คุณรู้จักน้ำแร่มากแค่ไหน
คุณรู้จักน้ำแร่มากแค่ไหน
ดื่มน้ำแก้วที่ 1 มารู้จักน้ำแร่กันเถอะ น้ำแร่ เป็นน้ำบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติโดยมีแหล่งกำเนิดตั้งแต่ใต้ผืนดิน เจาะจากใต้ท้องทะเลลึก หรือจากหุบเขา น้ำที่ได้จะมีแร่ธาตุประกอบมากกว่าน้ำธรรมดา ซึ่งเป็นคุณสมบัติตามสภาพทางธรณีวิทยาสำหรับแหล่งน้ำนั้นๆ
ตามประกาศของกองควบคุมอาหาร กระทรวงสาธารณสุข น้ำแร่สำหรับจำหน่ายนั้นคุณสมบัติต้องเป็นไปตามที่ได้จากธรรมชาติ โดยไม่ผ่านกรรมวิธีที่จะทำให้คุณสมบัติทางเคมีของน้ำแร่เปลี่ยนไปจากแหล่งธรรมชาติ ทั้งนี้อนุญาตให้เติมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซโอโซนได้ แต่ต้องเติมเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น น้ำแร่ธรรมชาติต้องมีความสะอาดปราศจากบักเตรีที่ให้โทษต่อร่างกาย หรือสิ่งที่เป็นพิษ โดยปกติน้ำแร่มีปริมาณสารพวกโลหะหนักอยู่น้อยมาก หากมีมากแสดงว่ามีการปนเปื้อน อันอาจติดมาตามเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต
ดื่มน้ำแก้วที่ 2 ทำไมต้องดื่มน้ำแร่ ? แถบยุโรปซึ่งประกอบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้สภาวะแวดล้อมเป็นพิษ จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเขาต้องเลือกบริโภคน้ำแร่ธรรมชาติเพราะน้ำฝนไม่สามารถบริโภคได้ แม้น้ำประปาของต่างประเทศนั้นจะสามารถดื่มได้ แต่น้ำประปาต้องมีการแกว่งสารส้มเพื่อให้แร่ธาตุ และฝุ่นตะกอนต่างๆ ตกตะกอน จากนั้นอาจเติมคลอรีนหรือผ่านเครื่องโอโซนเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค กลิ่นของน้ำที่ดื่มก็จะไม่เหมือนน้ำแร่จากธรรมชาติ และเนื่องจากน้ำแร่อยู่ใต้ดินลึกมาก เชื้อโรคจึงไม่สามารถเจริญเติบโตได้เพราะไม่มีอากาศ รวมไปถึงเวลาน้ำซึมลงสู่ใต้ดินได้ผ่านกระบวนการกรองจากชั้นหิน ดิน และทราย ทำให้ได้น้ำที่สะอาด และยังได้แร่ธาตุต่างปนมากับน้ำด้วย
แร่ธาตุใต้ดินมีทั้งที่ไม่ส่งผล และส่งผลเสียต่อร่างกาย จึงต้องมีการตรวจสอบก่อนว่าแร่ที่ปนมานั้นเป็นพิษต่อร่างกายหรือไม่ โดยจะมีมาตรฐานกำหนด คือ Codex (มาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ) เป็นมาตรฐานในการกำหนดการตรวจสอบ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ชาวต่างประเทศต้องบริโภคน้ำแร่ก็เพราะว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่หลากหลายทำให้ได้สารอาหารบางอย่างไม่ครบถ้วน รวมถึงอาการท้องผูกซึ่งสามารถส่งผลต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ จึงต้องมีการบริโภคอาหารเสริมจำพวกวิตามินเสริม น้ำแร่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะเชื่อว่าในน้ำแร่ชนิดที่มีเกลือซัลเฟต ของโซเดียมหรือแมกนีเซียม จะช่วยระบบขับถ่าย เป็นยาระบาย
อย่างไรก็ตามแม้ในน้ำแร่จะมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอยู่จริง แต่แร่ธาตุที่ได้จากการดื่มน้ำแร่นั้น ร่างกายไม่สามารถดูดซึมไว้ได้ดีนัก หากเรากินอาหารครบ 5 หมู่แล้ว แร่ธาตุเหล่านั้นก็เสมือนเป็นแร่ธาตุส่วนเกินต้องถูกขับออกไป
การบริโภคน้ำแร่เพราะชอบใจในรสชาติของน้ำก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งในการเลือกบริโภคน้ำแร่ ด้วยการที่น้ำแร่เป็นน้ำที่อุดมด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ทำให้มีรสชาติที่แตกต่างจากน้ำธรรมดาทั่วไป
