เรื่องเล่าเรื่องบ่นของคนกำลังจะแก่

ยักษ์ใจดี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
27 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ยักษ์ใจดี's blog to your web]
Links
 

 

สี่วัน สองพันกว่าโล ตอน ไปเที่ยวเมืองนอก

ไอน้ำลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือลำน้ำสาย หมอกจางๆล่องลอยอยู่ทั่วไป
สายน้ำยังคงไหลแรง อากาศเย็นจัดจนลมหายใจกลั่นตัวเป็นควันขาว
เบื้องหน้าเป็นฝั่งพม่า ไอ้โต้งตัวสวยโก่งคอขันเสียงดังกังวาน
ไม่ยักกะขันเป็นภาษาพม่าเนาะ อิอิ

แปดโมงครึ่งเสียงผู้คนดังทางโน้นทีทางนี้ทีอยู่ทั่วทั้งที่พัก
จากค่ำคืนที่หลับใหลดูเหมือนรีสอร์ทร้าง ตอนนี้ฝรั่งหัวแดงโผลออกมาเต็มไปหมด
บ้างนั่งที่นอกชานสูบบุหรี่ บ้างเตรียมตัวออกไปข้างนอก บ้างก็จูงจักรยานคันสวย
ที่ดูแล้วมันคือทัวริ่งไม่สังกัดยี่ห้อ แต่กระเป๋าและอุปกรณ์ประกอบนั่นตีราคาคงหลายหมื่นอยู่
รีสอร์ทนี้ก็แปลก ดูจะยิวพอสมควรกับกฎเหล็กที่ตั้งเอาไว้
เช็คอิน จ่ายตังค์ทันที เช็คเอาท์ ไม่เกินเที่ยง เกินเที่ยง ถึงบ่าย จ่ายหนึ่งร้อย
เกินบ่ายจ่ายเต็มวัน แถมที่จะแปลกที่สุด อาหารเช้ามีบริการ (ไม่ฟรี)
แต่คุณสั่งได้ตอนแปดโมงถึงเก้าโมงเช้าเท่านั้น เกินกว่านั้น มะต้องกินครับท่าน

…. เอ่อ พี่ครับ ถ้าลำบากนัก ให้มันไปหากินกันเอาเองข้างนอกก็ได้ครับ





เก็บข้าวของอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยก็ออกจากรีสอร์ทราวเก้าโมงกว่าๆ
ที่หมายต่อไปน่ะฝั่งกระโน้น มาแล้วก็ไปซะหน่อย หลังจากที่ได้แต่มา แล้วไม่ข้ามไปก็หลายครั้ง
ตอนแรกกะจะเดินมา แต่รีสอร์ทอยู่ไกลกว่าด่านเหลือเกิน เดินมาคงโดนสาวพม่าคว้าตัวไปก่อน
เลยต้องเอารถออกมาหาที่จอดแถวๆด่านนั่นละ

เด็กพม่าโบกไม้โบกมือให้เข้าไปจอดรถในอัตราห้าสิบบาทต่อคัน ตรงนี้ดีหน่อยที่ไม่ต้องฝากกุญแจรถ
เสร็จสรรพเตรียมของแล้วเดินย้อนขึ้นไปที่ด่าน ตอนนี้ยังเข้าอยู่ นักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก แต่ก็ไม่น้อย
เจ้าหน้าที่เรียกเก็บบัตรประชาชนไปถ่ายเอกสารรวมๆกัน แล้วฉีกแยกออกเป็นใบๆ ยื่นกลับคืนให้พร้อมใบขอผ่านแดน
จ่ายตังค์สามสิบบาท ลงชื่อเซ็นชื่อเรียบร้อยเราก็จะได้ใบอนุญาติไปเที่ยวเมืองนอกกันแร้วววววว

เดินเข้าด่านยื่นใบอย่างว่าให้เจ้าหน้าที่ปั๊มตราซะทีนึง แล้วออกจากด่านทางด้านซ้าย ข้ามแม่น้ำสาย
แล้วเดินเข้าประเทศเมียนม่าร์กันทางด้านขวา เจ้าหน้าที่รับใบไปประทับตราเข้าประเทศกันอีกซักจึ๋ง เป็นอันเสร็จพิธี



