น้องติ๋ม ฮักพัทยา

น้องติ๋ม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ตรงไป ตรงมา เงียบนอก ขมใน ใจเย็น บ้าแตกเป็นบางครั้ง รักสวยรักงาม

PMB Webboard

สนุกสนานเกี่ยวกับการบิน เครื่องบิน มาสนทนากันที่นี่
Happy Flying

สนทนาเรื่องแฟชั่น, วิทยาศาสตร์, เรื่องทั่วไป, สนุกกับสถานที่ท่องเที่ยว
Coffee Break

สูตรอาหาร การทำอาหาร เสนห์ปลายจวัก มาเขียนกันที่นี่
Happy Cooking

ผ่อนคลายด้วยเสียงเพลงในทุกแนว ทุกภาษา พร้อมกับยินดีต้อนรับดีเจหน้าใหม่ไฟแรง
Happy Listen

กำลังมองหาเพลง ? ไม่มีเพลงที่ถูกใจ ? โพสท์ขอเพลงที่ถูกใจที่นี่เลย!!
Request เพลงที่เราโปรดปราน (ได้เพลง ไม่เกิน 24 ชม *เฉพาะเพลงอังกฤษ)
Happy Request


PMB happiness is yours
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
16 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add น้องติ๋ม's blog to your web]
Links
 

 

รีวิว: "ขบวนงานบุนพะเวด" เมืองลาว ปากเซ

รีวิว: "ขบวนงานบุนพะเวด" เมืองลาว ปากเซ

คราวไปเมืองลาว ปากเซ ครั้งแรกในชีวิตก็ได้เพื่อน และได้ทั้งบุญ

เป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากกว่าเวียดนาม เพราะไม่วุ่นวายมาก

แต่เสียอย่างเดียวหลังเที่ยงคืนเธคจะปิด เหมือนในไทยบางจังหวัดเลย

และถ้าใครอยู่บานอีกฟากแล้วกลับหลังเที่ยงคืนก็จะข้ามขัวไม่ได้ เพราะเขาจะกั้นขัว (สะพาน) ที่เชื่อมไปยังหมู่บ้านต่างๆ

ใครข้ามขัวไม่ได้ล่ะซวยเลย ต้องหาที่นอนเองเองตามข้างถนน

เพื่อนๆที่รู้จักก็เคยนอนกันมาแล้ว ทั้งเมาทั้งง่วง

เมืองปากเซ มีขัวเชื่อต่อไปยังหมู่บ้านต่างๆ สามขัว จำชื่อได้ประมาณว่า ขัวสีดอน ขัวญี่ปุ่น ขัวรัสเซีย นี่แหละมั้ง ใครทราบช่วยแจ้งทีนะคะ ลืมจริงๆ



มาดูเงินค่ะ ดิฉันใช้ทีเป็นหมื่นๆ แสนๆ ใช่ค่ะ ดิฉันรวยจริง



งานบุญแบบนี้ไม่ว่าที่ไทยอีสาน หรือว่าลาว เขาจะนิยมทำข้าวปุ้น (ขนมจีน)

ที่ลาวนี่ไปบ้านใหนก็ได้กินค่ะ เอ้า ยกมาต้อน!!



บ้านนี้ขี้เกียจทำขนมจีน เลยทำปอเปี้ยะสดซะเลย น่าทานมากกก



รปพ. ช่วยอำนวยความสะดวก ปืนพร้อม



ผู้เฒ่าแม่แก่ ก็มาช่วยกันเอาเงินใส่ไม้หนีบมาปักต้นกระฐิน







ฮอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของแม่ใหญ่เมืองลาวดูอบอุ่นแท้เนาะ





ล้านซ้างต้องมีซ้าง แต่ปีนี้นักษัตย์เป็นปีชวดไม่ใช่เหรอ??



ตั้งขบวนแล้วค่ะ

"ขะบวนพาขัวน วัดโพน สีไค" ขบวนบายศรี วัดโพนศรีไคค่ะ



พาขวัญหลวง



ทำพิธีค่ะ ไม่ได้เข้าไปถ่ายค่ะ



รปพ. หน้าหวาน?



