สี่วัน สองพันกว่าโล ตอน "บ๊ายบายเมืองกรุง"
ว่าด้วยเรื่องทริปจากปีที่แล้ว ที่มันแห้วแล้วก็แห้วอีก ทริปใหญ่ๆนี่เป็นอันแห้วมันทุกทริป เมืองกาญจน์ ทีลอซู เชียงใหม่ ทะเล แล้วก่อนสิ้นปีมีแววจะได้ไปเกาะสะเดิ่งซะอีกรอบ แต่แล้วก็แห้วอีก เพราะด้วยลมปากที่ว่าขอเลื่อนเป็นเดือนมกรา แต่ขอโทษเหอะ ไม่เชื่อแล้วอ่ะ มาหลอกให้อยากแล้วจากไป มันเซ็งนะเฟ้ยยยย พอได้โอกาสและเวลาคราวนี้เลยหนีขึ้นเหนือมันซะให้รู้แล้วรู้แร่ดดีกว่า ไม่ลงไม่รอมันละ
จากวิมานในอากาศ ที่ดูจะล่องลอยไปลอยมาพอถึงวันพฤหัสที่ 8 มกรา หลังจากที่โดนงัดออกจากเตียงกันตอนสิบโมง เพื่องานด่วนที่ต้องไปรับใช้เจ้านาย เสร็จเรียบร้อยก็รีบออกจากดอนเมืองไปวงเวียน 22 เปลี่ยนยางซะสองเส้น เสร็จแล้วก็ข้ามเมืองอีกรอบไปโน่นบางปิ้งสมุทรปราการเพื่อเอาของที่นัดไว้ แล้วถึงรีบแจ้นกลับมาแถวบ้านหาซื้อน้ำมันเครื่องมาเปลี่ยนที่ปั๊มท้ายซอย แถมโดนน้ำมันเกียร์เข้าไปอีกหกลิตร กรองอากาศกรองน้ำมันเครื่องอีกอย่างละหนึ่ง เบ็ดเสร็จหลงจ้งทั้งค่ายางทั้งโน่นนี่หมดตังค์ไปหมื่นกว่าๆ เล่นเอาตัวเบากันเลยทีเดียว เสร็จแล้วก็ได้เวลามาจัดเก็บของเอาตอนหกโมงเย็น สบายไป
ตอนแรกที่ตั้งใจจะจัดเก็บของตอนกลางวัน แล้วนอนตอนเย็นมาตื่นเอาตอนสี่ห้าทุ่ม กลายเป็นไม่ได้หลับไม่ได้นอนจนถึงตอนล้อหมุนเอาเมื่อตีหนึ่งพอดิบพอดี เอาวะ ไปหาที่นอนเอาข้างหน้า ง่วงเมื่อไรก็เสียบหัวเข้าปั๊มมันซะไม่เห็นเป็นไรเลย สมัยหนุ่มๆทำออกบ่อยไป สมัยนี้ก็ยังหนุ่มอยู่ ทำไมจะทำอีกไม่ได้ ว่างั้น
ออกจากบ้านได้ก็บ่ายหน้าขึ้นทางด่วน แวะซื้อน้ำซื้อของขบเคี้ยวนิดๆหน่อยๆเอาที่บางปะอิน แล้วยิงยาวไปตามทางหลวงหมายเลข 32 จุดหมายอยู่ที่ไหนยังไม่รู้ เอาเป็นว่าได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
แต่พอเอาเข้าจริงๆ หลังจากเลยอยุธยา ผ่านจังหวัดแล้วจังหวัดเล่าในช่วงต้นๆของการเดินทาง จนมาถึงนครสวรรค์ที่ปกติจะพักซักรอบนึง แต่คราวนี้มันก็ยังไม่ง่วงไม่เมื่อยอะไรนัก เลยยังคงขับรถฝ่าความมืดไปเรื่อยๆในขณะที่อากาศข้างนอกเริ่มเย็นขึ้นตามลำดับ ราวตีสี่กว่าๆก็มาจอดพักที่จังหวัดตากแป๊บนึง แล้วมายืดเส้นยืดสายพร้อมอากาศที่หนาวเหน็บอีกที่เอาที่เถิน จากนั้นมันก็ถูลู่ถูกังมารับตะวันขึ้นพร้อมสายหมอกเอาที่ลำปางจนได้ พักรถนั่งดูละอ่อนหน้าใสใส่เสื้อกันหนาวสีสวย ใบหน้าขาวๆแดงๆเพราะความหนาว ขี่รถเครื่องมั่งนั่งสองแถวมั่งไปโรงเรียนอยู่ซักพักก็ออกเดินทางต่อ จนถึงเชียงใหม่เอาตอนแปดโมงกว่าๆ แวะกินโจ๊กแล้วอาศัยห้องน้ำห้องท่าทำธุระปะปัง เสร็จแล้วมันก็ยังไม่ง่วง เลยไปต่อ ออกจากเชียงใหม่ใช้ถนนสายเชียงใหม่ แม่ริม วิ่งไปเรื่อยๆจนคราวนี้เริ่มหมดแม๊กเข้าจริงๆเอาแถวๆแม่แตง หาปั๊มที่ดูเข้าท่า แล้วหาร่มเงาซักหน่อยจากนั้นก็เอนเบาะแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
ตื่นมาอีกทีประมาณเที่ยงกว่าๆ ล้างหน้าล้างตาแล้วไปแวะหาไรกินแถวๆเชียงดาว ใจคิดอยากเข้าถ้ำ แต่กลัวเวลาไม่อำนวยเลยยอมเลยดอยหลวงไปก่อน ขับไปจนถึงแม่งอนก็เลี้ยวซ้ายใช้เส้น 1249 จุดหมายปลายทางอยู่บนดอยอ่างขาง เป็นอันจบการขับรถที่ยาวไกลเพราะวันนี้จะนอนที่นี่แหล่ะ
ถนนขึ้นอ่างขางยังคงมีเสน่ห์เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะขับง่ายสบายๆด้วยถนนลาดยางจนถึงข้างบน แต่อันตรายก็ยังคงแฝงอยู่ทุกคืบทุกศอกที่รถแล่นไป ยิ่งช่วงหักศอกพับผ้าที่ชันแสนชันนั้น ขาขึ้นไม่เท่าไร แต่ขาลงมันทรมานใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว สมัยก่อนทางเป็นลูกรัง จะขึ้นไปแต่ละโค้งแต่ละศอกต้องคิดคำนวณแล้วไต่ให้ได้ไปให้ถึง เพราะถ้าไปจอดคาอยู่บนองศาที่ชันขนาดนั้น การออกรถขึ้นไปต่อเป็นเรื่องที่อาจทำไม่ได้เลยซะด้วยซ้ำไป
ค่อยเป็นค่อยไปกระดึ๊บไปทีละหน่อย เพิ่มความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ราวๆสี่โมงเย็นก็มาถึงก้นอ่างเข้าจนได้ มาถึงตรงนี้แล้วจะให้นอนห้องพักแถวๆนั้นมันคงไม่ได้บรรยากาศเท่าไร ไหนๆก็ไหนๆ ปีนกลับไปนอนเต้นท์บนลานยอดเขาดีกว่า ทั้งบรรยากาศ ทั้งประหยัด อุตส่าห์แบกของมาตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่ได้ใช้เลยก็คงไม่ดี ชิมิ ว่าแล้วก็ซื้อของเตรียมไปทรมาน อันประกอบไปด้วยน้ำแข็งซักหน่อย โซดาซักนิด เหล้าไม่ต้องเพราะเอามาด้วยแล้ว มันเผาไว้กินแก้หิว ไข่อีกหน่อยนึง อย่างอื่นไม่ต้องอ่ะ คงไม่ทำไรกิน เพราะไม่ไหวละ เหนื่อยจังขับรถมาไกลซะขนาดนี้ไม่มีอารมณ์ทำอะไรแระ
อ่างขางเปลี่ยนไปเยอะ เดี๋ยวนี้ห้องพักขึ้นกันให้พรึ่บ ชาวเขาขนลูกจูงหลานมาค้าขายกันให้ไขว่ ห้องพักก็มีราคาตั้งแต่ไม่กี่ตังค์จนถึงหลายพัน แต่ที่ยังคงเหมือนเดิมคืออากาศที่หนาวสะใจ แบบที่ใครๆขึ้นมาก็ไม่เคยผิดหวัง
