|
แนวคิดเรื่องอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
ห่างหายไปนาน ขออภัยไม่ว่างที่จะมาอัพบล๊อกเลยครับ วันนี้มีโอกาสอันดีจึงขอพล่ามนิดนึง
คราวนี้ขอเป็นเรื่องนามธรรมครับ เรื่องเวลา-อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
ในความคิดของผม...
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตนั้น เป็นช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกัน
เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะขีดเส้นแบ่งอย่างไร และใช้อะไรขีดแบ่ง
บางแห่งแบ่งเวลาเป็น 60 วินาที บางคนแบ่งโดยใช้ของใกล้ตัว เช่น ชั่วน้ำเดือด
แท้จริง เวลาเป็นของสากล เป็นของทุกคน ขึ้นกับการที่เราจะฉลาดจัดการมันหรือไม่ มันไม่เคยมีสเกล จนกระทั่งคนแบ่งให้มัน
และเมื่อมีสเกล เรายึดติดกับตัวเลขที่กำกับเวลาไปเสียหมด ทำให้เราหลงลืมคอนเซ็ปต์ใหญ่ของการเวลา
จริงๆเวลาแบ่งออกได้โดยใช้ตัวที่เรียกว่าปัจจุบัน ก่อนหน้าปัจจุบันทั้งหมดคืออดีต เช่นเดียวกับหลังปัจจุบันคืออนาคต
หากแต่ว่าขนาดของปัจจุบันของคนช่างต่างกัน ขึ้นกับการรับรู้และการอ้างอิงจากสิ่งแวดล้อม
พูดไปก็ตลก เวลาของเราบนโลกตามอายุเฉลี่ย 60 ปีนั้น ถือว่าเป็นเศษเสี้ยวของเวลา เมื่อเทียบกับสเกลของการถือกำเนิดจักรวาลหรือแม้แต่โลกที่อยู่ในหน่วยหมื่นล้านถึงล้านล้านปี
แต่เรามักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดว่าเวลาที่มีที่เราใช้นั้นช่างเนิ่นนานพอที่จะทำให้เราเกิดความประมาทในการใช้ชีวิต
ทั้งๆที่เวลาที่อยู่กับเราเองนั้น เป็นแค่เศษๆเท่านั้น และ...
ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ อาจจะวันนี้ พรุ่งนี้ หรืออีก 30 40 ปีก็เป็นได้
แต่เรามักจะกั๊ก มักจะไม่ใช้ชีวิตอย่างฉลาดและอย่างสมดุลระหว่างความสุขกับเป้าหมายในชีวิต
พูดง่าย เราใช้ชีวิตในคอนเซ็ปต์เวลาที่อาจจะผิด...
สำหรับผมนั้น
อดีต คือความรู้ คือประสบการณ์ที่เอาไว้ใช้เพื่อเรียนรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ควรปฏิบัติอย่างไร
1 วินาทีที่แล้วก็เป็นอดีตได้ เหมือนๆกับ 30 หรือ 2500 ปีที่แล้วที่เป็นอดีตเช่นกัน
อดีต ถ้าเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง สกัดเฉพาะแก่นของข้อดีข้อเสียของอดีตโดยสลัดเอาอารมณ์ทิ้งไปเสีย ...ทั้งอดีตของตัวเองและอดีตของคนอื่นแล้ว จะมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ณ ปัจจุบันมาก
อดีตของคนอื่นซึ่งรวมถึงประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในพงศาวดารหรือนิทานบอกเล่านั้น ก็มีประโยชน์เช่นเดียวกับอดีตของเราเอง หากเราใช้เป็นและคัดมาเฉพาะแก่นของมัน โดยไม่มีอารมณ์พึงพอใจหรือขัดใจมาเป็นเครื่องฉุดรั้ง
ส่วนอนาคต คือความคาดหวัง คือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่สมองเราคาดหวังไว้ หรือเรียนรู้จากอดีตนั่นแหละว่า ทำสิ่งหนึ่งจะได้อีกสิ่งหนึ่ง
อนาคตจะดีหรือไม่ดีคาดเดาได้ แต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็บอกไม่ได้ อนาคตจะดีหรือไม่ ขึ้นกับผล ณ ปัจจุบัน
อนาคตที่ดีขึ้นกับปัจจุบันและคาดเดาได้บางส่วน เหมือนกับการที่เราหุงข้าวแล้วเราคาดเดาได้ว่าเราต้องมีข้าวสวยสุกหอมไว้กิน
อนาคตอันไกลก็อาจคาดเดาได้ หากเรามีสติ มีปัญญาเพียงพอ และที่สำคัญ คือมีจิตใจที่สงบพอและกอปรด้วยความเที่ยงธรรมไม่เข้าข้างตัวเอง
ฉะนั้น เวลา ณ ปัจจุบันสำคัญที่สุด
จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยเอาอดีตมาเป็นเครื่องมือเรียนรู้สิ่งที่ควรทำ ณ ปัจจุบัน เพื่อที่ว่าจะได้ไม่เสียใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ณ อนาคต
เรามาพยายามกันนะครับ...
Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2552 | | |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2552 15:39:13 น. |
Counter : 4224 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องเบาๆ.........เรื่องวงดนตรีที่ชอบ Alison Krauss + Union Station
สถานการณ์รอบด้านดูตึงเครียดไปหมดนะครับ ทั้งข้าวของก็แพง ฯลฯ ร้อยแปดพันเก้า
พักสมองกับเรื่องดนตรีดีกว่าครับ
บลูแกรสเป็นดนตรีลูกทุ่งของคนขาวอเมริกาครับ กำเนิดเมื่อประมาณยุค 30's นี้เอง เป็นการต่อยอดจากคันทรีโดยเอาสไตล์บลูส์ มาใส่ในการเล่นและอิมโพรไวส์ครับ
นักดนตรีพวกนี้นิยมเล่น Unplugged และสังเกตุดีๆว่าทักษะการเล่นจะสูงมาก.......ขั้นเทพครับ
มาถึงวง AKUS บ้าง
Alison Krauss ก็คือผู้หญิงคนที่เล่นเครื่องดนตรีคล้ายไวโอลินชื่อ Fiddle ครับ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีเครื่องสายอยู่ในกลุ่มเดียวกับไวโอลิน แต่ตัวเล็กกว่าครับ นิยมเล่นในดนตรีพวกคันทรี่ บลูแกรสคันทรี่ และดนตรีไอริชครับ
ส่วนในวงนี้คนอื่นๆประกอบด้วย Dan Tyminski เล่นกีตาร์และแมนโดลิน Ron Block เล่นกีต้าร์และแบนโจ Jerry Douglas เล่นโดโบร้ Barry Bales เล่นดับเบิ้ลเบส และ Larry Atamanuikเล่นกลองครับ
วงนี้ดังอยู่แล้วในกลุ่มเพลงคันทรี่ครับ แต่ยิ่งดังในวงกว้างเมื่อตอนมาทำซาวน์แทร็กหนัง O'Brother, Where art thou? ครับ
Alison เองเป็นนักดนตรีมีผีมือ เป็นแชมป์ฟิดเดิ้ลของอเมริกามาก่อนครับ และเป็นนักร้องที่เสียงเพราะและใสมาก จนใครๆในวงการบอกว่าเธอมี ANGELIC VOICE ครับ เธอเคยร้องเพลงหลายๆแนวครับ ถือว่าเป็นการก้าวข้ามเปิดประตูสู่นักฟังกลุ่มอื่นๆ เช่น เพลง I will ของ The Beatles (มีใครเคยฟังไหม...เวอร์ชั่นที่มีแบนโจหละครับ) เพลง When you say nothing at all ซาวน์แทร็กหนัง NOTHING HILL เป็นต้น
เธอเป็นนักร้องหญิงที่ได้แกรมมีมากที่สุดในประวัติศาสตร์(ขณะนี้)ครับ และมากเป็นอันดับ 4 หรือ 5 รองจาก U2 ครับ
Dan Tyminski มีผลงานและชื่อเสียงดังระดับนึงในอเมริกา เนื่องจากร้องเพลงเป็นเสียง George Clooney ในหนัง O'Brother, Where art thou? ครับ เป็นอีกคนที่มีพรสรรค์ในการเล่นกีต้าร์โปร่งแบบอันปลั๊กครับ
Ron Block ซึ่งสองอย่างนี้ให้เสียงที่ต่างกัน กีต้าร์โปร่งของรอนจะเป็นเสียงใสๆ ส่วนแบนโจจะให้อารมณ์เกรี้ยวกราดครับ นอกจากนี้รอนยังเป็นคน arrange เพลงร่วมกับอลิสันครับ
Jerry Douglas คนนี้เป็นสุดยอดนักโดโบร้แห่งยุคสมัย เป็นคนที่คนในวงการให้การยอมรับและคนทั่วไปก็ชอบมาก เป็นหนึ่งใน Hall of Fame ครับ
Barry Bales คนนี้เป็นมือเบสคู่ขวัญกับอลิสันมานานมาก เคยทำงานแบ็กอัพให้หลายๆคนครับ เล่นเบสได้หลายสไตล์แบบแจ๊ส โซโลก็ได้ครับ