ปักธงชัย



มาแล้วค่ะ พระมาก่อน





ขบวนบายศรี



ขบวนตุง หรือ ธงชัย เหมือนภาคเหนือเลย





สาวงามช่างฟ้อน





ช่างฟ้อนเด็กน้อยก็มาด้วย





แม่ใหญ่ก็เดินตามขบวนมาด้วย








ใครอ่านเรื่องพระเวสันดรชาดก ช่วยบอกทีว่าสองคนนี้คือพ่อแม่กัญหาชาลีชื่ออะไร





กันหา ชาลี น่ารักค่ะ



ผ้าแพรเขียนประวัติพระเวชไว้





เพื่อนข้อยๆ พามาทำบุญ วัยรุ่นลาวนี้ส่วนใหญ่จะยังเข้าวัดทำบุญอยู่ค่ะ



ตุงสบัดยามเย็น คิดถึงบ้านเหมือนกัน



ภาพนี้ต้องขย่าย ชอบมากกกกก





เสร็จแล้วเดี้ยนก็ต้องรีบวิ่งมาหน้าวัด เพื่อมาดูเขาฟ้อนเข้าวัดค่ะ



"ความเหมือนที่แตกต่าง"




ขบวนวนรอบอุโบสถ



ช่างฟ้อนมาแล้ว ถ่ายเองกับมือ







ตามท้ายก็ ชาวบ้าน



สุดท้ายบรรยากาศภายนอกวัดค่ะ ไม่ต้องอึกทึก ขายแบบชาวบ้านๆ







ขอขอบใจ๋ที่มาแวบล็อคข้าพเจ้าเด้อ ผิดพาดปะกานไดก็ขออภัย




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2551
11 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2551 5:22:06 น.
Counter : 1593 Pageviews.

 


ตามมาเที่ยวลาวด้วยคนเจ้าค่ะ


 

โดย: กำปงพิราเทวี 16 มิถุนายน 2551 5:04:59 น.  

 

เข้ากะบรรยากาศเลย
เพราะเมื่อวานไปดูหนังเรื่อง "สะบายดี หลวงพระบาง" มาน่ะ

 

โดย: nattabe 16 มิถุนายน 2551 8:40:04 น.  

 

Muk-Lai-Der-ka.

You remind me about "boon-pha-vet" in my village when I was a kid ka. Thank you very so much for sharing this ka. I like the music very much ka.

P.S.: I am sorry that I cann't type in Thai ka.

 

โดย: Thai-Lao (I-Sarn's daughter) (JC2002 ) 16 มิถุนายน 2551 9:28:50 น.  

 

สาธุ.....ขออนุโมทนาบุญค่ะ

 

โดย: nathanon 16 มิถุนายน 2551 9:41:45 น.  

 

มาร่วมงานบุญค่ะ

 

โดย: kaajibjib 16 มิถุนายน 2551 11:57:21 น.  

 

อ๊ะ...กลับมาเครื่องตัวเองแล้ว พิมพ์ไทยได้แล้วค่ะ

หลงสเน่ห์บล็อกนี้ก็เพราะเสียงเพลงจากฝั่งลาวที่แสนจะไพเราะ เปิดหน้าบล้อกนี้ค้างไว้ตั้งแต่หัวค่ำ เพื่อฟังเพลงนี้ไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้จะตีหนึ่งอยู่แล้วก็ยังนั่งฟังเพลงอยู่ค่ะ ชอบจริง ๆ ดนตรีฟังได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะเสียงออร์แกนนี่ ทำเอาคิดถึงวงหมอลำที่ลานวัดในตอนกลางคืนในวันงานบุญผ้าเวสตอนสมัยที่ดิฉันยังเด็ก ๆ เลย ยิ่งนั่งดูรูปที่เค้าแห่ผ้าเวสกันแล้ว คิดถึงบรรยากาศงานบุญผ้าเวสที่บ้านจริง ๆ ตอนเด็ก ๆ ก็เคยไปถือไม้ร่วมแห่ผ้าเวสแบบในรูปเหมือนกัน เห็นจานข้าวปุ้นแล้วก็เกิดอาการหิวข้าวปุ้นที่ทำด้วยมือในสมัยก่อน ยังไงก็ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะที่นำมาแชร์ให้คนไกลบ้านไกลเมืองได้รำลึกถึงความหลัง (ขอโทษนะคะ พูดยาวไปหน่อย)

 

โดย: JC2002 16 มิถุนายน 2551 12:10:38 น.  

