Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 

เวทีสนามหลวง 3

"เวทีสนามหลวง 3" เป็นเวทีที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน เพื่อเล่าข่าว บอกกล่าวเรื่องราว เหตุการณ์น่าสนใจ ประชาสัมพันธ์แสดงความคิดออกความเห็นได้ที่นี่



H O M E




 

Create Date : 27 มีนาคม 2551
225 comments
Last Update : 22 กรกฎาคม 2551 23:01:53 น.
Counter : 13168 Pageviews.

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11664





อภิชาติพงศ์ตัดสินใจ ฉาย ‘แสงศตวรรษ’ ฉบับ ‘ไทยเอดิชั่น’ ใช้ฟิล์มดำและความเงียบ แทน 6 ฉากที่ถูกตัด



หลังจากภาพยนตร์เรื่อง ‘แสงศตวรรษ’ ถูกคณะกรรมการเซ็นเซอร์ตัดสินให้ตัดออก 4 ฉาก เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ซึ่งอภิชาตพงษ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย ผู้กำกับภาพยนตร์ยื่นอุทธรณ์การตัดสินนั้น ผลจากการอุทธรณ์ออกมาแล้วว่า คณะกรรมการฯ มีมติให้ตัดหนังออกไป 6 ฉาก คือ 4 ฉากเดิม และเพิ่มอีก 2 ฉาก ซึ่งอภิชาติพงศ์เผยว่า จะยอมรับมติคณะกรรมการ และฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในเมืองไทย โดยจะใส่ฟิล์มดำที่มีรอยขูดขีดแทนฉากที่ถูกตัดไป



ภาพยนตร์เรื่องแสงศตวรรษ เป็นผลงานที่ติดอันอับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากหลายโพลทั่วโลก ผลงานการกำกับของ เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับมือรางวัลจากนานาชาติ เตรียมจะเข้าฉายในเมืองไทยเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว (2550) แต่ขั้นตอนต้องสะดุดเมื่อคณะกรรมการเซ็นเซอร์มีมติให้ตัด 4 ฉาก จากผลการตัดสินครั้งนั้น ทำให้ในช่วงแรกผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ตัดสินใจที่จะไม่ฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศไทย และขอฟิล์มคืนจากคณะกรรมการเซ็นเซอร์ แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการฯ ไม่ยอมคืนฟิล์มให้ และยืนยันว่าคณะกรรมการต้องตัดทั้ง 4 ฉากเสียก่อน



ล่าสุด เรื่องราวดำเนินต่อไป เมื่ออภิชาตพงศ์ขอยื่นอุทธรณ์ ทั้งนี้ ภาพยนตร์ทั้ง 4 ฉากที่ถูกตัด ได้แก่

ฉากพระเล่นกีตาร์ ฉากพระเล่นเครื่องร่อน ฉากหมอจูบกับแฟนสาวแล้วอวัยวะเพศแข็งตัว และฉากหมอดื่มเหล้าในโรงพยาบาล



ผลจากการอุทธรณ์ยังคงมติเดิมที่ให้ตัดทั้ง 4 ฉากเดิม และมีมติให้ตัดเพิ่ม 2 ฉาก คือ ฉากที่ปรากฏให้เห็นถึง พระบรมรูปสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และฉากที่ปรากฏให้เห็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับคู่กับสมเด็จย่า



ทั้งนี้ แหล่งข่าวเล่าถึงทัศนะของคณะกรรมการฯ ที่เห็นว่า ต้องตัดทั้งสองฉากนั้นเพิ่ม เพราะฉากดังกล่าวดูแล้วรู้ทันทีว่าเป็นประเทศไทย



“เขาบอกว่า ดูพระยังพอคิดไปได้ว่า เป็นพระลาวหรือพระที่อื่น แต่ดูฉากนี้แล้วรู้เลยว่าเป็นเมืองไทย” แหล่งข่าวกล่าว



ภาพยนตร์เรื่องแสงศตวรรษ ฉบับเซ็นเซอร์ กำลังจะฉายเป็นครั้งแรกในประเทศไทย หรือที่ทางผู้จัดทำเรียกมันว่า Thailand’s edition เพราะฉากที่ถูกตัดออกไป จะถูกคั่นด้วยฟิล์มดำที่มีรอยขูดขีด



อภิชาติพงศ์ อธิบายว่า “ผมอยากกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงปัญหาการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ในบ้านเรา โดยเฉพาะในช่วงนี้ จะเริ่มมีการนำ พ.ร.บ.ภาพยนตร์ ฉบับใหม่ออกมาใช้แล้ว ซึ่งพ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ แม้จะมีการจัดเรตติ้ง แต่ก็ยังให้อำนาจคณะกรรมการฯ ในการสั่งเซ็นเซอร์หรือแบนภาพยนตร์อยู่ดี การที่ผมตัดสินใจใส่ฟิล์มดำที่เป็นรอยขูดขีดลงไปในหนังแทนฉากที่ถูกเซ็นเซอร์นั้น ก็เพื่อจะให้คนดูได้รู้สึกถึงความมืดที่มีเส้นสายของการทำลาย พร้อมทั้งความเงียบ ซึ่งแน่นอนว่า ปริ๊นต์หนังฉบับนี้จะเป็นปริ๊นต์เดียวในโลก เป็นการบอกว่า ถ้าระบบเซ็นเซอร์ยังอยู่ เราก็ต้องดูหนังกันแบบนี้แหละ ซึ่งผมก็หวังให้เกิดการพูดคุยในสังคมวงกว้างเกี่ยวกับสิทธิ์ของผู้สร้างและผู้เสพงานด้วย”



ภาพยนตร์แสงศตวรรษ เวอร์ชั่นที่หาชมได้ที่ประเทศไทยที่เดียวเท่านั้น จะเริ่มฉายวันพฤหัสบดีที่ 10 เม.ย. นี้ ณ โรงภาพยนตร์สยามพารากอน นอกจากนี้ บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์จะมีการจัดบอร์ดนิทรรศการการเดินทางของภาพยนตร์เรื่อง “แสงศตวรรษ” และขั้นตอนการพิจารณาภาพยนตร์ในประเทศไทย





ที่เกี่ยวข้อง :

รายละเอียดสำหรับผู้สนใจร่วมชมภาพยนตร์เรื่องแสงศตวรรษ

กระทู้ความคิดเห็น ต่อเรื่องนี้ จากเว็บไซต์ไบโอสโคป








--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/3/2551


 

โดย: 001 IP: 118.174.71.213 28 มีนาคม 2551 20:06:04 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11656
บทความ: ไปให้ไกลกว่า ‘xxx กระปุก’ สร้างมาตรฐานการใช้อินเทอร์เน็ต แบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง





กานต์ ยืนยง : //www.siamintelligence.com

ชื่อเดิมของบทความ: ไปให้ไกลกว่า ‘xxx กระปุก’

………………………………….

(1) ดู xxx.kapook.com? : //pittaya.com/2008/03/19/xxx-kapook-com/

(2) ดูการจัดอันดับเว็บไซต์ไทยโดย truehits.net ที่ : //truehits.net/index_ranking.php

(3) Blackhat SEO คือการทำ Search Engine Optimization (SEO) ด้านมืด, ตามปกติแล้วเป้าหมายการทำ SEO เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าใช้งานโดยพยายามเขียน SEO Copywriting ที่เอาไว้สำหรับให้เครื่องมือค้นหาเว็บไซต์ (web spider, หรือ crawler – นิยมเรียกกันว่า robot) เข้ามาอ่านและวิเคราะห์เพื่อจัดลำดับในรายงานผลการค้นหา ( SEO Copywriting ไม่ใช่ให้คนอ่าน); วิธีที่ผิดซึ่งเป็นด้านมืดอย่างหนึ่งก็เช่น การแทรกคำสำคัญมากเกินไป (spam keyword)

(4) ดูคำให้สัมภาษณ์ของปรเมศวร์ในเว็บไซต์ผู้จัดการ//www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9510000034021 และต่อมาในการรายงานข่าวจากไทยรัฐออนไลน์ : //www.thairath.co.th/news.php?section=technology03b&content=83555

(5) //en.wikipedia.org/wiki/Moral_responsibility

(6) ดู //www.thaicleannet.com/

(7) จากใจผู้จัดการโครงการ //www.thaicleannet.com/modules.php?name=tcn_stories_view&sid=25

(8) ดูการแถลงข่าวและถามตอบของปรเมศวร์ที่ : //duocore.ch7.com/xxxkapookcom/

(9) ปรเมศวร์ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทยในสมัยที่ 3 และ 4 โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 – 2552 : //www.webmaster.or.th/about/committee/twa4 , ล่าสุดผมทราบว่าจะมีการแถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งนายกฯสมาคมฯ ในวันนี้ (25 มีนาคม 2551) ดู //www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9510000034021 (updated ปรเมศวร์ลาออก)

(10) บทความ “น่าเป็นห่วงอนาคตเด็กไทย” : //palawat.com/p/?L=blogs.blog&article=30

(11) ดูรายงานได้จาก : //www.google.com/intl/en/press/zeitgeist2007/ , Google แปลความหมายคำ Zeigeist นี้ว่า “จิตวิญญาณแห่งการเวลา” แต่ผมอยากจะให้ความหมายว่า “จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย” ตามข้อเขียนหนึ่งในบทความของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

(12) อ้างอิงจากบทความ ““น้องอูฐ” ดูดน้ำจาก “เป้า” //www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9510000026449

(13) ดู Empirical Analysis of Google SafeSearch : //cyber.law.harvard.edu/archived_content/people/edelman/google-safesearch/

(14) ดู Judge dismisses suit against Google : //www.news.com/2100-1032_3-1011740.html

(15) ดู Who’s afraid of Google : //www.economist.com/research/articlesBySubject/displaystory.cfm?subjectid=10009611&story_id=9725272

(16) Google code of conduct : //investor.google.com/conduct.html

(17) ดู ‘เปิดเบื้องหลัง 3 สมาคมสื่อ ขึ้นสู่เก้าอี้สมาชิกสภานิติบัญญัติฯ’ : //www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=5459&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai

(18) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง, เป็นกรณีเกี่ยวข้องกับคำถามในแง่ความถูกต้องเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าความรู้ทางวิชาการซึ่งฝ่ายสื่อมวลชนปัจเจกชนมีความเห็นแตกต่างไปอีกทางหนึ่งว่าความรู้นั้นเป็นของสาธารณะ คดีนี้สิ้นสุดลงด้วยการเจรจาประนีประนอมยอมความในศาลจากที่ตอนแรกโจทก์จะเรียกร้องให้ชดใช้ความเสียหาย










--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 27/3/2551

 

โดย: 002 IP: 118.174.71.213 28 มีนาคม 2551 20:16:53 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11667


บทความ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช : แก้รัฐธรรมนูญ จุดสมดุลระหว่าง ‘ประชาธิปไตย’ กับ ‘การตรวจสอบ’



หมายเหตุ ชื่อบทความเดิม : การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ: จุดสมดุลระหว่างความเป็นประชาธิปไตยและการตรวจสอบ





ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์





บทนำ



เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยทั้งในแง่ของ ‘ที่มา’ และ ‘เนื้อหา’ อีกทั้งหลายมาตราก็ก่อให้เกิดปัญหาในการใช้และการตีความกฎหมายเเละบั่นทอนเสถียรภาพของฝ่ายบริหาร



ดังนั้น ในเมื่อตอนนี้การเมืองไทยเริ่มเข้าสู่ระบบปกติ มีรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งและมีรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว การเมืองภาคประชาชนน่าจะริเริ่มกระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ





1.ใครบ้างที่มีสามารถริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยช่องทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น มาตรา 291 ได้รับรองว่า คณะรัฐมนตรี ส.ส.และ ส.ว. รวมทั้งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ทั้งนี้ ประชาชนโดยทั่วไป องค์กรภาคเอกชนฝ่ายประชาธิปไตยต่างๆ และนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยควรมีบทบาทในการริเริ่มให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550



ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ สำหรับรูปแบบของการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น อาจทำในรูปของคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งประกอบด้วยตัวแทนทุกภาคส่วน ส่วนคะแนนเสียงที่จะให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านนั้นต้องการคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภา (คือทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา)



ประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญน่าจะเริ่มต้นได้แล้ว เนื่องจากขั้นตอนต่างๆ ใช้เวลาพอสมควร ทั้งเรื่องการเตรียมการศึกษาว่ามีประเด็นใดบ้างที่ควรแก้ไข การจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน (ตามวาระที่สอง) และการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นต้น





2. วิธีการแก้ไข

ก่อนที่จะมีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจมีการตั้ง “คณะกรรมาธิการวิสามัญ” ประกอบด้วยตัวเเทนจากทุกภาคส่วนเพื่อประชุมร่วมกันเพื่อระดมสมองว่าสมควรมีการแก้ไขประเด็นใดบ้าง โดยคณะกรรมาธิการนี้อาจศึกษาถึงข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ว่าเกิดจากอะไร เช่น เกิดจากเนื้อหาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเอง กล่าวคือ ถ้อยคำกำกวมหรือคลุมเครือ หรือเป็นปัญหาของการบังคับใช้ (Enforcement) หรือเกิดจากการที่เนื้อหาของรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญขัดกับธรรมชาติของการเมือง หรือเป็นกรณีที่ยังไม่มีกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติมากำหนดรายละเอียดหลักการต่างๆในรัฐธรรมนูญ เป็นต้น





3. เป้าหมายและหลักการพื้นฐานของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

การแก้ไขรัฐธรรมนูญควรตั้งเป้าหมาย ดังนี้

1) ทำให้ระบบการเมืองในภาพรวมเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง

2) คำนึงถึงหลักความเสมอภาคในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเสมอภาคต่อกฎหมาย ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ การศึกษาและความสมอภาคด้านโอกาสต่างๆ

3) ลดอำนาจของอมาตยาธิปไตย

4) เพิ่มอำนาจของฝ่ายบริหารให้เข้มแข็ง ในขณะเดียวกันก็เพิ่มอำนาจการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลด้วย

5) การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี

6) ยึดหลักอำนาจสูงสุดของรัฐบาลพลเรือนเหนือทหาร (Supremacy of Civilian)



การแก้ไขบทบัญญัติต่างๆ ของรัฐธรรมนูญ ควรคิดไปจากหลักการข้างต้น แล้วร่างให้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อจะได้อธิบายได้ว่า ทำไมจึงแก้ไขหรือเพิ่มเติมให้ต่างจากรัฐธรรมนูญปัจจุบัน



เช่น ควรเพิ่มให้ผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ผบ. สูงสุด และเสนาธิการ ยื่นบัญชีทรัพย์สินด้วย หรือในหมวดว่าด้วยสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ควรบัญญัติตรงๆ เลยว่า “การใช้กำลังของกองทัพเพื่อทำรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญนั้นจะกระทำมิได้”



การระบุอย่างชัดเจนไว้ในรัฐธรรมนูญ แม้จะมิอาจป้องกันการทำรัฐประหารได้ แต่อย่างน้อยในเชิงสัญลักษณ์ น่าจะเป็นการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนที่ไม่ยอมรับการทำรัฐประหารว่าเป็นหนทางการแก้ไขปัญหาการเมือง



หรือควรเพิ่มเติมว่า “องคมนตรีต้องไม่เกี่ยวข้องทางการเมืองทั้งโดยตรงและโดยอ้อม” ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ผ่านๆ มา บัญญัติแต่เพียงว่า “องคมนตรี…ต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใดๆ” แต่การบัญญัติเพียงแค่ว่า “ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดๆ” ปัจจุบันคงไม่พอ เพราะการเกี่ยวข้องหรือแสดงบทบาททางการเมืองนั้นอาจทำได้ในรูปแบบอื่นได้โดยไม่จำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าชอบหรือไม่ชอบพรรคการเมืองใด (แต่ผมเชื่อว่าถ้าเขียนตามข้างต้นคงไม่ผ่าน)



นอกจากนี้ น่าจะมีการอภิปรายว่า สมควรมีการนำบทบัญญัติบางมาตราของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2489 ที่เขียนว่า “ฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือโดยประการอื่นก็ดี ไม่กระทำให้เกิดเอกสิทธิอย่างใดเลย” มาบัญญัติอีกครั้งหรือไม่ เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำมาก อีกทั้งระบอบประชาธิปไตยตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า มนุษย์มีความเท่าเทียมกันและเสมอภาคกัน



ที่ผ่านมาสังคมไทยให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพมากจนมองข้ามหลักความเสมอภาคทั้งๆ ที่หลักความเสมอภาคเป็นพื้นฐานของการใช้สิทธิเสรีภาพ สิทธิเสรีภาพจะไม่ได้ผลในทางปฏิบัติ หากมีการหยิบยกข้ออ้างในนามของ “ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง” หรือ “ราษฎรอาวุโส” หรือ “ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ” มาปิดปากกับฝ่ายตรงกันข้าม



อีกทั้งที่ผ่านมาเคยมีกลุ่มราชนิกุลออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง การบัญญัติข้อความดังกล่าวน่าจะเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นพลเมืองที่เท่าเทียมกัน ไม่ควรอ้างตำแหน่งใดๆ เพื่อยกความสำคัญของตนเองและขณะเดียวกันเป็นการกดผู้อื่นด้วย





4. ประเด็นของการแก้ไขและเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่สมควรมีการแก้ไขและเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น สมควรพิจารณาในภาพรวม รวมถึงกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (Organic law) ด้วย เนื่องจากบทบัญญัติบางมาตราได้บัญญัติซ้ำซ้อนกันทั้งในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เช่น กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และสรรหา ส.ว. กฎหมายพรรคการเมือง



สำหรับประเด็นที่สมควรหยิบยกขึ้นมาพิจารณาว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมมีมากมาย เช่น ระบบการเลือกตั้งสภาผู้เเทนราษฎร ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา บทบาทและอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง การให้ผู้พิพากษาจากศาลฎีกาเป็นกรรมการสรรหาองค์กรอิสระ การทำความตกลงระหว่างประเทศ การดำรงตำเเหน่งของนายกรัฐมนตรี (มาตรา 171 วรรคท้าย) สิทธิอุทธรณ์ของจำเลยในการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง (มาตรา 278 วรรค 2) เเนวนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐ การใช้งบประมาณของหน่วยราชการหรือรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล (มาตรา 169 วรรคสอง) การเสนอขอเเปญัตติเรื่องงบประมาณของศาลเเละองค์กรตามรัฐธรรมนูญ (มาตรา 168 วรรคท้าย) เป็นต้น





บทส่งท้าย



การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้ อาจเป็นการชิมลางหรือหยั่งท่าทีของการยื้อกันระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายอมาตยาธิปไตยหัวอนุรักษ์นิยมก็ได้ แต่เชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะยังมิได้รัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายแน่นอน ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ควรถือโอกาสให้เป็นการยกระดับข้อเรียกร้องเพื่อ “ประชาชน” และ “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริงให้มากที่สุดเท่าทีจะทำได้ (แต่ผมก็เชื่อว่าคงทำได้ดั่งใจไม่ได้เต็มที่) พยายามให้พ้นไปจาก “ตัวบุคคล” หรือ “พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง” ให้ได้









--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/3/2551

 

โดย: 003 IP: 118.174.71.213 28 มีนาคม 2551 20:26:21 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11661




2 ทัศนะเรื่องชุมนุมประท้วงในทิเบต: ถูกบีบคั้นจากรัฐ หรือ ต้องการฟื้นฟูสมมติเทพ?



เสียงจากนักกีฬา : นักพายเรือแคนาดาเผย การบอยคอตต์นั้น ‘เปล่าประโยชน์’



ซู ฮอลโลเวย์ นักกีฬาพายเรือแคนูจากประเทศแคนาดา ไม่เห็นด้วยหากจะมีการบอยคอตต์ไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิกด้วยเหตุทางการเมือง



ในปี ค.ศ.1980 แคนาดาเคยบอยคอตต์กีฬาโอลิมปิกที่กรุงมอสโคว สหภาพโซเวียต (รัสเซียในปัจจุบัน) เนื่องจากสหภาพโซเวียตได้ทำการรุกรานประเทศอัฟกานิสถาน เป็นเหตุให้ฮอลโลเวย์ ในฐานะนักกีฬาแข่งเรือแคนู ไม่สามารถเข้าแข่งในครั้งนั้นได้



จากเดิมที่ฮอลโลเวย์เคยได้รับเลือกให้เป็นคนถือธงนำทีมของแคนาดาเข้าไปในสนามกีฬาของมอสโคว แต่การบอยคอตต์โดยรัฐบาลแคนาดา ทำให้สิ่งที่เธอซ้อมมาต้องสูญเปล่า



เธอเล่าถึงความรู้สึกให้ฟังว่าเหมือนกับ ‘ฝันสลาย’ เพราะการเข้าร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ปี 1980 คือสิ่งที่ฝึกซ้อมและทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ เมื่อมีการประกาศว่าแคนาดาจะไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมในครั้งนั้น ฮอลโลเวย์กล่าวอีกด้วยว่าตนถึงกับล้มป่วยและรู้สึกว่าพ่ายแพ้อย่างหมดรูป



แม้ว่ากีฬาโอลิมปิกที่มอสโควในครั้งนั้นจะมีการบอยคอตต์จากแคนาดาและประเทศอื่นอีกกว่า 60 ประเทศ มอสโควเกมก็ยังคงดำเนินต่อไป และทางสหภาพโซเวียตก็ยังคงดำเนินการยึดครองอัฟกานิสถานต่อไปอีกเป็นเวลากว่าสิบปี ฮอลโลเวย์ให้ความเห็นว่า “ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว มันแค่ทำให้พลังของนักกีฬาต้องสูญเปล่าไปโดยใช่เหตุ”



มาถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ทางการจีนปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาลโดยใช้ความรุนแรงเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ทำให้เกิดการจุดประเด็นในเรื่องการบอยคอตต์โอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ด้วยสาเหตุเรื่องสิทธิมนุษยชน



แต่ฮอลโลเวย์ก็ออกมาเตือนว่า การเคลื่อนไหวเช่นนี้จะเป็นการทำลายความฝันของนักกีฬาชาวแคนาดาเปล่าๆ



“มันเป็นวิธีส่งเสริมการเคลื่อนไหวที่แย่ที่สุด” เธอบอก “พวกนักกีฬายังสามารถแสดงออกถึงอิสรภาพได้ดีกว่า ด้วยการที่พวกเขาไปอยู่ตรงนั้นและแสดงให้ผู้คนเห็นว่า ทางเลือกเสรีที่แท้จริงคืออะไรกันแน่”



นอกจากนี้ ฮอลโลเวย์เห็นว่า นักกีฬาส่วนใหญ่อยากไปแข่งขันในฐานะนักกีฬา และไม่มีวาระทางการเมืองแอบแฝง แต่เป็นเพราะคนกลุ่มอื่นๆ สร้างสถานการณ์ทางการเมืองขึ้นมา ไม่ใช่เพราะนักกีฬาเป็นคนสร้าง แต่ทำไมต้องโยนความเดือดร้อนมาให้นักกีฬา



ขณะเดียวกัน การบอยคอตต์เมื่อครั้งจัดที่มอสโควทำให้ นักวิ่ง อิวอน มอนเดอซาย ชวดความหวังในการที่จะคว้าเหรียญทองให้แคนาดา



แม้ว่าการบอยคอตต์ในปี ค.ศ.1980 จะมาจากการตัดสินใจขั้นสุดท้ายโดยรัฐบาลเสรีนิยม แต่การบอยคอตต์เพื่อประท้วงการรุกรานอาฟกานิสถานนั้น เริ่มมาจาก รัฐบาลอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าของโจ คลากส์ ในช่วงนั้น ฟลอร่า แมคโดนัลด์ ที่ยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ ออกมาย้ำในวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 มี.ค.) ว่ามันเป็นทางเลือกที่ถูกต้องในตอนนั้น เธอบอกว่า “เพราะนั่นเป็นการรุกรานประเทศที่เป็นเอกราชอย่างเต็มที่”



แต่อย่างไรก็ตาม แมคโดนัลด์ก็บอกว่า แคนาดาไม่ควรจะบอยคอตต์โอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง จากเรื่องเหตุการณ์ในทิเบต



“สถานการณ์มันต่างกัน” เธอให้ความเห็น “ความจริงก็คือจีนได้เข้ายึดครองทิเบตอยู่ก่อนแล้ว บอกว่าเป็นของพวกเขามานานแล้ว แต่ฉันคิดว่าวิธีที่พวกเขาจัดการมันดูไร้เหตุผลไปหน่อย”



ซาร์โคซี่ ฝรั่งเศส ไม่เข้าร่วมพิธีเปิดหากจีนยังไม่มีทางออกอย่างสันติให้กับเหตุในทิเบต

ประธานาธิบดีนิโคลาส์ ซาร์โคซี่ ของฝรั่งเศส ให้สัญญาณว่าเขาจะไม่เข้าร่วมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกในเดือนสิงหาคม จนกว่าทางการจีนจะยอมหยุดใช้กำลังปราบปรามกลุ่มผู้เคลื่อนไหวชาวทิเบต และยอมเจรจากับดาไล ลามะ



ก่อนหน้าจะมาเยือนประเทศอังกฤษในวันที่ 26 มี.ค. นายซาร์โคซี่ ได้พูดถึงเรื่องที่เขาจะบอยคอตต์พิธีเปิดของกีฬาโอลิมปิกในประเทศจีน จึงดูราวกับว่า นี่เป็นการสร้างรอยแตกร้าวทางความคิดกับ กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนื่องจากนายกอร์ดอน บราวน์ เป็นผู้ที่ปฏิเสธการบอยคอตต์เสมอมา



นิโคลัส ซาร์โคซี่กล่าวว่า “สหายชาวจีนของเราต้องเข้าใจว่าปมปัญหาในทิเบตเป็นเรื่องที่ทั่วโลกกำลังวิตกกังวล”



“ผมไม่ได้จะปิดกั้นไม่ให้มีทางเลือกอื่น แต่ผมคิดว่ามันจะรอบคอบกว่าหากจะรักษาท่าทีของผมในการที่จะเอื้อให้สถานการณ์มีการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม ผมต้องการให้มีการเริ่มเจรจา และผมจะค่อยๆ ปรับท่าทีของผมไปตามท่าทีของทางรัฐบาลจีน”



ความเห็นของนายซาร์โคซี่ จะเป็นการกดดันนายกรัฐมนตรีอังกฤษให้แสดงท่าทีและความต้องการที่แน่ชัดต่อเหตุการณ์ในทิเบต พวกเขายังพูดเป็นลางไว้ด้วยว่า หากอังกฤษและฝรั่งเศสร่วมมือกัน มันอาจจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสเลยก็ได้ หลังจากในสมัยที่ แบลร์ กับ ชีรัค ดำรงตำแหน่ง ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนัก



แต่อย่างไรก็ดี แม้นายซาร์โคซี่ขู่ว่าจะบอยคอตต์พิธีเปิด แต่ก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีด้วยการที่ไม่บอยคอตต์การแข่งขันกีฬา โดยโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม-สื่อ-กีฬา ออกมาให้ข้อมูลว่า “พิธีเปิดเป็นแต่ส่วนหนึ่งของโอลิมปิก และจุดยืนของเราที่จะไม่บอยคอตต์การแข่งขันนั้นยังคงเดิม เราไม่เชื่อว่าการบอยคอตต์จะเปลี่ยนแปลงอะไร”



ทางด้านนายกรัฐมนตรีบราวน์ ของอังกฤษเอง ก็มีกำหนดการจะต้องเข้าร่วมพิธีปิดกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ เพื่อเป็นตัวแทนของกรุงลอนดอนในการรับคบเพลิงโอลิมปิกต่อจากปักกิ่ง ในฐานะที่จะเป็นเจ้าภาพครั้งถัดไป



การหยามพิธีเปิดที่กรุงปักกิ่งของนายซาร์โคซี่ อาจทำให้เกิดความกดดันให้ผู้นำในยุโรปคนอื่นๆ ทำตาม โดยทางฝรั่งเศสเองก็จะดำรงตำแหน่งเป็นประธานสหภาพยุโรป (EU) ในช่วงที่มีการจัดการแข่งขันพอดี



นอกจากการบอยคอตต์พิธีเปิดที่จะเป็นการสร้างความอับอายให้แก่จีนแล้ว ทางการจีนยังต้องวิตกกังวลกับเรื่องการวิ่งคบเพลิงซึ่งเป็นบทโหมโรงที่จะดึงดูดความสนใจของผู้คนไปสู่พิธีเปิด พวกเขาเกรงว่าจะมีกลุ่มผู้ประท้วงและนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนมาชิงคบเพลิงไป หลังจากที่มีผู้สนับสนุนทิเบตจำนวนหนึ่งมาสร้างความยุ่งเหยิงให้พิธีจุดคบเพลิงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ก่อความไม่สงบทั้ง 3 รายที่ถูก มาจากองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนและสื่ออิสระจากฝรั่งเศส โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนกลุ่มองค์กรเหล่านี้ ได้สนับสนุนให้ผู้นำรัฐบาลของแต่ละรัฐบอยคอตต์พิธีเปิดเพื่อส่งสารไปยังทางการจีน แทนการบอยคอตต์การแข่งขัน เพราะวิธีการนี้จะไม่ทำให้นักกีฬาต้องสูญเสียเวลาฝึกซ้อมไปเปล่าๆ โดยไม่ได้แข่งขันด้วย



ความคิดนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากในฝรั่งเศส โดยมี ฌอง-ฟรองชัวร์ จูลลิยาร์ผู้อำนวยการองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) และเป็นคนเดียวกับที่ถูกตำรวจกรีกจำกุมตัวในข้อหา ‘ดูหมิ่นสัญลักษณ์ของชาติ’ ออกมาบอกว่า “พวกเรารู้สึกว่าเหล่าผู้นำทางการเมืองเริ่มจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติแล้ว”



ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาที่สถานีโทรทัศน์ชั้นนำของฝรั่งเศสให้ความเห็นว่า จะมีการบอยคอตต์โอลิมปิกหากรัฐบาลจีนยังคงเซนเซอร์สื่อ



ด้านธุรกิจส่งออกอาวุธที่อังกฤษส่งออกไปยังจีน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าในปีเดียว จากรายงานของสำนักงานการต่างประเทศและเครือจักรภพ การส่งออกอาวุธมีมูลค่าถึง 215 ล้านปอนด์ จากสถิติตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2006 ถึงเดือนกันยายนปี 2007 ทะเบียนสั่งซื้อของจีนมีทั้งอุปกรณ์ติดตั้งสำหรับเฮลิคอปเตอร์กองทัพ และเครื่องมือสื่อสาร



ทางการจีนเผย ผู้ประท้วงมากกว่า 660 คนยอมจำนนแล้ว



ในวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางการจีนได้พากลุ่มนักข่าวต่างประเทศเดินทางไปรอบๆ เขตที่เคยเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทิเบตในตอนนี้อยู่ใต้การควบคุมของจีนเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังได้บอกอีกว่า ผู้ชุนนุมจากเหตุการณ์ไม่สงบมากกว่า 660 คนยอมจำนนแล้ว



กลุ่มนักข่าวประมาณ 12 คน ได้รับการอนุญาตให้เข้าไปในเขตหิมาลายัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เองก็อนุญาตให้พวกเขาพูดคุยกับเหยื่อจากเหตุการณ์ประท้วงที่เกิดความรุนแรง และเผยให้เห็นทรัพย์สินที่ถูกทำลายไปในวันที่มีการประท้วง



ฉินกัง โฆษกรัฐมนตรีการต่างประเทศของจีนกล่าวว่า จะจัดให้มีการสัมภาษณ์เหยื่อจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้น และจะเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวได้ไปเยือนตามสถานที่ที่ถูกเผาทำลายด้วย



อย่างไรก็ตาม นักข่าวต่างประเทศส่วนใหญ่ยังคงถูกกันไม่ให้เข้าไปในเขตทิเบตและเขตของจีนในมลฑลใกล้เคียง ที่ซึ่งมีประชากรชาวทิเบตอยู่เป็นจำนวนมากและได้รับผลกระทบจากเหตุไม่สงบ ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจเช็คจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ที่ถูกจับกุมด้วยตนเอง



ดาไล ลามะ ได้ให้ความเห็นถึงการอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปยังพื้นที่ขัดแย้งในลาซาภายใต้การนำทางของรัฐบาลจีนในครั้งนี้ โดยบอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงนิวเดลีว่า ถ้าหากคำกล่าวของรัฐบาลจีนเป็นเรื่องจริงก็ดี แต่ควรจะให้อิสระอย่างเต็มที่ด้วย เพื่อที่จะได้สามารถเข้าไปรับรู้สถานการณ์จริงได้



จนถึงบัดนี้ทางทิเบตได้ออกมารายงานว่ามีผู้ที่ถูกสังหารในเหตุไม่สงบถึง 140 คนแล้ว ขณะที่ทางการจีนรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 20 คน โดย 19 คน เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในลาซา



ทางสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน ออกมาให้ข้อมูลว่ามีผู้ชุมนุมมากกว่า 280 คนในลาซาที่ยอมจำนน ส่วนที่เหลืออีก 381 คนจากเขตงาหว่า (Ngawa) ก็ได้ยอมมอบตัวแล้วเช่นกัน



ชู เทา (Shu Tao) หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ท้องถิ่นอ้างรายงานจากหนังสือพิมพ์ของรัฐอย่างพีเพิลเดลี่ โดยกล่าวว่า ผู้ที่ออกมามอบตัวเกือบทั้งหมด มีแต่พระกับฆราวาสที่ถูกหลอกและถูกบังคับมา



สำนักข่าวซินหัวยังได้รายงานอีกว่า พนักงานอัยการของคดีความไม่สงบในลาซาได้พบหลักฐานว่ามีคน 29 คนที่มีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการประท้วงในทิเบตเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ขณะเดียวกันทางตำรวจก็ได้ผู้ระบุต้องสงสัย 53 รายไว้ในบัญชีประกาศจับ ‘นักโทษสำคัญ’ (Most-Wanted)



จีนพยายามควบคุมความสงบ



หลังจากที่ทางการจีนเข้าปิดล้อมกรุงลาซา เมืองหลวงของทิเบตในวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการประกาศว่า จะควบคุมวัดวาอารามให้แน่นหนาขึ้น เพื่อยับยั้งการประท้วงไม่ให้ลามไปถึงพื้นที่อื่นที่มีชาวทิเบตอยู่



ทางตะวันตกของมลฑลชิงไห่ เป็นสถานที่ล่าสุดที่มีการรายงานว่ามีความเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล ข่าวจากทางการปักกิ่งที่ได้จากการสอบถามผู้อยู่อาศัยละแวกนั้น ระบุว่ามีประชาชนกว่าร้อยคนปักหลัก ‘นั่ง’ประท้วงหลังจากที่มีกองทัพตำรวจมาหยุดพวกเขาไม่ให้เดินขบวนต่อ



ทางแหล่งข่าวได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พวกตำรวจได้เข้าไปทุบตีพระ ซึ่งทำให้ผู้ประท้วงที่ไม่ใช่พระเกิดความรู้สึกเดือดดาล



ผู้อยู่อาศัยในเขตดังกล่าวยืนยันว่ามีการชุมนุม โดยบอกว่า ทางกองทัพตำรวจได้เข้ามาสลายกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 200 ถึง 300 คนภายในเวลาชั่วโมงครึ่ง ก่อนที่พื้นที่นั้นจะเต็มไปด้วยกองกำลังรักษาความสงบและคนงานที่ถูกสั่งให้อยู่ภายในสภานที่ทำงาน



สองทัศนะเรื่องแรงจูงใจของผู้ชุมนุม : ถูกบีบคั้นจากรัฐ หรือ ต้องการฟื้นฟูสมมติเทพ?