ส่วน Larry Atamanuikเป็นสมาชิกล่าสุด เนื่องจากเพลงของ AKUS มีหลากสไตล์ ในบางเพลงต้องใช้กลองครับ คนนี้ก็เป็นคนเก่ง มีประสบการณ์สูง เล่นมาหลายวงแล้ว
วันนี้เอาแค่นี้ก่อน วันหลังจะมาเล่าต่อครับ
Create Date : 27 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 20:33:53 น. |
Counter : 924 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
...หมอฟื้นฟูคือใคร...
ผมประกอบอาชีพเป็นหมอครับ สาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู สงสัยกันไหมว่าคืออะไร
เวชศาสตร์ฟื้นฟูเป็นสาขาหนึ่งทางการแพทย์ จริงๆแล้วใหญ่กว่าสาขาอื่นหลายสาขาครับ เพราะmissionทางการแพทย์โดยWHOกำหนดไว้ว่ามี 4 ด้านคือ ส่งเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรค-รักษาโรค-และ-ฟื้นฟูสมรรถภาพ ผมไม่ได้โม้นะเนี่ย
ในเมืองนอก สาขานี้เป็นที่นิยมและสำคัญมาก แต่ในเมืองไทยไม่ค่อยมีใครรู้จัก เมืองนอกจะเรียกว่า Rehabilitation Medicine ครับ
หน้าที่คือ ฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและทางจิตใจให้แก่คนทุกคนที่เจ็บป่วยและผู้พิการ ฉะนั้นเวลาเรียนและทำงานต้องเรียนมากกว่าสาขาอื่นๆ และที่สำคัญสาขานี้เป็จุดเชื่อมต่อระหว่างสาขาแพทย์กับวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์และวิศวกรรม เนื่องจากต้องทำอะไรหลายๆอย่างเช่น ขาเทียม แขนเทียม ไฟฟ้าวินิจฉัย(ตรวจด้วยไฟฟ้า) เวชศาสตร์กีฬาเพื่อเพิ่มสมรรถภาพ ฯลฯ
ถามว่าทำไมถึงเรียน คำตอบคือท้าทายดีครับ ใครเก่งจริงต้องมาลองเรียนดูซิ จะรู้ว่าเป็นไง
คนไข้ที่ดูแลมีทั้งผู้พิการแขนขาขาด ผู้พิการทางสมอง เด็กสมองพิการ ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกจากโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งตัวจากไขสันหลังบาดเจ็บ ผู้ป่วยสมองได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยเจ็บปวดเรื้อรัง นักกีฬาที่ต้องการเพิ่มความสามารถ นักกีฬาที่บาดเจ็บ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดทุกๆชนิดโดยเฉพาะกระดูกและข้อ ผูป่วยโรคทางระบบประสทา ผู้ป่วยโรคข้อและกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ป่วยโรคหัวใจ แม่ที่ตั้งครรภ์ ผู้ป่วยระยะสุดท้าย(เช่นมะเร็ง เอดส์) คนแก่ ฯลฯ โอ้ยจาระไนไม่หมด แถมยังต้องตรวจไฟฟ้าวินิจฉัยอีก (ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาทเพื่อดูโรคของระบบประสาท และใช้เข็มจิ้มตรวจกล้ามเนื้อเพื่อดูโรคของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ) แค่คิดก็เหนื่อยไหมครับ
