเสาร์ แล้วมุกก็ไม่อยากรอนานขนาดนั้นค่ะ พอได้เวลาก็เลยหอบกระเตงกันไปทั้งป๊า ทั้งม๊า ชุณฬี่และพี่ยุ้ย เพราะเป็นโรงพยาบาลใหม่ที่ไม่เคยเข้า ชุณฬี่ก็ยังไม่รู้ มีแต่ถามมาม๊าว่า นี่ห้างชื่ออะไร แม่ก็บอกว่าชื่อเกษมราษฏร์ แต่พอตอนขึ้นไปตรวจจริงๆ แม่เจ้าประคุณของมุก แหกปากดังลั่นไปอีก 3 ตึกข้างๆ กะแค่คุณหมอขอดูฟัน และขอเอ็กซเรย์ มุกก็ต้องถูกแยกออกมา แต่ใจหนะ อยากจะเข้าไปกอดลูกมากๆ พอเสร็จรอบแรกพี่เลี้ยงอุ้มกลับมาให้ ลูกก็โผเข้าหาแม่อย่างด่วน ร้องไห้ซะเหมือนกับเพิ่งผ่านศึกสงครามมา แม่ก็ปลอบจนหายดี ป๊าก็เดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับบอกว่า คุณหมอขออีกรอบ เพราะรอบที่แล้วเห็นไม่ชัด แล้วป๊าก็เลยต้องอุ้มฬี่ไปทั้งๆ ที่ยังร้องไห้อยู่ รอบนี้เสียงดังกว่าเดิม

อีกสักครู่ คุณหมอก็เดินเข้ามาและแจ้งว่า ด้านหน้าที่เห็นว่ามันเป็นรอยแตกนิดเดียว แต่พอเอ็กซเรย์แล้วถึงได้รู้ว่า มันแตกยาวลึกลงไปในเหงือก และเฉียดๆ กับโพรงประสาท และก็แนะนำว่าให้ถอดออกเหอะ

โอ้ยย......อยากจะจับหัวคุณหมอโขกกับกำแพงจริงๆ ค่ะ ในใจคิดว่า จะบ้าเหรอไง ลูกชั้นเพิ่งจะ 2 ขวบนิดๆ ให้ถอดฟันได้ไง เจ็บตายเลยอะ แต่ปากหนะ ต่อรองกับหมอสุดริด ถามถึงโอกาสที่จะไม่ต้องทำอะไรกับมันเลยได้มั้ย ซึ่งคุณหมอก็อธิบายว่า มันเสี่ยงอยู่ เพราะถ้าเกิดว่ามันอักเสบขึ้นมา ซึ่งเป็นไปได้สูง เพราะในปากคนเรามันมีเชื้อโรคอยู่ แล้วการอักเสบมันลามไปถึงรากฟัน หรือเลยขึ้นไปโดนหน่อฟันแท้ มันจะยิ่งแย่ใหญ่

พอฟังเข้าแบบนี้ ก็เลยต้องถอดหายใจกันเฮือกใหญ่ทั้งพ่อกับแม่ ตอนนั้นก็ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบไป ไม่มีใครกล้าตัดสินใจเลย มุกมองหน้าป๊า รู้ได้ในทันทีว่า เค้าไม่อยากให้ทำอะไรลูกสาวเค้า แต่ตัวมุกเองอะ คิดว่าให้เอาออกไปเหอะ เจ็บครั้งเดียว แล้วป๊าก็เลยขอคุณหมอยืดออกไปอีกหนึ่งอาทิตย์ เพราะว่าอยากให้แผลแตกที่ปากมันหายซะก่อนค่ะ ซึ่งคุณหมอก็เห็นด้วยบอกว่าน่าจะได้

มีนิดนึงค่ะ คุณหมอเค้าค่อยข้างแปลกใจว่า ทำไมมันไม่ร้องเจ็บฟัน ทั้งๆ ที่มันแตกลึกลงไป แล้วยังกินข้าว กับน้าเย็นๆ ได้อีก มุกก็คิดในใจว่า นังนี้มันพันธุ์อึดอะ มันเจออะไรที่เยอะกว่านี้ มาตั้งแต่เด็กแล้วมั้งคะ

รู้สึกแย่จริงๆ ที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น บางทีนะคะ ก็มีแอบคิดโทษตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าไม่ท้องโย้ขนาดนี้ ลูกอาจจะเล่นอยู่กับเรา แทนที่จะออกไปเล่นซนด้านนอก แล้วก็อาจจะไม่ต้องล้มบ่อยๆ แต่คิดไปก็เท่านั้นค่ะ มันเกิดขึ้นไปแล้ว ก็หาวิธีแก้ไขจะดีกว่า

อันนี้เป็นภาพประกอบ สำหรับรอยแผล ไม่สดเท่าไหร่ เพราะว่าผ่านมาแล้วหนึ่งวันค่ะ







อย่างไรก็ตาม เค้าก็ยังอารมณ์ดีอยู่อีกค่ะ ทำตัวเหมือนเป็นปกติ ในวันต่อมาก็ยังทานข้าว ทานนม ทานน้ำได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ก็ยังทำหน้าแป๋วแหววใส่แม่เหมือนเดิม รูปข้างล่างนี่ ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นรอยแตกของฟันนะคะ






พยายามจะถ่ายให้ close up ที่สุดแล้ว แต่ตอนหลังๆ ไม่ค่อยยอมให้ความร่วมมือกับแม่เท่าไหร่ จะถดหนีไปทุกที ก็นึกว่าเจ็บปาก หรือว่า รำคาญ ที่ไหนได้ เป็นเพราะเค้าปวดอึนั่นเอง ช่วงนี้ชุณฬี่กลับมาอึเป็นปกติแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่ยอมนั่งกระโถนอยู่ดี พอจะจับนั่ง เค้าก็จะถามว่า จะสวนมั้ย จะสวนเหรอ มุกก็บอกว่าเปล่า ให้นั่งเฉยๆ ก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องกลับไปสู่ท่าบังคับตามฟอร์ม ไม่รู้อึออกได้ไงเหมือนกัน กับท่านี้










เป็นการกระทำแบบเงียบๆ แต่ว่ากลิ่นนี่ เล่นเอาพ่อกับแม่เกือบเป็นลมไปเรยยย




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2550 15:07:44 น.
Counter : 10665 Pageviews.  

