ว่ากันไปตามลำดับเลยแล้วกันนะครับ วางแผนเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้เน้นคุ้ม ครบ ไม่แคร์เหนื่อย!
ลากกระเป๋า ซำเหมา Day 1
ตั้งใจจะเที่ยวญี่ปุ่นให้ได้ก่อนเดินทางไปประจำการในต่างประเทศครั้งนี้ เพราะรู้ดีว่าหากไม่ไปเสียตอนนี้ในขณะที่ยังอยู่ไม่ไกลกันมาก ก็คงหาโอกาสยากแล้ว อยู่ไกลคนละไหล่ทวีป จะมาจะไปไหนทีคงลำบาก
ลางานช่วงสงกรานต์ได้แล้วก็จองตั๋วเลยครับ สู้ราคาตั๋วสายการบินประจำชาติไทยไม่ไหว ราคาไปกลับเกือบแสน เลยหันไปใช้ทางเลือกของน้องคนหนึ่งที่ไม่ต้องรีบร้อนบินตรง แวะกินเที่ยว ไหว้พระในตั๋วราคาถูกกว่า เครื่องใหม่ นั่งสบาย และบริการดีกว่า สุดท้ายก็ได้ตั๋วของคาเธ่ย์แปซิฟิกมาในราคาไปกลับ 25,000 บาทกับการที่ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง เอาน่า ไม่ใช่ปัญหา เงินซิปัญหา โล่งใจในภายหลังเมื่อญี่ปุ่นห้ามเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากไทยบินเข้าญี่ปุ่น ตัดสินใจไม่ผิด

แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินฮ่องกง 2 ชม. ไม่น่าเบื่อเลย มีร้านรวงให้ดูให้กินพอสมควร มีเก้าอี้ให้เอนหลังแถมชาร์จแบตได้ ไวไฟฟรีและเร็วกว่าสารพัดจีบ้านเราอีก
ถึงนาริตะสนามบินใหม่ที่อยู่ไกลกว่าฮาเนดะในโตเกียว นั่งรถไฟเข้ามาโรงแรมที่จองไว้ในเมือง ผมพักแถบอุเอโนะ นั่ง Skyliner มาประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึง
แล้วก็ลากกระเป๋าเดินหาโรงแรมตอนประมาณ 4 ทุ่ม ซึ่งในเวลานั้นไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวลากกระเป๋าหาที่พักกันแล้ว วนเวียนอยู่ในซอยที่ไม่ใช่ซอยโรงแรมอยู่พักใหญ่ งานนี้กูเกิ้ลบอกผิดไปเฉยๆ เลย 1 ซอย เสียเวลาในตอนที่หิวและหนาว เซ็ง!
เป็นโรงแรมเล็ก ราคาไม่แพงจองผ่านอินเตอร์เน็ต มีห้องรับแขก ห้องนอน และห้องน้ำส่วนตัวเล็กๆ พร้อมเครื่องทำความร้อน ช่วยให้คืนที่หนาวเหน็บผ่านไปได้อย่างสบาย
วางกระเป๋าเสร็จเพื่อนก็มารับไปเมาท์และทานข้าวพอเป็นพิธี ทานข้าวนะพอเป็นพิธี แต่เมาท์เอาเป็นเอาตายมาก ขอบคุณเพื่อนร่วมงานทั้งสองและคุณสามีเพื่อนด้วยครับ
++++++++++++++++++++++++
ลากกระเป๋า ซำเหมา Day 2
ตื่นเช้ามุดรถใต้ดินไปเที่ยววัด ซื้อ JR Pass มาก็ใช้กับรถใต้ดินไม่ได้อีก ใช้ได้กับรถไฟที่มีป้ายสัญลักษณ์ JR เท่านั้น ถ้าซื้อมาแล้วไม่ได้นั่งซินคันเซ็นไปไหนไกลๆ บอกเลยว่า JR Pass จะขาดทุนอย่างแรง
