TAIWAN TRIP : เที่ยวไต้หวัน ฮัวเหลียน ไถตง แบบจัดเต็ม! สวัสดีค่ะวันนี้ premiumworldtour.info ขอพาเพื่อนๆ ไปสัมผัสกับขุนเขา และกลิ่นอายของท้องทะเล ที่เมือง ฮัวเหลียน ไถตง แบบจัดเต็มไม่ว่าจะเรื่องท่องเที่ยว หรือเรื่องอาหาร ขอบอกเลยว่าเพื่อนๆต้องตกหลุมรักเมืองนี้แน่ๆ ตามไปเที่ยวกับพวกเราได้เลย : ) การเดินทางครั้งนี้เราไปกับ Thaivietjet เครื่องบินแอร์บัส A320 เที่ยวบินที่ vz 3562 โดยที่บินไปลงสนามบิน ฮัวเหลียน ซึ่งเป็นการเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ เราบินไปถึงสนามบินฮัวเหลียน เวลา 21.00 น. ซึ่งใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง โดยที่เวลาที่จะเร็วกว่าที่บ้านเรา 1 ชั่วโมง ภายในเครื่องโดยรวมถือว่าดีทีเดียวเลย ที่นั่งจะเป็นแบบ 2 ฝั่ง ฝั่งละ 3 ที่นั่ง มีทั้งหมด 31 แถว สำหรับเพื่อนๆที่รูปร่างใหญ่ บอกเลยว่าที่นั่ง นั่งสบายมาก ชุดของลูกเรือจะออกแนวคล้ายๆกับชุดลูกเสือของบ้านเราเลย น่ารักตะมุตามิไปอีกแบบจ้า เนื่องจากเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์จึงมีการแจกน้ำดื่มให้กับผู้โดยสารค่ะ เพื่อนๆคงสงสัยว่ามีรถดับเพลิงฉีดน้ำทำไม!! เราได้บอกไปตอนต้นแล้วเป็นการเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ เที่ยวแรกที่บินจากไทยสู่ฮัวเหลียน ตามความชื่อของคนที่นั้น การฉีดน้ำถือว่าเป็นมงคล จึงการนำรถดับเพลิงฉีดน้ำทั้งสองฝั่งของเครื่องบินจอดจะให้ผู้โดยสารลงจากเครื่อง อีกภาพประทับใจของพวกเรา คือความน่ารักของเมืองนี้ คือมีเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวและผู้ว่าราชการจังหวัดได้มารอต้อนรับพร้อมแจกของที่ระลึกผู้ที่มากับเที่ยวบินนี้ อาหารมื้อแรกของเราที่ฮัวเหลียน รสชาติของอาหารสำหรับมื้อนี้จะออกจืดๆหน่อย โดยจะเน้นไปทางผักจำพวกต้นหอม และหัวหอม แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ หน่อไม้ที่ราดด้วยมายองเนสเท่านั้นยังไม่พอ โรยด้วยเกล็ดเรนโบว์ ถือว่าเป็นของทานเล่นที่อร่อยเลยทีเดียว ตบท้ายด้วยผลไม้ที่หวานฉ่ำ คืนแรกและคืนที่ 2 พวกเราจะพักกันที่ โรงแรม F Hotel เป็นห้องแบบนอนพักได้ 4 คน เตียงขนาด 5 ฟุต ภายในห้องมีตู้เย็นพร้อมน้ำดื่มไว้ให้บริการ สำหรับสาวๆที่ชอบสระผมที่นี้ก็มีไดร์เป่าผมไว้ให้ใช้บริการอีกด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยคือไวไฟที่ถือว่าแรงเอาเรื่องอยู่ ปลั๊กไฟที่นี่เป็นแบบขาแบนเหมือนบ้านฉะนั้นมาเที่ยวที่นี่สบายใจเรื่องการชาร์จแบตกันไปได้เลย วันที่ 1 อาหารในตอนเช้าถือว่าเป็นแบบสากล