SET บวกแรงขานรับการไม่มีข่าวร้ายของ FED รอดูความชัดเจนก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ โบรกมอง SET วันนี้ ระวัีงแรงขายทำกำไรก่อนเข้าช่วงวันหยุดยาว ให้แนวรับที่ 1,460 จุด ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (18 ก.ค.) ปรับตัวสดใสและเพิ่มสูงกว่าตลาดภูมิภาค และปิดตลาดใกล้ไฮที่ 1487.19 จุด เพิ่มขึ้น 29.11 จุด หรือ 2% และมีมูลค่าซื้อขายรวม 57,095 ล้านบาท -สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,349.03 ล้านบาท-บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,143.15 ล้านบาท-นักลงทุนต่างประเทศ 584.75 ล้านบาท-นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ -3,076.93 ล้านบาท นายเทิดศักดิ์ ทวีธีรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์บล. เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (19 ก.ค.) อาจมีแรงขายทำกำไรก่อนจะเข้าช่วงวันหยุดยาว หลังจากวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน ซึ่งมองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะข่าว QE แต่โดยหลักน่าจะเป็นลักษณะเฉพาะของหุ้นไทยที่มีการเล่นเก็งกำไรกันค่อนข้างมาก จึงทำให้ปรับตัวได้สูงกว่าภูมิภาค ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะสั้นหากมีกำไรควรจะทยอยขายออกไปก่อน แต่นักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นยังไม่จำเป็นต้องรีบซื้อ เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้สถาบันจะเริ่มขายทำกำไรออกมา แต่คงไม่หนักเท่ต่างชาติซึ่งขณะนี้เริ่มลดลงแล้ว โดยให้แนวรับพรุ่งนี้ที่ 1,460 จุด ส่วนหุ้นกลุ่มที่แนะนำลงทุน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มพลังงานแนะให้ทยอยเก็บหลังประกาศผลประกอบการ Q2/56 ที่คาดว่าจะอ่อนตัวลงและทำให้มีแรงขายออกมา ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวานนี้ที่ระดับ 1,487.19 จุด เพิ่มขึ้น 29.11 จุด(+2.00%) มูลค่าการซื้อขาย 57,165 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวานนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ตลอดวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,487.31 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,464.73 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 579 หลักทรัพย์ ลดลง 144 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 120 หลักทรัพย์ นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นโดยรวมปรับขึ้นทิศทางเดียวกับภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ขยับปรับสูงขึ้นหลังจากคลายกังวลการลดขนาด QE ทำให้นักลงทุนมองว่าต่างชาติอาจจะกลับมาซื้อ ผู้ที่เคยกังวลจะกลับมาไล่ซื้อหุ้นที่ราคาปรับลงแรง ทำให้ดัชนีปรับขึ้นแรง และวานนี้มีหุ้นเข้าใหม่ บมจ.ซีเค พาวเวอร์(CKP)มีแรงซื้อเข้ามามาก ประกอบกับ ปัจจัยทางเทคนิค ดัชนีผ่านแนวต้านเดิม 1,464 จุด ขณะนี้กำลังไปต่อเพื่อทดสอบ 1,490 จุดว่าจะผ่านหรือไม่ ถ้าไม่ผ่านก็คงปรับลงอีกรอบ "ยังแนะ wait&see การผ่านคือสัญญาณบวก ตลาดเป็นช่วงไม่มีข่าวร้ายข่าวดีมาก การกลับมาซื้อทำให้ตลาดดีขึ้นทำให้ความเชื่อมั่นกลับมา วอลุ่มเยอะขึ้นเป็นสัญญาณเชิงบวก ถ้าไม่ผ่าน 1,493 รอขายแถวแนวต้าน"นายถนอมศักดิ์ กล่าว ทิศทางวันนี้ ต้องติดตามธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศทบทวนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ และญี่ปุ่นในวันอาทิตย์จะมีการเลือกตั้งสภาสูง ซึ่งเชื่อว่าตลาดภูมิภาคจะติดตามประเด็นนี้ โดยคาดว่าหากพรรครัฐบาลได้เสียงข้างมากจะสามารถออกนโยบายหรือสามารถผ่านกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้เร็วขึ้น ดัชนีหุ้นวันที่ 18 ก.ค.56 ปิดที่ 1,487.19 จุด เพิ่มขึ้น 29.11 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 57,165.49 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 584.75 ล้านบาท เป็นการซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 7 แล้ว หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด CKP ปิด 16 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท จากราคาจองซื้อที่ 13 บาท, INTUCH ปิด 89.25 บาท บวก 3.50 บาท, JAS ปิด 8.35 บาท บวก 0.55 บาท, ADVANC ปิด 295 บาท บวก 1 บาท และ KBANK ปิด 90 บาท บวก 2.50 บาท ฝ่ายกลยุทธ์ บล.โนมูระ พัฒนสิน มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นคาดว่า ดัชนีจะยังยืนในแดนบวกได้ และยังต้องติดตามการแถลงของ เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกางสหรัฐฯ ชี้แจงภาวะเศรษฐกิจและนโยบายการเงินสหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2 ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยไตรมาส 2 และกระแสเงินไหลเข้า-ออกของต่างชาติ แนะกลยุทธ์ ให้เลือกซื้อหุ้นรายตัวเมื่อราคาอ่อนตัว เน้นหุ้นเกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ อาทิ หุ้นแบงก์ วัสดุและรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากงานประมูล เช่น ทีวีดิจิตอล ด้านเทคนิค ให้แนวรับที่ 1,464-1,465 จุด ส่วนแนวต้าน 1,492-1,507 จุด สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า การลงทุนในช่วง 3 เดือนนี้ สถานการณ์อาจมีความเปราะบาง นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน โดยแนะนำให้เลือกหุ้น 3 กลุ่มคือ 1.การบริโภคในประเทศ กลุ่มสื่อสารไอซีที ยังมีการเติบโตไม่ว่าเศรษฐกิจจะโตหรือชะลอตัว กลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่ายังมีการเติบโตต่อ ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อาจชะลอการเติบโตลง 2.กลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจโลก ตามที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์เศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีขึ้น จากเศรษฐกิจสหรัฐฯและญี่ปุ่นฟื้นตัว จึงแนะให้เลือกหุ้นที่มีธุรกิจในสหรัฐฯและญี่ปุ่น เช่นหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน แต่ให้ระวังธุรกิจที่ค้าขายกับจีน โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ และ 3.กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท เช่นกลุ่มวัสดุและรับเหมาก่อสร้าง โดยราคาหุ้นปัจจุบันได้ปรับตัวลงมาเท่ากับราคาเมื่อปีก่อน ทำให้มีความน่าสนใจลงทุนระยะยาว สุกิจ ยังย้ำว่า ระยะนี้ต้องเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงในการทำธุรกิจต่ำ รับมือกับความผันผวนได้ดี ขณะที่ราคาหุ้นต้องไม่แพงหรือสูงเกินไป!! Create Date :19 กรกฎาคม 2556 Last Update :19 กรกฎาคม 2556 10:26:02 น. Counter : 515 Pageviews. Comments :0 twitter google Comment * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก