เวลาต้องการพลังงานสูงๆ อย่างย้อนเวลา เราก็ต้องพูดถึงฟ้าผ่านี่แหละ
ฟ้าผ่า เป็นตัวแทนของพลังงานอันมหาศาล ที่นิยายวิทยาศาสตร์คลาสสิกมักอ้างใช้เป็นแหล่งพลังงาน โดยเฉพาะในสมัยที่คำว่า Giga Watt เป็นอะไรที่มหาศาลจนมนุษย์ไม่น่าจะอาจทำได้ แต่เดี๋ยวนี้เวลาเราพูดกันทีก็ไกลไป Tera กันแล้ว ฟ้าผ่ามักถูกเอามาถามบ่อยๆว่าเราจะสามารถใช้พลังงานจากฟ้าผ่าได้ไหม หรือทำไมไม่มีใครคิดจะใช้พลังงานอันยิ่งใหญ่จากธรรมชาตินี้ จัดเป็นคำถามเดจาวูประจำหว้ากอเลยทีเดียว อย่ากระนั้นเลย เรามาลองทำเป็นบทความเล่นๆ แต่เอาสาระจริงๆกันไว้สักทีหนึ่งจะดีกว่า
---------------------------------------------
ก่อนจะมีเครื่องปั๊มหัวใจ เราต้องใช้ฟ้าผ่าในการกระตุ้น
ฟ้าผ่ามีได้ทั้งเป็นประจุบวกและประจุลบ ฟ้าผ่าเกิดจากการเคลื่อนผ่านและแลกเปลี่ยนอิเลคตรอนของเมฆ ตรงนี้จะถือว่าแหล่งกำเนิดพลังงานต้นของฟ้าผ่ามันก็มาจากลมซึ่งก็มาจากแสงอาทิตย์เป็นหลักนั่นเอง ฟ้าผ่าประจุลบคือการเคลื่อนที่ของอิเลคตรอนจากก้อนเมฆสู่พื้น ส่วนฟ้าผ่าประจุบวกคือการเคลื่อนที่ของอิเลคตรอนจากพื้นสู่เมฆ ในธรรมชาติเรามักเห็นคือฟ้าผ่าประจุลบ ซึ่งมีปริมาณพลังงานต่อครั้งที่ 500 MJ และฟ้าผ่าประจุบวกจะมีพลังงานต่อครั้งที่ 5,000 MJ แม้ปริมาณพลังงานจะมหาศาล แต่ระยะเวลาของฟ้าผ่านั้นมีแค่ 30 ในล้านส่วนของวินาที ในขณะที่ช่วงพีคสูงสุดของฟ้าผ่า จะให้กำลังถึง 1 เทร่าวัตต์
---------------------------------------------
ถ้าเราจะมาหาทางเอาพลังงานฟ้าผ่ามาใช้จริงๆจังๆกัน อันดับแรกเราก็ต้องดูข้อมูลสถิติกันหน่อย
---------------------------------------------
สถิติการเกิดฟ้าผ่า
สถิติการเกิดฟ้าผ่าแสดงตามลำดับสี
ฟ้าผ่านในโลกเรามีอัตราการเกิดเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ครั้งต่อตารางกิโลเมตร ส่วนประเทศไทยเราเนื่องจากอยู่ในเขตมรสุม มีการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองบ่อยครั้ง อัตราการเกิดฟ้าผ่าของเราอยู่ได้สูงถึง 50 ครั้งต่อปี นับเป็นพื้นที่ศักยภาพในการทำโรงพลังงานฟ้าผ่ากันเลยทีเดียว
คราวนี้เราก็มาหาทางดึงไฟฟ้าลงมายังจุดที่ต้องการ เราก็ต้องใช้ สายล่อฟ้า ที่ไม่ใช่ เพลงของ Big Ass หรือ หนังของ ยุทธเลิศ สิปปภาค กันละ
ล่อฟ้า และการครอบคลุมพื้นที่ของฟ้าผ่า
การติดตั้งล่อฟ้า และพื้นที่ครอบคลุมทางทฤษฎี
แม้ว่าในทางโยธา พื้นที่ครอบคลุมของล่อฟ้าเรามักคิดเป็นรูปกรวย นั่นคือตามหลักการถ้าตั้งเสายิ่งสูงยิ่งครอบคลุมพื้นที่ให้เยอะ ทว่า จริงๆแล้วมันก็มีข้อจำกัดทางความสูงอยู่ โดยเฉพาะกรณีที่ความสูงของเสาเกินกว่า 30 เมตร พื้นที่ครอบคลุมจะสอบแคบลงจากมุม 45 ดังนั้น เสาล่อฟ้าที่จะใช้ดึงพลังงานจากฟ้าผ่ามาใช้ อย่างดีที่สุดก็คือสูงไม่เกิน 30 เมตร ครอบคลุมรัศมีไม่เกิน 30 เมตรเช่นกัน
แล้วเราจะจัดเก็บกันยังไงดี เพราะฟ้าผ่ามันก็ทั้งเร็ว ปริมาณพลังงานก็สูง อันตรายอยู่นะนั่น
แนวทางการจัดเก็บพลังงาน
- การจัดเก็บด้วย Capacitor: ฟ้าผ่าจะเดินทางจากศักย์พลังงานสูงสู่ศักย์พลังงานต่ำ ตัว Capacitor นี้ก็คือเป็นตัวรับกระแสไฟฟ้า แทนพื้นดิน แล้วค่อยต่อวงจรเอาประจุที่จัดเก็บเข้ากับ Ground เพื่อนำใช้เป็นพลังงานในภายหลัง ข้อจำกัดการจัดเก็บฟ้าผ่านั้นไม่มีทางจัดได้ 100% เพราะถ้า Capacitor ชาร์จจนถึงระดับหนึ่ง ความต่างศักย์ของ Capacitor นั้นก็จะน้อยลงแล้วการไหลของอิเลคตรอนก็จะชะงัก ซึ่งวิธีนี้ คิดให้หัวแตกก็ยังหาวิธีล่อฟ้าลงมาโดย Capacitor ไม่ไหม้ไม่ไหว มันก็เลยมีแนวคิดอีกแนวหนึ่ง
