เมษายน 2557

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
วัดโคกพระยาในอยุธยา สถานที่สำเร็จโทษกษัตริย์


(ข้อความและที่มาภาพทั้งหมด คัดลอกมาจากอินเตอร์เน็ต
เจ้าของบล็อกนำมาไว้ในบล็อกเพื่อให้บทความดีๆ อย่างนี้ไม่สูญหาย)

วัดโคกพระยาในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวถึงวัดโคกพระยาไว้หลายช่วง โดยส่วนมากจะกล่าวถึงในฐานะที่ใช้เป็นสถานที่ที่ใช้ในการสำเร็จโทษพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น

สมเด็จพระเจ้าทองลัน พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 4 แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระรัษฎาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 12 แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระยอดฟ้า พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 14 แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระศรีเสาวภาคย์ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระเชษฐาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 22 แห่งกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จเจ้าฟ้าไชย พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 25 แห่งกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 26 แห่งกรุงศรีอยุธยา
เจ้าพระขวัญ พระราชโอรสในสมเด็จพระเพทราชาที่ประสูติแต่กรมหลวงโยธาทิพ
เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศร์ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
พระองค์เจ้าชื่นและพระองค์เจ้าเกิด พระราชบุตรในกรมพระราชวังบวรเสนาพิทักษ์
กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี (เจ้าสามกรม) พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

วัดโคกพระยา∗
(∗ นายปฏิพัฒน์ พุ่มพงศ์แพทย์ ค้นคว้าเรียบเรียง)

วัดโคกพระยาเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งที่มีหลักฐานกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยเริ่มสถาปนา
พระนครศรีอยุธยา เพราะเป็นสถานที่ใช้ในการสำเร็จโทษพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์มา ตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร รัชกาลที่ ๒ แห่งสมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี เป็นต้นมา
บาญชีวัดร้างในอำเภอรอบกรุงซึ่งสำรวจเมื่อครั้ง ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบุชื่อวัดโคกพระยา อยู่ในตำบลบ้านลุมภาลี มีเนื้อที่ ๗ ไร่ ๑
งาน ๙๔ ตารางวา เป็นวัดที่อยู่ในกลุ่มตำบลเดียวกัน ๙ วัด คือ 
๑. วัดสนามกราย 
๒. วัดพระยาร่อง
๓. วัดสี่เหลี่ยม 
๔. วัดโคกพระยา 
๕. วัดโคก 
๖. วัดรั้งพระยาแมน 
๗. วัดดอนกระต่าย 
๘. วัดตูมน้อย
๙. วัดจงกลม

ต่อมาในแผนที่กรุงศรีอยุธยา ฉบับพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาล
สำเร็จราชการมณฑลอยุธยา และอุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกโบราณคดี ตรวจสอบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ ห่างกัน ๒๒ ปี ปรากฏว่า ชื่อวัดในกลุ่มนี้ทั้งหมด
เปลี่ยนแปลงหรือหายไปรวมทั้งชื่อวัดโคกพระยา เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๑ ดร. สุเมธ ชุมสาย ได้ตรวจสอบและชำระแผนที่โดยอาศัยเค้าโครงของแผนที่ พระยาโบราณราชธานินทร์ เพื่อประกอบแผนการพัฒนาเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา วัดต่าง ๆ ที่หายไป หลายวัดในช่วง ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้กลับมามีชื่อปรากฏในแผนที่อีกครั้ง เช่น วัดโคกพระยา วัดสี่เหลี่ยม วัดพระยาแมน และวัดจงกลม นอกจากนั้น ในกลุ่มของทุ่งภูเขาทองซึ่งแต่เดิมไม่มีวัดโคกพญา ได้ปรากฏ ชื่อวัด “โคกพญา” ขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง ณ ตำแหน่งที่เคยเป็นวัดร้างใกล้กับภูเขาทอง ตามแผนที่ของกรมแผนที่ทหารบก สำรวจเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๓

พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับวัดโคกพระยาหลายตอน ซึ่งจะ
นำมาใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาว่า วัดโคกพระยา ที่แท้จริงนั้นควรจะอยู่ ณ ที่ใดในระนครศรีอยุธยา

ครั้งที่ ๑ ในแผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร (ครั้งที่ ๒) ในพงศาวดารระบุว่า “สมเด็จพระราเมศวร
เสด็จลงมาแต่เมืองลพบุรีเข้าในพระราชวัง กุมเอาเจ้าทองลันได้ ให้พิฆาตเสีย ณ วัดโคกพระยา”
ครั้งที่ ๒ ในแผ่นดินขุนวรวงศาธิราช พ.ศ. ๒๐๗๒ ขุนวรวงศาธิราชเจ้าแผ่นดินคิดกับเจ้าแม่อยู่หัว
ศรีสุดาจันทร์ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา
ครั้งที่ ๓ กล่าวถึง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าเสด็จยกพยุหโยธาทวยหาญ ออกไปดู
กำลังข้าศึก ณ ทุ่งภูเขาทองเสด็จยืนพระคชาธารประมวลพลแลคชพยุห โดยกระบวนตั้งอยู่ ณ โคกพระยา



