"พระอาจารย์คึกฤทธิ์" วัดนาป่าพง จากนักเรียนนายร้อย สู่ร่มกาสาวพัสตร์
เรียบเรียงโดย คนออนไลน์
ตกเป็นข่าวใหญ่ เมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) นำข้อร้องเรียนจากประชาชนเสนอเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) ในกรณีพระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล หรือ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตัดศีลปาฏิโมกข์ ของพระสงฆ์เหลือเพียง 150 ข้อ จากเดิมที่ตามพระธรรมวินัยกำหนดไว้ 227 ข้อ
โดยเมื่อวานนี้ ศิษยานุศิษย์ต้องออกโรงแจง รวมทั้งสื่อมวลชน ได้นิมนต์ให้ท่านชี้แจงเอง ซึ่ง พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้ชี้แจงว่า ยอมรับว่าตัดศีลของพระสงฆ์เหลือแค่ 150 ข้อ แต่รับพระวินัยทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ทั้งนี้บทบัญญัติคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากกว่า 2,400 ข้อ แยกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนแรก บัญญัติก่อนระบบปาฏิโมกข์ ประกอบด้วย จุลศล มัชฌิมศิล มหาศิล จำนวน 363 ข้อ ส่วนที่สองปาฎิโมกข์ อาทิพรหมจริยาสิกขา จำนวน 150 ข้อ และส่วนที่สาม อภิสมาจาริกสิกขา จำนวน 1,940 ข้อ ซึ่งพระสงฆ์จะต้องรักษาทั้งหมด
"แต่ที่นำมาสวดมาฏิโมกข์ เพียง 150 ข้อ ก็ไม่ได้ตัดส่วนที่เหลือออกไป พุทธศาสนิกชนเข้าใจว่าการสวดปาฏิโมกข์ต้อง 227 ข้อ ศีลที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ในหนังสือพุทธวจนที่แปลเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ไม่ได้ตัดคำสอนของพระพุทธองค์ และก็ไม่มีใครไปตัดคำสอนของพระพุทธองค์ได้
ซึ่งจะต้องรักษาไว้ทั้งหมดมากกว่า 2,400 ข้อ เรื่องนี้ต้องขอความเป็นธรรมไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งถ้าทางสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเรียกอาตมาไปสอบถามหรือสอบสวนก็ยินดี" มติชนนออนไลน์ จึงเรียบเรียงประวัติของ "พระอาจารย์คึกฤทธิ์" มานำเสนอต่อประชาชน ทั้งผู้สงสัยและตั้งคำถาม รวมทั้งผู้ที่ศรัทธาในทางธรรมต่อวัตรปฏิบัติของท่านอยู่แล้ว จะได้เข้าใจความเป็นตัวเป็นตน บนเส้นทางธรรมของพระรูปนี้
ประวัติในช่วงเป็นฆราวาส เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2506 ที่โรงเรียนพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ จบการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน รุ่นที่ 5 กรุงเทพฯ โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 22 ปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล จากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 33 ในขณะรับราชการชั้นยศ ร้อยโท สอบชิงทุนกองทัพบกได้ไปศึกษาต่อที่ ฟอร์ตเบญจามินแฮริสัน สหรัฐอเมริกา จากนั้นได้เข้าศึกษาและสำเร็จปริญญาโท สาขาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ (ภาคนอกเวลาราชการ รุ่นที่ 1) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับราชการเรื่อยมาจนกระทั่งอายุ 29 ปี ได้ชั้นยศพันตรี ในตำแหน่งผู้บังคับกองร้อย กองบังคับการกองพันทหารราบ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ช่วงปี พ.ศ. 2535 ( ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่พระอาจารย์ชา สุภัทโท ได้มรณภาพลงหลังจากป่วยเป็นอัมพาตมา 10 ปี ) และได้ตัดสินใจที่จะออกบวชในคืนวันนั้น นั่นเอง จุดเริ่มต้นในเส้นทางธรรม