แรกรัก-รักแรก

เริ่มรู้สึกรักลูกตั้งแต่เมื่อไหร่???
กับคำถามแบบนี้ หลายคนอาจจะคิดว่า บ้าหรือเปล่า แต่สำหรับมุกเอง มุกคิดว่ามันเป็นคำถามที่ลึกซึ้ง เพราะเมื่อกลับมานั่งย้อนคิดดีๆ แล้ว ความรักลูก มันไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด เมื่อเริ่มรู้ว่าท้อง เหมือนในละครโทรทัศน์ที่ได้ดูกันอยู่ทุกวัน


เมื่อเริ่มท้องชุณฬี่ มุกก็แค่รู้สึกแปลกใจ และรู้สึกว่า อืม...มันมีภาระเพิ่มขึ้น มีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในร่างกาย เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องพึ่งพาเราทุกอย่าง มันรู้สึกแค่นั้นจริงๆ หรือจะเป็นเพราะว่ามุกเป็นคน sensitive สั้น ก็ไม่รู้ คือเป็นแบบหวั่นไหวแป๊บๆ ลึกซึ้งนิดๆ หน่อยๆ พอหอมปากหอมคอ ไอ้ความรู้สึกที่ว่า รักเหลือเกินมันก็เลยยังไม่เกิดขึ้น

พอวันที่ได้เห็นหน้าเค้าจริงๆ



ก็ยังนั่งคิดอยู่เลยว่า นี่เหรอลูกชั้น ทำไมมันน่าเกลียดนักฟะ ไม่ได้เค้าความสวยของชั้นมาบ้างเลย 555555 เหมือนปู่มันชะมัด (อ้าว) ในช่วงเวลา 1 เดือนแรกที่ผ่านไป มันเป็นช่วงที่มุกทุกข์มากที่สุดของชีวิต เพราะนอกจากจะต้องปรับตัวกับการเลี้ยงลูกเล็กๆ ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบปกติ แล้วยังต้องเจอสภาพที่ลูกมีปัญหา ทำให้รู้สึกทุกข์และท้อใจ จนหลายครั้งก็ยอมรับเลยค่ะ ว่าอยากจะหยุดชีวิตไว้แค่นั้น ต้องทนเห็นลูกถูกตรึงอยู่ในสภาพแบบนี้ทุกวัน ทุกวัน ในแต่ละชั่วโมงที่ผ่าน มันช่างทรมานเหลือเกินค่ะ ได้แต่คิดว่า เมื่อไหร่จะผ่านไป เมื่อไหร่ลูกจะหาย
จนถึงตอนนี้ ความรู้สึกสงสารลูก ก็ยังมากกว่าความรู้สึกรัก

แต่พอผ่านมาซักพัก เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น ก็ชักรู้สึกว่า อืม มันน่ารักเหมือนกันแหะ (จริงๆ คงต้องบอกว่า น่ารักที่สุดในโลกมากกว่า) ยิ่งได้เห็นเค้ามีพัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งอดที่จะรักเค้าไม่ได้ มันค่อยๆ งอกงาม ค่อยๆ เพิ่มพูนในแต่ละนาทีที่ผ่านไป ไม่ว่าเค้าจะอยู่ในอารมณ์ไหน ร้องไห้ ยิ้ม หลับ หัวเราะ อารมณ์ดี หรือหงุดหงิด มันช่างดูน่ารักไปหมดเลย

และแล้ว ความรัก มันก็เกิดขึ้น ไม่รู้ตัวว่า วันไหนที่เริ่มรัก แต่รู้อย่างเดียวว่าเป็นความรักที่ไม่ต้องการอะไรจากเค้า ไม่มีเงื่อนไขให้เค้า ถ้าจะมีก็คงมีแค่อย่างเดียว คือ ขอแค่หนูอยู่กับแม่ แม่ก็มีความสุขแล้ว




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2550    
Last Update : 22 มิถุนายน 2550 10:31:08 น.
Counter : 1031 Pageviews.  

บททดสอบ ความเป็นแม่

เรามีเรื่องของตัวเราเองมาเล่า มาแชร์ให้เพื่อนๆ ฟังค่ะ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเราเองเสียทีเดียว เป็นเรื่องของลูกสาวตัวน้อยๆ ของเรามากกว่า ในช่วงปีแรกๆ ของการแต่งงานเรารู้สึกพอใจมากๆ กันชีวิตครอบครัวทั้งเรื่องงาน เรื่องวิถีความเป็นอยู่ เราขอใช้คำว่าสบายใจและสบายกายมากๆ เรากับสามีเป็นเพื่อนเรียนกันมาก่อน เลยทำให้ชีวิตคู่เป็นอะไรที่สบายๆ ไม่ต้องปรับให้มากนัก อยู่กันแบบเพื่อนคู่คิด คู่ชีวิตได้ งานที่ทำก็ดี เป็นของตัวเอง อยากจะหยุดก็หยุดไปเที่ยวไปทำอะไรได้ตามสบาย ในตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าชีวิตมันสมบูรณ์แล้ว

หลังจากแต่งมาได้ 2 ปีแล้ว ก็เริ่มคิดเรื่องลูก จริงๆ ก็รู้ว่าแฟนเราอยากมีลูกตั้งแต่ปีแรกๆ ที่แต่งงานแล้ว แต่เราก็คิดว่าขอใช้ชีวิตคู่ดูก่อน ซึ่งเค้าก็เห็นด้วย เราคุมกำเนิดอยู่แค่ปีแรก เพราะพอเข้าปีที่ 2 เราก็คิดว่าถ้าเค้าจะมาเกิดก็ให้เค้ามา แต่....ก็รอจนผ่านปีที่ 3 เค้าก็ยังไม่มา

