วันนี้เราจะมาบอกเล่าประสบการณ์การลดน้ำหนักของเราค่ะ จริงๆแล้วเราก็ทำเหมือนที่คนอื่นๆเค้าทำกัน ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างแต่อย่างใดเลย แต่ทำไมบางคนทำแล้วน้ำหนักลดลง แต่บางคนก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น
บอกรายละเอียดคร่าวๆก่อนว่า ตอนม.3 เราหนัก 60 กิโล พอจบ ม.6 น้ำหนักเราอยู่ที่ 80 หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี เราต้องไปตรวจเช็คร่างกายที่รพ.เลยจำเป็นต้องชั่งน้ำหนัก โอ้วว... แม่เจ้า ตัวเลขที่เราเห็นบนตาชั่งคือ 83 แทบจะร้องกรี๊ดดด หลังจากที่เห็นตัวเลขนั้นแล้ว ก็ไม่คิดที่จะชั่งน้ำหนักอีกเลย เพราะกลัวที่จะเห็นน้ำหนักของตัวเอง แต่ถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่คิดที่จะลดน้ำหนักนะคะ ก็ยังดำเนินวิถีชีวิตแบบเดิมๆไปเรื่อยๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรใดๆทั้งสิ้น
รูปตอนอยู่ม.3 ค่ะ น้ำหนักอยู่ที่ 60 กิโล ถ่ายกับอดีตอาจารย์ใหญ่ หุ่นพอๆกับอาจารย์เลย -*- แล้วดูเพื่อนเราแต่ละคนนะ ผอมๆเพรียวๆกันทั้งน้านนน 555
รูปนี้ถ่ายตอนม.6 ค่ะ ตอนนี้น้ำหนักเริ่มขึ้นมาแตะเลข 8 แล้ว 5555 ถ่ายกับรุ่นพี่ที่รร.ค่ะ สังเกตุดูสิช่วงไหล่ของเราว่าใหญ่และหนามาก พอๆกับผู้ชายเลย
จริงๆแล้วอีกสาเหตุนึงที่ไม่เคยคิดที่จะลดน้ำหนักก็คือ เพราะเพื่อนสนิทในกลุ่มเป็นเพื่อนที่คบกันมายาวนาน (บางคนคบกันตั้งแต่อนุบาล บางคนก็มาคบกันตอนประถม) มันก็เลยทำให้ไม่เห็นความแตกต่าง แล้วเพื่อนก็ไม่เคยเปรียบเทียบหรือมีท่าทีแปลกๆด้วย ก็เลยเรื่อยๆชิลๆมาตลอด
รูปนี้ถ่ายกับเพื่อนสนิทอีกคน แต่ที่เค้าไม่ได้ใส่ชุดนร.เพราะเค้าเอ็นท์ติดไปก่อน ก็เลยใส่ชุดไปรเวทมาที่รร. จริงๆเค้าสูงนะ สูงมากๆเลยด้วย แต่เวลาถ่ายรูปเค้าชอบย่อตัวให้เท่ากับเพื่อนๆ -*- เข้าทำนองคนสูงอยากเตี้ย คนเตี้ยอยากสูง 5555+
แล้วอยู่มาวันนึงได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนใหม่ทางเว็บบอร์ด ก็คุยกันมาเรื่อยๆเป็นปีอ่ะค่ะ ก็ได้มีโอกาสเจอกันบ้าง ก็สนิทกันในระดับนึง เค้ามีอาชีพเป็นหมอค่ะ ไม่ใช่ว่าพอเค้าบอกมาแล้วเราจะเชื่อเดี๋ยวนั้นเลยนะคะ ก็มีการสอบถามซักไซร้ไล่เรียงกันพอสมควร โชคดีที่เค้าเรียนหมอรุ่นเดียวกันกับเพื่อนเราหลายคน ก็เลยสืบได้ไม่ยากว่าเป็นหมอจริงหรือหมอเก๊ 5555
เพื่อนคนนี้เค้าทักว่า..”เจ๊ อยากลดความอ้วนมั่งมั้ย” (เค้าอายุมากกว่าเรานะ แต่เค้าชอบเรียกเราว่าเจ๊ -*-) เอาสั้นๆและง่ายๆรวบรัดตัดความเลยก็คือ เค้าอยากให้เราลดน้ำหนัก และเค้าจะเป็นคนคอยควบคุมดูแลการลดน้ำหนักให้เรา เราก็เอ๊ะ ทำไมอะไรยังไง หรือว่ามันจะรำคาญหูรำคาญตาที่เราอ้วน - -“ เพื่อนมันก็บอกว่าป่าว พร้อมทั้งสาธยายสรรพสิ่งสรรพโรคต่างๆ และพยายามโน้มน้าวใจเราต่างๆนาๆ ถามว่าได้ผลมั้ย ก็นิดนึง
แต่เหตุผลหลักๆจริงๆที่เริ่มมีความคิดที่จะลดน้ำหนักคือ ตอนนั้นเพื่อนสนิทอีกคนมาบอกว่าจะแต่งงาน แล้วจะให้เราเป็นเพื่อนเจ้าสาว ตรงนี้นี่ล่ะที่ทำให้เราเครียดมาก ตายละ ชั้นต้องไปต้อนรับแขกเหรื่อด้วยหุ่นแบบนี้เหรอเนี่ย โอ้ววว ม้ายยยยนะ เราก็เลยยินยอมพร้อมใจให้เพื่อนจัดการช่วยเรื่องลดน้ำหนัก แล้วเค้าก็อธิบายวิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้องให้กับเราว่าจริงๆแล้วการลดน้ำหนักที่ถูกต้องตามตัวเลขมาตรฐานสากลก็คือ 0.5 กิโล ต่อ 1 อาทิตย์ ถ้านับตัวเลขภายใน 1 เดือน ควรจะเป็น 2 กิโล ต่อ 1 เดือน
เพราะงั้นการลดน้ำหนักที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุดคือต้องค่อยๆลด ให้มันค่อยเป็นค่อยไป เพราะการที่เราลดน้ำหนักเร็วๆนอกจากจะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ เรื่องการกลับมาอ้วนใหม่หรือเรียกกันว่าโยโยเอฟเฟ็คแล้ว ผิวหนังของเราก็จะเกิดการแตกลายอีกด้วย ไม่มีครีมเทพตัวไหนลดการแตกลายได้ 100 % นะคะ เราควรป้องกันไว้ก่อนที่มันจะเกิด ที่สำคัญหน้าตาและร่างกายไม่ทรุดโทรมด้วยค่ะ
ตอนแรกเรายังไม่ได้ลดน้ำหนักเองเลยทีเดียวนะคะ เพื่อนเราเค้าให้แอลคาเรามากินก่อน 1 กระปุก ให้ฟรีนะคะ ไม่ได้เอามาขาย เดี๋ยวจะเข้าใจว่าเพื่อนมาหลอกขายแอลคาให้เรา จะบอกว่าเราก็มีแอบเหน็บเค้าเหมือนกันนะว่า กระปุกแรกให้ฟรี กระปุกต่อไปขายให้ชิมิ 5555 เค้าบอกว่าบ้าเหรอ เค้าก็มีจรรยาบรรณเหมือนกันนะ 55555
แล้วเค้าอธิบายว่าที่แนะนำให้ทานแอลคาเนี่ย ไม่ใช่อะไรนะ เพราะคนที่อ้วนมากๆตอนที่เริ่มจะลดน้ำหนักใหม่ๆมันจะลงยากมากกกกกก ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง เพราะงั้นมันต้องมีตัวกระตุ้นให้น้ำหนักมันลงมานิดนึงก่อน เราก็ถามเค้าย้ำๆว่าแน่นะ ไม่ได้หลอกเรานะ กลัวมันผสมยาลดน้ำหนักไง กินไปแล้วเกิดน็อคหัวใจวายตายทำไง ถ้าเราเป็นอะไรไปต้องรับผิดชอบเลี้ยงเราตลอดชีวิตเลยนะ ต้องรับผิดชอบเราด้วยการมาเป็นสามีเรานะ 55555+ ไม่มีไรค่ะ เวลาคุยกันชอบกัดกันเล่นมุกกันขำๆ
