ส่งท้ายปี 2013 บีบีซีรายงานการจัดอันดับ 10 หนังเยี่ยมแห่งปี โดย "ลิซา ชวาร์ซบาม" นักเขียนและนักวิจารณ์ภาพยนตร์ในนิวยอร์ก มีดังนี้
1. อินไซด์ เลอวีน เดวิส (Inside Llewyn Davis)
ผลงานของพี่น้องตระกูลโคเฮน โจเอลและอีธานได้รับเลือกให้อยู่ในอันดับ 1ตามมาตรฐานของการวิเคราะห์ หรือแม้แต่ด้านตรรกะ ซึ่งถ้าพิจารณาจากความเท่าเทียมทางคุณสมบัติแล้ว อันดับหนึ่งสมควรเป็นการถ่ายทอดความรักที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยความเหมาะสมใดๆ
เรื่องราวเกี่ยวกับนักดนตรีเพลงโฟล์กที่ต้องการประสบความสำเร็จและดำเนินชีวิตอยู่ในมหานครนิวยอร์กในช่วงปี1960ชีวิตของ เลอวีนเดวิส ชายหนุ่มผู้มีอารมณ์ฉุนเฉียวและก่อเรื่องให้กับตัวเองและคนรอบข้างได้ตลอดเวลา ต้องเผชิญกับเรื่องที่ทั้งดีบ้างร้ายบ้างในเวลาเดียวกัน
ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดว่ามีเพลงประกอบที่ไพเราะขับร้องโดยนักแสดงนำ ออสการ์ ไอแซก ผู้รับบทเลอวีน เดวิสได้อย่างน่าดึงดูดใจ ระหว่างถ่ายทอดความไร้เยื่อใยของคนเป็นพี่น้องกัน ที่น่าแปลกใจก็คือ หัวใจเลอวีนนั้นมีความอ่อนโยนอยู่
2. อเมริกัน ฮัสเซิล (American Hustle)
กำลังดังอยู่ในโรงภาพยนตร์ตอนนี้ หนังที่ถ่ายทอดความหยาบคาย เซ็กซี่และเล่ห์กล ซึ่งผู้กำกับ เดวิด โอ รัสเซล นำเสนอผ่านตัวละครหลัก ซึ่งเป็นนักต้มตุ๋นมีฉกาจที่มีกลอุบายอันแยบยลชาวอเมริกันในช่วงยุคปลายปี 1970 ที่ต้องเข้าร่วมขบวนการล่อจับนักต้มตุ๋นด้วยกันเอง
เรื่องราวของผู้ชายและผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต้องใช้กลโกงของตัวเองในการเอาชีวิตรอดและใช้การสืบสวนเพื่อต่อต้านการทุจริตของเอฟบีไอทั้งมีนักแสดงฝีมือฉกาจหลายคนรวมตัวกันในภาพยนตร์เรื่องเดียวขณะที่เสื้อผ้าหน้าผมจัดเต็มอีกด้วย
3. บีฟอร์ มิดไนต์ (Before Midnight)
น่าทึ่งมากสำหรับหนังที่สร้างต่อจากภาคแรกเมื่อ18 ปีที่แล้ว Before Sunrise โดยได้เห็น อีธาน ฮอว์ก รับบท เจสส์ เด็กหนุ่มชาวอเมริกันที่เดินทางมาเที่ยวยุโรป และได้พบกับเซลีน ที่รับบทโดย จูลี เดพลี สาวชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเจสส์ในคืนหนึ่งที่เวียนนา
ใน บีฟอร์ มิดไนต์ เราจะได้เห็นเจสส์และเซลีนซึ่งเดินทางไปยังประเทศกรีซ พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่จริงจัง ทั้งจุดเปลี่ยนของชีวิต ความสัมพันธ์กับครอบครัวและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ที่ต้องการจะรักษาไว้ด้วยความเข้าใจที่มีระหว่างกันและกัน
นอกจากความสัมพันธ์ในหนังแล้วความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงนำทั้งหญิงและชายและผู้กำกับ ริชาร์ด ลิงก์เลเทอร์ และการช่วยกันเขียนบทตัวละครยังถือเป็นความสัมพันธ์ที่เยี่ยมยอดและยืนยาวอีกด้วยในชีวิตจริง
4. เดอะ เกรต บิวตี้ (The Great Beauty)
ผู้กำกับ เปาโล ซอร์เรนติโน นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศอิตาลีบ้านเกิด เพื่อสดุดียอดผู้กำกับฯ อมตะของโลก เฟเดริโก เฟลลินี ที่สร้างผลงานมาสเตอร์พีซใน La Dolce Vita แต่ซอร์เรนติโนจับเอามุมความเน่าเฟะของการเมือง เสนอผ่านมุมมองที่อ่อนโยนและน่าเศร้าของสังคมวัยชราที่สับสน สวยงาม และร้ายกาจ
