ฐานานุศักดิ์ของสถาปัตยกรรมไทย
เรือนเครื่องสับ มีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ จะมี ฐานานุศักดิ์ ในตัวของมันเองอยู่ทุกหลัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะความเป็นผู้พักอาศัย เช่น ในระยะแรกยังมีฐานะไม่ดีนักก็อาจใช้ ฝากระดานตีเรียบ ฝีมือช่างไม่สูงนัก
แต่เมื่อฐานะดีขึ้นอาจเปลี่ยนเป็น ฝาปะกน ซึ่งมีลูกตั้งและลูกเซ็นประกอบกันขึ้นมาเพื่อความงดงามและคงทนถาวรมากขึ้น หรืออาจทำเป็น ฝาลูกฟักกระดานดุน ที่ทำให้ฝามีความหนามากขึ้น
ข้อสังเกตอีกแห่งหนึ่งที่ทำให้ทราบว่าบ้านใดเป็นบ้านพักของเจ้านายหรือผู้มีฐานะสูง คือ บริเวณ หย่องหน้าต่าง ของกรอบเช็ดหน้าจะมีลักษณะแตกต่างออกไปตามฐานะของเรือน ถ้าเป็นเรือนธรรมดาอาจเป็นแผ่นกระดานเรียบ ๆ
ถ้าฐานะสูงขึ้นมาก็เป็นลูกฟักกระดานดุน ลูกกรงมะหวด จนสูงที่สุดก็จะแกะสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายก้านแย่ง ลายพฤกษชาติ แต่ไม่ได้แกะสลักทั้งหลังเหมือนอาคารทางพระพุทธศาสนา
ดังนั้น เราจะทราบฐานะของผู้ที่พักอาศัยในเรือนนั้น ๆ ได้จากลักษณะรูปแบบอาคาร ถ้าเป็นเจ้านายระดับสูงอาคารก็จะเริ่มใหญ่ขึ้น คือ จะมีขนาดตั้งแต่ ๖ แปลานขึ้นไป การประดับตกแต่งนอกจากที่หย่องหน้าต่างแล้ว ก็ยังมีในส่วนอื่น ๆ ด้วย
เช่น การทำลูกกรงประดับต่าง ๆ ซึ่งในเรื่องฐานานุศักดิ์ของเรือนเครื่องสับนี้จะเห็นตัวอย่างได้จากเรือนหมู่ในพระที่นั่งวิมานเมฆ เรือนทับขวัญที่จังหวัดนครปฐม วังบ้านหม้อ วังปลายเนิน วังสวนผักกาด เป็นต้น
เรือนเครื่องก่อ แต่เดิมการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยจะใช้ไม้เป็นหลัก แต่เพื่อความคงทนถาวรในการใช้งานจึงมีการพัฒนาวัสดุก่อสร้างใช้เป็นการก่ออิฐถือปูนขึ้นมา
ในสมัยโบราณมักจะสร้างอาคารก่ออิฐถือปูนกับอาคารทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาเริ่มมีการนำไปใช้ในการก่อสร้างพระราชวังหลวง วังของเจ้านาย และเรือนของข้าราชบริพารระดับสูง การก่อสร้างอาคารก่ออิฐถือปูนจะทำรากแผ่แล้วก่อผนังขึ้นไป ส่วนโครงสร้างหลังคายังทำเป็นเครื่องสับอยู่เหมือนเดิม
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างใช้ ปูนสอ เชื่อมยึดกับแผ่นอิฐ ปูนสอหรือปูนขาว (lime stone) ได้จากการเผาหินปูนหรือเปลือกหอย แล้วนำมาผสมกับทรายหยาบและน้ำผึ้ง หากเป็นงานขนาดใหญ่จะใช้น้ำผึ้งที่เคี่ยวจากตาลโตนด แต่ถ้าเป็นงานละเอียดจะใช้น้ำผึ้งจากรวงผึ้งนอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มความเหนียวได้โดยการเติม กาวหนัง หรือยางไม้บางชนิดลงไปได้ด้วย
รูปแบบของเรือนเครื่องก่อ อาคารเครื่องก่อมักจะเป็นงานสถาปัตยกรรมที่มีความคงทนกว่าเรือนเครื่องสับโดยจะมีส่วนที่เป็น เดี่ยวล่าง และ เดี่ยวบน ของอาคารเป็นเครื่องก่อและส่วนหลังคาเป็นเครื่องสับก่อนที่จะเป็นเครื่องก่อทั้งหลังก็ยังมีการสร้างส่วนเดี่ยวล่างเป็นเครื่องก่อ ส่วนเดี่ยวบนเป็นเครื่องสับ
เมื่อต้องการสร้างอาคารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จึงต้องก่อส่วนเดี่ยวบนด้วยอิฐ แล้วฉาบปูนแทนเครื่องสับ บริเวณทางเข้าออกและช่องระบายอากาศที่ผนังจะทำคานทับหลังด้วยไม้ แต่อาคารบางที่มีการก่ออิฐเป็น ทรงพนม ก็ไม่ต้องมีคานทับหลังพบในอาคารเครื่องก่อขนาดใหญ่ เช่น พระราชวัง