เราก็เลยไปหาหมอที่เก่งเกี่ยวกับเรื่องมีลูก ซึ่งก็มารู้เอาทีหลังว่าที่ไม่ติดซักที เป็นเพราะเรามีปัญหาเรื่องมดลูก แต่คุณหมอก็ให้กำลังใจว่า ไม่ได้ถึงขั้นต้องทำกิฟท์ เราก็รักษาและพยายามที่จะมีอยู่จนเกือบๆ ปี ข่าวดีก็มาค่ะ

ครั้งแรกที่ผลทดสอบออกมาว่า เราท้อง เราดีใจสุดๆ ทั้งตื่นเต้น ทั้งงงๆ ทั้งรู้สึกแปลกใจ เราลูบท้องตัวเองจับอยู่ตลอดเวลา แล้วก็คิดในใจว่า ลูกจ๋า หนูมาแล้วเหรอ แม่ดีใจจัง

ในช่วงการตั้งครรถ์ 3 เดือนแรก เป็นอะไรที่แปลกดีสำหรับเรา เราแฟ้ท้องอยู่ไม่นานนัก ประมาณ 3 อาทิตย์ กว่าๆ ก็ดีขึ้น แต่ก็ทำให้น้ำหนักเราลดไปเยอะเหมือนกัน หลังจากที่ดีขึ้น น้ำหนักเราก็ยังขึ้นไม่มากเท่าไหร่ เป็นเพราะเรารู้สึกอยากอาหารไม่ได้ผิดไปจากก่อนท้องเลย ไม่มีอะไรที่อยากทานเป็นพิเศษ ปริมาณที่ทานก็เหมือนๆ เดิม แต่สภาพจิตใจตอนนั้นเรารู้สึกดีจริงๆ คิดอยู่ตลอดว่าดีใจๆ ปลื้มใจที่ในชีวิตนึงได้ให้กำเนิดคนๆ นึง คิดอยู่แต่แบบนั้นค่ะ เราเป็นคนท้องที่มีความสุขมากๆ คนรอบข้างก็เอาใจ เราเองก็ค่อนข้างจะระวังทั้งเรื่องอากาศ อาหาร และสภาพจิต ดูเหมือนๆ ก็เป็นปกติทั่วไป

พอเข้าช่วงเดือนที่ 7-8 คุณหมอก็ซาวน์ให้อีกที เพื่อดูเพศให้ชัด และดูว่าเค้าเริ่มจะกลับตัวหรือยัง คุณหมอบอกว่าสงสัยจะได้ลูกสาว ในใจเราก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากๆ เพราะอยากให้คนแรกเป็นผู้หญิงเหมือนที่เราเองก็เป็นลูกคนโต แต่...ก็มีอยู่อย่างนึงคือ ลูกสาวไม่ยอมกลับตัว แต่อยู่ในสภาพพับครึ่งท่อน คือเอาขาสองข้างพับขึ้นข้างบน เท้าอยู่บนหัว ตอนนั้นเราก็ถามว่าอันตรายมั้ย คุณหมอก็บอกว่าไม่หรอก แต่คงจะคลอดยาก อาจจะต้องผ่าออก ในจริงเราก็เตรียมพร้อมสำหรับการคลอดเอง แต่ก็คิดว่า อืม ผ่าก็ได้ไม่เป็นไร ขอให้เค้าปลอดภัยก็พอ

และแล้ววันนั้นก็มาถึง เราเตรียมพร้อมทั้งใจทั้งกาย คิดอยู่อย่างเดียวว่าขอให้เค้าปลอดภัย ขอให้เค้าปลอดภัย เราไม่รู้สึกกลัวเจ็บเลยสักนิดเดียว บรรยากาศในห้องคลอดก็เป็นไปด้วยดี หมอยาที่เป็นคนบล็อกหลังก็น่ารักมาก ให้กำลังใจเราตลอด บอกขั้นตอนในการผ่าคลอด ซึ่งก็ใช้เวลาเพียงแค่ช่วงอึดใจเดียวจริงๆ แล้วเสียงของยัยหนูน้อยก็ร้องจ้า

ไม่รู้นะ ในความรู้สึก มันไม่ใช่แบบว่าเป็นฮีโร่ช่วยกอบกู้โลกหรืออะไรทำนองนั้น มันรู้สึกแบบว่าอ้าว...เสร็จแล้วเหรอ เร็วจัง แล้วพอมีสติกลับมาได้ เราก็รีบถามว่าเป็นไงบ้างลูกเรา โอเคมั้ย ครบมั้ย ผู้หญิงใช่มั้ย คุณหมอก็อุ้มเค้ามาใกล้ๆ โอ้โห...แว๊บแรกที่เห็นเค้า ก็เราก็คิดว่าทำไมน่าเกลียดจัง ตาก็ตี่ๆ หน้าก็บวมๆ ตัวงี้แดงเชียว เราไม่ได้ร้องไห้ดีใจเหมือนในละครที่ดู ซึ่งตอนก่อนจะคลอดเราก็คิดไว้ว่าคงจะซาบซึ้งมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบโล่งอกมากกว่าที่เค้าปลอดภัย

พอพยาบาลเค้าเข็นเราออกมาจากห้องคลอดเรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ คุณพยาบาลก็ถามเราว่า ก่อนจะกลับเข้าห้องพัก จะแวะดูลูกสาวก่อนมั้ย เราก็พยักหน้าแว๊บที่สองที่ได้เห็นหน้าเค้า ความรู้สึกว่า รักเค้า มันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นค่ะ

เราเป็นคุณแม่ผ่าคลอดที่เรียกว่าฟื้นตัวเร็วมากๆ ในช่วงเย็นๆ ของวันนั้น เราก็เริ่มจะขบับตัวไปมา พลิกซ้ายพลิกขวา ถึงแม้มันจะรู้สึกเจ็บและจุกมากๆ แต่เราก็คิดไว้ว่า ต้องฟื้นให้เร็วที่สุด จะได้ให้นมแม่ได้ ในวันรุ่งขึ้น ช่วงสายๆ เราก็เริ่มจะเดินเหินได้คล่องขึ้น และพอช่วงบ่ายๆ พยาบาลก็มาถอดเอาสายปัสสาวะออก พอประมาณซัก 4-5 โมงเย็น เค้าก็มีรถเข็นมารับเราไปที่ห้องเด็กอ่อน เพื่อไปฝึกให้นมลูก

