เรื่องเล่าเรื่องบ่นของคนกำลังจะแก่

ยักษ์ใจดี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
19 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ยักษ์ใจดี's blog to your web]
Links
 

 
สี่วัน สองพันกว่าโล ตอน ทรมานบันเทิง

อาการปวดฉี่มันพุ่งปรี๊ดจนทำให้ต้องสะดุ้งตื่น
เมื่อเงี่ยหูฟังสรรพเสียงรอบข้างซักพัก มันสัมผัสได้ถึงความเงียบงัน
เสียงลมที่พัดโบกฟลายชีตปนเปกับเสียงใบสนที่ซัดซ่าไปมา
แถมด้วยเสียงหยดน้ำที่ตกลงกระทบพื้นดังกราวใหญ่ยามลมกรรโชก
มันเป็นสัญญาณที่ส่งให้รู้ว่า ข้างนอกนั้นน้ำค้างแรงขนาดไหน
อากาศที่เย็นจับจิตจับใจทำเอาตัวสั่นนั่น มันทรมานมากซะจนคิดว่า
อืม ปวดฉี่ให้ตายก็รอได้ นอนมาตั้งนานแล้วนี่นา
เสียงชาวบ้านเค้าเงียบขนาดนี้แล้วคงใกล้เช้าแล้วละ
รอให้เช้าแล้วค่อยลุกไปเข้าห้องน้ำละกัน

แต่จนแล้วจนรอด การพยายามที่จะหลับต่อ
มันยิ่งทำให้รู้สึกทั้งหนาวทั้งปวดเบาจนทนไม่ได้
ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาดูเวลา ใจคิดว่าน่าจะเห็นตัวเลขซักตีสี่ตีห้า
แต่ปรากฏว่าบนหน้าจอมันบอกตัวเลขแค่ห้าทุ่มครึ่ง
ตายละหว่า ท่าทางจะไปไม่ถึงเช้าแล้วละ
คราวนี้เลยต้องนอนลืมตารวบรวมกำลังใจอีกแป๊บ
แล้วแข็งใจลุกขึ้นรูดซิบเปิดเต้นท์โผล่หัวออกไปทันที

ไอเย็นระดับรุนแรงโถมมาทักทายทันทีที่โผล่หัวออกจากเต้นท์
เหลียวซ้ายแลขวาซักครู่ ลานโล่งดูเงียบงันอย่างน่ากลัว
หมอกที่ลงจัดจนวิวที่ราบด้านหน้าหายไปจากสายตา
ลมที่พัดแรงเบาสลับกันเหมือนเปิดพัดลมเป่าแอร์เย็นเจี๊ยบใส่ตัวซะงั้น
ไม่อยากโอ้เอ้ รีบลุกขึ้นโผลพรวดออกไปใส่รองเท้า
แล้วเดินจ้ำอ้าวไปหาที่ว่างเฉพาะตัวทันที
เสร็จสรรพกลับมาที่เต้นท์ มองดูน้ำแข็งที่ใส่แก้ววางไว้ข้างนอกกระติก
จนตอนนี้ยังละลายไปไม่กี่มากน้อย บอกถึงว่าอุณหภูมิภายนอกนี่
มันต่ำกว่าสิบองศาแน่นอน กะคร่าวๆน่าจะอยู่ประมาณ 6-7
เพราะถ้าเย็นกว่านี้ น้ำแข็งจะคงสภาพไม่ละลาย
แม้ว่าจะวางไว้นอกกระติกก็ตาม เหล้าที่เตรียมมา โซดาที่หอบหิ้ว
ไม่มีปัญญาจะแตะต้อง อย่าว่าแต่ทำอะไรเลย เอาแค่ยืนเฉยๆยังสั่นงันงก
แบบนี้จะนั่งชงโซดาโค้กน้ำแข็งได้ยังไงกัน