วิธีการบำบัดรักษาและฟื้นฟู เราก็ใช้ศาสตร์ทุกอย่างในโลกมารวมกัน หมอที่เป็นแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูในเมืองไทยต้องทำให้ได้หมด
แต่ที่ผมชอบในงานเวชศาสตร์ฟื้นฟูก็คือ แขนขาเทียมและเครื่องประคอง(เรียกว่า"กายอุปกรณ์) เวชศาสตร์ฟื้นฟูกุมาร(ก็เด็กนั่นแหละ) ไฟฟ้าวินิจฉัย(อย่างที่บอกข้างบน) และเวชศาสตร์การกีฬา(นักกีฬาต่างๆ และผู้ป่วยที่ต้องออกกำลัง)
แต่งานที่ผมรับตำแหน่งทุกวันนี้ทำให้ scope ผมแคบลงหล่ะ ก็ผมทำงานอยู่มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นี่ครับ ก็เลยเน้นหนักที่งานกายอุปกรณ์นั่นเอง
ว่างๆจะมาเล่าต่อ เพราะยังเหลือเรื่องอีกแยะ ทั้งที่ทำงาน ดนตรีที่ชอบ งานอดิเรก งานสมัยก่อนและภารกิจต่างประเทศ ฯลฯ
ใครสนใจถามอะไรก็เชิญครับ ถามมาได้เลย หรือแค่อยากทักทายก็เชิญครับ
วันนี้ไปก่อนนะครับ
Create Date : 24 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 24 เมษายน 2551 13:27:56 น. |
Counter : 7348 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คนเรามักสนใจเรื่องตัวเองเป็นหลัก-คุยเฟื่องเรื่องงานขาเทียม
อย่างที่จั่วหัวไว้ "คนมักสนใจเรื่องตัวเองเป็นหลัก" ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่มักจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลางของจักรวาล(ถ้าเป็นมากๆ)
อ่านแล้วก็จะประมาณว่า "เอ๊ะ นายคนนี้เป็นอะไร เขียนอะไร บ่นอะไร" ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากเตือนสติ(ตัวเอง)ว่าอย่าสนใจแต่เรื่องตัวเองมากนัก"
เอาเรื่องนี้ดีกว่า...เรื่องที่ทำงาน
ตอนนี้ ผมทำงานที่มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ตั้งก็หาง่ายครับ ติดริมคลองชลประทานตามแนวถนนเลียบคลองฯ ห่างจากอำเภอเมือง 8 กม. และห่างจากอำเภอแม่ริม 9 กม.(ตามหลัก กม.) อยู่เลยจากสนามกีฬาสมโภช 700 ปีเชียงใหม่ประมาณ 1 กม. อยู่ติดกับวิทยาลัยพยาบาลฯ หลักรพ.นครพิงค์ และไม่ห่างจากกองพันสัตว์ต่าง(สำหรับคนที่เป็นทหาร) สำหรับคนเชียงใหม่ก็น่าจะรู้จักเพราะเป็นทางจากสนามกีฬา 700 ปี ไปยังห้วยตึงเฒ่านั่นเอง
ถามว่าที่ทำงานทำอะไร ตามชื่อเลยครับ "ทำขาเทียม"ไงเล่าครับ
มูลนิธิฯถือกำเนิดจากพระราชประสงค์ของสมเด็จพระศรีนครินทราฯและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่เสด็จทรงงานและทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของผู้พิการขาขาดในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งไม่มีโอกาสได้รับขาเทียมซึ่งสมัยนั้นนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาแพง กอปรกับอาจารย์ รศ.นพ.เทอดชัยฯ (ท่านเลขาธิการมูลนิธิฯ)และคุณบุญอยู่ฯได้คิดค้นขาเทียมซึ่งมีราคาถูกขึ้น จึงทรงโปรดเกล้าฯให้จัดตั้งมูลนิธิฯขึ้น ซึ่งสมเด็จฯพระพี่นางฯในพระโกศ ทรงจดทะเบียนมูลนิธิฯเมื่อปี 2535 และทรงเป็นองค์ประธานมูลนิธิฯ โดยสมเด็จพระศรีนครินทราฯทรงพระราชทานฯพระนามและทรงเป็นองค์ประธานกิตติมศักดิ์