ครั้งที่ ๔ ปลายแผ่นดินสมเด็จพระศรีเสาวภาค พ.ศ. ๒๑๔๕ พระศรีศิลป์บวชอยู่วัดระฆัง ได้สมณฐานันดรเป็นพระพิมลธรรม สึกออกเข้าพระราชวังได้ คุมเอาพระเจ้าแผ่นดินไปให้พันธนาการไว้
มั่นคง รุ่งขึ้นให้นิมนต์พระสงฆ์บังสุกุล ๑๐๐ ให้ธูปเทียนสมา แล้วก็ให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เอาพระศพไปฝัง ณ วัดโคกพระยา แล้วเสด็จขึ้นผ่านพิภพกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ทรงพระนามสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงธรรม

ครั้งที่ ๕ บรรดาเหล่าเสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตาจารย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์
เป็นประธาน อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเชษฐาธิราช พระราชโอรส องค์ปฐมของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ขึ้นราชาภิเษก พระพันปีศรีศิลป์ผู้เป็นพระอนุชาลอบหนีไปซ่องสุมผู้คนที่เมืองเพชรบุรี จะยกเข้ามาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัสทราบเหตุให้แต่งกองทัพออกไปจับกุมพระพันปีศรีศิลป์ได้ เอาตัวมาประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา

ครั้งที่ ๖ เจ้าฟ้าชัยได้ครองราชสมบัติ ครั้นอยู่มาสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า คบคิดด้วยพระศรี
สุธรรมราชา ส้องสุมผู้คนพร้อมแล้วก็ยกเข้ามาในพระราชวัง กุมเอาเจ้าฟ้าชัยไปสำเร็จโทษเสีย
ณ โคกพระยา

ครั้งที่ ๗ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าเข้าไปในพระราชวังหลวง เสด็จขึ้นพระราชมณเฑียรพระ
วิหารสมเด็จ ในวันเดียวกันนั้น เสนาบดีก็ไปตามสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาธิราชได้ ณ วังหลัง ก็ให้ไป
สำเร็จโทษ ณ โคกพระยาตามประเพณี

ครั้งที่ ๘ คักราช ๑๐๖๔ ปีวอก จัตวาศก (พ.ศ. ๒๒๔๕) สมเด็จพระเจ้าเสือให้ชาวที่เชิญเจ้า
พระขวัญเข้ามาถึงตำหนักหนองหวาย แล้วก็ประหารเสียด้วยท่อนจันทน์ เสร็จแล้วก็ให้เอาพระศพใส่ถุงแล้วใส่ลงในแม่ขันให้ข้าหลวงเอาออกไปฝังเสีย ณ วัดโคกพระยาเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในพระราชพงศาวดารมีตั้งแต่รัชกาลของสมเด็จพระราเมศวรเรื่อยลงมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือเพียง ๘ ครั้ง ๗ ครั้งเป็นเรื่องการสำเร็จโทษ อีก ๑ ครั้งเป็นเรื่องการตั้งทัพ แต่จากการสำรวจทำแผนที่วัดร้างในพระนครศรีอยุธยาในสมัยหลังต่อมา เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ดังกล่าวนั้นสิ้นสุดลงแล้ว ได้ปรากฏชื่อวัดโคกพระยาขึ้นถึง ๒ แห่ง จึงได้สร้างความสับสนขึ้นแก่นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเป็นอย่างยิ่งว่า วัดใดคือวัดโคกพระยาที่กล่าวถึงในประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาที่แท้จริง เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนเองมาเป็นเครื่องประกอบในการพิจารณาเช่น เหตุผลที่ว่าวัดโคกพระยาที่ตามแผนที่กำหนดว่าอยู่เหนือวัดหัสดาวาส และวัดหน้าพระเมรุนั้น เป็นวัดที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองไม่มากนัก หากจะมีการนำพระเจ้าแผ่นดินหรือพระบรมวงศานุวงศ์ไปสำเร็จโทษ ณ ที่นั้น ก็จะเป็นที่ปลอดภัยจากการแย่งชิงตัวนักโทษ แต่ถ้านำไปประหารที่โคกพระยาซึ่งอยู่ถึงกลางทุ่งภูเขาทอง ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร ก็จะเสี่ยงกับการแย่งชิงตัวนักโทษ จึงน่าจะไม่สมเหตุสมผลที่กล่าวว่าวัดโคกพระยาอยู่ที่ทุ่งภูเขาทอง ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็อ้างถึงเหตุการณ์ตอนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิยกกองทัพออกมาจากพระนครศรีอยุธยา มาตั้งทัพรอฤกษ์อยู่ที่วัดโคกพญา ถ้าวัดโคกพระยา ตั้งอยู่เหนือวัดหัสดาวาส ก็น่าจะไม่สมเหตุสมผลเพราะขบวนกองทัพจำนวนมากจะมาตั้งทัพ


