|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
ธรรมะจากพระผู้รู้
รวบรวมการสนทนาธรรมจาก"พระผู้รู้" องค์หนึ่งทางภาคเหนือ ที่ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติของผู้เขียน 1. เวลารู้กาย รู้ใจ ให้รู้ให้ดู"ด้วยความเป็นกลาง" อย่าอยาก อย่าจ้อง ประคอง อย่าให้ค่าบวก-ลบ แรกๆห้ามไม่ได้หรอก แต่ค่อยๆรู้ไป น้อมเข้าไปรู้ โอปนยิโก รู้ปัจจุบันขณะ รู้แล้วปล่อยไปเลยช่างมัน รู้บ่อยๆ จิตจะค่อยๆปรับของมันเอง ยิ่งไปอยาก ดิ้นรนค้นคว้า ทำยังไงจะถูก จะเห็นชัด หรือไปสงสัย ให้ค่า คิดค้นหาคำตอบ มันก็สร้างเหตุต่อ ผลมันก็เกิดอีก ลำพังที่มีอยู่ก็ปางตายล่ะ รู้เข้าไป รู้ซื่อๆ รู้โง่ๆ (23-10-52) 2. สังเกตใจตัวเอง เวลารู้กาย รู้ใจ รู้ให้เหมือนกับเราสังเกตน้ำแข็งในแก้ว ดูมันไป ด้วยความเป็นกลาง ไม่ต้องไปจ้อง ไม่ต้องนั่งดูแบบไม่กะพริบตา ไม่ต้อง"อยาก"ให้มันละลาย "อยาก" ให้มันอยู่นานๆ (เอาไปแช่ในช่อง freeze ของตู้เย็น) "อยาก" เห็นมันละลายชัดๆ อยากฯลฯ ธรรมชาติของน้ำแข็ง คือ รวมตัวกันชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ละลายของมันตามเหตุตามปัจจัยของมันอยู่วันยังค่ำ ถ้าเอาไปตากแดดมันก็ละลายเร็ว ถ้าเอามาไว้ในร่มมันก็ละลายช้า เอาไว้ในตู้เย็นมันก็ละลายช้าเข้าไปอีก มันมีเหตุปัจจัยของมัน น้ำแข็ง กับ จิตใจ ร่างกายของเรามีสภาวะเหมือนกัน ให้รู้กาย รู้ใจเหมือนเราดูก้อนน้ำแข็ง สภาวะของการ "รู้" ก็เหมือนกัน มันจะเป็นรู้ด้วยความเป็นกลาง นี่แหล่ะความเป็นกลาง ดูตัวเองเหมือนดูก้อนน้ำแข็ง (23-10-52)
3. อย่างเวลามีคนมาด่าเรา มากระทบเรา ความโกรธก็เกิด มันมีเหตุปัจจัย "คนที่ด่าเรา" เป็นเพียง "ปัจจัย" "จิต" เราเป็น"เหตุ" นี่ต่างหากที่ทำให้โทสะเกิด สิ่งภายนอกเป็นแค่ปัจจัย จิตเราต่างหากเป็นเหตุ ต้องเข้ามารู้ที่เหตุ ไม่ต้องไปแก้ที่ปัจจัย แก้ไม่ได้หรอก หนีก็หนีไม่พ้น (24-10-52) 4. เวลาเราโกรธ เรารู้สภาวะโกรธที่ผุดขึ้นมา ถามหน่อยว่า สภาวะที่ขึ้นมานั้นมันบอกไหมว่ามันชื่อ "ความโกรธ" มันไม่ได้บอก เราเองที่ไปให้ชื่อว่า"โกรธ" ให้ค่าว่ามันไม่ดี มันเป็นกิเลส (กู)เกลียดมัน จริงๆแล้วมันก็แค่สภาวะหนึ่ง มันไม่ได้แตกต่างจากสภาวะอื่นๆ เช่น รัก ดีใจ เลย เราไปให้ค่าให้ชื่อมันเองทั้งนั้น (24-10-52) 5. จิตของพระอรหันต์ เหมือนรอยเท้านกที่มาเกาะโต๊ะชั่วขณะหนึ่งแล้วมันก็บินหายไป ไม่ทิ้งรอยไว้เลย ถามว่านกมันมาเกาะโต๊ะไหม มันมาเกาะ แต่มันไม่มีรอย จิตของปุถุชนก็เหมือนจิตพระอรหันต์ เหมือนกันแหล่ะ แตกต่างตรงแค่ว่าพอมันมาเกาะแล้ว มันทิ้งรอยไว้ ทิ้งรอยฝังไว้ไม่พอ แถมเท้าไปเหยียบขี้โคลนมาอีก เลอะเทะเปราะเปื้อนไปหมด ถามว่าพระอรหันต์โกรธได้ไหม โกรธได้ ร้อนได้ หนาวได้ กระทบก็กระทบเหมือนกัน (เหมือนอาการที่นกเกาะโต๊ะ) แต่จิตพระอรหันต์ท่านไม่ปรุงแต่งต่อเท่านั้นเอง