|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
|
|
|
|
|
|
|
ดอยหลวงเชียงดาว : ในวันที่ 'พระจันทร์' กับ 'พระอาทิตย์' มาเจอกัน..
(ดองไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ได้ฤกษ์ปล่อยซะที..)
"ดอยหลวงเชียงดาว ดอยสูงอันดับ 3 ของไทย วิวสวยในแบบ 360 องศา อากาศดีๆ พรรณไม้เฉพาะถิ่นมากมาย โชคดีอาจได้เจอกวางผา/เลียงผา"
ที่ตั้ง : ดอยหลวงเชียงดาวเป็นยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ในเทือกเขาหินปูน สันฐานคล้ายรูปเกือกม้า อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาว มีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอเชียวดาว และอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ทำการเขตฯ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเชียงดาว
การเดินทาง : จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่ - เชียงดาว) ระยะทาง 72 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายใช้ทางหลวงหมายเลข 1178 ไปที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวอีก 5 กิโลเมตร รวมระยะทางจากตัวเมืองเชียงดาว 77 กิโลเมตร
เส้นทางเดินเท้าสู่ดอยหลวงเชียงดาว : นิยมเริ่มต้นที่หน่วยพิทักษ์ป่าเด่นหญ้าขัด ใช้เวลาประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง ถึงอ่างสลุงจุดตั้งแค้มป์ (ทั้งนี้ ระยะเวลาในการเดินทางของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกาย)
ดอยหลวงเชียงดาว เป็นดอยสูงอันดับ 3 ของประเทศ ด้วยความสูง 2,225 เมตร (แต่จากการวัดระดับความสูงใหม่ ดอยหลวงเชียงดาวสูงจากระดับน้ำทะเล 2,275 เมตร) รองจาก ดอยอินทนนท์ (สูง 2,565 เมตร) และ ดอยผ้าห่มปก (สูง 2,285 เมตร) นอกจากนี้ยังเป็น "เทือกเขาหินปูน" ที่มีความสูงมากที่สุดในประเทศ ประกอบด้วยยอดเขาสำคัญ คือ ยอดสูงสุดดอยหลวงเชียงดาว , ดอยพีระมิด , ดอยสามพี่น้อง และ ดอยกิ่วลม
ดอยหลวงเชียงดาว มีความสูง 2,225 เมตรจากระดับน้ำทะเล สูงที่สุดในเทือกเขาเดียวกันนี้ บนยอดดอยสามารถชมพระอาทิตย์ตกลับดอยสามพี่น้อง วิวสวย
ดอยปิรามิด รูปร่างคล้ายปิรามิด ไม่นิยมเดินขึ้น มีพรรณไม้กึ่งอัลไพน์ให้ชมมาก สูง 2,175 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ดอยสามพี่น้อง ลักษณะเป็นยอดเขาเรียงตัวกัน 3 ยอด ยอดกลางสูงที่สุด 2,150 เมตร ไม่เหมาะที่จะเดินขึ้นเพราะสูงชัน ชมความสวยงามได้จากยอดดอยหลวงเชียงดาว และหุบเขาด้านทิศตะวันออกของดอยสามพี่น้อง
อ่างสลุง ลักษณะเป็นหุบเขา เชิงดอยหลวงเชียงดาว เหมาะสำหรับตั้งแค้มป์ นักท่องเที่ยวส่วนมากจะกางเต็นท์พักที่จุดนี้ แล้วเดินขึ้นดอยเชียงดาวได้เลย