วูบแรกที่ออกจากด่านก็คือบรรดาวินรถสามล้อที่เข้ามาประชิด ไปเที่ยวไม๊พี่ ไปวัดพม่าเจดีย์ชเวดากอง ห้าสิบบาทครับพี่
ปฏิเสธคนแรกคนต่อมามันก็ถามอีก ปฏิเสธคนต่อมา อีกคนมันก็ถามอีก ….. กูยังไม่ปายยยยยยยยยย
ขอเดินเที่ยวก่อนได้ม๊ายยยยยยยยยยย
ตลาดท่าขี้เหล็กของพม่าแทบไม่เปลี่ยนไปมากนักในความรู้สึก ไอ้ที่เปลี่ยนไปก็คือปริมาณร้านรวงที่เยอะแยะ
ขนาดของตลาดที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม และ สินค้าที่ขายที่ดูยังไงมันก็คลองถมเราดีๆนี่เอง
ไอ้บรรยากาศที่จะเจอร้านรวงขายของป่า ของทหาร ของแปลกๆที่มาจากชนบทของพม่านั่นไม่ต้องหวัง
แถมซื้อมาอาจซวยโดนจับโดนปรับเอาได้อีกตะหาก พ่อค้าแม่ค้าที่พูดไทยได้ปร๋อเชิญชวนซื้อของ
ราคาสินค้าที่ลดฮวบได้เร็วที่สุดที่นึงในโลก เป็นเสน่ห์อีกอย่างที่เวลาไปเที่ยวต้องหัดใจแข็งเข้าไว้
ต่อมันเข้าไปเหอะ แล้วจะเห็นว่าไอ้ของที่ลดได้มากกว่าหกสิบเจ็ดสิบเปอร์ของแท้น่ะเป็นยังไง
เล่นเอามิดไนท์เซลล์ของเซ็นทรัลทาบไม่ติดก็แล้วกัน

อีกอย่างที่ดูน่าแปลกใจคือเณรพม่า ที่พอเห็นญาติโยมทัวร์ริสต์ชาวไทยก็จะรี่จีวรปลิวเข้ามาหาพร้อมบาตรในอ้อมแขน
แล้วส่งเสียงประมาณ ดะ ดะ ดะ หรือยังไงเนี่ยละ นัยว่าก็คงให้ทำบุญนั่นแหล่ะ ถ้าไม่ให้ก็จะล้อมหน้าล้อมหลัง
แถมเดินตามหรือวิ่งตามกันเลยทีเดียว แต่ขอโทษ ฝันไปเหอะ ไม่ให้เฟ้ยยยยยย
อดีตกาลมันมาเอาทองเอาของบ้านเราไปเยอะ ยุคนี้อย่าหวังว่าคนไทยอย่างเราจะอุทิศอะไรให้ เหอ เหอ จริงจังไปป่าวเนี่ย
เดินเที่ยวเล่นเห็นสาวพม่ามะรุมมะตุ้มซื้อก๋วยเตี๋ยวรถเข็น เลยขอเข้าไปรุมกะเค้ามั่ง ข้าวเช้ายังไม่ได้กิน ได้ทีละซิ
ไอ้ก๋วยเตี๋ยวหน้าตาประหลาดนั่นรสชาติพอทน จะว่าแปลกละก็โอ แต่อย่าได้เอามาเปรียบกะชายสี่หมื่เกี๊ยวเลย คนละเรื่อง
เดินรอบตลาดแล้วก็งั้นๆ ของไม่แพงก็จริงแต่ไอ้ที่อยากได้มันก็เสี่ยงเกินไปที่จะยอมจ่ายตังค์แล้วรอให้มันเอาไปส่งให้ที่รถฝั่งโน้น
แล้วก็ไม่มั่นใจอีกว่าขับรถออกไปแล้วจะซวยโดนด่านตรวจเอารึเปล่า สู้ซื้อในกรุงเทพซะจะดีกว่า แพงกว่าหน่อยแต่ได้ของชัวร์ๆ
ครบรอบตลาดก็พอดีเจอสามล้อพาทัวร์เข้าอีกคน อีตานี่หน้าตาดูเข้าท่า คุยกันเรื่องราคาเรียบร้อยแล้วก็ยอมไปกะเค้าแต่โดยดี




