หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา
หม่อม เจ้าศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา (นามเดิม เจ้าศรีพรหมา ณ น่าน) เกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 พระธิดาในพระเจ้าสุริยะพงศ์ผริตเดช เจ้าประเทศราชผู้ครองนครน่าน กับหม่อมศรีคำ (ชาวเวียงจันทน์)
เป็นพระชายาในหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ กสิกร มีนักวิชาการ /ผู้รู้ เสนอบทความต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อม เจ้าศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำแฮม และเบคอน เป็นต้น
ประวัติ
เจ้าศรีพรหมาเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 เป็นพระธิดาในพระเจ้าสุริยะพงศ์ผริตเดช เจ้าประเทศราชผู้ครองนครน่าน กับหม่อมศรีคำ (ชาวเวียงจันทน์) มีเชษฐาและภคินีร่วมพระมารดา 5 องค์ เป็นโอรส 3 องค์ (สิ้นชนม์ชีพหมด) ธิดา 2 องค์ คือ เจ้าบัวแก้ว ณ น่าน และเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน (ซึ่งเป็นองค์สุดท้อง)
พระยามหิบาลบริรักษ์ (สวัสดิ์ ภูมิรักษ์) และคุณหญิงอุ๊น ภริยา ได้ทูลขอเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน เป็นบุตรบุญธรรมเมื่อชันษาได้ 3 ปีเศษ ตามพระบิดาและมารดาบุญธรรมไปกรุงเทพ เข้าศึกษาที่โรงเรียนสุนันทาลัย เป็นเวลา 5 เดือน และโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง (โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) 8 เดือน
ปี พ.ศ. 2442 พระยามหิบาลฯ และภริยา ต้องเดินทางไปรับราชการที่ประเทศรัสเซีย จึงต้องถวายตัวเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ไว้ในพระอุปการะสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5
เจ้าศรีพรหมา ณ น่าน จึงใช้ชีวิตและเรียนหนังสืออยู่ในวังกับเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ เป็นเวลา 3 ปี ต่อจากนั้นจึงตามพระยามหิบาลฯ และครอบครัวไปอยู่ที่ประเทศรัสเซีย และประเทศอังกฤษ ตามลำดับ
หลังจากกลับจากต่างประเทศ ก็กลับเข้ารับราชการ ในพระราชสำนักของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในหน้าที่นางสนองพระโอษฐ์ ในบางครั้งยังทำหน้าที่เป็นล่ามติดต่อกับชาวต่างประเทศ
มีเรื่องเล่าว่า "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ทรงพึงพอพระราชหฤทัย ถึงกับทรงออกพระโอษฐ์ ตรัสขอเจ้าศรีพรหมาด้วยพระองค์เอง ให้รับราชการในตำแหน่งเจ้าจอม
เจ้าศรีพรหมาได้กราบบังคมทูลพระกรุณาปฏิเสธเป็นภาษาอังกฤษว่า ท่านเคารพพระองค์ท่าน ในฐานะพระเจ้าอยู่หัว แต่มิได้รักใคร่พระองค์ในทางชู้สาว"
ในกราบบังคมทูลปฏิเสธ โดยเลี่ยงไม่ใช้ภาษาไทย แต่กลับใช้ภาษาอังกฤษ" เป็นการง่ายต่อการกราบบังคมทูลปฏิเสธ และไม่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท รัชกาลที่ 5 ก็ทรงเมตตาให้เป็นไปตามอัธยาศัย
เรื่องความกล้าของเจ้าศรีพรหมาครั้งนี้ และพระมหากรุณาของรัชกาลที่ 5 ที่มีต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมา มิทรงได้ถือโทษ ยังพระราชทานเมตตาต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมาตราบจนเสด็จสวรรคต
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนามเจ้าศรี เป็น "เจ้าศรีพรหมา" ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 ทรงขอเจ้าศรีพรหมาให้อภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เจ้าศรีพรหมาจึงมีฐานะเป็น หม่อมศรีพรหมา มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์อนุพร และหม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี
หม่อมเจ้าสิทธิพร ซึ่งรับราชการในตำแหน่งอธิบดี ในกระทรวงเกษตร ถวายบังคมลาออกจากราชการซึ่งก็ถูกห้ามปรามอย่างมาก ทั้งสองพระองค์ประกอบอาชีพเกษตรกรรม อยู่ที่อำเภอบางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เริ่มทำการเกษตรบนที่ดินของหม่อม เจ้าศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา ที่ได้รับเป็นมรดกจากท่านเจ้าคุณมหิบาลฯ โดยปลูกผักสวนครัว พืชไร่ เลี้ยงไก่ สุกรพันธุ์เนื้อ และโคนม และต่อมาขยายกิจการเป็นฟาร์ม
มีผลผลิตประสบความสำเร็จครั้งแรกของไทย ฟาร์มนี้ยังเป็นสถานีทดลองทางการเกษตรที่มีผลต่อ กสิกรรมในวงกว้าง เป็นผลทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ของไทย
ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ กสิกร มีนักวิชาการ /ผู้รู้ เสนอบทความต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย นอกจากนี้ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อม เจ้าศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำแฮม และเบคอน เป็นต้น