ในปี พ.ศ.2522 ขณะท่านเรียนอยู่เตรียมทหาร ชั้นปีที่ 1 ระหว่างปิดเทอม โยมแม่ของท่านได้พาไปบวชกับ หลวงพ่อชา สุภัทโท ที่วัดหนองป่าพงเป็นเวลา 1 เดือน ได้พบหลวงพ่อชา ได้ใกล้ชิด และสัมผัสกับธรรมะ รวมถึงข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด งดงามน่าเลื่อมใสของท่าน เกิดใคร่สนใจอยากศึกษา จึงเริ่มมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อครบกำหนดลาสิกขากลับมาสู่การศึกษาเล่าเรียน จึงตั้งใจเริ่มฝึกหัดรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ตามสติกำลังอยู่ตลอดมามิได้ขาด ท่านได้กลับไปยังวัดหนองป่าพงในทุกช่วงเวลาปิดเทอม จนกระทั่งได้มีโอกาสบวชอีกทีในตอนปิดเทอมชั้นปีที่ 4 ของนายร้อย จปร. ในครั้งนี้ ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหลวงพ่อชา ว่า จะใช้ชีวิตฆราวาสอีกเพียง 10 ปี แล้วขอให้มีเหตุปัจจัยผลักดันให้ได้ครองเพศบรรพชิตไปตลอดชีวิต ชีวิตในเพศบรรพชิตครั้งสุดท้าย
หลังจากได้ตั้งอธิษฐานกับหลวงพ่อชาในครั้งนั้นท่านก็ได้ใช้ชีวิตทางโลกอย่างปรกติเรื่อยมาจนในที่สุดเมื่อครบ10ปี ตรงกับที่ได้ตั้งอธิษฐานไว้ และเป็นปีที่หลวงพ่อชาได้มรณภาพ ท่านได้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่ค่อยเห็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตฆราวาสเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งได้รู้สึกถึงความก้าวหน้าของผลการปฏิบัติ ที่ค่อยๆ ฝึกหัดกระทำมาตลอด 14 ปี นับแต่เจอหลวงพ่อชา สิ่งเหล่านี้จึงรวมมาเป็นเหตุปัจจัยผลักดันให้เข้ามาบวชอีกครั้ง ครั้งนี้ท่านเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ที่สำนักสงฆ์บุญญาวาส จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง มีพระอาจารย์ตั๋น (พระอาจารย์อัครเดช ถิรจิตฺโต) เป็นเจ้าอาวาส หลังจากบวชได้ระยะหนึ่ง ในระหว่างออกปลีกวิเวกธุดงค์ร่วมกับพระเถระอีก 2 รูป ท่านได้มาบำเพ็ญภาวนา พำนักอยู่ยังผืนนาอันเป็นของโยมแม่ท่านยกถวาย ณ.บริเวณถนนลำลูกกา คลองสิบ จังหวัดปทุมธานี เรื่อยมาจนได้ 5 พรรษา จากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้พำนัก อยู่เพียงลำพังผู้เดียว จึงอาศัยความสันโดษวิเวกนี้ เป็นโอกาสแห่งการปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมทั้งศึกษาธรรม และวินัยควบคู่กันไป
ในช่วงหน้าแล้งของแต่ละปี ท่านได้หาโอกาสออกวิเวกตามป่าเขา จนในพรรษาที่ 7หลังออกวิเวกธุดงค์ โดยเดินจากเมืองกาญจนบุรีผ่านทุ่งใหญ่นเรศวร ขึ้นจังหวัดตาก และเมื่อกลับมาถึงคลองสิบ ได้เป็นไข้มาลาเรีย นอนป่วยอยู่ผู้เดียวเป็นเวลา 7 วัน จึงมีคนมารับไปรักษา ผลจากอาพาธครั้งนี้ทำให้ท่านมีอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมาอีก 5 ปี จึงเริ่มหายเป็นปกติ ในระหว่างนั้นสถานที่ดังกล่าวค่อยๆ ได้รับการพัฒนาตามลำดับ ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 หรือประมาณ 8 ปี นับแต่ท่านได้มาอยู่บำเพ็ญภาวนาสถานที่แห่งนี้ จึงได้ขึ้นทะเบียนตั้งเป็นวัดนาป่าพงจวบจนถึงปัจจุบัน นานาจิตตัง...
ขอบคุณ มติชนออนไลน์ คุณคนออนไลน์ สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ
Create Date : 20 สิงหาคม 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 20 สิงหาคม 2557 16:25:47 น. |
Counter : 8084 Pageviews. |
|
|
|