กระจุกกันอยู่ ณ ที่ ๆ ไม่ห่างไกลเมืองไปได้อย่างไร โคกพระยาที่กล่าวถึงในเหตุการณ์นี้จึงควรจะมี
ตำแหน่งอยู่ ณ กลางทุ่งภูเขาทองถึงจะเหมาะสมแก่เหตุผลที่จะรบกันได้ เป็นต้นพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนสมเด็จพระสุริโยทัยพระอัครมเหสีของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงถูกพระเจ้าแปรฟันขาดคอช้างในคราวตามเสด็จ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิออกไปดูกำลังข้าศึกครั้งนั้น ณ สมรภูมิทุ่งภูเขาทองไว้โดยละเอียด ดังนี้

“ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าหงสาวดี ยกทัพข้ามกาญจนบุรีมาถึงพระนครศรีอยุธยา ณ วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ
เดือน ๔ ตั้งค่ายหลวงตำบลกุ่มดอง ทัพพระมหาอุปราชาตั้งค่ายตำบลเพนียด ทัพพระเจ้าแปรตั้งค่ายตำบลบ้านใหม่มะขามหย่อง ทัพพระยาพสิมตั้งค่ายตำบลทุ่งวัดวรเชษฐ  ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าเสด็จยกพยุหโยธาทวยหาญออกไปดูกำลังข้าศึก ณ ทุ่งภูเขาทอง จึงทรงเครื่องอลังการยุทธเสด็จทรงช้างต้นพลายแก้วจักรพรรดิ สูงหกศอกคืบห้านิ้วเป็นพระคชาธาร ประดับคชาลังกาภรณ์เครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญพระสุริโยทัยผู้เป็นเอกอัครราชมเหสี ประดับพระองค์เป็นพระยามหาอุปราช ทรงเครื่องสำหรับราชณรงค์เสด็จทรงช้างพลายทรงสุริยกษัตริย์สูงหกศอกเป็นพระคชาธาร ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่นเสร็จ มีกลางช้างและควาญ พระราเมศวรทรงเครื่องสิริราชปิลันธนาวราภรณ์ สำหรับพิชัยยุทธสงครามเสร็จ เสด็จทรงช้าง
ต้นพลายมงคลจักรพาฬสูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว ประดับกุญชรอลงกตเครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญ ครั้นได้มหาศุภวารฤกษ์ราชดฤถีพระโหราลั่นฆ้องชัยประโคมอุโฆษแตรสังข์อึงอินทเภรี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าก็ยาตราพระคชาธารข้ามฟากไป พระอัครมเหสีและพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์โดยเสด็จเหล่าคชพยุหดั้งกันแทรกแซงค่ายค้ำพังคาโลดแล่น มีทหารประจำขี่ กรกุมปืนปลายขอประจำคอทุกตัวสารควาญประจำ ท้ายล้อมเป็นกรรกงโดยขนัด แล้วถึงหมู่พยุหเสนากรโยธาหาญเดินเท้าถือดาบดั้งเสโลโตมรหอกใหญ่หอกคู่ ธงทวนธนูปืนนกสับคับคั่งซ้ายขวาหน้าหลัง โดยกระบวนคชพยุหสงคราม เสียงเท้าพลและเท้าช้างสะเทือนดังพสุธาจะทรุด สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าเสด็จยืนพระคชาธาร ประมวลพลและคชพยุหโดยกระบวนตั้งอยู่ ณ โคกพระยา
ฝ่ายกองตระเวนรามัญเห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าหงสาวดีโดยได้เห็นทุกประการ สมเด็จ
พระเจ้าหงสาวดีตรัสว่าชะรอยจะเป็นทัพพระมหาจักรพรรดิยกออกมาจะกระทำคชพยุหสงครามกับเรา
พระองค์ตรัสให้ยกพลหลวงออกจากค่ายตั้งกระบวนสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีทรงเกราะเครื่องพิชัยยุทธ ย่อมทับถมด้วยวิชาศัสตราเวทย์คาถา แล้วสอดพระมหาสุวรรณสังวาลประดับเพชรพื้นถม สรรพคุณเวทคาถาต่างๆ ทรงพระมาลา ลงเลขยันต์กันสรรพศัสตราวุธภยันตราย สำหรับราชณรงค์ยุทธเสร็จ เสด็จทรงช้างต้นพลายมงคลปราบทวีปสูงเจ็ดศอกเป็นพระคชาธารประดับคชาภรณ์เครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญเครื่องสูงสำหรับราชณรงค์แห่โดยขนัด มีหมู่ทหารถือดาบดั้งหมื่นหนึ่งล้อมพระคชาธาร พระเจ้าแปรทรงอลังการเครื่องพิชัยยุทธ ทรงช้างต้นพลายเทวนาคพินายสูงหกศอกคืบเจ็ดนิ้ว เป็นพระคชาธาร ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่น มีควาญและกลางช้างยกเป็นกองหน้า มีทหารดาบสองมือพันห้าร้อยล้อมพระคชาธาร และช้างท้าวพระยารามัญคับคั่ง ทั้งกระบวนกรรกงเป็นขนัด เหล่าพยุหโยธาหาญเดินเท้าถือสรรพศัสตราดาดาษโดย

