กรกฏาคม 2555

1
2
3
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
21
22
24
25
26
27
28
29
31
 
 
The Dark Knight Rises – “เพลิงอัคคีปะทุ ศรัทธามลายสิ้น ในศึกปิดตำนานอัศวินรัตติกาลผงาด !”
ระดับความน่าสนใจ : A+

“The Dark Knight Rises” เล่าเรื่องราว 8 ปีต่อมาหลัง Batman หายตัวไปจากเมืองก็อธแธมนับตั้งแต่การก่อแผนป่วนเมืองของ Joker ที่จบลงด้วยการตายของอัยการเขต Harvey Dent และการขึ้นบัญชีตามล่า Batman ของกรมตำรวจเพราะคิดว่าเขาคือคนฆ่าวีรบุรษผู้นำแสงสว่างมาสู่เมืองนี้ โดยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ยอดการก่ออาชญากรรมในเมืองก็มีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่องจากความสำเร็จของกฏหมายป้องกันอาชญากรรมเดนท์ภายใต้การดูแลของ ผู้บัญชาการ Gordon ผู้ซึ่งเก็บงำความลับการตายที่แท้จริงของ Dent ไว้กับตัวตลอดเวลาที่ผ่านมา พร้อมการเก็บตัวเงียบไม่ออกมาพบปะผู้คนอีกเลยของมหาเศรษฐีประจำเมืองนาม Bruce Wayne ที่สภาพร่างกายตอนนี้ก็ไม่แข็งแรงสมบูรณ์ดั่งเดิมเท่าไหร่นัก

จนกระทั่งการปรากฏตัวของ Bane วายร้ายผู้สวมหน้ากากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือการต่อสู้พร้อมพละกำลังมหาศาลที่มาเยือนเมืองก็อธแธมด้วยกองทัพทหารรับจ้างของตนเพื่อดำเนินแผนการทำลายเมืองครั้งใหญ่ ในเวลาเดียวกับการที่แมวขโมยสาวฝีมือฉกาจนาม Selina Kyle ก็กำลังสร้างผลงานฉกของล้ำค่าไปทั่วเมือง และการเข้ามาของ เจ้าหน้าที่ Blake ตำรวจหนุ่มไฟแรงผู้เชื่อมั่นว่าอัศวินรัตติกาลต้องกลับมาช่วยเหลือชาวเมืองแน่ๆเมื่อเหตุร้ายมาเยือน จนนำมาซึ่งการตัดสินใจของ Wayne ในการกลับมาสวมชุด Batman อีกครั้งเพื่อตอกย้ำในศรัทธาแห่งความยุติธรรมของชาวเมืองที่กำลังสูญสลาย และดับเพลิงอัคคีแห่งความพินาศที่ปะทุไปทั่วเมือง ด้วยการกลับมาผงาดตอกย้ำการเป็นฮีโร่ที่แท้จริงเป็นครั้งสุดท้าย !!!

เมื่อพายุมาเยือน

ผู้กำกับ Christopher Nolan นำเสนอการปิดตำนานอัศวินรัตติกาลเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมสมการรอคอย แม้หนังจะมาพร้อมตัวละครหลักที่มากมายทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ แต่ Nolan ก็แบ่งน้ำหนักและลำดับการนำเสนอตัวละครต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะมีบางช่วงที่ดูรวบรัดไปบ้างแต่ก็ไม่ทำให้เนื้อหาหรืออารมณ์หนังสะดุดลงแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น “The Dark Knight Rises” ยังมาพร้อมการดึงอารมณ์และจุดเด่นของหนัง 2 ภาคแรก ทั้งการดึงเรื่องของการต่อสู้กับความกลัวภายในตนเอง –การตัดสินใจยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องภายใต้ตัวตนใหม่ (Batman Begins) และ การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทำให้ Batman ต้องกลับมาคิดทบทวนถึงจุดยืนในการเป็นฮีโร่ใหม่อีกครั้ง – การยอมรับความสูญเสียผู้คนอันเป็นที่รักเพราะสิ่งที่เขาเลือกกระทำหรือเลือกที่จะเป็น (The Dark Knight) มาผสมรวมกันออกมาเป็นหนังภาคจบนี้ได้อย่างน่าชื่นชมและทรงพลังมากๆแทบจะตลอดเวลา 164 นาทีของเรื่อง!