เค้าให้เรามาทาน 2 กระปุกก่อน ใน 1 กระปุกมีแอลคา 30 เม็ด ทานวันละ 1 เม็ด ตอนที่ทานแอลคา ไม่รู้ว่าน้ำหนักมันลดลงหรือเปล่านะ ไม่เคยชั่งน้ำหนักเลย ในช่วงที่ทานแอลคาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลยนะคะ ก็เริ่มๆจะควบคุมอาหารบ้างแล้ว เริ่มเดินมากขึ้น ปั่นจักรยานไปจ่ายตลาดแทนการนั่งรถ เริ่มว่ายน้ำบ้างอาทิตย์ละ 1 ครั้ง แต่ทุกอย่างล้วนทำเบาๆค่ะ ไม่ได้หักโหมทำ เพราะเป็นคนขี้เหนื่อย ไม่ชอบทำอะไรเหนื่อยๆ เราเป็นคนที่ขี้เกียจมากถึงมากที่สุด อย่างถ้าต้องเดินทางไป 1 ป้ายรถเมลล์เราเลือกนั่งแท็กซี่ค่ะ ไม่เดิน เหนื่อย หรือ ถ้าต้องข้ามฝั่งไปอีกฝั่งก็เลือกโบกแท็กซี่เช่นกันจะไม่ข้ามสะพานลอย พอทานข้าวเสร็จปุ๊บก็จะนอนเลย เวลานอนดูทีวีก็ทานขนมขบเคี้ยวไปด้วย
หลังจากที่ทานแอลคาหมดไป 2 กระปุก ก็เท่ากับ 2 เดือนกว่า ที่บอกว่า 2 เดือนกว่า เพราะว่าเราไม่ได้ทานทุกวันค่ะ มันก็มีลืมบ้าง ทานบ้าง 555 ก็เริ่มมีคนทักว่าทำไมดูผอมลง ตอนนั้นในใจก็ยังคิดว่า มั่วป่าว หลอกยอกันป่าวเนี่ย ก็เลยตัดสินใจไปชั่งน้ำหนัก เออ จริงด้วยแฮะ น้ำหนักลงเหลือ 70 กว่าๆ กว่าเท่าไหร่จำไม่ได้แล้วค่ะ พอดีไม่เคยจดรายละเอียด ก็แลยเริ่มมีกำลังใจแรงฮึดขึ้นมา
แต่อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้ลดน้ำหนักแบบหาแอลคามาทานเองสุ่มสี่สุ่มห้า เรามีหมอคอยกำกับดูแลตลอดทริปที่ลดน้หนัก (ดูแลเราดีมากตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย) จริงๆเราก็ไม่ได้อยากแนะนำให้ทานเท่าไหร่หรอกนะคะ เพียงแต่เราแค่อยากจะแชร์ประสบการณ์ว่าเราทำอะไรและทานอะไรมาบ้าง ถ้าจะให้บอกว่าไม่ได้ทานอะไรเลยมันก็ดูเฟคเกินไป เราก็เลยจะเล่าแบบตามจริงค่ะ
แล้วก็ขอย้ำชัดๆและขีดเส้นใต้ตรงนี้เลยว่า ไม่ต้องหน้าไมค์/หลังไมค์มาถามว่าทานแอลคายี่ห้ออะไร เพราะว่าไม่ได้ต้องการมาขายยา เราไม่ใช่หน้าม้าของผลิตภัณฑ์อะไรใดๆทั้งสิ้นค่ะ แล้วถ้าใครที่ไม่รู้จักแอลคานิทีก็ไปเซิชหาคำตอบกันเองได้ในกูเกิ้ลนะคะ
ต่อนะคะ
หลังจากที่ทานแอลคาหมดไป 2 กระปุก และน้ำหนักเริ่มลดลงบ้างแล้ว เราก็หยุดทานค่ะ แล้วหันมาจริงจังกับการลดน้ำหนักแบบวิธีธรรมชาติ ที่บอกว่าวิธีธรรมชาติก็คือ ทำอาหารทานเอง ซักผ้าเองด้วยมือ กวาดบ้านถูบ้าน ปลูกต้นไม้
เราเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆอย่าง อย่างที่บอก ถ้าไปใกล้ๆก็เดินเอา ถ้าจะข้ามฝั่งก็ขึ้นสะพานลอย ไปจ่ายตลาดหรือไปโลตัสก็ปั่นจักรยาน แล้วก็ค่อยๆงดพวกขนมขบเคี้ยวลง
และในระหว่างที่ลดน้ำหนักขอบอกเลยว่าเราไม่เคยชั่งน้ำหนักเลย เพราะเรารู้สึกว่าการที่ชั่งน้ำหนักบ่อยๆมันเหมือนเป็นการไปกดดันตัวเองจนเกินไป เราอยากที่จะลดแบบสบายๆ ไม่เครียด แล้วเราก็ไม่เคยตั้งเป้าหมายด้วยว่าต้องลดให้ได้เท่านั้นเท่านี้ เอาว่าลดได้เท่าไหร่คือเท่านั้น ทุกอย่างทำดีที่สุดแล้ว เราคิดแค่นั้นจริงๆ
เพราะเมื่อใดที่ใจเรารู้สึกสบายไม่เครียด เราก็จะลดน้ำหนักได้อย่างมีความสุข การลดน้ำหนักให้ได้ผลคนลดต้องมีความสุขค่ะ ถ้าคนที่ลดน้ำหนักไม่มีความสุขพอเวลาผ่านไปซักพักความเครียดที่สะสมเอาไว้มันจะระเบิดออกมา แล้ววิธีที่จะบรรเทาความเครียดก็คือ การกินๆๆๆๆ กินเสร็จเครียดหนักกว่าเดิม
การลดน้ำหนักให้ได้ผลไม่ได้มีอะไรมากมายเลยจริงๆค่ะ ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ใจจริงๆ หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ใช่มั้ยคะ ใช่เลยค่ะ สาเหตุส่วนใหญ่ที่หลายคนลดน้ำหนักไม่ได้ผลก็คือ จิตใจไม่ไปกับร่างกาย คือ ใจน่ะ อยากลดน้ำหนักนะ แต่แม๋..โน่นก็อยากกิน นี่ก็น่ากิน นี่ก็อร่อย ขอนิดนึงแล้วกัน แล้วสุดท้ายเป็นไงคะ ก็กลับมานั่งโทษตัวเองว่า โถ่..ไม่น่ากินเลย ต่อไปจะไม่กินอีกแล้ว ทีนี้ก็จะเริ่มอดอาหาร พยายามกดดันตัวเองให้ไม่ยอมกินอะไรกะชดเชยให้กับสิ่งที่กินเข้าไปเมื่อครั้งที่แล้ว ทีนี้พอเริ่มทนไม่ไหวก็ตบะแตก กินหนักมากกว่าเดิมอีก ความรู้สึกแบบนี้มันก็จะวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ท้อและเลิกคิดที่จะลดน้ำหนักไปในที่สุด
เพราะฉะนั้นกายกับใจต้องไปด้วยกันค่ะ และหลักการการลดน้ำหนักเราเชื่อว่าทุกคนส่วนใหญ่รู้ แต่...ไม่สามารถทำได้ก็คือ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และสุดท้ายเลยที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน เรื่องพวกนี้เราก็รู้เหมือนอย่างที่ทุกคนรู้ แต่ก็ไม่เคยทำได้ซักทีเช่นกัน