มูลนิธิฯมีลักษณะเป็น NGO ทางสังคมและสาธารณสุข หน้าที่หลักคือทำขาเทียมให้แก่ผู้พิการโดยไม่เลือกชนชาติ ศาสนา ความเชื่อ ซึ่งผู้พิการจะได้รับบริการฟรี ใช่ครับ "ได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงิน" นอกจากนี้มีหน้าที่คิดค้นประดิษฐ์ชิ้นส่วนขาเทียม และวิธีการทำใหม่ๆให้ง่ายและดียิ่งขึ้น อีกทั้งอบรมบุคลากรทำขาเทียม(เรียกว่าช่างกายอุปกรณ์/นักกายอุปกรณ์ ตามวุฒิการศึกษา)และร่วมงานกับองค์กรอื่นในการพัฒนาด้านผู้พิการ
นี่เป็นงานย่อๆนะครับ
บางคนอาจจะงงว่า "ให้ฟรีแล้วเอาเงินมาจากไหน" ตอบง่ายๆ เงินค่าใช้จ่ายของมูลนิธิฯมาจาก "การบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา" นั่นเองครับ ไม่ว่าจะในรูปเงินสด เช็ค สิ่งของ อุปกรณ์ และเศษอะลูมิเนียม (ไม่เคยได้รับงบประมาณแผ่นดินเลยนะครับ)
อะลูมิเนียมที่รับบริจาคมักมาในรูปห่วงเปิดกระป๋อง กระป๋องน้ำอัดลม/เบียร์ ฝาขวด ฯลฯ มูลนิธิฯเอาไปส่งที่โรงงานหลอมโลหะเพื่อหล่อเป็นแท่งแล้วใช้งาน แต่ชิ้นส่วนของขาเทียมบางชิ้นต้องการคุณสมบัติพิเศษเช่น ข้อเข่าเทียมซึ่งต้องแข็งแรงทนทานมาก จึงเอาไปแลกกับโรงงานหลอมโลหะเพื่อเอาโลหะที่ต้องการ (คือมีข่าวว่าทางมูลนิธิไม่รับโลหะ หรือมูลนิธิเอาไปขาย แต่ไม่ใช่ครับ เพียงแต่เอาไปแลกเพื่อให้ได้ตามเกรดที่ต้องการ เพราะโลหะมีหลายชนิด และแต่ละชนิดมีหลายเกรดตามคุณสมบัติและส่วนประกอบ อย่างบางชิ้นส่วนต้องการความเหนียวมากก็เอาไปแลกเป็นสแตนเลส เพราะอะลูมิเนียมเปราะเกินไปใช้ไปต้องหักแน่ๆ)
แล้วผมมาทำอะไรหล่ะ
แหงครับผมเป็นหมอ จบเวชศาสตร์ฟื้นฟูมา มาทำงานที่นี่ก็ทำงานเป็นหมอตรวจคนไข้ซิครับ คือที่ทำการมูลนิธิฯมีการเปิดรับผู้พิการที่ต้องการขาเทียม ผมก็ทำหน้าที่สั่งขา ตรวจสอบขาเทียมที่ช่างฯทำ และตรวจสอบท่าทางการเดิน และสอนผู้พิการเดินด้วย
เวลาออกหน่วยฯ...อ้อลืมเล่าไป...มูลนิธิฯมีการออกหน่วยขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ด้วยครับ ออกมาประมาณ 80 ครั้งแล้วครับ จำนวนผู้พิการตั้งแต่ 150 - 300 คน โดยได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครช่างกายอุปกรณ์ในการทำขา หน้าที่ผมก็คล้ายๆกับในที่ตั้งนั่นแหล่ครับแต่สเกลใหญ่กว่า เพราะเราออกหน่วยใช้เวลา 5 วัน ผู้พิการ"ต้อง"ได้ขาเทียมกลับบ้าน
นอกจากนี้ก็เป็นวิทยากรอบรมด้วย และต้องหาความรู้เสมอๆ (ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องวัสดุศาสตร์ กลศาสตร์ ฯลฯ ด้วยตนเอง ในการเอาไปประยุกต์ใช้กับคน) ผมเองยังไม่โปรขนาดท่านอาจารย์เทอดชัยฯหรอกครับ ยังได้ประมาณ 50 - 60 % ของท่านเอง