แหล่งท่องเที่ยวบนดอยหลวงเชียงดาว แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ แหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ คือ ยอดเขาลูกต่างๆ ที่อนุญาตให้ขึ้นไปท่องเที่ยวทั้งหมด 3 ยอดด้วยกัน คือ "ยอดดดอยสามพี่น้อง" , "ยอดดอยกิ่วลม" และ "ยอดดอยสูงสุด" การท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งคือ การศึกษาสภาพพรรณไม้ ซึ่งดอยหลวงเชียงดาว มีสภาพ "พืชพรรณไม้กึ่งอัลไพน์" ที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองไทย พรรณไม้เหล่านี้จะออกดอกบานสะพรั่งตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในกลางฤดูฝน จนถึงต้นฤดูหนาว
ดอยหลวงเชียงดาว.. ด้วยลักษณะที่เป็นภูเขาหินปูนไม่เหมือนภูเขาใดในจังหวัดเชียงใหม่ มีหุบเขาและโพรงถ้ำมากมาย ลมฟ้าอากาศได้กัดเซาะภูเขาหินปูนให้เกิดเป็นรูปทรงแปลกตา และด้วยความสูงที่เป็นอันดับสามของภูเขาในประเทศไทย จึงทำให้ดอยหลวงเชียงดาวน่าเที่ยวในช่วงเวลาฤดูหนาว เป็นทริปที่ต้องเดินเท้าเป็นระยะทางยาวไกลพอสมควร
...ตำนานของ ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างสลุง (อ่านว่าสรง) กล่าวไว้ว่า ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับที่ดอยหลวงและทรงสรงน้ำในอ่างเชิงเขานี้ จึงเป็นที่มาของชื่อ "ดอยอ่างสลุง" ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น "ดอยหลวงเชียงดาว"...
การเดินทางในครั้งนี้ถือว่าหนักหนาเอาเรื่องอย่างมากทีเดียว...
ด้วย 1) คือ มันเป็นการทรมานตัวเอง (อีกแล้ว) ด้วยการไปเดินขึ้นเขา ซึ่งก็เคยเจอมาบ้างแล้วในทริป ภูสอยดาว เมื่อปีก่อน ต้องบอกก่อนเลยว่าการทรมานตัวเองเช่นนี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวสมองอันน้อยนิดของเรามาก่อน (และก็เชื่อว่าไม่เคยอยู่ในหัวของใครหลายๆ คนด้วยเช่นกัน) ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะต้องมาเดินป่าขึ้นเขา และต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ซึ่งมันต้องทรหด และก็ต้องมีความอดทนค่อนข้างมาก แต่ทุกครั้งที่ตัดสินใจไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร รู้แต่ว่ามันไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่าจะไปเป็นยังไงต่อไป ..แต่ก็มีแอบคิดอยู่นิดหน่อยล่ะนะ
ส่วนตัวเป็นคนที่มักจะกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดเสมอๆ ชอบคิดไปเองต่างๆนานา คิดว่ามันยาก คิดว่าต้องทำไม่ได้ ทำให้เกิดความกลัวก่อนที่จะทำ แล้วมันก็จะเกิดอาการลังเล ไม่มั่นใจ แต่การตัดสินใจครั้งนี้ มันเหมือนเป็นการเอาชนะตัวเองอย่างหนึ่ง ทั้งๆที่สิ่งที่กำลังจะเจอมันหนักหนาแน่นอน (ก่อนไป) ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทนได้มั้ย ไม่รู้ว่าจะไปเจอกับความลำบากมากแค่ไหน แต่ก็ตัดสินใจไป...
แต่ ที่เลวร้ายกว่าความยากลำบากนั้นก็คือ 2) ร่างกายมันไม่พร้อมเท่าที่ควร เนื่องจากไปติดหวัดจากพ่อมา เลยต้องรีบไปหาหมอทันที ทั้งๆที่ปกติไม่ค่อยจะชอบไปหาหมอเท่าไหร่ แล้ววันที่เดินทางไปมันก็ยังไม่หาย กลัวเหมือนกันว่าไข้จะขึ้น อากาศหนาวซะขนาดนั้น แต่สุดท้ายก็แค่มีน้ำมูกมากขึ้น ก็ฟึดฟัดๆ ไปตลอดทาง โดยรวมก็ไม่มีอะไรเลวร้าย..