ดื่มน้ำแก้วที่ 3 แร่ธาตุต่าง ๆ ในน้ำแร่ น้ำแร่สำหรับบริโภคไม่สามารถจำกัดแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในน้ำได้ เพราะแหล่งน้ำแต่ละแหล่งให้แร่ธาตุที่ต่างกันไปตามสภาพทางธรณีวิทยา น้ำแร่ในประเทศไทยเป็นน้ำแร่ที่เกิดในชั้นหินที่มีอายุเยอะ และสภาพทางธรณีวิทยาที่ไม่ค่อยมีภูเขาไฟทำให้น้ำที่ได้มีคุณภาพดี ไม่มีสภาพเป็นกรด
แร่ธาตุในน้ำแร่นั้นมีมากมายหลายชนิด ทั้งที่มีประโยชน์ และมีโทษ เช่น สารอินทรีย์ (organic compound) ไซยาไนด์ ไนเตรท ไนไตรต์ แร่ธาตุบางชนิดอย่าง สารหนู ฟลูออรีน โบรอน ไอโอดีน โมลิบนัม แวนนาเดียม ซีลีเนียม โครเมี่ยม อาจติดมากับน้ำแร่เองตามธรรมชาติ ซึ่งหากแร่ธาตุเหล่านี้มีปริมาณมากอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้
ขณะเดียวกันน้ำแร่ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ดังนี้
- มีเกลือซัลเฟตของโซเดียม หรือแมนีเซียม ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย เป็นยาระบาย
- มีฟลูออไรด์ สามารถป้องกันฟันผุได้
- น้ำแร่ที่มีฤทธิ์เป็นด่างซึ่งมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นองค์ประกอบจะช่วยขับปัสสาวะ และทำให้น้ำแร่มีรสชวนดื่ม
- น้ำแร่เป็นด่างซึ่งมีเกลือไบคาร์บอนเนตเป็นส่วนประกอบ อาจช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้
- แคลเซี่ยม ช่วยเสริมสร้างกระดูก
- โปแตสเซียม ช่วยรักษาสมดุลความเป็นกรดเป็นด่างของร่างกาย ช่วยในปฏิกริยาเผาผลาญอาหาร
- โซเดียม รักษาระบบความสมดุลของน้ำในร่างกาย ช่วยในการรับส่งประสาทความรู้สึก
- ไอโอดีน ป้องกันโรคคอพอก
หากต้องการดื่มน้ำแร่เพื่อเติมแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไป คุณจะต้องดื่มน้ำแร่เป็นปริมาณมากต่อวัน ซึ่งอาจไม่จำเป็น เพราะแร่ธาตุที่มีในน้ำแร่นั้นมีอยู่ในอาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกๆ วัน หากร่างกายคุณได้รับแร่ธาตุจากอาหารเพียงพอแล้ว แร่ธาตุส่วนเกินที่ถูกดื่มเข้าไปก็จะถูกขับออกในรูปของเสียของร่างกาย
ดื่มน้ำแก้วที่ 4 การเลือกดื่มน้ำแร่
- ฉลากต้องระบุไว้ว่าผ่านการขึ้นทะเบียนขององค์การอาหารและยา (อย.)
- น้ำแร่ที่ดีต้องใสไม่มีตะกอน และบรรจุในภาชนะที่ใสสะอาดไม่มีการเจือสี
- น้ำแร่ที่มีฟลูออไรด์เป็นองค์ประกอบเกินกว่า 1 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถก่อโรค ฟลูออไรด์เกิน ทำให้ฟันเหลือง ฟันลายไม่เรียบ ซึ่งในน้ำแร่ต่างประเทศจะมีการระบุปริมาณแร่ธาตุไว้ด้วย ต่างจากน้ำแร่ไทยที่ไม่มีการระบุปริมาณแร่ธาตุ แต่หากน้ำแร่ชนิดใดมีฟลูออไรด์เกินที่ระบุไว้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กำหนดให้ต้องระบุไว้ที่ฉลากว่า "เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ หรือหญิงมีครรภ์ไม่ควรดื่ม"
- การอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำแร่นั้นไม่เกิดอันตรายเหมือนในน้ำอัดลม เนื่องจากน้ำอัดลมนั้นมีส่วนประกอบของน้ำตาล ทำให้เมื่อมีการอัดก๊าซลงไปจะทำให้เกิดกรด 2 ชนิด คือ คาร์บอนนิก และฟอสฟอริก ซึ่งกรดฟอสฟอริก มีฤทธิ์กัดกระเพาะอาหาร แต่การอัดลมในน้ำแร่เกิดเพียงกรดคาร์บอนนิกเพียงอย่างเดียวไม่ส่งผลต่อร่างกาย