การวางแผนผังเรือนหมู่เครื่องก่อ มีลักษณะคล้ายกับเรือนหมู่เครื่องสับ คือจะประกอบด้วย - เรือนเอก ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของเรือนหมู่ หรือวางตามความยาวในทิศทางตามตะวัน เพื่อการรับลมที่มาจากทิศใต้ - เรือนรี ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของนอกชาน - เรือนขวางและเรือนครัว ตั้งอยู่ทางตะวันออกหรือตะวันตก โดยมีนอกชานแล่นกลางเป็นตัวเชื่อมเรือนทุกหลัง - บริเวณนอกชาน มักจะถมดินสูงขึ้นจากระดับเดิม แล้วปลูกต้นไม้ไว้ตรงกลางนอกชานเพื่อความร่มรื่น - บันไดขึ้นลงอาคาร จะอยู่ในตำแหน่งด้านทิศเหนือหรือใต้ การสร้างเรือนหมู่เครื่องก่อจะทำฐานรากโดยการขุดหลุมตามขนาดของเรือนหมู่ แล้วก่ออิฐเป็นฐานเพื่อรับน้ำหนักของตัวเรือน ยกเว้นส่วนนอกชานซึ่งจะถมดินขึ้นมาให้สูงให้ได้ระดับและบดอัดดิน (แต่เดิมใช้ดินลูกรัง ดินจอมปลวก) แล้วปูกระเบื้องดินเผายึดแนวด้วยปูนทราย
สถาปัตยกรรมไทยทรงเครื่องลำยอง การออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมไทยในทุกภาค ทุกสมัย การจัดระดับความสำคัญของอาคาร ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานภาพของเจ้าของอาคารหรือผู้ที่ไปใช้อาคารนั้น ๆ เช่น เป็นกษัตริย์ ขุนนาง คหบดี หรือประชาชนธรรมดา ดังนั้น อาคารทั้งหลายจึงต้องมีการแสดงออกถึง ฐานานุศักดิ์
เช่น อาคารที่สร้างถวายเป็นพุทธบูชา อาคารที่สร้างเป็นเทวาลัย หรืออาคารที่สร้างขึ้นถวายพระมหากษัตริย์ จะต้องแสดงความสำคัญของอาคารนั้น ๆ โดยการประดับตกแต่งให้มีความสวยงาม และใช้วัสดุที่คงทนถาวรมากกว่าอาคารของประชาชนธรรมดา เช่น การก่ออิฐถือปูน การนำหินมาก่อสร้าง
อาคารที่มีฐานานุศักดิ์สูงจะตกแต่งด้วยความประณีต โดยมีการใช้องค์ประกอบที่มีลวดลายที่เรียกว่า เครื่องลำยอง แปลว่า เครื่องประดับที่ทำให้งดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ส่วนของหลังคา
สถาปัตยกรรมทรงเครื่องลำยองจะไม่นำไปใช้กับประชาชนธรรมดา แต่จะใช้กับอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้า พระมหากษัตริย์ หรือเป็นอุเทสิกเจดีย์เท่านั้น
เครื่องลำยองที่ใช้กับหลังคาหน้าจั่ว ในสมัยโบราณประเทศไทยมีทรัพยากรไม้ที่มีคุณภาพดี เช่น ไม้สัก ไม้ตะเคียนทอง ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้เต็งรัง
ดังนั้น การก่อสร้างส่วนหลังคาจึงนำไม้มาใช้เป็นหลักที่พักอาศัยหรือบ้านเรือนของประชาชนทั่วไป บริเวณหลังคาก็จะมีปั้นลม จากจุดนี้ช่างได้พัฒนารูปแบบจนเกิดเป็นลวดลายที่งดงาม การใช้เครื่องลำยองประดับตกแต่งส่วนหลังคาและหน้าบันจะมีองค์ประกอบดังนี้
ช่อฟ้า คือ ส่วนขององค์ประกอบที่อยู่บนหลังคาในตำแหน่งที่สูงที่สุดของหลังคา
ใบระกา เป็นองค์ประกอบของ ตัวลำยอง ที่สันนิษฐานกันว่านำมาจากลักษณะของขนปีกของครุฑ ซึ่งนำมาพัฒนาเป็นรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เช่น ใบระกาน่องสิงห์ ใบระกาหอยจับหลัก ใบระกากระหนก ใบระกาใบเทศ
รวยระกา งวงไอยรา นาคสะดุ้ง ในการก่อสร้างโครงสร้างหลังคาทรงจั่วจะมุงด้วยกระเบื้องหางมน หางเหยี่ยวหรือกระเบื้องกาบกล้วย เป็นต้น จะทำให้เกิดช่องว่างของระแนง ซี่งทำให้นกหนูสามารถเข้าไปทำรังภายในได้ จึงได้มีการออกแบบปิดรูระแนง