มีทั้งอาหารฝรั่งและอาหารพื้นเมืองให้ผู้เข้าพักได้เลือกรับประทานกันแบบจุใจกันไปเลย โดยรวมของรสชาติอาหารถือว่าโอเคในระดับนึงเลยทีเดียว สถานที่แรกที่พวกเราแวะถ่ายรูปกัน คือประตูทางเข้า อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ หรือไทหลู่เก๋อ (Taroko National Park) ด้านล่างจะเป็นแม่น้ำที่มีแต่ก้อนหิน เนื่องจากไต้หวันเป็นเมืองที่มีแต่หิน ฉะนั้นจึงไม่มีดินไว้สำหรับอุ้มน้ำ แม่น้ำจึงดูแห้ง ด้านรอบ ๆจะเป็นภูเขาที่เขียวขจี ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อยู่มากๆ นั่งรถอีกไม่นานก็มาถึงอุทยานแห่งชาติทาโรโกะ หรือไทหลู่เก๋อ (Taroko National Park) ซึ่งที่นี่มีกฎอยู่คือ ต้องใส่หมวกก่อนเข้าถ้ำเนื่องจาก อาจมีหินล่วงหล่นลงมาได้จึงต้องป้องกันไว้ก่อน เมื่อเดินไปถึงกลางทางจะเจอบรรดาเหล่านกนางแอ่นที่ทำรังอยู่บนหน้าผาสูงชัน บินไปบินมาเพื่ออวดโฉมให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้เห็น ตลอดทางจะเห็นแม่น้ำขนาบข้างทางตลอด มีลมพัดอ่อนๆ มีภูเขาที่โอบกอดเราอยู่ตลอดทาง ถือว่าเป็นที่ที่สุดประทับใจอีกที่หนึ่งเลยทีเดียว .. เลยมาจากถ้ำอีกหน่อยก็เจอมาพบกับศาลาเจ้าชายกบ เป็นจุดชมวิวอีกที่ ที่มีความสวยงาม ไฮไลท์แห่งนี้คือการที่เราได้มาถ่ายรูปจูจุ๊บ!!! กับเจ้าชายกบ เนื่องจากมีช่องลมระหว่างภูเขา ลมที่นี่จึงค่อนข้างแรงมาก ระหว่างทางที่จะไปทานข้าวเราก็แวะกันที่ ศาลเจ้าฉางชุน-น้ำตกฉางชุน อีกหนึ่งจุดชมวิว ด้านล่างของจุดชมวิวจะมีร้านกาแฟเล็ก ๆ ไว้ให้บริการนั่งท่องเที่ยวให้มานั่งจิ๊บกาแฟยามบ่ายพร้อมสูดกลิ่นอายธรรมชาติแบบเต็มปอดกันไปเลย
หลังจากที่เราไปเดินมาจนเหนื่อย เราแวะทานอาหาร ร้านอาหารร้านนี้ถูกจัดเป็นแบบอาร์ตๆ มีกลิ่นหอมของตะไคร้บาง ๆ และอาหารจะออกเป็นแบบพื้นเมืองชาวเขา รสชาติอาหารก็จะเป็นแบบชาวเขาแท้ๆ สำหรับเพื่อนๆที่ชอบแนวนี้ขอแนะนำเลยว่านี้เด็ดมากกก เรากินข้าวกันเสร็จก็มาหาย่อยกันโดยการไปปั่นจักรยานรอบ ๆ ทะเลสาบปลาคคาร์ฟ (Liyu Lake) หรือภูเขาหลี่หยี น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำผุด ที่ใสสะอาดตลอดทั้งปีไม่มีเหือดแห้ง โดยที่เราจะปั่นกันรอบทะเลสาบเป็นระยะทางประมาณ 5 กิโล โดยระหว่างจะมีจุดพักให้กับเพื่อนๆ ได้พักและชมวิวของทะเลสาบปลาคคาร์ฟ ตกเย็นเรามาทานข้าวเย็นกัน บรรยากาศในร้านจะเป็นออกแนวจีนๆ รสชาติก็จะเป็นแบบจืดๆหน่อยตามสไตล์ของคนจีน เมนูเด็ดมื้อนี้เป็นเป็นผัดเส้นที่มีความอร่อย เส้นจะนุ่มๆเหนี่ยวคล้ายๆเส้นใหญ่ รับรองมื้อนี้ถูกปากคนไทยแน่ ๆ หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ เราออกตามล่าหาเส้นรางรถไฟเก่ากัน รอบ ๆ บริเวณนั้นจะคล้ายๆกับสยามบ้านเราเลย ถือเป็นจุดรวมวัยรุ่นเลยก็ว่าได้