เมียนม่าร์สกายแลบพาออกถนนใหญ่ กระโดกกระเดกไปไม่ไกลก็เลี้ยวเข้าวัดแรก โชเฟอร์ที่มีหน้าที่เป็นไกด์ก็เริ่มอธิบาย
วัดนี้มีหลวงพ่อนั่นนี่ พระพุทธรูปแปลกประหลาดที่สามารถหันมองเราได้ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหน จะซ้ายจะขวา มองตามได้ซะงั้น
ไม่ใช่ไม่ลองนะ อ่ะ โฆษณาแบบนี้ก็ต้องลองกันหน่อย ก็หันได้จริงๆแหล่ะ แต่ความจริงก็คือการหักเหของแสงนั่นเอง
เพราะศิลปะที่เป็นการหล่อแบบนูนต่ำ ต่อให้หล่อขึ้นมาเป็นรูปหน้าผม สาวๆที่ไหนเดินไปเดินมาก็หันมองได้เหมียนกันนั่นแหล่ะจ้า
เสร็จสรรพวัดแรกก็ไปต่อกันอีกวัด ชั่วอึดใจสามล้อคันเก่งก็เร่งเครื่องพาหมูขึ้นเนินที่ทำท่าจะไหวมิไหวแหล่ซะจนควันโขมง
วัดนี้มีเจดีย์ชเวดากองจำลอง รอบเจดีย์จะมีพระประจำวันเกิดให้ได้สักการะ แต่ก่อนจะเข้าไปที่เจดีย์ ด้านนอกจะมีพระพุทธรูปเรียงเป็นแถว ที่นำหน้ามานั่นน่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนที่นอนไหว้นั่นใครก็ไม่รู้
คือพี่แกก็อธิบายแหล่ะ แต่ไม่จำ ก็แหม แกก็พล่ามไปเรื่อยคนฟังจะฟังทันไม่ทันแกก็ไม่สนใจเท่าไรหรอก ก็ห้าสิบบาท เอาไรมากมายจริงมะ





จริงๆแล้วเค้าว่า คนเกิดปีมะเมียน่ะให้ไปนมัสการเจดีชเวดากอง ไอ้เราก็ปีมะเมีย ไปไม่ถึงร่างกุ้งก็ขอแปะไว้แถวๆท่าขี้เหล็กนี่ก่อนละกัน
เด็กพม่าเดินตามติดตั้งแต่แรกลงจากรถ เชิญชวนซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า เราไม่สนก็ยังคงเจื้อยแจ้วอยู่ตลอดเวลา
ทำเล่นไปพูดไทยชัดกว่าเด็กไทยบางคนซะอีกนะ เพราะไอ้หนูนี่บอกหมดทุกขั้นตอน ฝากรองเท้าตรงนี้
เดี๋ยวค่อยเอาเงินมาให้ก็ได้ ไหว้พระตรงนั้น เอาดอกไม้ตรงโน้น เกิดวันไร วันอังคารพระอยู่ทางโน้น
จนแม้แต่ตอนยกกล้องขึ้นถ่าย มันยังบอกเลยว่า เพ่ เพ่ ยังไม่ได้เปิดหน้ากล้อง…..นี่ถ้าไม่กลัวมันวิ่งหนี คงยื่นกล้องให้มันถ่ายให้แระ