อาการปวดหัวยังไม่ทุเลา แถมหนักขึ้นอีก
ตัดสินใจเปิดรถเพื่อหยิบยาที่ซุกไว้ในกระเป๋า
แล้วคิดว่าแอบงีบในรถท่าจะดี เพราะอย่างน้อยก็ไม่โดนลมพัด
น่าจะอุ่นกว่า แต่เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งนาทีที่เข้าไปอยู่ในรถ
มันมีสภาพเหมือนในตู้แช่แข็งชัดๆ ในรถไม่มีลมพัดมาโดนก็จริง
แต่ความเย็นสะสมนั้นเย็นหนักกว่าข้างนอกซะอีก
สุดท้ายเลยต้องเผ่นกลับเข้ามานอนในเต้นท์
โดยที่ไม่ลืมคว้าตะเกียงติดมือเข้ามาด้วย
จุดตะเกียงอาศัยไออุ่นให้กระจายในเต้นท์
มันช่วยให้หายทรมานจากความเย็นไปได้โขอยู่
นอนลืมตามองภาพนั้นซักพักก่อนจะเริ่มง่วงอีกรอบ
ยังไม่อยากตายในเต้นท์ เลยเอื้อมมือไปดับตะเกียงซะก่อนแล้วหลับไป



เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังอยู่รอบตัว ตื่นกันแล้วละซิ
เสื้อ แจ๊กเก๊ตกันหนาว ถุงนอน แถมผ้าห่มอีกผืน
อาภรณ์สี่ชั้นที่ห่อหมูตัวเขื่องดูเหมือนไร้ประโยชน์
อากาศหนาวแบบที่สี่สิบแปดชั่วโมงที่แล้วในกรุงเทพนั้นต่างกันฟ้ากะเหว
นี่ขนาดลงทุนหอบหิ้วเบาะลมที่เพิ่งถอยมาหมาดๆก่อนหน้าทริปแค่สองวันมาด้วยนะ
ถ้าต้องนอนกะพื้นปูแค่ผ้านวมละก็ นรกกว่านี้อีกหลายเท่าครับท่าน
พูดถึงก็เหมือนฟ้าเป็นใจ ที่นอนลมที่เล็งแล้วเล็งอีกมาเป็นเดือนๆแต่ก็ได้แต่จดๆจ้องๆ
เพราะราคามันหลายสะตังค์ บทจะได้ซื้อก็มีคนปล่อยของมือสองออกมา
ในราคาแค่ไม่กี่ร้อยบาท เสร็จโจรซิครับแบบนี้

สมัยหนุ่มๆเที่ยวป่าไม่เรื่องมาก แบกเป้มีเต้นท์สามเหลี่ยมหลังนึง
มันก็ท่อมๆเข้าป่านอนยัดๆกันเข้าไปได้ยังไงตั้งสามคน
เดี๋ยวนี้เต้นท์โดมหลังเบ่อเร่อยังว่าเล็ก นี่ไม่รวมอุปกรณ์ประกอบอีกสารพัด
อย่างที่เค้าว่า แก่แล้วเรื่องมากมันทำท่าจะจริง
ก็นะ อยากเที่ยว แต่ขอสบายซักนิดจะเป็นไรไปล่ะ จริงมะ
หยิบโทรศัพท์มาดู มันเจ็ดโมงกว่าแล้ว นอนรวบรวมสติซักพักแล้วโผลออกไปนอกเต้นท์
ความพร่ารางเลือนปรากฏอยู่ทั่วไป เช้านี้หมอกลงจัดมาก
จริงๆไม่น่าเรียกว่าหมอก แต่เราอยู่สูง ถ้ามองจากข้างล่าง นี่เรากำลังอยู่ในเมฆชัดๆ
แบบนี้ความหวังที่จะเห็นทะเลหมอกข้างล่างเลยหายวับไปกับตา