แต่ ที่เล่นเอาขวัญเสียไปตั้งแต่ยังไม่ทันเหนื่อย นั่นก็คือ 3) รองเท้าที่ไม่ได้เตรียม ดันเอารองเท้าใส่เที่ยวไปเดินป่า เลยพังตั้งแต่เริ่มเดินไม่ถึง 20 ก้าว ทริปนี้ทั้งทริปเลยต้อง เดินขึ้น-เดินลง-ปีน-ป่ายเขา ด้วยรองเท้าแตะ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะรอดมาได้จนจบทริปหรอกนะ แต่มันก็ทำหน้าที่ของรองเท้าได้ดีทีเดียว ..สุดยอดมาก!! ต้องขอบคุณรองเท้าแตะของพี่โต้งจริงๆ
และสุดท้าย สิ่งที่ทำใจยอมรับได้ยากยิ่งนัก ก็คือ 4) ข้..า..ง..บ..น..ไ..ม่..มี..ห้..อ..ง..น้ำ.. เล่นเอาคิดหนักเลย ว่าจะทำยังไง..ยังไง แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี (อีกเช่นเคย) พี่อิฐ (หัวหน้าทริป) แจกยาแก้ท้องเสีย/กันไม่ให้ถ่าย (หนัก) มากิน พอช่วยได้นะ..อย่างน้อยก็ในแง่จิตวิทยา เหลือก็แต่ถ่ายเบา..อาจจะลำบากนิดหน่อยในฐานะเป็นผู้หญิง จนมีคนตั้งคำถามขำขำขึ้นว่า ผู้หญิง กับ ผู้ชาย ใครฉี่ไกลกว่ากัน? แล้วพี่บอยก็ตะโกนถามเรา..แต่เราไม่รู้หรอก เฉลยก็คือ ผู้หญิง เพราะต้องเดินเข้าไปในป่าลึกกว่าผู้ชายนั่นเอง.. อิ๊อิ๊ ก็จริงอ่ะ..แบบว่าไม่เห็นหัวคนเป็นใช้ได้ ส่วนเรื่อง อาบน้ำ-ล้างหน้า-แปรงฟัน ลืมไปได้เลย งดทุกกิจกรรม..เนื่องจากแหล่งน้ำธรรมชาติไม่มี น้ำขึ้นไม่ถึง มีแต่น้ำที่เอาขึ้นไปเอง ก็ต้องใช้กันอย่างประหยัดให้เพียงพอไว้กินและทำอาหาร จริงๆแล้วหนาวขนาดนั้นก็ไม่มีใครอยากสัมผัสน้ำอยู่แล้วหละ แล้วความที่มันหนาวมาก ประสาทรับกลิ่นมันก็ไม่ค่อยทำงาน ก็เลยไม่ค่อยได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ใดๆ ก็อาบแห้งอ่ะ..ใช้กระดาษเปียกเช็ดตัว แล้วก็ปะแป้งให้หอมๆเข้าไว้ ฟันก็ใช้วิธีเคี้ยวหมากฝรั่งเอา ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีอีกเช่นกัน
...ดูดิ..ในทุกๆเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะแย่ แต่สุดท้ายยย...มันกลับมีทางออกของมัน (ที่ดี) ได้เสมอๆ...
ปล. ดอยหลวงเชียงดาว ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆทั้งสิ้น รวมถึงแหล่งน้ำ ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่ต้องนำขึ้นไปเอง หรือไม่ก็จ้างลูกหาบ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกหาบก็จะขนแต่ของใช้ส่วนกลาง ของใช้ส่วนตัวมักจะแบกกันไปเอง แต่ highlight มันอยู่ตรงที่ มีลูกหาบ delivery ด้วยนี่ดิ สามารถโทร สั่งขนม-สั่งเบียร์ ให้มาส่งข้างบนได้ สุดยอดจริงๆ!!