- น้ำแร่มีมีปริมาณธาตุเหล็กสูงมากกว่า 5 มิลลิกรัมต่อลิตร อาจมีผลเสียที่ทำให้เกิดการปัสสาวะมากกว่าปกติ
- หากคุณแพ้ซัลเฟอร์ (สังเกตดูเวลาที่กินปลาหมึกตากแห้งย่าง ถ้ามีผื่นขึ้นตามตัวให้สันนิษว่าคุณแพ้ซัลเฟอร์ เพราะว่าในปลาหมึกแห้งใช้สารซัลเฟอร์เพื่อให้ปลาหมึกแห้งมีสีสวยไม่คล้ำเวลาตากแดด) ควรหลีกเลี่ยงน้ำแร่ที่มีส่วนประกอบของธาตุซัลเฟอร์
- หากน้ำแร่มีปริมาณโบรอนเจืออยู่มาก อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการปนเปื้อน ทั้งนี้ยังไม่มีผลงานวิจัยถึงผลของโบรอนต่อร่างกายในระยะยาว
- แหล่งผลิตน้ำแร่ควรอยู่ห่างไกลชุมชน เขตอุตสาหกรรม หรือแหล่งน้ำที่สกปรก เพื่อป้องกันมลพิษจากสิ่งแวดล้อมอันมีผลกระทบต่อความสะอาดของน้ำ โดยทั่วไปน้ำแร่แต่ละชนิดจะมีการระบุแหล่งที่มาของน้ำแร่ไว้ที่ฉลาก
ดื่มน้ำแก้วที่ 5 น้ำแร่สำหรับอาบ ความแตกต่างของน้ำแร่อาบกับน้ำแร่กินก็คือ น้ำแร่อาบจะมีความร้อน เป็นความร้อนที่เกิดจากใต้โลก เมื่อน้ำใต้ดินได้รับความร้อนก็จะเกิดแรงดันให้ผุดขึ้นมาตามรอยแยกของดิน หรือหิน รวมถึงมีการชะเอาแร่ธาตุต่างๆ มาด้วย เป็นที่รู้จักกันในนาม น้ำพุร้อน
ส่วนใหญ่บริเวณที่เกิดน้ำพุร้อนนั้นจะใกล้กับภูเขาไฟ หรือหินภูเขาไฟเก่า ดังนั้นจึงมีซัลเฟอร์หรือกำมะถันติดขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุต่างๆ กันไปตามสภาพทางธรณีวิทยา ความร้อนของแหล่งน้ำพุร้อนแต่ละแหล่งจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับที่มาของความร้อนใต้ผิวดิน
ซัลเฟอร์ หรือ กำมะถันที่มีในน้ำนั่นเองที่เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ เพราะสามารถรักษาโรคผิวหนังได้ รวมถึงความร้อนของน้ำพุร้อนจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ขยายรูขุมขน จึงชะล้างสิ่งสกปรกในผิวหนังออกได้ดี ซึ่งอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสเป็นอุณหภูมิที่พอเหมาะแก่การอาบ โดยเชื่อว่าการใช้น้ำที่อุณหภูมิสูงในระดับที่พอเหมาะ จะมีผลต่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกสบาย ทั้งนี้ไม่ควรอาบเกิน 20 นาทีมิเช่นนั้นจะทำให้ร่างกายร้อนและเสียเหงื่อมากเกินไป ในน้ำแร่อาบยังมีแร่ธาตุต่างๆ ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อผิว เช่น สังกะสีช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทองแดงมีเส้นใยคอลลาเจน และอีสาสติน ช่วยพยุงผิวให้กระชับ แมงกานีสช่วยสร้างคอลลาเจนให้ผิว โซเดียมจะช่วยปรับผิวพรรณเปล่งปลั่ง ส่วนแมกนีเซียมจะช่วยต้านความเหนื่อยล้าของผิวและแคลเซียมจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้ ซึ่งแหล่งอาบน้ำพุร้อนในไทยที่เชื่อว่ามีคุณภาพดีที่สุดคือ แหล่งน้ำแร่ที่จังหวัดระนอง
ทั้งนี้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของแร่ธาตุในน้ำแร่นั้น ยังไม่มีการพิสูจน์ยืนยันที่แน่ชัด ดังนั้นการบริโภคจึงขึ้นกับความเชื่อ และวิจารณญานของแต่ละท่าน
อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 5 ฉบับที่ : 51 เดือน : เมษายน 2548
From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=533
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2553 17:40:55 น. |
|
0 comments
|
Counter : 165 Pageviews. |
|
|
|