เราเองใหม่ๆก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ยากมากที่จะต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เราเคยทำมานานนม ต้องคุยกับหัวใจตัวเองค่ะ ลองถามใจตัวเองดู ว่าพร้อมมั้ย อยากทำมั้ย เพราะการลดน้ำหนักให้ได้ผลต้องเริ่มจากตัวเอง ต้องสร้างกำลังใจขึ้นมาจากตัวเอง และเชื่อมันในตัวเอง
เพราะในช่วงที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ เราคิดว่าหลายๆคนคงเคยได้รับคำสบประมาทจากคนรอบข้างมาบ้าง ว่าหน้าอย่างเธอทำไม่ได้หรอก ไม่มีทางลดน้ำหนักได้แน่ๆ หลายๆคนเลยเกิดความท้อแท้ และหยุดการลดน้ำหนักไป เราต้องไม่คิดแบบนั้นนะคะ เราตั้องแปรเปลี่ยนคำสบประมาทเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้เราสู้ต่อไป คิดบวกเข้าไว้ แต่อย่างที่ได้บอกไปอล้วว่า มุ่งมั่นได้แต่อย่ากดดันตัวเอง
พอเริ่มสร้างกำลังใจจากภายในมาสู่ภายนอกได้แล้ว ทีนี้การลดน้ำหนักมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เราจะขอเล่ารายละเอียดของเราคร่าวๆนะคะ ว่าเราทำอะไรและทานอะไรบ้าง เอาเท่าที่พอจะนึกออกนะ เพราะมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว
เราใช้เวลาในการลดน้ำหนัก จาก 83 มาอยู่ที่ 64 ภายในระยะเวลา ปีครึ่งค่ะ หลายๆคนอาจจะเห็นว่าทำไมใช้ระยะเวลานานจัง ก็อย่างที่ได้บอกไปแล้วข้างต้นว่า ตัวเลขในการลดน้ำหนักตามมาตรฐานที่ถูกต้องคือ สัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม (2 กิโลต่อ 1 เดือน) แต่โดยเฉลี่ยๆแล้วใน 1 เดือนเราทำได้แค่ 1 กิโลกรัมนิดๆเองค่ะ เพราะเราค่อนข้างขี้เกียจ และตอนที่เริ่มลดน้ำหนักใหม่ๆเรายังจับจุดตัวเองไม่ได้ว่า การลดน้ำหนักแบบไหนที่เหมาะกับเรา หลังจากนั้นก็คงที่อยู่ที่ตัวเลข 64 มาประมาณ 5 - 6 เดือนได้มั้งคะ เราก็คิดว่านี่คงถึงที่สุดของร่างกายเราแล้วมั้ง เราก็โอเคนะ ดีใจมากๆ ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว
อ๊ะ ลืมเล่าไปว่าช่วงที่ได้เพื่อนใหม่ในเว็บบอร์ดอ่ะ เป็นช่วงที่น้ำหนักเราพีคที่สุด คือหนักที่สุดในชีวิตค่ะ น้ำหนักเราเกิน 83 กิโลแน่นอน เพราะนัดทานบุฟเฟ่ต์กันบ่อยมาก ทั้งเค้กบุฟเฟ่ต์ ทั้งบุฟเฟ่ต์ญี่ปุ่น ทั้งหมูกระทะ คือไปหมดที่เค้าว่าดีที่เค้าว่าอร่อยเริ่ด ช่วงนั้นขึ้นอืดแบบสุดๆ เพราะงั้นถ้าจะนับน้ำหนักกันตามจริงคือ เกิน 83 กิโลนะ อิอิ
ช่วงนั้นต้นแขนล่ำมากๆ เราเป็นคนข้อมือเล็ก แต่ส่วนอื่นใหญ่หมดค่ะ มันก็เลยดูตลกๆ เพื่อนคนนึงบอกเราหุ่นเหมือนตุ๊กตาล้มลุก เพราะข้อมือกับข้อเท้าเล็กมาก 5555 รูปนี้ไปงานแต่งเพื่อนแม่ค่ะ ในงานยืนเด่นเป็นสง่ามาก คนมองเป็นตาเดียว ไม่ใช่เพราะความอ้วนอย่างเดียวนะคะ แต่เพราะสีของชุดด้วย ตามธรรมเนียมเค้าไม่นิยมใส่สีขาวไปงานแต่ง แต่เผอิญว่าแม่เราชอบสีขาว มันดูสะอาดตาดี แม่ก็เลยจัดการเลือกผ้าสีนี้ให้ไปตัดชุด -*- ตอนนั้นเราเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมาก ให้ใส่อะไรก็ใส่ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ไม่เอาเด็ดขาด - -"
หน้าก็กลมดิ๊กไม่มีคางเลย 5555
ยืนยังขนาดนี้
นั่งจะขนาดไหน พุงเป็นพุงเลย 555
เพราะงั้นตอนที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักตอนปีครึ่ง เราเลยขาดการติดต่อกับเพื่อนๆไปเลย ทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนในเว็บบอร์ด และญาติๆ คือหายไปจากวงโคจรของทุกคนเลยแล่ะ 5555 ไม่ใช่อะไรหรอก เรากะจะเซอร์ไพรซ์เพื่อนๆ แล้วอีกอย่างที่ไม่อยากออกไปเจอคนอื่นๆก็เพราะเวลานัดเจอกันไม่มีอะไรนอกจาก...เรื่องกินนนนน
ซึ่งมันก็ได้ผลจริงๆนะ ได้อยู่กับตัวเอง ได้ทำโน่นทำนี่
พอตอนออกมาเจอเพื่อนๆ หลายคนจำเราแทบไม่ได้เลย เพราะนอกจากจะลดน้ำหนักแล้วเรายังตัดผมสั้นด้วย แต่ก่อนเราจะผมยาวมากๆ เลยกลางหลังอ่ะค่ะ
คือปรับเปลี่ยนทุกอย่างหมดเลย ทั้งเรื่องอาหารการกิน เรื่องทรงผม และการดูแลผิว แต่ก่อนไม่ค่อยดูแลตัวเองค่ะ ลัลล้าไปวันๆ ครีมไม่เคยทา หน้าไม่เคยแต่ง ผมก็ยาวปล่อยกระเซอะกระเซิง - -“ นี่แล่ะค่ะเพื่อนถึงจำไม่ได้ เพราะว่าตอนที่ไปนัดเจอเพื่อนที่รู้จักกันในเว็บบอร์ด เราโบกมือให้เค้า แต่เค้าไม่เดินมาหาเรา กลับมองไปอีกทาง เราก็งงว่าทำไมไม่เดินมาหาเรา เราก็เลยเดินไปหาเค้าเลย เค้าก็ทำท่าตกใจ เค้าบอกว่าเค้าไม่แน่ใจว่าใช่เราหรือเปล่า เพราะเราเปลี่ยนไปมาก คือหน้าอ่ะคล้ายๆอยู่ แต่ตัวอ่ะเหมือนไม่ใช่ ผอมลงไปเยอะ ที่สำคัญหน้าใสขึ้น ผิวก็ขาวขึ้น (จริงๆอย่าเรียกว่าผิวขาวขึ้นเลย เรียกว่าผิวใสขึ้นจากแต่ก่อนดีกว่า) เราก็งง ว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ
2 ปีให้หลังจากรูปข้างบน
แถ่น....แทน.... แท๊นนนนนน..นนน...