ตำรวจท้องที่รายงานว่า มีการประท้วงในเขตตะวันออกของประเทศอินเดีย เมื่อชายชาวทิเบตคนหนึ่งพยายามจะจุดไฟเผาตัวเองก่อนที่เจ้าหน้าที่รักษาความสงบจะเข้ามายับยั้งเขาไว้ได้ และมีอีกกว่าร้อยคนพยายามจะพากันเดินขบวนเข้าไปในรัฐสิกขิมซึ่งมีพรมแดนติดกับจีน แต่ก็ถูกยับยั้งไว้ได้เช่นกัน



ขณะที่กลุ่มรณรงค์เรื่องทิเบตจากวอชิงตันส่งจดหมายเวียนพูดถึงสถานการณ์ในลาซาว่า ผู้อยู่อาศัยในลาซาได้อธิบายถึงการควบคุมอย่างเข้มงวดในเรื่องศาสนา และมีความไม่พอใจที่มีกลุ่มคนจีนเชื้อสายฮั่นเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก จากทางรถไฟที่สร้างเชื่อมมาสู่เมืองห่างไกลในเขตเทือกเขานี้



ขณะเดียวกันก็มีผู้อธิบายเรื่องเหตุขัดแย้งในลาซาในอีกทัศนะหนึ่ง ลักปา ปันชก ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทิเบตวิทยาในจีน ให้ความเห็นว่า ดาไล ลามะ เป็นผู้ยุยงให้พระลุกขึ้นมาเดินขบวนเพราะต้องการทำให้ระบบทาสติดที่ดิน (Serfdom) กลับคืนมา



“ถามว่าพวกเขาต้องการอะไรน่ะหรือ? มันชัดเจนมากว่าพวกเขาต้องการจะทำให้ระบอบเทวนิยมเก่ากลับคืนมาในทิเบต กลุ่มนักแบ่งแยกดินแดนรู้สึกไม่พอใจที่เทวนิยมในทิเบตหมดสิ้นไป..และพวกเขาก็ไม่มีความสุขกับการสิ้นสุดความล้าหลังของทิเบตด้วย”




ที่มาของข่าว: แปลและเรียบเรียงจาก

Boycotts punish participants: former athlete, Glen McGregor, Ottawa Citizen, 24/3/2551

Chinese rap protest in Olympic torch, BBC, 25/3/2008

Foreign press taken to Tibet, China says 660 surrendered , Peter Harmsen, AFP, 26/3/2551

Mass arrests in Tibet; Bush urges China to talk, By Benjamin Kang Lim and Lindsay Beck, Reuters, 26/3/51

Sarkozy threatens boycott of Beijing Olympic Games opening ceremony, The Times, 26/3/2551








--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/3/2551


 

โดย: 004 IP: 118.174.71.213 28 มีนาคม 2551 20:33:44 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11659




ประชุมประจำปีมานุษยฯ 7 ชี้ หลักสูตรวัฒธรรมศึกษายังไม่ ‘ป๊อป’



เมื่อวันที่ 26 มี.ค.2551 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร จัดการประชุมประจำปีทางมานุษยวิทยาครั้งที่ 7 ในหัวข้อ ‘ยกเครื่องเรื่องวัฒนธรรมศึกษา’ โดยแบ่งเป็นห้องย่อยตามประเด็นอีกหลายห้อง



ดร.ฐิรวุฒิ เสนาคำ นักวิชาการสาขาวัฒนธรรมศึกษา สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นำเสนอผลการศึกษาเรื่อง ‘วัฒนธรรมศึกษาฉบับไทยๆ เป็นวัฒนธรรมศึกษาหรือศึกษาวัฒนธรรม’ โดยกล่าวว่า หลักสูตรวัฒนธรรมศึกษาในประเทศไทยเริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ.2530 ซึ่งต่อเนื่องมาจากการมีหลักสูตรไทยศึกษา และสถานที่เริ่มต้นหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษานั้นมาจากท้องถิ่น คือ หลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช



ทั้งนี้ พบว่าเนื้อหาหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษาเท่ากับศึกษาวัฒนธรรม คือ การเน้นเรื่องทางวัฒนธรรม โบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะภาคใต้ เป็นต้น ต่อมาเมื่อหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษาไปปรากฏในหลักสูตรปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ถูกครอบอยู่ในสาขามานุษยวิทยาดนตรี พิพิธภัณฑ์วิทยา วัฒนธรรมสาธารณสุข เพิ่งมาแยกออกจากมานุษยวิทยาเป็นสาขาวัฒนธรรมศึกษาและสังคมศึกษาในภายหลัง และเมื่อนำมาดูภาพรวมร่วมกับที่อื่นๆที่มีหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยทักษิณ หรือมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จะพบว่า การสอนในมหาวิทยาลัยไม่เห็นทิศทางที่เป็นอัตลักษณ์ที่เรียกว่าวัฒนธรรมศึกษา แต่สามารถตั้งชื่ออื่นได้เช่น ไท(ย)ศึกษา นิเวศวิทยาการเมือง ท้องถิ่นศึกษา มานุษยวิทยา อาณาบริเวณศึกษา และมองไม่เห็นจุดโฟกัสของความเป็นวัฒนธรรมศึกษา



เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับหลักสูตรในต่างประเทศ เช่นวัฒนธรรมศึกษาสำนักเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น หรือเกาหลี จะพบว่าวัฒนธรรมศึกษาครอบคลุมจะไปถึงวัฒนธรรมป๊อบ วัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น ดนตรี หนัง การไหลเวียนเคลื่อนย้ายวัฒนธรรมข้ามพรมแดนของวัฒนธรรมร่วมสมัยผ่านสื่อ



“หลักสูตรวัฒนธรรมศึกษาไทย อิทธิพลภูมิเรื่องปัญญาชาวบ้าน วัฒนธรรมชุมชน ไทศึกษาหรือเรื่องท้องถิ่นมีมาก แต่สิ่งที่ไม่ค่อยเห็นคือการศึกษาวัฒธรรมป๊อปหรือวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นหรือคนรุ่นหลังมากอย่างมหาศาล วัฒนธรรมศึกษาจึงควรเคลื่อนตัวออกจากมานุษยวิทยาหรืออื่นๆ เพื่อไม่ให้หลักสูตรถูกตั้งชื่ออื่นได้ มันควรมีทิศทางของมัน” ดร.ฐิรวุฒิ กล่าว



ด้าน ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้วิจารณ์งานศึกษากล่าวว่า มีความเห็นคล้อยตามว่าไม่อยากให้วัฒนธรรมศึกษาถูกครอบด้วยมานุษยวิทยา แต่การศึกษานี้ยังไม่ให้เหตุผลพอที่เข้าใจว่าทำไมควรแยก และปัญหาคืออะไร ทำไมต้องไปในแนวทางแบบเบอร์มิงแฮม เพราะวัฒนธรรรมศึกษาในไทยเกิดในบริบทที่ต่างไป



ดร.ชยันต์ กล่าวต่อไปว่า หลายหลักสูตรใช้คำว่าวัฒนธรรมศึกษาหรือคำข้างเคียง แต่ถ้าเปิดภาพให้เห็นพัฒนาการของวัฒนธรรมศึกษาจะเข้าใจมิติและเงื่อนไขประวัติศาตร์ และอาจจะนำไปเทียบได้ว่าวัฒนธรรมศึกษาไทยอยู่ในในขั้นใดของวัฒนธรรมศึกษาสำนักเบอร์มิงแฮมที่โตมาในยุค 1960 ซึ่งกระแสมาร์กซิสกำลังเติบโตในยุโรปหรืออังกฤษ



แต่หลักสูตรวัฒธรรมศึกษาไทยไม่ได้โตมาจากมาร์กซิส และไม่ได้เกิดภายใต้บริบทของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมแต่เกิดมาในช่วงที่ชนบทไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะจากโลกาภิวัตน์และจากรัฐส่วนกลาง ดังนั้นถ้าดูที่ความสนใจของผู้ก่อตั้งหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษาจะเห็นว่าเขามองว่าภูมิภาคของตนตกอยู่ในการครอบงำ เช่น การเกิดขึ้นของสถาบันทักษิณคดี ซึ่งมีภูมิภาคนิยมเป็นพื้นฐานและปฏิเสธการถูกครอบจากวัฒนธรรมชาติ



หรือวัฒนธรรมศึกษาแบบไทยๆ ที่ภาคอีสานก็ไม่ใช่วัฒนธรรมศึกษาในความหมายแบบสำนักเบอมิงแฮมเช่นกัน แต่มาจากการเป็นนักวัฒนธรรมนิยมหรือมนุษย์นิยมที่ชื่นชมในศักยภาพของคนที่ต่อสู่ดิ้นรน ศึกษา เพื่อให้สามารถเผชิญโลกาภิวัตน์และความทันสมัย เช่น หนังสือเรื่อง ‘ซิ่งอีสาน’ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในอีสานทั้งแบบสมัยนิยมและวัฒนธรรมประชาที่ไม่ได้ดูวัฒนธรรมในแง่การเป็นเรื่องชั้นสูงที่ต้องอนุรักษ์ แต่ให้ความหมายในแง่การต่อสู้ดิ้นรน เช่น การกล่าวถึงผู้หญิงหาบน้ำจนไหล่หนาเป็นปื้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีการวิเคราะห์วัฒนธรรมป๊อบ ซึ่งแนวทางเหล่านี้อาจได้อิทธิพลมาจาก นิธิ เอียวศรีวงศ์, ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม หรือ อานันท์ กาญจนพันธุ์ ซึ่งให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมสัมพันธ์และมิติของมนุษย์



“เข้าใจว่า ดร.ฐิรวุฒิ ต้องการผลักดันให้มีการสอนหรือวิจัยวัฒนธรรมศึกษาในแบบอังกฤษหรือนานาชาติ เชิงร่วมสมัยหรือวัฒนธรรมป๊อบ แต่ยังไม่ได้อธิบายว่าวัฒนธรรมศึกษาของอาจารย์หมายถึงอะไร ดังนั้นถ้าต้องการเห็นคล้อยและให้หันมาปรับปรุงหลักสูตรก็ต้องหันกลับไปสำรวจความหมายของวัฒนธรรมในสำนักตัวเองด้วย” ดร.ชยันต์ กล่าว












--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 27/3/2551


 

โดย: 005 IP: 118.174.71.213 28 มีนาคม 2551 20:38:35 น.  

 

//www.thaipost.net
เศรษฐกิจ
กทช.ตั้งท่ารื้อคลื่นวิทยุ เล็งยุบ2พันสถานีชุมชน


29 มีนาคม 2551 กองบรรณาธิการ

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า การที่ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551


กำหนดให้วิทยุชุมชนขอใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะส่งผลให้สถานีวิทยุชุมชนสามารถให้บริการได้ไม่เกิน 2,000 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ปัจจุบันมีสถานีวิทยุชุมชนมากถึง 4,000 แห่ง มีคลื่นทับซ้อนกันอยู่ และทั้งหมดดำเนินการผิดกฎหมาย ซึ่งคณะอนุกรรมการ 22 คน ตามมาตรา 79 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 จะประชุมทันทีเมื่อแต่งตั้งเสร็จ โดยขณะนี้ได้ตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ครบเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คน ที่รอการแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการทุกรายต้องยื่นขอใบอนุญาต ซึ่งก่อนเปิดให้ยื่นขอนั้น คณะอนุกรรมการจะกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นขอและระยะเวลาการยื่นขอก่อน

"การเปิดให้บริการของวิทยุชุมชนที่ผ่านมาไม่มีการเข้มงวด ส่งผลให้การเปิดให้บริการของสถานีบางแห่งส่งสัญญาณความถี่เกินกว่ากำหนด ซึ่งกระทบกับคลื่นความถี่อื่น ผู้ประกอบการทุกรายจึงต้องเข้ามายื่นขอใบอนุญาตใหม่" นายฐากรกล่าว

ส่วนการห้ามโฆษณาเป็นประเด็นที่สำคัญที่ต้องนำมาพิจารณา เพราะที่ผ่านมาวิทชุมชนทุกแห่งมีโฆษณาแทบทั้งสิ้น แต่ต้องยอมรับว่าการเอาผิดกับวิทยุชุมชนบางแห่งเป็นเรื่องยาก เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสถานีที่นักการเมืองเข้าลงทุน

นอกจากนั้น กทช.ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อสอบถามเกี่ยวกับหน้าที่ของ กทช.ครอบคลุมสถานีวิทยุที่มีอยู่เดิมที่ไม่ใช่วิทยุชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 300-400 คลื่นทั่วประเทศหรือไม่ และต้องให้ยื่นขอใบอนุญาตด้วยหรือไม่ หากให้ยื่นขอด้วย สถานีวิทยุทุกแห่งจะต้องส่งคลื่นให้ กทช.เพื่อจัดสรรใหม่ทั้งหมด.

 

โดย: 006 IP: 118.174.29.80 29 มีนาคม 2551 20:44:44 น.  

 

//www.thairath.co.th
กทช. ไฟเขียวประกาศ 2 ฉบับรวด แผนแม่บท-แผนเลขหมาย [29 มี.ค. 51 - 09:53]

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการ หรือ บอร์ด กทช. ครั้งที่ 11-2551 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่างประกาศ กทช. เรื่องหลักเกณฑ์การจัดสรรและบริหารเลขหมายโทรคมนาคม พ.ศ.2551 โดยจะนำขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ของสำนักงาน กทช. ต้นสัปดาห์หน้าและจะเปิดประชาพิจารณ์เป็นระยะเวลาประมาณ 30 วัน



เลขาธิการ กทช. กล่าวถึงวาระสำคัญของร่างประกาศฉบับดังกล่าวว่า จะพูดถึงการจัดสรรเลขหมายให้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเลขหมายโทรคมฯ มาตรฐาน เลขหมายโทรคมฯ พิเศษ รวมทั้งระบบการบริหารจัดการ ที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรม การเลขหมายโทรคมฯ ขึ้นเพื่อกลั่นกรองงานให้กับ กทช. และเรื่องอัตราค่าธรรมเนียมใหม่ โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมเลขหมายโทรคมฯ พิเศษ 3 ตัว และ 4 ตัว จากเดิมเดือนละ 1 แสนบาทต่อเลขหมายต่อเดือน เพราะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นและมีจำนวนจำกัด



สำหรับเรื่องอื่นๆ นายสุรนันท์ กล่าวว่า วันนี้ ที่ประชุมยังอนุมัติเลขหมาย 3 ตัว 102 ให้กับ บริษัท ทริปเปิลที โกลบอล เน็ท จำกัด เพื่อให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ นอกจากนั้น กทช. ยังมีมติอนุมัติร่างแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 หลังจากได้จัดประชาพิจารณ์มาแล้วหลายครั้งทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่เมื่อนำข้อคิดเห็นทั้งหมดมาประมวลดูแล้วปรากฎว่า ไม่มีอะไรเพิ่มเติมในสาระสำคัญ โดยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป



เลขาธิการ กทช. กล่าวต่อว่า การประชุมครั้งนี้ ยังมีการอนุมัติเลขหมายโทรคมนาคมพิเศษ 4 หลัก ให้แก่ บริษัท เชฟโลเรต เซลส์ และบริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด รวมทั้งอนุมัติเลขหมายวีโอไอพีแบบมีเลขหมาย หรือ โฟนทูโฟน ขึ้นต้นด้วย 06 ให้กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือ ไอเอสพี จำนวน 10 ราย รวมทั้งสิ้น 63,000 เลขหมาย โดยไอเอสพีแต่ละรายจะได้รับเลขหมายไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแผนธุรกิจ ที่หวังว่า จะเป็นการกระตุ้นตลาดให้ขยายตัวมากขึ้น


 

โดย: 007 IP: 118.174.29.80 29 มีนาคม 2551 20:54:49 น.  

 

// //www.dailynews.co.th
ปลุกกระแสไวแมกซ์ลุ้นใบอนุญาตกทช.
ค่ายเทคโนโลยีโหมกิจกรรมปลุกกระแส WiMAX พร้อมโชว์ผลทดสอบในไทย คาดว่ากทช.จะออกใบอนุญาตให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายปีนี้

นายไมค์ โรปิคกี้ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการการตลาดและผลิตภัณฑ์ กลุ่มธุรกิจโครงข่ายไร้สาย ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท โมโตโรล่า อิงค์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาที่ผู้ประกอบการและซัพพลายเออร์ ได้มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีไวแมกซ์หรือบรอดแบนด์ไร้สายกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีเกิดใหม่จะมีการถามถึงอุปกรณ์รองรับ ซึ่งโมโตโรล่าไม่ได้มองแค่โครงสร้างพื้นฐานเท่านั้นแต่คิดถึงอุปกรณ์รองรับที่หลากหลายและเป็นมาตรฐานสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์และเครือข่ายอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ดีคาดว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นเครือข่ายเชิงพาณิชย์ในเวลาอันใกล้นี้

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป กลุ่มโครงข่ายไร้สาย โมโตโรล่า ประเทศไทย กล่าวว่า จากการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ เกี่ยวกับไวแมกซ์ของโมโตโรล่า ไม่ได้เป็นการกดดันภาครัฐให้ออกใบอนุญาตบริการในเชิงพาณิชย์ แต่เป็นการสนับสนุนให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์จริง และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับแนวโน้มที่กำลังมา ทั้งนี้ โมโตโรล่าได้ร่วมมือกับบริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ (ยูไอเอช) ทดสอบเทคโนโลยีไวแมกซ์ไร้สายครั้งแรกในไทยที่ภูเก็ต ซึ่งประสบความสำเร็จและยืนยันได้ว่าไวแมกซ์เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่เหมาะสมสำหรับการขยายบริการบรอดแบนด์ราคาประหยัดไปยังพื้นที่ในเมืองและพื้นที่ห่างไกลซึ่งสามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว

ด้านนายทองใหญ่ จันทนวัลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล็อกซเล่ย์ ไวร์เลส จำกัด กล่าวว่า ล็อกซเล่ย์ได้รับใบอนุญาตให้ทดสอบการใช้งาน WiMAX (ไวแมกซ์) บนคลื่นความถี่ 2.3 และ 2.5 เมกะเฮิรตซ์ จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ซึ่งล็อกซเล่ย์ร่วมกับบริษัท นอร์เทล ทดสอบการใช้งานไวแมกซ์ ที่อาคารล็อกซเล่ย์ พหลโยธิน เพราะมีความพร้อมด้านโครงข่าย ซึ่งหลังจากนี้ กทช. จะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อเก็บข้อมูลไปประกอบการพิจารณาให้ใบอนุญาตบริการไวแมกซ์ คาดปลายปีนี้น่าจะเปิดให้บริการไวแมกซ์เชิงพาณิชย์ได้

ทั้งนี้ กทช. ออกใบอนุญาตทดสอบไวแมกซ์ให้แก่ผู้ประกอบการโทรคมนาคมแล้วจำนวน 12 ราย สำหรับคุณสมบัติของไวแมกซ์สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและรับ-ส่งข้อมูลด้วยความเร็วขั้นต่ำ 1 เมกะบิต และมีรัศมีการใช้งานครอบคลุมพื้นที่ 2.9 กิโลเมตรในกรุงเทพฯ และ 10 กิโลเมตร ในต่างจังหวัดที่เป็นพื้นที่ราบไม่มีตึกสูง.

 

โดย: 008 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 21:21:40 น.  

 

// //www.dailynews.co.th
ระวังแฮกเกอร์ขโมยเว็บไซต์เรียกค่าไถ่
เตือนเจ้าของเว็บระวังโดเมนเนมถูกแฮก เกอร์ขโมยไปเรียกค่าไถ่แล้วโพสรูปโป๊อนาจารแทน ทำให้ข้อมูลและลูกค้าได้รับความเสียหาย แนะเก็บข้อมูลหลักฐานการเป็นเจ้าของเว็บให้ดี

เว็บไซต์ดอทอะไรและชมรมผู้ประกอบการธุรกิจโฮสติ้ง จัดเสวนาเรื่อง เว็บหายโดเมนถูกเรียกค่าไถ่ จะแก้ปัญหาอย่างไร

นายไพรัตน์ เครือชัยสุ เจ้าของเว็บ bcoms.net ที่ถูกขโมยโดเมนไป กล่าวว่า โดเมนถูกขโมยไปตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 และคนที่ขโมยก็พยายามติดต่อเข้ามาเพื่อจะเรียกค่าไถ่ ให้ซื้อเว็บไซต์คืน ราคาประมาณ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 หมื่นบาท ระหว่างนั้น เว็บไซต์ถูกเปลี่ยนไปเป็นเว็บอนาจาร เมื่อได้รับความช่วยเหลือก็ได้รับเว็บไซต์คืนมา โดยไม่เสียค่าไถ่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์มีค่อนข้างมากทั้งจำนวนลูกค้าและข้อมูลที่หายไป

นางสาวเพ็ญศรี อรุณวัฒนามงคล กรรมการผู้จัดการบริษัท ดอทอะไร ระบุว่า โชคดี ของเว็บไซต์ bcoms.net ที่มีเอกสารค่อนข้าง ครบ ทำให้ง่ายต่อการแสดงตัวเป็นเจ้าของ ทาง ดอทอะไร ได้ประสานกับหน่วยงานในต่างประเทศ ทั้ง ICann และ Register ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 13 วัน จึงได้โดเมนเนมกลับคืน

วิธีการป้องกันในกรณีโดเมนหายนั้น ไม่ควรใช้ e-mail เพื่อนภายใต้โดเมน เพราะหากมีการเคลื่อนย้ายไปไว้ที่อื่นก็จะทำให้หาไม่เจอและไม่ควรใช้ e-mail ซ้ำกับกรณีอื่น ๆ และเมื่อใดที่ โดเมนถูกขโมย เราสามารถเข้าไปเช็กที่ who is.. ว่าเป็นชื่อที่จดทะเบียน และต้องตรวจสอบเป็นประจำ

นางภูมิจิต ศิระวงศ์ประเสริฐ ประธานชมรมผู้ประกอบการธุรกิจโฮสติ้ง กล่าวว่า หลังจากเว็บ ไซต์บีคัมดอตเน็ตได้มาขอความช่วยเหลือ จึงได้ติดต่อไปทาง ดอทอะไร ซึ่งเป็น register รายเดียวในประเทศไทย เพื่อช่วยติดต่อประสานงานกับทางต่างประเทศ ส่วนทางชมรมก็ประสานงานกับผู้เสียหาย

พ.ต.ท.สันติพัฒน์ พรหมะจุล รองผู้กำกับ กลุ่มงานตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า มาตรการป้องกันโดเมน หากพบว่าโดเมนหาย ให้แจ้งที่ชมรมผู้ประกอบการโฮสติ้งหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองในกรณีที่เกิด ปัญหาขึ้นนั้น หากพบว่า มีการทำให้เว็บไซต์เสียหาย โดยที่เจ้าของไม่เห็นด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท.

 

โดย: 009 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 21:27:31 น.  

 

// //www.manager.co.th


updated - ปรเมศร์ลาออก

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 มีนาคม 2551 23:47 น.


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

ปรเมศร์ มินศิริ (ขอบคุณภาพจาก gotomanager.com)

Updated - ปรเมศร์ มินศิริ เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอทคอมประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทยแล้ว หวังรักษาความเชื่อมั่นของสังคมต่อสมาคมฯ กำหนดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันที่ 25 มีนาคมนี้

การลาออกนี้เกิดขึ้นหลังจากปรเมศร์แถลงข้อสงสัยกรณีชื่อโดเมนย่อย (ซับโดเมน) xxx เจ้าปัญหาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยชี้แจงว่าไม่มีตำแหน่งในโครงการอินเทอร์เน็ตสีขาวแล้ว ขอให้มองว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดของส่วนงาน ไม่ใช่นักศึกษาฝึกงาน และตัวปรเมศร์เองที่เว้นระยะการตรวจสอบนานเกินไป

ก่อนหน้านี้ นายปรเมศร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการบริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอทคอม (www.kapook.com) ให้สัมภาษณ์กับผู้จัดการออนไลน์ว่า ชื่อโดเมนย่อย (ซับโดเมน) xxx.kapook.com นั้นมีอยู่จริงแต่ไม่เคยโปรโมท ระบุชื่อโดเมน xxx เกิดขึ้นอย่างผิดจุดประสงค์ และแม้จะมีโดเมนจริงแต่ยืนยันว่าไม่เคยมีคอนเทนท์ปลุกใจเสือป่าในเว็บอย่างที่ตั้งชื่อ เอ่ยปากอยากให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนแก่คนทำเว็บที่มีโดเมนแต่ไม่ได้เปิดใช้บริการ ว่าต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

บทเรียนราคาแพง

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นเมื่อผู้เขียนเว็บล็อกรายหนึ่ง รายงานว่าพบชื่อซับโดเมนเว็บ xxx.kapook.com เชื่อว่าเป็นชื่อซับโดเมนที่กระปุกดอทคอมสร้างขึ้นเพื่อต้อนนักท่องเน็ตที่เสิร์ชหาเว็บเสียวบนเสิร์ชเอนจิ้นแบบไม่สนใจจุดยืนสนับสนุนโครงการอินเทอร์เน็ตสีขาวเพื่อเยาวชนที่กระปุกยึดมั่นมาตลอด จุดนี้ปรเมศร์แบ่งชี้แจงเป็น 3 ประเด็น พร้อมยืนยันว่าไม่คิดโทษใครและได้ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว

"หนึ่งคือกระปุกมีหลายซับโดเมน xxx.kapook.com เป็นหนึ่งซับโดเมนที่เราตั้งไว้จริงแต่ไม่เคยโปรโมท แม้ว่าจะมีคนเข้ามาดูด้วยวิธีใดก็ตามแต่เราไม่เคยเปิดใช้"

โดเมนย่อยหรือ Sub Domain คือการตั้งชื่อโดเมนโดยภายใต้ชื่อโดเมนเดิม ไม่ใช่การจดชื่อโดเมน ยกตัวอย่างเช่น ชื่อโดเมน yourdomain.com สามารถตั้งซับโดเมนว่า subdomain.yourdomain.com ได้ มีประโยชน์มากสำหรับการจำแนกหมวดหมู่ภายในเว็บไซต์

เมื่อกระปุกตั้งซับโดเมนว่า xxx.kapook.com ปัญหาจึงเกิดขึ้นเพราะชื่อ xxx นั้นเป็นชื่อโดเมนที่มองเผินๆจะรู้สึกว่าเป็นหมวดเพื่อนักนิยมเรื่องสยิว การปรากฏตัวของชื่อ xxx.kapook.com จึงกลายเป็นเรื่องน่าตกใจ

"สองคือชื่อซับโดเมน xxx ของกระปุกเกิดขึ้นเพราะการดำเนินงานผิดประเด็น ทีมงานเลือกตั้งชื่อโดเมน xxx แทนชื่อ x-file ซึ่งเป็นหมวดที่กระปุกตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อรวบรวมข่าวลึกลับ เช่น คนแห่ขอหวยงูสามหัว ยอมรับว่าผิดตั้งแต่ตั้งชื่อ"

เรื่องนี้ปรเมศร์อธิบายว่า มักจะบอกนโยบายแก่ทีมงานให้สร้างหมวดพิเศษเพื่อเก็บรวบรวมลิงก์ข่าวเก่า ไม่นำข่าวเก่าขึ้นแสดงหน้าแรก จึงริเริ่มตั้งชื่อ x-file เพื่อรวบรวมลิงก์ข่าวประเภทลึกลับล่อแหลมโดยเฉพาะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือทีมงานกลับเลือกตั้งชื่อโดเมน xxx แทนที่จะใช้ชื่อ x-file ตามที่คุยกันไว้ จุดนี้ปรเมศร์ระบุว่าทำอะไรไม่ได้เพราะรู้เรื่องเมื่อตั้งไปแล้ว และได้ยกเลิกแล้วในขณะนี้

"สามคือขอยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ spamdexing หรือการที่กระปุกตั้งใจสร้างคีย์เวิร์ดหลอกลวงผู้ใช้เสิร์ชเอนจิ้น แต่เป็นเพราะนักศึกษาฝึกงานต้องการเล่นมุกตลกแต่คนตลกไม่ออก เช่น ข่าวคลิปเสียว ก็เป็นภาพคลิปทำฟัน ข่าวคลิปหลุดชมพู่ ก็เป็นผลไม้ชมพู่ ตรงนี้ผมบอกน้องฝึกงานไปแล้วว่าทำงานผิดประเด็น ไม่มีคอนเทนท์เก่าของ x-file แต่ก็ไม่มีคอนเทนท์โป๊ ซึ่งอาจมีคนไม่พอใจที่ใช้คียเวิร์ดบางคำ"

เรื่องนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ตว่ากระปุกกำลังใช้วิชามาร หาประโยชน์จากการค้นหาคีย์เวิร์ดประเภท “คลิปโป๊” “ภาพหลุด” ซึ่งมีปริมาณมหาศาล มีการตั้งข้อสังเกตว่ากระปุกตั้งใจล่อลวงผู้ใช้เสิร์ชเอนจิ้นด้วยคียเวิร์ด เพราะเมื่อคลิกเข้าไปในลิงก์แล้วจะไม่พบเนื้อหาปลุกใจเสือป่าอย่างที่คีย์เวิร์ดระบุ แถมมีหลักฐานว่ามือปั้น xxx.kapook นั้นจงใจทำ Spamdexing หรือการสร้างดัชนีขยะในเสิร์ชเอนจิ้นซึ่งเป็นวิชามารที่เสิร์ชเอนจิ้นทุกค่ายไม่เห็นด้วย

"อยากบอกให้คนที่ทำเว็บแล้วมีโดเมนเนมไม่เปิดใช้บริการมากมาย ต้องระวังให้ดี อาจมีคนเข้ามาดูเว็บขณะที่เรายังทำไม่เสร็จ เอาผมเป็นกรณีศึกษาก็ได้" ปรเมศร์กล่าว "ผมโทษเด็กฝึกงานไม่ได้ แต่ผมแก้ไขได้"

นี่คือคลิปสัมภาษณ์ปรเมศร์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ขอบคุณคลิปจาก //duocore.ch7.com/xxxkapookcom/



 

โดย: 010 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 21:33:28 น.  