ละอองไอรวมตัวอยู่บนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว บนเต้นท์ ฟลายชี๊ต และที่หนักที่สุดคือ
บรรดาฟืนที่อุตส่าห์ไปแบกมาตอนนี้ชื้นแบบสัมผัสได้
แม้ว่าจะเอามาวางไว้ใต้ฟลายชีตแล้วก็เหอะ
นั่นมันทำให้ความพยายามที่จะก่อไฟขึ้นมาอีกครั้งเป็นเรื่องที่ยากลำบากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ใช้เวลาปลุกปล้ำกับกองฟืนไปพักใหญ่ ก็ได้ไออุ่นมาช่วยประทังความหนาวจนได้
เมื่อเลือดลมมันเดินสะดวก กาแฟร้อนๆจึงตามมาเป็นลำดับต่อไป
สุขใดไหนจะเท่ามีเรากับกาแฟอุ่นหอมกรุ่นในมือ บนบรรยากาศหนาวเหน็บแบบนี้
กินกาแฟมันก็กินทุกวัน แต่ถ้าได้กินในป่าในดอย มีลำธารมีควันไฟ อะไรๆก็ดูดีไปหมด



นั่งอ้อยอิ่งดูความเคลื่อนไหวรอบตัวซักพัก เต้นท์อื่นๆเริ่มทยอยกันเก็บของ
ละอองไอน้ำยังล่องลอยอยู่รอบๆตัว พับเต้นท์ตอนนี้ก็เหมือนพับผ้าเปียกๆเก็บใส่ตู้นั่นละ
แต่จนสิบโมงเข้าไปแล้วอากาศยังคงปิด ถ้ารอนานกว่านี้มีหวังว่าคงไม่ต้องทำอะไรกัน
เลยต้องยอมเก็บโน่นนี่ยัดกลับใส่รถ จนเสร็จก็ล่วงเข้าไปสิบเอ็ดโมงกว่า แดดออกพอดี

ร่ำลายอดเขาที่แสนทรมานแล้วเลี้ยวรถดิ่งลงหุบไปที่อ่างขางอีกครั้ง
คราวนี้เลี้ยวขวาเข้าไปในโครงการหลวง
จุดหมายที่ใครๆมาที่นี่ก็ต้องจ่ายตังค์คนละห้าสิบบาทเข้าไปชม
เค้าว่าบ้านพักเป็นเลิศ คืนละพันหน่อยๆ แต่ขอโทษ
หน้าหนาวแบบนี้มันต้องจองกันเป็นเดือนๆ
ไอ้แบบที่คิดวันนี้อาทิตย์หน้าเดินทางน่ะ อย่าได้หวังกันเลยทีเดียว
ในโครงการหลวงมีผักเมืองหนาวขาย และทำท่าจะขายดิบขายดีซะด้วย
มีสวนดอกไม้ไว้ให้ถ่ายรูปกัน มีร้านอาหารที่เค้าว่ารสชาติไม่เลว
และที่สำคัญ มันมีห้องน้ำที่สะอาดสะอ้าน นี่แหล่ะที่ข้าต้องการ




กินข้าวเสร็จ ทำธุระเสร็จ สวรรค์ก็กลับมาอีกครั้ง
อ่ะแหม อัดอั้นมาเกือบสองวันเลยนะตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ
คราวนี้ค่อยมีอารมณ์จะถ่ายรูปซักหน่อยละ
อิ่มแล้วสบายท้องแล้วก็คว้ากล้องเดินออกไปถ่ายรูปนิดหน่อย
มาเที่ยวนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์จะถ่ายรูปเลยแฮะ รู้สึกว่าถ่ายอะไรก็ไม่สวยไปหมด
มันอาจจะเป็นได้ที่ว่า ยังไม่ค่อยลงตัวกับเลนส์ที่ใช้อยู่
สองจิตสองใจว่ากำลังอยากได้เทเล มาโคร หรือครอบจักรวาลดี
เพราะแนวที่ชอบถ่ายมันออกเป็นแนวมาโครซะก็เยอะ พอทเทรดก็แยะ
แถมแคนดิตที่ชอบมาก การมีเลนส์เทเลยาวๆไว้ล้วงกระชากชีวิตประจำวัน
ของผู้คนแบบที่เค้าไม่รู้ตัว มันเลยจำเป็น ทีนี้จะหยิบเลนส์หลายๆตัวไปเที่ยว
มันก็ไม่สนุกเลย ทั้งต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีก พาลจะหมดอารมณ์
คิดไปคิดมา เลนส์ครอบจักรวาลเค้าก็ว่าได้ภาพไม่สวย
สู้เลนส์ช่วงสั้นๆไม่ได้ แต่มันได้ความสะดวก
เลยเรื่องมากคิดมาก ไม่ได้ขยับไปไหนซะที จริงๆไม่มีตังค์ซื้อนั่นแหล่ะ
อ้างโน่นนี่ไปเรื่อย ถ้าไปบ่นแบบนี้ในห้องกล้อง จะโดนตอกกลับมานิ่มๆว่า