เพลิงอัคคีปะทุ


หนังมาพร้อมวายร้ายหลักประจำภาคผู้สวมหน้ากากอย่าง Bane ที่นอกจากจะว่องไว และทรงพลังสุดๆแล้ว ยังเป็นคนประเภทพกความมุ่งมั่นมาอย่างเต็มเปี่ยมในการทำลายล้างเมืองๆนี้ พร้อมๆกับการดึงให้ชาวเมืองต้องเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังอย่างขีดสุดในการรอคอยความตาย ไม่เว้นแม้แต่ Batman เองที่การเผชิญหน้ากับ Bane ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่เป็นรูปธรรม ทั้งด้านร่างกายและพละกำลังที่เหนือกว่าฮีโร่รายนี้ในทุกด้าน (บวกกับสังขารของ Wayne เองที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยอย่างสมัยก่อน) แม้ภาพลักษณ์ความร้ายกาจของ Bane จะไม่ได้มาพร้อมความขลังระดับตำนานอย่างตัวละคร Joker ในภาคก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวละคร Bane ในที่นี้มาพร้อมความแข็งแรงทรงพลังด้านรูปร่างที่ชวนให้รู้สึกน่าเกรงขามสุดๆเช่นกัน

ด้าน Selina Kyle หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Catwoman ในฉบับของ Nolan ถือเป็นตัวละครที่มาพร้อมเสน่ห์ที่ชวนหลงใหล มีความลึกลับในตัวสูง และชวนให้รู้สึกแคลงใจอยู่ตลอดเวลาว่าตัวละครแมวขโมยสาวสวยนี้อยู่ฝ่ายใดกันแน่ได้อย่างดี ส่วน เจ้าหน้าที่ Blake อีกหนึ่งตัวละครใหม่ประจำภาคนี้ หนังนำเสนอว่าเขาคือเจ้าหน้าที่หนุ่มไฟแรงเพียงคนเดียวในเมืองที่ยังคงศรัทธาใน Batman แม้ตำรวจแทบทั้งกรมจะคิดว่าแบทแมนเป็นวายร้ายก็ตาม ซึ่งหนังก็ปูทางตัวละครตัวนี้ไปสู่จุดหมายที่หลายคนคาด(หรือไม่คาด)ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ปิดท้ายกับ Miranda Tate สาวสวยผู้ที่เข้ามาดึง Wayne ให้กลับออกมาสู่โลกความจริงอีกครั้ง ที่สำคัญคือตัวละครใหม่ทั้ง 4 ตัวนี้ล้วนมีผลต่อจิตใจของ Wayne ทั้งสิ้นในด้านที่แตกต่างกันไป



สำหรับฉากการปรากฎตัวครั้งแรกของตัวละคร Bruce Wayne ใน “The Dark Knight Rises” เราจะได้เห็น Wayne ในสภาพที่อิดโรย ไว้หนวดเครารุงรังเล็กน้อย และ มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าจนต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน เขาเลือกเก็บตัวจากโลกภายนอกตลอด 8 ปี ตั้งแต่เลือกยอมรับผิดว่าเป็นผู้ฆ่าอัยการเขต Harvey Dent และการที่ยอดคดีอาชญากรรมลดน้อยลงก็ยิ่งทำให้ Batman ไม่ต้องออกมาทำหน้าที่ใดๆอีกเลย เนื่องจากตำรวจสามารถรับมือเหล่าร้ายได้อย่างอยู่หมัดแล้ว ส่วนภายในใจลึกๆของ Wayne แล้วเขายังคงทำใจกับการสูญเสียอดีตคนรักอย่าง Rachel Dawes ไม่ได้ และมันก็กัดกินความเป็นตัวตนของเขาทั้งในด้านการเป็น Batman ที่ทำให้คนที่เขารักต้องมาพบกับจุดจบ และด้านการเป็น Bruce Wayne ที่คิดว่าชีวิตนี้ไม่เหลือสิ่งสำคัญใดๆอีกแล้ว จนกระทั่งการมาของ Bane ที่ทำให้ Wayne รู้สึกว่าภัยร้ายครั้งใหม่ที่เกินกำลังตำรวจจะรับมือได้มาเยือนเมืองก็อธแธมแล้ว จนทำให้เขาตัดสินใจกลับมาเป็น Batman อีกครั้งทั้งๆที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์อย่างเช่นเคย นั่นนำมาซึ่งการที่ Alfred ไม่สามารถทนเห็นคนที่เขาคอยดูแลคนนี้จะกลับมาเสี่ยงชีวิตและต้องเจ็บปวดจากสิ่งที่เขาพยายามเป็นได้อีกต่อไป