 

// //www.manager.co.th
อโดบีใจกว้าง เปิดใช้ Photoshop ฟรีออนไลน์

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 มีนาคม 2551 19:03 น.



แฟ้มภาพผลิตภัณฑ์ Photoshop ในร้าน BestBuy ล่าสุดอโดบีเปิดบริการ Photoshop Express ให้ผู้บริโภคใช้งาน Photoshop ฟรี


อโดบี (Adobe) จุดพลุ Photoshop Express ใจกว้างให้ผู้บริโภคใช้งานโปรแกรมตกแต่งภาพยอดฮิตฟรีผ่านออนไลน์ ยอมรับหวังสร้างผู้ใช้กลุ่มใหม่ คาดผู้ใช้ติดใจแล้วอัปเกรดเพื่อใช้งานระยะยาว

อโดบีนั้นเปิดให้บริการ Photoshop Express ในรูปเวอร์ชันทดลองหรือเบต้าเวอร์ชัน โดยอโดบีระบุว่าในเว็บไซต์ประกอบด้วยฟังก์ชันพื้นฐานที่ใช้งานง่าย ต่างจากโปรแกรม Photoshop ปกติที่ออกแบบมาเพื่อมืออาชีพ โดยมุ่งกลุ่มตลาดพื้นฐานที่เน้นการตกแต่งภาพเพื่ออัปโหลดขึ้นออนไลน์ ซึ่งอโดบี้จะนำความเห็นผู้ใช้ไปปรับปรุงระบบต่อไปในอนาคต

Photoshop Express นั้นเป็นซอฟต์แวร์บนอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบ คล้ายกับบริการซอฟต์แวร์ออนไลน์แนวคิด software as a service (SaS) ของไมโครซอฟท์ หรือ GoogleApp ของกูเกิล ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ไม่ว่าจะทำงานบนคอมพิวเตอร์ชนิดใด ระบบปฏิบัติการใด หรือบราวเซอร์ใด แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องลงทะเบียนเพื่อรับชื่อบัญชีสำหรับใช้งาน

อโดบียอมรับว่า การเปิดให้ผู้บริโภคใช้งาน Photoshop Express ได้ฟรีเป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดเพื่อโอกาสเพิ่มยอดขายในอนาคต ปูทางให้ผู้ใช้ซื้อผลิตภัณฑ์ Photoshop Elements สำหรับมือสมัครเล่นราคา 99 เหรียญสหรัฐ หรืออาจจูงใจให้ผู้ใช้สมัครเป็นสมาชิกบริการ Express สำหรับธุรกิจ

แม้ที่ผ่านมา Photoshop จะครองอาณาจักรตกแต่งภาพมานาน แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าอโดบีจำเป็นต้องดำเนินกลยุทธ์ใหม่ๆเพื่อรักษาจุดยืนของบริษัทไว้ จุดนี้ Ron Glaz นักวิเคราะห์จากไอดีซีเชื่อว่า กลยุทธ์ใช้ฟรีเกิดขึ้นเพราะอโดบีมองเห็นกลุ่มตลาดที่หลุดมือไป จึงพยายามทำให้ตลาดนี้รู้ว่ามีโซลูชัน Photoshop อยู่และสามารถใช้งานได้ง่าย ซึ่งหากตลาดนี้เติบโตและผู้ใช้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น เงินทองก็จะไหลเข้าอโดบีไม่ขาดสาย

Company Related Links :
Photoshop Express
Live
GoogleApp


 

โดย: 011 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 21:54:45 น.  

 

// //www.matichon.co.th%2Fprachachat%
วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3987 (3187)

ไอซีทีเดินหน่ายกร่างกม.ใหม่2ฉบับ หนุนแผนพัฒนาปท.-รื้อกสทช.เพิ่มอำนาจกระทรวง

"ไอซีที" เดินหน้าแก้ กม.ตั้ง "กสทช." เพิ่มอำนาจกระทรวงไอซีที นั่งผู้รักษาการตาม กม.แทนนายกฯ ทั้งยกร่างกฎหมายใหม่อีก 2 ฉบับว่าด้วยการพัฒนาไอซีทีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ คุมนโยบายพัฒนาไอซีทีทั่วประเทศในแนวทางเดียวกัน

นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่ากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมาย พ.ร.บ.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดย กม.ดังกล่าวจะทำหน้าที่กำกับดูแลและกำหนดนโยบายการพัฒนาระบบไอซีทีของประเทศให้ไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นกลไกในการจัดโครงสร้างกิจการโทรคมนาคม กิจการวิทยุและโทรทัศน์ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะยังไม่ชัดเจน และอำนาจกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ

"กระทรวงไอซีทีตั้งมา 5 ปีแล้ว ยังไม่มี กม.เป็นของตนเอง เมื่อตนรับตำแหน่งจะผลักดัน กม.ฉบับนี้เพื่อเป็นหลักในการพัฒนาไอซีทีของประเทศ โดยจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้ กม.บังคับใช้โดยเร็ว"

ด้านนายภูวเดช อินทวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที เปิดเผยว่า กระทรวงไอซีทีได้ประชุมร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ศูนย์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ฯลฯ เพื่อนำร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้ร่างและเสนอต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว มาแก้ไขในส่วนของอำนาจการกำกับดูแล กสทช.

จากเดิม กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลและรักษาการตาม พ.ร.บ. เปลี่ยนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที เพื่อความคล่องตัว

"หน่วยงานของรัฐต้องมีผู้กำกับดูแลตาม พ.ร.บ. แม้จะเป็นหน่วยงานอิสระก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใคร"

ความสำคัญของหน่วยงานผู้กำกับดูแลคือมีหน้าที่เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติการเลือกคณะกรรมการสรรหา การตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายให้เป็นไปตามระเบียบราชการ

"การแก้ไขจะเสนอเฉพาะการแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจกระทรวงก่อน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยึดตามร่างเดิมที่ได้ผ่านความเห็นจากสภานิติบัญญัติมาแล้ว เพราะถือว่าต้องเคารพความเห็นของสภา"

โดยกระทรวงไอซีทีจะนำร่างที่มีการแก้ไขเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ หากมีข้อขัดข้องหรือมีการท้วงติงในประเด็นใดทั้ง 2 หน่วยงานต้องมาหารือกันอีกครั้ง ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการและรัฐสภา และอาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอีก จึงไม่อาจบอกได้ว่าร่าง พ.ร.บ.จะเสร็จเมื่อใด แต่มั่นใจว่าเสร็จทันกำหนด 180 วัน นับจากรัฐบาลแถลงนโยบาย

หน้า 35

 

โดย: 012 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 22:04:38 น.  

 

// //www.matichon.co.th %2Fprachachat_detail.php%3Fs_tag%
วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3987 (3187)

"ทรู"จำนนลดค่าเช่าโครงข่าย

"ทรู" ยอมลดค่าเช่าโครงข่ายให้ "ซีเอส ล็อกซอินโฟ" หลังจาก กทช.รับเรื่องร้องเรียนกรณีทรูคิดค่าเช่าโครงข่าย "ไอเอสพี" สูงกว่าที่ทรูให้บริการกับลูกค้าคอนซูเมอร์ ส่งผลให้ไอเอสพีรายเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ ด้านซีเอสฯยันไอเอสพีรายอื่นต้องได้รับการปฏิบัติในมาตรฐานเดียวกัน

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) ได้ร้องเรียน กทช.เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาว่าบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กำหนดราคาค่าเช่าโครงข่ายให้กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ในอัตราที่สูงกว่าราคาที่ทรูขายบริการให้กับลูกค้าคอนซูเมอร์ ทำให้ไอเอสพีต่างๆ ไม่สามารถแข่งขันได้

ล่าสุดหลังจากที่ กทช.มีมติรับเรื่องร้องเรียนและเข้าสู่กระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง และทรูได้ขอเจรจานอกรอบกับซีเอสฯ และได้มีการตกลงราคาค่าเช่าโครงข่ายใหม่ในราคาที่ซีเอสฯยอมรับได้ ซึ่งล่าสุดซีเอสฯได้ทำหนังสือขอระงับการไต่สวนข้อเท็จจริงชั่วคราวในกรณีร้องเรียนดังกล่าวแล้ว

ด้านนายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่าขณะนี้ซีเอสได้ขอระงับการไต่สวนดังกล่าวจริง โดยทางทรูจะลดค่าเช่าโครงข่ายให้ในราคาที่ซีเอสฯสามารถนำไปให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์และมีกำไรได้

อย่างไรก็ตาม ในการเจรจากันครั้งนี้ ซีเอสฯยืนยันจุดยืนว่าทรูจะต้องปฏิบัติต่อ ISP รายอื่นบนเงื่อนไขลักษณะเดียวกับซีเอสฯเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการแข่งขันซึ่งในประเด็นดังกล่าวอยู่ที่ทรู และ กทช.จะหารือถึงแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันต่อไป

"เรายืนยันว่าเราไม่ได้ต้องการสิทธิพิเศษเหนือกว่าไอเอสพีรายอื่น แต่อยากให้เจ้าของโครงข่ายคิดราคาขายส่งที่สมเหตุสมผล ตอนนี้ทรูยอมลดราคาอยู่ในระดับที่เรายอมรับได้ แต่กับรายอื่นเป็นหน้าที่ของ กทช.ที่จะวางกรอบการปฏิบัติร่วมกับทรูต่อไปเพราะเงื่อนไขที่เราได้รับเป็นการเจรจาบนบริบททางธุรกิจของซีเอสฯ ซึ่งอาจใช้ไม่ได้กับไอเอสพีรายอื่น"

นายอนันต์กล่าวต่อไปว่า แม้ทรูจะลดราคาขายส่งลงมาแล้วแต่เป็นการยากที่ ซีเอสฯจะกลับไปแข่งขันในตลาดคอนซูเมอร์อีกครั้ง เพราะโพซิชั่นของบริษัทเน้นน้ำหนักมาทางตลาดลูกค้าองค์กรมากแล้ว ขณะที่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ในตลาดเป็นฐานลูกค้าของผู้ให้บริการโครงข่ายเกือบหมด

อย่างไรก็ตามผลจากการลดราคาขายส่งครั้งนี้ก็จะทำให้ซีเอสฯทำตลาดในกลุ่มลูกค้าคอนซูเมอร์ระดับพรีเมี่ยมได้ดีขึ้น

หน้า 34

 

โดย: 013 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 22:14:18 น.  

 

// //www.matichon.co.th%2Fprachachat%

วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3987 (3187)

ปฏิบัติการ "3จี" สายฟ้าแลบ ค่ายมือถืออัพเกรดโครงข่ายเดิม

รายงาน

หลังนั่งเก้าอี้ รมต.ไอซีทีมาได้เดือนเศษ แม้ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งหมาดๆ "มั่น พัธโนทัย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดใจอีกว่า ไม่เพียงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมานั่งเก้าอี้นี้ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยี ขนาดอินเทอร์เน็ตก็ใช้ไม่เป็น แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะทำงานไม่ได้เพราะถนัดเรื่องการบริหารจัดการ

เกือบโดนค่อนขอดอยู่แล้วเชียวว่า ถ้ามีใครจัดอันดับ รมต.โลกลืมอาจติดโผกับเขาด้วย ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (21 มี.ค.2551) หลังเชิญผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและเอกชนทั้ง บมจ.ทีโอที, กสท โทรคมนาคม และ 3 ค่ายยักษ์มือถือ "เอไอเอส-ดีแทค และทรูมูฟ" มาหารือร่วมกัน เพียงไม่กี่อึดใจก็ออกมาประกาศเสียงดังฟังชัดได้ว่า ไม่เกิน 1 ปีข้างหน้า ประชาชนไทยจะมีโอกาสได้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ 3 จี !!!

"ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าไม่รีบเปิดบริการ 3G ไทยจะล้าหลังประเทศอื่น ไม่ใช่การทำตามแฟชั่น แต่เป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่จะนำความเจริญและการพัฒนาในทุกๆ ด้านไปสู่ชนบท ขอประกาศให้โลกรู้ว่า เราจะพัฒนา 3G เต็มรูปแบบใน 6-12 เดือน ซึ่งได้ถาม

ไปยัง กทช.แล้วว่าทุกค่ายทำได้ ขอให้กระทรวงไอซีทีสนับสนุน จึงหารือกับทีโอที, กสท และเอกชน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นด้วยที่จะลืมเรื่องบาดหมางเดิมไว้ก่อน และจะจับมือกันรีบเร่งให้มี 3G โดยเร็วด้วย"

โดยการอัพเกรดโครงข่ายเดิมบนความถี่เดิม ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า HSPA หรือ high-speed packet access

"วิเชียร เมฆตระการ" กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสสามารถพัฒนาโครงข่ายเพื่อให้บริการ 3G ได้ทันที โดยขณะนี้ได้รับใบอนุญาตนำเข้าอุปกรณ์มาปรับปรุงโครงข่ายบนคลื่น 900 MHz เดิมที่บริษัทให้บริการอยู่แล้ว

"ที่ผ่านมามีความคิดจะทำอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากต้องให้เจ้าของสัมปทานเห็นชอบด้วย และขอใบอนุญาตให้ จริงๆ ตั้งใจจะขอใบอนุญาตให้บริการ 3จีของ กทช.เลย แต่ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร ส่วนการลงทุนในครั้งนี้เมื่อทำบนคลื่นความถี่เดิมก็ใช้เงื่อนไขตามสัญญาสัมปทานเดิม และคาดว่าจะคุ้มทุนแบบเดิมๆ"

ทั้งนี้เอไอเอสได้สั่งนำเข้าอุปกรณ์แล้ว และมั่นใจว่าจะเปิดทดลองให้บริการได้ใน 6 เดือนแน่นอน

"การลงทุนจะมีต้นทุนเฉลี่ย 1,500 บาทต่อเลขหมาย หรือประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท จากฐานลูกค้าปัจจุบันของเอไอเอส 24 ล้านเลขหมาย แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้เตรียมเงินลงทุนไว้เนื่องจากทุกอย่างได้รับการผลักดันเร็วมาก แต่พร้อมที่จะลงทุน แม้เป็นการลงทุนภายใต้สัญญา BTO (build-transfer-operate) ที่ต้องโอนโครงข่ายทั้งหมดให้เจ้าของสัมปทาน โดยในเบื้องต้นจะอัพเกรด 30 สถานีฐาน เน้นที่หัวเมืองใหญ่"

บิ๊กบอส "เอไอเอส" กล่าวอีกว่า การให้บริการ 3G ในครั้งนี้จะทำบนคลื่น 900 MHz อย่างเดียว และถือเป็นทุกขลาภของ เอไอเอส เพราะเป็นภาระที่ท้าทายของบริษัท วิศวกร ช่างเทคนิค ในการจัดสรรคลื่นความถี่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากต้องแบ่งคลื่นให้รองรับการบริการทั้งใน 2.5 จีแบบเดิม และระบบใหม่ให้มีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพที่สุด

"HSPA เป็นของใหม่ในอุตสาหกรรมที่จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาต่อไปได้ หลังจากไม่มีเทคโนโลยีใหมมาระยะหนึ่ง เอไอเอสจะเจาะตลาดลูกค้ารายย่อยก่อน เพราะต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะพัฒนาคุณภาพให้เหมาะกับลูกค้าองค์กร โดยการอัพเกรดบนโครงข่ายเดิมคาดว่าจะใช้งานไปได้อีกเป็น 10 ปี"

ถ้ายังจำกันได้ "ดีแทค" ก็เพิ่งทดสอบระบบดังกล่าวบนคลื่นความถี่ 850 MHz ไปหมาดๆ โดยร่วมกับ บมจ.กสท โทรคมนาคม และอีริคสันนำอุปกรณ์ไปติดตั้งและทดสอบบริการที่จังหวัดมหาสารคาม

ต่างกันตรงที่ "ดีแทค" ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก "กทช." แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ขณะที่พี่ใหญ่ "เอไอเอส" ได้ใบอนุญาตมาแล้วเรียบร้อย

โดย "ซิคเว่ เบรคเก้" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค กล่าวว่า พร้อมลงทุนอัพเกรดโครงข่ายที่มีอยู่แล้วทันทีทั่วประเทศ เตรียมเงินไว้ประมาณ 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ไล่เลี่ยกับเอไอเอส เพราะมีความพร้อมในระดับหนึ่งหลังเคยทดสอบบริการร่วมกับกสทฯแล้ว

และว่า "ดีแทค" ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง รายอื่น เนื่องจากเครื่องลูกข่ายที่รองรับการใช้งาน HSPA บนคลื่น 850 MHz มีมากกว่า ทั้งมีคลื่นเหลือมากกว่า 10 MB ที่ไม่เกี่ยวกับการให้บริการเดิม จึงไม่มีปัญหาในการบริหารจัดการความถี่ระหว่างบริการเดิมกับบริการที่จะปรับปรุงใหม่

"กรณีใบอนุญาตนำเข้าอุปกรณ์เพื่อนำมาปรับปรุงโครงข่าย ทางกสทฯกำลังจะดำเนินการ คาดว่าจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็เรียบร้อย" ซิคเว่กล่าวอย่างอารมณ์ดี

เปรียบค่ายมือถือ 3 ราย "ทรูมูฟ" น้องเล็กเสียเปรียบกว่าเพื่อน ด้วยว่าไม่มีคลื่นทั้ง 800 และ 900 MHz ที่จะนำไปอัพเกรดได้เหมือน

แต่เปรียบมวยระหว่างดีแทคกับเอไอเอส

ต้องยอมรับว่า "ดีแทค" ได้เปรียบกว่าอย่างที่ "ซิคเว่" ว่าไว้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องลูกข่ายในตลาดปัจจุบันที่ผลิตบน 850 MHz แล้วเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความถี่เหลือเฟือในมือ ไม่ต้องกระเบียดกระเสียรแบ่งความถี่จีเอสเอ็มเดิมมาอัพเกรด

อย่างไรก็ตาม "ทรูมูฟ" ไม่ถึงกับหมดหนทาง เมื่อ "พิศาล จอโภชาอุดม" เอ็มดีกสทฯ การันตีเองว่าจะแบ่งคลื่นจาก "ฮัทช์" มาให้ทำ แม้พูดง่ายทำไม่ง่ายก็ยังดี

"ศุภชัย เจียรวนนท์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ที่ผ่านไม่ใช่เอกชนไม่ยอมลงทุน 3G เพียงแต่ไม่มีใบอนุญาตและไม่มีคลื่นที่จะนำมาพัฒนา วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้รับความชัดเจนว่าจะมีการเดินกันอย่างไรต่อไป

"ทรูมูฟยืนยันว่าถ้าทำ 3G ได้โดยร่วมมือกับกสทฯก็พร้อมลงทุน โดยมองที่ 850 และ 900 MHz เพราะถ้าไปพัฒนาที่ 1800 MHz มาตรฐานเทคโนโลยีและเครื่องลูกข่ายจะแตกต่างกันมากเกินไป"

หากได้คลื่นมาพัฒนาก็พร้อมนำกระแสเงินสดมาลงทุน แม้ต้องใช้เงื่อนไขการลงทุนตามสัญญาสัมปทานเดิมก็ตาม โดยในเบื้องต้นจะใช้เงินประมาณ 6 พันล้านบาท จากกระแสเงินสดของทรูที่มีอยู่ 2 หมื่นล้าน หรือหากจะมีการระดมทุนเพิ่ม ทรูมูฟก็ทำได้หลายทาง คาดว่าจะใช้เงินทั้งหมดประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท

"ทรูมูฟเสียเปรียบผู้ให้บริการรายอื่น เนื่องจากยังไม่มีคลื่นที่จะนำมาพัฒนา 3G ได้ แต่ได้เจรจากับกสทฯแล้ว และมั่นใจว่ากสทฯจะแบ่งคลื่น 850 MHz มาให้ได้ ในเงื่อนไขที่เท่าเทียมกับดีแทค ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานของกสทฯเช่นเดียวกัน"

หน้า 36

 

โดย: 014 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 22:19:27 น.  

 

// //www.matichon.co.th%2Fprachachat%


วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3987 (3187)

ธันวา เลาหศิริวงศ์ ถอดรหัสยุทธศาสตร์ "ยักษ์สีฟ้า" 2008

สัมภาษณ์



เป็นเวลาเกือบ 6 เดือน หลัง "ธันวา เลาหศิริวงศ์" ผู้บริหารหนุ่มวัย 43 ปี ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง "กรรมการ ผู้จัดการ" บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2550 เพื่อเข้ามารับบทบาทแม่ทัพขับเคลื่อนองค์กรยักษ์สีฟ้า ซึ่งวันนี้ไม่ใช่แค่เป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจคอมพิวเตอร์เท่านั้น เพราะไอบีเอ็มได้ปรับนโยบายและโพซิชั่นตัวเองเป็น high value solution provider ทำให้ครอบคลุมธุรกิจซอฟต์แวร์และเซอร์วิสแบบครบวงจร ขณะเดียวกันก็ทำให้คู่แข่งของไอบีเอ็มเพิ่มขึ้นแบบรอบด้านเช่นกัน

แต่ไอบีเอ็มยังคงมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการเป็นผู้นำในทุกๆ กลุ่มธุรกิจ คำถามว่าไอบีเอ็มจะมียุทธศาสตร์ในการรักษาหรือได้มาซึ่งตำแหน่งผู้นำตลอดกาลอย่างไร

ขณะที่วันนี้ไอบีเอ็มในประเทศไทย ถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่อันดับ 2 ของภูมิภาคอาซียนรองจากสิงคโปร์เท่านั้น มีความหมายและความสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจในประเทศไทยอย่างไร ติดตามจากบทสัมภาษณ์ของ "ธันวา เลาหศิริวงศ์" นับจากนี้

- วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐมีผลกระทบต่ออุตฯไอทีอย่างไร

ไอบีเอ็มแบ่งตลาดโลกเป็น 2 ตลาด คือ major market (สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น) และ growth market (อาเซียน ไทย และอื่นๆ) วิกฤตสหรัฐอาจมีอิมแพ็กต์ต่อเมเจอร์มาร์เก็ตมาก ส่วน growth market แม้ว่าจะมีอิมแพ็กต์บ้างแต่ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโต โดยเฉพาะการเติบโตด้านไอทีซึ่งปกติจะมีการเติบโตมากกว่าจีดีพี และซีเอฟโอของบริษัทแม่ก็ค่อนข้างมั่นใจกับตลาด growth market ซึ่งประเทศไทยอยู่ในตลาดนี้ด้วย โดยปัจจุบันรายได้ของไอบีเอ็มกว่า 65% อยู่นอกอเมริกา และแนวโน้มรายได้ก็จะมาจากตลาดประเทศ growth market มากขึ้น

- การที่ไทยมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งช่วยให้ความเชื่อมั่นของธุรกิจมากขึ้น

ช่วง 3 เดือนแรกก็มีสัญญาณที่ดี ความเชื่อมั่นด้านการลงทุนมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะที่ผ่านมาธุรกิจต่างๆ ได้ชะลอการลงทุน ทำให้ปีนี้ต้องมีการลงทุนขยายธุรกิจ ซึ่งไอทีก็จะเป็นเครื่องมือเข้าไปช่วย ขณะที่คอนซูเมอร์ก็มีความเชื่อมั่นมีการจับจ่ายมากขึ้น ประกอบกับโน้ตบุ๊กมีราคาจูงใจมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะเงินบาทแข็งค่าก็ทำให้ต้นทุนราคาสินค้าลดลง ขณะที่ผู้ประกอบการก็มีการแข่งขันจูงใจผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้บางครั้งอาจยังไม่มีดีมานด์ แต่ซื้อเพราะมีข้อเสนอน่าสนใจ

- เงินบาทแข็งค่าเป็นปัจจัยบวกแค่ไหน

ก็มีผลต่อต้นทุนบ้างแต่ไม่มาก อย่างไอบีเอ็มมีรายได้จากเซอร์วิสค่อนข้างมาก ส่วนนี้ก็จะไม่ได้ประโยชน์จากค่าเงิน ในแง่ของการนำเข้าสินค้าอาจจะได้เปรียบในแง่ต้นทุนฮาร์ดแวร์/ซอฟต์แวร์ลดลง แต่ในแง่ค่าใช้จ่าย เงินเดือนพนักงาน เมื่อแปลงกลับไปเป็นดอลลาร์ค่าใช้จ่ายของบริษัทก็เพิ่มขึ้น จึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

- ทิศทางของธุรกิจไอทีปีนี้

นอกจากเทรนด์เทคโนโลยีทางด้าน เอสโอเอ (Service Oriented Architecture) ซึ่งไอบีเอ็มก็ถือเป็นผู้บุกเบิก ก็มีเทรนด์ทางด้านเวอร์ชวลไลเซชั่น และคอนโซลิเดชั่นเพื่อที่จะใช้ประโยชน์ฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้น ก็มีเรื่องกรีนคอมพิวติ้ง

นอกจากนี้องค์กรต่างๆจะให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย และการบริหารความเสี่ยงด้านไอทีมากขึ้น จะไม่ใช่เรื่องของฝ่ายไอทีหรือซีไอโอเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่บอร์ด ผู้บริหารระดับสูง ของบริษัทต้องให้ความสำคัญในการจัดการกับความเสี่ยงด้านไอที เพราะธุรกิจต่างๆ ดำรงอยู่บนระบบไอทีจำนวนมาก ระบบไอทีมีปัญหาธุรกิจก็ชะงัก

รวมถึงการให้ความสำคัญเรื่องบุคลากร ธุรกิจมีการนำไอทีไปใช้งานมากขึ้น แต่ในแง่บุคลากรไอทีเหมือนจะขาดแคลน แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะผลิตบุคลากรออกมา แต่สิ่งที่ได้ในห้องเรียนอาจจะยังขาดมุมมองและประสบการณ์ในแง่ธุรกิจ หรือการนำไปใช้ปฏิบัติจริง ไอบีเอ็ม

จึงได้ร่วมมือกับ 8 มหาวิทยาลัยทำโครงการพัฒนาหลักสูตรเพิ่มเพื่อให้บุคลากรมีไดเมนชั่นด้านธุรกิจ

- ภาพการแข่งขันของธุรกิจไอที

ภาพที่เกิดขึ้นขณะนี้คือเพลเยอร์ ในอุตสาหกรรมน้อยลง เทรนด์ของอุตสาหกรรมไอทีจะเห็นการควบรวมค่อนข้างเยอะ สำหรับไอบีเอ็มที่มีโปรดักต์ด้านฮาร์ดแวร์และเซอร์วิสที่ค่อนข้างครบวงจร และตอนนี้ไอบีเอ็มได้ขยายพอร์ตโฟลิโอด้านซอฟต์แวร์เยอะมาก

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไอบีเอ็มเข้าไป ซื้อบริษัทซอฟต์แวร์หลายสิบบริษัท โดยไอบีเอ็มโพซิชั่นตัวเองว่า ซอฟต์แวร์จะเป็นโปรดักต์ไลน์ที่จะมาช่วยคอนทริบิวต์พอร์ตโฟลิโอและผลกำไรของไอบีเอ็มให้แข็งแรงมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะไอบีเอ็มมี cash on hand เหลืออยู่เยอะ จึงอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเพราะมีเงินสดเหลืออยู่เยอะ บริษัทอื่นๆ อาจอยากเทกโอเวอร์ หรือควบรวม แต่ทำไม่ได้เพราะไม่มีเงิน

- วิธีการของไอบีเอ็มตอบโจทย์อะไร

ไอบีเอ็มโพซิชั่นตัวเองเป็น high value solution provider แม้ว่าปัจจุบันรายได้ของไอบีเอ็มมากกว่า 50% มาจากธุรกิจบริการ แต่สิ่งที่ซีเอฟโอของไอบีเอ็มบอกกับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น คือในปี 2010 รายได้กว่า 50% ของไอบีเอ็ม จะมาจากธุรกิจซอฟต์แวร์

- ที่ผ่านมาไอบีเอ็มไทยแลนด์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางโซลูชั่นการเงินและรถยนต์ เป็นไปได้แค่ไหน

ไอบีเอ็มให้โอกาสกับทุกคน และการลงทุนของไอบีเอ็มจะไปในประเทศ growth market เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่าเมืองไทยเหมาะสมตรงไหนก็โพซิชั่นตัวเองไว้ เพราะไทยเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน

- ตลาดใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียนมีความหมายอย่างไร

ในอาเซียนวันนี้ ประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์เท่านั้น ซึ่งจะบ่งบอกในแง่ของ focus เพราะเวลาบริษัทแม่มองเข้ามาก็จะเห็นประเทศไทยเป็นคีย์มาร์เก็ต ทำให้โฟกัสตลาดเมืองไทยมากขึ้น พร้อมกับเรื่อง speed ในการสนับสนุนการทำงาน เพราะมีความสำคัญต่อความสำเร็จของภาพรวมบริษัท

- สิ่งที่ไอบีเอ็มประเทศไทยโฟกัสคืออะไร

พูดไปก็เหมือนกับโฟกัสไปทุกเรื่อง ไอบีเอ็มมีผู้บริหารเยอะในแต่ละสายงาน ซึ่งผู้บริหารแต่ละคนก็จะโฟกัสในสายธุรกิจที่ดูแล สิ่งที่คาดหวังจากผู้บริหารคือทุกสายธุรกิจต้องเติบโตมากกว่าการเติบโตของตลาด ถ้าเราโตมากกว่าอุตสาหกรรมผลลัพธ์ก็คือจะได้มาร์เก็ตแชร์เพิ่ม

แต่ตลาดที่ไอบีเอ็มเน้นคือ general business เพราะเป็นตลาดใหญ่และมีการลงทุนด้านไอทีเยอะ ขณะที่มาร์เก็ตแชร์ของไอบีเอ็มในตลาดนี้ยังไม่มาก ไอบีเอ็มจึงมีโอกาสเติบโตในตลาดนี้อีกมาก general business ของไอบีเอ็มมีทั้งธุรกิจขนาดกลางและเล็ก รวมถึงลูกค้าใหญ่ๆ นอกเหนือจากกลุ่มแบงก์ เทเลคอม และอุตสาหกรรมการผลิตที่มีสายงานดูแลโดยเฉพาะ

ไอบีเอ็มให้ความสำคัญกับตลาดนี้มาก โดยในระดับภูมิภาคก็ให้คุณศุภจี (สุธรรมพันธุ์) รับผิดชอบในส่วนไอบีเอ็ม ไทยแลนด์ ก็ได้มอบหมายให้ คุณพรรณสิรี อมาตยกุล ที่เป็นจีเอ็มของบริษัทไอบีเอ็ม โซลูชั่นส์ ดิลิเวอรี่ ไปดูแลตรงนี้

ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่อย่างสถาบันการเงิน โทรคมนาคม อุตสาหกรรมการผลิต ก็เป็นเมเจอร์มาร์เก็ตองไอบีเอ็ม แต่ก็มีการนำไอทีไปใช้งานมากแล้ว ซึ่งสิ่งที่ ไอบีเอ็มต้องทำก็คือต้องเมนเทนและรักษาการเติบโตให้มากกว่าอินดัสตรี

- ความยากลำบากในการรักษาเก้าอี้ผู้นำ

ไอบีเอ็มมีองค์ประกอบที่ดีหลายอย่าง ตั้งแต่มีทีมงาน ประวัติอันยาวนาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าเรามาระยะยาว มาเพื่อที่จะช่วยลูกค้าให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ พนักงานที่มีลอยัลตี้ มีความสามารถ รวมทั้งคู่ค้าที่มีความสามารถและอยู่กันมานาน

ขณะเดียวกันก็มีบิสซิเนสพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ อยากเข้ามาทำงานกับไอบีเอ็มมากขึ้น ทำให้ไอบีเอ็มสามารถรักษาโพซิชั่นและโมเมนตัมต่อไปได้

- 6 เดือนในการทำงานตำแหน่งเอ็มดี

สนุกดี โดยพยายามทำอะไรที่คิดว่าดีต่อองค์กร หารือกับทีมบริหารว่าต้องการเห็นอะไรในอีก 3 ปีข้างหน้า เป็นความร่วมมือของทีมงานและผู้บริหารว่าแต่ละไตรมาสเราจะบรรลุอย่างไร (achieve) รวมถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารเพื่อที่จะให้ตรงโจทย์กับความต้องการของลูกค้า เช่น มอบหมายคุณพรรณสิรี มาดูแลในส่วนของ general business แต่การเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารถือว่าเป็นสิ่งที่ไอบีเอ็มมีการปรับเปลี่ยนอยู่เป็นปกติ อะไรที่เหมาะสมและตอบโจทย์ก็จะทำ เพราะไอบีเอ็มประสบความสำเร็จไม่ใช่ผมคนเดียว ทุกคนเป็นจิ๊กซอว์ของความสำเร็จขององค์กร

- แผน 3 ปีของไอบีเอ็มคืออะไร

เราอยากเติบโตเต็มที่ โดยไอเดนติฟาย ใน 3 แอเรีย คือ 1.เป้าหมายทางธุรกิจ ทั้งในแง่ของผลประกอบการ รายได้ 2.ในแง่ของบุคลากร คืออยากให้บุคลากรของไอบีเอ็มมีทักษะ ทั้งในแง่ของทัศนคติ ความรู้ ความสามารถในการทำงาน 3.ในแง่ของ public image ขององค์กร

3 อย่างนี้คือสิ่งที่ผมต้องการทำในช่วงที่อยู่ในวาระตรงนี้ เพราะภาพลักษณ์ขององค์กรก็จะทำให้มีคนที่มีความสามารถอยากมาร่วมงานด้วย ให้เป็นบริษัทแรกที่คนตัดสินใจเลือกที่จะมาทำงานด้วย

โดยหลักสำคัญในการทำงานในมุมมองของผมอยู่ที่ทัศนคติ(Attitude) คือถ้าคนมีทัศนคติดี คิดว่าทำได้มันก็จะทำได้ไปแล้ว 50%

หน้า 36


 

โดย: 015 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 22:27:06 น.  