แว๊บที่ 3 ที่ได้เห็นเค้า ครั้งนี้เค้านอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมอกเรา แม่ที่เก้ๆ กังๆ อุ้มผิดๆ ถูกๆ คุณพยาบาลก็ถามว่าคนแรกใช่มั้ยคะ เราก็พยักหน้า เค้าก็พยายามจะสอนให้อุ้มและป้อนนมแม่ให้เค้า ลูกสาวตัวน้อยของเราช่างน่ารักเหลือเกิน ในความคิด ตา จมูก ปาก มือ เท้าเล็กๆ จุ๋มจิ๋มไปหมด แรงดูดก็ไม่ค่อยจะมี ดูดได้แป๊บเดียวก็หลับ ต้องคอยเขี่ยแก้ม เขี่ยหัวอยู่คลอด มีความสุขค่ะ

เราอยู่ที่โรงพยาบาลแค่ 4 วันแล้วก็กลับ ตอนที่กลับมาก็ฉุกละหุกกันหน้าดู ตอนที่เราพักฟื้นนี่ เราเลือกที่จะอยู่กับพ่อและแม่ของเรา เพราะว่าใกล้โรงพยาบาลที่คลอดมากกว่าที่บ้านเราเอง และเราก็อยู่กับสามีแค่สองคน เรามาซึ้งใจกับคำว่ามือใหม่จริงๆ เพราะทำผิดทำถูก ในใจก็คิดเอาว่าลูกจ๋า หนูมือใหม่ แม่ก็มือใหม่ เรามาร่วมมือร่วมใจกันนะลูกนะ

เมื่อผ่านไป 10 วัน เราต้องกลับเข้าไปที่โรงพยาบาลใหม่ เพราะลูกสาวมีอาการตัวเหลืองมากขึ้น และต้องรับการตรวจการได้ยินด้วย เนื่องจากเมื่อตอนแรกคลอดนั้น แกยังไม่ผ่านการตรวจ นี่คือครั้งแรกของการพาลูกไปโรงพยาบาลหลังจากที่กลับมาบ้านแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เราก็ยังคงเก้ๆ กังๆ เช่นเดิม การเตรียมความพร้อมของข้าวของเครื่องใช้ก็ยังไม่ค่อยจะถูกเท่าที่ควรจะเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เรากังวลใจไปมากกว่าการที่คุณหมอ ได้บอกในสิ่งที่ทำให้เรา ช็อค

คุณหมอได้ทำการตรวจดูลูกสาวเราตามปกติ แต่พอเค้าลองอุ้มๆ แกดู เค้าก็รีบเอาวางลงที่เตียง และพยายามจับสะโพกของแกดู พร้อมทำสีหน้าไม่ดีนัก เราก็รีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าก็บอกว่ารู้สึกว่าข้อสะโพกจะหลวมๆ นะคะ ทั้งเรา ทั้งแฟน ทั้งคุรยาย (แม่ของเรา) ก็ตกใจมาก แล้วก็รีบถามว่าหมายความว่าอย่างไร เค้าก็บอกว่ายังบอกอะไรไม่ได้มาก สงสัยต้องส่งไปให้ข้างล่าง เอ็กซเรย์กระดูกดู แล้วให้ไปพบหมอกระดูกโดยตรง

ในวินาทีนั้น เรารู้สึกมึนตึบไปหมด เราพยายามเรียกสติกลับมาให้เร็วที่สุด เราหันไปมองหน้าสามี เค้าก็ยิ้มให้แล้วบอกว่า อย่าเพิ่งคิดมาก ให้ทำใจเย็นๆ ก่อน ให้รอดูหมอกระดูกวินิจฉัยอีกที ค่ะ หลังจากคุณหมอกระดูกได้ดูฟิลม์ และลองจับสะโพกลูกสาวเรา เค้าก็บอกว่า ข้อสะโพกมันหลวมจริงๆ หลวมที่ข้างซ้าย ซึ่งเค้าก็แนะนำว่าให้รีบพาไปพบอาจารย์แพทย์เค้าที่รามา ซึ่งเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ โชคดีจริงๆ ที่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ และวันรุ่งขึ้นก็มีคลีนิคกระดูกเด็กพอดี

ก่อนจะกลับ เราก็พาลูกสาวไปตรวจการได้ยินอีกครั้ง ซึ่งผลที่ออกมาก็ยังไม่ผ่าน เราก็ออกมาน้ำตาคลอๆ บอกกับแม่เราว่า วันนี้ไม่ใช่วันของเรา ไม่ว่าอะไรๆ ก็ไม่ดีไปเสียหมด แม่เรากอดเราแน่น พร้อมกับก้มลงจูบที่หน้าผากเจ้าตัวเล็ก บอกกับเค้าว่า หลานยายต้องไม่เป็นนะลูก

ในวันรุ่งขึ้น เราก็ไปที่รามาพร้อมกับแฟนเรา และพี่เลี้ยง นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ไปโรงพยาบาลรัฐ คนเยอะมากๆ ใจเราก็คิดว่า ทำยังไงดี คนเยอะขนาดนี้ กว่าลูกสาวเราจะได้ตรวจก็ต้องรอตั้งนาน ไหนจะเรื่องของอากาศ ลูกเราก็ยังเล็กอยู่ เพิ่งจะแค่ 10 วันเอง จะไม่สบายมั้ย ก็คิดไปต่างๆ นานาค่ะ แต่สุดท้ายก็รอไม่นาน คุณหมอก็ให้ลูกเราเข้าไปตรวจเป็นคนแรก พอท่านได้ดูฟิลม์เอ็กซเรย์ ท่านก็บอกว่า อืม...ไม่ค่อยดีเลย เราก็รีบถามว่า ข้อสะโพกหลุดที่ข้างซ้ายเหรอคะ ท่านก็ส่ายหน้าบอกว่า เปล่า....แต่หลุดทั้งสองข้างเลย