นอกจากนั้นยังไม่พอ ตลอดเส้นทางจะมีร้านขายของไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง บอกเลยว่าราคาไม่แรงอยากที่คิด เหมาะกับการมาช้อปปิ้งมากกก เช้าวันที่ 2 ของเราหลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าสู่ทะเลแปซิฟิกนั่นเอง ถือเป็นสวรรค์ของปลาวาฬและปลาโลมา ที่มาอาศัยอยู่ประมาณ 20 ชนิด การออกทะเลชมปลาวาฬ และปลาโลมา โอกาสที่จะได้ชมนั้นมีถึง 95% จึงทำให้ทะเลนอกฝั่งของฮัวเหลียนนั้นเป็นแหล่งชมปลาโลมาที่เป็นที่นิยมที่สุดของไต้หวัน หลังจากออกจากท่าเรือได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็มาพบกับฝูงปลาโลมาประมาณ 2-3 ฝูง ว่ายแข่งกับเรือของเรา พลัดกันโชว์ตัวแทบอยากจะกระโดดลงไปเล่นกับปลาโลมาเลยทีเดียว เนื่องจากช่วงนี้แพลงก์ตอนน้อยจึงไม่พบกับปลาวาฬ อยากบอกว่าน้ำทะเลที่นี่ใสมากกกก จึงเห็นตัวปลาโลมาว่ายลอดใต้ท้องเรือแบบชัดๆกันเลย ระหว่างที่เราจะไปกินข้าวเที่ยวกัน ก็จะพบกับทะเลและภูเขาตลอดสองฝั่งข้างทาง เหมือนกับภูเขาได้โอบกอดเราไว้พร้อมกับกลิ่นอายทะเลแบบบาง ๆ พอตกบ่าย!! ท้องก็เริ่มร้อง อาหารร้านนี้อร่อยถูกปากสำหรับใครหลายๆคนแน่ อาหารจานเด็ดที่นี่ขอยกให้กับขาหมูที่มีรสชาติกลมกล่อม ถ้ากินกับไข่ตุ๋นด้วยรับรองต้องร้องซี๊ดดดด !!! กันทีเดียว ถ้าใครกลัวอ้วนอาหารอีกอย่างที่จะแนะนำจะเป็นปลาทอดราดด้วยน้ำซอสกินคู่กับน้ำซุปร้อนๆ ขอบอกว่าฟินสุดๆไปเลยเจ้าข้า.. หลังจากหนังท้องตึงเราก็มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราไปจุดชมวิว คือสะพาน 8 โค้งและเกาะซานเซียนไถ ที่เชื่อกันว่า เซียนสามในแปดองค์เคยมาพำนักอยู่บนเกาะแห่งนี้ และสะพานแปดโค้งถือเป็นตัวแทนของมังกรที่ไปคาราวะเซียนทั้งสามองค์ บริเวณชายหาดจะเป็นหินก้อนสีดำทั้งหาดถือเป็นจุดชมวิวที่สวยอีกหนึ่งจุดที่น่าจะโดนใจใครหลายๆคน นั่งรถต่อมาอีกไม่นานก็จะถึงสถานที่จัดแสดงศิลปะที่อยู่ริมทะเล จุดชมวิวเจียลู่หลัน เกิดจากแรงบันดาลใจของคนทำงานศิลปะ ให้เพื่อนๆได้ถ่ายรูปกับงานศิลป์แบบอาร์ตๆ เหมาะกับการมาพักผ่อนและชมวิวยามเย็น คืนที่ 3 ของเราต้องฝากตัวไว้กลับ Chihpen Century Hotel นอกจากที่นี่จะอากาศดีแล้ว วิวรอบๆโรงแรมก็ยังสวยอีกต่างหาก ถ้ายังจุใจ แถมอีกอย่างที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่สุดสำหรับวันนี้ต้องยกให้กับออนเซ็นธรรมชาติแบบ outdoor เหมือนกับยกออนเซ็นที่ญี่ปุ่นมาไว้ที่นี่ทีเดียวเลย