ลืมบอกไปตำแหน่งปัจจุบันคือผู้ช่วยเลขาธิการครับ แต่งานบริหารยังไม่มากนักเพราะผมต้องเพ่งไปที่การ"ช่วย"อาจารย์ด้านการบริการและวิชาการอยู่ก่อน (เนื่องจากเป็นหมอ) ครับ
อาจสงสัยว่าทำไมมาอยู่ที่นี่ มันเป็นเรื่องของความชอบเป็นการส่วนตัว + โอกาส ครับ โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบความท้าทายและไม่ชอบความจำเจ ไม่ชอบการจู้จี้และคนงี่เง่าครับ
มาอยู่นี่ก็แปลกๆ เพราะเป็นทั้งคนใหม่ เป็นทั้งคนต่างถิ่นไม่ค่อยมีเพื่อนใหม่เท่าไหร่ ไม่รู้จะไปเที่ยวไหนดี
ถามว่าเบื่อไหม...............เบื่อเป็นบางครั้ง เป็นวูบๆแล้วก็หายไป (แต่ไม่ได้เบื่องานนะครับ)
โถ...จะมีใครบ้างที่ไม่เบื่อครับ ผมเองก็คิดถึงที่กรุงเทพฯ ที่อุบลฯที่ผมเคยอยู่ คิดถึงพวกพ้องน้องพี่และเดอะแก๊งค์ที่เคยตะลุยมาด้วยกัน.....แต่.....นี่คือการฝึกความอดทน นี่คือชีวิตคน คิดมุมต่าง...ผมไปกรุงเทพฯก็แค่นั่งเครื่องบินประมาณ 1 ชม.ก็ถึงแล้ว
(บางคนอ่านๆไปอาจว่า หมอนี่แปลกๆไหม...คนรู้จักผมทุกคนก็ว่าผมแปลก นิสัยไม่ค่อยเหมือนหมอเท่าไหร่ ชอบลุย บางคนหาว่า"เพี้ยน" แต่เพื่อนรู้ว่าจริงๆผมเป็นไง ใช่ไหมท่านเพื่อนเลิฟ!!!)
ชีวิตการเป็นหมอฟื้นฟูและทำงานที่นี่สอนอะไรผมหลายๆอย่างครับ
"เรามักจะแหงนคอขึ้น แล้วก็เฝ้าถามว่า ทำไมเราไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมเราไม่ได้อย่างเขา"
เรามักจะมองแต่คนที่ประสบความสำเร็จ รวย ฯลฯ เรามองเราอยากเป็นแต่เราก็มาบั่นทอนตัวเองโดยการท้อใจ เราอยากเป็นก็ยึดเอาไว้แล้วทำให้ดีที่สุดซิครับ
ชีวิตคนสำคัญที่สุดคือ "ปัจจุบัน" อนาคตขึ้นกับการกระทำในปัจจุบัน โดยเอาอดีตมาเป็นบทเรียนทั้งแง่ที่ดีและไม่ดีนะครับ
อีกอย่าง ผู้พิการไม่ต้องการการสงสาร เขาต้องการแค่"โอกาส"ครับ
ผู้พิการที่เคยผ่านมือผ่านตาผมมา มีทั้งที่ท้อ มีทั้งที่สู้ หลายๆคนสู้ไม่ถอยนะครับ เด็กหลายๆคนเกิดมาแขนขาไม่มีหูหนวกตาบอด เขายังสู้เลย เราเองเกิดมาครบ 32 สติปัญญาแขนขาก็มี ทำไมไม่สู้ละครับ
ลองจินตนาการว่าวันหนึ่งคุณเป็นอัมพาต ถ้าคนที่ท้อก็จะหมดอาลัยตายอยาก แต่หลายๆคนที่ผมพบเขาสู้ครับ บางคนกลับไปเดินได้ บางคนนั่งรถเข็นแล้วเป็นนักกีฬา ฯลฯ
บางทีคุณไม่รู้หรอกว่าตัวคุณเอง ชีวิตตัวเองมีคุณค่าแค่ไหน อย่าทิ้งมัน ตั้งเป้าหมายไว้แล้วไปให้ถึง แต่ถ้าผิดหวังอาจเศร้าได้แต่อย่าท้อ เอาบทเรียนมาจากมันแล้วแก้ไขทำให้ดีครับ
หวังว่าคงจะได้"อะไรๆ"ไปบ้างนะครับ ไม่ไร้สาระเกินไป (หลังๆมีออกทะเลนิดหน่อย แต่ก็วนๆอยู่แต่กับเรื่องตัวเอง Ego-centric หน่อยๆ)