ซึ่งใน “The Dark Knight Rises” เราจะพบว่าตัวละคร Alfred มีการแสดงอารมณ์ความห่วงใยลูกชายคนเดียวของตระกูล Wayne รายนี้มากกว่าภาคก่อนค่อนข้างเยอะอย่างเห็นได้ชัด โดยในสายตาของ Alfred เขาคิดว่าด้วยสภาพร่างกายของ Wayne ในเวลานี้ไม่มีทางต่อกรกับวายร้ายที่แกร่งกว่าอย่าง Bane ได้แน่นอนและที่สำคัญคือ Wayne ยังมีทางเลือกอื่นๆอีกมากมายรออยู่ตรงหน้าให้เลือกตัดสินใจก้าวเดินต่อไป แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าสำหรับ Wayne แล้วเขามีเส้นทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะเลือกนั่นคือการเป็น Batman (การที่ Alfred เลือกบอกความจริงเกี่ยวกับจดหมายของ Rachel เพื่อหวังให้ Wayne เลิกฝังใจความคิดที่ว่าทำให้หญิงสาวคนที่รักเขาต้องตาย และลุกขึ้นมาออกไปเผชิญผู้คนภายนอก รวมถึงการเปิดใจให้กับหญิงสาวคนอื่นๆบ้าง เพื่อที่จะได้มีครอบครัวพบกับความสุขเฉกเช่นคนปกติทั่วไป แต่ ก็ไม่สามารถทำให้ Wayne เปลี่ยนใจได้)ทั้งหมดนี้ทำให้สิ่งที่ดีที่สุดในการตอกย้ำความรู้สึกห่วงใยต่อ Wayne ก็คือการเดินจากไป เพื่อการที่ Wayne ไม่เห็นหน้าของชายแก่คนที่อยู่คอยดูแลและเป็นเพื่อนเขาตั้งแต่เกิดตลอดมาคนนี้ จะทำให้ Wayne ได้ตระหนักถึงการตัดสินใจในหนทางที่ตัวเองเลือกได้ชัดเจนที่สุด

หลังจากนั้นเมื่อการเผชิญหน้าอย่างดุเดือดครั้งแรกระหว่าง Batman กับ Bane ในท่อระบายน้ำจบลงด้วยการที่ Batman ถูกอัดจนหลังหักหมดสภาพก่อนที่จะถูกเจ้าวายร้ายสวมหน้ากากร่างยักษ์จับไปโยนขังไว้ในคุกถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน เพื่อทรมานให้ Wayne ได้เห็นภาพความพินาศของเมืองก็อธแธมที่กำลังจะเกิดขึ้น จนนำมาสู่บททดสอบครั้งสำคัญที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของ Wayne ในการเรียกความเชื่อมั่นและศรัทธาในตนเองให้กลับมาอีกครั้ง