วัดแรกวัด Senso-Ji เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียวและมีความสำคัญลำดับต้นๆ อยากรู้ประวัติลึกๆ ไปจิ้มกูเกิ้ลเอาเอง
วัดนี้เจอคนไทยกลุ่มใหญ่ อย่างว่าสงกรานต์หยุดยาว คนไทยจะไปไหนได้ และอย่างว่ามาโตเกียว ถ้าไม่เที่ยววัดนี้จะไปวัดไหนได้
เดินต่อไป Tokyo Skytree ทั้งที่ซื้อตั๋วรถใต้ดินแบบไม่จำกัดเที่ยวไว้ เพราะคิดว่าไม่น่าไกลมากเอาการอยู่เหมือนกัน
ถึงแล้วต่อแถวยาวเพื่อซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิว ราคาประมาณ 500 กว่าบาท Tokyo Skytree สร้างเสร็จเมื่อสี่ปีที่แล้ว เป็นร้านอาหาร จุดชมวิวเสาส่งสัญญาณ เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลกและเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงเป็นอันดับสองของโลก
เห็นวิวรอบโตเกียว โชคดีวันนี้พอจะมีแดดบ้าง หลังจากนี้มืดสนิทเลย เป็นที่น่าเจ็บใจ
ขึ้นไปไม่สุด จะให้สูงสุดต้องจ่ายอีก 300 บาท ก็ยอมจ่ายเพื่อเห็นวิวเดิมจากชั้นที่สูงขึ้น
เสร็จแล้วรีบเก็บของบอกลาย่านอุเอโนะที่แทบไม่ได้สำรวจอะไรเลย กระโดดขึ้นรถไฟไป Fujikawaguchiko แน่นอนว่าเพื่อไปชมฟูจิซังให้เต็มตา
นั่งรถต่อรถนานเป็นชั่วโมงๆ มาถึงสถานี Kawaguchiko ที่มีชื่อเสียงในที่สุด
แม้อากาศจะเริ่มหนาวเย็นและมีฝนตกลงมาบ้างก็ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิค่อนข้างชัดเจน
เลือกที่พักที่มองเห็นฟูจิซังจากห้องนอนแบบเต็มตาแม้ราคาไม่ถูก ห้องน้ำรวม และความสะอาดติดลบก็ตาม
มื้อเย็นของวันนี้กลับไปกินรางเมนเส้น Hoto ที่สถานี Kawaguchiko ของประจำถิ่นของเขตนี้ ไม่ได้เอร็ดอร่อยอะไร เพราะไม่โปรดปรานราเมนแต่ได้กินราเมนเนื้อม้าก็แตกต่างดี
ขากลับที่พักแวะถ่ายภาพสวนซากุระที่ยังพอหลงเหลือให้เห็นให้ชื่นใจอยู่บ้าง ขอบคุณพายุสองสามวันก่อนหน้านี้ที่ไม่ทำลายไปหมด
ซื้อขนมมากินก่อนนอนด้วย ความน่ารักประดิดประดอย สนใจในรายละเอียดของแต่ละท้องถิ่นต้องยกให้เขาเลย แต่ส่วนประกอบขนมทุกอย่างแทบไม่ต่างกัน แป้ง น้ำตาล ถั่วแดง และชาเขียว
++++++++++++++++++++++
ลากกระเป๋า ซำเหมา Day 3
ตื่นมาตอนเช้าฝนตกหนักต้อนรับตามพยากรณ์อากาศเป๊ะๆ ก็เช่ารถขับตะลุยฝนไปอย่างนั้นเลยแนะนำถ้าใครมาพักที่นี่มากกว่าหนึ่งคืน ให้เช่ารถขับ มีจีพีเอสสะดวกสบายยิ่งถ้าอากาศดีนะ ฟินยิ่งกว่า
กางร่มและใส่เสื้อฝนเที่ยว เริ่มที่เจดีย์ Chureitoเป็นที่แรก เป็นอนุสรณ์สถานแห่งสันติภาพและเป็นจุดชมวิวฟูจิซังในวันที่แดดออก ย้ำว่าวันที่แดดออกซึ่งตอกย้ำว่าวันที่ผมไปฝนตกฟ้าถล่ม