โทนี แซร์วิลโญ่ นักแสดงรุ่นใหญ่เข้ามารับบทนำในการดำเนินเรื่องราวของอดีตนักเขียนที่เขียนเรื่องของชีวิตปาร์ตี้ในกรุงโรมและอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์สุดหรูที่มองออกไปเห็นสนามกีฬาสมัยโรมันโคลีเซียมด้วยภาพและเสียงที่งดงาม และเพลงประกอบที่น่าประทับใจทำให้ เดอะ เกรต บิวตี้ เป็นความงดงามตามชื่อภาพยนตร์อย่างแท้จริง
5. เฮอร์ (Her)
เรื่องราวของผู้ชายที่ตกหลุมรักกับระบบปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้พูดคุยเป็นเพื่อนกับผู้ใช้งาน ก่อนที่ทั้งชายวัยกลางคนและเอไอจะตกหลุมรักกันและจะต้องจากกันในท้ายที่สุด ภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าที่งดงามในโลกอนาคตของผู้กำกับ สไปก์ โจนส์ นำเสนอปรัชญาที่ลึกซึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ความโดดเดี่ยว และการแสดงออกถึงความรู้สึกทางเพศ และเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์และเอไอ
ด้วยการแสดงของ ควาคีน ฟีนิกส์ ในบทธีโอดอร์ ชายที่กำลังจะหย่ากับภรรยาในชีวิตจริง แต่กำลังตื่นเต้นกับความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับเอไอที่ให้เสียงโดย สการ์เลต โจแฮนสัน ทำให้เราอาจลืมไปเลยว่าในหลายฉากในเรื่องนี้ เรากำลังนั่งดูนักแสดงชายปรากฏตัวอยู่ที่หน้าจอคนเดียว หนังเรื่องนี้ยังนำเสนอเรื่องราวความรักอกหักที่อยู่บนพื้นฐานของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างน่าสนใจ
6. อะ ทัช ออฟ ซิน (A Touch of Sin)
ภาพยนตร์ของ เจีย จางเก๋อ นำเสนอภาพการคอร์รัปชั่น ความโลภ และการล่มสลายทางวัฒนธรรมในประเทศจีน หลังการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่และการเข้าสู่ระบบโลกาภิวัตน์ เจียนำเสนอมุมมองที่แตกต่างจากภาพยนตร์แนวสารคดีเล่าเรื่องแบบเดิมของเขาอย่างสิ้นเชิง
และตีประเด็นตรงไปที่เรื่องที่ตนเองมองว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศตัวเอง ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงของบทบาทแต่ละตัวในหนัง ทั้งคนงานเหมืองที่ทนการทุจริตไม่ได้ คนงานต่างชาติที่หนีเอาชีวิตรอดและผู้หญิงผู้ชายที่อับอายกับการไม่มีงาน ผลงานนี้ถือเป็นใบเบิกทางที่ทำให้เจียในวัย 43 ปี ได้รับการจัดให้เป็นคนทำหนังในระดับแนวหน้าในวงการ
7. ดิ แอกต์ ออฟ คิลลิง (The Act of Killing)
เป็นหนึ่งในภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมที่สุดในปีนี้เรื่องหนึ่งโดยผู้กำกับโจชัว ออปเปนไฮม์เมอร์ ติดต่อไปยังอดีตนักฆ่าและหัวแถวนักเลงโตคนหนึ่งในอินโดนีเซีย ซึ่งเคยเป็นผู้นำกลุ่มนักฆ่าชื่อดังทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราในช่วงการโค่นอำนาจของอดีตประธานาธิบดีซูการ์โนช่วงกลางทศวรรษ 1960
หนังสะท้อนภาพในจินตนาการของนักฆ่าคนดังกล่าวซึ่งตอนนี้กลายเป็นชายชราที่มีลูกมีหลานและนั่งฟังเพลงของเอลวิสเพรสลีย์โดยหลังจากที่ย้อนภาพไปดูสิ่งที่ตัวเองทำในจินตนาการแล้ว นักฆ่าคนดังกล่าวเริ่มกลัวบาปและเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเหยื่อ ซึ่งรู้ว่ากำลังจะถูกฆ่า หนังแสดงอารมณ์หวาดกลัวต่อการกระทำอันโหดร้ายของตัวเองในอดีต และดึงเอาอารมณ์ที่ลึกที่สุดในใจออกมาจนได้