โดยช่วงเวลาที่ Wayne ดิ้นรนต่อสู้กับอาการบาดเจ็บด้านร่างกายอันแสนสาหัส พร้อมๆกับการต่อสู้กับแรงโกรธและความสับสนภายในใจตนเอง เราจะพบว่าภาพความทรงจำและคำสอนที่พ่อของเขาเคยกล่าวไว้เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กได้กลับมากระตุ้นเขาให้กลับมาทบทวนถึงวันที่ Wayne เลือกจะมาเป็น Batman อีกครั้ง เพราะหากจำกันได้ในหนังภาคแรกอย่าง ‘Batman Begins’ เราจะได้เห็นพ่อของ Wayne สอนลูกชายคนนี้ถึงสาเหตุที่คนเราล้มว่าเพื่อเป็นการให้คนๆนั้นเรียนรู้ที่จะลุก คำพูดนี้กลับมาดังชัดเจนในใจของ Wayne อีกครั้ง จนกลายมาเป็นหนึ่งในแรงขับที่ทำให้เขาต้องรีบหาทางหนีออกไปจากคุกถ้ำนี้ให้ได้ แต่การที่เขาจะเอาชนะ Bane ได้นอกจากร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์แล้ว เขายังต้องมองหาสิ่งอื่นภายในใจตนเองมาเป็นแรงขับเพิ่มเติมไปด้วย เช่นเดียวกับการจะปีนกำแพงคุกถ้ำที่สูงตระหง่านนี้ออกไป โดยในคุกแห่งนี้ Wayne ก็ได้เรียนรู้จากหมอเถื่อนที่อาศัยอยู่ในนี้มาก่อนถึงความจริงที่ว่า การที่เขาไม่เคยกลัวตายนั้นไม่ได้ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นแต่อย่างใด และอารมณ์ความโกรธแค้นในใจก็ไม่ได้ช่วยให้เขาเอาชนะจิตใจตัวเองได้ และนั่นคือสาเหตุที่ไม่ว่าเขาจะปีนกำแพงคุกนี้กี่ครั้ง เขาก็มักจะล้มเหลวและหล่นลงมาจากจุดๆเดิมทุกครั้งไป แต่สิ่งที่จะทำให้เขาแกร่งขึ้นถึงขีดสุดก็คือเขาต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ ‘ความกลัว’ และเปลี่ยนความกลัวให้กลายมาเป็นพลังในการต่อสู้

“คนเราจะแกร่งเกินจริงได้อย่างไร จะว่องไวเกินจริงได้อย่างไร หากไร้แรงพลักดันจากจิตวิญญาณ การไม่กลัวตายไม่ใด้ทำให้เราแกร่งขึ้น แต่ทำให้เรายิ่งอ่อนแอ ความกลัวต่างหากที่จะเป็นพลังพลักดันเราให้แกร่งยิ่งขึ้น จงกลัวและเปลี่ยนความกลัวเป็นพลัง”

การที่ Wayne ได้เรียนรู้และตระหนักถึงความกลัวที่เขามีซึ่งไม่ใช่กลัวที่จะตาย แต่เป็นความกลัวที่จะเห็นภาพชาวเมืองก็อธแธมนับล้านที่เขาสละทุกอย่างให้นี้ต้องล้มตายด้วยฝีมือของคนชั่ว ภาพ Wayne ที่ตัดสินใจปีนกำแพงคุกออกมาครั้งสุดท้ายโดยไม่ใช้เชือกผูกรอบตัวจึงเปรียบได้กับว่า Wayne ในเวลานี้ได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากทุกสิ่งที่เคยเหนี่ยวรั้งเขาเสมอมาออกไปจนหมดสิ้นแล้ว และพร้อมที่จะสู้ด้วยพลังที่เต็มเปี่ยมจากสภาพร่างกายและจิตใจที่มุ่งมั่นกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมา



สำหรับ Batman แล้ว การเป็น “ฮีโร่”ไม่เพียงแค่หมายถึงการยึดมั่นในความถูกต้องหรือเสียสละตัวเองให้กับเมืองๆนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการยอมแบกรับแรงกดดันทุกด้านที่ชาวเมืองหรือตำรวจมีต่อเขาอีกด้วย โดยฉากหนึ่งในหนังภาคนี้ที่บ่งบอกถึงมุมมองที่มีต่อการเป็นฮีโร่ในนาม Batman ได้น่าสนใจก็คือฉากที่ ผู้บัญชาการ Gordon พูดกับ เจ้าหน้าที่ Blake ถึงกฎหมายว่า ถ้ากฎหมายมีช่องโหว่มันจะเป็นดั่งการมัดคนดีไว้แน่นจนไม่สามารถทำอะไรได้ และเป็นการส่งเสริมให้คนชั่วเป็นใหญ่ ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่าในเมืองแห่งนี้บางครั้งแค่อำนาจในมือตำรวจยังไม่เพียงพอในการต่อกรกับเหล่าร้าย แต่พวกเขาต้องการมากกว่านั้น ต้องการคนที่รักในความถูกต้อง แม้จะไม่เลือกกระทำในวิธีตามหลักกฏหมายก็ตาม