เดินร้อนบาทาเปลือยๆ อยู่บนเจดีย์ซักพักก็ไม่ไหวละ แดดร้อนจริงๆ กลับไปที่สามล้อแล้วบอกกลับเลยละกัน เพราะรีบ
โชว์เฟอร์หันมาค้อนเล็กน้อยเพราะจริงๆแล้วเค้าต้องพาเราไปที่ร้านขายพลอยพม่าก่อน ไอ้เราก็เข้าใจ พาไปก็ได้ตังค์
แต่เราน่ะถ้าได้พลอยไปก็คงเหมือนไก่ตัวนั้น เพราะงั้นไม่ไปซะจะดีกว่า เสียเวลา
กลับมาที่ด่านก็ต้องผ่านกรรมวิธีกลับไทย โดยการเดินเข้าไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจซ้ายตรวจขวา กระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อย
พี่แกเปิดหมด นี่ถ้ามันรูดซิบกางเกงได้คงเปิดเหมือนกันละมั๊ง จะหาไรนักหนาวะ ไม่ได้ซื้อไรกลับเลยซักอย่าง
จะมีก็แต่เส้นก๋วยเตี๋ยวนอนอืดอยู่ในท้องเนี่ย จะดูมะ
เสร็จแล้วก็ปั๊มตรา แล้วเดินออกมาได้เลย บนสะพานยังไม่วายมีเด็กพม่ามาไล่ตามขอโน่นขอนี่ พอดีมีน้ำมาถุงนึง
เลยยื่นให้ ดีเหมือนกัน หาที่ทิ้งอยู่พอดี ไอ้นั่นได้น้ำไปครึ่งถุงก็ยกดูดพรวด แล้ววิ่งกลับไปหาพรรคพวกทันที
กลับเข้ามาตุภูมิเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินหน้าลงใต้ ที่หมายต่อไปก็ดอยตุง จริงๆเดินทริปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
เพราะคนส่วนใหญ่จะออกจากเชียงราย มาเที่ยวดอยตุงก่อน ค่อยมาแม่สายตอนบ่าย เราเดินทริปแบนี้ก็ไม่ค่อยเจอคนเยอะนัก

เส้นทางจากแม่สายมาแม่จัน จะต้องผ่านไร่ยาสูบ ซึ่งบางจังหวะก็จะปลูกข้าวโพด หรือพืชไร่ตัวอื่นๆ และที่ตรึงตาทุกครั้งคือทิวเขาดอยนางนอน
ดอยนางนอนอยู่ทางฝั่งตะวันตกนั่นก็คือถ้าจากแม่สายลงมาก็จะอยู่ทางขวามือ สมัยก่อนตอนยังทำงานตะลอนๆทางเหนือ
มาทีไรก็อดไม่ได้ที่ต้องจอดรถมอง ยิ่งถ้าช่วงบ่ายที่ดวงอาทิตย์คล้อยลง แสงจะส่องมาจากด้านหลังผ่านช่องเขาสลับซับซ้อน
เกิดเป็นลำบ้างเป็นเงาบ้างคละเคล้ากันไป ปนกับหมอกแดด หมอกควัน ภาพนั้นมากี่ทีก็อดไม่ได้ที่จะต้องหันไปมอง
แต่วันนี้ทิวทัศน์เปลี่ยนไป ริมทางจากที่ว่างเวิ้งว้างกลับปรากฏซุ้มขายของฝากอยู่เป็นแถวเป็นแนว แถมด้วยร้านรวง บ้านคน
แล้วยังมีรีสอร์ทอยู่ติดริมถนนอีกต่างหาก นางที่นอนอยู่เลยถูกบดบังความงามไปโดยปริยาย
เพิงขายของแถวนี้พร้อมใจกันขายน้ำบรรจุขวดเหมือนกันหมดทุกเพิง มองผ่านๆด้วยหางตามันน่าจะเป็นน้ำสตอเบอรี่ หรือไม่ก็ไวน์
แต่แล้วก็อดใจไม่ได้ ต้องชะลอรถเข้าไปเทียบเพราะนางน้อยที่โบกมือหยอยๆนั่นน่ารักเหลือเกิน

จริงอย่างว่า นอกซะจากน้ำสตอแล้ว ยังมีน้ำลูกหม่อน น้ำลิ้นจี่อีกด้วย แถมด้วยไวน์อีกสามชนิดเหมือนๆกัน
คุณเธอบริการดีเพราะนอกจากจะเชื้อเชิญบอกสรรพคุณและสินค้าแล้ว ยังจัดแจงรีบไปรินน้ำใส่ถ้วยใบเล็ก
ยกมาเสริฟให้ลองกันถึงหน้าต่างรถกันเลยทีเดียว อืมมม แบบนี้มีเหรอจะพลาด มันก็ต้องลงไปเจรจากันหน่อยแล้ว





น้ำอร่อย ไวน์ก็อร่อย ไวน์ลิ้นจี่กับไวน์ลูกหม่อนนั้นหวาน กินง่าย แต่ไวน์สตอเบอรี่นี่รสชาติร้อนแรงกว่า
ยกกระดกฮวบลงคอก็ร้อนวาบตามลงไปทันทีเหมือนกัน สนนราคาก็ไม่แพง น้ำธรรมดาสามขวดร้อย ไวน์สามขวดสองร้อย
แบบนี้เลยโดนมาหกบวกสาม รวมราคาสี่ร้อยพอดิบพอดี