นี่ค่ะ เริ่มออกงานหลังจากซุ่มเก็บตัวลดน้ำหนักมานาน อิอิ
คือตัวเราเองจะไม่ค่อยรู้ตัวเองหรอก ต้องให้คนอื่นเค้าทักถึงจะรู้ตัว ทีนี้ก็เลยไปนัดเจอเพื่อนสนิท ก็แบบเดียวกันเลยค่ะ งง+ตกใจกันว่าไปทำอะไรมา นี่เลยเป็นสาเหตุให้เราสร้างบล็อคนี้ขึ้นมานี่แล่ะค่ะ เพราะไม่ว่าไปเจอใครที่ไหนก็จะมีแต่คำถามว่า กินอะไรมา ทำอะไรมา คำถามเดียวกันแทบทั้งสิ้น ตอบหลายครั้งเข้ามันก็เริ่มชักจะเบื่อก็เลยคิดว่า เขียนลงบล็อคเลยดีกว่า แล้วให้เข้ามาอ่านกันเอาเอง
พอได้เจอเพื่อนๆก็เหมือนอย่างที่คิดไว้คือ นัดทานข้าวกัน ทานขนมกัน ขนาดครีสปี้ครีม ก็ยังไม่พลาดนัดกันไปทานเลยค่ะ -*- ทานเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่น่าแปลกที่น้ำหนักไม่ขึ้นเลย คงที่อยู่เลขเดิม (64 กิโล) เราก็มานั่งคิดทบทวนว่า อ้อ...คงเป็นเพราะว่าเราทานแล้วเราก็ออกกำลังกายนี่เอง ไม่ได้ทานเสร็จแล้วก็นอนเหมือนแต่ก่อน ของที่ทานเข้าไปก็เลยไม่สะสมในร่างกายมากๆเหมือนแต่ก่อนนี่เอง
รูปตอนไปทานครีสปี้ครีมตอนนี้น้ำหนักอยู่ที่ 63-64 ละ ถ่ายกับเพื่อนคนเดียวกันกับในรูปที่ 3 เราจะลงรูปที่ถ่ายเฉพาะกับเพื่อนคนนี้คนเดียวนะคะ จะได้เปรียบเทียบขนาดได้ถูกว่าลดลงแค่ไหน และนี่ก็คือความสูงที่แท้จริงของเพื่อน ขนาดเราใส่รองเท้าส้นสูง 2 นิ้วยังได้แค่ติ่งหูเค้าเอง สูงมาก 5555 เพื่อนเราสูง 176 cm. ส่วนเราเตี้ยอ่ะ แค่ 168 cm. เอง เราใส่ส้นสูง 2 นิ้วก็แล้ว ใส่ 4 นิ้วก็แล้วก็ยังสูงไม่เท่า เวลาเดินด้วยกันนี่เหมือนเดินกับเปร_ ไม่กล้าสะกด 5555
มาลองดูกันค่ะว่าเราปรับเปลี่ยนอะไรตัวเองบ้าง เผื่อเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านจะทดลองนำไปใช้กับตัวเองดูบ้าง
1. เราทำอาหารทานเองค่ะ
การทำอาหารทานเองที่บ้านจะทำให้เราควบคุมปริมาณเครื่องปรุง และวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารได้ค่ะ เพราะอย่างที่รู้ๆกันว่ารส หวาน มัน เค็ม เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง แล้วอาหารที่ขายๆกันอยู่ตามท้องตลาดไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่า ส่วนใหญ่มักจะออกเค็ม ถ้าเป็นขนมหวานก็จะหวานเจี๊ยบบบบบ ถ้าเป็นของทอดก็จะอมน้ำมันเลี่ยนสุดๆ แล้วน้ำมันที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นน้ำมันปาล์ม ซึ่งจะมีไขมันทรานส์อยู่ ถ้าเป็นไปได้ควรจะทำอาหารทานเองค่ะ เราจะได้ปรับสูตรอาหารของเราให้เหมาะแก่การลดน้ำหนัก
นี่เป็นรูปอาหารของเราในช่วงที่ลดน้ำหนักค่ะ ภาพอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่นะคะ ถ่ายจากมือถือเครื่องเก่า ถ่ายไว้เมื่อ 1 ปีที่แล้ว พอดีเพื่อนอยากรู้ว่าเราทานอะไรบ้างในแต่ละวัน เราก็เลยใช้มือถือถ่ายรูปลงเฟซบุ้คให้เพื่อนดู พอเห็นรูปแล้วนึกขึ้นได้ว่า ตรงขนมจีนแกงเขียวหวานไก่เราไม่ใช้กะทิค่ะ เราใช้นมสดกับน้ำเต้าหูแทนกะทิ รสชาติออกมาก็เหมือนๆกันกับกะทิแล่ะเราว่า เพียงแต่กลิ่นมันไม่ใช่กะทิแค่นั้นเอง
รูปนี้ทำเล่นๆขำๆให้เพื่อนดูในเฟซบุ้คค่ะ 555 สูงสุดคืนสู่สามัญจริงๆ ยังไงวิธีทานอาหารแบบธรรมชาติก็ดีที่สุดจริงๆ ไม่ต้องใช้สารปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น
สิ่งที่เราเน้นหนักเลยคือ โปรตีนกับผักผลไม้
เวลาเราทำอาหารทุกครั้งจะต้องมีผักเป็นส่วนประกอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และแหล่งโปรตีนของเราก็คือพวกเนื้อปลา ถ้าเป็นหมู - ไก่ ก็ต้องนึ่ง ต้ม ย่าง จะไม่ทอดค่ะ หรือถ้าเป็นโปรตีนประเภทไข่ ก็จะเน้นทานแต่ไข่ขาวไม่ทานไข่แดงค่ะ
อย่างข้าวเราก็ทานเป็นข้าวกล้องค่ะ การทานข้ากล้องจะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มได้นานกว่า เพราะข้าวกล้องอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว จริงๆแล้วข้าวกล้องและข้าวสารทั่วๆไปมีปริมาณพลังงาน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนในปริมาณที่ใกล้เคียงกันนะคะ แต่ต่างกันที่กระบวนการผลิตและคุณสมบัติทางโภชนาการอื่น คือเมื่อเปลือกของเมล็ดข้าวเปลือกถูกกะเทาะออกจะได้ข้าวกล้องก่อนเป็นลำดับแรก และ ถ้าต้องการได้ข้าวสารผิวขาวจั๊วะ ก็ต้องกระเทาะผิว(เรียกว่าถูกขัดสี)ของเมล็ดข้าวอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งก็คือเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวออกไป ซึ่งทำให้วิตามิน และสารอาหารอื่น ๆ ลดลงไปด้วย เช่น วิตามินบี1 บี2 บี6 เหล็ก และแมกนีเซียม