อีกประเด็นที่หนังนำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือการที่คนเราจะเป็น ‘ฮีโร่’ ไม่ใช่เรื่องยาก และทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้จากการกระทำที่ง่ายๆ โดยที่คนๆนั้นอาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อหนังดำเนินมาถึงช่วงท้ายที่ผู้บัญชาการ Gordon เลือกที่จะไม่ถามถึงตัวตนที่แท้จริงภายใต้หน้ากากของ Batman และ Batman เองก็เลือกที่จะตอบว่า

“ไม่สำคัญว่าตัวจริงผมเป็นใคร แบทแมนเป็นใครก็ได้ การเป็นฮีโร่ใครๆก็เป็นได้ เริ่มต้นจากการกระทำง่ายๆ เช่นการยื่นเสื้อคลุมบ่าให้เด็กชายคนหนึ่งที่กำลังเศร้า พร้อมบอกกับเขาว่าโลกใบนี้ยังไม่แตก”

ฉากนี้ไม่เพียงทรงพลังและสะเทือนอารมณ์แต่มันยังบอกจุดยืนของการเป็นฮีโร่ของหนังชุดนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และส่งผลต่อเนื่องมายังตัวละครเจ้าหน้าที่ Blake ที่เชื่อมั่นใน Batman เสมอมาที่พบว่า บางครั้งกฏหมายก็บีบรัดเส้นทางที่ถูกต้องมากเกินไป จนถึงภาพเจ้าหน้าที่ Blake โยนตราตำรวจทิ้งลงแม่น้ำจากบนสะพาน คุณจะรู้ได้ทันทีถึงสิ่งที่ตัวละครนี้กำลังคิด และกำลังจะกระทำในเวลาต่อไป ซึ่งจะว่าไป Blake ก็เหมือนเป็นผลิตผลของการมีตัวตนของ Batman แห่งเมืองก็อธแธมนั่นเอง

ผงาดด้วยฉาก IMAX กว่า 70 นาทีสุดยิ่งใหญ่มันส์อลังการ!

อย่างที่รู้กันว่าผู้กำกับ Christopher Nolan ถ่ายทำฉากใหญ่ของ “The Dark Knight Rises” ด้วยกล้อง IMAX จนกลายมาเป็นหนังที่มีฉาก IMAX ยาวที่สุดในโลกเวลานี้ ซึ่งต้องยอมรับว่า Nolan สามารถใช้งานมุมกล้องขนาดใหญ่ตระการนี้ได้คุ้มค่าและยิ่งใหญ่อลังการชนิดสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงฉากมุมสูงที่ให้อารมณ์สมจริงชวนหวาดเสียวเท่านั้น แต่การที่หนังมาพร้อมอารมณ์ของเนื้อหาและตัวละครที่ทรงพลังสุดๆด้วยแล้ว เมื่อมาผสมกับมุมกล้อง IMAX ผลที่ออกมาคือความบันเทิงชวนตื่นตาที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ชนิดที่บอกได้เลยว่าผู้กำกับ Nolanได้ยกระดับการสร้างภาพยนตร์ระบบ IMAX ขึ้นไปอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ฉาก Bane จี้เครื่องบินชิงตัว Dr. Pavel

ฉากเปิดเรื่องที่ถูกฉายให้ชมปะหน้า ‘MI 4’ ในโรงฯ IMAX เมื่อปลายปีที่แล้วจนสร้างความตื่นเต้นให้คอหนังไปทั่วโลก แต่เมื่อคุณชมมันแบบเต็มๆบนจอในหนังเรื่องนี้อีกครั้ง (หรืออาจจะครั้งแรก) ความยิ่งใหญ่ของานด้านภาพก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย และถือเป็นออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยเบื้องต้นชั้นดีเพื่อให้คุณเตรียมใจพบกองทัพฉาก IMAX ที่เหลือในเรื่องที่กำลังจะตามมา

ฉาก การต่อสู้ในบาร์ระหว่าง Selina Kyle/Catwoman กับเหล่าลูกสมุนของ Bane

เริ่มต้นด้วยตัวละคร Selina Kyle เดินเข้ามาเจรจาส่งมอบของกับลูกสมุนของ Bane ก่อนจะมีการผิดใจกันและจบลงด้วยการบุกมาของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนายจนเกิดเป็นการต่อสู้ยิงปะทะกันอย่างหูดับตับไหม้ ต่อด้วยการวิ่งไล่ล่าเหล่าร้ายลงไปยังท่อระบายน้ำใต้ดินของผู้บัญชาการ Gordon จนพบกับ Bane !