เกือบบ่ายสองก็มาถึงดอยตุง จริงอย่างว่า คนเริ่มกลับกันละรถราก็น้อยลง ไม่ต้องจอดไกลลิบแล้วเดินไต่เขาขึ้นมาให้เมื่อย
แต่พอจ่ายตังค์เสร็จ เดินลงไปในสวนด้านล่าง ความเซ็งก็บังเกิด
มันจะไม่เซ็งได้ไง ดอกไม้ดอกไร่ หายเกลี้ยง ไอ้ที่มีอยู่ก็กระท่อนกระแท่นเต็มที เดินเข้าไปซักพักถึงได้นึกขึ้นได้
ดอกไม้ที่ว่างามๆ คงหมดหน้าที่ไปเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ไอ้เราขึ้นไปหลังปีใหม่ ก็เป็นช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่จะสลับสับเปลี่ยน
เอาดอกไม้ชุดใหม่มาลงในแปลง คราวนี้ไอ้ดอกไม้ที่ว่า มันก็ยังไม่บานมั่ง ยังเป็นตุ่มน้อยๆมั่ง หาความรื่นรมย์ไม่ได้เลย




แถมแดดก็แรง รูปถ่ายออกมาก็ไม่สวย เรื่องรูปนี่ก็อีกอย่าง พักหลังรู้สึกถ่ายอะไรไม่สวยเอาซะเลย ไม่รู้เพราะหมดมุข
หรือว่าเพราะหมดฝีมือ หรือเพราะอะไร รู้แต่ว่าจะจับจะปรับจะถ่ายอะไรออกมามันใช้ไม่ได้ชนิดต่ำกว่ามาตรฐานไปไกลโข
คราวนี้เลยยิ่งนอยด์ ดอกไม้ก็ไม่ค่อยมี สีในรูปก็ไม่สวย เดินอยู่ซักพักก็แวะร้านกาแฟ กินกาแฟย้อมใจดีกว่า โดยหารู้ไม่ ว่าจะยิ่งเซ็งเข้าไปอีก
กาแฟแก้วละร้อยกว่าบาทนั่นทำให้อารมณ์ที่ต่ำกว่าพื้นอยู่แล้วยิ่งดิ่งลงเหว ทำไมมันไม่อร่อยเลยวะ จำได้ว่ามันเคยอร่อยกว่านี้นี่นา
แถมด้วยเค้กที่ซื้อมาแกล้มก็รสชาติเข้ากันกับกาแฟเหมือนระนาดกับแซ็กโซโฟนยังไงยั่งงั้น
แพงน่ะไม่ว่า เพราะเข้าใจว่ามันอยู่บนเขาบนดอย แถมสถานที่ก็ นะ แต่ขอรสชาติที่โอกว่านี้หน่อยอ่ะ ได้ไม๊




บ่นไปก็เท่านั้น ยัดๆเค้กเข้าปากเพราะความงก ไม่อร่อยก็จะกิน กล้าทำมาก็กล้ากินวะ อยากแพงทำไม พร้อมทั้งดูดกาแฟเข้าไปอีกโฮก
เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเดินหาทางออกดีกว่า เซ็ง
จบทริปบนพระตำหนัก ไหนๆขึ้นมาแล้วก็เลยขึ้นไปไหว้พระธาตุซะหน่อย หลายปีที่แล้วเคยเสียวไส้ตอนเอาเก๋งขึ้นพระธาตุ
ช่วงสุดท้ายก่อนถึงพระธาตุนั้นถนนทั้งชันทั้งแคบ เรียกได้ว่าวัดสติสมาธิปัญญากันพอสมควรเลยทีเดียว
แต่เที่ยวนี้ขึ้นถึงพระธาตุอย่างสบายๆ ไหว้เสร็จเดินหามุมถ่ายรูปอีกซักหน่อยก็คงสมควรแก่เวลา กลับไปหาเตียงนุ่มๆนอนดีกว่า