 

สะบายดีซู้ผู้ซูคน ขอบคุณนะคะสำหรับคอมเม้น

สะบายดี JC 2002 เจ้ามักเพงนี้คือกั๋นบ้อ 55+ ข้อยก็มักคือเจ้า งานบุผะเวด นี้พึ่งจะได้ยินก็ตั้งแต่มีเพื่อนอีสานนี่แหละ ตอนแรกก็ไม่รู้มากนัก คิดว่าเหมือนงานแห่ทั่วไป แต่ตอนที่ไปเที่ยวลาวก็เลยเจองานนี้เข้าจริงๆสนุกมาก ตอนกลางคืนมีลำวงด้วย

อ้อ พูดถึงเรื่องข้าวปุ้น ช่วยบอกวิธีทำข้าวปุ้นให้ด้วยเด้อ อยากทำเป็นจริงๆ

 

โดย: น้องติ๋ม 16 มิถุนายน 2551 14:43:21 น.  

 

ตามไปเที่ยวลาวด้วยค่ะ
อยากไปลาวจังเลยค่ะ
มีความสุขมากๆนะค่ะ

 

โดย: whitelady 16 มิถุนายน 2551 20:14:07 น.  

 

How to make "Kao-Poon" ka, I copy from my blog ka, I wrote this blog along time ago. Actually, it is not easy to make "Kao-Poon" na ka, so I think you better buy from the store ka ...ei ei ei.

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jc2002-warmfamily&group=14

---------------------------------

1. ขั้นตอนการเตรียมหม่าข้าวปุ้น
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมในขั้นตอนนี้
- ตะกร้าสำหรับหม่า (หรือภาษากลางเรียกว่าหมัก) ข้าวสารข้าวจ้าว
- ใบตองสำหรับรองแป้ง
- คุถัง หรือถังน้ำขนาดใหญ่ สำหรับบดแป้งกับน้ำ
- ตะกร้า และถุงผ้าขาว สำหรับใส่น้ำแป้ง
- วัตถุที่มีน้ำหนัก สำหรับทับแป้ง

1.1. นำใบตองกล้วยมาจัดวางไว้ในตะกร้า แล้วนำข้าวสารข้าวเจ้าไปไว้ในตะกร้านั้น แล้วก็ราดน้ำ และทำการรดน้ำทุก ๆ เช้าและเย็น จะทำแบบนี้อยู่เป็นอาทิตย์ หรือนานกว่านี้ จนกว่าจะสังเกตได้ว่าข้าวสารเริ่มเน่า (หุหุ...น่ากลัวเนาะ) ก็สังเกตได้จากกลิ่นน่ะแหละ ถ้าเริ่มมีกลิ่นตุ ๆ และลองขยี้ดูแล้ว เจ้าเม็ดข้าวสารผุ ๆ และเปื่อยยุ่ย นั่นก็แสดงว่าพร้อมที่จะทำขั้นตอนต่อไปแล้ว

1.2. จัดเตรียมถุงผ้าขาว และก็ตะกร้าอีกใบไว้เพื่อใส่น้ำแป้งข้าวปุ้น จากนั้นก็มาทำงการนำเม็ดข้าวสารที่หม่าไว้ข้างบนมาบดให้ละเดียดในกาละมัง หรือจะเป็นคุถัง (ถังน้ำ) ที่ใหญ่ ๆ หน่อย และก็ใส่น้ำลงไป บดให้ไปเรื่อย ๆ จนเม็ดข้าวสารละเอียดกลายเป็นน้ำแป้ง

1.3. จากนั้นก็นำผ้าขาวที่ใช้สำหรับกรองน้ำแป้ง เพราะเราจะเก็บเฉพาะแป้งที่ละเอียด หรือกรองเอาเฉพาะน้ำแป้งน่ะแหละ ซึ่งก็เมื่อกรองจนเสร็จแล้ว ก็นำน้ำแป้งไปเก็บในตะกร้าที่เราเตรียมมีถุงผ้าขาวรอง ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว จากนั้นก็ปล่อยไว้จนน้ำแป้งนอนตัว และเจ้าแป้งก็จะค่อย ๆ รวมตัวกันไปอยู่ที่ก้นตะกร้าเรื่อย ๆ ก็ค่อย ๆ ตักน้ำใส ๆ ทิ้งไป ทิ้งไว้จนแป้งนอนตัวจริง ๆ และถ้ารู้สึกว่าแป้งเริ่มแข็งตัวแล้ว จากนั้นก็ทำการมัดปากถุงผ้าขาว แล้วอาจจะใช้อะไรหนัก ๆ ทับถุงผ้าขาวที่เรามัดไว้อีกที เพื่อเป็นการบีบให้น้ำที่ผสมในแป้งค่อย ๆ ซึมออกไป แล้วเราจะได้เฉพาะเนื้อแป้ง..ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะใช้เวลาวัน หรือสองวันก็แล้วแต่ ตัวเราต้องคอยสังเกตแป้งด้วย