กระบวน สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีก็ยกพยุหโยธาทวยหาญออกตั้งยังท้องทุ่งตรงหน้าทัพสมเด็จพระมหา
จักรพรรดิ ห่างกันประมาณร้อยเส้น เสด็จยืนพระคชาธารคอยฤกษ์”๑ จากความในพระราชพงศาวดารที่ยกมานี้จะเห็นว่า ทัพหลวงของฝ่ายหงสาวดี ตั้งอยู่ ณ ตำบลกุ่มดอง ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านกุ่ม วัดจุฬามณี อำเภอบางบาล ห่างจากกำแพงพระนครศรีอยุธยาตามเส้นทางตรงประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ทัพพระมหาอุปราชาตั้งอยู่ตำบลเพนียด ทัพพระเจ้าแปรตั้งค่ายตำบลบ้านใหม่มะขามหย่อง และทัพพระยาพสิมตั้งค่ายอยู่ตำบลทุ่งวัดวรเชษฐ ซึ่งเมื่อตอนเดินทัพมานั้นทัพพระมหาอุปราชาเป็นทัพหน้า ทัพพระเจ้าแปรเป็นกองเกียกกาย และทัพพระยาพสิมเป็นกองหลัง ตามลำดับ แต่เมื่อมาประชิดพระนครศรีอยุธยาแล้ว ก็ได้แปรทัพทั้ง ๓ ออกกระจายล้อมลงมาจากตอนเหนือของเมือง มี
ระยะห่างจากกำแพงพระนครฯ ๑๐๐ เส้น หรือประมาณ ๔ กิโลเมตร ในการรบครั้งนั้น การตั้งทัพรับของฝ่ายทัพกรุงศรีอยุธยา มีกำลังพลน้อยกว่าพม่าข้าศึกถึง ๑๐ เท่า ดังนั้นการตั้งรบจึงจำเป็นที่จะต้องกระชับสมรภูมิทุ่งภูเขาทองให้แคบเข้า โดยพระมหานาควัดภูเขาทองได้สึกออกมารับอาสาตั้งค่ายกันทัพเรือ ตั้งค่ายแต่วัดภูเขาทองลงมาจนวัดป่าพลู พรรคพวกสมกำลังญาติโยมทาสชายทาสหญิงของพระมหานาค ช่วยกันขุคคูนอกค่ายกันทัพเรือ จึงเรียกว่าคลองมหานาค ในขณะเดียวกัน ก็ตรัสให้พระยาจักรีออกตั้งค่ายตำบลลุมพลี ถือพลหมื่นห้าพันล้วนใส่เสื้อแดงหมวกแดงถ้าทัพพระมหาจักรพรรดิยืนช้างอยู่วัดโคกพระยานอกบริเวณวัดภูเขาทองแล้ว ทัพพระเจ้าหงสาวดีจะอยู่ในรัศมีบ้านท้ายไผ่ บ้านพุทรา แต่เมื่อทัพทั้งสองต่างฝ่ายต่างเคลื่อนทัพเข้าหากันแล้วทัพพระเจ้าหงสาวดีที่อยู่ที่ตำบลกุ่มดอง จุดที่ยืนทัพห่างกันร้อยเส้น ก็น่าที่จะเป็นไปได้ที่ทัพของพระเจ้าหงสาวดีจะมาตั้ง
ทัพรอพระฤกษ์อยู่ที่บ้านท้ายไผ่ บ้านพุทรา และทัพพระมหาจักรพรรดิยืนช้างอยู่ที่วัดโคกพระยา ณ
บริเวณทุ่งภูเขาทอง ในพระราชพงศาวดารไม่ได้กล่าวถึงการปะทะทัพกันระหว่างทัพพระมหาจักรพรรดิกับทัพพระเจ้าหงสาวดี เพราะตั้งอยู่ห่างจากกัน ดังนั้นเมื่อได้ฤกษ์ปะทะทัพ ”สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ก็ขับพระคชาธารเข้าชนช้างกองหน้าพระเจ้าหงสาวดี พระคชาธารเสียทีให้หลังข้าศึกเอาไว้ไม่อยู่ พระเจ้าแปรได้ท้ายข้าศึกดังนั้น ก็ขับพระคชาธารตามไล่ช้างพระมหาจักรพรรดิ” ทั้งนี้เพราะทัพ พระเจ้าแปรตั้งอยู่ใกล้กว่า คือตำบลบ้านใหม่มะขามหย่อง ซึ่งฐานะของทัพพระเจ้าแปรได้ถูกปรับให้เป็นทัพหน้าไปโดยปริยาย การเสียทีเพลี่ยงพล้ำช้างของพระมหาจักรพรรดิเป็นไปได้หรือไม่ว่ามีเจตนาจะลวงทัพพระเจ้าแปรให้เข้าซองที่ถูกกระหนาบโดยทัพของพระมหานาคและทัพพระยาจักรี เพราะฉะนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นมานี้ ตำแหน่งที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงประทับพระคชาธารรอพระฤกษ์อยู่ก่อนปะทะทัพพระเจ้าแปรตามที่พระราชพงศาวดารกล่าวถึงนี้จึงน่าจะอยู่ ณ ตำแหน่งใกล้วัดภูเขาทองหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่จะนำมาประกอบในการพิจารณาตำแหน่งที่ตั้งของวัดโคกพระยา คือจดหมายเหตุของ อิริมี ฟอนฟลีต หรือที่เรียกกันว่า วันวลิต (IEREMIE VAN VLIET) ซึ่งเขียนในปี ค.ศ. ๑๖๔๗