ฉะนั้น การออกแบบองค์ประกอบหน้าบันทรงเครื่องลำยองจึงได้ออกแบบต่อจากเดิมที่เป็นปั้มลมธรรมดาให้เป็นลวดลายคันลำยอง ใบระกา รวยระกา ขึ้นเพื่อป้องกันสัตว์เข้าไปทำรัง และทำให้จั่วหลังคาเกิดความงดงามอีกด้วย
หางหงส์ การออกแบบรวยระกานาคสะดุ้ง จะทำการติดตั้งบนหัว แปลาน แปหาร แปหัวเสา และอกไก่ แล้วยึดติดต่อโดยการใช้ปูนหลบกระเบื้องอีกชั้นหนึ่ง ส่วนบริเวณปลายของนาคสะดุ้งจะออกแบบเป็นหางหงส์ ซึ่งอาจมีการออกแบบให้แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับแต่ละตระกูลช่างในสมัยต่าง ๆ เช่น อาจออกแบบเป็นรูปเศียรนาค กระหนก นาคเบือน
ลานหน้าบัน ความงดงามของเครื่องลำยองในหลังคาทรงจั่วที่เห็นได้เด่นชัด และมีการออกแบบหลากหลายขึ้นอยู่กับฝีมือและความชำนาญของช่างในสมัยก่อนนั้น ส่วนใหญ่เป็นการแกะสลักไม้แล้วปิดทองคำเปลวประดับกระจกสี
การออกแบบลวดลายที่บริเวณหน้าบันขึ้นอยู่กับขนาดของหน้าบันซึ่งอาจออกแบบเป็นลายก้านขด ลายกระหนก หรือลายเปลว แล้วแต่ความเหมาะสมบางแห่งอาจออกเป็นรูปเทพชุมนุมอยู่ที่บริเวณรูปจั่ว และมีพระนารายณ์ทรงครุฑเข้าประดิษฐานกลางหน้าบัน เช่น รูปพระพรหม พระศิวะ
สถาปัตยกรรมไทยเครื่องยอด ในประเภทสถาปัตยกรรมไทยที่นำมาออกแบบกันตั้งแต่สมัยโบราณจะมีความผูกพันกับศาสนาเป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้จากหลักฐานทางโบราณคดีตั้งแต่สมัยทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เชียงแสน สุโขทัย อยุธยา
จึงถึงปัจจุบันสถาปัตยกรรมไทยที่ยังคงทนถาวร ได้รับการออกแบบเป็นศาสนสถาน เช่น ปราสาทหินในสมัยลพบุรีที่พบได้ อาทิ ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินศรีขรภูมิ มีอายุการใช้งานทนทานกว่าศตวรรษ
ซึ่งเป็นการสร้างอาคารเพื่อเป็นพุทธบูชาและเทวบูชา ดังนั้นการออกแบบจึงเน้นรูปทรงไปทางตั้ง เพื่อให้ได้ลักษณะที่สูงเด่นกว่าอาคารอื่น ๆ ทำให้เกิดลักษณะของสถาปัตยกรรมเครื่องยอดชนิดต่าง ๆ ขึ้นมา
เครื่องยอดต่าง ๆ จะนำไปใช้เฉพาะเป็นองค์ประกอบของอาคารที่ออกแบบโดยเน้นส่วนหลังคา เรียกว่า หลังคาเครื่องยอด เป็นหลัก ตัวอย่างเช่น บุษบก มณฑป แต่ก็ยังสามารถนำเครื่องยอดผนวกเข้ากับอาคาร เป็นส่วนของหลังคาเพื่อเน้นความสำคัญ
เช่น การใช้เครื่องยอดประกอบกับตัวอาคารในงานสถาปัตยกรรมไทย หน้าบันทรงเครื่องลำยองที่ออกแบบเป็นจัตุรมุข ชั้นลดต่าง ๆ ตั้งแต่ ๓ ชั้นขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อแสดงความเป็นปราสาทที่ประทับของเทพเจ้าหรือกษัตริย์ ดังนั้นเครื่องยอดจึงได้รับการออกแบบให้อยู่ในรูปแบบที่มีข้อกำหนดทางฉันทลักษณ์หลายชนิด เช่น ๑. เครื่องยอดปล้องไฉน ๒. เครื่องยอดบัวกลุ่ม ๓. เครื่องยอดทรงมงกุฎ (ทรงชฎา ทรงพระเกี้ยว) ๔. เครื่องยอดบันแถลง (ทรงจอมแห) ๕. เครื่องยอดทรงปรางค์ ๖. เครื่องยอดเจดีย์เหลี่ยมย่อไม้สิบสอง ๗. เครื่องยอดเบ็ดเตล็ด.
ผู้เขียน : รองศาสตราจารย์ ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ราชบัณฑิต ประเภทสถาปัตยศิลป์ สาขาวิชาสถาปัตยกรรม สำนักศิลปกรรม ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๑๕๙, สิงหาคม ๒๕๔๗ ขอขอบพระคุณค่ะ
สิริสวัสดิ์โสรวาร สิริมารรมเยศค่ะ
Create Date : 31 กรกฎาคม 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 2 สิงหาคม 2553 16:34:43 น. |
Counter : 2193 Pageviews. |
|
|
|