เดินวนไปวนมาอยู่สองสามรอบซื้อของเสร็จสรรพก็กลับขึ้นรถ ขับย้อนขึ้นไปบนยอดเขาอีกรอบ อ่างขางเป็นอ่าง มันไม่มีน้ำ เพราะไม่ใช่อ่างเก็บน้ำ แต่เพราะชัยภูมิเป็นอ่างในหุบเขา แบบนี้ละมังเค้าเลยเรียกอ่างขาง แต่อ่างขางแปลก ในอ่างซึ่งอยู่ต่ำกว่ารอบเขาโดยรอบนั้นจะหนาว และเย็นกว่าข้างบนยอดเขา สิบกว่าปีที่แล้วสมัยมาที่นี่ครั้งแรก นอนที่บ้านพักดอกเหมย ซึ่งเป็นหนึ่งในสองที่ของบ้านพักสมัยนั้น จำได้ว่าทริปนั้นหนาวเย็นขนาดน้ำแข็งเกาะหลังคารถกันเลยทีเดียว ดังนั้นการตัดสินใจกลับขึ้นไปนอนบนเขาน่าจะดีกว่านอนหนาวๆในอ่างแน่ๆ แต่หารู้ไม่ ไอ้ยอดเขาคืนนี้น่ะ มันก็ทรมานไม่ต่างจากข้างล่างเท่าไรนักหรอก
ขับรถย้อนขึ้นมาซักห้ากิโลได้ก็ถึงยอดเขา ตรงนี้เป็นฐานปฏิบัติการของทหาร มีลานโล่ง วิวด้านหน้ามองลงไปเป็นที่ราบ ขวามือคืออำเภอชัยปราการ ซ้ายมือคืออำเภอฝาง นับว่าทิวทัศน์สวยงามใช้ได้เลยทีเดียว ทหารให้เข้าไปกางเต้นท์ได้ฟรีๆ มีห้องน้ำที่พอได้อาศัย บริการประชาชนได้ระดับประทับใจจริงๆ กางเต้นท์สร้างบ้านเสร็จสรรพ เดินออกไปหาฟืนมาไว้กันหนาว หอบฟืนมาได้หอบใหญ่ก็ได้เวลาเย็นย่ำพอดิบพอดี คืนนี้มีเพื่อนนอนบนลานสามสี่กลุ่ม เอาน่ะ ไม่เหงาดี แล้วก็ไม่เบียดเสียดยัดเยียดกันดีด้วย ค่ำลงความมืดคืบคลาน แต่ด้วยความที่เป็นคืนพระจันทร์ดวงโต บนลานเลยสว่างไสวจนแทบไม่ต้องใช้ไฟฉาย และแล้วความเย็นเยียบก็เริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ทนนั่งผิงไฟฟังเสียงพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกของหนุ่มสาวกลุ่มอื่นๆอยู่ได้จนถึงสองทุ่ม อากาศที่เย็นลงอย่างมากนั้นก็เริ่มทำให้อาการปวดหัวมันกำเริบหนักขึ้นทีละน้อย ฟืนไฟที่ใส่ลงเตาก็ดูว่าจะไม่ค่อยได้ให้ไออุ่นกันซักกี่มากน้อย แถมลมที่พัดขึ้นมาจากหน้าผา มันทำให้อากาศที่เย็นอยู่แล้วเริ่มทรมานมากขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ จนสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ราไฟในเตาลงแล้วมุดหัวเข้าไปนอนในเต้นท์ซะที
รูปครับรูป >>> //cid-7bc0be444e576152.spaces.live.com
Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2552 22:16:20 น. |
Counter : 614 Pageviews. |
|
|
|