 

// //www.matichon.co.th%2Fprachachat%


วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3987 (3187)

กระแส "โลว์คอสต์" ลุกลาม ขายมือถือ "20 เหรียญ"

คอลัมน์ Click World



ชั่วโมงนี้คำว่า "โลว์คอสต์" ถือว่าเป็นคำฮิตติดปากคนในวงการ ไอทีทั่วโลก นับตั้งโน้ตบุ๊กราคาประหยัด บุกตลาดเมื่อปีที่ผ่านเพื่อเจาะกลุ่มการศึกษาและผู้ใช้งานระดับเบื้องต้น รวมถึงผู้มีงบประมาณจำกัดให้สามารถเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ตได้

เกาหลีไทมส์รายงานว่า นอกจากกระแสโลว์คอสต์โน้ตบุ๊กกำลังบูมอย่างหนักแล้ว ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหลายแบรนด์ ต่างเริ่มที่จะเข้าสู่ตลาดนี้เช่นกัน โดยเน้นเจาะกลุ่มขายสินค้าตามพื้นที่ยากจนของโลก โดยเฉพาะผู้ผลิตโทรศัพท์สัญชาติเกาหลีที่เริ่มมีเทรนด์ของการผลิตโทรศัพท์ราคาประหยัดมากขึ้น เพื่อสนองความต้องการของตลาด แม้ว่ามาร์จิ้นที่ได้รับจะต่ำลงก็ตาม

ผู้ผลิตสัญชาติเกาหลีอย่าง "ซัมซุง" และ "แอลจี" ซึ่งเดิมเน้นผลิตสินค้าระดับไฮเอนด์มีทั้งกล้องความละเอียดสูง หรือสามารถฟังเอ็มพี 3 ได้ แต่เมื่อปีที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณให้เห็นว่า ทั้ง 2 แบรนด์ต่างหันหัวเรือเพื่อโฟกัสการทำตลาดประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกาเป็นหลัก เพราะมีแนวโน้มว่าการบริโภคโทรศัพท์มือถือของคนในภูมิภาคนี้เป็น สิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการอยู่รอดของชีวิต

ปี 2008 ซัมซุง ตั้งเป้าที่จะขายโทรศัพท์ราคาต่ำกว่า 100 เหรียญให้ได้มากกว่า 80 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 20 ล้านเครื่องกับ ปีที่ผ่านมา ขณะที่แอลจีคาดหวังว่ายอดขายโทรศัพท์ราคาต่ำกว่า 200 เหรียญ เป็นยอดขายครึ่งหนึ่งของปริมาณการขายโทรศัพท์ทั้งหมดของแอลจีในตลาดเกิดใหม่

เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของซัมซุง เปิดเผยว่า "เดิมทีซัมซุงยึดติดกับการทำตลาดไฮเอนด์ แต่ปีที่แล้วซัมซุงตัดสินใจที่จะเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ มากขึ้น และพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี"

ทั้งนี้ ซัมซุงต้องการปรากฏตัวบนเวทีโลกมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหวังยอดขายในภูมิภาคนี้ถึง 20 ล้านเครื่องเพิ่ม 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา โดยใช้กลยุทธ์นำสินค้ากลุ่มโลว์เอนด์ เข้าทำตลาด

เพราะหากมองภาพตลาดรวมทั่วโลก ปีที่แล้วพบว่า ซัมซุงมีส่วนแบ่งตลาดมือถือทั่วโลกจำนวน 14% ขณะที่แอลจีมี 7% ซึ่งทั้งสองแบรนด์ยังห่างไกลจาก "โนเกีย" ซึ่งมีส่วนแบ่งทั่วโลก 38% ในปี 2007

ปัจจุบันโนเกียเป็นเจ้าตลาดหลักในประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดีย เพราะประสิทธิภาพด้านการขนส่งโลจิสติกส์ และความรู้ความสามารถด้านการผลิต ทำให้สามารถผลิตสินค้าราคาประหยัดได้เป็นจำนวนมาก

ดังนั้นซัมซุงและแอลจีจึงต้องใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นหลักในการทำตลาดเพื่อกุมชัยชนะเหนือโนเกียในตลาดอินเดีย แต่ทั้งสองแบรนด์ออกมายอมรับว่า ถึงแม้จะเน้นด้านราคา แต่สินค้าของตนอาจจะต้องให้ฟังก์ชันมากกว่าและราคาแพงกว่าของโนเกียเล็กน้อย

"เมื่อต้องต่อกรกับโนเกียด้านราคา อาจจะทำให้ผู้เล่นต้องเจ็บตัวมากกว่าสิ่งที่ได้รับ ดังนั้น เราจึงเน้นการยกระดับแวลูของแบรนด์ในตลาดให้มีมากขึ้น ถึงแม้เราจะต้องขยับราคาขึ้นอย่างน้อยประมาณ 10-20 ดอลลาร์ก็ตาม เพราะเราต้องการเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ในแต่ละเซ็กเมนต์ที่ทำตลาด" ประชาสัมพันธ์ของแอลจีกล่าว

สำหรับสภาพการแข่งขันของตลาดมือถือกลุ่มโลว์คอสต์นับวันยิ่งเข้มข้นขึ้น เพราะปัจจุบันมีมือถือรุ่นเบสิกเซ็กเมนต์ทะลักทั้งจากจีนและอินเดียอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งพบว่ายังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณที่แสดงว่าการแข่งขันในตลาดนี้จะจบลงง่ายๆ

ล่าสุด บริษัท สไปร์ท คอร์ปอเรชั่น จากประเทศอินเดีย มีแผนจะขายโทรศัพท์รุ่นเบสิกราคาเพียง 20 เหรียญ ไม่มีกล้อง ไม่มีเครื่องเล่นเพลง และไม่มีแม้แต่หน้าจอ วางจำหน่ายที่อินเดีย และเรียกโทรศัพท์นี้ว่า "The People"s Phone" ซึ่งจะเป็นโทรศัพท์ที่ราคาถูกที่สุด ในโลกที่เสนอขายแก่คอนซูเมอร์

คอนเซ็ปต์ของ "The People"s Phone" คือโทรศัพท์ที่สามารถให้คนจำนวนมหาศาลเข้าถึงได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเงินทองมากพอที่จะซื้อโทรศัพท์มือถือ โดยระยะเริ่มต้น "The People"s Phone" จะวางสินค้าจำหน่ายที่อินเดีย ตะวันออกกลาง เช่น อิรัก เรื่อยไปจนถึงอินโดนีเซีย และในอนาคตมีแผนที่จะขยายสู่ภูมิภาคอื่นๆ มากขึ้น เพราะปัจจุบันพบว่าบริเวณภูมิภาคดังกล่าวมีประชากรกว่า 2.5 พันล้านคนที่ยังไม่มีโทรศัพท์ใช้

นายบี เค โมดิ ประธาน บริษัท สไปร์ท คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทต้องการที่จะช่วยให้ชาวอินเดียจำนวนมหาศาลสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ ซึ่งโทรศัพท์นี้จะทำให้ประชาชนทุกระดับชั้นสามารถมีมือถือเป็นของตัวเอง

ด้าน "ไมเคิล เชอร์วาซ" นักวิเคราะห์จากเว็บไซต์ Developing Telecom กล่าวว่า จากรายงานของศูนย์วิจัย ABI ระบุว่า ปี 2011 ทั่วโลกจะพบว่าในอุปกรณ์มือถือทุกๆ 4 เครื่องจะต้องมีมือถือโลว์คอสต์อย่างน้อย 1 เครื่อง

โดยในงาน "โมบาย เวิรลด์ คองเกรส" ครั้งที่ผ่านมาพันธมิตรผู้ผลิตซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ทั่วโลกได้ใช้เป็นเวที ประกาศตัวถึงการร่วมมือกันพัฒนา "The Smart Entry Phone" (SEP) ที่มีราคาถูกที่สุดในโลก ประมาณต่ำกว่า 25 เหรียญ ซึ่งสามารถรับส่งอีเมล์ ดาวโหลดภาพ บริการส่งข้อความผ่านเว็บได้ ซึ่ง SEP แบบใหม่ๆ จะเน้นเจาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ หรือประเทศโลกที่สามเป็นหลัก

หน้า 34

 

โดย: 016 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 22:32:40 น.  

 

// //www.matichon.co.th%2Fkhaosod%
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6329 ข่าวสดรายวัน


เหตุ"นาฬิกาชีวภาพ"เดินเร็ว ทำสัตว์พืชเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม





กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีต้นซากุระมาก มาย ราว 30 ปีก่อนซากุระจะเริ่มบานประมาณวันที่ 5 เมษายนของทุกปี แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซากุระที่ดี.ซี.บานเร็วกว่าปกติ คือเลื่อนขึ้นมาในช่วงปลาย เดือนมีนาคม

ที่ฟิลาเดลเฟีย ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้จะเริ่มจามในช่วงเวลาที่เร็วกว่าเดิม เพราะเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา มีการตรวจพบละอองเกสรของต้นเมเปิ้ลจำนวนมาก ทั้งที่ควรจะมีจำนวนเท่านี้ในปลายเดือนเมษายน

นายเทอรี่ รู้ท นักชีววิทยาจากสแตนฟอร์ด ยูนิเวอร์ซิตี้ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า นาฬิกาที่เหล่าพืชและสัตว์ฟังอยู่ตามธรรมชาตินั้นเดินเร็วเกินไป โดยภาวะโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเวลาของฤดูต่างๆ และส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์บนโลก

ดาวเทียมจับภาพการเกิดพื้นที่สีเขียวขึ้นบนโลก ซึ่งหมายถึงฤดูใบไม้ผลิก้าวย่างเข้ามาแล้ว พบว่า นับตั้งแต่ พ.ศ.2525 เป็นต้นมา พื้นที่เมสัน-ดิ๊กซันไลน์ มีฤดูใบไม้ผลิเร็วขึ้นปีละ 8 ชั่วโมง พื้นที่ของรัฐฟลอริดา เท็กซัส หลุยเซียน่า มีรูปแบบของการเข้าฤดูใบไม้ผลิแปลกออกไป

นาฬิกาชีวภาพหรือนาฬิกาตามธรรมชาติเรียกว่า "ฟีโนโลจี" วัดเวลาได้จากการเอียงของโลกขณะโคจรรอบดวงอาทิตย์ โดยนาฬิกาชีวภาพของ ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้เริ่มต้นเมื่อเวลา 01.48 น. ของวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา

หน้า 28

 

โดย: 017 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 22:37:49 น.  

 

// //www.matichon.co.th
อีเบย์+เว็บชอปปิ้งจัดนศ.แข่งซื้อขายออนไลน์ครั้งแรก
นายแดน เนียรี่ รองประธาน อีเบย์ เผยเมื่อวันที่ 27 มีนาคมว่า อีเบย์ร่วมมือกับเว็บไซต์ shopping.co.th เปิดเวทีการแข่งขันซื้อขายออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่ระดับประเทศครั้งแรกของไทย ซึ่งจัดขึ้นเพื่อนิสิตนักศึกษาโดยเฉพาะ โดยเปิดให้นักศึกษาไทยมีความชำนาญและนิยมใช้อินเตอร์เน็ตในการสื่อสารและหาความรู้ อีเบย์จึงจัดแข่งขันซื้อขายออนไลน์ระดับประเทศครั้งแรกของไทย ด้วยการหารายได้จากการขายสินค้าไปทั่วโลก เปิดรับนักศึกษาปริญญาตรีจาก 165 สถาบันทั่วประเทศร่วมแข่งขันดำเนินธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ทั่วโลก ชิงรางวัลมูลค่าสูงสุดถึง 120,000 บาท คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คโตชิบา 1 เครื่อง พร้อมโอกาสฝึกงานกับสนุก! เว็บไซต์อันดับหนึ่งของไทยเป็นเวลา 1 เดือน และทัศนศึกษาที่สำนักงานใหญ่อีเบย์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สิงคโปร์

ด้านนายต่อบุญ พ่วงมหา ประธานบริหาร สนุกดอทคอม กล่าวว่า การแข่งขันซื้อขายออนไลน์ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักศึกษาไทยที่จะได้รับประสบการณ์ในการจัดตั้งและดำเนินธุรกิจออนไลน์ด้วยตัวเอง ด้วยสมาชิกที่ซื้อขายเป็นประจำกว่า 82 ล้านคนทั่วโลกบนอีเบย์และสมาชิกที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของเว็บ shopping.co.th จะทำให้ผู้ประกอบการออนไลน์รุ่นใหม่ สามารถสร้างฐานลูกค้าได้ทั่วโลก อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการเติบโตต่อไปในอนาคต” การแข่งขันครั้งนี้เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2551 สำหรับนักศึกษาที่ได้ลงทะเบียนพร้อมเริ่มเสนอสินค้าขายบนเว็บไซต์อีเบย์ระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ จะมีสิทธิสมัครเข้าร่วมการฝึกอบรมด้านกลยุทธ์การขายบนอีเบย์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 25 -26 เมษายนนี้ นักศึกษาที่สนใจที่ //www.shopping.co.th/sellingcontest



 

โดย: 018 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 22:45:29 น.  

 

// //www.manager.co.th%2FScience%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9510000037583
"วุฒิพงศ์" สั่ง สทอภ.ทำภาพ 3 มิติพื้นที่ลุ่มน้ำ 25 แห่ง

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 มีนาคม 2551 22:58 น.







วุฒิพงศ์ ฉายแสง เข้าตรวจเยี่ยม สทอภ. โดยมี ดร.สุวิทย์ วิบูลย์เศรษฐ์ กรรมการที่ปรึกษา สทอภ.นำเยี่ยมชมการดำเนินงาน




คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

ผู้บริหาร สทอภ. (ซ้ายไปขวา) พลเอก ดร.วิชิต สาทรานนท์ ประธานกรรมการบริหาร สทอภ. ดร.ธงชัย จารุพพัฒน์ ผู้อำนวยการ สทอภ. และ ดร.สุวิทย์ วิบูลย์เศรษฐ์ กรรมการที่ปรึกษา สทอภ.


จานรับสัญญาณดาวเทียมของ สทอภ.ที่สถานีรับในเขตลาดกระบัง


ห้องรับข้อมูลสัญญาณดาวเทียม




"วุฒิพงศ์" เยือนสถานีรับสัญญาณดาวเทียม สทอภ.ในเขตลาดกระบัง พร้อมสั่งงานให้ผลิตข้อมูล 3 มิติของบริเวณลุ่มน้ำ 25 แห่งส่งต่อกระทรวงทรัพฯ-กระทรวงเกษตร

นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าตรวจเยี่ยม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. ณ สถานีรับสัญญาณดาวเทียมภาคพื้นดิน ลาดกระบัง ในช่วงบ่ายของวันที่ 28 มี.ค.51 โดยภายหลังรับฟังรายงานสรุปภารกิจและการดำเนินงานของสำนักงานแล้วได้ฝากให้ สทอภ.ผลิตภาพ 3 มิติในบริเวณต้นกำเนิดลุ่มน้ำ 25 แห่งทั่วประเทศเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปข้อมูลไปบริหารจัดการ

"สถานีรับดาวเทียมของเราทันสมัยที่สุดในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าสิงคโปร์ เวียดนามสู้เราไม่ได้ ที่จะนำไปเป็นประโยชน์คือ ต่อไปจะพัฒนาสู่ภาพ 3 มิติ รู้แหล่งน้ำ รู้ว่าน้ำไหลจากไหน เวลาสร้างแหล่งเก็บน้ำจะสร้างได้ เวลาน้ำท่วมรู้ว่ามาจากไหน สาเหตุเกิดจากอะไร ประโยชน์อื่นๆ เรื่องการเกษตรก็จะได้รู้ว่าปลูกอะไรแถวนี้ได้บ้าง และปลูกแล้วขาดปุ๋ยอะไรก็เช็คได้ ต่อไปเราจะรู้ข้อมูลว่าต้นไม้ชนิดนี้ขาดปุ๋ยอะไร ต้องใส่ปุ๋ยอะไร แล้วจะแก้ปัญหาได้ตรงจุด ไม่ใส่ปุ๋ยเกินความจำเป็น ช่วยประหยัดเงิน และเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงก็ช่วยได้เยอะมาก" นายวุฒิพงศ์กล่าว

ทั้งนี้ ดร.ธงชัย จารุพพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กล่าวรายงานว่าสำนักงานเกิดขึ้นจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2543 โดยเป็นการรวมกันของกองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม สังกัดสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีเทคโนโลยีควบคุมระยะไกล (Remote Sensing) และฝ่ายประสานและส่งเสริมการพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ สังกัดศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนดลยีและสิ่งแวดล้อมซึ่งมีข้อมูลภูมิสารสนเทศ (จีไอเอส)

สำหรับที่ตั้งของ สทอภ.นั้นมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เขตจตุจักร กรุงเทพฯ และมีสถานีรับสัญญาณดาวเทียมของแห่งคือ สถานีที่ตั้งในเขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ซึ่งมีจานดาวเทียมรับสัญญาณจากดาวเทียม โนอา (NOAA) อิโคนอส (IKONOS) แลนด์แซท (LANDSAT) สปอต (SPOT) เรดาร์แซท (RADARSAT) เอลอส (ALOS) และสถานีที่ตั้งใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรับรัญญาณดาวเทียมธีออส (THEOS) ดาวเทียมที่ไทยว่าจ้างให้ฝรั่งเศสสร้างและกำลังอยู่ระหว่างการรอส่งขึ้นสู่วงโคจร ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกันได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซียและอินโดนีเซียแล้ว ไทยรับสัญญาณจากดาวเทียมหลายดวงกว่า









 

โดย: 019 IP: 118.174.146.187 29 มีนาคม 2551 22:52:11 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11668


บทความ : ‘ข้าวแพง’ ลิ่มตอกย้ำชีวิตชาวนา



สมจิต คงทน

กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไรพรมแดน (Local Act)





สถานการณ์ราคาข้าวที่ทะยานสูงขึ้นจากตันละ 5-6 พันบาทเป็น 10,400 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว อาจถือได้ว่าใครมีข้าวอยู่ในมือตอนนี้ก็เปรียบเหมือนกับมีทองคำอยู่กับตัว จึงเกิดปรากฏการณ์มีคนขโมยเกี่ยวข้าว เป็นเหตุให้ชาวนาต้องมาอยู่ยามเฝ้านาข้าวของตนเอง หรือข่าวในหนังสือพิมพ์ที่ชาวนาฆ่าตัวตายเพราะถูกศัตรูพืชลงในนาที่กำลังจะเกี่ยว 40 ไร่ทำให้ไม่มีเงินไปใช้หนี้



มีคำถามมากมายทั้งจากคนไทยด้วยกันและจากคนต่างชาติว่า ในเมื่อประเทศไทยเป็นผู้ส่งข้าวออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกประกอบกับราคาข้าวที่พุ่งทะลุเพดานในขณะนี้ แล้วทำไมชีวิตชาวนาผู้ปลูกข้าวถึงยังยากจน มีหนี้สินล้นพ้นตัว ที่ดินหลุดมือ ซ้ำร้ายยังมีจำนวนมากที่ต้องเช่าที่นาของตัวเองทำนา มันเกิดอะไรขึ้น



นางพิมพ์ใจ จันทร์สมุทร อายุ 43 ปี ชาวนาบ้านหนองควาย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวเพื่อส่งออก มีที่ดินเป็นของตนเอง 3 ไร่ และเช่าที่ทำกินอีก 8 ไร่ นางพิมพ์เล่าให้ฟังว่า “เริ่มเป็นหนี้ครั้งแรกเมื่ออายุ 18 ปี จำนวน 15,000 บาท กับการสร้างครอบครัวใหม่ คือการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนในแปลงนาและเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวตลอดฤดูกาลทำนา จนปัจจุบันมีหนี้อยู่ทั้งหมด 200,000 บาท ทั้งจาก ธ.ก.ส. และแหล่งเงินกู้จากโรงสี”



เช่นเดียวกับ ชาวนาตำบลบางขุด อำเภอสวรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ทำนาปีละ 3 ครั้ง เป็นพื้นที่ปลูกข้าวเพื่อส่งออกเช่นกัน ชาวนาที่นี่ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ไม่มีที่นาเป็นของตนเอง โดยเฉลี่ยแล้วชาวนามีหนี้สินตั้งแต่ 100,000 – 300,000 บาทต่อครอบครัว สาเหตุหลักของหนี้สินเกิดจากการซื้อปัจจัยการผลิต (ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมน และสารเคมีกำจัดศัตรูพืช สูงสุดถึงร้อยละ52.45) ลงทุนการผลิต (รถแทรกเตอร์ รถเกี่ยว รถขนส่งและค่าน้ำมันร้อยละ 26.85) และค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่สูงขึ้นทุกปี



จากการศึกษาต้นทุนการทำนาในปี 2550 ของชาวนาตำบลบางขุด พบว่ามีต้นทุนการผลิตสูงถึง 3,165 บาท ต่อไร่ และมีผลผลิตตอบแทนต่อไร่ 3,850 บาท ดังนั้นชาวนาได้กำไร 685 บาทต่อไร่เท่านั้น ถามว่าเงินจำนวนนี้เพียงพอหรือไม่ต่อการดำรงชีพของครอบครัวชาวนาในยุคปัจจุบัน



ในขณะที่ราคาข้าวเปลือกในปี 2550 ที่ชาวนาขายได้คือ 5,500 บาทต่อตัน รัฐรับซื้อราคา 6,509 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่แตกต่างกันถึง หนึ่งพันกว่าบาท แต่ชาวนาต้องขายข้าวของตนเองออกไปเนื่องจากความขัดสนทางการเงินและปริมาณหนี้สินของครอบครัวที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งหลังเก็บเกี่ยวเสร็จต้องเร่งขายข้าวทำให้ถูกหักความชื้น ราคาข้าวจึงตก ที่สำคัญ ชาวนาไม่สามารถเข้าถึงโครงการรับจำนำข้าวของรัฐที่ส่วนใหญ่มีตัวแทนจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน นอกจากนี้ ชาวนาคนไหนที่เป็นหนี้กับธ.ก.ส. ธ.ก.ส.จะหักชำระหนี้ไว้เลยไม่มีทางได้ถือเงินจนกว่าจะไปกู้ใหม่ ชาวนาจึงไม่สามารถหลุดจากวงจรหนี้สินได้



ในเมื่อการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ชาวนาส่วนใหญ่จึงหันไปทำอาชีพเสริม “แม้มีอาชีพหลักคือการทำนา แต่รายได้หลัก คือการปลูกมันมือเสือ” นางพิมพ์กล่าว รวมถึงชาวนาคนอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกนั้นด้วย ที่ต้องเย็บผ้า ผ่าลูกหมาก เก็บของเก่าขาย และในบางพื้นที่ชาวบ้านได้หันมาปรับเปลี่ยนการผลิตมาทำนาอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ผลิตปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้เอง เป็นต้น



ดังนั้น ราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ ไม่ได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาผู้ปลูกข้าวมีสภาพดีขึ้น แม้ว่าชาวนาในหลายพื้นที่ได้พยามดิ้นรนหาทางออกด้วยตนเองแล้วก็ตาม จึงขอวิงวอนให้รัฐบาลทบทวนโครงการอุดหนุนต่างๆ อย่างจริงจัง เช่น การประกันราคาข้าวควรมีความโปร่งใสไม่มีเอี่ยวกับนักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้องตลอดจนการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อความเข้มแข็งในอนาคต และควรนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษในกรณีที่มีการขโมยข้าวจากสต๊อกข้าวของรัฐบาลซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านบาท





ที่มา :

เวทีสัมมนากับกลุ่มชาวนาจังหวัดชัยนาท วันที่ 28 พ.ย 2550 โดย สภาเครือข่ายองค์กรประชาชนแห่งประเทศไทย (สคปท.)

สัมภาษณ์ นางพิมพ์ใจ จันทร์สมุทร ชาวนาหนองควาย เลขที่ 25 หมู่ 1 ต.บ้านในดง อ.ท่ายาง.เพชรบุรี












--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/3/2551

 

โดย: 020 IP: 118.174.56.193 30 มีนาคม 2551 19:57:55 น.  

 

//www.oknation.net/blog/talkwithOKNation/2008/03/10/entry-1
คุยกับ OK Nation
oknation เวบบล็อกคุณภาพ เปิดรับสมัครสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้ว ท่านใดประสบปัญหาในการสร้างบล็อก หรือมีข้อแนะนำใด ๆ ติดต่อสอบถามได้ครับ
Permalink : //www.oknation.net/blog/talkwithOKNation
วันจันทร์ ที่ 10 มีนาคม 2551
7 เม.ย.รวมพลคนเขียนบล็อกครั้งที่ 2 (เปิดตัว 4 บล็อกเกอร์รับเชิญ)
Posted by OK NATION , ผู้อ่าน : 1418 , 18:34:59 น.
พิมพ์หน้านี้

OKnation Meeting 2

นัดรวมพลคนเขียนบล็อก ครั้งที่ 2

7 เมษายน 2551



ในโอกาสฉลองครบรอบ 1 ปี การเปิดตัว oknation.net/blog เว็บบล็อกโอเคเนชั่น และ ก้าวสู่ปีที่ 2 อย่างมีคุณภาพ บนโลกออนไลน์ ขอเชิญสมาชิกโอเคเนชั่นและผู้สนใจทุกท่าน ร่วมฟังเสวนาและพบปะสังสรรค์ในงาน...

OKnation Meeting 2
นัดรวมพลคนเขียนบล็อก ครั้งที่ 2



วันจันทร์ ที่ 7 เมษายน 2551 เวลา 12.30-16.00 น.
(วันสุดท้ายของงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 36)
ณ ห้อง Meeting Room 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

....................................................................

“ก้าวที่ 2 ของ OKnation

จาก Citizen Reporter

สู่ Education Reporter”

....................................................................

กำหนดการ :

12.30-13.00 น.

- ลงทะเบียน (*พิเศษ! สำหรับ 50 ท่านแรกที่มาลงทะเบียน รับของที่ระลึกฟรี!)
- “บล็อกป่วย เพื่อนช่วยได้” มีปัญหา สงสัย สอบถาม แนะนำ สาธิต เทคนิคในการแต่งบล็อกจากเพื่อนสมาชิก โดย บล็อกเกอร์ปิรันย่า





13.00-14.30 น.

ขอเชิญบล็อกเกอร์ครู-อาจารย์ บล็อกเกอร์นักเรียน-นักศึกษา และบล็อกเกอร์ที่สนใจทุกท่านเข้าร่วมฟังเสวนา แลกเปลี่ยนความคิด ...“การใช้บล็อก เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทย”

พบกับบล็อกเกอร์รับเชิญ.... ในแวดวงการศึกษาไทย

บล็อกเกอร์ Patong



.........................

บล็อกเกอร์สอนสุพรรณ



.....................................


บล็อกเกอร์รวงข้าวล้อลม



............................................

บล็อกเกอร์ครูเจี๊ยบ



...................................

ดำเนินการเสวนาโดย คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล (บล็อกเกอร์ kanok)




14.30-15.00 น.

- Coffee Break
- Meeting Online 2 Blog พิสูจน์ความเร็ว โอเคเนชั่น อัพเดทบรรยากาศในงาน สู่หน้าจอสมาชิกที่ไม่ได้เข้าร่วมงานได้ชมไปพร้อมกัน

15.00-16.00 น.