๑ กรมศิลปากร. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์แห่งประเทศไทย
จำกัด, ๒๕๓๔. หน้า ๗๔–๗๕.

(พ.ศ. ๒๑๙๐) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์จลาจลในอาณาจักรสยาม ในรัชสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราช ตอนหนึ่งว่า “ถ้าพระองค์ปรารถนาจะหนีเคราะห์กรรม ซึ่งจะบีบคั้นพระองค์จงทรงระมัดระวังออกญากลาโหมเพราะคนผู้นี้เป็นคนชั่วมีสันดานทรยศมาตั้งแต่หนุ่ม เพราะฉะนั้น เขาจึงถูกลงพระอาญาอย่างหนักบ่อยครั้งด้วยพระราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน เขาจะใช้เล่ห์กระเท่ห์อย่างเฉลียวฉลาด และจะชิงมงกุฎจากพระเศียรของพระองค์ ทั้งจะนำพระองค์ไปสู่ความตาม ตลอดจนเชื้อพระวงศ์ทุก ๆ พระองค์ของพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ ซึ่งทรงเป็นพระเชษฐาของหม่อมฉันและพระราชบิดาของพระองค์ เพื่อตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ครองบัลลังก์ต่อไป” “พระเจ้าแผ่นดินมิได้มีความซาบซึ้งในคำแนะนำ ทั้งมิได้เกิดความสมเพชเวทนาเลย พระองค์ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความตั้งพระทัย ซึ่งได้ยึดมั่นอยู่ ตรงกันข้ามทรงมีรับสั่งให้นำพระมหาอุปราชไปสำเร็จโทษโดยเร็ว พระมหาอุปราชจึงถูกนำตัวไปที่วัด ชื่อ พระเมรุโคกพญา (WAT PRAHIMIN KHOPIR JA)  ตรงข้ามกับพระราชวัง เพชฌฆาตให้พระองค์นอนลงบนผ้าแดงและทุบพระองค์ที่พระนาภีด้วยท่อนจันทน์นี้เป็นวิธีสำเร็จโทษที่ใช้กันในประเทศสยาม ซึ่งใช้กับเจ้านายในราชตระกูลเท่านั้น เสร็จแล้วเขาใช้ผ้านั้นห่อพระสรีระและไม้จันทน์ แล้วโยนลงไปในบ่อทิ้งให้พระศพเน่าเปื่อยไป ๑

ข้อความที่วันวลิตเขียนดังกล่าวข้างต้น ตรงกับเหตุการณ์ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่ยกมา
กล่าวอ้างไว้ข้างต้นแล้วว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีชื่อวัดโคกพระยาเป็นครั้งที่ ๕ ว่าได้จับกุมพระพันปีศรีศิลป์พระอนุชาของพระเชษฐาธิราช มาประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา เพียงแต่ในจดหมายเหตุของวันวลิตระบุสถานที่ของ “พระเมรุโคกพญา” ไว้อย่างชัดเจนว่าอยู่ตรงข้ามกับพระราชวังด้วยเหตุผลและหลักฐานเกี่ยวกับวัดโคกพระยาที่กล่าวมาข้างต้น จึงอาจสรุปได้ว่า ชื่อ “โคกพระยา”
ที่กล่าวถึงมี ๒ แห่งอยู่ ณ สถานที่ต่างกัน สถานที่ใช้สำเร็จโทษพระบรมวงศานุวงศ์น่าจะเป็นวัดโคกพระยาหน้าพระเมรุ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวังตามที่วันวลิตได้บันทึกไว้ ส่วน “โคกพระยา” ที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงยืนช้างรอฤกษ์นั้นน่าจะตั้งอยู่ ณ ทุ่งภูเขาทอง และมิใช่ที่สำหรับใช้สำเร็จโทษพระบรมวงศานุวงศ์ของพระนครศรีอยุธยาวัดโคกพระยา (ร้าง) ที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นลำดับแรก คือ วัดที่ตั้งอยู่เหนือวัดหน้าพระเมรุตำบลคลองสระบัว อำเภอพระนครศรีอยุธยา วัดแห่งนี้ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน และกำหนดเขตที่ดินไว้ ๒ ไร่ ๒ งาน ๕๖ ตารางวา ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๗ ตอนที่๑๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ หน้า ๓๖๒๔ ไว้เป็นโบราณสถานของชาติแล้ว โบราณสถานของวัดนี้ ประกอบด้วย เจดีย์ประธาน เจดีย์ราย เจดีย์ทรงปรางค์ วิหาร และแนวกำแพงแก้ว ซึ่งได้รับการบูรณะแล้ว


๑ กรมศิลปากร, จดหมายเหตุฟานฟลีต (จดหมายเหตุวันวลิต),กรุงเทพฯ : บริษัทอักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด, ๒๕๔๕
หน้า ๒๙.