รูปที่กะว่าจะถ่ายให้เหมือนในโปสการ์ดจึงเป็นโปสการ์ดที่ไม่เหมือนใคร
ไปหมู่บ้านบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ OshinoHakkai ที่ปัจจุบันก็ยังดูโบราณและยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า แต่มีของขายมากมายเต็มไปด้วยผู้คนแม้ในวันที่ฝนตกหนักเช่นนี้
ลายร้านมีป้ายภาษาไทย คนไทยคงมาเที่ยวกันเป็นลำดับต้นๆ เช่นกัน
กลางวันพากันไปกินร้านหรูเสิร์ฟอาหารตะวันตกกันสักมื้อเพื่อชดเชยฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจในวันนี้ ชื่อ Fuji Kitchen ร้านดังในไกด์บุ๊ค ริมทะเลสาบ Yamanaka
กินกลางวันเสร็จ เราขับรถไปถ้ำน้ำแข็ง Narusawa ก็แปลกดีที่ในถ้ำเป็นน้ำแข็ง บางช่วงลื่นมาก ต้องเดินอย่างระวัง
แต่น้ำแข็งที่เป็นสี่เหลี่ยมๆ นี่ซิที่ชวนงงว่าธรรมชาติสร้าง หรือคนทำขึ้นมา
ต่อด้วยถ้ำลาวา Fugaku เป็นถ้ำที่เกิดจากการไหลของลาวาเมื่อครั้งที่ภูเขาไฟฟูจิระเบิด
ในอดีตถูกใช้เป็นตู้เย็นธรรมชาติสำหรับหนอนไหม
วันนี้ถือว่าใช้เวลาทุกนาทีคุ้มค่ามากแม้ฝนจะตกลงมาตลอดเวลาก็ตาม ก่อนกลับได้แวะไปที่หมู่บ้าน IyashinoSato Nenba เป็นหมู่บ้านโบราณที่เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
เราไปถึงเขากำลังจะปิดแล้ว คงสงสารกะเหรี่ยงหลงทางสองคน เลยไม่เก็บค่าเข้า ได้แต่เดินถ่ายรูปแล้วกลับออกมา ถ้าเห็นฟูจิซังด้วยจะสวยกว่านี้
มีเวลาเหลือก่อนมื้อค่ำ ขับรถตระเวนไปรอบทะเลสาบทั้งห้าแห่งฟูจิ ตามหาภาพตามธนบัตรตามโปสการ์ดเช่นเคย
วกไปวนมาจนแน่ใจว่าครบทั้งห้าทะเลสาบแม้แทบไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสายฝนก็ตาม แล้วขับรถกลับ มุ่งหน้าเมือง Fujikawaguchiko เพื่อหาอาหารค่ำรับประทานพร้อมท้องที่ว่างเต็มที่
อาหารที่ไกด์บุ๊คแนะนำไม่ค่อยถูกปากเลย จำต้องพึ่งพาแหล่งข้อมูลใหม่อย่าง trip advisor นำเราไปร้านที่ถูกใจผมที่สุดในทริปนี้คือ ร้าน Sanrokuen
ปิ้งย่างสารพัดสัตว์ถูกใจผมมากๆ ให้เกือบเต็มสิบเลย มีกลุ่มคนไทยมาทานด้วย เจ้าของร้านบริการดี กลับไปนอนพักตีพุงอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะย่อยหมด
++++++++++++++++++++++++
ลากกระเป๋า ซำเหมา Day 4
ตื่นเช้าไป Tenjo Ropeway ซึ่งปิดบริการ ไม่ใช่เพราะอากาศไม่ดีแต่เพราะถึงช่วงซ่อมบำรุงประจำปีพอดี ก็ดีจะได้ไม่ต้องเสียเงิน
ได้แต่ถ่ายรูปตำนานกระต่ายปราบหมาแรคคูน