ขอเชิญบล็อกเกอร์ และผู้สนใจเขียนบล็อกทุกท่าน ร่วมพบปะสังสรรค์ สัมพันธ์ความคิด “นัดรวมพลคนเขียนบล็อก” ดำเนินรายการโดย บล็อกเกอร์kanok และ บล็อกเกอร์มะอึก




- การมอบรางวัล จากกิจกรรมการประกวดฉลอง 1 ปี โอเคเนชั่น Content of the Year 2007 ที่ได้ประกาศผลไปแล้วเมื่อต้นปี ได้แก่ สิ่งที่ดีที่สุดในจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน, นักข่าวอาสา , เรื่องสั้น, บทกวี และท่องเที่ยว-ภาพถ่าย (หมายเหตุ : บล็อกเกอร์ท่านใดไม่สะดวกมารับรางวัลในงาน จะส่งตัวแทนมารับหรือจะให้จัดส่งไปทางพัศดุไปรษณีย์ แจ้งมาได้ที่กล่องรับ-ส่งข้อความของโอเคเนชั่น)

- การมอบรางวัล จากกิจกรรมร่วมสนุก ที่จัดโดยสมาชิกโอเคเนชั่น ที่ผ่านมา

- ปิดงาน ร่วมกันร้องเพลง บรรเลงกีต้าร์ โดยศิลปินโฟล์คเหน่อ



....................................................................

ขอขอบพระคุณสมาชิกทุกท่านครับ

กองบรรณาธิการโอเคเนชั่น

25 มีนาคม 2551

.......................

หมายเหตุ : ปลอดค่าใช้จ่ายตลอดงาน

 

โดย: 021 IP: 118.174.56.193 30 มีนาคม 2551 20:12:21 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/calendar/view.php?cid=1228&myCalendarDate=2008-04-01&page=1&atDate=2008-04-22
ประกาศเทศบาลนครเชียงใหม่

เรื่อง ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมประกวดถุงผ้า

ในหัวข้อ “ติ้วถุงผ้าไปจ่ายกาด ม่วนขนาด ฮ่วมใจลดโลกร้อน”

วันคุ้มครองโลก Earth day

 

โดย: 022 IP: 118.174.104.115 30 มีนาคม 2551 20:37:09 น.  

 

//www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000036020

"โลกร้อน"...เพราะเราเป็นเพียงกาฝากเกาะกินโลก ?

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 มีนาคม 2551 00:26 น.









ในแต่ละปี มีการมอบเงินอุดหนุนถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมประมง...ท้องทะเล กำลังจะว่างเปล่า

ถุงพลาสติก 1 ใบ ใช้เวลาผลิตแค่ 1 วินาที นำมาใช้งานเพียง 20 นาที แต่ต้องใช้เวลาถึง 100-400 ปี ในการย่อยสลายไปตามธรรมชาติ...ในแต่ละปี คนทั่วโลกใช้ถุงพลาสติก 500,000 ถึง 1,000,000 ล้านใบ

ปริมาณน้ำกำลังจะกลายเป็นประเด็นหลักในระดับโลก เมื่อผู้คน 1,000 ถึง 2,000 ล้านชีวิต ต้องดิ้นรนหาน้ำวันละ 20-50 ลิตรมาไว้ดื่มกิน หุงหาอาหาร และทำความสะอาด

ภายในปี 2015 คาดกันว่าความต้องการน้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้น
จนแตะระดับ 99 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงราคาถูก หาง่าย และสกปรกที่สุด ในแต่ละปี เรานำเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดนี้มาใช้มากกว่า 6,000 ล้านตัน

ผู้คน 6,600 ล้านคนทั่วโลก กำลังอพยพเข้าสู่เขตเมืองและแถบชานเมือง

คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน มีเงินมากกว่าค่าจีดีพีของประเทศยากจนที่สุด 45 ประเทศรวมกัน

ประชากรโลก 3,000 ล้านคน มีเงินใช้ไม่ถึงวันละ 2 ดอลลาร์สหรัฐ

ช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน ถ่างกว้างมากขึ้น


...สถิติเหล่านี้เป็นเพียงเสี้ยวธุลีของปัจจัยสำคัญและผลกระทบมหาศาลอันเนื่องมาจากวิกฤติโลกร้อน รวมถึงภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจากสภาวะเรือนกระจก










จุดกำเนิดของภาวะวิกฤติอันน่าตระหนกดังกล่าว อาจมิได้มาจากปัจจัยภายนอกอื่นใดเลย หากเกิดจากจิตสำนึกอันบกพร่องของมนุษย์เรานี่เอง จิตสำนึกที่มุ่งแต่จะตักตวง กอบโกย เรียกร้องเอาจาก “โลก” โดยมิไยดีถึงการรักษา เยียวยาบาดแผลที่เราต่างร่วมสังฆกรรมขุดเจาะ ถอนรากถอนโคน ในทุกๆ ทรัพยากรอันมีค่าที่โลกมอบให้เพื่อนำมาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว

ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่เพื่อทุกสรรพชีวิต มิใช่ของใคร หรือของ “เผ่าพันธุ์ใด เผ่าพันธุ์หนึ่ง” แต่มนุษย์ก็เสนอหน้าขอรับสิทธิดังกล่าว โดยสิ่งมีชีวิตอื่นมิอาจคัดค้านต้านทาน


กระทั่งวันนี้ บทลงทัณฑ์เดินทางมาถึง ธรรมชาติกำลังเอ่ยปากเรียกร้องทวงสิทธิ์ให้ “มนุษย์” หันกลับมามองการกระทำอันเลวร้ายของตน ทำความเข้าใจ เพื่อหาหนทางรักษา เยียวยา


ปรากฏการณ์น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง, โรคระบาด, น้ำท่วมครั้งใหญ่, ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย, ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูง, ปะการังเกิดการฟอกขาว, สัตว์ป่าหลายชนิดสูญพันธุ์ รวมถึงปัญหาด้านระบบนิเวศน์อีกเกินจะนับที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในอาณาบริเวณนั้นๆ หากทว่า มันคือ “ผีเสื้อขยับปีก” ที่ส่งผลสะเทือนถึงทุกๆ วิถีชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้










ดังเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ใน "ชีพจรโลก ท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน" จาก NATIONAL GEOGRAPHIC หนังสือซึ่งรวบรวมภาพและข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้อย่างเจาะลึก นับแต่สภาพความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ เรื่อยไปถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเรากับธรรมชาติ ก่อนจะนำไปสู่ยุคสมัยที่โลกทั้งใบเชื่อมโยงถึงกัน


ภาวะวิกฤติที่ถูกเอ่ยถึง คล้ายจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงที่ว่า เราทุกคนล้วนถูกโยงใยไว้ด้วยกัน ทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกจึงย่อมได้รับผลจากการกระทำของเรา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่


ภาพความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ นับแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย แม้จะบอกกล่าวถึงข้อมูลอันน่าหวาดหวั่น แต่โลกใบนี้ก็กำลังรอคอยการแต้มสีลงไปอีกครั้งด้วยความหวังและการร่วมมือกันเยียวยาอย่างจริงจังจากเราทุกคน


ดังคำนิยมในเล่ม ที่ ดร. อ้อย กาญจนะวนิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว ฝากไว้ น่าจะกระตุกจิตสำนึกของคนในสังคมได้ไม่มากก็น้อย


“คนไทยโดย เฉพาะคนกรุงเทพฯ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกำหนดอนาคตโลก เพราะคนกรุงเทพฯ เรา ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ยต่อหัวต่อปีถึงคนละ 7.3 ตัน เท่าๆ กับชาวนิวยอร์ก (7.1 ตัน) และมากกว่าชาวลอนดอน ( 5.9 ตัน) กับชาวโตเกียว (5.7 ตัน) เมื่อพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะร้อยละ 50 มาจากการเผาน้ำมันไปกับการจราจรที่ขาดระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอ อีกร้อยละ 33 มาจากการใช้ไฟฟ้า ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งหมดไปกับเครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้าทั้งหลายที่เราใช้ส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ถ่านหิน และเขื่อน ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและชีวิตของคนชนบท


"พวกเขาต้องสูญเสียอาชีพ สูญเสียป่าริมน้ำซึ่งเป็นระบบนิเวศน์เฉพาะ สูญเสียพันธุ์ปลาที่ต้องเดินทางอพยพขึ้นลงลำน้ำเพื่อหากิน ผสมพันธุ์ และวางไข่ แลกกับการใช้ไฟฟ้าตามห้างสรรพสินค้าและตึกสำนักงานขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่ใช้ไฟกันเฉลี่ยรายละกว่า 15,000 เมกะวัตต์ชั่วโมง เทียบกับบ้านเรือนที่ใช้กัน เฉลี่ย 6 เมกะวัตต์ชั่วโมง


"เมื่อ 50 ปีก่อน ประเทศไทยมีพื้นที่ป่ามากกว่าร้อยละ 50 และประชากรเพียง 20 ล้านคน ในวันนี้ เราเหลือป่าน้อยกว่าร้อยละ 20 ขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 65 ล้านคน....










"แม้สถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกจะดูหดหู่ แต่มันเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ศักยภาพพลังสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างเต็มที่ เพราะเราไม่ใช่กาฝากเกาะกินโลกไปวันๆ ชีวิตเรามีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงผู้บริโภค เรารับสถานการณ์ท้าทายนี้ได้ แต่เราต้องทำกันทันที”


.................


สำคัญกว่านั้น ต้องเป็นการลงมือทำอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่เพียงป่าวประกาศผ่านงานอีเวนท์อลังการ, รณรงค์งดใช้ถุงพลาสติกแล้วผลิตถุงผ้าอย่างบ้าคลั่ง-ขณะที่ข้างในถุงผ้าก็ซ้อนถุงพลาสติกไว้อีกชั้นหนึ่ง,
จัดแคมเปญปิดไฟ 1 ชั่วโมง จากนั้น...ก็แล้วกันไป ปล่อยให้ห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์ใจกลางเมืองยังใช้ไฟฟ้ามหาศาลราวกับหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง


การกระทำเพียงเปลือกนอกเพื่อโหนกระแส ไม่ได้ช่วยให้โลกใบนี้ฟื้นขึ้นจากความป่วยไข้...


จิตสำนึกและการร่วมมือ-ลงมือทำอย่างจริงจังต่างหาก...
ที่จะช่วยชะลอกาลอวสานของโลก...ให้มาถึงช้าลง

...............

ตัวหนอนบนกองหนังสือ


-หมายเหตุ
ข้อมูลสถิติที่ยกมาไว้ข้างต้น รวมถึงภาพประกอบบทความ คือข้อมูลจากหนังสือ
"ชีพจรโลกท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน" เขียนโดย ทอมัส เฮย์เดน
แปลโดย ลลิตา ผลผลา



 

โดย: 023 IP: 118.174.104.115 30 มีนาคม 2551 21:53:53 น.  

 

//www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9510000037613
ซิลิกอนวัลเ์ลย์ไทยเกิดไม่ได้ถ้า..

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 มีนาคม 2551 00:57 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

เรืองโรจน์ "กระทิง" พูนผล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของกูเกิล (google)


ธนา เธียรอัจริยะ ซีอีโอดีแทค รับหน้าที่เป็นพิธีกรในงาน


กระทิงและหนังสือ บทเรียนธุรกิจร้อนๆจาก Silicon Valley




คนไทยในซิลิกอนวัลเลย์ของสหรัฐฯ สะท้อนปัญหาหลักที่ทำให้ความฝันในการสร้างซิลิกอนวัลเลย์ หรือเขตอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตในเมืองไทยยังห่างไกล ระบุคนไทยมีความสามารถแต่ยังขาดโอกาส ต่างจากซิลิกอนวัลเลย์ของจริงในสหรัฐฯที่มีเงินทุนรอคอยดาวดวงใหม่เสมอ ขณะที่การสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่ตรงจุด ทั้งเรื่องกฏหมายและการศึกษา

นายเรืองโรจน์ "กระทิง" พูนผล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของกูเกิล (google) เล่าถึงซิลิกอนวัลเลย์ในสหรัฐฯ (Silicon Valley) ในฐานะคนไทยที่ใช้ชีวิตในซิลิกอนวัลเลย์ เมืองพาโลอัลโต สหรัฐอเมริกา ระบุว่าองค์ประกอบที่ซิลิกอนวัลเลย์ในสหรัฐฯแตกต่างจากที่อื่นคือความพร้อมด้านคน ด้านเทคโนโลยี เงินทุน และความกล้าเสี่ยง และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ใครจะลอกเลียนแบบ

"ซิลิกอนวัลเลย์ไม่มีจุดกำเนิดที่ชัดเจน เกิดขึ้นเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว เป็นการยากมากที่ใครจะไปถอดแบบหรือเลียนแบบมา มันเหมือนระบบนิเวศที่ซับซ้อน เหมือนร่างกายมนุษย์ที่เราไม่สามารถสร้างอวัยวะขึ้นมาได้เอง แต่ต้องใช้เวลาในการเพาะบ่ม และมันไม่ใช่นิคมอุตสาหกรรมธรรมดา"

ถ้าไม่กล้าเสี่ยง

กระทิงมองว่าสิ่งที่ทำให้ซิลิกอนวัลเลย์ของสหรัฐฯต่างจากที่อื่นคือความกล้าเสี่ยง เจ้าของไอเดียมีความมุ่งมั่นกล้าเสี่ยง ขณะเดียวกันนักลงทุนผู้ให้โอกาสก็กล้าเสี่ยงด้วย เจ้าของความคิดสามารถนำโครงการไปเคาะประตูเสนอขอเงินทุนได้ทันที ขณะที่ผู้บริหารของบริษัทรายใหญ่อย่างอิริก ชมิดท์ ซีอีโอกูเกิล หรือเทอร์รี่ ซีเมล อดีตซีอีโอยาฮู ถึงกับสละเวลางานมาสอนนักศึกษาในโรงเรียนบริหารธุรกิจสแตนฟอร์ด เพื่อหาโอกาสลงทุนทางธุรกิจจากนักเรียนดาวรุ่ง

สำหรับการผลักดันให้ภูเก็ตกลายเป็นสวรรค์ไอซีทีเพื่อดึงดูดนักลงทุน กระทิงให้ความเห็นว่าประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานพร้อมแล้วทั้งคนไอทีและโครงข่ายเว็บไซต์เทคโนโลยี Web2.0 แต่สิ่งที่ยังขาดคือกฏหมาย และการสนับสนุนจากภาครัฐ

ถ้าไม่มีกฏหมาย

"มีคำพูดว่า การจะสร้างซิลิกอนวัลเลย์นั้นขอเพียงมือไอทีเก่งๆ 300 รายเท่านั้น เชื่อว่าไทยเรามีมือไอทีเก่งๆเกิน 300 ด้วยซ้ำ คนมีแล้วแต่มีกฏหมายรองรับรึเปล่า ตอนนี้ประเทศไทยมีเว็บไซต์ web2.0 เยอะ มีพื้นฐานแล้วแต่จะทำให้เป็นคอมเมอร์เชียลยังไงนี่คือความท้าทาย ยืนยันว่าประเทศไทยก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ไม่ตามหลังชาติอื่น แต่สาเหตุที่ทำให้คนทำเว็บไทยไม่รวย คืองบการตลาดออนไลน์ที่ยังน้อย และความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของระบบออนไลน์ไทย"

กระทิงเชื่อว่ากฏหมายและการสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่เพียงพอในขณะนี้ เช่นกฏหมายเรื่องสิทธิการใช้งานข้อมูลดิจิตอลของไทยที่ยังตามการเปลี่ยนแปลงในโลกไซเบอร์ยุค Web 2.0 ไม่ทัน ที่สำคัญ กฏหมายซึ่งครอบคลุมและมีประสิทธิภาพจะทำให้ระบบออนไลน์มีความปลอดภัยสูง

"ต้องให้โอกาส เพราะที่สหรัฐฯเองก็ยังครอบคลุมได้ไม่หมด" กระทิงกล่าว "ยุคนี้การปิดเว็บไม่ใช่ทางออก ถ้าเว็บถูกปิดผู้ใช้ก็ไปโพสต์ที่เว็บอื่นได้" เพราะ Web2.0 นั้นมอบอำนาจให้ผู้บริโภคทุกคนสามารถเผยแพร่คอนเทนท์ของตัวเองได้อย่างเสรี

ถ้าไม่มีการสนับสนุน

กระทิงยกตัวอย่างการสนับสนุนของรัฐบาลประเทศเวียดนามได้อย่างน่าสนใจ เล่าว่ารัฐบาลเวียดนามสนับสนุนด้านการศึกษาด้วยการเปิดให้ชาวเวียดนามเรียนภาษาอังกฤษฟรี สิ่งที่เกิดขึ้นคือชาวเวียดนามจำนวนมากมีทักษะภาษาที่ดีขึ้น ส่งให้โอกาสของชาวเวียดนามสดใสขึ้นด้วย

"อย่าให้อุปสรรค์เล็กๆอย่างภาษามาขวางการถ่ายทอดความคิดของเรา ผมเป็นคนจังหวัดกำแพงเพชรที่เรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานตอนปีหนึ่งแล้วได้เกรด c มา 2 ตัว แต่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองจนกระทั่งสอบ GMAT ได้คะแนน 750"

และถ้าไม่พึ่งตนเอง

แม้หลายเสียงจะตอกย้ำว่าอนาคตไอทีของไทยแลนด์แพ้เวียดนามอย่างไม่เห็นฝุ่น แต่กระทิงเชื่อว่าคนไทยทำได้หากเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน

"คนไทยถ้าแข่งตัวต่อตัวไม่แพ้เวียดนามหรือจีนหรอกครับ จงพึ่งตัวเราเอง อย่ามัวแต่พึ่งอัศวินม้าขาวมาช่วยเหลือ" กระทิงปลุกใจ "Web2.0 เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ได้จุดประกายให้คนไทยแล้ว ผมเชื่อว่าคนไทยไม่ได้อยู่ในระดับใดทั้งสิ้น คนไทยทำได้ ถึงเราตัวเล็กกว่าแต่เราก็ยกน้ำหนักชนะเค้า"

ชื่อตำแหน่งของกระทิงในกูเกิลคือ Quantitative/Product Marketing Manager หน้าที่หลักคือดูแลภาพรวมการทำตลาดผลิตภัณฑ์เสิร์ชเอนจิ้นในตลาดละตินอเมริกาและเอเชีย การกล่าวถึงซิลิกอนวัลเลย์ครั้งนี้เกิดขึ้นในงานเปิดตัวหนังสือ บทเรียนธุรกิจร้อนๆจาก Silicon Valley ซึ่งกระทิงเผยว่าใช้เวลานำรายงานที่เคยเขียนสมัยเรียนมาปรับเพิ่มข้อมูลใหม่เพียง 3 เดือน และการให้ความเห็นทั้งหมดสะท้อนออกมาในฐานะคนวงในที่เป็นคนไทย ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่ที่กระทิงมีในกูเกิล

กระทิงเป็นบุคคลที่น่าสนใจ ใครอยากรู้ว่าทำไมต้องชื่อกระทิง เส้นทางจากจังหวัดกำแพงเพชรสู่ซิลิกอนวัลเลย์จะขรุขระขนาดไหน ก่อนจะเข้าทำงานกับกูเกิลต้องสัมภาษณ์งานกี่รอบ สตีฟ จ็อบส์ที่กระทิงเคยพบมาดแมนเพียงใด และแนวคิดในการวางตัวแบบไทยๆให้ทำให้สามารถขึ้นเป็นผู้บริหารของกูเกิลด้วยวัยเพียง 30 ปีคืออะไร อดใจรอพบคำตอบในบทความตอนต่อไป







 

โดย: 024 IP: 118.174.104.115 30 มีนาคม 2551 22:11:48 น.  

 



//www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2F2008%2F03%2F29%2Fx_pol_k001_196248.php%3Fnews_id%3D196248
"สุรชัย ” ชี้เร็วเกินแก้รธน. เตรียมเสนอญัญติต่อที่ประชุมส.ว.ตั้งกมธ. ศึกษารธน.ไม่เจาะจงประเด็นใดประเด็นหนึ่ง


(29มีค.) นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.สร.) เปิดเผยว่า ตนและกลุ่ม ส.ว.บางส่วน ได้ร่างญัตติเพื่อเสนอต่อวุฒิสภา ในวันที่ 4 มิ.ย.เพื่อเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ขึ้นมาศึกษาผลการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งมี ส.ว.หลายคนร่วมลงชื่อแล้ว เพราะเห็นว่าเป็นประเด็นที่พูดกันมากในสังคมขณะนี้ ดังนั้นวุฒิสภาที่ถือเป็นหนึ่งในสถาบันนิติบัญญัติ ควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้ต่อสังคม

โดยจะต้องมีการศึกษารัฐธรรมนูญทั้งระบบ เพราะขณะนี้ยังไม่มีใครพูดกันชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ไปมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร ในส่วนของ ส.ส.ที่จะพิจารณาเรื่องนี้ก็ทำไป แต่ ส.ว.ซึ่งเป็นองค์กรที่จะต้องเป็นกลาง และเป็นองค์กรตรวจสอบ ก็ทำคู่ขนานกันไป หากผลการศึกษาออกมาสรุปออกมาตรงกัน ก็ถือเป็นมติของสังคม ก็ดำเนินการแก้ไขกันไป แต่หากผลออกมาต่างกันก็ต้องมาดูกันอีกครั้ง ซึ่งอาจจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกัน 2 สภา เพื่อพิจารณาประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกัน

เมื่อถามว่า ประเด็นของรัฐธรรมนูญที่ ส.ว.จะพิจารณาศึกษา ตรงกับประเด็น หรือมาตราที่กำลังถกเถียงกันอยู่หรือไม่ นายสุรชัย กล่าวว่า เราคงไม่เจาะเป็นรายประเด็น คงต้องให้คณะกรรมาธิการพิจารณาว่า จะเจาะลึกมากน้อยแค่ไหน แต่ความเห็นส่วนตัวเห็นว่า จะต้องมองภาพทั้งระบบ เพราะถือว่าเร็วเกินไปที่จะแก้รัฐธรรมนูญในขณะนี้ เพราะรัฐธรรมนูญประกาศใช้ได้ไม่ถึงครึ่งปี ส่วนการออกไปรับฟังความคิดเห็นประชาชน ไม่แน่ใจว่าจะมีงบประมาณเพียงพอหรือไม่ แต่อาจใช้วิธีการพิจารณาศึกษาแล้วเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนและเปิดตู้ ปณ.ให้ประชาชนแสดงความเห็นผ่านทางตู้ ปณ.มาให้วุฒิสภา เพื่อพิจารณาสรุปให้รัฐบาล

 

โดย: 025 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 10:01:17 น.  

 

//www. thairath.com
นักข่าวทุ่งสังหารลาโลก ดิธปรานเหยี่ยวข่าวเขมร [31 มี.ค. 51 - 04:30]

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (31 มี.ค.) อ้าง นายซิดนีย์ ชานเบิร์ก ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส เพื่อนสนิท ของ นายดิธ ปราน ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชา ผู้ตั้งชื่อการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาของเขมรแดง ว่า “"ทุ่งสังหาร" จนโด่งดังไปทั่วโลก เปิดเผยว่า นายดิธ ปราน เสียชีวิตแล้วจากโรคมะเร็งตับอ่อน ที่โรงพยาบาลในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา วานนี้ ด้วยวัย 65 ปี



รายงานระบุว่า นายดิธ ปราน และ นายชานเบิร์ก เดินทางไปยังกัมพูชา เมื่อปี 2518 เพื่อรายงานข่าวการโค่นล้มรัฐบาลกัมพูชาของกลุ่มเขมรแดง และได้พบกับเหตุการณ์ที่กองกำลังเขมรแดงสังหารชาวกัมพูชานับล้านๆ คน ทำให้ นายดิธ ปราน ตั้งชื่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ว่า "ทุ่งสังหาร" ต่อมา นายดิธ ปรานถูกจับกุมและถูกทรมานนานกว่า 4 ปี ก่อนหลบหนีไปยังประเทศไทยได้



นายชานเบิร์ก กล่าวยกย่อง นายดิธ ปรานว่า มีวิญญาณของความเป็นผู้สื่อข่าว ที่ต่อสู้เพื่อเปิดเผยความจริงให้โลกได้รับรู้ สำหรับเรื่องราวของ นายดิธ ปราน ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง "ทุ่งสังหาร" ในปี 2528 และทำให้ นายเฮง เอส งอร์ นักแสดงชาวกัมพูชาที่รับบทปราน ได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมด้วย


 

โดย: 026 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 10:10:34 น.  

 

ลามกโผล่ซํ้า'ไฮไฟว์' [31 มี.ค. 51 - 03:09]

เพิ่งตกเป็นข่าวฉาวไปไม่นาน สำหรับเว็บไซต์ไฮไฟว์ดอทคอม ที่ถูกกลุ่มเครือข่ายเฝ้าระวังร้องเรียนว่าพบพระเข้าไปโพสต์รูปและใช้วาจาไม่เหมาะกับการเป็นสมณเพศในการติดต่อกับเพื่อนต่างเพศในเว็บไซต์ดังกล่าว และยังกลายเป็นช่องทางล่อลวงเด็กหญิงไปในทางมิชอบ ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มี.ค. น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนอีกจากกลุ่มสมาชิกเว็บไซต์ ไฮไฟว์ ดอทคอม และเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ว่ามีพระสงฆ์ เข้ามาเล่นไฮไฟว์ เมื่อตรวจสอบปรากฏว่ามีการโพสต์รูปของพระสงฆ์ไว้จริง ดังนั้น เครือข่ายจึงได้ตรวจสอบในกลุ่มเพื่อนของพระ พบว่ามีผู้หญิงเข้ามาเป็นเพื่อน ซึ่งที่น่าตกใจอย่างยิ่ง เมื่อพบว่าในกลุ่มเพื่อนของผู้หญิง มีบางคนถอดเสื้อโชว์ท่อนบน และภาพผู้ชายมีกล้ามกำลังมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบของภาพสไลด์ บนเว็บไซต์ ที่มีการดาวน์โหลดมาจากเว็บไซต์หนึ่งที่มีภาพลามกอนาจาร ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมเข้าไปตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติมในไฮไฟว์ พบว่ามีการพูดถึงการสวิงกิ้ง หรือการร่วมเพศร่วมกันหลายคน โดยหากค้นข้อมูลคำว่า สวิงกิ้ง ก็จะมีภาพการ ร่วมเพศขึ้นปรากฏให้เห็น ที่สำคัญยังมีการตั้งเป็นกลุ่มสมาชิกด้วย อาทิ Swinging Lover, RAYMOND-GUY-GROUP, thailandswing

ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจสอบข้อมูลภายในกลุ่มดังกล่าว พบว่ามีจำนวนสมาชิกมากกว่า 1,000 คน และส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนไทย โดยกลุ่มสมาชิกได้มีการเขียนข้อมูลในกระทู้ที่ขอมีสัมพันธ์ทางเพศด้วย เช่น ใครที่มีใจรักสวิงไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เดี่ยว หรือคู่ เข้ามาทำความรู้จักกันครับ ทำความรู้จักกันแบบจริงใจจริงๆนะครับ, อยากมีเซ็กซ์, ขอลองสวิงสักครั้งเถอะ ขอแบบชาย 3-4 คนอ่ะ แต่ผู้หญิงคนเดียว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบว่าสมาชิกบางกลุ่มนิยมนำภาพหวิว การร่วมเพศ โชว์อวัยวะเพศ โชว์หน้าอก มาโพสต์ไว้ รวมทั้งคลิปวีดิโอของสมาชิกบางคนยังสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ลามกอนาจารได้อีกด้วย

“ขณะนี้ได้ประสานกับตำรวจสืบสวนสอบสวนด้านไอซีที เพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ทราบ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงออกที่อนาจารโจ๋งครึ่ม และต้องตามจับผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะการกระทำดังกล่าวได้กระทำโดยเจตนา ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 287 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และจะต้องทำหนังสือถึงเจ้าของเว็บไฮไฟว์ให้ช่วยบล็อกกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างจริงจัง ขณะที่ วธ.จะประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองช่วยกันดูแลบุตรหลาน และให้สมาชิกไฮไฟว์ช่วยกันดูแลกันเอง รวมทั้งจะต้องให้ความรู้ประชาชน เด็กและเยาวชนเกี่ยวกับเนื้อหาของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้วย” ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังฯกล่าว

น.ส.ลัดดากล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลสถิติของไฮไฟว์ พบว่า สมาชิกส่วนใหญ่จะมีอายุตั้งแต่ 8 ปีขึ้นไป โดยประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศที่นิยมเล่นไฮไฟว์ และใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม โดยนำไปโพสต์รูปลามกอนาจาร อย่างไรก็ตาม ตนขอให้สมาชิกไฮไฟว์ใช้ โปรแกรมดังกล่าวอย่างเหมาะสม เพราะถ้าใช้ในทางที่ ไม่ดี จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย เบื้องต้น วธ.จะต้องประสานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตลอดจนร่วมกันจัดทำหลักสูตรการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม สร้างภูมิ คุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชนด้วย โดยในสัปดาห์นี้จะทำหนังสือแจ้งปัญหาดังกล่าวไปยังเจ้าของเว็บไซต์ไฮไฟว์ เพื่อระงับการเล่นของบุคคลที่กระทำอนาจารบนเว็บไซต์ ไฮไฟว์ รวมถึงกระตุ้นสังคมให้สมาชิกไฮไฟว์ร่วมกันขับไล่บุคคลที่นำเสนอสิ่งลามกอนาจารออกจากการเป็นสมาชิกด้วย

//www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fthairath.com%2Foffline.php%3Fsection%3Dhotnews%26content%3D84355

 

โดย: 027 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 10:17:54 น.  

 

// //www.manager.co.th
ชายรักชายบุกแพทยสภา กดดัน “ยุติผ่าตัดไข่เด็ก”

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 มีนาคม 2551 16:40 น.