ตอนนั้นเราช็อคสุดๆ คิดอยู่แต่ว่า นี่เป็นความฝัน นี่เป็นความฝัน เราต้องตื่นแล้วนะ จะหลับแบบนี้ไม่ได้นะ แต่เมื่อท่านค่อยๆ เล่าให้ฟังว่าจะต้องรักษาอย่างไรบ้าง เราก็รู้แล้วว่า มันคือความจริง ในตอนที่คุยกันนั้น ลูกสาวตัวน้อยของเราก็ยังไม่รู้อะไร ยังคงหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข เหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้วคุณหมอกับทีมแพทย์ที่เหลือก็พาเราไปที่ห้องอัลตราซาวน์เพื่อไปดูกระดูกอีกครั้ง ซึ่งหลังจากนั้น ท่านก็บอกว่าหลุดออกมาเยอะมากเหมือนกัน โดยเฉพาะข้างซ้ายและต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุด โดยปกติจะพบอาการอย่างนี้หลับจากที่คลอดออกมา แล้วก็รักษาทันที แต่นี่ทั้งไว้ตั้ง 10 วัน ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงยิ่งขึ้น เราก็ถามว่าทำไมตอนที่แรกคลอดคุณหมอที่ทำคลอดเค้าไม่ทราบหรือไร ทั้งๆ ที่เป็นหมอที่รามาเช่นเดียวกัน ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า เคสอย่างลูกสาวเรา มันดูยาก เหมือนจะไม่หลุด แต่ก็หลุดและเป็นไปได้ว่า ตอนคลอดยังไม่หลุด แต่มาคลายตัวเอาหลังจากนั้น 2-3 วันก็เป็นได้

เราเริ่มร้องไห้ค่ะ ร้องโดยไม่อายใครทั้งนั้น มีมแพทย์ทุกคนมองหน้าเรา และมีสายตาที่บอกว่าทั้งเห็นใจและสงสาร แต่เราก็ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำไม ทำไมมันเกิดขึ้นได้ เราทำอะไรผิดหรือเปล่า ทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า ถึงส่งมาถึงลูกสาวของเราได้

แล้วคุณหมอก็พากลับลงมาที่ห้องที่รักษา พร้อมเอาชุดรั้งสะโพกมาให้ลูกสาวใส่ แต่ก่อนที่จะใส่ชุดนี้ แกต้องดันเอาข้อสะโพกกลับเข้าที่ก่อน และตรงจุดนี้แหละค่ะ ที่เราเกือบล้มทั้งยืน เมื่อต้องเห็นลูกสาวอายุ 10 กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทั้งสามีและเรากอดกันร้องไห้ ไม่เว้นแม้แต่พี่เลี้ยงที่เพิ่งจะจ้างได้แค่ 3 วัน ก็ยังร้องไห้ไปกับเราด้วย ลูกเราต้องอยู่ในชุดที่รั้งเค้าไว้ ตึงทั้งขาให้แบออกให้กว้างที่สุด เราไม่สามารถจะอาบน้ำให้เค้าได้ ต้องเช็ดตัวอย่างเดียว ในระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน ลูกเราก็ร้องไห้มาตลอดทาง ซึ่งเราเดาเอาว่าเค้าคงจะเจ็บมาก เราก็กอดเค้าไป ร้องไห้ไป พอหันหน้าไปหาสามี เราก็เห็นเค้าเอามือเช็ดน้ำตาออกอยู่ตลอดเวลา


เรากลับมาถึงบ้านตอนบ่าย 4 กว่าๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พ่อของเราโทรกลับเข้าบ้าน เพื่อมาถามอาการของหลานสาว เรารับมาแต่คุยไม่ได้ เลยยื่นให้สามี ซึ่งตัวเค้าเองก็เล่าไปร้องไห้ไป นี่เป็นวันแรกค่ะ ที่เห็นน้ำตาของเค้า อีกไม่นาน คุณแม่เราก็กลับมา พอเราเห็นเราก็วิ่งไปกอดเค้า พร่ำบอกแต่ว่า ลูกหนู แม่ ลูกหนู แม่ก็รีบเข้าไปหาหลาน แม่ไม่พูดอะไรค่ะ แต่บอกว่าหนูต้องเข้มแข็งนะลูก ถ้าหนูไม่เข้มแข็ง ลูกเค้าจะรู้เค้าจะเสียใจไปด้วย ไม่เป็นไรนะลูก เค้าเกิดมาเป็นหลานแม่ เค้าต้องโอเค เราทำใจอยู่นานค่ะ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านไปหลังจากนั้นอีกหลายวัน เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่จริงอยู่ดี แต่ท้ายที่สุดหลังจากที่เราได้พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมจากทั้งทางเน็ต และจากคนรอบข้าง เราก็รู้สึกดีขึ้นเป็นระยะๆ

การเลี้ยงลูกคนแรกที่มีปัญหาแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเค้าจะงอแงมากกว่าปกติ เนื่องจากเวลาเค้านอนก็จะอึดอัดและลำบากมาก และการให้นมแม่ก็ค่อนข้างลำบาก เพราะเค้าจะไม่สามารถอยู่ในท่าที่ปกติได้ หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ ที่เราเริ่มจะปรับตัวได้บ้างแล้ว ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่เรากำลังป้อนนมเค้าอยู่ เราก็ลูบหน้าลูบแขนขาเค้าตามปกติ แล้วเราก็สังเกตุเห็นว่า เค้ามักจะชอบเอียงทางขวาอยู่เรื่อย ทุกครั้งที่เค้าหันหน้าไปทางขวา มันจะมีก้อนเนื้อใหญ่ประมาณหัวนิ้วโป้งผู้ใหญ่ ซึ่งเห็นได้ชัดตรงคอด้านซ้าย เราตกใจมากและตอนนั้นก็ไม่มีใครอยู่บ้าน โชคดีที่คุณยายเพิ่งกลับมาจากออฟฟิศ เราก็รีบบอกให้ขับรถไปโรงพยาบาลทันที พอหมอตรวจดู เค้าก็บอกว่ามันเป็นอาการของโรคคอเอียง แต่ลูกสาวเราเป็นเยอะมาก ต้องพยายามให้เค้าหันกลับไปทางซ้ายให้ได้มากๆ