วัดโคกพระยาบริเวณทุ่งภูเขาทอง

โบราณสถานวัดโคกพระยาแห่งที่สองนี้ ตั้งอยู่ในตำบลภูเขาทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่าง
จากโบราณสถานวัดภูเขาทองมาทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๕๐๐ เมตร บริเวณ
โบราณสถานมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๔๐ ไร่ ๓ งาน ๘๑ ตารางวา พื้นที่ด้านทิศเหนือและตะวันออกติดกับที่นาของชาวบ้านและมีสระน้ำซึ่งขุดขึ้นใหม่ทางด้านทิศตะวันตก ด้านทิศใต้มีถนนลูกลังทอดเป็นแนวยาว และมีลำคลองสองไพขนานกับเนินดินด้านทิศใต้จากการขุดแต่งบูรณะในพุทธศักราช ๒๕๔๑ ได้พบว่าโบราณสถานวัดโคกพระยานี้มีการก่อสร้าง  ๓ ครั้ง คือ

สมัยแรก สันนิษฐานจากลักษณะของใบเสมาว่าคงอยู่ในสมัยอยุธยาตอนกลาง สถาปัตยกรรมรุ่นนี้
คืออุโบสถและเจดีย์ ซึ่งก่อสร้างอยู่บนฐานยกสูงจากระดับพื้นดิน ด้วยการสร้างแนวกำแพงกันดินเป็นกรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วถมดินด้านในสำหรับเป็นฐานรองรับอาคาร โดยแนวกำแพงกันดินนี้สร้างเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่ และอาจใช้เป็นกำแพงแก้วของโบสถ์ในสมัยแรก
เจดีย์ ตั้งอยู่บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัด ภายในแนวกำแพงแก้วเดียวกับโบสถ์
ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลม ฐานสี่เหลี่ยม ขนาด ๗.๕ x ๗.๕ เตร ส่วนยอดและองค์เจดีย์หักพังลงเหลือแต่ฐานและแกนด้านในองค์เจดีย์ซึ่งก่อเป็นแกนรูปกากบาทอุโบสถ เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๑๔ เมตร ยาว ๒๕ เมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเจดีย์ประธาน ลักษณะอาคารที่ปรากฏเป็นอาคารที่มีประตูทางเข้า ๔ ประตู มีทางเดินโดยรอบอุโบสถ ฐานไพทีด้านหลังกว้าง ๓ เมตร พื้นปูกระเบื้องดินเผา จากการขุดฐานชุกชีพบชิ้นส่วนพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ ๑ องค์ และพบร่องรอยการพอกปูนทับฐานชุกชีของเดิม เสาอาคารเป็นเสาแปดเหลี่ยมมีทั้งหมด ๑๐ ต้น
จากการขุดตรวจฐานอาคารพบว่ามีการก่อสร้าง ๒ สมัยด้วยกัน สมัยแรกใช้อิฐขนาด ๒๘ x ๑๔ x
๔ เซนติเมตร ภายนอกพบร่องรอยเสาพาไลรองรับ ซึ่งในสมัยหลังถูกปูทับด้วยกระเบื้องปูพื้น แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนรูปแบบตัวอาคารโดยในสมัยหลังได้มีการก่อผนังและเสาอาคารขึ้นใหม่ โดยใช้อิฐขนาดใหญ่และเปลี่ยนลักษณะอาคารเป็นอาคารที่มีส่วนชายคาแคบลง รับน้ำหนักหลังคาด้วยคันทวยหรือเต้าแทนการใช้เสารับพาไลแบบสมัยแรก ส่วนพื้นอาคารนั้นมีการเสริมปูนและปูกระเบื้องดินเผาทับอาคารเดิมในเสมาที่พบมีความคล้ายคลึงกับใบเสมาของวัดวรเชษฐาราม (ในเมือง) ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ สมัยอยุธยาตอนกลาง

สมัยที่ ๒ ได้มีการบูรณะวัดโคกพระยาเพิ่มเติม โดยบูรณะอุโบสถและกำแพงแก้วที่อยู่รอบอุโบสถ
โดยพอกปูนฐานชีกชุกและฉาบพื้นอุโบสถใหม่ดังที่กล่าวไว้ในเรื่องของอุโบสถ สำหรับกำแพงแก้วนั้น ได้ก่อพอกกำแพงแก้วด้านตะวันออกและตะวันตกให้หนาขึ้น สร้างกำแพงด้านทิศใต้เพิ่มอีก ๑ แนว โดยทำเป็นฐานบัวแล้วถมดินเพื่อปรับระดับพื้นส่วนที่ขยายออกมาจากแนวฐานเดิมมาจนชิดแนวกำแพงนี้ ทำให้ *๗
ขอบเขตของอุโบสถในสมัยนี้กว้างกว่าในสมัยแรกและใช้เป็นแนวกำแพงแก้วล้อมอุโบสถ ส่วนแนวกำแพงแก้วด้านเหนือคงใช้แนวเดิม