เมื่อชมความสวยงามของโรงแรมนี้เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปต่อที่อาหารของโรงแรมนี้กัน อาหารที่นี่รสชาติจะเข้มข้นขึ้นมาหน่อยเพื่อให้ถูกปากกับคนไทย กุ้งที่นี้ตัวใหญ่มากก แถมรสชาติไม่ต้องพูดถึง หวาน อร่อย นอกจากนั้นยังไม่พอ ปลากะพงตัวโตๆเนื้อแน่นๆมาเสริฟพร้อมกับไวน์รสชาติดี ตบด้วยน้ำซุปที่หอม หวานให้ชวนลิ้มลอง ถ้าใครมาแล้วไม่ได้พักหรือทานอาหารที่นี่ถือว่าพลาดมากเลยค่ะ ภายในห้องพักเป็นแบบเตียงคู่ 5 ฟุต นอนได้ถึง 4 คน เหมาะกับการมากับเพื่อนหรือพาครอบครัวมาพักผ่อน ด้านข้างจะมีระเบียงเมื่อเปิดออกมาจะเห็นวิวที่เป็นภูเขาเขียวขจีกับอากาศที่บริสุทธิ์ ภายในห้องมีตู้เย็นพร้อมน้ำดื่มและชาไว้ให้บริการ นอกจากนั้นเพื่อนๆคนไหนที่ชอบทานชาร้อนๆหรือมาม่ายามดึก ภายในห้องก็ยังมีกาต้มน้ำไว้ให้เพื่อนๆได้ทานกันอีกด้วย เช้าวันที่ 4 ของเราก็ยังคงฝากท้องกับที่โรงแรมนี้อาหารที่นี้รสชาติเข้มข้น มีอาหารหลายอย่างไว้ให้ผู้ใช้บริการได้เลือกทานกันอย่างสบายใจ เมื่อเดินออกมาหน้าที่พักก็จะพบกับวิวสวยๆ ท่ามกลางภูเขาที่โอบกอดเราไว้ ไอเย็นๆยามเช้ากับอากาศบริสุทธิ์บอกเลยว่า ฟินสุดๆ เราออกเดินทางมาได้ประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงหมู่บ้านชนเผ่าปู้หนง คนที่นี้เป็นชาวเขาที่มีความสามารถด้านการประสานเสียงเป็นอย่างมาก เพลงที่ขับร้องจะเป็นการอธิฐานของพรจากข้าวฟ่าง ด้านข้างๆก็จะมีร้านกาแฟนั่งจิ๊บชิวๆ ชมบรรยากาศทิวเขา เพื่อรับลมเย็นๆกันได้ จบจากการแสดงโชว์ เราก็มุ่งหน้าเข้าร้านอาหารของที่หมู่บ้านชนเผ่าปู้หนงทันที เมื่อนี้มีแต่อาหารอร่อยๆทั้งนั้น ถ้าใครได้มาที่ไต้หวันขอแนะนำเลยว่า ต้องแวะมาทานที่ให้ได้ นอกจากจะมีการแสดงโชว์ อาหารก็อร่อยแถมยังมีวิวสวยๆนั่งชมกันอีก เมนูที่โดนใจสุดคือ เผือกที่ปั้นเป็นก้อนกลมๆแล้วชุบแป้งทอดอีกที นอกจากนั้นก็ยังมีผัดหน่อไม้ที่รสชาติอร่อยถูกปากคนไทยแน่ ๆ ปลาตัวใหญ่ๆที่เผาเกลือมากินกับน้ำซุปร้อนๆ โอ๊ย ๆๆๆๆ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วค่ะ นั่งรถมาสักพักก็มาถึงร้านชา ที่นี่มีชากลิ่นน้ำผึ้งที่หาที่ไหนไม่ได้ ต้องบอกเลยว่ามีที่นี่ที่เดียว ถ้าถามว่ารถชาติเป็นแบบไหน เราต้องบอกเลยว่าอยากให้คุณได้มาสัมผัสกับรสชาติที่คุณต้องมาลิ้มลองด้วยตัวเอง กลิ่นหอมของน้ำผึ้งที่ได้มากจากธรรมชาติโดยไม่ได้ปรุงแต่งโชยเข้าจมูกก่อนที่จะดื่ม เมื่อดื่มไปแล้วอมไว้สักพักจะมีรสชาติหวานอ่อน ๆตามมา นอกจากชามีชาน้ำผึ้งแล้วก็ยังมีชาแดงให้สำหรับคนที่ชอบชาแบบเข้มข้มได้ลิ้มลองกัน ด้านข้างจะเป็นร้านจิ๊บชา-กาแฟ นั่งห้อยขาชมวิวของไร่ใบชา สลับกับทิวเขาที่เขียวขจี