++ สิ่งที่ได้..จากความยากลำบากในทริปนี้ ++
1) คือ ความสวยงามของธรรมชาติ ที่ (ยิ่งกว่า) สุดยอด
วันแรกที่ไปถึง พี่แกะ..ไกด์นำทาง โม้ว่า พวกคุณโชคดีมากเลยนะ สองสามวันที่ผ่านมาฟ้าไม่เปิด แต่วันนี้..เห็นฟ้าเป็นฟ้าเลย ซึ่งมันหมายถึงว่า วันที่ไปท้องฟ้าไม่มีเมฆหมอกมาปกคลุมเลย ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า..ทั้งฟ้า ก็แปลกดี..ไม่มีเมฆซักก้อน ตอนแรกก็ยังสงสัยอยู่ว่า.. แล้วไงวะ??
บ่ายแก่ๆ หลังจากพักผ่อนกันได้ซักพัก เราก็ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอด ดอยหลวงเชียงดาว (ลำบากอีกแล้วครับท่าน!! ปีนเขากันจริงๆ หละทีนี้ เขาหินปูนด้วยดิ อันตรายสุดๆ) พอขึ้นไปถึง..ต่างก็จับจองที่เหมาะๆ เพื่อรอดูวินาทีสำคัญ สิ่งที่สวยที่สุดเมื่อดูพระอาทิตย์ตกก็คือ..ท้องฟ้าหลังจากที่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว ที่เค้าเรียกว่า..แสง twilight (หละมั้ง?) มันเป็นแสงสุดท้ายของ (กลาง) วันที่สวยมากทีเดียว หลังจากอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความหนาวเย็นที่มากขึ้นก็เข้ามาเยือน
โชคสองชั้นของการขึ้นดอยครั้งนี้...
อย่างแรกคือ คืนนั้นเป็น คืนที่พระจันทร์เต็มดวงใหญ่ที่สุด สิ่งที่สวยกว่าการเห็นจันทร์เต็มดวงบนพื้นราบทั่วไปก็คือ เราได้เห็นพระจันทร์ค่อยๆ เคลื่อน อ้อมมาจากหลังเขา จนออกมาให้เห็นกันจะจะ ซึ่งก็ดวงใหญ่เอามากๆ คืนนั้นจึงเป็นคืนที่สว่างไสวไปด้วยแสงที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาให้กับมนุษย์ คืนนั้นเราเข้านอนกันตั้งแต่สองทุ่ม ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และความเหน็บหนาว..จับใจ
อย่างที่สองคือ ช่วงวันที่ไปมี ปรากฏการณ์ฝนดาวตก พอดี ขณะที่เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นกันตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปรอดูพระอาทิตย์บนยอด ดอยกิ่วลม เป็นการปีนขึ้นยอดเขาตอนเช้ามืดที่ไม่ต่างจากตอนไปดูพระอาทิตย์ตกขากลับเลยแม้แต่น้อย ปีนยอดเขาหินปูน (อีกแล้ว) และคราวนี้ต้องปีนป่ายไปจับจองที่เหมาะๆ กันตามโขดหิน เพราะข้างบนไม่ได้มีพื้นที่ให้ยืนหรือนั่งกันแบบสบายๆ ระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้น นอกจากความเย็นยะเยือกจากลมหนาวที่โหมพัดมาระลอกแล้วระลอกเล่าแล้ว สิ่งสวยงามที่ได้กลับมา..ตรงหน้า คือ ทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ที่แสนจะงดงาม พระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าที่เคลียร์แบบสุดๆ และ ดาวตก ที่เป็นเหมือนของขวัญของการเดินทางมาในครั้งนี้ เราเฝ้ามองดูดาวตกดวงแล้วดวงเล่า ระหว่างที่รอพระเอกของงาน ด้านหน้าคือทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ สักพักพระอาทิตย์ก็โผล่พ้นทะเลหมอกขึ้นมา ส่วนด้านหลังยังคงเห็นพระจันทร์ส่องแสงนวลๆ
คุณเคยเห็นพระจันทร์กับพระอาทิตย์บนฟ้าเดียวกันแบบนี้รึป่าวหล่ะ? มันสุดยอดจริงๆนะ!!