2. ขั้นตอนการทำหัวข้าวปุ้น
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมในขั้นตอนนี้
- ปิ๊บหรือหม้อใหญ่สำหรับต้มหัวข้าวปุ้น
- ก้านใบมะพร้าวสำหรับรัดหัวแป้งตอนต้ม
- ครกมองใช้ตำแป้ง หรือถ้าไม่มีก็น่าจะใช้เครื่องบดเค็กได้นะ (ถ้าตัวเองจะทำกินเอง ก็กะว่าจะใช้เจ้าตัวเครื่องปั่นหรือบดเค็กนี่แหละ..อิอ)
- ถาดใหญ่ หรือกระด้งใหญ่ เพื่อเตรียมไว้ในการนวดแป้ง แต่ตอนเด็ก ๆ จะเห็นใช้โบมกัน ซึ่งโบมก็คือที่รองในการส่ายข้าวเหนียว (คนข้าวเหนียว) สำหรับคนภาคอีสานที่กินข้าวเหนียวน่ะ..
น้ำเย็น เตรียมไว้นวดผสมกับแป้ง

2.1. ช่วงนี้ทำการเตรียมหม้อใหญ่ หรือที่เคยเห็นก็จะเป็นปิ๊บไปเลย เตรียมต้มน้ำไว้เลย ให้น้ำเดือด ๆ ได้เท่าไหร่ยิ่งดี จากนั้นก็ไปจัดการกับแป้งที่เราเตรียมไว้

2.2. เมื่อแป้งที่เราเตรียมไว้แข็งตัวจริง ๆ จนดู ๆ แล้วเหมือนผงดินที่แข็ง ๆ แต่ไม่แห้ง จากนั้นก็ทำการนำแป้งมานวด แต่ไม่นวดแรงมาก และทำเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเท่าหัวคน ทำไว้หลาย ๆ หัว และก็นำก้านมะพร้าวมามัดเพื่อจะใช้ในการต้ม เพื่อสะดวกในการยกขึ้นจากหม้อต้ม จากนั้นนำไปต้มในหม้อน้ำที่เดือด แต่ไม่ต้องให้ถึงกับสุกมากนัก แค่ให้รอบนอกดูแล้วแป้งสุกดี แต่ด้านในก็ไม่ต้องให้สุก

2.3. จากนั้นนำแป้งไปโขลก หรือตกด้วยครกขนาดใหญ่ ที่ ตจว. สมัยนั้นเค้ายังให้ครกมอง ในการตำข้าวเปลือกเพื่อทำเป็นข้าวสารอยู่ และก็ใช้ในการแป้งข้าวปุ้น ตำแป้งข้าวเกรียบ หรือแม้แต่ตำข้าวเม่าด้วย เพราะสมัยนั้นตามบ้านนอกจะหาโรงสีไม่ค่อยมี แต่ถึงมีก็ทำได้เฉพาะสีข้าวสาร หรือสีข้าวเม่า แต่ถ้าทำข้าวปุ้น หรือข้าวเกรียบก็ต้องใช้ครกมองอยู่ดี ซึ่งไม่รู้ว่าสมัยนี้จะยังมีใช้กันอยู่รึเปล่า เพราะข้าวปุ้นเค้าก็ทำด้วยเครื่องจักรกันแล้ว ขั้นตอนนี้ก็คงเป็นใช้เครื่องปั่นไปแล้วน่ะ..

