ล่าสุด มีอาการปวดบ่า ปวดเบ้าตา ปวดหัว มีบางคนบอกว่าเป็นอาการของไมเกรน ซึ่งปุ๋มเถียงคอเป็นเอ็นเลยว่า ไม่ใช่ เพราะเข้าใจว่า ไมเกรนคือ ปวดหัวข้างเดียว แต่ไม่ว่า จะเป็นอะไรปุ๋มก็ยังไม่ได้ไปหาแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อรับการตรวจอยู่ดีและวันนี้เลือกที่จะมาที่ ธรรมานามัยคลินิก เพราะเพื่อนบอกว่า เป็นคลินิกการแพทย์แผนไทยผสมกับการแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่มีบริการตรวจรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร และมีการรักษาด้วยหัตถเวชกรรมแผนไทยพูดง่ายๆก็คือ มีการนวดเพื่อรักษาอาการต่างๆได้นั่นเอง
คลินิกฯอยู่ในซอยพหลโยธินซอย3 พอเข้าซอยมาแล้วให้เลี้ยวซ้ายที่ซอยแรกคลินิกจะอยู่ขวามือ บรรยากาศเหมือนเราได้มาบ้านเพื่อน ข้างนอกมีสวนเล็กๆพอเราได้เห็นต้นไม้สีเขียวๆ ก็รู้สึกเหมือนการเริ่มต้นได้รับการบำบัดแล้วหละ
พอเข้าไปด้านในจะได้พบกับคุณหมอ พูดคุยให้คำปรึกษา ซึ่งปุ๋มมาที่นี่ครั้งแรกคุณหมอจะพูดคุยกับปุ๋มนานพอสมควร เพื่อให้ได้ข้อมูลของเรามากที่สุด
ตรงนี้ถือเป็นจุดสำคัญมากๆเพราะถ้าเคยแขนหัก เคยแพ้ยา หรือเป็นโรคอะไร ก็ต้องแจ้งกับคุณหมอให้ทราบนะคะสำหรับปุ๋มเคยไหล่หลุดตอนสมัยเป็นเด็กอนุบาล ซึ่งจำไม่ได้ว่า แขนข้างไหน แต่ก่อนจะเข้ารับการนวดรักษา
คุณหมอจะวัดความดันให้ด้วยนะคะ เพราะคนที่ความดันต่ำหรือสูงเกินไป ไม่ควรนวดทันทีบางคนเดินมาเหนื่อยๆ อาจทำให้ความดันสูง ก็ควรนั่งพักสักครู่ก่อน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้
สรุปอาการหลักๆของปุ๋มคือ ปวดหัว ปวดเบ้าตา ปวดบ่าซึ่งปุ๋มมีเวลาไม่มากนัก คุณหมอจึงจัดให้นวดเพื่อรักษาไมเกรนเป็นการนวดเน้นเฉพาะด้านบน ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง
ได้เวลาขึ้นเตียง แต่ยังไม่ได้นอนนะคะคุณหมอเริ่มต้นด้วยท่านั่ง จากนั้นก็นวดบริเวณคอบ่าไหล่ และศีรษะให้ปุ๋ม ณ จุดนี้ต้องบอกว่า เจ็บแต่จบ ทุกเส้นถูกเปิดทางให้รู้สึกโล่งจากสัมผัสจากปลายนิ้วแรกของหมอ ปุ๋มรู้สึกอั้นๆ แต่พอคุณหมอนวดจบ ช่วงไหล่ช่วงศีรษะ เบา อย่างบอกไม่ถูก (เชื่อว่า คนที่นวดบ่อยๆจะเข้าใจอารมณนี้แน่ๆ)
จากนั้นก็ได้นอนสมใจ แต่ก็ไม่สามารถหลับได้ ทุกจุดที่คุณหมอลงปลายนิ้วมันจะจี๊ดไปหมด แล้วก็พลิกซ้าย พลิกขวา แล้วจบด้วยลูกประคบ ซึ่งปุ๋มชอบมากๆกลิ่นของลูกประคบ เมื่อนวดเสร็จรู้สึกสดชื่น เหมือนเส้นทุกเส้นได้เปิดความรู้สึกเหมือนเส้นเลือดมีการไหลเวียนดีขึ้น จากที่ล้าๆ คอหนักๆ ก็ผ่อนคลายอาการปวดเบ้าตาก็ลดลงจนวันนี้ เพราะก่อนที่ปุ๋มจะเขียนรีวิวให้เพื่อนๆอ่านปุ๋มรอเวลาประมาณ 3-4 วัน เพื่อสังเกตอาการของตัวเองพอรู้สึกว่า อาการปวดเบ้าตาลดลง จึงกล้ามาเขียนเล่าให้คนอื่นฟัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหายขาดนะคะ ปุ๋มคิดเองว่า คงต้องกลับไปซ้ำอีกหลายรอบ เพื่อให้การรักษาต่อเนื่อง และปุ๋มเองก็ยังมีอีกหลายอาการทั้งปวดเข่า ขาตึง ไม่สามารถนั่งคุกเข่าได้ ถ้ามีเวลาเมื่อไรปุ๋มจะลองเข้าไปปรึกษาคุณหมอ เนื่องจากตัวเองเป็นคนไม่ชอบทานยา และกลัวการฉีดยาผ่าตัด การรักษาแบบแพทย์แผนไทยและไทยประยุกต์เลยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของปุ๋ม
นอกจากอาการแบบปุ๋มแล้วที่นี่ยังมีการนวดรักษาอีกหลายอาการนะคะ อาทิ หัวไหล่ติด นิ้วล็อก คอตกหมอน ปวดเข่าข้อเท้าแพลง รองช้ำ ตะคริว
พอนวดเสร็จแล้ว ปุ๋มได้ดื่มน้ำฝางอุ่นๆ พร้อมกับกล้วยราดน้ำผึ้ง ดูธรรมดามากๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่า เข้ากันได้ดี (กล้วยราดน้ำผึ้ง เมนูนี้ ปุ๋มนำกลับมาทำทานเองที่บ้านด้วยนะคะ)
ห้องคู่ สำหรับใครที่มาเป็นคู่ นอนนวดไปคุยไป
ห้องเดี่ยว สำหรับใครที่ชอบความเป็นส่วนตัวหรือมาคนเดียว
สำหรับใครที่ไม่อยากขับรถมาสามารถนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสมาลงที่สถานีสนามเป้าได้นะคะ เดินเข้ามาไม่ไกลมากค่ะ และถ้าเพื่อนๆสนใจสามารถโทรนัดหมายได้ที่ 0-2040-6400 หรือดูรายละเอียดต่างๆได้ทาง www.dhammaclinic.com