การได้ขึ้นมาบนยอดเขาทำให้เราได้เห็นถึงยอดเขา และสันเขาอื่นๆ ที่เรียงรายกันเต็มไปหมด เป็นสันเขาสีเขียวๆซึ่งสวยงามมากกก.. มองไปมองมาก็เหลือบไปเห็น.. เอ๊ะ!! เต็นท์ใครหว่า อยู่ไกลลิบลิ่วในร่องเขา เห้ย!! เต๊นท์พวกเรานั่นเอง สุดยอดอ่ะ!! เรามาได้ไกลขนาดนี้เชียวหรือ ไม่อยากจะเชื่อเลย คิดดูดิ..มองเห็นที่พักเท่าบ้านเกมส์เศรษฐีเองอ่ะ!!
ได้ยินแค่นี้..พวกคุณก็ไม่อยากมาเที่ยวแล้ว...
เคยดูหนังจีนมั้ยล่ะ? ที่เค้าเดินทางข้ามเขากันหลายๆลูกอ่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาประสบเข้ากับตัวเองจริงๆ ที่ต้องเดินอ้อมเขานู้น ขึ้นเขานี้ ..สุดสุด.. แล้วเต็นท์ที่เห็นอยู่เบื้องล่าง มันก็เหมือนฉากที่ทหารกำลังเดินทางไปรบ แล้วพักค้างแรมกลางป่า กางเต็นท์กันในหุบเขา แล้วพวกสอดแนมก็แอบส่องอยู่บนอีกยอดเขานึงเห็นที่พักฆ่าศึกอยู่ไกลลิบๆ ยังไงยังงั้นเล้ย..
2) การเอาชนะความกลัว หรือ ความกล้าเผชิญในสิ่งที่กำลังจะมาถึง ..ให้ได้มากขึ้น
ไม่แน่ใจหรอกนะว่าต่อๆไปจะทำได้รึป่าว แต่ประสบการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่า..บางครั้งเราก็สามารถทำอะไรได้เกิน limit ของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะเกินคาด (+) ไม่แย่อย่างที่เคยคิด และก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด (-) ไปซะหมด แถมบางครั้ง..สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เปลี่ยนไปจากความคิดนั้นโดยสิ้นเชิง แล้วมันก็มักจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีด้วยนี่ดิ ต่อไปจะ (พยาม) ไม่คิดมากและ..
3) ความอดทน
ไปเที่ยวขนาดนั้น ถ้าคุณไม่อดทน..คุณก็คงไปไม่ถึงยอดแน่ๆ และ
4) คือ ได้รู้จักคนข้างๆ เรา..มากขึ้น
-- สิ่งที่ได้..จากความยากลำบากในทริปนี้ --
1) คือ ความหนาว ทำให้ได้ความอดทน
2) คือ ความลำบาก ก็ทำให้ได้ความอดทน และ
3) คือ ได้รู้จักคนข้างๆ เรา..มากขึ้น
สุดท้าย..ทุกอย่างมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี การเดินทางทุกครั้ง ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับความยากลำบากหรือความสะดวกสบายแค่ไหน สิ่งที่ได้กลับมามันก็คือประสบการณ์ ประสบการณ์ที่เรียกได้ว่า..สุดยอด!! ไม่ใช่ได้แค่ความประทับใจในสถานที่นั้นๆ แต่มันยังได้เห็นถึงอะไรเล็กๆน้อยๆ ที่ถ้าคุณนั่งอยู่บ้านเฉยๆ..คุณก็จะไม่รู้
ไปชมภาพระ่ทึกใจกันเลยดีก่า..!!