สมัยที่ ๓ ได้มีการบูรณะอุโบสถโดยปรับปรุงพื้นปูกระเบื้องและเปลี่ยนรูปแบบอาคารดังกล่าว
มาแล้วในเรื่องอุโบสถ และมีการก่ออิฐบริเวณกำแพงแก้วด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ให้หนาขึ้น ด้านทิศตะวันออกมีการก่อสร้างแนวกำแพงวัดใหม่แล้วถมดินปรับพื้นที่พร้อมกลบทับแนวกำแพงแก้วเดิมจนถึงระดับมีการก่อพอกและใช้แนวเดิมตั้งแต่สมัยที่ ๑ และฐานกำแพงแก้วกำแพงแก้วด้านทิศเหนือไม่พบร่องรอยการพอกอิฐทับแต่ยังคงใช้แนวเดิม และได้มีการก่อสร้างเสาหัวเม็ดบริเวณมุมกำแพงแก้วแต่ละมุม และมีซุ้มประตูทุกด้านของกำแพงแก้วในสมัยนี้ ได้มีการสร้างแนวกำแพงดินเพิ่มอีก คือ ทางด้านทิศเหนือ ทิศตะวันตกและทิศใต้เพื่อเป็นขอบเขตในการปรับระดับลดขึ้นลงจากประตูซุ้มกำแพงแก้ว ทำให้พื้นที่โดยรอบนอกเขตกำแพงแก้วนี้มีระดับเท่ากันเป็นแนวที่อยู่นอกสุดของอุโบสถ แต่ทางทิศเหนือของอุโบสถมีลักษณะเป็นที่ลุ่ม จึงมีการสร้างแนวกำแพงกันดินเพื่อเป็นเขื่อนป้องกันฐานอุโบสถพัง โดยได้มีการก่ออิฐเป็นเอ็นยึดระหว่างแนวกันดินนี้กับแนวกำแพงแก้ว และถมดินปรับระดับบริเวณแนวกำแพงกันดินให้ได้ระดับเดียวกัน โดยปรับระดับนี้ไปจนถึงแนวกำแพงรอบวัดที่สร้างในสมัยนี้เช่นกันที่เจดีย์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่มีการสร้างแท่นบริเวณฐานเจดีย์ด้านทิศใต้ คงจะใช้เป็นที่สำหรับวางเครื่องบูชาต่าง ๆ นอกจากอุโบสถและเจดีย์ยังมีอาคารและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในวัดอีก ดังนี้อาคารหมายเลข ๑ เป็นวิหารหรือตำหนัก เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๑๐ x ๒๖ เมตร ตัวอาคารมีห้องด้านหน้าและด้านหลังกว้าง ๑.๙ เมตร มีบันไดขึ้นด้านข้างบริเวณห้องทั้ง ๒ ด้าน ด้านในมีแนวเสา ๔ คู่ และมีมุขอีกด้านละ ๑ คู่ ฐานอาคารเป็นฐานบัว อิฐที่ผนังอาคารนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่พบในอาคารอื่น ๆ  อาคารหมายเลข ๒ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๖.๔ เมตร ยาว ๙ เมตร มีประตูทางเข้า ภายในอาคาร เป็นประตูกลางผนังด้านสกัดทิศตะวันตก เนื่องจากพบร่องรอยธรณีประตู พื้นอาคารปูด้วยอิฐ ไม่พบร่องรอยของเสาภายในอาคารหรือเสาพาไล ภายนอกอาคารมีการสร้างแนวกำแพงกันดินและตกแต่งเป็นฐานบัว แล้วถมดินเพื่อยกระดับของอาคารให้สูงขึ้นจากระดับพื้นภายนอกอาคารหมายเลข ๓ เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาคารหมายเลข ๒  ขนาดอาคารกว้าง ๕ เมตร ยาว ๘ เมตร

อาคารหมายเลข ๔ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอุโบสถ ติดกับแนวกำแพงแก้วด้านทิศเหนือ ตัว อาคารมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๖.๔๐ เมตร ยาว ๑๐ เมตร พื้นอาคารปูกระเบื้องดินเผาเช่นเดียวกับพื้นอุโบสถ ด้านนอกอาคารพบแนวอิฐล้อมรอบอาคาร สันนิษฐานว่าเป็นแนวกันดินบริเวณอาคารนอกจากนี้ยังมีแนวอิฐเป็นทางเดิน (หมายเลข ๒) เชื่อมต่อกับซุ้มประตูอุโบสถด้านทิศตะวันตก ๘*