เรากลับมาบ้าน ในตอนนั้นกลั้นใจว่าจะต้องไม่ร้องไห้อีกแล้ว แต่สุดท้ายมันก็เป็นความโกรธค่ะ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโกรธอะไร คิดอยู่แต่ว่า พอได้หรือยัง จะพอได้มั้ย จะต้องให้เจ็บให้ช้ำไปอีกถึงไหน แค่นี้ยังทรมาณกันไม่พออีกหรือ หลังจากนั้น เราก็ให้คุณหมอที่รามาดูให้อีกที ซึ่งเค้าก็บอกว่าเป็นเยอะขนาดนี้ ถ้าได้ขวบคงต้องกรีดเพื่อขยาย เพราะโอกาสที่จะหายเองค่อนข้างน้อย และถ้าไม่รักษารูปหน้าเค้าจะเบี้ยวได้ ในตอนนั้นเราก็ตั้งใจไว้ว่า เราจะต้องทำให้เค้าหายให้ได้ เหมือนที่ตั้งใจไว้ว่าขาเค้าจะต้องหาย

เมื่อผ่านไป 3 เดือน คุณหมอก็นัดไปซาวน์อีกครั้ง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา อาการทางขาเค้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นระยะ ถึงแม้จะไม่ได้ดีเท่ากับของเด็กทั่วไปที่เริ่มรักษาตั้งแต่เกิด แต่ก็นับว่าเป็นพัฒนาการที่ดี เราเคยถามคุณหมอว่าถ้ารักษาแล้ว โอกาสจะกลับมาเหมือนคนปกติได้มีมากแค่ไหน ท่านก็บอกว่ามันก็แล้วแต่เด็ก บางคนก็หายเป็นปกติ เล่นกีฬาได้ด้วยซ้ำไป แต่บางคนที่โชคร้ายหน่อย รักษาไม่ทันหรือไม่ต่อเนื่องก็อาจจะเกินขากางๆ หรือไม่ก็ขาไม่เท่ากัน สุดท้ายก็อาจจะต้องพิ่งการผ่าตัดใส่ข้อสะโพกเทียมให้

เราก็เก็บมาคิดเอาเองว่า ไม่เป็นไรหรอก เราจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ต่อให้หมอบอกว่ามีแค่ 1% ที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เราก็จะรักษาเค้าต่อไปเรื่อยๆ คุณหมอหลายท่านในทีมก็น่ารักมากค่ะ ให้กำลังใจเราเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มาหา บางครั้งที่ผลตรวจออกมาดี คุณหมอก็จะบอกว่า หมอดีใจไม่ใช่ที่ผลตรวจดี แต่ที่เห็นรอยยิ้มของคุณแม่

อย่างไรก็ตาม การรักษาแบบนี้ต้องใช้เวลามาก คุณหมอบอกว่าประมาณ 2-3 ปีถึงจะหายสนิท ซึ่งผลพวงจากการรักษาแบบนี้ ลูกอาจจะมีพัฒนาการทางร่างกายช้า เช่นนั่งช้า คลานช้า เดินช้า แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจกันไป ในตอนแรกๆ เราก็กังวลเรื่องนี้ แต่ก็มาคิดตกว่า ถ้าให้แลกกับการที่เค้าจะหายสนิท ต่อให้เค้า 3 ขวบแล้วยังเดินไม่ได้ เราก็ยอม ตอนแรกเราคิดว่า นี่คงจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราเศร้าที่สุดซะแล้ว แต่มันคงเป็นเรื่องของกรรม ที่กำหนดไว้แล้วว่า บททดสอบความเป็นแม่ของเรามันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง

พอเค้าได้เกือบ 4 เดือน เราก็พาไปตรวจร่างกาย ฉีดยาตามปกติ แต่รอบนี้ ต้องพาเค้าไปทดสอบเรื่องการได้ยินด้วย ซึ่งในสองครั้งแรกยังไม่ผ่าน เพราะยังมีน้ำในหูชั้นกลางอยู่ เครื่องตรวจไม่ได้ และในครั้งที่สามนี้ พอดีกับเค้าเป็นหวัดอยู่ ก็ทำให้ตรวจไม่ผ่าน เราก็เริ่มไม่สบายใจเพราะรู้สึกว่าเค้าตอบสนองกับเสียงไม่ดีนัก คุณหมอก็เลยแนะนำให้ไปตรวจด้วยคลื่นความถี่ละเอียดจะดีกว่า

เย็นวันนั้น เราไปที่โรงพยาบาลหนึ่งที่มีเครื่องตรวจชนิดนี้ กล่อยลูกให้หลับและเริ่มการตรวจ หลังจากที่ตรวจไปได้ประมาณแค่ 5 นาที คุณหมอก็มองหน้าเรา และคำถามที่เจ็บปวดว่า ถ้ารู้ว่าลูกมีปัญหาแล้วทำอย่างไร เรามองหน้าหมอแบบงงๆ แต่ก็ตอบไปว่า จะทำทุกอย่างให้เค้าหาย แล้วเราก็ถามกลับว่า ทำไมเหรอ เค้ามีปัญหาเหรอ คุณหมอก็พยักหน้า เราก็คิดว่า อีกแล้วเหรอ มาอีกแล้วเหรอ ความรู้สึกแบบนี้ ทำไมไม่จบไม่สิ้นเสียที แต่ก็ตั้งสติถามว่าอาการของลูกเป็นอย่างไร เค้าก็อธิบายว่า ที่ลูกเราเป็นไม่ใช่หูหนวก แต่เป็นการหูตึงแบบรุนแรง ซึ่งการผ่าตัดคงไม่ช่วยอะไร ถ้าจะให้ดีก็คือต้องใส่เครื่องช่วยฟัง เรามองหน้าสามีแบบพยายามจะให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แต่ในใจเราก็รู้แหละว่ากำลังใจมันแทบจะไม่เหลือแล้ว