กลุ่มชายรักชายบุกแพทยสภา กดดันให้มีคำสั่งยุติการผ่าตัดไข่เด็กกะเทย เกรงผ่าตัดไม่ดี แผลเน่า นอนป่วยเป็นเกย์พิการ พร้อมหารือวัยที่เหมาะสมในการแปลงเพศ เสนอควรบรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น

เมื่อเวลา 13.45 น.วันนี้ (27 มี.ค.) องค์กรเครือข่ายอัตลักษณ์ทางเพศ นำโดยนายนที ธีระโรจนพงษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มเกย์การเมืองไทย เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนกับแพทยสภา เพื่อให้ยับยั้งและตรวจสอบการดำเนินการของผู้ประกอบวิชาชีพที่ผ่าตัดลูกอัณฑะให้แก่เด็กชายรักชาย

นายนที กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้แพทยสภามีคำสั่งประกาศ หรือยุติการผ่าตัดลูกอัณฑะโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหากต้องรอต่อไป ไม่รู้ว่าจะมีลูกอัณฑะที่ถูกตัดไปอีกกี่ฟอง รวมถึงต้องการให้แพทยสภาเชิญองค์กรเครือข่ายฯ มาร่วมให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าว อยากมีส่วนร่วมว่าอายุเท่าใดจึงเหมาะสมในการผ่าตัดแปลงเพศ เนื่องจากองค์กรฯไม่ได้ต่อต้านเรื่องการแปลงเพศ แต่อยากให้ถึงในวัยที่สมควรบรรลุนิติภาวะแล้ว และอยากเรียกร้องให้แพทยสภาจัดเสวนาระหว่างจิตแพทย์ กลุ่มชายรักชายว่าเข้าใจในตัวตนกลุ่มชายรักชาย เกย์ ตุ๊ด กะเทยอย่างไร และหากเป็นจะต้องแปลงเพศจริงๆ หรือไม่

“เราไม่เห็นด้วยในการผ่าตัดลูกอัณฑะแต่ก็ต้องรอให้เด็กบรรลุนิติภาวะก่อน ผู้ปกครองทั้งหลายต่างก็กังวลเรื่องนี้ แต่เรื่องการแปลงเพศอาจไม่กังวลเท่านี้ และยิ่งสมมติว่าถ้าเป็นแพทย์เถื่อนอาจคิดราคาถูกลงเหลือ 3.5 พันบาท และเกิดแผลผ่าตัดไม่ดี เกิดอาการเน่า จนหลายรายป่วยนอนซมไม่กล้าบอกผู้ปกครอง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การหวั่นเด็กกลายเป็นคนพิการ เป็นเกย์ที่ไม่มีลูกอัณฑะ ไม่อยากพูดว่ารัฐบาลละเลย แต่ก็เป็นความจริงที่หน่วยงานของรัฐไม่ให้ความใส่ใจ” นายนที กล่าว

นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ในการตั้งคณะอนุกรรมการร่างข้อบังคับแพทยสภาด้วยหลักเกณฑ์การทำศัลยกรรมแปลงเพศ พ.ศ.... โดยมี นพ.สมศักดิ์ โล่เลขา นายกแพทยสภาเป็นประธาน และมีตัวแทนจากผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย สมาคมศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะแห่งประเทศไทย สมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย ฯลฯ จะเชิญนายนทีและองค์กรเครือข่ายฯมาให้ข้อมูลถึงสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ดำเนินการผ่าตัดดังกล่าว เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการจริยธรรม เพื่อสอบสวนด้านจรรยาบรรณวิชาชีพต่อไป

“กรณีผ่าตัดลูกอัณฑะในเด็กที่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ถือว่าเข้าข่ายความผิดอย่างแน่นอน และแม้ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองแล้วก็ตาม ก็ถือว่าหมิ่นเหม่ต่อการผิดจรรยาบรรณวิชาชีพอยู่ดี ทั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ทารุณกับเด็กมากๆ เพราะโดยปกติจะไม่ผ่าตัดให้กับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก่อน อย่างไรก็ตาม การรักษาพยาบาลแพทย์ต้องยึดประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดประโยชน์ของแพทย์” นพ.อำนาจ กล่าว

นพ.อำนาจ กล่าวว่า การตัดลูกอัณฑะทิ้ง ซึ่งเป็นแหล่งการผลิตฮอร์โมนเพศชาย ไม่เพียงแต่จะให้ฮอร์โมนเพศชายในร่างกายลดลงแล้ว จะเกิดผลกระทบกับร่างกาย โดยคนนั้นจะต้องทานฮอร์โมนเพศหญิงด้วย หากไม่ทาน ร่างกายจะขาดฮอร์โมนเพศทั้งชายและหญิงจะเกิดผลกระทบกับร่างกาย ซึ่งการที่เด็กในวัยรุ่นมีอาการเช่นนี้ย่อมส่งผลระทบกับสุขภาพ ซึ่งแพทยสภาจะต้องพิทักษ์สุขภาพของประชาชน

น้องแอล (นามสมมติ) อายุ 18 ปี สาวประเภทสอง กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ทานยาคุมกำเนิดชนิดหนึ่ง โดยทานสัปดาห์ละครึ่งเม็ด ซึ่งทานมาได้ 2 ปีแล้ว ทำให้มีหน้าอกและผิวพรรณมีน้ำมีนวลขึ้นเหมือนผู้หญิง แม้ว่าเพื่อนจะชวนไปผ่าตัดลูกอัณฑะทิ้งเช่นกันแต่ก็ไม่กล้า เสียว กลัว คิดว่าจะรอไปผ่าตัดแปลงเพศครั้งเดียว ซึ่งมารดาก็อนุญาตและสนับสนุน พร้อมทั้งจะส่งไปประกวดด้วย

“ปัจจุบันนี้ก็ดีมีความสุขกับเพื่อนๆ และไม่คิดจะไปผ่าตัดลูกอัณฑะเพราะกลัว เป็นอย่างนี้ ก็มั่นใจ และเป็นความชอบแบบนี้มากกว่า ตัดลูกอัณฑะไม่เหมือนกับผ่าตัดอวัยวะเพศ ถ้าจะต้องทำหลายครั้งก็ผ่าตัดแปลงเพศครั้งเดียวไปเลยดีกว่า” น้องแอล กล่าว

ด้าน มารดาของน้องแอล กล่าวว่า น้องแอลเป็นเด็กดีเรียบร้อย ทราบว่าเขาเป็นเช่นนี้ก็ไม่ว่าอะไร ส่วนเรื่องการผ่าตัดแปลงเพศก็อยากให้โตกว่านี้ค่อยผ่าตัด แม่ก็ไม่ว่าอะไร เข้าใจว่าลูกเป็นเช่นนี้






 

โดย: 028 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 10:47:55 น.  

 

//thairath.com/news.php?section=education&content=84371
จุฬาฯเปิดศูนย์การเรียนรู้ครบวงจร [31 มี.ค. 51 - 04:02]

ศ.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวภายหลังพิธีเปิดอาคารจามจุรี 9 ว่า จุฬาฯเห็นความสำคัญของนิสิตที่ต้องการมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกัน ซึ่งในช่วงใกล้สอบนิสิตที่ต้องการอ่านหนังสือกับเพื่อนในตอนกลางคืน ก็อาจไม่ปลอดภัย ทำให้นิสิตจำนวนมากต้องไปพึ่งอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ เพื่อค้นข้อมูลและเป็นช่องทางสื่อสารระหว่างกัน ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยจึงจัดสร้างอาคารจามจุรี 9 ซึ่งเป็นอาคาร 6 ชั้น เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกในเมืองไทย หรือ Education Town ที่สามารถรองรับนิสิตจุฬาฯได้กว่า 2,500 คน โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 400 ล้านบาท สำหรับภายในอาคาร ประกอบด้วย ห้องอ่านหนังสือ ห้องทำงาน ร้านขายอาหาร และเครื่องดื่ม อีกทั้งยังมีธนาคารและที่ทำการไปรษณีย์ให้บริการ โดยนิสิต นักศึกษา สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ในพื้นที่ชั้น 3-6 และชั้น 4 มีศูนย์บริการสารสนเทศให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง คาดว่าในช่วงเปิดภาคการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2551 จะมีนิสิตให้ความสนใจจำนวนมาก.







 

โดย: 029 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 10:54:13 น.  

 

//thairath.com/news.php?section=international&content=84373
“คุยสู้โลกร้อน” ของยูเอ็นเปิดฉาก-คาดผลน้อยนิด [31 มี.ค. 51 - 04:13]

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 30 มี.ค. ผู้แทนจากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ร่วมประชุมว่าด้วยสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติเป็นเวลา 5 วัน ที่กรุงเทพฯ เริ่มวันจันทร์ (31 มี.ค.) โดยมี “กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (UNFCCC) เป็นหัวเรือใหญ่ เพื่อหาแนวทางร่วมให้ได้ ข้อตกลงลดภาวะโลกร้อนฉบับใหม่แทนพิธีสารเกียวโตที่จะหมดวาระในปี 2555

การประชุมที่กรุงเทพฯเป็นการต่อยอดการหารือที่เกาะบาหลีในอินโดนีเซียเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งเกือบล่มไม่เป็นท่า เมื่อหลายชาติต่างกล่าวหากันและกัน เป็นฝ่ายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่า ขัดแย้งใครจะเป็นผู้รับผิดชอบที่แท้จริง หรือใครระหว่างชาติร่ำรวยกับยากจน สมควรตั้งเป้าลดภาวะโลกร้อนแบบมีข้อผูกมัด จนในที่ประชุมกำหนดเส้นตายให้สมาชิกมีข้อสรุปเรื่องนี้ภายในปี 2552

ด้านนายอีโว เดอ บัวร์ ประธาน UNFCCC กล่าวว่า เขาไม่คาดหวังว่าจะได้อะไรคืบหน้าในที่ประชุมครั้งนี้มากนัก สิ่งที่สมาชิกต้องทำคือ เห็นชอบกรอบการทำงานและสิ่งที่จะถูกนำมาถกกัน เพื่อจะได้ทราบร่วมกันว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายทันกำหนดเส้นตายในอีกปีครึ่งข้างหน้า ก่อนเรียกร้องให้สมาชิกใส่ใจเฉพาะเรื่องสำคัญที่อยู่บนโต๊ะประชุม เมินรายละเอียดที่เกือบล้มโต๊ะประชุมที่บาหลีมาแล้ว

เวทีหารือของ UNFCCC ที่บาหลี สหภาพยุโรปหรืออียู และกลุ่มชาติกำลังพัฒนา ต้องการให้ชาติร่ำรวยกำหนดเป้าลดก๊าซทำโลกร้อนแบบมีข้อผูกมัดคือปรับลดให้ได้ 25-40% ภายในปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าระดับที่ตกลงกันไว้ในปี 2533 โดยหลังที่ประชุมคลอด “บาหลี โรดแมป” ออกมา โดยไร้เป้าหมายชัดเจนตามการกดดันของสหรัฐฯ ทำให้ผู้แทนสหรัฐฯถูกโห่ในช่วงท้ายก่อนปิดประชุม

ด้านนักเคลื่อนไหวหลายคนระบุ สหรัฐฯอาจเปลี่ยนท่าทีคือ ปฏิเสธพิธีสารเกียวโตอ้างกระทบเศรษฐกิจประเทศ ตั้งแง่เสือเศรษฐกิจใหม่อย่างจีนกับอินเดียกลับไม่ถูกบังคับด้วย หันมาสนับสนุน เพราะต้องการให้ถูกมองว่ามีความสร้างสรรค์บ้างเหมือนกันก่อนนายจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ผู้นำสหรัฐฯ หมดวาระ นักเคลื่อนไหวยังเห็นว่าคงไม่มีใครคาดหวังมากนักจากที่ประชุมครั้งนี้ เพราะทุกประเทศที่เข้าร่วมต่างมาเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวเอง ขณะที่ตัวแทนกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) องค์กรอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เจ้าตำรับรณรงค์ดับไฟลดภาวะโลกร้อน หรือ “เอิร์ธ อาวร์” แถลงการรณรงค์เมื่อวันเสาร์ สำเร็จลุล่วงด้วยดี มีผู้ร่วมทั่วโลกหลายสิบล้านคน แสดงให้เห็นว่ามีผลตอบรับทั่วโลกดีมาก อันจะส่งผลดีต่อการรณรงค์ในอนาคต.


 

โดย: 030 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 10:56:57 น.  

 

//www.tjanews.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=3349&Itemid=47


หน้าแรก
ข่าวอิศรา
ข้อมูลพื้นฐาน
ห้องสมุดภาำพ
ห้องเรียนสันติวิธี
ค้นข้อมูลเก่า
จดหมายถึงอิศรา
จำนวนผู้เข้าชมบทความ
หน้าแรก ข่าวอิศรา การเมือง เสวนา"การเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปฎิปักษ์ประชาธิปไตย"
เสวนา"การเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปฎิปักษ์ประชาธิปไตย"
วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2008 12:20น.
ม.เที่ยงคืนจวกรธน.ปี 50 เป็นฉบับอุบาทวาธิปไตย จี้รัฐแก้ทั้งฉบับ เชื่อแก้หนีบางมาตราย่อมเกิดการเผชิญหน้า แขวะมีการแก้เพื่อแลกผลประโยชน์สองกลุ่ม ใช้ม. 309 เป็นตัวล่อ ส่วนปชช.ตกเป็นเหยื่อ

ที่สมาคมนักข่าวฯ ได้มีการจัดเสวนา การเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปฎิปักษ์ประชาธิปไตย จัดโดยมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสมชาย ปรีชาศิลปะกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายไพสิฐ พาณิชย์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนายชำนาญ จันทร์เรือง อาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน


นายสมเกียรติ ตั้งนะโม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวว่า การเสวนาเรื่องนี้เนื่องจากมีการนำเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและบรรยากาศทาง การเมืองเป็นแบบอำเภอใจพอสมควร อย่างกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯพูดกับนักข่าวว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา โดยไม่ต้องถามฝ่ายค้านและจะไม่ทำประชามติ แบบนี้จะทำให้กลับไปสู่การเมืองเผด็จการรัฐสภาอีกครั้ง ดังนั้นเราขอเสนอให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เนื่องจาก 1.จากเหตุการณ์19 ก.ย. 49เราได้ 30 อรหันต์มาร่างรัฐธรรมนูญ ภายใต้บรรยากาศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย 2.รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นขวาพิฆาตขวาคนข้างบนเล่นคนข้างบนให้ประชาชนเป็น เหยื่อไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น และ3.รัฐธรรมนูญที่ออกมาเป็นฉบับอุบาทวาธิปไตย แปลว่าอำนาจทางการเมือง 3 ส่วนก้าวก่าย ทับซ้อน มันไม่คานดุลกัน ดังนั้นแบบนี้เราไม่เอาทั้งสิ้น

นายเกษียร กล่าวว่า แนวโน้มทางการเมืองไทย 4-5 ปีข้างหน้าจะมีเหตุการณ์ทะเลาะกันหลายเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องระบอบการเมืองการปกครอง คือระบอบประชาธิปไตยไม่เสรีและระบอบเสรีไม่ประชาธิปไตย แม้ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยแต่ในแง่ระบอบนิติธรรมกลับไม่เสรี เป็นรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ประชาชนอยากย้อนกลับไปสู่ระบอบทักษิณ ซึ่งคู่ชกของเขาคือระบอบเสรีแต่ไม่เป็นประชาธิปไตย อย่างพวกคมช. คือปฏิเสธความเสมอภาคของประชาชน จึงให้คนจำนวนหนึ่งมาร่างรัฐธรรมนูญ ให้คนจำนวนหนึ่งมาปกครอง แล้วบอกตัวเองอยากแก้เรื่องเสรีภาพ หลักนิติธรรม เป็นระบอบที่อ้างเสรีแต่ประชาธิปไตยไม่ให้ ทำให้พรรคการเมืองถูกจำกัดและทำให้อ่อนแอลง นอกจากนี้การเมืองไทยจะเกิดการเผชิญหน้าระหว่างเครือข่ายอำนาจราชการที่มี อยู่ในกลุ่มบุคคลที่ถูกเรียกว่าผู้มีอำนาจนอกระบบ และเครือข่ายทักษิณ ซึ่งก็ยังมีการต่อสู้กันระหว่าง 2 กลุ่ม และใช้ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพประชาชนเป็นเดิมพัน

นายเกษียร กล่าวต่อว่า หากดูรายละเอียดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการแก้ไขเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับการเมืองภาคตัวแทนไม่ได้ให้ประโยชน์ อะไรกับการเมืองภาคประชาชน แก้ให้นักการเมืองได้อำนาจแต่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย กลับสู่กรอบเก่า แล้วมีการนำอำนาจประชาชนไปแลกเปลี่ยกัน เอาสิทธิเสรีภาพของเราไปแลก จะเห็นได้ว่ามีการเอารัฐธรรมนูญ มาตรา309 ไปแลกไม่ให้มีการแก้ไข ทั้งที่มาตราดังกล่าวละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และจริงแล้วก็มีกฎหมายอื่นที่ควรแก้มากกว่านี้อย่าง พ.ร.บ.ความมั่นคง จะเห็นว่ากระบวนการแก้รัฐธรรมนูญก็จะทำโดยเร่งรัดโดยเร็ว โดยออกมาบอกว่าไม่อยากรบกวนประชาชน ดังนั้นเห็นได้ชัดว่า ประชาชนกลายเป็นเบี้ยให้คุณแลกอีกแล้ว สิ่งที่ตนวิตกคือแก้แบบนี้ประชาชนจะลงเอยแบบซวย 2 ต่อ คือได้ระบบประชาธิปไตยครึ่งใบแบบไม่เสรี ดังนั้นต้องให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไข ไม่ใช้เอาอำนาจประชาชนไปต่อรอง ไม่ใช่แบบ 2 เครือข่ายนึกอยากทำอะไรก็ ทำ

ด้านนายสมชาย กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองจะเกิดปฏิปักษ์ของ 2 ฝ่ายซึ่งอยู่รวมกันไม่ได้ คือกลุ่มหนึ่งมุ่งสนับสนุนอมาตยาธิปไตยใหม่ คือระบอบรัฐสภาที่มีอยู่แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมเทวดาอีกกลุ่มหนึ่ง ที่อยู่ในรูปองค์กรอิสระที่เข้ามาควบคุม คือประชาชนไม่ได้มีอำนาจ แต่มีกลุ่มคนที่มีอำนาจอีกกลุ่มหนึ่งคอยควบคุมนักการเมือง บทบาทที่เราเห็นคือพิทักษ์รัฐธรรมนูญ 2550 และกลุ่มที่ 2 พวกที่มาจากพรรคการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะสร้างช่วงชิงอำนาจทาง การเมืองให้เกิดขึ้น เห็นได้ว่ามาตราที่พรรคพลังประชาชนเสนอแก้ไขเพื่อให้อำนาจนักการเมืองเพิ่ม สูงขึ้น ให้นักการเมืองอยู่ภายใต้การเลือกตั้ง ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มจะเป็นภาพการเมืองไทยต่อไป

นายสมชาย กล่าวต่อว่ารัฐธรรมนูญไทย 2550 มีลักษณะเด่น 3 ด้าน คือมาจากและปกป้องรัฐประหาร ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลง และทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าระบอบอมาตยาธิปไตยที่ไร้การตรวจสอบ อำนาจอันนี้ปราศจากการตรวจสอบ กำกับไม่มีบทบัญญัติไหนที่บอกว่าหากเลือกมาผิดพลาดผู้เลือกเข้ามาต้องรับผิด ชอบอย่างไร ซึ่งตรงนี้ต้องระวัง จึงเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ยืนอยู่กับระบอบอมาตยาธิปไตยใหม่ ตั่งแต่เกิดขึ้นเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่สมานฉันท์ เป็นการปิดประตูตีแมว ไม่เหมาะกับสังคมไทยต่อไป ซึ่งอนาคตหากไม่แก้รัฐธรรมนูญเราจะมีระบบรัฐสภาที่มีพรรคการเมืองหน่อมแน่ม เพราะพรรคการเมืองพร้อมที่จะถูกยุบได้ทุกเมื่อ พรรคการเมืองมีพลังในการต่อรองน้อย หลักนิติธรรมจะถูกทำลายต่อไป เพราะการทำรัฐประหารได้ถูกรับรองในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในมาตรา 309 แต่ หากมีความพยายามจะแก้อย่างแนวทางที่พรรคพลังประชาชนทำอยู่คือทำให้มีแนวโน้ม ในการเผชิญหน้ามากขึ้นระหว่างกลุ่มพันธมิตรรากหญ้าและกลุ่มพันธมิตรที่มีผู้ นำเป็นคนชนชั้นกลาง และจะทำให้การเผชิญหน้าและการปฏิปักษ์อาจเกิดขึ้น หรือไม่ก็อาจเกิดการแลกผลประโยชน์เกิดขึ้น อาจยอมให้แก้ไขเรื่องอำนาจทางการเมือง แต่ไม่มีการแก้ไขในมาตรา 309

นายไพสิฐ กล่าวว่า เมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 มีตัวปัญหาเยอะ แต่รัฐธรรมนูญปี 50 เป็นการตัดตีนให้เท่ากับเกือกมากกว่า แต่รัฐธรรมนูญที่ย้อนยุคระบบราชการไป 20 ปีก็ทำให้เกิดระบบราชการที่พยายามวิ่งหาอำนาจ ทำให้กลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่เติบโตมาต้องหยุดชะงัก และจะเกิดการปะทะกัน หากปล่อยไประบบราชการจะใช้อำนาจรุกรานคนที่อ่อนแอคือคนจน ซึ่งจะทำให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้น และนำไปสู่เดตล๊อคทางการเมือง ส่วนทางออกไม่ใช่ทำเพียงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างที่พรรคพลังประชาชนทำ แต่อยากให้มองไกลๆว่าหากให้ผ่านพ้นไปต้องสถาปนาความคิดทางการเมืองใหม่ ว่าเป้าแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่แก้ไขอย่างเดียวแต่เราต้องพัฒนาด้านอื่นๆด้วย

ผู้ สื่อข่าวรายงานหลังการเสวนา นายสมเกียรติ ได้อ่านแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเรื่อง การไปให้พ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับปฏิปักษ์ประชาธิปไตยว่าแม้ว่ามีความคาดหวังจาก บางฝ่ายว่าการลงประชามติรับรัฐธรรมนูญปี 2550 และการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อ ธ.ค.ที่ผ่านมาจะทำให้สังคมไทยสามารถหวนกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคง แต่ปรากฎว่าความคาดหวังดังกล่าวได้ล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งความล้มเหลวนี้เป็นที่คาดหมายกันมาล่วงหน้าแล้ว และรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นสาเหตะสำคัญของความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทย เนื่องจากโครงสร้างและเจตนารมณ์ทางการเมืองที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญมีปัญหาความ ชอบธรรมอย่างมาก และขณะนี้ก็มีอีกด้านหนึ่งที่พยายามผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเกิด คำถามว่าจะทำเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคพวกหรือไม่ โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของสังคมเป็นที่ตั้ง ดังนั้นหากเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางมาตรา ก็จะเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองบางกลุ่มเท่านั้น และความขัดแย้งก็จะขยายตัวสู่การเผชิญหน้ามากขึ้น ดังนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่อยากที่จะหลีกเลี่ยงที่จะต้องมีการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้ให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบรัฐสภาและพรรคการเมืองมีความอ่อนแอในระยะ ยาว โดยให้เหล่าอำมาตย์จากระบบราชการเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีความเห็นว่าแนวทางในการจะก้าวให้พ้นไปจากรัฐธรรมนูย ปี 2550 อย่างสันติ คือ 1. การแก้รัฐธรรมนูญจะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ที่มา เจตนารมณ์และโครงสร้าง ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพียงมาตรา หากต้องมีการแก้ไขเพื่อให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นทั้งฉบับ โดยนำเอาแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 มาเป็นต้นแบบในเชิงกระบวนการ 2. การจะทำให้เกิดรัฐธรรมนูญซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายจะเกิดขึ้นได้ จากกระบวนการมีส่วนร่วมที่กว้างขวาง ด้วยการทำประชาพิจารณ์อย่างแท้จริงว่าจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ เกิดขึ้นจากฉันทามติของสังคมไทยและเป็นฐานความชอบธรรมที่ทำให้รัฐธรรมนูญ ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง



 

โดย: 031 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 11:03:38 น.  

 

//www.tjanews.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=3350&Itemid=47
แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไปให้พ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับปฏิปักษ์ประชาธิปไตย
วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2008 12:52น.
แม้มีความคาดหวังของบางฝ่ายว่าการลงประชามติรับรัฐธรรมนูญ 2550 และการเลือกตั้งเมื่อ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมา จะทำให้สังคมการเมืองไทยสามารถหวนกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมั่นคง แต่ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าความคาดหวังดังกล่าวล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
ความล้มเหลวนี้เป็นที่คาดหมายกันมาก่อนล่วงหน้า รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทย เนื่องจากทั้งที่มา เจตนารมณ์และโครงสร้างทางการเมืองที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญมีปัญหาความชอบธรรมอย่างมาก ความพยายามสถาปนาระบอบรัฐสภา ภายใต้อำมาตยาธิปไตยที่ไร้ความรับผิดชอบต่อประชาชน เป็นระบอบที่ยากจะดำรงอยู่ในสังคมประชาธิปไตย
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความพยายามผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ทำให้เกิดคำถามว่าจะเป็นไปเพียงเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคพวกหรือไม่ โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของสังคมเป็นที่ตั้ง ดังจะเห็นได้จากการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางมาตรา ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองบางกลุ่มเท่านั้น แม้พรรคการเมืองจะมีความสำคัญต่อระบบรัฐสภา แต่ประสบการณ์ของสังคมการเมืองไทยในยุคของพรรคไทยรักไทย ก็เป็นบทเรียนที่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของระบอบประชาธิปไตย แบบผู้เทนที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเช่นเดียวกัน

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปสู่การเผชิญหน้าได้อีกครั้งหนึ่ง
คำถามสำคัญที่สังคมไทยต้องร่วมกันขบคิดก็คือว่าจะก้าวไปให้พ้นจากสภาวะของความขัดแย้ง และสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ซึ่งการรัฐประหารและอำนาจนอกระบบย่อมมิใช่คำตอบอย่างแน่นอน ดังรัฐประหาร 19 กันยายน เป็นตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน
ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มีความจำเป็นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
การคงรัฐธรรมนูญไว้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจะเป็นให้ระบบรัฐสภาและพรรคการเมืองมีความอ่อนแอในระยะยาว โดยมีเหล่าอำมาตย์จากระบบราชการเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุม

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีความเห็นว่าแนวทางในการจะก้าวให้พ้นไปจากรัฐธรรมนูญ
2550 อย่างสันติจะเกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้

ประการแรก
การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ที่มา เจตนารมณ์และโครงสร้าง
ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพียงบางมาตรา
หากต้องมีการแก้ไขเพื่อให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นทั้งฉบับ
โดยนำเอาแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 มาเป็นต้นแบบในเชิงกระบวนการ

ประการที่สอง
การจะทำให้เกิดรัฐธรรมนูญซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย จะเกิดขึ้นได้จากกระบวนมีส่วนร่วมที่กว้างขวาง
ด้วยการทำประชาพิจารณ์อย่างแท้จริง ว่าจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การร่างใหม่ทั้งฉบับ
อันจะเป็นแนวทางที่ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้น จากฉันทามติของสังคมไทยและจะเป็นฐานความชอบธรรมที่ทำให้รัฐธรรมนูญดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง


มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
30 มีนาคม 2551

 

โดย: 032 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 11:10:24 น.  

 

// //www.bangkokbiznews.com
ชาวทิเบตนำคบเพลิงประท้วงรัฐบาลจีนเดินทางไปทั่วโลก

30 มีนาคม พ.ศ. 2551 19:21:00

ชาวทิเบตพลัดถิ่นนำ“คบเพลิงเอกราช” ประท้วงรัฐบาลจีน ระบุจะนำคบเพลิงไปทั่วโลก โดย9เมษายนนี้จะเดินทางประท้วงที่นครซานฟรานซิสโก

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : กลุ่มผู้ชุมนุมนำขบวนคบเพลิงประท้วงมาจากเมืองธรรมศาลาอันเป็นที่พำนักของดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้นำรัฐบาลพลัดถิ่นของชาวทิเบต โดยมีแผนจะนำคบเพลิงไปประท้วงยังนครซานฟรานซิสโกของสหรัฐ ซึ่งคบเพลิงโอลิมปิกจะเดินทางไปถึงในวันที่ 9 เมษายนนี้ และระบุด้วยว่า จะนำคบเพลิงไปประท้วงยังกลุ่มประเทศยุโรปบางแห่งก่อนนำขบวนไปยังทิเบตเป็นที่หมายสุดท้ายในระหว่าง 3 สัปดาห์หน้า

ทางการจีนกำลังตกเป็นที่วิจารณ์ของประชาคมโลกต่อกรณีใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ประท้วงในนครลาซา เมืองเอกของทิเบตอันเป็นเขตปกครองตนเองของจีน ด้านนักเคลื่อนไหวชาวทิเบตระบุว่า สถานการณ์วุ่นวายตลอดหลายวันที่ผ่านมาส่งผลให้มีชาวทิเบตเสียชีวิตแล้วระหว่าง 135-140 ราย ขณะที่ทางการจีนระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตเป็นพลเรือน 18 ราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย



การวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 25 มีนาคม และจะหยุดพักขบวนที่กรุงอัลมาตีของคาซัคสถานเป็นจุดแรก โดยมีกำหนดวิ่งคบเพลิงผ่าน 19 ประเทศในช่วงเดือนเมษายนนี้ เมื่อสิ้นสุดการวิ่งคบเพลิงข้ามประเทศแล้วก็จะเริ่มขบวนวิ่งคบเพลิงทั่วประเทศในจีนซึ่งรวมทั้งทิเบต รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 เดือน



 

โดย: 033 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 11:14:54 น.  

 

//www.tjanews.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=3347&Itemid=47
ครูเขต 3 สงขลาขอย้าย 200 คน ให้เหตุผลเพื่อความปลอดภัย
วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2008 22:01น.
ธวัช หลำเบ็ญส๊ะ
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

สถานการณ์ความไม่สงบที่ส่อเค้ารุนแรงขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นแรงกดดันที่ทำให้ข้าราชการครูทำเรื่องขอย้ายออกจากพื้นที่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งครูที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสี่อำเภอรอยต่อของจังหวัดสงขลาด้วย

นายศลใจ วิบูลกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสงขลา เขต 3 เปิดเผยว่า หลังจากโรงเรียนในพื้นที่ปิดภาคการศึกษาประจำปี 2550 ได้มีครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสงขลา เขต 3 ซึ่งครอบคลุม 4 อำเภอที่ติดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ทำหนังสือขอย้ายตัวเองออกนอกพื้นที่แล้วกว่า 200 คน

ทั้งนี้ ข้าราชการครูเหล่านั้นระบุเหตุผลในการขอย้ายว่า เพื่อกลับไปอยู่กับครอบครัวและหนีความวุ่นวายจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต รวมทั้งเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ ซึ่งทางเขตพื้นที่การศึกษาสงขลา เขต 3 จะพิจารณาคำขอโยกย้ายในเดือนเมษายน 2551 นี้ ก่อนที่โรงเรียนจะเปิดภาคการศึกษาแรกของปีการศึกษา 2551 ในเดือนพฤษภาคม และได้เตรียมครูอัตราจ้างที่มีอยู่เพื่อรองรับไม่ให้การเรียนการสอนต้องหยุดชะงัก

“ทางเขตพื้นที่การศึกษาสงขลาเขต 3 รู้สึกเห็นใจเพื่อนครูทุกคนที่ทำงานด้วยความตั้งใจตลอดมา และจะได้เสนอเรื่องการขอย้ายทั้งหมดไปให้สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้พิจารณา โดยขณะนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสงขลา เขต 3 มีโรงเรียนในพื้นที่รับผิดชอบ 208 โรง มีครูทั้งหมด 2,700 คน” นายศลใจ กล่าว

 

โดย: 034 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 11:27:25 น.  

 

//thairath.com/news.php?section=international&content=84374
จีนคุมเข้มเทียนอันเหมินรับคบเพลิงโอลิมปิก [31 มี.ค. 51 - 04:14]

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานรัฐบาลจีนเตรียมพร้อมบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อรับมือหากเกิดการประท้วงในช่วงที่คบเพลิงโอลิมปิกจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ จะถูกส่งมายังกรุงปักกิ่ง ในวันที่ 31 มี.ค.นี้ โดยในการส่งมอบคบเพลิงโอลิมปิกให้กับเจ้าหน้าที่ตัวแทนรัฐบาลจีน ที่นครอโครโพลิส เมืองโบราณของกรีซ บรรดากลุ่มสนับสนุนทิเบตรวมถึงสมาชิกลัทธิฝ่าหลุนกงต่างชุมนุมคัดค้านเป็นระยะๆ ทำให้เจ้าหน้าที่กรีซต้องทำงานหนักเพื่อกันผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าใกล้บริเวณที่ประกอบพิธี

ขณะเดียวกัน มีรายงานเกิดการชุมนุมประท้วงรอบใหม่ในกรุงลาซา เมืองหลวงของทิเบต เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 30 มี.ค. มีผู้ร่วมประท้วงนับพันคน การชุมนุมดังกล่าวมีขึ้นเนื่องจากประชาชนเกิดความแตกตื่น เมื่อเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจ และมีการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือเตือนประชาชนให้เคารพกฎหมาย ปฏิบัติตามกฎ อย่าปล่อยข่าวลือ และสร้างข่าวลือ ด้านนายแดนเซง ลางจี ผู้อำนวยการกิจการศาสนาและชนกลุ่มน้อยของทิเบต ถูกสั่งปลด นับเป็นนักการเมืองระดับสูงคนแรกของทิเบตที่รับผลจากการไม่สามารถควบคุมการก่อการชุมนุมได้ ส่วนที่มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เจ้าหน้าที่จับกุมผู้เกี่ยวข้องกับการประท้วง 26 คน พร้อมยึดอาวุธ ประกอบด้วยปืน 30 กระบอก กระสุน 498 ลูก ส่วนประกอบวัตถุระเบิด 4 กก. และมีดจำนวนมากได้ที่วัดทิเบตแห่งหนึ่ง ขณะที่บรรดาหนุ่มสาวชาวจีนชาตินิยมที่อาศัยอยู่ในต่างแดน อาศัยอินเตอร์เน็ตปกป้องการกระทำของรัฐบาลจีน และโจมตีสื่อตะวันตกว่ามีอคติต่อจีน.