จริงๆแล้วเราทานข้าวกล้องมาต้งแต่เด็กแล้วนะ แต่เพราะพี่ชายไม่ชอบข้าวกล้อง เวลาหูงข้าวกล้องพี่ชายจะไม่ทานเลย ที่บ้านก็เลยเลิกทานข้าวกล้องไป พอจะลดน้ำหนักเราก็เลยหันกลับมาทานใหม่ ตอนหูงข้าวกล้องพี่ชายก็บ่นเหมือนกันว่าเหม็น ไม่อร่อย แต่เราไม่สนใจหรอก อิอิ เพราะสุดท้ายแล้วพี่ชายก็ต้องมาทานด้วยอยู่ดี เพราะเราเป็นคนทำกับข้าวนิ เราทำอะไรมาก็ต้องทาน อันนี้ช่วยไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์หือ อือได้อย่างเดียว 5555
ขอเล่าประสบการณ์การทานผักของเราหน่อย
จำได้ว่าตอน ป.1 (เปิดเทอมมาไม่รู้เป็นไรทุกปีที่โรงเรียนมักจะทำผัดมกักกะโรนีใส่ไส้กรอก แล้วก็ชอบใส่ผักกาดหอมด้วยนะ เราก็ไม่ชอบทานผักไง หนำหนำซ้ำยังมีมักกะโรนีหอยนี่อีก ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่) ก็เลยนั่งเฉยๆ ไม่ทาน คุณครูประจำชั้นเดินมาถามว่าทำไมไม่ทาน เราก็บอกว่า “หนูทานไม่ได้ค่ะ” ว่าแล้วคุณครูก็บอกให้อ้าปากแล้วก็เอาช้อนตักมักกะโรนีกับผักเข้าปากเรา บอกให้เคี้ยวแล้วก็กลืน แล้วก็อ้าปากให้ดูด้วยว่ากลืนไปแล้วจริงๆ ผลก็คือ.....อาเจียนค่ะ อาเจียนกลางโต๊ะเลย เพื่อนวงแตกลุกไปกันหมดแบบเร็วมาก หลังจากนั้นคุณครูก็ไม่กล้าบังคับให้ทานผักอีกเลย กร้ากกกกกก
เรามาฝึกทานผักเอาตอนโตแล้วค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงที่หันมาลดน้ำหนักด้วยเนี่ย มันยิ่งจำเป็นต้องทานให้มากๆ ก็เลยต้องหาวิธีทานผัก โดยการแปรรูปผักแบบต่างๆให้น่าทานให้ได้มากที่สุดค่ะ
2. ไม่ควรอดอาหาร / ทานอาหารให้ตรงเวลา / เคี้ยวอาหารให้ช้าๆและละเอียดที่สุด
เราไม่เคยอดอาหารเลยค่ะ ทานครบทุกมื้อ เพียงแต่จะจัดสรรปันส่วนในแต่ละมื้อว่ามื้อใดควรทานอะไรมากน้อยแค่ไหน
และที่บอกว่าควรทานอาหารให้ตรงเวลาก็เพราะ เวลาเราทานอาหารทุกครั้งจะมีฮอร์โมนอินซูลินที่ควบคุมน้ำตาลปล่อยออกมา ทำให้มีผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด ก็คือถ้าทานอาหารไม่ตรงเวลาเมื่อฮอร์โมนทำงานก็อาจจะทำให้เรารู้สึกโหยๆ มือสั่น อยากกินแต่ของหวานๆ และเมื่อยิ่งกินของหวานก็จะยิ่งอ้วนนั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นการกินอาหารให้ตรงเวลาจะทำให้ร่างกายปรับสมดุลและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างมื้ออาหารของเรานะคะ
เช่น
- มื้อเช้า เราจะทานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
- มื้อกลางวัน ทานแต่พอดี อร่อยพออิ่ม
- มื้อเย็น ทานให้เบาที่สุด เอาเท่าที่ทานอยู่นะคะ เช่น น้ำเต้าหู้เปล่าๆไม่ใส่น้ำตาลแล้วเอามาใส่เครื่องเองที่บ้านได้แก่ ลูกเดือย/ข้าวโอ๊ต/ข้าวบาเร่/เม็ดแมงลัก บางวันก็ นมจืด 1 แก้วกับผลไม้ / สลัดผักน้ำใส บางวันก็ผักลวกจิ้มน้ำพริก มีแต่ผักลวกนะไม่มีข้าว คือเอาผักลวกมาจิ้มน้ำพริกทานคล้ายสลัดแบบฝรั่งนั่นแล่ะ หรือเรียกอีกอย่างว่าสลัดผักแบบไทยๆ 5555
อืมมม...รู้สึกเหมือนเคยได้ยินใครบอกมานะว่า “มื้อเช้าให้ทานแบบราชา มื้อกลางวันให้ทานแบบคนธรรมดา มื้อเย็นให้ทานแบบยาจก” ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณนี้นะคะ เราว่าที่เค้าบอกมามันใช่เลยแล่ะ เหมือนสำนวนฝรั่งที่บอกว่า “You are what you eat” ทานอะไรไปก็ได้อย่างนั้น
ที่ห้ามอดโดยเด็ดขาดเลย คือมื้อเช้าค่ะ สำคัญที่สุดเลยนะคะ จำเป็นต้องทานจริงๆ พยายามอย่าอดมื้อเช้าเลยนะคะ มื้อเช้ามีควาสำคัญต่อเมตาบอลิซึ่ม(การเผาผลาญ)ของร่างกายมากๆเลยค่ะ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการรับประทานอาหารมื้อเช้าคือ เวลา 7.00 – 9.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่กระเพาะอาหาร เริ่มทำงาน
ถ้าไม่มีอาหารลงไปในกระเพาะ การบีบรัดตัวของกระเพาะจะไปเอาอุจจาระกลับเข้ามาย่อยซ้ำ สารที่ย่อยจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษจากอุจจาระ แทนที่จะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ ฉะนั้น คนที่ท้องผูกบ่อยๆ อุจจาระที่ถ่ายออกมาจะเป็นเม็ดแข็งเพราะถูกย่อยซ้ำและถูกดูดน้ำออกไปซ้ำอีกค่ะ
จริงๆแล้วถ้าไม่สะดวกในการรับประทานอาหารเช้า แค่โยเกิร์ต 1 กระป๋องกับกล้วยน้ำว้า 1 ลูกก็พอใช้ได้นะคะ โยเกิร์ตเนี่ยดีสำหรับกระเพาะและลำไส้ ส่วนกล้วยน้ำว้าอุดมด้วยโปรตีนและวิตามิน เอ ซี และอี ย่อยง่ายด้วย ควรจะมีกล้วยน้ำว้าติดบ้านไว้บ้างนะคะ จริงๆเราชอบทานกล้วยนะ แต่สาเหตุที่ไม่ค่อยได้ทานเท่าไหร่เป็นเพราะว่า ตอนที่ซื้อมามันจะยังเขียวๆอยู่ แต่พอมันเริ่มสุกแล้วนี่สิคะ ทานไม่ทันเลยค่ะ ทานได้แค่ 2-3 ลูกมันก็เริ่มเน่าทั้งหวีแล้ว สรุปก็เลยไม่ซื้อมาทานดีกว่า เสียดายเงินค่ะ5555 ทานไม่เคยหมดหวีเลยค่ะ เน่าซะก่อน