“ ไปซื้อกล้องคอมแพคมาใช้เหอะพี่”



เฮ้อออ … อ้อยอิ่งทิงนองนอยอยู่ในโครงการหลวงซักพัก
ก็ได้เวลาเดินหน้าสู่จุดหมายต่อไป จากโครงการหลวงดอยอ่างขาง
ก็ถึงเวลาลงเขา ขับรถออกมาพอผ่านจุดกางเต้นท์ของโครงการ
ซี่งอยู่ข้างนอกเขตโครงการหลวง ก็ปรากฏสาวคนนึงโบกมือหยอยๆ
อ่ะฮ้า โบกทำไมนะ จอดซักนิดคงไม่เป็นไร
เปิดกระจกถามไถ่ ได้ความว่าสาวเจ้าขอติดรถลงไปข้างล่างด้วยคน
เอ้า เห็นว่าหน้าตาดีนะเนี่ย รถที่รกจะแย่แค่ไหนก็มีที่ว่างเสมอ คริคริ
ว่าแล้วก็ต้องขยับขยายย้ายที่สำพารกพอให้เหลือที่
สำหรับผู้โดยสารที่ไม่ได้คาดหมาย ขี้นรถเสร็จสรรพถามไถ่ได้ความว่า
เธอมาจากกรุงเทพ นั่งรถ บขส มาคนเดียว ดุ่ยๆมาเพื่อมางานแต่งงาน
ของน้องที่อำเภอฝาง แต่ไหนๆก็ไหนๆ มาแล้วก็ขอขึ้นมานอนเต้นท์
บนดอยอ่างขางซะหน่อยเป็นไร เธอเลยโบกรถขึ้นมาตั้งแต่เช้า
แต่อากาศที่เย็นจัดและหมอกหนาเมื่อเช้าทำเอาสาวเจ้าถอดใจ
เพราะขนาดตอนเช้ายังหนาวขนาดนั้น แล้วตอนกลางคืน มันจะขนาดไหน

… โถ ไม่บอกละน้อง พี่นอนเต้นท์อีกคืนก็ได้ … ฮา



ขับรถลงเขายากกว่าขึ้นเขา เพราะงั้นเลยใช้เวลานานหน่อย
ค่อยๆไต่ลดระดับด้วยเกียร์โลว์ พร้อมด้วยกลิ่นผ้าเบรกเหม็นไหม้กันให้ฟุ้ง
ราวๆบ่ายสองกว่าๆก็ลงมาถึงข้างล่างอย่างเรียบร้อย
ส่งสาวน้อยเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปฝางเพื่อจุดหมายที่ดอยต่อไป

แม่สลอง

ส้มสายน้ำผึ้งที่ฝาง ต้นทางของส้มสายน้ำผึ้งที่ขายกันทั่วประเทศ
มีวางขายกันสองข้างทางเยอะไปหมด ขนาดลูกเขื่องๆที่ขายกัน
ในเมืองโลละสามสิบ ที่นู่นตกห้าโลร้อย มีรึจะพลาด
แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะอร่อยติดปาก ขนาดที่ว่าซื้อมาห้าโล
จนวันกลับยังเสียดายที่ทำไมซื้อแค่นั้น ไอ้ครั้นจะย้อนกลับไปซื้อก็ไกลเกินเอื้อม
ได้แต่เก็บรสชาตินั้นไว้สำหรับโอกาสหน้าก็แล้วกัน