คราวหน้าเอาเรื่องอะไรดี ถ้าตามคิว "...ว่างๆจะมาเล่าต่อ เพราะยังเหลือเรื่องอีกแยะ ทั้งที่ทำงาน ดนตรีที่ชอบ งานอดิเรก งานสมัยก่อนและภารกิจต่างประเทศ ฯลฯ ใครสนใจถามอะไรก็เชิญครับ ถามมาได้เลย หรือแค่อยากทักทายก็เชิญครับ.." ก็น่าจะเป็นเรื่องดนตรี
แต่...ดูก่อนนะครับ อาจเป็นเรื่อง "งานเก่า" ของผมก็ได้ ใบ้ให้นิดนึง...ไม่เอาดีกว่า
อยากทักทายหรือสอบถามหรือจะคอมเม้นต์ก็เชิญนะครับ ยินดีตอบเสมอครับ
ไปแล้ว...สวัสดีครับ
Create Date : 24 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 24 เมษายน 2551 13:24:37 น. |
Counter : 858 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กลับมาแล้วครับ มาเล่าเรื่องผมดีกว่า
ขอโทษทีครับ ไม่ค่อยว่างเลยครับเพราะงานยุ่ง ต่อไปนี้สัญญาว่าจะมา update blog ของตัวเองบ่อยๆนะครับ
เรื่องของผมไม่รู้ว่ามีใครสนใจหรือเปล่า แต่ผมว่าเรื่องผมน่าสนใจนะ ลองติดตามก็แล้วกัน
ผมเป็นใคร ทำไมถึงกล้าพูดอย่างนั้น เอาเป็นว่าผม...
1. เป็นหมอครับ (Medical doctor)
2. เป็นหมอสาขา เวชศาสตร์ฟื้นฟู เรียกว่าเป็น "แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู"
3. จบการศึกษาจากพระมงกุฎฯ ฉะนั้นเคยเป็น"หมอทหาร"ครับ เป็นทั้งหมอ และ ทหาร จริงๆนะครับ
4. ไปเป็นหมอทหารบ้านนอกกับกองพันทหารราบพร้อมรบอยู่หลายปีครับ
5. เข้ามาเรียนเฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่พระมงกุฎฯ และทำงานที่นี่
6. ตอนนี้เปลี่ยนwayแล้ว มาทำงานที่มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่จ.เชียงใหม่
7. มันส์สุด ก็ตอนที่เป็นหมอทหารบ้านนอก ได้ไป mission ต่างประเทศด้วยครับ (ประเทศ IRQ ครับ)
8. ชอบเพลงหลายแนว ที่ชอบสุดคือ Bluegrass, 80's Rock และ Traditional Pop ครับ
9. ชอบท่องเที่ยวผจญภัยเป็นที่สุด ทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะไปมาแล้ว 75 จังหวัดทั่วไทย และอินโดจีน ฯลฯ
วันนี้จะลองเล่าให้ฟังในแง่แรกก่อนก็คือเรื่องอาชีพหมอและเวชศาสตร์ฟื้นฟูครับ
ผมประกอบอาชีพเป็นหมอครับ สาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู สงสัยกันไหมว่าคืออะไร
เวชศาสตร์ฟื้นฟูเป็นสาขาหนึ่งทางการแพทย์ จริงๆแล้วใหญ่กว่าสาขาอื่นหลายสาขาครับ เพราะmissionทางการแพทย์โดยWHOกำหนดไว้ว่ามี 4 ด้านคือ ส่งเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรค-รักษาโรค-และ-ฟื้นฟูสมรรถภาพ ผมไม่ได้โม้นะเนี่ย
ในเมืองนอก สาขานี้เป็นที่นิยมและสำคัญมาก แต่ในเมืองไทยไม่ค่อยมีใครรู้จัก เมืองนอกจะเรียกว่า Rehabilitation Medicine ครับ