แต่ถ้าเอาง่ายที่สุดสำหรับเราในวันรีบเร่งและวันขี้เกียจเลยนะ นี่เลย ซีเรียลใส่นมและน้ำผลไม้ 1 แก้ว เราทานแต่นมจืดนะคะ น้ำเต้าหู้(น้ำนมถั่วเหลือง) เราก็ทานแบบไม่ใส่น้ำตาล แต่ถ้าอยกาได้รสหวานนิดนึงเราเลือกใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาลค่ะ
ส่วนเรื่องการเคี้ยวข้าวให้ละเอียด หรือ เคี้ยวข้าวให้นานขึ้นนั้น ในแง่ที่เราคิดคือ ถ้าเราทานอาหารคำใหญ่เกินไปเราก็จะทานได้ในปริมาณที่มาก กว่าจะรู้สึกอิ่มก็ต้องทานเข้าไปตั้งเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ถ้าเราเคี้ยวอาหารให้ละเอียดๆและนาน จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว และทานได้น้อยกว่า เพราะต้องไม่ลืมว่า คนหิวเพราะว่าสมองสั่งให้หิว เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
ก็คือถ้าเราเคี้ยวข้าวให้ละเอียดก็จะทำให้น้ำย่อยทำงานได้เร็วขึ้น เพราะอาหารจะมีพื้นที่สัมผัสกับน้ำย่อยได้มากขึ้น ทำให้ย่อยง่ายขึ้น เพราะอาหารบางอย่างอาจจะย่อยเสร็จตั้งแต่ในกระเพาะ แต่อาหารบางอย่างก็ต้องไปย่อยต่ออีกที่ลำไส้เล็ก จึงทำให้การดูดซึมของสารอาหารมีประสิทธิภาพได้ดีกว่า พอการดูดซึมสารอาหารเร็วขึ้น ร่างกายก็ได้รับปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
สรุปก็คือ ถ้าในเลือดเริ่มมีน้ำตาลจากอาหารเข้ามาเร็ว เพราะร่างกายเริ่มย่อยและดูดซึมได้ดี จะทำให้สมองก็สั่งการว่าไม่หิวแล้ว ทำให้เราทานข้าวแค่นิดเดียวก็หายหิวแล้ว แต่ถ้าคนที่ทานข้าวเร็วๆและคำใหญ่ๆ กว่ากระเพาะจะเริ่มย่อยก็หมดจานไปแล้วโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งที่ยังคงรู้สึกหิวอยู่ และยังสามารถทานต่อได้อีกเรื่อยๆ แต่หลังจากทานข้าวเสร็จนี่แล่ะจะรู้สึกเหนื่อยมาก ราวกับไปออกรบที่ไหนมาเลย เพราะกระเพาะจะเริ่มทำงานหนัก
ส่วนมื้อเล็กๆน้อยๆ หรือที่เรียกว่ามื้อย่อยระหว่างวัน เวลาเหงาปากนั้น เราเลือกเป็นพวกเมล็ดธัญพืชค่ะ พวกถั่ว งา เมล็ดฟักทอง เราทานหมดทั้งแบบเป็นเม็ดมาแทะแกะเอง และแบบที่เค้าแกะมาให้สำเร็จรูปแล้ว แล้วก็มีพวกถั่ว-งาแปรรูปแบบต่างๆ จริงๆของพวกนี้น้ำตาลค่อนข้างสูงนะคะ ควรจะซื้อแบบธรรมดามาทานดีกว่า แต่บางทีก็อยากจะเปลี่ยนรสชาติบ้างอะไรบ้าง ก็ซื้อมาทานได้ค่ะ แต่อย่าให้บ่อยนัก หรือถ้ายังอยากทานพวกมันฝั่งทอดก็แนะนำให้ทานแบบห่อเล็กๆค่ะ สมัยก่อนเราทานแต่ห่อใหญ่ๆ เราก็ลดขนาดลงมา จากห่อละ 30 ก็เหลือห่อละ 5 บาท เอาแค่ได้ชิมรสชาติพอ ให้ลิ้นมันได้รับรสสัมผัสบ้าง ได้ชิมแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อิอิ
เรื่องที่แบ่งทานให้มื้อเล็กๆนี้เราไม่ค่อยทราบแน่ชัดนะคะว่าจะมีผลต่อการลดหรือเพิ่มน้ำหนักจริงมั้ย แต่ที่เราทานเพราะว่ามันเป็นเคยชินมากกว่า
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของนิวยอร์คไทมส์ (nytimes) เรื่อง "The Claim: Eat Six Small Meals a Day Instead of Three Big Ones" By ANAHAD O'CONNOR
เรื่องการทานอาหารมื้อเล็กๆ 6 มื้อ/วันแทน 3 มื้อใหญ่
เค้ามีแนวความคิดในเรื่องการทานอาหารมื้อเล็กๆ บ่อยๆ เช่น แบ่งอาหาร 3 มื้อใหญ่เป็น 6 มื้อย่อย ฯลฯ จะทำให้ร่างกายมี metabolism (การเผาผลาญอาหาร) เพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการใช้กำลังงานเพิ่มขึ้นในระหว่าการย่อยและดูดซึมสารอาหาร ทำให้อัตราการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้นหลังอาหาร
การศึกษา (ตีพิมพ์ใน The British Journal of Nutrition) ปี 2009 ทำในกลุ่มตัวอย่างคนที่มีน้ำหนักเกิน สุ่มให้กินอาหารหลายๆ รูปแบบ 8 สัปดาห์ เน้นให้จำนวนมื้อไม่เท่ากัน คือ 3 มื้อ/วัน หรือ 6 มื้อ/วัน และกำลังงานหรือแคลอรีรวมเท่ากัน
ผลการศึกษาพบว่า การทานอาหาร 3 มื้อใหญ่/วัน กับ 6 มื้อเล็ก/วัน ไม่ทำให้ไขมันในร่างกายลดลง การควบคุมความหิว และระดับฮอร์โมนหิวกับฮอร์โมนอิ่มแตกต่างกัน ส่วนการศึกษาอื่นๆ ก็ให้ผลในทำนองนี้เช่นกัน
กลไกที่เป็นไปได้ คือ ถึงแม้ว่าการเผาผลาญอาหารจะเพิ่มขึ้นหลังทานอาหาร แต่อัตราการเพิ่มไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะทานวันละ 3 หรือ 6 มื้อ เพราะฉะนั้นปัจจัยที่มีผลต่อการลดความอ้วนมากกว่าได้แก่ ปริมาณแคลอรีที่ทานเข้าไปในแต่ละวัน , การนอนหลับ และการออกกำลังกาย
เรายังไม่แน่ใจนะคะว่ามีบทความใหม่ๆออกมาโต้แย้งแนวความคิดนี้หรือยัง เดี๋ยวจะลองถามเพื่อนดูค่ะ จริงๆเคยเรียนผ่านๆมาบ้างนะเรื่องการทำงานของระบบลำไส้ แต่มันก็เนิ่นนานมาละ ความรู้คืนครูไปหมดแล้ว ตอนนี้รอถามผู้รู้แต่เพียงอย่างเดียวดีกว่า อิอิ