สำหรับใครมองหาของฝากที่นี่ก็มีชาให้ซื้อติดไม้ติดมื้อกลับฝากกันอีกด้วย ถ่ายรูป Monument marking the Tropic of Cancer จากทั้งหมดมี 9 แห่งในโลก และมี 3 แห่งอยู่ในไต้หวัน และสองแห่งนั้นอยู่ที่ ฮวาเหลียน เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงจุดที่เส้น Tropic of Cancer พาดผ่านไต้หวัน ที่นี่เราสามารถมองเห็นท้องทะเลแปซิฟิกจากจุดนี้ได้เลย ระหว่างทางที่เข้าสู่ที่พัก 2 ข้างทางก็จะพบกับทุ่งข้าวที่กำลังตั้งท้องที่เป็นสีเหลืองทอง ขนาบคู่กับภูเขาที่รวมความอุดมสมบูรณ์ นั่งรถมาสักพักก็มาถึงโรงแรม Promisedland Resort & Lagoon ที่นี่ได้ทำการต้องรับเป็นอย่างดี มีการแสดงโชว์เล็ก ๆให้กับทางเรา โรงแรมนี้ถูกแบ่งเป็นโซนๆ และโรงแรมนี้ถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในไต้หวัน แต่ละห้องเมื่อออกมาจากระเบียง จะพบกับคลองเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านด้านหลังห้องทุกห้อง ผู้ที่เข้าพักสามารถล่องเรือชมบรรยากาศรอบ ๆได้ ที่นี่จะตกแต่งสถาปัตยกรรมแบบสเปน สำหรับผู้ที่เข้าพักที่มาแบบครอบครัวทางโรงแรมก็มีสวนสนุกไว้ให้บริการและสระว่ายน้ำที่คอยให้กับผู้ที่เข้ามาพักทุกท่านได้มาเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน สำหรับสาวๆคนไหนที่ชอบถ่ายรูป ที่มีมุมสวยๆไว้ให้ถ่ายกันแบบจุใจเลย ผุ้ชายไม่ได้น้อยใจไป ที่นี่ก็มุมบาร์เล็กๆไว้ให้กับสายดื่มได้มาจิ๊บริมขอบสระกันอีกด้วย มื้อเย็นเราต้องฝากท้องไว้กับทางโรงแรม อาหารที่นี่รสชาติถูกปากทุกคนแน่ ๆ ปลาตัวโตๆ กับกุ้งเนื้อแน่นๆ มาพร้อมสลัดผัก ตีคู่มากับเครื่องเขียง นอกจากนั้นยังไม่พอ เสิร์ฟพร้อมต้มจืดใส่วุ้นเส้น วุ้นเส้นที่นี่จะเหนี่ยวนุ่นอร่อยเลยทีเดียว พอตกดึกทางโรงแรมก็มีการแสดงโชว์เล็ก ๆให้กับผู้ที่เข้าได้มาชมพร้อมกับร่วมสนุกบนเวทีด้วย พอได้เข้าห้องก็จะพบกับขนมเล็กไว้ให้ผู้เข้าพักได้ทานก่อนนอน ขนมนี้จะคล้ายๆขนมถ้วยฟูบ้านเรา และมีกลิ่นหอมของน้ำตาลทรายแดง แต่ที่สำคัญเรื่องรสชาติขอบอกเลยว่า อร่อยมากกกก ยามเช้าออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว ก็มาทานข้าวเช้ากัน อาหารที่นี่มีหลายแนวมากกก เซฟที่นี่ทำอาหารอร่อยแทบทุกชนิด คนที่ชอบอาหารเบาๆ ก็จะมีข้าวต้มให้บริการ อาหารแนวฝรั่งก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน แต่คนที่จัดหนักจัดเต็มก็ไม่ต้องห่วง มีอาหารจานหนักไว้ให้บริการอย่างเพียงพอ ตบท้ายด้วยโยเกิร์ตที่มีแบบอริจิและบลูเบอรี่ไว้ให้ทานล้างปาก ทานอาหารเช้าเสร็จนั่งรถมาสักครู่ก็มาถึงจุดเดินป่า เราจะเดินกันประมาณ 