ฉากนี้ไม่เพียงจะเป็นการโชว์ความสามารถด้านการต่อสู้ของ Kyle เท่านั้น แต่มันยังแสดงให้เห็นความสามารถด้านความเจ้าเล่ห์ของแมวขโมยสาวรายนี้ได้อย่างน่าทึ่งอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผู้บัญชาการ Gordon เริ่มนำทีมตำรวจวิ่งไล่ตามเหล่าร้ายไปตามตรอกถนนก่อนจะลงไปยังท่อระบายน้ำฉากนี้ไม่เพียงเป็นฉากแอกชั่นที่ยิงกันกระหน่ำเท่านั้น แต่มุมกล้อง IMAXยังช่วยเสริมความสมจริงเหมือนเราได้ร่วมวิ่งไล่ตามเหล่าร้ายและอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนที่ระดมยิงกันไปมาอีกด้วย ชนิดไม่ต้องพึ่งงาน 3D ด้วยซ้ำ !!

ฉาก การปล้นตลาดหุ้นของ Bane

ตัวละคร Bane มาพร้อมรูปร่างและภาพลักษณ์ที่ดูทรงพลังในตัวอยู่แล้วและการใส่หน้ากากรูปทรงแปลกไว้บนหน้าก็ยิ่งทำให้ตัวละครนี้ดูอันตรายและไม่น่าเข้าใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก โดยระบบ IMAX ก็ได้เข้ามาช่วยเสริมความน่าเกรงขามของวายร้ายตนนี้ได้อย่างน่าทึ่งสุดๆอีกด้วย ไม่เพียงเฉพาะฉากนี้เท่านั้น แต่ทุกๆฉาก IMAX ที่มี Bane ปรากฎอยู่บนจอล้วนทำใผ้ผู้ชมสัมผัสถึงความน่าเกรงขาม ชวนหวั่นใจ และ ไม่ปลอดภัยอย่างที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเราเห็น Bane เดินเข้ามาประกาศตนในการปล้นตลาดหุ้นฉากนี้ คุณจะสัมผัสได้ถึงพลังของตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี



ฉากการกลับมาของ Batman ด้วยการขับ Batpod ไล่ล่าบนท้องถนนยามค่ำคืน

นี่ไม่เพียงเป็นหนึ่งในฉาก IMAX ที่หนังนำเสนอได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติเท่านั้น แต่มันยังเป็นฉากที่ดีที่สุดฉากหนึ่งในหนังชุด Batman ฉบับผู้กำกับ Nolan อีกด้วย !!! และถ้าจะมีฉากการกลับมาของฮีโร่ในโลกภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม ที่สร้างความตื่นตาและยิ่งใหญ่ชนิดตรึงอารมณ์จนไม่สามารถกระพริบตาได้เลยมันก็คงเป็นฉากๆนี้นี่แหละ !!! ภาพแผ่นหลังของ Batman ที่กำลังขับ Batpod วิ่งไปตามท้องถนนก่อนจะแซงเหล่ารถตำรวจไปอย่างไม่เห็นฝุ่นเพื่อตามล่าเหล่าร้าย ตามด้วยภาพอาการแตกตื่นของเหล่าผู้คนในกรมตำรวจ และ ภาพการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์ก็อธแธมมันทำให้เรารู้สึกจริงๆเลยว่า “Batman กลับมาแล้ว !!” หลังจากหายไปนานถึง 8 ปี และทำให้เรารู้สึกตามตัวละครอื่นๆในเรื่องได้เลยว่า แม้เหตุร้ายครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่พวกเราเชื่อมั่นได้เลยว่าการปรากฎตัวของ Batman ตรงหน้าครั้งนี้จะไม่ทำให้เมืองนี้ดำเนินไปสู่จุดจบที่สิ้นหวังในท้ายที่สุดเป็นแน่ โดยเฉพาะซีนที่ Batman ค่อยๆขับ Batpod ชะรอความเร็วและจอดก่อนจะหยิบอาวุธมายิงใส่เหล่าร้าย นี่จะเป็นอีกหนึ่งซีนบนจอ IMAX ของฮีโร่ตนนี้ที่มาพร้อมความยิ่งใหญ่ชนิดที่คุณลืมไม่ลงแน่ๆ!



ฉากการเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่าง Batman และ Bane

“Mr. Wayne !!” เสียงทักทายของ Bane ดังขึ้นเพื่อเรียกความสนใจจาก Batman ที่ตามรอยจนมาพบกันในท่อระบายน้ำใหญ่ใต้เมืองก็อธแธม ก่อนที่ทั้งคู่จะเปิดฉากการต่อสู้ตัวต่อตัวอันดุเด็จเผ็ดมันส์ยาวต่อเนื่องนานนับหลายนาที ฉากนี้ถือเป็นการใช้งานระบบภาพ IMAX ควบคู่ไปกับพลังของตัวละครในการนำเสนอให้ผู้ชมรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยมที่สุดฉากหนึ่งของเรื่องเช่นกันแถมการที่หนังมาพร้อมการเลือกที่จะไม่ใส่เสียงดนตรีใดๆลงไปประกอบในฉากๆนี้เลยก็ยิ่งทำให้ผู้ชมสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของงานด้านภาพเพียวๆได้อย่างเต็มที่อีกด้วย นอกจากนี้นี่ยังถือเป็นฉากการต่อสู้ระหว่างฮีโร่และวายร้ายที่จัดว่ายอดเยี่ยมที่สุดฉากหนึ่งในโลกภาพยนตร์อีกด้วย เพราะมันมาพร้อมความสมบูรณ์ทั้งนักแสดง , มุมกล้อง , อารมณ์ของเนื้อหา และ คิวบู๊ที่ลงตัวอย่างที่สุด และคุณจะเสียดายไปอีกนานเลยทีเดียวถ้าปล่อยให้ตัวเองผ่านปี 2012 ไป โดยไม่ได้ดู Bane อัด Batman จนหลังหักในฉากประวัติศาสตร์ฉากนี้แบบเต็มๆตาบนจอ IMAX เพราะผู้กำกับ Nolan จัดเต็มคิวบู๊ที่ดุดันให้คุณต้องจำไปอีกแสนนาน!!!



ฉากระเบิดสนามกีฬา และ เมืองก็อธแธมถูกระเบิดจนพังพินาศ

ลองนึกภาพพื้นสนามกีฬาขนาดยักษ์ถูกระเบิดจากด้านล่างจนกลายเป็นหลุมที่เต็มไปด้วยซากต่างๆนานา พร้อมๆกับ ภาพเมืองทั้งเมืองถูกระเบิดนับร้อยลูกที่ถูกวางไว้ทั่วเมืองระเบิดพร้อมๆกันจนตึกใหญ่บางส่วนเริ่มพังทลายลงอย่างรวดเร็ว บวกภาพสะพานทางเข้าเมืองแทบทุกแห่งถูกระเบิดตัดตรงกลางทิ้งในเวลาเดียวกัน โดยผู้กำกับ Nolan บอกว่านี่คือฉาก IMAX ที่มีมุมภาพของเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดในหนังเรื่องนี้ ซึ่งผลที่ออกมาคือภาพความพินาศของเมืองทั้งเมืองที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง และไม่มีทางที่คุณจะชมภาพเมืองทั้งเมืองถูกระเบิดถล่มพร้อมกันจากมุมสูงได้เต็มตากว่านี้อีกแล้วถ้าไม่ใช่บนจอ IMAX และ Nolan ก็ทำสำเร็จครั้งใหญ่ในการนำเสนอฉากความพินาศนี้บนจอ IMAX เพราะคุณจะรู้สึกเหมือนกับว่าได้ยืนดูเมืองทั้งเมืองถูกพังลงไปจมดินตรงหน้าจริงๆ พร้อมสัมผัสถึงความสิ้นหวังของชาวเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นในเวลานี้