มหาสติเขาตัด (สติใหญ่) (24-10-52) 6. เวลารู้กายเดิน ยืน นั่ง นอน ให้รู้เป็นจุดๆ เท่าที่จิตจะรู้ได้ ไม่ใช่ไปจ้องทั้งตัว แล้วมันจะพัฒนารู้กายโดยเป็นองค์รวมเอง แล้วมันจะเห็นกายตามความเป็นจริงได้ว่ากายนี้ไม่ใช่ตัวเรา เหมือนตาเห็นเลย มันจะเห็นเป็นอัตโนมัติ (23-10-52) 7. การรู้กาย รู้ใจ ทำกันไปตลอดชีวิต หรือขนาดต้องข้ามภพข้ามชาติเลย ลำพังที่เราเจริญสติอยู่นี่ มันหยาบ พอจะสู้ได้อยู่ แต่ขั้นละเอียดลงไป อนุสัยหรือกิเลสที่มันนอนเนื่องในสันดานที่สะสมมานับชาติไม่ถ้วน มัน"ทุกข์"จริงๆ คือต้องยอมเอาชีวิตเข้าแลก ตายเป็นตาย จะอยู่หรือตายก็ช่างมัน ต้องกล้า ต้องอดทน อย่างหลวงปู่สิมที่ท่านสอนเอาไว้ "ทุกข์ไม่ต้องบ่น ให้ทนเอา" ต้องอดทนอย่างเดียว อย่าไปฉลาดกับมัน ฉลาดสู้ไม่ได้ ความอดทนสู้ได้ (24-10-52) 8. หลวงปู่สอนว่า "ภาวนาเอา หรือ ภาวนาละ" เอาไปคิดดู (24-10-52) 9. รู้ ของจริง จะรู้ไม่ชัด เพราะมันจะไม่ทันปรุงแต่งเป็นสัญญาอะไร เป็นแค่สภาวะบางอย่าง ไม่มีชื่อ
(24-10-52) 10.เราไปติดกับความคิดของตัวเอง และไปยึดมั่น มันหนักแต่ไม่รู้ตัว ไปยึดมันทำไม ความคิดความเห็น ที่เขาเรียกว่าทิฏฐิ ไปยึดความคิดของตัวเองเกินไป มันไม่มีอะไรเลย อากาศที่อยู่ต่อหน้าเรา ลมพัดไปมา สถานะมันยังมีน้ำหนักกว่าความคิดของเราซะอีก แล้วทำไมเราถึงไปยึดมันเหนียวแน่นนัก ความคิดของกูแน่ ของกูดี เก่งกว่า ถูกกว่า คิดดูว่ามันโง่ไหม? (24-10-52) 11. ไม่ต้องไปดู ไปสนใจมานะอัตตาตัวตนของคนอื่น ดูเข้ามาที่ตัวเองนี่ ของตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด ไปสนใจของคนอื่นทำไม ปล่อยไปซะ (23-10-52)
12.หลวงพ่อมนตรี สอนว่า ทุกขณะปัจจุบัน เมื่อเรา"รู้" กาย ใจ (หลงบ้าง รู้บ้าง) ธาตุรู้จะค่อยๆซึมซ่าน และแผ่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ความหลง หรือโมหะจะค่อยๆหดสั้นลงเพราะธาตุรู้มาแทนที่ (เป็นกลไกของธรรมชาติ ธรรมดา) เราอาจจะมองว่า "รู้" ที่สั้นๆ เงียบๆ ไม่มีคำพูดนั้นไม่มีความหมายจริงๆแล้วมันสะสมทุกขณะ ณ ปัจจุบันนั้น
Free TextEditor
Create Date : 21 ธันวาคม 2552 |
|
2 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2553 10:14:50 น. |
Counter : 600 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: Athitha IP: 10.41.5.214, 202.28.180.202 วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:11:34:15 น. |
|
โดย: อุ้ย IP: 58.8.90.16 วันที่: 28 ธันวาคม 2552 เวลา:21:02:18 น. |
|
| |
|
หนุ่มทิพย์ |
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เว็บบล็อคแห่งนี้ เป็นสถานที่สำหรับบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้จากประสบการณ์การศึกษาปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐานสี่ ของข้าพเจ้า...
|
|
|
|