ช่วงวันนี้เป็นช่วงที่ลำบากที่สุดช่วงหนึ่งของการเดินทางเพราะต้องขึ้นรถบัส ต่อกระเช้า นั่งรถรางต่อรถไฟ ได้วางแผนมาล่วงหน้าจึงสะพายเป้แค่ใบเดียว โดยได้ส่งกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ไปรอที่สถานี Odawara เพื่อต่อชินคันเซ็นไปเกียวโตล่วงหน้าแล้ว
ใช้บริการของแมวดำ Yamato ให้ส่งของไปรอล่วงหน้า สะดวกสบายและไม่แพงเลย
ลงรถบัสต่อกระเช้าที่ Hakone เห็นเรือโจรสลัดที่มีคนรอล่องอยู่มากมายแต่ด้วยหนทางที่แสนไกลและอากาศสุดขมุกขมัว จึงพอใจกับการถ่ายรูปเก็บไว้
ระหว่างการเดินทางด้วยกระเช้า
ได้แวะกินไข่ดำที่ Owakudani เป็นแหล่งที่ยังมีกำมะถันจากใต้ผืนพิภพถูกเอามาใช้ประโยชน์จำนวนมากรวมทั้งต้มไข่ขายนักท่องเที่ยว เขาต้มแต่ไข่ครับไม่ต้มนักท่องเที่ยว
ราคามาตรฐาน 5 ลูก 40 บาท รสชาติเหมือนไข่ต้มทั่วไปแหละ มีเกลือให้โรยแก้เลี่ยน
การเดินทางอันแสนไกลและลำบาก เพราะต้องต่อยานพาหนะหลายชนิดและหลายเส้นทาง
ตอนมาถึง Odawara วิ่งไปรับกระเป๋าที่บริษัทแมวดำแล้ววิ่งลากกระเป๋าอย่างพะรุงพะรังกลับมาขึ้นชินคันเซ็นเกือบไม่ทัน ขึ้นรถได้ไม่ถึง 5 วินาที ประตูก็ปิด ยืนหอบในรถอยู่พักใหญ่
เข้าใจผิดมาตลอดว่าจากรถไฟต่อซินคันเซ็นได้เลย ต้องเผื่อเวลาเดินจากรางรถไฟไปรางชินคันเซ็นอีกนะครับ บางสถานีเดินกันครึ่ง ชม. เลย
แต่ก็ประทับใจกับความสะดวกสบายของชินคันเซ็นจริงๆ ครับ นิ่ง นุ่ม เงียบ เร็ว สะอาด ปลอดภัย ใช้เวลาจาก Odawara ไปถึงเกียวโต เป้าหมายต่อไปของเรา ประมาณ 3 ชั่วโมง 15 นาทีเท่านั้น
คืนแรกในเกียวโตเราพักเรียวกัง ซึ่งเมื่อก่อนก็เป็นโรงเตี๊ยมระหว่างทาง ปัจจุบันเป็นที่พักที่ราคาสูงกว่าโรงแรม แต่ก็มีบริการเสริมที่จะทำให้ผู้เข้าพักประทับใจเช่น ห้องน้ำรวม ชุดยูกะตะ และอาหารเช้าที่เข้ามาเสิร์ฟในห้องพัก
ไม่ประทับใจขนาดนั้นกับราคาเพราะไม่มีที่อาบน้ำออนเซ็นสาธารณะให้ มีแต่ห้องอาบน้ำรวมที่ติดป้ายว่า Spa เราอาจยังจ่ายไม่แพงพอ
อาหารค่ำวันนี้เราไปหาอะไรหย่อยๆ ทานกันแถวย่าน Gion ในเกียวโต คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว
เผลอเดินหลงเข้าไปในถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านเกอิชา
เราแค่จะไปหาข้าวกิน เข้าร้านที่เหมือนจะถูกที่สุดในละแวกนั้นแล้ว ทานอาหารแบบไม่ค่อยอิ่มดีไปคนละเซ็ทสองคนโดนไปประมาณ 4,000 บาท ขอเป็นลมแพล๊บ
ฟื้นจากเป็นลมแล้วจะมาต่อนะครับ รอแพล๊บ
- Comment
โดย: Ping IP: 192.95.30.51 9 กรกฎาคม 2559 1:20:18 น.