ฉาก Wayne ปีนกำแพงหนีออกจากคุกถ้ำ

แม้จะไม่ใช่ฉากแอกชั่น แต่ฉากนี้มันแสดงให้เราได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความแกร่งของจิตใจในตัว Wayne ภาพความสูงชันของกำแพงที่มีปลายทางคือแสงสว่างแห่งอิสระภาพรอคอยอยู่ ไม่ต่างไปจากคำเชื้อเชิญของความตายที่หลอกคนเบื้องล่างด้วยความหวังอันริบหรี่ ซึ่งเราจะรู้ได้ถึงความเสี่ยงของการปีนออกไปจากคุกนี้ได้ผ่านมุมกล้อง IMAX ที่นำเสนอภาพความสูงของกำแพงคุกได้เป็นอย่างดี
ฉากการจราจลกลางเมืองของตำรวจและชาวเมืองก็อธแธม พร้อม ศึกสุดท้ายของ Batman

ฉากนี้เป็นการนำเสนอด้วยระบบ IMAX ต่อเนื่องกันราวๆ 20 นาทีเต็ม ตั้งแต่การเดินมาเผชิญหน้ากันระหว่างกองทัพของ Bane และ เหล่าตำรวจผู้รอดชีวิตของก็อธแธม ก่อนจะเปิดฉากวิ่งปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง ตามด้วยการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่าง Bane และ Batman ในการดวลกันตัวต่อตัวอีกครั้งที่ดุดันไม่แพ้ฉากแรก (โดยเฉพาะฉากการรัวหมัดของ Bane ใส่ Batman ซึ่งเราจะพบว่าพละกำลังของ Baneสามารถต่อยจนเสาปูนแตกกระจายได้เลย!) สลับไปอีกด้านของเมืองที่ ผู้บัญชาการ Gordon กำลังพยายามนำเครื่องตัดสัญญาณไปติดไว้ที่ระเบิดเวลาก่อนที่มันจะระเบิดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า และภาพ Catwoman ในการรับภารกิจขับ Batpod คอยช่วยปลดปล่อยเหล่าตำรวจที่ถูกขังอยู่ในท่อระบายน้ำ ก่อนจะนำมาซึ่งฉากการไล่ล่าสุดมันส์ต่อเนื่องจากการที่ Batman ต้องมาขับ The Bat ไล่ล่ารถพ่วงที่บรรทุกระเบิดเวลาไปตามถนนของเมืองก็อธแธม ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเป็นฉากแอกชั่นยาวต่อเนื่องฉากใหญ่ที่เยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเป็นฉากแอกชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาหนัง Batman ทุกภาคของผู้กำกับ Nolan อีกด้วย ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายอะไรมากนอกจากจะบอกว่านี่คือฉากแอกชั่นระดับมาสเตอร์พีชที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะภาพความยิ่งใหญ่และอารมณ์ของเนื้อหาที่เข้มข้นมากๆนี้มันจะตรึงคุณอยู่กับที่จนไม่อยากลุกไปไหน



ปิดตำนานอัศวินรัตติกาล

แม้จะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ “The Dark Knight Rises” จะเป็นหนัง Batman เรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ Christopher Nolan แต่ Nolan ก็ได้สร้างผลงานปิดตำนานอัศวินรัตติกาลนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ และทรงพลัง ไม่แพ้ “The Dark Knight” พร้อมเซอร์ไพรส์เล็กๆน้อยๆในด้านเนื้อหาที่ช่วยเสริมให้หนังปิดตัวได้สมบูรณ์แบบ และก็อย่างที่หลายสำนักว่าไว้จริงๆที่ว่าถ้าจะมีหนังฮีโร่สักเรื่องที่จะไปได้ไกลถึงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม “The Dark Knight Rises” ก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสมทุกประการ และถึงแม้จะเลือกไม่มองไปไกลขนาดนั้น หนังเรื่องนี้ก็ยังถือเป็นบทสรุปฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้อยู่ดี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะมีหนังฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบเช่นนี้ออกมาให้ชมกันอีกในอนาคต แต่อย่างหนึ่งที่รู้แน่นอนก็คือความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้จะ ‘ผงาด’ ไปอีกนาน

ขอบคุณข้อมูล




Create Date : 20 กรกฎาคม 2555
Last Update : 20 กรกฎาคม 2555 18:15:46 น.
Counter : 679 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อร่อยได้ ไม่อ้วน Enjoy Baking
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]