อันนี้เป็นภาพที่แสดงถึงการแต่งกายที่เหมาะสมสำหรับทริปนี้ อ่ะนะ.. 1)สัมภาระส่วนตัว 2)กระเป๋ากล้อง 3)ไม้เท้าช่วยเดิน
กรุ๊ปของเราเดินมุ่งขึ้นสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาวภายใน 1 วันกันแบบม้วนเดียวจบ ไม่ได้ตั้งแค้มป์พักแรมกลางทางเหมือนเช่นกรุ๊ปอื่นๆ ใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ 6 ชั่วโมง (สำหรับขาขึ้น) เอาเรื่องทีเดียว..!!
บริเวณนี้น่าจะเป็น "อ่างสลุง" (ถ้าจำไม่ผิดนะ) เป็นบริเวณที่เราหยุดพักกินข้าวกลางวันกัน และก็เป็นจุดกางเต๊นท์ด้วย บางกรุ๊ปที่ต้องการเดินกันแบบชิวๆก็จะมาพักที่นี่ก่อน 1 คืน แล้วในวันรุ่งขึ้นค่อยเดินต่อไปยังจุดกลางเต๊นท์เชิงดอย
มี "ห้องน้ำ" ด้วยนะ แต่คิดว่าทำธุระด้านหลังน่าจะเหมาะกว่า..
ส่วนนี่ "ขยะ" ค่ะ แต่เป็นของกรุ๊ปอื่นนะ ที่แขวนไว้เพราะคงกลัวสัตว์ป่าจะมายุ่มย่าม ก็หวังว่าเค้าคงจะมาสอยเอากลับไปด้วยตอนขาลง
หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ก็เตรียมเดินทางต่อ ระหว่างทางก็จะพบ "ต้นพญาเสือโคร่ง" หรือ "ซากุระเมืองไทย" หรือ "ดอกไม้ริมทาง" (ห่ะห่ะ!!) ขึ้นอยู่ประปราย
ทริปนี้เราพักเหนื่อยกันบ่อยมาก ถ้าเทียบกับ ทริปภูสอยดาว ก็ถ่ายรูปกันอีก หนาวนะ..แต่หน้ามันเชีย..!!
ในที่สุดก็มาถึงจุดกางเต๊นท์ กรุ๊ปของพวกเราเดินทางกันประมาณ 5-6 ชั่วโมง (อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วยนะ) ก็มาถึงจุดกลางเต๊นท์เชิงดอย เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน กางเต๊นท์เสร็จก็นั่งๆนอนๆ กันไปพลางๆ กินขนมบ้าง เล่นไพ่บ้าง คอยเวลาที่จะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกบนยอดดอย
พวกเราผ่อนคลายกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ออกเดินทางต่อ เพื่อไปรอชมพระอาทิตย์ตก
"ไอ้เราก็คิดว่าจะได้ขึ้นไปดูกันแบบสบายๆ เห็นเค้าบอก..ที่พักอยู่ใกล้จุดชมวิว ที่ไหนได้.."
พระอาทิตย์กะลังจะลับขอบฟ้าแล้ว..
ตกไปแล้ว!! จากนั้น..ความหนาวเย็นก็เริ่มมากขึ้นๆ
..ถ่ายรูปกันอีกครั้งก่อนลงไปที่พัก..
++++++++++++++++++++++++++++
เช้าวันรุ่งขึ้น ก็มีคนมาปลุกตั้งแต่เช้ามึด (มาก) เพื่อไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ที่ "ดอยกิ่วลม" ดาวเต็มท้องฟ้าเลยอ่ะ..!!
ภาพนี้เป็นความบังเอิญ กดชัตเตอร์ตอนดาวกะลังตกพอดี แต่กล้องมันไม่มีขาตั้งอ่ะนะ เลยได้ภาพออกมาเบลอๆ แบบนี้
(วันที่ไปเป็นวันที่เกิดปรากฎการณ์ "ฝนดาวตก" พอดิบพอดี โชคดีจริงๆเล้ย!!)
แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องออกมาแล้ว..