อาคารหมายเลข ๕ ตั้งอยู่ติดกับแนวกำแพงวัดด้านทิศเหนือ ระหว่างอุโบสถกับอาคารหมายเลข ๔
เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก กว้าง ๔ เมตร ยาว ๕.๖๐ เมตร

อาคารหมายเลข ๖ ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของอาคารหมายเลข ๑ ตัวอาคารมีขนาดกว้าง ๓.๕๐
เมตร ยาวประมาณ ๔ เมตร

อาคารหมายเลข ๗ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอาคารหมายเลข ๖ ตัวอาคารมีขนาดกว้าง ๔ เมตร
ยาว ๗ เมตร สันนิษฐานว่าเป็นวิหาร อาคารนี้เหลือร่องรอยของผนังบางส่วนแนวทางเดินหมายเลข ๑ เป็นแนวอิฐทางเดินด้านทิศตะวันออกของอาคารหมายเลข ๒ กว้าง
๒.๒๐ เมตร


แนวทางเดินหมายเลข ๒ เป็นแนวทางเดินเชื่อมต่อระหว่างอุโบสถและอาคารหมายเลข ๔ เริ่มจาก
ซุ้มประตูกำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกของอุโบสถไปยังอาคารหมายเลข ๔ กว้าง ๑.๗๐ เมตร
แนวทางเดินหมายเลข ๓ เป็นแนวทางเดินเข้าวัดด้านทิศตะวันออก กว้างประมาณ ๑๕๐
เซนติเมตร แนวทางเดินนี้ตัดผ่านแนวกำแพงวัดเข้าสู่เขตกำแพงแก้วของอุโบสถ โดยทางเข้านี้อยู่ทางทิศใต้ของเจดีย์แนวทางเดินหมายเลข ๔ เป็นแนวพื้นทางเดินที่อยู่นอกกำแพงวัดทางด้านทิศใต้ แนวอิฐที่ปรากฏมีลักษณะไม่ค่อยเป็นระเบียบแนวกำแพงอุโบสถ กำแพงแนวเหลือ + ใต้ มีความยาว ๓๑ เมตร แนวด้านตะวันออก – ตะวันตกยาว ๔๘ เมตร แนวกำแพงนี้ครอบคลุมบริเวณอุโบสถและเจดีย์ แนวกำแพงด้านทิศตะวันตกและทิศใต้มีการก่อและเสริมขึ้นภายหลัง พบส่วนฐานของซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ ทางด้านทิศตะวันออกมีแนวทางเดินทอดยาวออกไปนอกกำแพงวัดแนวกำแพงวัด กำแพงในแนวเหนือ – ใต้ มีความยาว ๗๕ เมตร แนวตะวันออก – ตะวันตก ยาว
๒๕๐ เมตร จากการขุดแต่งไม่พบซุ้มประตูทางเข้าวัดนอกจากแนวทางเดินจากบริเวณด้านนอกกำแพงวัดตัดผ่านแนวกำแพงนี้เข้าสู่บริเวณกำแพงแก้วของอุโบสถ

กลุ่มแนวอิฐ ตั้งอยู่ใกล้แนวกำแพงด้านทิศตะวันตกของวัด ลักษณะเป็นแนวอิฐก่อเป็นกรอบรูป
สี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด ๑๕ x ๑๕ เมตร มีจำนวน ๒ แนว อยู่ห่างกันประมาณ ๒ เมตร ตั้งอยู่ใกล้แนว
กำแพงด้านทิศตะวันตกของวัด *๙



บรรณานุกรม
รายงานการขุดแต่งโบราณสถานวัดโคกพระยา ตำบลภูเขาทอง อำเภอพระนคร-
ศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๕๔๑
ศิลปากร, กรม. จดหมายเหตุฟานฟลีต (จดหมายเหตุวันวลิต). กรุงเทพฯ : บริษัทอักษรเจริญทัศน์ อจท.
จำกัด, ๒๕๔๕.
____________. ทะเบียนโบราณสถานในเขตหน่วยศิลปากรที่ ๑. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. สัมพันธ์
พาณิชย์, ๒๕๓๗.
____________. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : บริษัทศรีเมืองการพิมพ์
จำกัด, ๒๕๓๔.
____________. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. เล่ม 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์
แห่งประเทศไทย จำกัด , ๒๕๓๔.
(//www.literatureandhistory.go.th/index.php?app=academic&fnc=showlist&cateid=765&apptype=academic3)



Create Date : 19 เมษายน 2557
Last Update : 19 เมษายน 2557 18:53:40 น.
Counter : 2453 Pageviews.

1 comments
  
ขอบคุณ ที่นำมาเผยแพร่ค่ะ
โดย: แมกกี้ IP: 110.169.106.218 วันที่: 18 กรกฎาคม 2558 เวลา:21:13:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อากาศมันร้อนขอนอนแปบนึง
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



สวัสดีค่ะ ดีใจที่เข้ามาแวะดูโปรไฟล์นะคะ อยากเป็นเพื่อนกันหรือต้องการทักทาย ทิ้ง comment ไว้ได้นะคะ
New Comments
  •  Bloggang.com