 

โดย: 035 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 11:33:35 น.  

 



ไทยเจ้าภาพถกโลกร้อน24ชม.5วันรวด!!
ที่มา //www.matichon.co.th วันที่ 31 มีนาคม 2551


นายเกษมสันต์ จิณณวาโส เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หลังจากมีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 13 (COP13) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต เมื่อ เดือนธันวาคม 2550 ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ขณะนี้ประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม "Bangkok Climate Change Talks" ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-4 เมษายน ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กทม. มีสมาชิกจาก 190 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยความร่วมมือในระยะยาวการแก้ปัญหาโลกร้อน สำหรับประเทศไทยแม้ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องลดก๊าซเรือนกระจก แต่รัฐบาลมีแผนปฏิบัติการที่จะลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยมีการเตรียมพร้อมกับทุกภาคส่วน ขณะที่ในปัจจุบันไทยมีโครงการเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือซีดีเอ็ม และขายคาร์บอนเครดิตแล้ว 15 โครงการ ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 1.2 ล้านตัน และอยู่ในขั้นตอนพิจารณาจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกอีก 27 โครงการ

"ประเด็นหลักที่จะต้องพิจารณาในการประชุมคือการกำหนดกรอบระยะยาว และประเด็นการเจรจาใน 5 เรื่อง คือ การปรับตัว การลดก๊าซเรือนกระจก การถ่ายทอดเทคโนโลยี และกลไกทางการเงิน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการร่วมมือในการลดก๊าซเรือนกระจกของทั่งโลก เพราะจากการประชุมบาหลี ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้พิธีสารเกียวโต ของกลุ่มประเทศภาคผนวกที่ 1 ที่กำหนดเป้าหมายไว้ที่ 25-40% ภายในปี 2563 โดยตัวเลขอาจจะยืดหยุ่นหากมีการเจรจากันได้ เช่น อาจจะใช้โควต้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น ซึ่งคาดว่าเรื่องนี้จะมีการหารือกันตลอด 24 ชั่วโมงเต็มของการประชุมทั้ง 5 วัน และนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านโลกร้อนประมาณ 50 รายของเราได้เตรียมพร้อมสำหรับเวทีนี้ครั้งนี้อย่างเต็มที่แล้ว" นายเกษมสันต์กล่าว

 

โดย: 036 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 12:03:01 น.  

 



แนวกันคลื่นไส้กรอกทรายแตก สัตว์น้ำกระจุย-กทม.ยังดื้อเดินหน้าต่อ
ที่มา //www.matichon.co.th วันที่ 31 มีนาคม 2551




ชาวบางขุนเทียนนับพันลงชื่อค้านโครงการไส้กรอกทรายกันกัดเซาะฝั่ง หวั่นส่งผลกระทบนิเวศ รองผู้ว่าฯกทม.ตั้งท่าลุยต่อ อ้างทำประชาพิจารณ์แล้ว แกนนำชาวบ้านมหาชัยแฉล้มเหลว-ทรายรั่วปนเลน ชาวบ้านเดือดร้อนหนักจนต้องเปลี่ยนอาชีพ



นางบรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีชาวบ้านบางขุนเทียนออกมาคัดค้านการก่อสร้างแนวกันคลื่นรูปแบบไส้กรอกทราย ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้าง มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท เพราะหวั่นเกรงจะเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศหากไส้กรอกเกิดการรั่ว และจะทำให้ทรายจำนวนมากไหลปะปนกับเลนที่เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำว่า ต้องฟังความจากหลายด้าน ซึ่งขณะนี้สำนักผังเมือง (สผม.) และสำนักการระบายน้ำ (สนน.) กำลังหารือกับบริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาในการออกแบบก่อสร้างในรูปแบบที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ได้ลงพื้นที่ตรวจแนวกันคลื่น ริมฝั่งชายทะเลบางขุนเทียน โดยมีประชาชนบางส่วนยื่นหนังสือคัดค้านการก่อสร้างแนวกันคลื่นในรูปแบบไส้กรอกทราย ได้นำมาหารือกับคณะทำงาน กทม. ไม่ได้ปฏิเสธที่จะฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ แต่ขั้นตอนของการศึกษาเสร็จไปก่อนหน้านี้แล้ว และ สผม.เคยทำประชาพิจารณ์กับชาวบ้านในพื้นที่ไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาแล้วส่วนใหญ่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการออกแบบการก่อสร้างที่ชัดเจน เพราะต้องนำข้อมูลและความเห็นจากหลายฝ่ายมาพิจารณาร่วมกัน



นายคงศักดิ์ ฤกษ์งาม ประธานชุมชนคลองพิทยาลงกรณ์ เขตบางขุนเทียน กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาพูดคุยหรือทำความเข้าใจกับชาวบ้านถึงเรื่องไส้กรอกทรายที่ชาวบ้านไม่อยากให้ใช้ ล่าสุด ได้ล่ารายชื่อเพื่อที่จะยื่นให้ทาง กทม.คิดทบทวนอีกเป็นครั้งที่สอง ซึ่งมีชาวบ้านทั้ง 6 ชุมชน ร่วมกันลงชื่อแล้วประมาณ 1 พันคน



"เราขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่คิดที่จะยับโครงการสร้างแนวกันคลื่น แต่ขอให้เปลี่ยนจากไส้กรอกทรายเป็นอย่างอื่นที่คงทน ที่ชาวบ้านเสนอไว้หลายวิธี เช่น การทิ้งหิน การนำเสาไฟฟ้ามาปัก ขณะนี้พวกเรากำลังขยายกลุ่มไปยังเครือข่ายต่างๆ ที่อยู่แนวชายฝั่ง" นายคงศักดิ์กล่าว



นายวรพล ดวงล้อมจันทร์ ประธานเครือข่ายสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า ขณะนี้ไส้กรอกทรายที่สร้างไว้ที่ชายฝั่งมหาชัยได้แตกออก จะทำให้ทรายปนกับเลน จนสัตว์น้ำที่เป็นตัวอ่อนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ และชาวบ้านก็ต้องเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นแทน ส่งผลกระทบกันเป็นทอดๆ



"สิ่งที่เราพูดมาแล้วนั้นไม่มีใครฟัง ใช้งบประมาณหลายล้าน พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นต้องหาคนมารับผิดชอบ ชุมชนไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เพราะว่าทรายจำนวนมหาศาลที่กระจายอยู่ทั่วและกำลังจะเคลื่อนที่ตามคลื่นที่พัดออกไปเป็นมุมกว้าง ตอนนี้ยังไม่มีใครมาดำเนินการแก้ไขเลย" นายวรพลกล่าว

 

โดย: 037 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 12:08:33 น.  

 

ชาวบ้านยังรู้! ขรก.-นายทุนตัวเขมือบป่า
ที่มา //www.dailynews.co.th วันที่ 27 มีนาคม 2551


ปมรุกที่ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี กลายเป็นหนังชีวิต ชาวบ้านแห่ร้องอธิบดีกรมการปกครอง ถูกนายทุน-ข้าราชการ รวมหัวรุกที่ทำกิน ด้าน กสม. ลงใต้สอบที่ดินบริษัทเอกชน เจ้าปัญหา ฟันธงละเมิดสิทธิของประชาชน “เฉลิม” โต้ “สุเทพ” ยันไม่ได้กลั่นแกล้งใคร ชี้ไม่เอี่ยวการเมือง ขณะที่ คดีบิ๊กสีกากีรุกป่า อ.ปากช่อง ตำรวจเตรียมลงพื้นที่หาพิกัด “จีพีเอส” ของแนวเขตบุกรุกป่าเพื่อความชัดเจน ส่วนสถานการณ์รุกป่ายังวิกฤติ ด้าน รักษาการ ผบ.ตร. สั่งเร่งไล่ล่าม้งสังหาร หน.พิทักษ์ป่าวังเจ้า-ตร.เสียชีวิต จนท.ขู่พร้อมใช้ไม้แข็งตอบโต้หากไม่มอบตัว “พระราชินี” พระราชทาน พวงมาลามาวางหน้าหีบศพ “วีระบุรุษพิทักษ์ป่า”

ปัญหาการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า นับวันจะมีมากขึ้นจนบานปลายเป็นเรื่องใหญ่โต ล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 มี.ค. นายศรีวิทย์ ช่วยสง ปลัดอำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ นำกำลัง อส.และ ตชด.42 ค่ายศรีนครินทรา เข้าตรวจสอบจับกุมผู้กระทำผิดลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ที่บริเวณเขาปู่-เขาย่า หมู่ 2 ต.น้ำตก อ.ทุ่งสง จากการตรวจสอบพบไม้ซุง 5 ท่อน เป็นไม้รำแพน ซุกซ่อนอยู่ในป่า เตรียมการชักลากไม้ลงจากภูเขา ส่วนผู้กระทำความผิดได้หลบหนีไปก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่จะเดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไม้ดังกล่าวไว้ เบื้องต้นทราบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการตัดไม้ดังกล่าว ซึ่งจะได้สืบสวนต่อไป

ที่ จ.ตรัง ร.ต.ท.แดง ศรีสมบูรณ์ รอง สว.สส.สภ.สิเกา นำกำลังเข้าจับกุม นายพ่วน ยุ่งยั้ง อายุ 48 ปี นายมงคล ทองแท่ง อายุ 44 ปี และนายชัยชาญ โชติมาศ อายุ 42 ปี พร้อมของกลางรถกระบะโตโยต้า 1 คัน รถจยย. 1 คัน และรถแทรกเตอร์ 1 คัน ขณะทั้งหมดเข้าไปบุกรุกทำลายป่า บริเวณป่าสายควนเกาะอ้ายกลิ้ง หมู่ 5 บ้านไร่ออก ต.บ่อหิน อ.สิเกา พร้อมควบคุมตัวส่งดำเนินคดีต่อไป ด้าน นายธนเษก อัศวานุวัตร ผวจ.พะเยา สนธิกำลังเจ้าหน้าที่รวม 80 คน เข้าทำการตรวจยึดไม้เต็ง จำนวน 31 ท่อน กลางป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ต๋ำ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำชั้นหนึ่ง เอ พื้นที่หมู่ที่ 5 ต.หนองหล่ม อ.ดอกคำใต้ หลังถูกขบวนการลักลอบตัดไม้เข้ามาตัด เพื่อรอการขนย้ายส่งให้นายทุนไปเก็บรักษาที่จุดตรวจผาช่อเพื่อสืบสวนหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป

ที่ จ.ศรีสะเกษ นายเสนีย์ จิตตเกษม ผวจ.ศรีสะเกษ พร้อมนายอนุรัตน ลีธีรประเสริฐ นายอำเภอขุนหาญ นายธรรมนูญ อัครพินธุ์ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 9 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เดินทางมาตรวจสอบในพื้นที่ บริเวณป่าบนภูติ๊กต๊อก เขตบ้านห้วยจันทร์ หมู่ 4 ต.ห้วยจันทร์ อ.ขุนหาญ หลังถูกไฟไหม้จนได้รับความเสียหาย ด้านนายชัชวาลย์ อินทุมาร หน. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ กล่าวว่า การเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ เนื่องจากมีกลุ่มชาวบ้านได้รับการว่าจ้างจากนายทุน

 

โดย: 038 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 12:14:02 น.  

 

เชื่อรัฐหวังควบคุมสื่อแปลงโฉมช่อง11เป็น"เอ็นบีที"


อดีต ส.ว.-นักวิชาการเชื่อรัฐหวังควบคุมสื่อแปลงโฉมช่อง 11 เป็น "เอ็นบีที" ชี้ช่อง 11 น่าสงสารต้องปรับนโยบายตามรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ทุกครั้ง จี้ตรวจสอบกระบวนการคัดเลือกบริษัทเข้าไปร่วมผลิต

การปรับเปลี่ยนสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ครั้งล่าสุด แม้จะอยู่ในห้วงเวลาแห่งการพิสูจน์ แต่หลายฝ่ายก็ยังเป็นห่วงว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเป็นแนวคิดที่ต้องการให้เป็นโทรทัศน์สาธารณะ เป็นทางเลือกให้ประชาชน เหมือนการก่อกำเนิดของ ไทยพีบีเอส หรือจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งในการควบคุมสื่อและเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนเข้าไปใช้ประโยชน์

"สื่อสาธารณะต้องอิสระ"

นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ อดีตสมาชิกวุฒิสมาชิก บอกว่า คำว่า "สื่อสาธารณะ" ต้องมีความเป็นอิสระ 2 ประการ คือ ความเป็นเจ้าของ และอิทธิพลเงินทุนโดยเป็นอิสระจากงบประมาณแผ่นดิน และสปอนเซอร์ โฆษณา กล่าวง่ายๆ คือ แหล่งเงินต้องไม่มีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจ จึงจะเรียกได้ว่า เป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะ

"คุณเคยเห็นรัฐบาลอังกฤษออกมาบอกให้สถานีโทรทัศน์บีบีซีทำอย่างนั้น อย่างนี้ได้หรือเปล่า หรือรัฐบาลสหรัฐอเมริกาบอกให้ทีพีบีเอสของสหรัฐ ต้องไปเอาบริษัทนั้นมาทำรายการ ต้องหางานให้พนักงานไอทีวีหรือเปล่า แค่นี้ก็เห็นแล้วว่า ช่อง 11 ไม่ใช่โดยสิ้นเชิง แต่ดัดจริตเรียกว่า ทีวีสาธารณะ พวกนี้สร้างภาพเฉยๆ เนื้อในไม่มี แสดงให้เห็นเขากำลังดูถูกประชาชนว่าไม่รู้จักสถานีโทรทัศน์สาธารณะ" นายเจิมศักดิ์ กล่าว

นายเจิมศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า วัตถุประสงค์ใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงช่อง 11 เป็นเรื่องของการต้องการควบคุมสื่อ โดยเอาพรรคพวกมาทำรายการ เอางบประมาณในแต่ละกระทรวงมารวมกัน และการเลือกคนที่มีใจให้แล้ว เมื่อเข้ามาต้องเชียร์โดยปริยาย

"อยากฝากประชาชนว่า การดูทีวีต้องตั้งคำถามว่าเป็นสื่อช่องไหน และสื่อนั้นใครอยู่เบื้องหลัง ที่ผ่านมาประชาชนให้เกียรติสื่อมากเกินไป" นายเจิมศักดิ์ กล่าว

"เจ้าของช่อง 11 คือประชาชน"

ผศ.ดร.เอื้อจิตร วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม หรือมีเดีย มอนิเตอร์ กล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า มันไกลไปมากกว่าการที่เอกชนเข้าไป เพราะเมื่อเอกชนเข้าไปรายการต่างๆ ก็ยังอิงภาพรัฐอยู่ดี โดยส่วนตัวเห็นว่า ช่อง 11 น่าสงสาร ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่เข้ามา เช่น รายการกรองสถานการณ์ ซึ่งมีความผกผันสูงมาก บางครั้งก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน ขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ให้รัฐบาล จึงอยากตั้งคำถามว่า ทำไมช่อง 11 จึงไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ต้องปรับตัวไปตามนโยบายของรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ทุกครั้ง

ผอ.มีเดีย มอนิเตอร์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเป็นปัญหาอยู่ว่า ช่อง 11 เป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐหรือไม่ และอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับใดแน่ ในฐานะที่ นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดูแลกรมประชาฯ อยู่ จะต้องทำตรงนี้ให้เคลียร์ ไม่ใช่ชี้ให้สื่อไปเป็นอะไร หรือให้สื่อไปพีอาร์อย่างไรก็ได้ สิ่งที่ต้องคำนึงมากที่สุด ก็คือ เจ้าของช่อง 11 ซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง และสิ่งสำคัญของสื่อทีวีก็คือ ความเป็นอิสระ ไม่ถูกควบคุมโดยใคร

"มีคำถามว่า ขณะนี้ช่อง 11 เป็นหน่วยงานอะไรแน่ รัฐมนตรีต้องตอบคำถามให้ได้ว่ากำลังบริหารหน่วยงานแบบใด อยู่ภายใต้กฎหมายใด ก.ม.ของกรมประชาสัมพันธ์ ระเบียบเอสดียู พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรทัศน์ หรือ พ.ร.บ.การจัดการองค์กรสาธารณะ และบุคลากรข้างในที่กินเงินเดือนของรัฐอยู่หายไปไหน คนเหล่านี้ไม่ต้องทำงานหรือ จึงต้องมาใช้วิธีการเอาคนข้างนอกเข้าไปทำ ซึ่งช่อง 11 จะต้องค้นหาตัวตนให้ชัดเจน" ผศ.ดร.เอื้อจิตร กล่าว

เมื่อถามถึงผลประโยชน์ตอบแทนจำนวน 45 ล้านต่อปี ที่บริษัทเอกชนมอบให้ช่อง 11 ในการเข้าไปร่วมผลิตรายการ ผศ.ดร.เอื้อจิตร กล่าวว่า กระทรวงการคลังควรจะเข้ามาดูในส่วนนี้ เพราะเข้าใจว่า หากจำนวนเงินสูงขนาดนี้จะต้องมีการเปิดซองประมูล เพื่อให้มีการแข่งขันในการคัดเลือกบริษัทที่เข้ามาร่วมผลิต และช่อง 11 ควรเปิดเผยข้อมูลในส่วนนี้ออกมาให้ชัดเจน ทั้งเรื่องการเงินและผลประโยชน์ต่างๆ เพราะทั้งหมดควรเป็นผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ผลประโยชน์ของกลุ่มใด

"จับตาจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ"

นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแสดงความเป็นห่วงว่า เป็นปฏิบัติการยึดคลื่นสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นไปเพื่อเป็นกระบอกเสียงรัฐบาล

"วันนี้เห็นชัดในกรณีช่อง 11 มีบริษัทหนึ่งเข้าไป บอกว่าเป็นทีมเชี่ยวชาญด้านข่าวอย่างมาก จัดตั้งโดยคนใกล้ชิดในรัฐบาล และผลิตข่าวจากภายนอกทั้งหมด อย่างนี้อนาคตรับประกันความเป็นกลาง เป็นธรรม และถูกต้องได้หรือไม่ เพราะมีประวัติเคยทำหน้าที่อย่างโน้มเอียงมาแล้ว จึงขอให้ประชาชนจับตาว่าจะถูกใช้เครื่องมือทางการเมืองมากแค่ไหน" นายอภิชาต กล่าว

นายอภิชาต กล่าวด้วยว่า แต่ละกระทรวง ทบวง กรม มีงบประชาสัมพันธ์รวมกันประมาณพันล้าน ซึ่งเมื่อประชาสัมพันธ์งานผ่านกรมประชาสัมพันธ์ ก็ต้องคอยดูว่าราชการจะได้อะไรบ้างจากปรับโฉมโมเดิร์นอีเลฟเว่น

"หวั่นตั้งโจมตีฝ่ายตรงข้าม"

นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา สายสื่อสารมวลชน กล่าวว่า ย้อนอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้วตั้งกรมประชาสัมพันธ์ จุดประสงค์เป็นทีวีสาธารณะ เน้นให้การศึกษา แต่มีคนดูน้อยและนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ใช้เป็นกระบอกเสียงรัฐบาล แนวคิดพัฒนาช่อง 11 เป็นเรื่องที่ดี แต่มีข้อสงสัยหลายประการ อาทิ บริษัทที่รับสัมปทานผลิตรายการเฉพาะเจาะจงและมีพนักงานเก่าจากไอทีวี และที่สำคัญมีคนพีทีวีซึ่งเป็นกลุ่มการเมือง จึงน่าจะเป็นทีวีที่ถูกครอบงำโดยรัฐแต่ถูกแปลงกาย

"ผมตั้งข้อสังเกตว่า เอางบประมาณของรัฐจากหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจมาใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ จะเป็นการผ่องถ่ายเอื้อเฟื้อเข้าพก เข้าห่อพรรคพวกคนในรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ทำให้คำพูดรัฐมนตรีไม่น่าเชื่อถือว่าจริงใจพัฒนาช่อง 11"

เขาให้เหตุผลว่า ที่มองแบบนั้นเป็นเพราะบริษัท ดิจิตอล ก็รู้กันดีว่าเป็นบริษัทอะไร ซึ่งอาจจะต้องมีการติดตามตรวจสอบเรื่องนี้กันต่อไป สำหรับข้อเสนอจ่ายค่าตอบแทนสูงกว่ากลุ่มบริษัทเดิมเป็นที่ทำได้ เพราะรัฐบาลก็ไปบีบหน่วยราชการจ่ายเงินในรูปงบประชาสัมพันธ์ และหากมีการแบ่งสัดส่วนโฆษณา 70/30 ก็เท่ากับว่า บริษัทนี้จะมีการผ่องถ่ายไป 700 ล้าน เพราะสมัย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็น ผอ.อสมท เคยมีข้อมูลว่างบประชาสัมพันธ์ในกระทรวง กรมต่างๆ รวมประมาณ 1 พันล้าน เรื่องนี้ต้องจับตา อาจจะนำเสนอตรวจสอบในกรรมาธิการตรวจสอบทุจริตของวุฒิสภาที่กำลังจะตั้งขึ้น

"ผมเกรงว่าการเผยแพร่เนื้อหารายการของช่อง 11 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน อาจมีหน้าตาเหมือนดูดี แต่มีจุดประสงค์จิตวิทยาเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล" นายสมชาย กล่าว

// //www.komchadluek.net

 

โดย: 039 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 12:24:16 น.  

 

เปิดขุมทรัพย์ช่อง11แค่เฟสแรกอู้ฟู่ 1,500 ล้าน


เปิดขุมทรัพย์ช่อง 11 บริษัท ดิจิตอลฯ ผู้ร่วมผลิตข่าวรายใหม่ คาดฟันเงินปีละกว่า 1,500 ล้าน สัญญาตอบแทนปีละ 45 ล้านจ่ายเข้ารัฐ แบ่งขายโฆษณา 1 ชม. โฆษณาได้ 10 นาที บริษัทมีสิทธิขายได้ถึง 7 รัฐมักน้อยเอาแค่ 3 รักษาการ ผอ.ช่อง 11 ยอมรับ ไม่เคยร้างการเมือง


การรีแบรนดิ้ง (Re-branding) สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ให้เป็นโมเดิร์นอีเลฟเว่น หรือในชื่อใหม่สถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที (National Broadcasting Television) ที่จะเริ่มดีเดย์แพร่ภาพเป็นครั้งแรกวันที่ 1 เมษายนนี้ กำลังเป็นที่จับตาของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ที่เป็นสถานีโทรทัศน์ภายใต้การควบคุมของรัฐจะยังคงเป็นสถานีที่ทำเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ หรือจะเป็นเพียงแหล่งผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

การดึงบริษัทเอกชนเข้าไปบริหารงานข่าวของช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ของนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ อาจไม่ใช่เรื่องใหม่นัก เพราะก่อนหน้านี้ช่อง 11 ก็ได้ใช้วิธีการให้บริษัทเอกชนนำบุคลากรภายนอกเข้าไปบริหารงานข่าว ทั้งข่าวภาคเช้า ข่าวภาคเที่ยงและข่าวภาคค่ำมาแล้ว

สิ่งที่แตกต่างก็คือ การเอาบริษัทเอกชนเข้าไปบริหารงานข่าวของช่อง 11 ในครั้งนี้ กลับยกช่วงเวลาข่าวทั้งหมดให้แก่บริษัทเพียงบริษัทเดียว ขณะที่เมื่อก่อนมีการแบ่งช่วงเวลาให้หลายบริษัทในการเข้าไปรวมผลิตรายการให้ช่อง 11 มีการทำสัญญากันปีต่อปี

โดยรวมหลายบริษัทแล้วจะมีการเสนอค่าตอบแทนที่อัตรา 39-40 ล้านต่อปี ซึ่งเงินจำนวนนี้ช่อง 11 จะนำไปจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่พนักงานสิทธิประโยชน์ ซึ่งเป็นพนักงานที่บริษัทต่างๆ ส่งเข้าไปทำงานภายในช่อง 11 แต่ไม่ได้เป็นข้าราชการ หรือลูกจ้างช่อง 11

รายชื่อบริษัทที่เข้าไปบริหารงานข่าวที่จะเริ่มวันที่ 1 เมษายนนี้ ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งมีการแถลงข่าวเปิดตัวสถานีเอ็นบีทีว่า เป็นบริษัท ดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด มีกรรมการ 2 คน คือ นายอดิศักดิ์ ชื่นชม และนายพรเลิศ ยนตร์ศักดิ์สกุล อดีตบรรณาธิการข่าวอาชญากรรมทีไอทีวี ซึ่งจดทะเบียนด้วยทุนถึง 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 บริษัทนี้ได้เซ็นสัญญากับช่อง 11 เป็นเวลา 2 ปี มีการเสนอผลตอบแทนปีละ 45 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน มีการเปิดเผยออกมาว่า บริษัท ดิจิตอลฯ เสนอผลตอบแทนเป็นสิทธิประโยชน์แก่ช่อง 11 เป็นจำนวนเงินสูงสุด 45 ล้านบาท ส่วนอีกหนึ่งบริษัทซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อ เสนอผลตอบแทน 30 ล้านบาท และ 8 บริษัทเดิมที่ผลิตรายการข่าวให้ช่อง 11 ให้ผลตอบแทนปีละ 39-40 ล้านบาท

เหตุผลที่บริษัท ดิจิตอลฯ ได้รับการคัดเลือกนั้น นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวไว้ว่า หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้นโยบายเรื่องการปรับโฉมช่อง 11 เป็นโมเดิร์นอีเลฟเว่น ช่อง 11 จึงได้สรรหาบริษัทเข้ามาดำเนินการ ซึ่งมีผู้นำเสนอเข้ามา 2 ราย และรายที่ถูกคัดเลือกก็คือ บริษัท ดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด

รักษาการผู้อำนวยการช่อง 11 ยังชี้แจงว่า บริษัท ดิจิตอลฯ ได้รับคัดเลือกเพราะมีทีมงานที่มีความรู้ความสามารถด้านงานข่าว มีผลงานที่ดีในอดีต มีทีมงานที่สามารถผลิตข่าว ถือเป็นเป้าหมายหลักในการปรับโฉมเฟสแรกของช่อง 11 ได้ โดยทีมงานเป็นทีมงานข่าวจากทีไอทีวีเดิม มีนายฉัตรชัย ตะวันธรงค์ อดีตผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี และผู้บริหารบริษัท ไอ-นิวส์ เซ็นเตอร์ จำกัด มาเป็นหัวหน้าทีมข่าวสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ในฐานะพนักงานสิทธิประโยชน์ของช่อง 11

เมื่อตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนธุรกิจกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะพบว่าบริษัท ไอ-นิวส์ เซ็นเตอร์ จำกัด เพิ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ผ่านมาหมาดๆ มีกรรมการคือ นาย ฉัตรชัย ตะวันธรงค์ อดีตกรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ด้วยทุนจดทะเบียนบริษัท 1 ล้านบาท วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัทเพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสาร ผลิตข่าว

แหล่งข่าวในช่อง 11 รายหนึ่งเปิดเผยต่อ "คม ชัด ลึก" ว่า ก่อนที่จะมีการรีแบรนดิ้งช่อง 11 นั้น กรมประชาสัมพันธ์เปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ เข้าไปร่วมผลิตรายการข่าว แต่ละบริษัทจะเสนอเงินตอบแทนเป็นรายปี ที่ผ่านมาบริษัทแห่งหนึ่งที่ร่วมผลิตรายการข่าวเช้าเสนอผลประโยชน์ให้ช่อง 11 ในราคาปีละประมาณ 7 ล้านบาท ค่าโฆษณาแบ่งในอัตรา 7 ต่อ 3 คือบริษัทขายโฆษณาได้ 7 ส่วน ช่อง 11 ขายโฆษณาได้ 3 ส่วน ส่วนบริษัทที่ร่วมผลิตข่าวเที่ยง เสนอผลตอบแทนในราคาปีละประมาณ 4 ล้านบาท สำหรับข่าวภาคค่ำ มีการจ่ายผลตอบแทนที่ประมาณปีละ 17 ล้านบาท เมื่อรวมๆ กับรายการข่าวอื่นๆ ค่าตอบแทนในแต่ละปีก็สูสีกับที่บริษัท ดิจิตอลฯ เสนอตอบแทนให้ช่อง 11 ประมาณ 39-40 ล้านบาทต่อปี โดยเงินจำนวนนี้จะถูกส่งให้ช่องเป็นรายเดือน และช่อง 11 จะเป็นผู้นำมาจัดสรรเป็นค่าตอบแทนหรือเงินเดือนให้แก่พนักงานกลุ่มสิทธิประโยชน์

แหล่งข่าวภายในช่อง 11 เปิดเผยว่า งบประมาณที่บริษัทใหม่เข้าไปเสนอจ่ายจำนวน 45 ล้านบาท ให้แก่กรมประชาสัมพันธ์ เป็นงบประมาณที่ใกล้เคียงกับบริษัทร่วมผลิตที่ผ่านๆ มาเคยจ่ายให้ช่อง 11 แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ บริษัทใหม่ที่เข้าไปได้ชั่วโมงในการทำรายการข่าวเพียงบริษัทเดียว เมื่อบริษัทเก่าที่ทำอยู่ยังมีสัญญากับลูกค้าที่ซื้อโฆษณาอยู่ ก็จำเป็นต้องหันไปซื้อโฆษณาต่อจากบริษัท ดิจิตอลฯ อีกที นั่นหมายความถึงรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น

เมื่อคาดการณ์ถึงรายได้ที่บริษัท ดิจิตอลฯ จะได้รับสำหรับการเข้าไปร่วมผลิตรายการข่าวกับช่อง 11 นั้น จากการตรวจสอบพบว่า มีการตั้งราคาสำหรับโฆษณาข่าวเช้า ช่วงเวลา 06.00-08.00 น. ที่อัตรานาทีละ 5 หมื่นบาท ข่าวเที่ยง ช่วงเวลา 12.00-13.30 น. ราคาโฆษณาอยู่ที่ 6 หมื่นบาท และราคาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไพรม์ไทม์ นั่นคือ ข่าวภาคค่ำ เวลา 18.00-21.00 น. ราคา 1 แสนบาท ถึง 1.2 แสนบาทต่อนาที

ส่วนรายการ ถามจริง ตอบตรง ดำเนินรายการโดย จอม เพ็ชรประดับ ที่อยู่ในช่วงเวลาข่าวอยู่ที่ราคา 1.2 แสนบาทเช่นกัน และรายการเอ็นบีที ฮอตนิวส์ เวลา 21.00-22.00 น. ราคาอยู่ที่ 1.2 แสนบาท จากนั้นในรายการข่าวภาคดึก ราคาอยู่ที่ 5 หมื่นบาทต่อนาที รวมถึงข่าวเบรกที่ซื้อโฆษณากันในราคา 5 หมื่นต่อนาทีเช่นกัน