ฝั่งหนึ่งเป็นพระจันทร์ ส่วนอีกฝั่งเป็นพระอาทิตย์ ที่ประจันหน้ากันอยู่
แม้พระอาทิตย์จะทอแสงผ่านกลีบเมฆออกมาแล้ว แต่ก็ยังสามารถมองเห็นพระจันทร์ได้อยู่เลย
มองไปทางด้านขวามือดิ!! ตรงตีนเขาลูกที่สาม ไกลลิบๆนั่นนะ.. "เต๊นท์ของพวกเรา" เดินกันมาไกลโคตรอ่ะ!! ไม่อยากจะเชื่อเลย..
++++++++++++++++++++++++++++
เย็นของวันนั้น..เรากลับขึ้นไปยัง "ดอยกิ่วลม" กันอีกครั้ง เพื่อที่จะไปชมพระอาทิตย์ตก
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดจริงๆ "ฟ้าปิด" ปรากฎว่าพวกเราไปเสียเที่ยว (เสียอารมณ์ด้วย..รู้งี้นั่งเล่นไพ่ต่อก็ดี!!) เลยถ่ายรูปคนกันไปตามระเบียบ..
++++++++++++++++++++++++++++
วันรุ่งขึ้น..พอกินข้าวเช้าเสร็จ พวกเราก็เตรียมเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางกลับ ซึ่งไอ้ตอนขากลับ/ขาลงเนี่ย..มันง่ายกว่าตอนขามา/ขาขึ้นเยอะเลย เดินลงอย่างเดียว ทำให้ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางไปได้เยอะ ตอนขาขึ้น..เราใช้เวลากันประมาณ 6 ชั่วโมงได้ แต่ขาลง..เราใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมง (โดยประมาณ) เท่านั้นเอง แต่มันก็ติดอยู่นิดนึงตรงที่พื้นทางเดินมันเปียก สาเหตุน่าจะเป็นเพราะน้ำค้าง เลยต้องคอยระวังขึ้นอีกหน่อย ไม่งั้นคงกลับลงมาได้ภายใน 3 ชั่วโมง (โคตรเว่อร์อ่ะ!!)
ข้อมูลเพิ่มเติม
TourDoi.com LannaCorner.net TripsThailand.com Travel.LakKai.com SaRaKaDee.com
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2556 13:31:17 น. |
|
5 comments
|
Counter : 934 Pageviews. |
|
|
|
โดย: greenhand IP: 118.173.254.134 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:12:54:56 น. |
|
|
|
โดย: zazi_i วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:53:00 น. |
|
|
|
|
|
|
My FaceBook
:: วัตถุประสงค์หลักของผู้จัดทำ Blog นี้ คือ เผยแพร่ข้อมูลร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รวมถึงสาระบันเทิงต่างๆนานา ทุกข้อความที่ปรากฎเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น ::
|
|
|
|
|
|
|
|
ไม่ได้หลงเข้ามานะ แต่ตั้งใจเข้ามาดูเลยหละ
เห็นหัวข้อดอยหลวงเชียงดาว ในบล็อกที่อัพใหม่ ก็คลิกเข้ามาเลย
เคยไปเมื่อ 3 ปีที่แล้วคะ สนุกมากมาย
คิดว่าจะไปซ่อมอีกซักครั้ง เพราะตอนไป ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะหมอกสูงมาก เลยกลายเป็นเราอยู่ท่ามกลางหมอก
ไม่เห็นมีรูป ดอกเทียนนกแก้วเลยคะ
หรือว่าไปไม่ทัน มันโรยไปซะแล้ว
(ตอนเราไป เราไป พ.ย. นะ แบบว่า เพิ่งเปิดทางได้แค่ 2 อาทิตย์เอง)
ส่วนขยะตรงระหว่างทางที่เห็นแขวน ๆ ไว้
คือ แขวนไว้ก่อน เพราะยังไง ตอนลงก็ต้องผ่านตรงนั้น (อันนี้ลูกหาบบอกคะ)
ไม่ต้องถือขึ้นไป แล้วก็ต้องถือลงมาอีก
ขากลับ เดินลงมาก็ค่อยสอยขยะ กลับลงไปทิ้งคะ