ในวินาทีนั้น เราคิดไปแล้วว่าลูกเราคงต้องมีปัญหามากกว่านี้อีกแน่ๆ ที่กำลังรอให้เกิดขั้น ซึ่งถ้าตอนนี้เราท้อ ก็คือจบ แต่ถ้าไม่ท้อเค้าจะต้องหาย พอเสร็จการตรวจ คุณหมอก็บอกว่าลองตรวจดูหูชั้นกลางอีกที ว่าเกิดจากประสาทหูเสียหรืออะไรกันแน่ โชคดีจริงๆ ค่ะ ที่ผลออกมาเกิดจากการมีน้ำในหูชั้นกลางเยอะ ซึ่งคุณหมอก็ยิ้มๆ บอกว่ายังมีหวังนะ รีบรักษาอาการอักเสบให้หายก่อน แล้วรอตอนครบ 6 เดือนมาตรวจอีกที ถ้าการอักเสบหาย บางทีการได้ยินก็จะค่อยๆ กลับมา ยิ้มทั้งน้ำตาเลยค่ะ งานนี้

ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เราเฝ้าติดตามดูว่าลูกมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง เราทิ้งตำราไปหลายเล่ม ทิ้งถ้อยคำของผู้ใหญ่ที่เฝ้าบอกว่า เดือนที่เท่าไหร่ เด็กจะทำอะไรได้บ้าง เราไม่สนไม่แคร์ เราคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเค้าจะคว่ำได้ คลานได้ ตั้งไข่ หรือเดินได้ ก็เพราะเค้าต้องการจะทำเอง ตอนที่ลูกสาวเรา 3 เดือน เค้ามีความต้องการที่จะคว่ำมากๆ แต่ดูเหมือนเป็นงานหนัก เพราะติดที่ชุดรั้งสะโพกที่เค้าใส่ แต่เค้าคงเหมือนเรา คือไม่ยอมแพ้พอใกล้ๆ จะ 4 เดือน เค้าก็คว่ำได้เองค่ะ ช่วงนั้นเองที่คุณหมออนุญาติให้เริ่มถอดชุดในเวลากลางวัน และใส่เฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น วันที่เค้าได้ถอดชุดและลงน้ำครั้งแรก เราน้ำตาไหลเลย นับเป็นเวลา 3 เดือนเต็มที่ลูกไม่มีโอกาสได้อาบน้ำ เล่นน้ำเหมือนเด็กทั่วไป เค้าชอบค่ะ ชอบน้ำมากๆ และพอได้อาบน้ำ เค้าก็รู้สึกสบายตัว หลับปุ๋ยอย่างมีความสุขเกือบจะทุกครั้ง

หลังจากที่เปลี่ยนจากชุดรั้งมาเป็น version ที่สอง ซึ่งทางคุณหมอเรียกว่า กระดองเต่า ก็จะคล้ายๆ กางเกงในแข็งๆ แต่ก็ยังคงต้องแบะขาออกเหมือนเดิม ตอนที่เปลี่ยนให้ครั้งแรก ดูเค้าไม่ค่อยจะชอบมันเท่าไหร่ เพราะเวลาเค้านอนหงาย สะโพกก็จะแอ่นมาก เพราะกระดองมันแข็ง เราเองก็แอบเสียใจนิดๆ เพราะคิดว่าเค้าเพิ่งจะเริ่มชินกับการได้ปล่อยตัวเองเป็นอิสระในช่วงกลางวัน และกำลังสนุกกับการคว่ำได้ ก็ต้องมาติดกระดองอีกแล้ว แต่ก็นั่นแหละค่ะ มันคือการรักษาอย่างนึง

ในช่วงเวลานี้ เราเริ่มจะพาลูกออกไปข้างนอกมากขึ้น เช่นสวนสาธารณะ ไปเดินเล่นซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้ก็จะมีคนเข้ามาถามไถ่ว่าลูกสาวเป็นอะไร เราก็ตอบไป ทุกครั้งที่เราตอบคำถาม ก็จะได้รับสีหน้ากลับมาประมาณว่าตกใจมาก แล้วก็จะถามคำถามเดิมๆ ว่าแล้วจะเดินได้ไหม ก็ยังดีที่เค้ายังไม่ถามว่าจะพิการมั้ย ซึ่งถ้าเจอแบบนี้ เราก็คงต้องเดินหนีค่ะ ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะว่ามันเจ็บปวด มันโดนตอกย้ำในสั่งที่เรากลัวอยู่แล้ว ก็พอมันเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา เราก็เริ่มชิน และยินดีที่จะตอบคำถามต่างๆ ถามมา

พอลูกเข้าเดือนที่ 6 เค้าก็เก่งมากขึ้น คว่ำเองหงายเองได้ มีพัฒนาการที่ดี เรื่องที่เค้าคอเอียงก็ดีขึ้น เค้าเริ่มจะหันซ้ายได้สุดมากขึ้น ถึงแม้ในตอนแรกๆ คนอื่นจะไม่เข้าใจเราคิดว่าเราใจร้ายที่ชอบบิดคอเค้า แต่จริงๆ มันคือการทำกายภาพบำบัดอย่างนึง ซึ่งถ้าไม่ฝืนทำตั้งแต่แรก มันก็จะดีขึ้นช้า เราต้องบังคับการหันเค้าอยู่ทุกวัน วันละ 3-4 รอบ รอบนึงก็ประมาณ 10-15 นาที ซึ่งแน่นอนก็ต้องต่อสู้กับความรู้สึกโกรธตัวเองที่ทำให้ลูกเจ็บ อึดอัด ร้องไห้ แต่ก็พยายามคิดว่า เจ็บตอนนี้ดีกว่าไม่หายแล้วต้องไปกรีดตอนครบขวบ ซึ่งในช่วงหลังๆ เค้าก็ให้ความร่วมมือดี เวลานอนคว่ำก็ยอมหันทั้งสองทาง หมอก็จะชมเสมอว่าเก่งแล้วลูก หนูดีขึ้นเยอะๆ