3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนให้เพียงพอถือว่าสำคัญมากของคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะถ้าร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนให้เต็มที่ อาจจะมีผลกระทบต่อฮอร์โมนเลปติน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร [ฮอร์โมนเลปตินสร้างขึ้นโดยเซลล์เนื้อเยื่อไขมัน (adipose tissue) ทำหน้าที่เป็นตัวสัญญาณส่งไปยังสมองส่วนไฮโปทาลามัส (hypothalamus) เพื่อกระตุ้นให้รู้สึกอิ่มหรืออยากอาหารน้อยลง]
เพราะงั้นคนที่อดนอนจะรู้สึกหิวมากกว่าคนที่นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ค่ะ จะมีอาการหิวแบบหิวโซ ทานอะไรก็ไม่รู้สึกอิ่ม ซึ่งแต่ก่อนเราจะนอนดึกมากๆ ตี 2 - 3 ทุกวัน บางวันก็ถึงเช้าเลย เราก็ปรับเวลาการนอนมาเป็นไม่เกิน 4 ทุ่ม มากสุดต้องไม่เกินเที่ยงคืน จะอาบน้ำตอนประมาณ 3 ทุ่มครึ่งค่ะ เพราะจะได้มีเวลาเตรียมตัวนอน เราเป็นคนที่ค่อนข้างหลับยาก เพราะงั้นเลยต้องใช้เวลาเตรียมตัวก่อนนอนนิดนึง
เหตุที่ไม่ควรนอนหลัง 4 ทุ่มก็เพราะ ในช่วงเวลา 4 ทุ่ม - ตี 2 ผิวของเราจะทำงานได้ดีที่สุด ทั้งนี้เนื่องจาก ร่างกายของเราหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า Melatonin ออกมา เจ้า Melatonin นี้มีหน้าที่หลักในการควบคุมการนอนหลับของร่างกาย โดยทำให้เรารู้สึกง่วงนอน และยังทำให้ร่างกายมีการผ่อนคลายทั้งกล้ามเนื้อและระบบประสาท และเจ้า melatonin ตัวนี้แล่ะจะหลั่งออกทาสูงสุดในช่วงเวลา 4 ทุ่ม - 5 ทุ่ม และจะหลั่งออกมาในขณะที่เรานอนหลับสนิทเท่านั้น และในช่วงระยะเวลานี้ เท่านั้นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราหลับไม่สนิทร่างกายของเราจะหลั่งเจ้าสารตัวนี้ออกมาน้อยมาก
และเจ้าฮอร์โมน Melatonin นี่เองแล่ะที่ช่วยเรื่องผิวเป็นอย่างดี เพราะฮอร์โมนนี้มีคุณสมบัติเป็นสาร Anti-oxidants หรือที่เรียกกันว่าสารต้านอนุมูลอิสระให้ผิว Melatonin ยังมีผลในการเพิ่มการหลั่ง Growth hormone ซึ่งเจ้า Growth hormone นี้เองค่ะ ที่หลั่งออกมาช่วยเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ช่วยในกระบวนการผลัดเปลี่ยนซ่อมแซมเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ทั้งคอลาเจนใต้ผิวหนังและเซลล์กล้ามเนื้อต่างๆในร่างกายอีกด้วย
เห็นมั้ยคะว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่นอกจากจะช่วยเรื่องลดน้ำหนักด้วยแล้ว ยังช่วยเรื่องผิวพรรณอีก ได้ประโยชน์ 2 ต่อเลยนะคะ เพราะงั้นไม่ควรนอนดึกค่ะ ควรจะพักผ่อนนอนหลับให้พอเพียง
4. ดื่มน้ำให้เยอะๆ โดยเฉพาะน้ำเปล่า
การดื่มน้ำเยอะๆช่วยได้มากจริงๆค่ะ เราควรจะดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยเร่งเรื่องการเผาผลาญได้อีกด้วย การดื่มน้ำเยอะๆที่ว่า หมายถึงการค่อยๆจิบ ค่อยๆดื่มนะคะ ไม่ใช่ว่าดื่มกันทีเป็นลิตรๆ อันนั้นนอกจากจะไม่ช่วยให้ดีขึ้นแล้ว ยังจะทำให้มีผลข้างเคียงด้วยค่ะ
เพราะโดยปกติแล้วคนเราต้องการน้ำโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ วันละ 2 - 2.4 ลิตร ต่อวัน ถ้าดื่มมากไปจนเกินพอดี ก็จะทำให้ส่วนประกอบของเลือดเจือจางลง ทำให้ไปเจือจางเกลือโซเดียมในเลือด พูดง่ายๆก็คือทำให้ระดับโซเดียมในเลือดต่ำ(Hyponatremia) อาจจะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆบวมน้ำได้ ถึงแม้ว่าไตจะเร่งการขับถ่ายออกแล้วก็ตาม คนที่ทานเค็มมากๆจึงมีอาการบวมน้ำไงคะ เพราะคนที่ทานเค็มจะมีอาการกระหายน้ำตลอดเวลามากกว่าคนปกติ แล้วก็จะเข้าใจผิดๆว่าตัวเองนั้นอ้วนๆๆๆ เพราะฉะนั้นสำรวจตัวเองให้ดีนะคะว่าอ้วนขึ้นเพราะสาเหตุใด ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจเลยค่ะว่า งด หวาน มัน เค็มๆๆๆๆๆ
แต่บางทีเราก็ต้องการดื่มน้ำอะไรหวานๆเย็นๆใช่มั้ยคะ เราก็จะเลือกเป็นน้ำผลไม้กล่องดื่มแทนค่ะ จริงๆน้ำผักผลไม้กล่องพวกนี้แทบจะไม่มีวิตามินอะไรเหลืออยู่แล้วนะคะ เพราะการที่ต้องเก็บไว้เป็นระยะเวลานานๆวิตามินที่อยู่ในผักผลไม้มันจะสลายไปเองตามระยะเวลาของมันค่ะ เค้าถึงบอกว่า ให้ทานผักและผลไม้สดๆถึงจะได้รับวิตามินมากที่สุด แต่อย่างที่บอก เราดื่มแค่ขำๆ ไม่ได้จริงจังว่ามันจะได้รับประโยชน์อะไรมากนัก ดื่มแค่พอให้รู้สึกสดชื่นนิดๆหน่อยๆแค่นั้นเอง