เส้นทางจากฝางขึ้นแม่สลองมีไร่ส้มครึดไปหมด
ขับไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆใจหวังจะไปเห็นทิวแถวของไร่ชาข้างบน
แต่จนแล้วจนรอด วิ่งไล่เลาะยอดเขาไปจนเกือบถึงแม่สลอง
ไร่ชาหายไปไหนหมดนะ บรรยากาศแห้งๆ ดูไม่สวยเอาซะเลยซิ
ไปถึงแม่สลองเอาตอนสี่โมงกว่า กลายเป็นว่าสองจิตสองใจละซิทีนี้
เพราะหะแรกน่ะจองที่พักเอาไว้บนนี้ แต่พอเฉียดๆมองจากข้างนอกเข้าไป
เอ่อ ไม่น่านอนเลยว่ะ เลยขับรถวนไปวนมา หาที่พักที่น่านอนซักหน่อย
ที่พักที่ดูจะสวยงามเข้าท่า ก็เต็ม ไอ้ที่ไม่เต็ม เข้าไปดูห้องแล้วก็ เอ่อ
ไม่พักดีกว่ามั๊ง เพราะกะราคาเท่านี้ ห้องเท่ารูหนู แถมเหม็นๆอับๆ
ไม่เหมือนมาสูดโอโซนบนยอดเขายอดดอยเลยซักนิด ระเบียงก็ไม่มี
ถ้าต้องนอนอุดอู้ในรูแบบนี้สู้กางเต้นท์นอนมันอีกคืนจะดีกว่า
แถมบรรยากาศที่ดูเหมือนไม่น่าตื่นเต้นเท่าไรเพราะมาก็หลายครั้งแล้ว
ซากุระที่ตั้งใจก็ดันบานและโรยไปจนหมดภูเขา
ทิ้งไว้แค่ต้นสองต้นเท่านั้นที่ยังมีดอกสีชมพูสวยเหลืออยู่

เอาไงดีล่ะ คราวนี้คิดหนัก เพราะตามทริปที่กะไว้ คืนนี้นอนนี่
พรุ่งนี้ออกจากนี่ขับไปแม่สายกับดอยตุง เสร็จแล้วไปนอนในเชียงราย
พอเปลี่ยนไม่นอนนี่ จะไปนอนเชียงราย พรุ่งนี้ก็ต้องย้อนกลับมาดอยตุง
และแม่สายอีก ไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้เท่าไร
ไอ้จะไปนอนที่อื่น ก็ไม่ได้หาไม่ได้จองบ้านพักไว้เลย
แล้วมันจะมีที่ให้นอนรึเปล่าวะเนี่ย
ดูแผนที่ไปคำนวณสะระตะไป แล้วตัดสินใจลงจากดอย
ไปแม่จันก่อนดีกว่า หาที่นอนมันแถวๆแม่จันนั่นละ
ราวเกือบทุ่มลงมาจนถึงแม่จัน แวะปั๊มแล้วหาข่าวจากรถขายลูกชิ้น
พี่แกแนะนำให้ไปนอนบ้านพักแถวนั้น ขับจากตรงนั้นไปไม่ไกล
บรรยากาศดี ห้องสะอาด แถมหยิบโบรชัวร์ยื่นให้ซะอีก
โห เซลล์แมนตัวจริงเลยนะเนี่ย
เหล่ๆเล็งๆโบรชัวร์ซักพัก ก็ลองขับไปหารีสอร์ทที่ว่า ไปถึงนึกอุ่นใจ
ไม่มีรถเลย บ้านเป็นหลังๆดูน่ารัก มีที่นอนละวะ

เด็กจากในเคาเตอร์ยื่นหน้าออกมาถามว่า เปิดบ้านเหรอครับ จองไว้รึเปล่า
ครับ
เราก็ว่า เปล่าครับ ไม่ได้จอง “เต็มแล้วครับ” หมอนั่นตอบมา
อ้าววววว ไรวะ เห็นโล่งๆ ไม่มีผู้คน เต็มแล้วซะงั้น
แต่หมอนั่นก็ยังใจดี แนะนำที่พักให้อีกที่ บอกเลยไปหน่อยเดียวพี่
สองสามซอยตรงนี้แหล่ะ ชื่อบ้านพักชายทุ่ง
เอาวะ เอาก็เอา ขับรถออกไปได้สามซอยก็เลี้ยวควับเข้าซอยมืดๆนั่นทันที
สามร้อยกว่าเมตรจากปากซอย ก็เจอ มันอยู่ชายทุ่งจริงๆว่ะ
แบบว่านอนๆอยู่นี่พม่าจะมาเข้าตีรึเปล่าวะเนี่ย เฮ้ออออ

รับไมได้ครับ ถ้านอนนี่ นอนในรถดีกว่า คิดงั้นเลยไปตายเอาดาบหน้าละ
ขึ้นไปสุดยอดแดนสยามมันซะเลยให้รู้แล้วรู้แร่ด
แม่จันไปแม่สายไม่ไกล มันแค่สองสิบสามสิบโล แป๊บเดียวก็มาถึง
จิ้มๆนิ้วใน GPS แล้วสุ่มเสี่ยงวิ่งไปจนชนด่านไทยพม่า
ก่อนจะเลี้ยวหลบลงไปข้างล่าง แล้วซ้ายเลาะไม่น้ำสายพรหมแดนไทยพม่า
ไปซักพักจนสุดถนนที่ด่านหัวฝาย เสร็จแล้วเดินต่ออีกหน่อย
ฝ่าสายลมหนาวที่ทั้งเย็นทั้งแรงริมแม่น้ำนั่นก็ถึงรีสอร์ทเล็กๆเงียบๆแห่งนึง
ติดต่อขอเข้าพักเป็นที่เรียบร้อย ห้องหับก็โอเค ที่แน่ๆ มีน้ำอุ่น

เอาละ ได้อาบน้ำละครับวันนี้

จ่ายตังค์เสร็จสรรพก็ขับรถย้อนออกมาที่ด่านอีกรอบ
วันนี้ถนนหน้าด่านมีงานถนนคนเดิน ละอ่อนมากหน้า จะพลาดได้ไง
เดินหาของกินไป ดูของไป พร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
จนสมควรแก่เวลาถึงได้ย้อนกลับไปที่พัก
บ้านพักเล็กๆดูเงียบสงบ ไม่มีรถจอดซักคัน แต่ก็อย่างที่ว่ามันเกือบเต็มครับ
เหลืออยู่แค่ห้องเดียว สงสัยจริงๆ ใครพักกันหว่า แต่ไม่สนละ
ลมหนาวที่พาให้ปวดหัวนั่นทรมานขึ้นทุกที มุดหัวเข้าห้องดีกว่า
บ้านพักเล็กๆแยกกันเป็นเอกเทศ ปลูกไล่ระดับข้างๆสันเขา
วัสดุเป็นไม้ไผ่ ข้างในตบแต่งเล็กน้อยดูสะอาดสะอ้าน
ไม่มีทีวี ไม่มีความบันเทิงใดๆ มีแต่ความเงียบที่ถูกสอดแทรกด้วยเสียงน้ำไหล
อากาศเย็นจัดซะจนต้องปิดหน้าต่าง เสียงน้ำในแม่น้ำไหลแรง
ฟังดูสบายหูไปอีกแบบ แล้วอีกไม่กี่นาทีต่อมา ผมแทรกตัวลงในสายน้ำอุ่น
ควันไอน้ำขาวโพลนลอยฟุ้ง

….... สวรรค์จริงๆ



รูปครับรูป >>> //cid-7bc0be444e576152.spaces.live.com




Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2552 22:14:30 น. 0 comments
Counter : 900 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.