แล้ววันที่น่ากลัวที่สุดวันนึงก็มาถึง วันที่เค้าต้องนัดไปตรวจการได้ยินอีกครั้ง ตอนที่เค้าครบ 6 เดือน ครั้งนี้ เราใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะกว่าเค้าจะยอมหลับก็นานพอดู ผลที่ได้ทำให้เรากับสามี ยิ้มแก้มแทบปริ แทบจะกระโดดจูบคุณหมอให้รู้แล้วรู้รอดไป คุณหมอยิ้มๆ และบอกว่าข้างขวากลับมาเหมือนปกติแล้ว ส่วนข้างซ้ายยังมีน้ำค้างอยู่นิดหน่อยในหูชั้นกลาง ซึ่งหมอคาดว่าน่าจะค่อยๆ ดีขึ้น ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา คุณหมอบอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงจะไม่ต้องใช้เครื่องช่วย แต่ก็ยังขอให้เราใช้วิธีการกระตุ้นเค้าเหมือนเดิม และให้ระวังเรื่องน้ำเข้าหูเวลาอาบน้ำเหมือนเดิม

นี่นับเป็นข่าวดีมากๆ เรากอดลูก หอมลูก กระซิบบอกเค้าว่า แม่ดีใจที่รู้ว่าหนูอาจจะได้ยินเหมือนคนปกติทั่วๆ ไป ทำให้เราได้รู้ว่า ทุกเช้าที่เค้าตื่นมา คำว่า รักหนูนะลูก รักหนูที่สุดในโลกเนี่ยะ เค้าคงจะได้ยินแน่ๆ จากที่เราเคยคิดว่าของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้คือการให้เค้าเกิดมาเป็นลูกเรา ยังไม่เท่ากับการได้รับรู้ว่าเค้ากำลังดีวันดีคืน มันสุขใจจนล้นออกมา

สามีเราหันมายิ้มๆ หอมแก้มลูกสาวแล้วบอกกับเราว่า ลูกสาวคนนี้พิเศษจริงๆ เกิดมาให้พ่อแม่ซ่อมแท้ๆ วันนั้นจำได้ว่า หม่ำข้าวไปสองจาน หลังจากที่ทั้งอาทิตย์ นอนไม่หลับเลยซักคืน

ณ ตอนนี้ลูกสาวเราอายุ 9 เดือนครึ่งแล้ว กำลังหัดคลาน จริงๆ ถ้าจะเรียกว่าคลานก็คงไม่ถูกเพราะเค้ายังต้องใช้แขนสองข้างช่วยถัดๆ ไปมากกว่า แต่เราก็รอได้ค่ะ อย่างที่บอกว่าเราได้ทิ้งตำราบางอย่างไปแล้ว เพราะฉะนั้นเค้าจะเริ่มเดินได้ตอนอายุเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ

มีหลายต่อหลายครั้งที่เราเสียใจที่ลูกเป็นอย่างนี้ และเฝ้าภาวนาอธิฐานว่าขอให้พอเสียที ขอให้เกิดกับเราแทนดีกว่า หลายครั้งที่ในช่วงจังหวะที่รอคำตอบจากคุณหมอว่าอาการเค้าดีขึ้นมั้ย เราแอบคิดอยู่ในใจคนเดียวว่า ถ้าต้องแลกกันให้อายุเราสั้นไปอีก 10 ปี ขอเพียงให้เค้าอาการดีขึ้นสักนิดหน่อย เราก็ให้แลกไปเลย ซึ่งถ้าเป็นได้เช่นนั้นจริง เราคงไม่มาอยู่พิมพ์เรื่องนี้แล้วละค่ะ เพราะเราก็ขออย่างนี้ทุกครั้ง รวมๆ กันแล้วก็น่าจะเกินๆ ร้อยปีได้แล้วมั้งคะ

ลูกสาวเราตอนนี้เป็นเหมือนกับยาชูกำลังชั้นดีให้กับทั้งพ่อและแม่ เค้าตอบแทนความรักของเราด้วยการเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่งอแง อดทนสูง มีความพยายามสูง ทานข้างง่ายสุขภาพแข็งแรง เค้าตอบแทนด้วยรอยยิ้มที่เห็นแต่เหงือกทุกครั้งที่เล่นจ๊ะเอ๋ด้วย (แต่ก็มีดอกไม้สองซี่ ขึ้นข้างล่างแล้วนะคะ) เค้าตอบแทนเราด้วยเสียงหัวเราะเวลาพาเล่นของที่ถูกใจ หรือพาเค้าขึ้นจักรยานที่เค้าชอบมาก

เค้าตอบแทนเราด้วยการพยายามจะเลียนแบบสิ่งที่เราทำให้ดูอย่างตั้งใจ ถึงแม้ว่าที่ทำออกมามันจะตลกสุดๆ ก็ตามที เค้าเป็นลูกสาวที่เรารอคอยมาตลอด ถึงแม้ว่าเค้าจะมีของแถมมาให้แม่เค้า ถึงแม้ว่าเป็นเพราะเค้า แม่ที่บ่อน้ำตาลึก จะทลักทลายแบบไม่อายใครอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าเค้าอาจจะมีอะไรๆ พิเศษอีกก็ได้ในอนาคต แต่...........แม่รักหนูที่สุดในโลกและในชีวิตนี้ นะลูกนะ




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2548    
Last Update : 28 มิถุนายน 2550 11:14:19 น.
Counter : 1452 Pageviews.  


ตื่นมาตาแป๋วๆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ตื่นมาตาแป๋วๆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.