- การจัดเก็บด้วยการเปลี่ยนเป็นพลังงานเคมี: วิธีนี้ใช้ต่อล่อฟ้าตรงเข้าน้ำที่มีสารละลายนำไฟฟ้า เช่นน้ำเกลือหรือน้ำทะเล เพื่อให้กระแสไหลและเกิดการแยกตัวของน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจนเพื่อใช้ในการสันดาปผ่านเครื่องกำเนิดพลังงานในภายหลัง อันนี้มีคนคิดจริงๆจังๆด้วย ดูแบบตามรูป
การออกแบบ ล่อฟ้าและการดึงไปใช้แยกน้ำด้วยไฟฟ้าได้ก๊าซเชื้อเพลิงพร้อมสันดาป
ไฟฟ้าที่ได้
เราสามารถประเมินพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตามหน่วยพื้นที่จากอัตราการเกิดฟ้าผ่า 50 ครั้งต่อ ตารางกิโลเมตรต่อปี และแต่ละครั้งสมมุติเก็บได้ 100% ที่ 500 MJ/ฟ้าผ่า 1 ครั้ง เลยด้วย ปีหนึ่งๆเราจะได้ ไฟฟ้ามาใช้ถึง 25,000 MJ หรือ เป็นไฟฟ้า 6,944 kWh! มูลค่าไฟฟ้า 3.5 บาทต่อหน่วย เราจะได้เงินคืนมาถึง 24,305.55_ บาทต่อตารางกิโลเมตรต่อปีทีเดียว !!!!!!
ค่าใช้จ่ายลงทุน
ส่วนค่าลงทุน ก็แสนน้อยนิด ตั้งเสาสูง 30 เมตรพร้อมล่อฟ้า แค่ต้นละ หมึ่นบาท ครอบคลุมพื้นที่ต้นละ 2827 ตารางเมตร ก็ใช้เสาแค่ 354 ต้นเอง สนทนาลงทุนต่อพื้นที่ 3.5 ล้านบาท ได้ผลตอบแทน 24,305 บาทต่อปี!?!?!?
ยังก่อน ยังไม่หมดแค่นั้น
- ตามรูปแบบการใช้ Capacitor เพื่อจะเก็บกำลังไฟฟ้าไว้ได้ เราต้องมี Capacitor เตรียมไว้ Capacitor ขนาด 1,000 kVa ให้รับพลังงาน 500 MJ ก็ต้องใช้ 500 ตัว ตัวละ 60,000 บาท ก็ มูลค่าส่วนเพิ่ม 30 ล้านบาทเท่านั้น
- หรือตัวเลือกใช้เก็บเป็นการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า พลังงาน 500 MJ จะแยกน้ำได้เป็นปริมาตรก๊าซ คือ 58 ลบม คิดจากพลังงานในการแยกน้ำซึ่ง Heat of formation มีค่า 287 kJ/mol คำนวณก็คือฟ้าผ่าหนึ่งครั้งจะแยกน้ำ 31 กิโลกรัมออกเป็น ออกซิเจนและ ไฮโดรเจน ซึ่งก๊าซที่เกิดจะมีปริมาตรที่ 58 ลบม ณ ความดันบรรยากาศ งานนี้นับว่าเป็นเรื่องอยู่ ถ้าคิดค่าถังขนาดสัก 60 ลบม คิด Compressor เพื่ออัดก๊าซใช้ขนถ่าย และให้เอาสารพัดสายล่อฟ้าต่อลงกราวน์เดียวกันเพื่อลดต้นทุน ไงๆ ค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็แค่ 30 ล้านนิดๆ เท่านั้น
สรุปผลตอบแทนการลงทุน สำหรับโปรเจคพลังงานจตุกานุภาพ (เอาให้มันเหนือกว่าหม้อตุ๋นเป็ดไปอีกขั้น)
สรุปได้ว่า การนำพลังงานจากฟ้าผ่ามาใช้ ลงทุนอย่างต่ำแค่ 33.5 ล้านบาท ได้กำไร 24,305 บาทต่อปี ถ้าระบบถูกสร้างด้วยสารโคตรทรหด X มันก็จะไม่มีวันเสีย ไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุง เพียง 1,380 ปี ระบบนี้ก็จะคืนทุนได้แล้วเทียบกับเครื่องตรีเอกานุภาพที่ไม่มีวันคืนทุนแล้ว เครื่องนี้ยังถือว่าเป็นไปได้สูงกว่ามวากกกกก
การตอบรับจากสาธารณชนต่อแผนการผลิตพลังงานจากฟ้าผ่า
และนี่ก็คือคำตอบว่า ทำไม ถึงไม่มีไอ้บ้าที่ไหนสมควรจะลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่า
(คำเตือน: การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ส่วนเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ อย่าไปลงทุนครับ)
อ้างอิง
Lightning
Costing
Storage Method