1 กิโล เลาะน้ำตกกับไปเรื่อย ๆ มีกิจกรรมให้เล่นระหว่างทางตลอด น้ำที่นี่ใสมากและค่อนข้างเย็น ทางเดินก็จะเป็นโขดหินมีทั้งหมด ก่อนที่เราจะเดินได้ที่นี่ มีเซฟตี้ที่ดีมากเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า ชุดกันกระแทก เสื้อชีพ และหมวก นอกจากจะสนุกแล้วรับรองได้เลยว่าเต็มอิ่มกับธรรมชาติอย่างแน่นอน เดินกันมาเหนื่อยๆ เรามาแวะพักมาหาของกินกันที่ ศูนย์วิจัยหอยที่นี่มีกิจกรรมให้เด็กได้ลงไปเก็บหอยแถมเอากลับบ้านกันได้ด้วย อาหารที่นี่จะเน้นเป็นเมนูหอยเป็นหลัก หอยที่นี่คล้ายๆกับหอยตลับบ้านเรา แต่ที่นี่ตัวจะเล็กกว่า รสชาติจะออกจืดๆหน่อย เพื่อไม่ให้รสชาติของหอยหายไป ไม่ว่าจะผัด ดอง หรือต้มซุปหอย อร่อยทุกอย่างเลยจร้า กินข้าวจนอิ่มกันแล้ว นั่งรถไปอีกสักพักก็มาถึงเขต เซิ่งฟง เรามาทำ D.I.Y. จี้หยกกัน เราสามารถเลือกแบบได้ว่าอยากได้แบบไหน การทำจี้จะมีขั้นตอนทั้งหมด 5 ขั้นตอนตอนด้วยกัน โดยเครื่องแต่ละเครื่องจะมีการทำงานต่างกันไม่ว่าจะ ตัด ลับ ขัด ปัด จนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ร้อยเชือกเข้ากับจี้หยกของเราก็เป็นอันเสร็จ แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่อยากทำหรืออยากได้ติดไม้ติดมือไปฝากคนสำคัญที่นี่ก็มีจี้หยกสำเร็จที่ให้บริการ พร้อมทั้งสิ้นค้าที่ทำมาจากหยกไว้ให้เลือกซื้อเลือกชมกันด้วย สุดท้ายก่อนกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน ก็มาแวะนมัสการพระพุทธรูปหิน 88 องค์ที่วัดชิงซิ่ว ซึ่งบางองค์ได้ถูกเชิญมาจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวัดหรือศาลเจ้าญี่ปุ่นที่มีอายุเก่าแก่ร่วม 100 ปี สร้างขึ้นในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน จะเห็นได้ว่ามีคนมาขอพรจากที่กันเยอะมากจากป้ายไม้ที่ห้อยกันอย่างเรียงรายภายในวัด เป็นยังไงกันบ้างค่ะ กับเมืองฮัวเหลียน ที่มีทั้งภูเขาและทะเล บอกเลยว่าถ้าใครชอบแนวลุยๆ ที่นี่ถือเป็นที่สร้างความทรงจำดีได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับชอบความโรแมนติก ที่นี่ก็มีมุมให้สวีทกันอีกเยอะ แต่ตอนนี้พวกเราขอจบทริปนี้ด้วยภาพบรรยากาศเมืองฮัวเหลียนในยามค่ำคืน ที่ถ่ายจากบนเครื่องบินจร้า และอย่าลืมติดตามเราและเพื่อนๆท่านไหนสนใจไปเที่ยวไต้หวันสามารถเลืิอกซื้อทัวร์ไต้หวันได้ที่ premiumworldtour.info นะคะ หรือติดต่อเราตามช่องทางข้างล่างได้เลยค่ะ : )
Create Date : 06 กันยายน 2560 |
Last Update : 6 กันยายน 2560 18:01:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1157 Pageviews. |
|
|