เย็นนี้ตั้งใจจะนอนในเมืองเชียงราย เพราะเรื่องเขาเรื่องดอยคงจบที่ดอยตุงนี่ละ คืนนี้เลยอยากนอนสบายๆ แล้วตื่นสายๆกลับกรุงเทพจะดีกว่า
แต่ด้วยความที่ไม่ได้จับไม่ได้จองโรงแรมไว้ก่อน เลยสองจิตสองใจว่าจะนอนไหนดี ใจก็อยากนอนริมกก
แต่ความงกมันบอกว่าไปนอนในเมืองดีกว่ามั๊ง ถูกกว่าตั้งโขอยู่นะ
ขับรถเรื่อยเปื่อยผ่านปั๊มมหาประลัยก็ได้แต่ชายตามอง พร้อมทั้งยิ้มๆ นึกไปถึงอดีตที่เคยมาประสบวิกฤติการกู้ชีวิตชนิดคาดไม่ถึงที่นี่
เอาเป็นว่ารอดตายมาได้พร้อมกับให้ฉายามันว่า ปั๊มมหาประลัย ก็นับว่าสมเหตุสมผลดีแล้วก็แล้วกัน หุหุ
ตกเย็นร่วมๆห้าโมงก็มาถึงตัวเมืองเชียงราย อาการหนาวๆร้อนๆพร้อมทั้งปวดหัวเริ่มคุกรุ่นมาได้ซักพักใหญ่ๆ ไข้ขึ้นอีกละ
นึกอะไรไม่ออกเลยหาเบอร์โรงแรมที่คุ้นเคย แล้วโทรถามห้องหับ ได้รับคำตอบว่าหกร้อยห้าสิบพร้อมอาหารเช้า ยังว่างอยู่ค่า
ไม่คิดมาก ตรงดิ่งไปถิ่นเก่าทันที



รูปครับรูป >>> //cid-7bc0be444e576152.spaces.live.com/





 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2552
4 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2552 22:08:20 น.
Counter : 736 Pageviews.

 

เมืองนอกจริงๆ ด้วยค่ะ เมืองเขาสวยเหมือนกันนะนี้ ทำเรื่องเข้าประเทศก็ไม่นานด้วยค่ะ ไม่เคยไปเลย อยากไปเหมือนกันหากมีโอกาส แล้วอาหารการกินที่นั้นเป็นยังไงบ้างค่ะ เผ็ดถึงใจเลยเห็นเขาว่ามา

 

โดย: Anitapa 27 กุมภาพันธ์ 2552 8:47:35 น.  

 

อิจฉา อิจฉา อยากไปบ้างจัง

 

โดย: AM NUCH 27 กุมภาพันธ์ 2552 9:02:17 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณยักษ์ใจดี

เห็นว่าใจดีค่ะ ย่าจึงหลวมตัวตามไปพม่า จนจบที่ดอยตุงและในเวียงเชียงราย...

หายปวดหัวละยังล่ะพ่อ

ย่าชอบรูปที่ 1 และที่ 5 กับ 6 ชอบรูปแบบนี้แหละ ก็มันชอบน่ะ..

ศุกรวาร-มานรมเยศค่ะ

 

โดย: ย่าของวินิติ์ศิริ (sirivinit ) 27 กุมภาพันธ์ 2552 12:30:49 น.  

 

สวัสดีครับคุณ Anitapa ผมไม่ได้ทานไรมากไปกว่าก๋วยเตี๋ยวน่ะครับ จริงๆอย่างอื่นก็มี แต่ดูหน้าตาแล้วไม่ค่อยอยากเสี่ยงเท่าไรเลยต้องขอแค่มองครับผม ถ้ามีโอกาสลองไปดูครับ หน้าหนาวคงน่าเที่ยวที่สุดแล้ว

สวัสดีครับคุณ AM NUCH หนาวหน้าไปเลยครับ ของกินของใช้เพียบ ช๊อปเพลินดีครับ

สวัสดีครับคุณย่า หายปวดหัวเพราะหนาวน่ะนานแล้วครับ ตอนนี้ปวดหัวเพราะกรุงเทพร้อนชมัด คิดถึงหน้าหนาวนะครับ

 

โดย: ยักษ์ใจดี 27 กุมภาพันธ์ 2552 22:26:03 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.