หน้าที่คือ ฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและทางจิตใจให้แก่คนทุกคนที่เจ็บป่วยและผู้พิการ ฉะนั้นเวลาเรียนและทำงานต้องเรียนมากกว่าสาขาอื่นๆ และที่สำคัญสาขานี้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสาขาแพทย์กับวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์และวิศวกรรม เนื่องจากต้องทำอะไรหลายๆอย่างเช่น ขาเทียม แขนเทียม ไฟฟ้าวินิจฉัย(ตรวจด้วยไฟฟ้า) เวชศาสตร์กีฬาเพื่อเพิ่มสมรรถภาพ ฯลฯ
ถามว่าทำไมถึงเรียน คำตอบคือท้าทายดีครับ ใครเก่งจริงต้องมาลองเรียนดูซิ จะรู้ว่าเป็นไง
คนไข้ที่ดูแลมีทั้งผู้พิการแขนขาขาด ผู้พิการทางสมอง เด็กสมองพิการ ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกจากโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งตัวจากไขสันหลังบาดเจ็บ ผู้ป่วยสมองได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยเจ็บปวดเรื้อรัง นักกีฬาที่ต้องการเพิ่มความสามารถ นักกีฬาที่บาดเจ็บ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดทุกๆชนิดโดยเฉพาะกระดูกและข้อ ผูป่วยโรคทางระบบประสทา ผู้ป่วยโรคข้อและกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ป่วยโรคหัวใจ แม่ที่ตั้งครรภ์ ผู้ป่วยระยะสุดท้าย(เช่นมะเร็ง เอดส์) คนแก่ ฯลฯ โอ้ยจาระไนไม่หมด แถมยังต้องตรวจไฟฟ้าวินิจฉัยอีก (ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาทเพื่อดูโรคของระบบประสาท และใช้เข็มจิ้มตรวจกล้ามเนื้อเพื่อดูโรคของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ) แค่คิดก็เหนื่อยไหมครับ
วิธีการบำบัดรักษาและฟื้นฟู เราก็ใช้ศาสตร์ทุกอย่างในโลกมารวมกัน หมอที่เป็นแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูในเมืองไทยต้องทำให้ได้หมด
ผมเอง ก็ยังทำได้นะ แต่ที่ผมชอบในงานเวชศาสตร์ฟื้นฟูก็คือ แขนขาเทียมและเครื่องประคอง(เรียกว่า"กายอุปกรณ์) เวชศาสตร์ฟื้นฟูกุมาร(ก็เด็กนั่นแหละ) ไฟฟ้าวินิจฉัย(อย่างที่บอกข้างบน) และเวชศาสตร์การกีฬา(นักกีฬาต่างๆ และผู้ป่วยที่ต้องออกกำลัง)
แต่งานที่ผมรับตำแหน่งทุกวันนี้ทำให้ scope ผมแคบลงหล่ะ ก็ผมทำงานอยู่มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นี่ครับ ก็เลยเน้นหนักที่งานกายอุปกรณ์นั่นเอง
ว่างๆจะมาเล่าต่อ เพราะยังเหลือเรื่องอีกแยะ ทั้งที่ทำงาน ดนตรีที่ชอบ งานอดิเรก งานสมัยก่อนและภารกิจต่างประเทศ ฯลฯ
คราวหน้าจะมาเรื่องกายอุปกรณ์ และมูลนิธิฯครับ
ใครสนใจถามอะไรก็เชิญครับ ถามมาได้เลย หรือแค่อยากทักทายก็เชิญครับ
วันนี้ไปก่อนนะครับ 
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2551 | | |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2551 20:40:09 น. |
Counter : 921 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|