ซึ่งหม่อม เจ้าศรีพรหมานับเป็นคนไทยคนแรกที่ทำหมูแฮมและเบคอนได้ในประเทศไทยในสมัยที่ยังไม่มีตู้เย็น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้หม่อมเจ้าสิทธิพรกลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมตรวจกสิกรรม กระทรวงเกษตร เจ้าศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยาจึงต้องติดตามมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย
ซึ่งในวาระที่หม่อมเจ้าสิทธิพรดำรงตำแหน่งอยู่ กรมตรวจกสิกรรมสามารถส่งข้าวเข้าประกวดได้รางวัลชนะเลิศเป็นที่ 1 ของโลก
แต่ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องออกจากราชการ และเกิดกบฏบวรเดช ซึ่งพระเชษฐา คือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชทรงเป็นหัวหน้าในการก่อการแย่งชิงอำนาจกลับคืนจากคณะราษฎรผู้ปกครองแผ่นดิน ซึ่งเปลี่ยนระบบการปกครองระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมก่อการด้วย แต่การก่อการไม่สำเร็จ ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องโทษจำคุกตลอดพระชนม์ชีพ ที่เกาะตะรุเตา และเกาะเต่า ภายหลังได้รับพระราชทานนิรโทษกรรม จึงจำคุกเพียง 11 ปี หม่อม เจ้าศรีพรหมาต้องรับภาระหนักทั้งเลี้ยงดูโอรสธิดา ดูแลกิจการที่อำเภอบางเบิด และ ตามไปส่งอาหารและยาให้หม่อมเจ้าสิทธิพรตามสถานที่ต่างๆ ที่ถูกคุมขังไว้
ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ หลังจากหม่อมเจ้าสิทธิพรพ้นโทษแล้ว ก็ได้ทรงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ถึง 2 สมัย หม่อม เจ้าศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา จึงได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งหม่อมเจ้าสิทธิพรสิ้นชีพิตักษัย เมื่อ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514
หม่อม เจ้าศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา จึงได้ผลักดันให้เกิด มูลนิธิสิทธิพร กฤดากร เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ของหม่อมเจ้าสิทธิพร และส่งเสริมการจัดตั้งโรงเรียนเพื่อประโยชน์ทางการเกษตร
เจ้าศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2521 รวมอายุได้ 90 ปีเศษ อัฐิของท่านได้นำมาบรรจุไว้ที่ ณ วัดชนะสงครามร่วมกับพระอัฐิของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร
หนังสืออัตชีวประวัติ ได้มีการพิมพ์หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2522 โดยการจัดทำของ ส.ศิวรักษ์ แบ่งเป็นสี่ภาค คือ ประวัติ,ข้อเขียนของท่าน,บทสัมภาษณ์ และ จาก กสิกร
และมีการตีพิมพ์ใหม่ในปี 2550 โดยคงโครงและเนื้อหาเดิมไว้เกือบทั้งหมด แต่ตั้งชื่อหมวดใหม่
คือ ประวัติเจ้าศรีพรหมา เรียบเรียงโดย ส.ศิวรักษ์ อัตชีวประวัติ สัมภาษณ์หม่อมศรีพรหมา กฤษดากร การถนอมอาหาร จากหนังสือพิมพ์กสิกร ตามลำดับ
และเพิ่มภาคผนวก เล่าเรื่องแม่ ของ ม.ร.ว. เพ็ญศรี กฤดากร เข้าไว้ด้วย
มีภาพเจ้าศรีพรหมา งามมาก...ภาพขาวดำ เจ้าสวมเสื้อประดับลูกไม้ฟูฟ่อง สวมสายสะพาย...เอียงหน้า-- (วินิติ์ศิริ) ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายให้ด้วยฝีพระหัตถ์และทรงตั้งไว้ในห้องพระบรรทม ...
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
..............................................
ในอัตชีวประวัติของท่าน เล่าถึงชีวิตแต่ครั้งเยาว์วัยสมัยครั้งอยู่นครน่าน ในครั้งกระนั้น หม่อมศรีพรหมา มีชื่อเล่นว่า "จอด" เจ้าพ่อเป็นคนตั้ง แต่บ่าวรับใช้จะเรียกว่า "อีนายจอด"
ท่านเล่าว่า ก่อนที่พระพรหมสุรินทร์จะรับตัวท่านไปเป็นบุตรบุญธรรม ท่านได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า "คืนนี้เขาจะมาเอาตัวอีนายไป" แม้จะเป็นเด็ก รู้ตัวว่าจะถูกพรากจากพ่อแม่ ไม่รู้ว่าจะต้องไปประสบชะตากรรมอย่างไร แต่ท่านกลับสามารถสะกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้ ท่านบันทึกไว้ดังนี้
"ข้าพเจ้ารู้สึกใจหาย และรู้ในจิตสำนึกว่า จะต้องเป็นพระพรหมสุรินทร์และคุณนาย ที่จะมาเอาตัวไป ข้าพเจ้าไม่แสดงให้ใครทราบว่าข้าพเจ้ารู้ แต่ข้าพเจ้ามุดเข้ามุ้ง ทำเป็นนอนหลับ ไม่ออกไปวิ่งเล่นอย่างเคย ข้าพเจ้านอนคว่ำ เอามือยึดหูเบาที่จะนอนไว้แน่น.."
"แต่ไม่ร้องไห้ กลัวใครจะว่าอ่อนแอ"
ขอขอบคุณ
เรื่องและภาพ โดย อุณากรรณ Romanticgals //www.romanticgals.net
อาทิตยวารสิริสวัสดิ์ ปรีดิ์มนัสรมณีย์ค่ะ
Create Date : 16 ตุลาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 3 มกราคม 2555 1:48:50 น. |
Counter : 2975 Pageviews. |
|
|
|