หมดหรือยังน้อเรื่องอาหารการกิน คิดว่าหมดแล้วนะเท่าที่นึกออกน่าจะมีเท่านี้ แต่ถ้านึกอะไรได้เพิ่มเติมก็จะเอามาเพิ่มให้นะคะ เพราะนอกนั้นก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น อย่าซื้อของกินมากักตุนเก็บสำรองเอาไว้เยอะแยะ ไม่อยากจะบอกเลยว่าแต่ก่อนเปิดตู้เย็นมาทีนึกว่าหลบอยู่ในหลุมหลบภัย เพราะขนมจะเยอะมาๆๆๆๆ เป็นคนชอบทานขนมค่ะ ทานจุบจิบ นอนดูทีวีไปก็ทานไปด้วย โดยเฉพาะมันฝรั่งทอดกรอบ อย่าให้เอ่ยชื่อเลยว่ายี้ห้ออะไร เหอะๆ เอาเป็นว่าซื้อมาทานแต่ถุงบิ๊กไซด์ แล้วก็พวกพาสต้า พวกชีส ทำพาสต้าทานบ่อยกว่าทานข้าวอีกค่ะ เพราะชอบอะไรที่เป็นเส้นๆ เว้นแต่เส้นมักกะโรนีที่เป็นรูปหอยกับเส้นบะหมี่นะ อันนั้นไม่ชอบเลย
พูดถึงเรื่องเส้น หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าวุ้นเส้นทานแล้วไม่อ้วน แต่แท้ที่จริงแล้ววุ้นเส้นก็คือแป้งชนิดหนึ่งค่ะ วุ้นเส้นที่ทำจากถั่วเขียว ประกอบด้วย ความชื้น 15.7% ไขมัน 0.6% โปรตีน 0.13% เถ้า 0.17% กาก 0.46% คาร์โบไฮเดรต 82.9% ในวุ้นเส้นสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี วุ้นเส้นดิบ 100 กรัม ให้พลังงาน 338 กิโลแคลอรี
กระบวนการแปรรูปจากถั่วเขียวให้มาเป็นวุ้นเส้นนั้น คือการทำให้ถั่วเขียวกลายเป็นแป้งถั่วเขียวก่อน แล้วค่อยนำมาทำเป็นเส้นค่ะ เพราะฉะนั้นคุณค่าทางอาหารที่มีอยู่ในถั่วเขียวแทบจะไม่มีวิตามินที่หลงเหลืออยู่เลย พูดง่ายๆวุ้นเส้นก็คือแป้งใสๆดีๆนี่เอง ไม่ได้มีความแตกต่างจากอาหารประเภทเส้นอื่นๆเลย
ส่วนโปรตีนและวิตามินจากถั่วเขียวหลังจากที่ทำเป็นวุ้นเส้นน่ะเหรอ เค้าเอาไปให้หมูทานต่อค่ะ สรุปหมูได้ทานวิตามินและโปรตีนจากกากถั่วเขียว แต่เราได้ทานแป้งจากถั่วเขียวแทนค่ะ ฮ่าๆๆๆ ที่บ้านลุงของเราที่ตจว.พอเวลาข้าวสารเหลือจากการค้าขาย เค้าจะเอาข้าวสารหอมมะลิของเค้ามาแปรรูปเป็นเส้นขนมจีนค่ะ เราก็เลยได้เห็นวิธีทำและขั้นตอนการผลิตว่าเอาข้าวสารห้อมมะลิมาทำเส้นขนมจีนยังไง ซึ่งมันก็ไม่แตกต่างกันกับการทำวุ้นเส้นจากถั่วเขียวนี่เท่าไหร่เลยค่ะ
ตอนเด็กๆเรายังเคยโดนเค้าหลอกเล้ยว่า ทานขนมจีนของเค้าแล้วไม่อ้วนนะ เพราะทำจากข้าวหอมมะลิ -*- แต่เรื่องรสชาติเราว่ามันแตกต่างกว่าเส้นขนมจีนทั่วไปจริงๆแล่ะ เพราะเส้นขนมจีนที่ทำจากเมล็ดข้าวแท้ๆมันจะมีกลิ่นที่หอมกว่าและเหนียวนุ่มกว่า สีก็จะออกเหลืองๆธรรมชาตินะ ไม่ขาวจั๊วะเหมือนเส้นขนมจีนที่เห็นขายๆกัน ได้มีโอกาสทานแค่ตอนเด็กๆเท่านั้นแล่ะ เพราะตอนนี้เค้าไม่ทำแล้ว ขั้นตอนมันยุ่งยากซับซ้อน เค้าทำแบบโบราณ ยังใช้เครื่องโม่หินโม่แป้งอยู่เลยค่ะ
นึกออกได้อีกอันคือ เราไม่ดื่มชา กาแฟค่ะ เราแพ้กาแฟ ดื่มแล้วใจสั่น เดินผ่านร้านกาแฟก็ไม่ได้ เหม็นกลิ่นกาแฟ ไมเกรนขึ้นทุกครั้งที่ได้กลิ่นกาแฟ หลายคนที่ทานกาแฟลดน้ำหนักยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ อาจจะสงสัยว่าทำมทานแล้วน้ำหนักไม่เห็นลดลงเลย ลองสำรวจดูนะคะว่าเป็นกาผสมครีมเทียม+น้ำตาลหรือเปล่า
ถึงแม้ว่าคาเฟอีนจะช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึม ซึ่งเป็นการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นในระดับสัตว์ทดลองและมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายดีจนทำให้ร่างกายผอมเพรียวโฆษณากันอยู่ มิหนำซ้ำถ้าดื่มในปริมาณที่มากๆ นอกจากจะไม่ทำให้ลดน้ำหนักได้แล้ว ยังทำให้เสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจด้วยนะคะ เพราะถ้าได้รับคาเฟอีนมากเกินจำเป็น จะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตสูงและระดับไขมันในกระแสเลือดมากกว่าปกติ ยังไม่รวมถึงสารลดน้ำหนักต่างๆที่เค้าใส่ผสมลงไปในกาแฟนี่อีกนะคะ
อีกอย่างยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันด้วยว่า ดื่มกาแฟแล้วจะลดน้ำหนักได้จริง รู้สึกว่าเมื่อไม่นานมานี้ทางอย.ได้มีการตรวจจับกาแฟลดน้ำหนักยี่ห้อหนึ่ง พอเอามาตรวจก็พบสารลดน้ำหนักผสมอยู่เพียบเลย
พาร์ทนี้เราจะเน้นแต่เรื่องอาหารการกินก่อนนะคะ เดี๋ยวพาร์ทหน้าเราจะมาว่ากันเรื่องการออกกำลังกายลดต้นแขน-ต้นขากันค่ะ จริงๆแล้วเราก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่หรอก แต่มีน้องทักว่าขาเล็กลง ไปทำอะไรมา(เจอคำถามแบบนี้อีกแล้ว) เราก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันได้ผลหรือไม่ได้ผล ก็ได้ยินเค้าบอกต่อๆกันมาอีกที ก็ทำ เพราะไม่เห็นว่าเสียหายอะไร
ลงรูปให้ดูไปก่อนนะคะว่าขามันลดลงจริงมั้ย เพราะอย่างที่บอก ก็ไม่แน่ใจว่าขามันเล็กลงเพราะผอมลง หรือว่าเพราะทำท่าบริหารขากันแน่
รูปนี้ถ่ายตอนม.6 (ไม่นานหรอก ประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วนี้เอง เอิ๊กกกกก)
รูปนี้ถ่ายเมื่อเดือนที่แล้วค่ะ ถ่ายแบบไม่สาดแฟลช
ตอนนี้น้ำหนักลงมาอยู่ที่ 60.8 แล้วค่ะ
ลองเทียบดู อันนี้สาดแฟลช