8. ฟรุตเวล สเตชั่น (Fruitvale Station)
ภาพยนตร์ดราม่าที่จำลองเหตุการณ์จริงในวันสุดท้ายของ ออสการ์ แกรนต์ ชายชาวแอฟริกันอเมริกันวัย 22 ปี ก่อนที่เขาจะถูกยิงเสียชีวิตโดยตำรวจผิวขาว ในเหตุการณ์ปราบจราจลในคืนวันขึ้นปีใหม่ที่สถานีรถไฟ ฟรุตเวล สเตชั่น ในโอ๊คแลนด์ แคลิฟอร์เนียเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ผู้กำกับ ไรอัน คูกเลอร์ สร้างภาพตัวละครหลักที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี ซึ่งเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งที่มีทั้งข้อดี และข้อเสีย มีครอบครัว มีแฟน และมีลูกเล็กๆอีกคนหนึ่ง และในชีวิตของเขามีทั้งความตั้งใจที่จะทำเรื่องดีๆ การตัดสินใจที่ผิดพลาดไปจนถึงความสุขเล็กๆน้อยๆ และการลองทำอะไรที่ท้าทาย
นอกจากนี้การใช้ชื่อสถานที่เกิดเหตุเป็นชื่อหนังยังทำให้เกิดความรู้สึกเคว้างคว้างแต่กลับลงลึกในรายละเอียดทั้งนี้ต้องชมการแสดงของไมเคิลบีจอร์แดน ในบทแกรนต์ และนักแสดงประกอบคนอื่นๆที่ร่วมแสดงความเศร้าและอารมณ์โกรธไปด้วยกันด้วย
9. ออล อิส ลอสต์ (All Is Lost)
มาในแนวเฒ่าทะเล ที่นักแสดงอย่าง โรเบิร์ต เรดฟอร์ด เอาอยู่ ในการแสดงอย่างโดดเดี่ยวลำพังในมหาสมุทรอินเดีย ก่อนที่เรือจะล่มและต้องพยายามเอาชีวิตรอดบนแพยาง เป็นภาพยนตร์ที่เร้าใจ เจ็บปวดและน่ากลัว ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยปรัชญาที่บางทีก็จับต้องได้ของนักผจญภัย
นอกจากนี้หนังยังนำเสนอการต่อสู้ของคนที่ต้องการค้นหาคำตอบของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน การเอาตัวรอดในสถานการณ์เสี่ยงตาย ทำให้หนังเป็นประสบการณ์ที่นำไปความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ในตอนจบของเรื่อง นอกจากนี้การแสดงอย่างทุ่มเทของพระเอกวัย 77 ปี ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังสนุกด้วย
10. อีนัฟ เซด (Enough Said)
เรื่องราวของหญิงสาววัยกลางคนที่หย่ากับสามีและต้องอยู่อย่างเดียวดาย หลังจากที่ลูกสาวย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัย บทนำฝ่ายหญิงที่แสดงโดยจูเลีย ลุยซ์ ไดรฟัส หญิงสาววัยกลางคนที่ผ่านการหย่าร้าง และไม่แน่ใจว่าจะพบรักใหม่หรือไม่ มาพบกับชายวัยกลางคนที่ทั้งโรแมนติก อกหักและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรี แสดงโดยดาราผู้ล่วงลับ เจมส์ กัลโดลฟินี
ฝ่ายหญิงต้องเรียนรู้ที่จะไว้ใจ และเป็นคนที่น่าไว้ใจ อยู่ในสภาวะที่ต้องหาทางออกให้กับความสัมพันธ์ระหว่างชายที่ตนตกหลุมรักกับเพื่อนใหม่ โดยที่ไม่รู้ว่าทั้ง 2 คนเคยเป็นคู่สามีภรรยากัน
เรื่องนี้ผู้กำกับ นิโคล โฮโลฟเซเนอร์ ทำหนังรักแบบผู้ใหญ่ให้ออกมาดูดี และยังเน้นเรื่องความเป็นเพื่อนระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิงด้วยกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการในการพัฒนาความสัมพันธ์ด้านอารมณ์ของตัวละครและความคิดสร้างสรรค์ของผู้กำกับออกมาได้เป็นอย่างดี