2.4. หลังจากที่ตำก้อนแป้งที่ต้มละเอียดแล้ว ก็นำแป้งนั้นมานวดกับน้ำเย็นต่อไป ค่อย ๆ นวด และเติมน้ำไปเรื่อย ๆ ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะการนวดแป้งจะมีผลการแป้งที่จะบีบเป็นข้าวปุ้นด้วย ถ้านวดแป้งได้ดี เส้นข้าวปุ้นก็จะเหนียวและเส้นยาวไม่ขาดด้วย ซึ่งเท่าที่สังเกต พี่ ๆ เค้าก็จะค่อย ๆ นวด แล้วค่อยเติมน้ำทีละนิด จะไม่เติมทีละเยอะ ๆ นวดไปเรื่อย ๆ จนเค้าดูแป้งแล้ว ลองยืดแล้วเป็นแป้งที่เหลวแต่ไม่ขาดจากกันง่ายเกินไป และไม่เหลวจนเกินไปจนเป็นน้ำ..และเมื่อแป้งที่นวดได้ที่ ต่อไปก็เป็นขั้นตอนการบีบข้าวปุ้น

3. ขั้นตอนการบีบข้าวปุ้น
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมในขั้นตอนนี้
- หม้อน้ำขนาดใหญ่ที่ต้มน้ำไว้เดือดได้ที่
- เฝียนที่เป็นอุปกรณ์ทำเส้นข้าวปุ้น ใช้สำหรับบีบเส้น จะมีลักษณะคล้ายกระป๋อง แตะจะมีตัวประกอบสองตัวประกบกัน ตัวแรกใช้เก็บ- - แป้ง และจะมีรูเท่าเส้นข้าวปุ้น เพื่อให้แป้งรอดออไป เจ้าตัวบนก็ใช้เป็นตัวบีบแป้ง
- ถังน้ำเย็นจัด สำหรับแช่เส้นข้าวปุ้นที่สุกแล้ว
- ถาดหรือกระด้งที่มีใบตองรองเรียบร้อยแล้ว ใช้สำหรับเก็บเส้นข้าวปุ้น

3.1. ช่วงนี้ต้องเปลี่ยนน้ำที่ต้มในปี๊บหรือหม้อใหม่ จะไม่ใช้น้ำเดิมที่ต้มหัวข้าวปุ้น แต่จะเปลี่ยนเป็นน้ำใหม่ และจะมีการใส่เกลือลงไปนิดหน่อย และใส่หัวข่าด้วย อาจจะเพื่อเพิ่มกลิ่นหรือรสชาตินิด ๆ รึเปล่าก็ไม่รู้ แต่เห็นคนเค้าทำกันแบบนี้น่ะ

3.2. เมื่อน้ำในหม้อที่ต้มร้อนและเดือดได้ที่จริง ๆ ก็ทำการตักแป้งข้าวปุ้นที่นวดได้ที่ลงในเฝียน (จำไม่ได้ชัดว่าเฝียนหรือเหวียน) แล้วทำการบีบแป้งข้าวปุ้นนั้นลงในหม้อน้ำที่เดือด จากนั้นทิ้งไว้ซักพัก พอเส้นแป้งสุก เจ้าเส้นแป้งก็จะลอยตัวขึ้น จากนั้นก็ใช้กระชอนตักแป้งที่สุกแล้ว นำแป้งลงไปแช่ในน้ำเย็นจัดที่เตรียมไว้ แต่จะไม่แช่นานเกินไป เพราะเส้นจะบวมและกินน้ำ กลายเป็นเส้นเละไปได้

3.3. จากนั้น ก็ทำการจับจีบข้าวปุ้นที่แช่น้ำเย็นไว้ ก็จะใช้วิธีม้วนเป็นรูปวงรีกับนิ้วชี้ และพยายามทำให้สะเด็ดน้ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วก็จัดวางไว้บนกระด้งที่มีใบตองปูรองไว้ ทำการวางเป็นระเบียบ นี่ก็จะได้เส้นข้าวปุ้นที่พร้อมจะกินกับน้ำยาได้แล้ว..

ต่อไปก็แค่ไปทำน้ำยา ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาป่า น้ำยากะทิ หรือน้ำยาแกงเขียวหวาน น้ำยาแกงไตปลา...โอ๊ย...พิมพ์ไปน้ำลายมันไหลจริง ๆ นะนั่น..อิอิ

---------------------------


 

โดย: JC2002 22 มิถุนายน 2551 18:58:03 น.  

 

 

โดย: JC2002 22 มิถุนายน 2551 19:06:32 น.  

 

ขอบคุณมากๆค้า ยากเอาการเลยนะนั่น สงสัยต้องซื้อเส้นแห้งมาต้มแทนแล้วหล่ะ เฮ้อ...

 

โดย: ติ๋มศรี ฟรีสไตล์ (น้องติ๋ม ) 25 มิถุนายน 2551 20:46:37 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.