หากคิดจากจำนวนชั่วโมงข่าวที่บริษัทใหม่ได้เข้าไปบริหารเวลา คือ 9 ชั่วโมงครึ่ง สามารถโฆษณาได้ชั่วโมงละ 10 นาที แต่บริษัทมีส่วนแบ่งกับสถานีคือ ช่อง 11 ขายได้ 3 นาที บริษัทขายได้ 7 นาที นั่นคือ บริษัทสามารถหารายได้จากโฆษณาได้ถึง 66.5 นาทีต่อวัน

ในจำนวนดังกล่าวหากลองคำนวณดูจะพบว่า ในโฆษณาข่าวเช้า รายการความยาว 2 ชั่วโมง มีโฆษณาได้ 20 นาที บริษัทขายโฆษณาได้ 14 นาที นาทีละ 5 หมื่น รวม 7 แสนบาทต่อวัน ขณะที่ ช่อง 11 ได้ส่วนแบ่ง 6 นาที รวม 3 แสนบาท

โฆษณาข่าวเที่ยง ความยาว 1 ชั่วโมง 30 นาที มีโฆษณาได้ 15 นาที บริษัทขายโฆษณาได้ 10 นาทีครึ่ง นาทีละ 6 หมื่นบาท รวม 9 หมื่นบาทต่อวัน

โฆษณาข่าวค่ำ ความยาว 3 ชั่วโมง มีโฆษณาได้ 30 นาที บริษัทขายโฆษณาได้ 21 นาที นาทีละ 1-1.2 แสนบาท รวม 2.1 ล้านบาทต่อวัน

โฆษณารายการ เอ็นบีที ฮอตนิวส์ ความยาว 1 ชั่วโมง มีโฆษณาได้ 10 นาที บริษัทขายโฆษณาได้ 7 นาที นาทีละ 1.2 แสนบาท รวม 8.4 แสนบาทต่อวัน

รายการ ร่วมมือร่วมใจ ความยาว 1 ชั่วโมง มีโฆษณาได้ 10 นาที บริษัทขายโฆษณาได้ 7 นาที นาทีละ 5 หมื่นบาท รวม 3.5 แสนบาทต่อวัน

โฆษณาข่าวภาคดึก ความยาวครึ่งชั่วโมง มีโฆษณาได้ 5 นาที บริษัทขายโฆษณาได้ 3.5 นาที นาทีละ 5 หมื่นบาท รวม 175,000 บาทต่อวัน

โฆษณาข่าวเบรกตลอดวัน ความยาวประมาณ 30 นาที มีโฆษณาได้ 5 นาที บริษัทขายโฆษณาได้ 3.5 นาที นาทีละ 5 หมื่นบาท รวม 175,000 บาทต่อวัน

รวมเวลาข่าวที่บริษัท ดิจิตอลฯ ได้สัมปทานครั้งนี้ 9.5 ชั่วโมง หากขายโฆษณาได้เต็มทุกช่วง บริษัทจะมีรายได้ต่อวัน 4,430,000 บาท รายเดือน 132,900,000 บาท รายได้ยังไม่หักค่าใช้จ่ายประมาณ 1,594,800,000 บาทต่อปี ถือว่าเป็นรายได้ที่สูงมากสำหรับบริษัทที่เพิ่งเปิดดำเนินกิจการเพียงไม่กี่เดือน

อย่างไรก็ตาม โฆษณาที่จะสามารถออกอากาศทางช่อง 11 ได้นั้น จะต้องเป็นโฆษณาภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยกเว้นในส่วนของข่าวกีฬา หรือรายการกีฬาอื่นๆ จึงจะสามารถขายโฆษณาแบบบรรยายสรรพคุณของสินค้าได้ ซึ่งมีรายงานว่า บริษัท ดิจิตอลฯ ก็ได้เสริมทัพด้านการตลาด โดยการดึงทีมขายเกือบทั้งหมดจากทีไอทีวีมาอยู่ที่แห่งใหม่นี้เพื่อดึงโฆษณาที่เคยลงให้ทีไอทีวีซึ่งปัจจุบันแปลงเป็นทีวีสาธารณะและไม่สามารถโฆษณาได้ มาอยู่กับช่อง 11 ดังนั้น จึงน่าจับตาดูว่า งบประมาณการซื้อโฆษณาจากบริษัทต่างๆ ที่เคยลงให้ไอทีวี หรือทีไอทีวี ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี จะไหลมาลงยังช่อง 11 โฉมใหม่หรือไม่ บวกกับโฆษณาจากหน่วยงานราชการต่างๆ ที่คาดว่าจะมีการกันงบโฆษณาส่วนหนึ่งมาลงที่นี่เช่นกัน

อีกทั้งการปรับโฉมช่อง 11 ในครั้งนี้ ก็ยังเป็นการปรับโฉมในเฟสแรกเท่านั้น ยังเหลือรายการอีกประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ที่ช่อง 11 ภายใต้การกำกับดูแลของนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จะมีการปรับปรุงในเฟสต่อๆ ไป

นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กล่าวต่อ "คม ชัด ลึก" ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า สถานการณ์บังคับช่อง 11 หากไม่เปลี่ยนเราก็ถอยหลัง การปรับใหม่จึงต้องการเสนอข่าวเป็นอิมแพ็กเดียวให้เป็นเอกภาพทั้งช่อง แล้วก็คัดเลือกบริษัทใหม่เข้ามาเพียงบริษัทเดียว คือบริษัท ดิจิตอลฯ ช่วงแรกมีผู้ประกาศข่าวทั้งเก่าและใหม่รวมกัน 40 คน ซึ่งคนเก่าก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้หน้าจอใหม่เป็นไอทีวี

"วันนี้เราเพิ่งจะลุกขึ้นมายืน เราต้องปรับข่าวและมีทางเลือกที่หลากหลาย โดยปรับข่าวและวิธีคิดให้มีคุณภาพมากที่สุด เพิ่มเวลาข่าวและทำเรื่องที่คนสนใจให้มากขึ้น โดยเป็นข่าวสาระ 70% บันเทิง 10% อีก 20% เป็นรายการกีฬาและอื่นๆ มีการพูดกันไปเองว่า เราแข่งกับไทยพีบีเอส เขามีเงินมากขนาดนั้น ผมจะไปสู้เขาหรือ ต้นทุนเรามีแค่นี้ แต่ถ้าเปิด 24 ชั่วโมงแล้วไม่มีคนดู ก็ปิดสถานีดีกว่า" รักษาการผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กล่าว

นายสุริยงค์ยังย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "ผมมีจิตวิญญาณการทำสื่อและอะไรไม่เป็นประโยชน์ต่อสถานี ผมก็รับไม่ได้ แต่วันนี้เราต้องให้โอกาสรัฐบาล เพราะประชาชนได้ประโยชน์ ต้องยอมรับว่ารายการช่อง 11 หลายรายการยังไม่ดี ไม่น่าสนใจ วันนี้เขาบอกว่าคุณลองทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ เป็นเรื่องท้าทายและเป็นประโยชน์ ผมก็เข้าไปทำเต็มที่ หากทำไม่ได้ 6 เดือนเขาก็ย้ายผมเท่านั้นเอง"

ส่วนข้อสงสัยที่ว่า บริษัท ดิจิตอลฯ มีนักการเมืองสนับสนุนเบื้องหลังหรือไม่นั้น นายสุริยงค์กล่าวว่า ตนไม่มีความรู้สึกหรือคิดว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวการเมือง เพราะสนใจแค่ว่าบริษัท ดิจิตอลฯ เข้ามาแสวงหาแต่ผลประโยชน์ หรือจะมาทำให้ช่อง 11 คล่องตัวขึ้น ทำงานดีขึ้นไหม

"ถามว่ายุคไหน กรมประชาสัมพันธ์ ไม่มีบริษัทไหนที่มีนักการเมืองหนุนหลังบ้าง ดังนั้น ขอเวลาพิสูจน์ผลงาน 6 เดือน" นายสุริยงค์กล่าว
// //www.komchadluek.net



 

โดย: 040 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 12:27:05 น.  

 

"ยอดรัก"เผยวิธีรักษามะเร็งบล็อกเส้นเลือดไม่ให้ไปเลี้ยง


"ยอดรัก" เผยกลางคอนเสิร์ต รักษาโดยบล็อกเส้นเลือด ไม่ให้เลือดไปเลี้ยงส่วนที่เป็นมะเร็ง ยันกำลังใจเต็มร้อย เตรียมทำบุญเลี้ยงพระและขอบคุณเพื่อนร่วมวงการ 3 เม.ย.นี้ "ไชยา มิตรชัย" อยากให้ "ยอดรัก-สายัณห์" หันหน้าคุยกัน



หลังจากที่ข่าวอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งตับของนักร้องลูกทุ่งชื่อดังยอดรัก หรือ นายนิพนธ์ สลักใจ แพร่สะพัดไป ทำให้กลุ่มศิลปินลูกทุ่ง เพื่อนร่วมวงการ รวมถึงนักแต่งเพลง ระดมกำลังกันจัดคอนเสิร์ตเพื่อหารายได้ช่วยยอดรักกันเต็มที่ โดยล่าสุดเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ได้มีการจัดคอนเสิร์ตชื่อว่า "เพื่อนรัก สลักใจ" ณ ตลาดข้างห้างคาร์ฟูร์ พระราม 2 โดยมีบรรดาแฟนเพลงมาร่วมชมคอนเสิร์ตพอสมควร ซึ่งผู้ที่เข้าไปชมจะต้องซื้อบัตรคนละ 100 บาท เพื่อเข้าชมนักร้องลูกทุ่งชื่อดังที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที ไม่ว่าจะเป็น ลูกนก สุภาพร โย่ง เชิญยิ้ม ศรเพชร ศรสุพรรณ เอ๋ พจนา น้องมายด์ คนเมือง ไชยา-แอน มิตรชัย จิ้ม ชวนชื่น ฯลฯ นอกจากนี้ทางด้านหน้างานยังมีคนมาร่วมหยอดเงินช่วยเหลือใส่กล่องรับบริจาคอีกด้วย

กระทั่งเวลา20.00 น. ยอดรักได้เดินทางมาถึงงานด้วยอาการปกติ พร้อมกับบอกว่า วันนี้จะมาร้องเพลง 1 เพลงจนจบ โดยไม่ลิปซิงค์ ก่อนหน้านี้ค่อนข้างกินได้น้อย ตอนนี้ก็พยายามกินข้าวให้เยอะขึ้น กระตือรือร้นที่จะดูแลตัวเอง ทำตามที่หมอบอกทุกอย่าง พยายามไม่คิดอะไรที่มันบั่นทอน ตอนนี้ก็มีเพื่อนๆ ที่อยู่ต่างประเทศ ที่จัดงานคอนเสิร์ตที่ชิคาโก โอนเงินมาให้ และมีอีกหลายที่ที่จะจัดคอนเสิร์ตหาเงินช่วย แต่ไปร่วมงานไม่ไหว เลยไม่ได้ไป แต่ถ้าวันไหนที่ร่างกายไหว สามารถไปได้ ก็จะไปร่วม เพราะถือว่าทุกคนตั้งใจช่วย วันที่ 31 มีนาคมนี้ ก็จะไปหาหมอที่ รพ.ศิริราช คุยกับหมอขอคำปรึกษาว่าจะรักษาโดยการบล็อกเส้นเลือด ไม่ให้เลือดไปเลี้ยงส่วนที่เป็นมะเร็ง มันจะทำให้ฝ่อแล้วอาจจะได้ตัดส่วนเนื้อร้ายนั้น จะมีผลข้างเคียงหรือไม่ ยังไม่รู้ว่าจะยังไง

"ช่วงนี้ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ ต้องขอโทษผู้ที่โทรศัพท์มาหาแล้วไม่สามารถติดต่อได้ เพราะผมรู้สึกเหนื่อยมากและเครียด แต่หากใครจะไปสัมภาษณ์ที่บ้าน ก็ยินดี และในวันที่ 3 เมษายนนี้ ผมจะทำบุญเลี้ยงพระที่บ้าน เพื่อเลี้ยงขอบคุณพี่น้องในวงการที่มีส่วนสนับสนุนให้ผมมีเงินรักษาตัว ตอนนี้แม้ร่างกายจะถูกโรคเบียดเบียน แต่สุขภาพใจเต็มร้อย ผมรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น และไม่กลัว เพราะผมไม่ได้ต่อสู้คนเดียว แต่ยังมีกำลังใจอยู่เยอะ" ยอดรักกล่าว

นายไชยามิตรชัย นักร้องลูกทุ่งรุ่นน้อง ได้กล่าวถึงการมาร่วมคอนเสิร์ตในครั้งนี้ว่า อันที่จริง อยากมาร่วมงานตั้งแต่ครั้งแรกที่ทราบข่าวแล้ว แต่ติดคิวงานอยู่ต่างจังหวัด ตอนนั้นตั้งใจจะซื้อของไปเยี่ยม แต่แม่บอกว่าน่าจะเป็นเงินมากกว่า เพราะตอนตัวเองป่วย ก็กินอะไรไม่ลงเหมือนกัน เลยตั้งใจจะนำเงินไปมอบให้อาแอ๊ว ส่วนตัวที่คิดไว้ตอนแรกเลย คิดว่าจะให้ก่อน 1 หมื่นบาท แล้วก็มีการคุยกับเพื่อนนักร้องหลายคนว่า ในดือนพฤษภาคมอาจจะรวมตัวกันจัดคอนเสิร์ตให้อาแอ๊วอีกรอบหนึ่ง

นายไชยากล่าวว่าทั้งยอดรักและสายัณห์ สัญญา ถือเป็นขุนพลเป็นตัวเอกของวงการเพลงลูกทุ่ง จึงอยากให้หันหน้าคุยกันมากกว่า สมัยหนึ่งเคยยกวงลิเกไปประชันกับวงของยอดรักและสายัณห์ ตอนนั้นอาสองคนดังมาก พอรู้ข่าวอาทั้งสองขัดแย้งกัน ก็ไม่ค่อยสบายใจ แต่ความที่เป็นเด็ก เลยไม่สามารถจะบอกอาได้ เพราะเชื่อว่าสองคนคงมีเหตุผลของตัวเอง

จากนั้นเมื่อเวลา21.00 น. นายไชยาได้ขึ้นร้องเพลงบนเวที "ล่องเรือหารัก" พร้อมถือกล่องเดินลงเวทีไปรับบริจาคเงินจากผู้ชม ระหว่างนั้นยอดรักก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวที พร้อมทั้งร่วมร้องเพลงดังกล่าวกับนายไชยา และมีนักร้องลูกทุ่งคนอื่นตามขึ้นไปสมทบด้วย อาทิ รุ่ง สุริยา เสรี รุ่งสว่าง

หลังจากจบเพลงยอดรักได้เผยความในใจบนเวทีว่า "โรคมะเร็ง ถ้าเป็นคนอื่นคงตายไปแล้ว พวกคุณทำให้ผมมีกำลังใจที่จะต่อสู้ ผมมีข่าวดีจะบอกให้แฟนๆ ทุกคนทราบว่า หมอลงความเห็นว่าจะทำการเจาะลงไปบล็อกเส้นเลือดตรงจุดที่เป็นมะเร็งของผม เพื่อที่จะทำให้มันแห้งลง และหายไปโดยปริยาย ซึ่งที่ประเทศอังกฤษได้ทำการรักษาด้วยวิธีนี้ และหายมาแล้ว 99.99% ที่หาย และผมจะเป็นคนไทยคนแรกที่จะรักษามะเร็งครั้งนี้ด้วยวิธีการบล็อกเส้นเลือด การรักษาตรงนี้คนอื่นไม่มีโอกาสทำ เพราะค่าใช้จ่ายหลายล้านบาท ผมก็ไม่มีเงินเหมือนกัน แต่มีคนออกค่าใช้จ่ายให้แก่ผมทั้งหมดในการรักษา ผมคงไม่ต้องบอกว่าเขาเป็นใคร เขาเป็นคนที่ผมเคยพูดถึง เป็นเศรษฐีของเมืองไทยคนเดียวที่เป็นคนออกค่ารักษาให้ผมตลอดทั้งชีวิตนี้ ผมขอกราบขอบพระคุณ แล้ววันใดที่ผมหายจากโรคมะเร็ง ผมจะตอบแทนสังคม และแฟนเพลงของผม จนกว่าทุกคนจะไม่ฟังผม"

จากนั้นยอดรักได้เดินทางกลับในเวลาประมาณ21.45 น. ระหว่างทางแฟนเพลงต่างกรูกันมาให้กำลังใจไม่ขาดสาย ทำให้นักร้องลูกทุ่งชื่อดังมีสีหน้าสดชื่นขึ้น

// //www.komchadluek.net


 

โดย: 041 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 12:31:24 น.  

 

พาณิชย์ปล่อยผีฝรั่งแข่งไทย แก้กม.ต่างด้าวเปิดเสรี4ธุรกิจ

โดย ผู้จัดการรายวัน 31 มีนาคม 2551 00:02 น.


“พาณิชย์”เล็งเปิดเสรีอีก 4 ธุรกิจ ให้เช่า ลิสซิ่ง เช่าซื้อ และแฟคตอริ่ง ภายใต้บัญชีสงวนของกฎหมายคนต่างด้าว หวังดูดต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น ระบุมีแผนเปิดเสรีถึง 12 ธุรกิจ พร้อมตั้งคณะทำงานศึกษาแก้ไขกฎหมายคนต่างด้าวใหม่ หลัง “บรรยิน”ไม่ยืนยันร่างเดิม คาดได้ข้อสรุปภายใน 1 เดือน ด้านลิสซิ่งไทยลั่นพร้อมสู้ต่างชาติหากเปิดเสรีจริง ยันข้อได้เปรียบจากวัฒนธรรมไทย เมื่อแบงก์ชาติออกใบอนุญาตให้แบงก์พาณิชย์ทำธุรกิจนี้เสมือนเปิดเสรีอยู่แล้ว

นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้เสนอการเปิดเสรีธุรกิจบริการในบัญชีแนบท้าย 3 (ธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขันกับต่างชาติ) ของพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 เพิ่มเติมอีก 4 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจให้เช่า ธุรกิจลิสซิ่ง ธุรกิจเช่าซื้อ และธุรกิจแฟคตอริ่ง (การรับซื้อหนี้ทางการค้า) ให้คณะกรรมการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการรับเรื่องไว้ และคาดว่า จะมีมติอนุมัติการเปิดเสรีได้ในการประชุมครั้งต่อไปเดือนเม.ย.นี้

“ที่ประชุมรับเรื่องไว้ก่อน แต่คาดว่า ไม่น่ามีปัญหาอะไร และจะอนุมัติให้เปิดเสรีได้ในการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 24 เม.ย.นี้ โดยธุรกิจลิสซิ่งจะเกี่ยวกับการให้บริการเช่าดำเนินการ และเช่าซื้อ ธุรกิจแฟคตอริ่ง เกี่ยวกับการรับซื้อหนี้ของลูกหนี้ ธุรกิจเช่าซื้อจะเกี่ยวกับการผ่อนส่ง ส่วนในการประชุมครั้งถัดไป กรมฯ จะเสนอให้พิจารณาเปิดเสรีอีกหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจรับจ้างผลิตให้กับบริษัทในเครือ เป็นต้น” นายคณิสสรกล่าว

สำหรับการเปิดเสรีธุรกิจดังกล่าว ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนต่างชาติที่จะเข้ามาลงประกอบธุรกิจในไทย เพราะเป็นธุรกิจที่คนต่างชาตินิยมขออนุญาตมากที่สุด อีกทั้ง พิจารณาแล้วเห็นว่า จะไม่กระทบต่อการดำเนินการธุรกิจของคนไทย โดยก่อนหน้านี้ คณะกรรมการมีมติเปิดเสรีไปแล้วในหลายธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจตัวแทนขาย ธุรกิจตัวแทนขายภูมิภาค ธุรกิจคู่สัญญารัฐ และที่ปรึกษาบริษัทในเครือ

ทั้งนี้ กรมฯ มีแผนที่จะเปิดเสรีธุรกิจบริการ 12 ประเภทในบัญชีแนบท้าย 3 ได้แก่ ธุรกิจนายหน้าหรือตัวแทนธุรกิจค้าภายในเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลทางการเกษตรพื้นเมืองที่ยังไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจเพาะขยายหรือปรับปรุงพันธุ์พืช ธุรกิจบริการ ทั้งธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์ ธุรกิจบริการควบคุมคลังสินค้าและขนส่งภายใน ธุรกิจบริหารจัดการให้แก่บริษัทในเครือหรือในกลุ่ม ธุรกิจโรงรับจำนำ ธุรกิจโรงเรียน และธุรกิจด้านบันเทิง (โรงมหรสพ) ซึ่งขณะนี้สามารถดำเนินการได้แล้วประมาณ 8 ธุรกิจ

นายคณิสสร กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 หลังจากที่พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รมช.พาณิชย์ ไม่ยืนยันร่างแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระ 2 ไปแล้วนั้น ล่าสุดกรมฯ ได้ตั้งคณะทำงานศึกษาประเด็นต่างๆ ที่จะต้องแก้ไขแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือน จากนั้นจะนำเสนอต่อพ.ต.ท.บรรยิน หากผ่านความเห็นชอบก็จะตั้งคณะกรรมการยกร่างแก้ไข เมื่อเสร็จแล้วก็ทำประชาพิจารณ์ และเข้าสู่กระบวนการออกเป็นกฎหมายต่อไป

ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.บรรยิน ระบุว่า ร่างแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ผ่านสนช.วาระ 2 ไปแล้ว ที่มีการแก้ไขนิยามคนต่างด้าวใหม่ ที่ให้เพิ่มอำนาจบริการจัดการ และสิทธิการออกเสียงนั้น ถือว่าเข้มงวดมากเกินไป และเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของคนต่างชาติ จึงจะแก้ไขใหม่เพื่อให้มีความผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ไม่กระทบต่อธุรกิจของคนไทย โดยอาจจะให้คงตามนิยามเดิม ที่พิจารณาเฉพาะสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าวที่ต้องไม่เกิน 49.99% เท่านั้น ส่วนบทลงโทษจะต้องเพิ่มขึ้น เพื่อให้ผู้กระทำผิดหลาบจำ ขณะบัญชีแนบท้าย 3 จะต้องระบุให้ชัดเจนว่า ธุรกิจใดจะเปิดเสรีหรือจะไม่เปิด

***ลีสซิ่งไทยท้าสู้ต่างชาติ
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่ง กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หากรัฐบาลจะมีมาตรการเปิดเสรีธุรกิจเช่าซื้อประเภทต่างๆ จริงก็ถือเป็นเรื่องที่ดีของอุตสาหกรรมแต่การทำธุรกิจต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาการแข่งขันเดียวกัน ซึ่งการที่มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้มากรายเท่าไรก็จะส่งผลดีต่อผู้บริโภคมากขึ้นเพราะผู้บริโภคจะมีสินค้าและบริการที่หลากหลายให้เลือกตัดสินใจมากขึ้น

ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ออกใบอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถดำเนินธุรกิจลีสซิ่งได้ก็เสมือนการเปิดเสรีในธุรกิจประเภทนี้อยู่แล้ว และการที่บริษัทต่างชาติสนใจที่จะทำธุรกิจลีสซิ่งก็ไม่ใช้เรื่องแปลกแต่อย่างใด เนื่องจากในปัจจุบันนี้มีบริษัทต่างชาติเปิดให้บริการในธุรกิจเช่าซื้ออยู่แล้ว ทั้งกลุ่มซิตี้แบงก์และกลุ่มจีอีก็ได้ทำธุรกิจนี้ในประเทศไทยเช่นกัน

ทั้งนี้บริษัทสัญชาติต่างประเทศส่วนใหญ่ที่ทำธุรกิจลีสซิ่งในประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการเท่าที่ควร บริษัทต่างประเทศที่ทำธุรกิจในประเทศไทยสำเร็จนั้นถือว่ายากพอสมควร เนื่องจากวัฒนธรรมของคนไทยมีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ การที่จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจในประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบและกระบวนการทำงานหลายด้านจึงจะประสบความสำเร็จได้แม้ว่าจะมีบริษัทแม่ที่มีเงินทุนที่มหาศาลและต้นทุนที่ถูกกว่าก็ตาม

"ธุรกิจลีสซิ่งของต่างชาติที่ดำเนินการในไทยนั้นแทบจะไม่มีรายใดประสบความสำเร็จสักราย สาเหตุสำคัญก็คือลูกค้าส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็คือคนไทย ยกตัวอย่างเช่น จีอี ที่ประสบความสำเร็จนั้นก็เพราะเขาจ้างคนไทยบริหารงานทำให้รู้วัฒนธรรมและความต้องการของคนไทย หากบริษัทต่างชาติที่เข้ามาเปิดกิจการในไทยโดยใช้นโยบายการทำธุรกิจเช่นเดียวกับที่ทำในต่างประเทศก็คิกว่าคงจะไปไม่รอดกับการทำธุรกิจในประเทศไทยจะต้องปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยให้ได้" นายอิสระกล่าว

 

โดย: 042 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 12:36:11 น.  

 




“กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมด้วยการออกแบบ”

จัดโดย
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
บริษัท ไอดีไซน์พับลิชชิ่ง จำกัด
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2551 เวลา 10.00 - 16.00 น.
ณ ศูนย์การค้า สยามดิสคัฟเวอร์รี่ Activity Room ชั้น 5

10.00-10.30 น. ลงทะเบียน/ชมผลงานการออกแบบเชิงนวัตกรรม พร้อมรับประทานอาหารว่าง


10.30-10.45 น. กล่าวความเป็นมาของการจัดประกวด “โครงการออกแบบเชิงนวัตกรรมเพื่อธุรกิจ” พร้อมทั้งความเป็นมาในการจัดสัมมนา
โดย :
นายศุภชัย หล่อโลหการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ


10.45-12.00 น. บรรยายพิเศษ “การออกแบบและกระบวนการสร้างนวัตกรรม ”
โดย ผศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต
อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Design Principal บริษัท OSISU จำกัด


12.00-13.30 น. เชิญรับประทานอาหารตามอัธยาศัย


13.30-15.30 น. การเสวนา“กระบวนการสร้างนวัตกรรมด้วยการออกแบบ”
โดย :
นายสักกฉัฐ ศิวะบวร
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอดีไซน์ พับลิชชิ่ง จำกัด
ผศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต
อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Design Principal บริษัท OSISU จำกัด
นายเรวัต จินดาพล
กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิสลิลลี่ ฟลาวเวอร์ จำกัด

ดำเนินรายการโดย : นายธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย



15.30-16.00 น. สรุปการสัมมนาและตอบคำถาม

ข้อมูลเพิ่มเติม
นาย พันธพงศ์ ตั้งธีระสุนันท์
โทรศัพท์ 02-644-6000 ต่อ 135
แฟ็กซ์ 02-644-8444

ลงทะเบียนออนไลน์ แผนที่สถานที่จัดงาน


Copyright © 2006 National Innovation Agency. All right reserved.

 

โดย: 043 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 13:03:09 น.  

 

//www.chula.ac.th/chula/th/news/news100351.html
เครื่องปั้นดินเผาไฟต่ำ” ผลงานประดิษฐ์คิดค้น
จากวัสดุเหลือใช้ ประหยัดพลังงาน ลดมลภาวะ


 

โดย: 044 IP: 58.9.146.188 31 มีนาคม 2551 13:29:00 น.  

 

//www.tu.ac.th/news/community/2008/03/24.serm.seminar.htm
สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มธ.จัดสัมมนาบริการวิชาการแก่ประชาชน เริ่ม 4 เม.ย 2551



สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญผู้สนใจฟังการสัมมนาบริการวิชาการแก่ประชาชน ในเดือนเมษายน 2551 ณ ห้องประชุมประภาศน์ อวยชัย ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้

เรื่อง “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในย่านชุมชนเก่า”
ในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2551 เวลา 10.00 – 12.00 น.
ณ ห้องประภาศน์ อวยชัย ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ


เรื่อง “ศิลปวัฒนธรรมไทย : ชมวัด ไหว้พระ ฟังธรรม” ครั้งที่ 24
ในวันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 2551 เวลา 13.00 – 16.00 น.
ณ ศาลาการเปรียญ วัดราชบูรณราชวรวิหาร กรุงเทพฯ บรรยายโดย พระวิทยากรวัดราชบูรณราชวรวิหาร


เรื่อง “โครงการพัฒนาผู้นำเยาวชนเพื่อสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อมไทย”
วันที่ 22 – 29 เมษายน 2551 เวลา 8.00 – 18.00 น.
ณ ห้องประชุม มธ.ศูนย์รังสิต จังหวัดปทุมธานี
(สำนัก จัดร่วมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย) บรรยายโดย รศ.ดร.กำพล รุจิวิชชญ์ ผศ.วีรอร วัดขนาด และวิทยากรจากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (เฉพาะสมาชิกครูและนักเรียนของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย)


เรื่อง “ฝึกลมปราณเพื่อสุขภาพ” ครั้งที่ 4
ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2551 เวลา 13.00-15.00 น.
ณ ห้องประภาศน์ อวยชัย ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ
บรรยายโดย อาจารย์ศุภกิจ นิมมานนรเทพ


เรื่อง “คิดอย่างเป็นสุข”
ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 10.00 – 12.00 น. น.
ณ ห้องประภาศน์ อวยชัย ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ
บรรยายโดย รศ.นพ.กัมมาล กุมาร ปาวา และ รองศาสตราจารย์ชุมพจต์ อมาตยกุล


เรื่อง “รักษาสุขภาพด้วยสมาธิ”
ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 13.00 – 15.00 น.
ณ ห้องประภาศน์ อวยชัย ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ
บรรยายโดย รศ.นพ.กัมมาล กุมาร ปาวา


เรื่อง “การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550”
ในวันพุธที่ 30 เมษายน 2551 เวลา 9.00 – 12.00 น.
ณ โรงแรมลำปางเวียงทอง อ.เมือง จ.ลำปาง
บรรยายโดย วิทยากรจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (สำนัก จัดร่วมกับ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ)
สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญผู้สนใจทุกท่านเข้าร่วมการสัมมนาได้ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-2264396 ต่อ 100
โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มิได้คิดค่าใช้จ่ายหรือเก็บค่าลงทะเบียนแต่อย่างใด




 

โดย: 045 IP: 118.174.110.63 31 มีนาคม 2551 19:38:09 น.  

 

ใบสมัครเข้าสัมมนาทางวิชาการ ประจำปี 2551

ที่ เรื่อง ชื่อผู้เข้าสัมนา ตำแหน่ง ที่อยู่/หน่วยงาน/โทรศัพท์

1 การบริหารความเสี่ยงตามแนวคิดของ

COSO





2 การบริหารความเสี่ยงทางการเงิน

(Financial Risk Management)





3 การประยุกต์เศรษฐกิจพอเพียงกับการ

บริหารจัดการ





4 การนำระบบสมรรถนะมาใช้ให้ประสบ

ความสำเร็จ



5 จิตวิทยาการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า

(Customer Relationship Management)





6 การพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ

(High Performance Organization)





7 การจัดการความรู้

(Knowledge Management)





8 การพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) 1.



9 ปัญหาและอุปสรรคในการประเมินผลงาน 1.



10 ภาพรวมทิศทางทรัพยากรมนุษย์

(HR Outlook)
?? สนใจสอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มธ. ฝ่ายบริการวิชาการ โทร.0 2613 3302-4 โทรสาร 0 2226 5324, 0 2223 8286

E-mail : Venus_L2007@hotmail.com , chinakitk@hotmail.com จำนวนจำนวนจำกัดเพียงหน่วยงานละ 2 ท่าน สถาบันฯ สงวนสิทธิ์ปิดรับสมัครเมื่อเต็มจำนวน 100 ท่าน ต่อโครงการ


 

โดย: 046 IP: 118.174.110.63 31 มีนาคม 2551 20:06:31 น.  

 





หลักสูตรการศึกษา
ระดับปริญญาตรี
-โครงการปริญญาตรี หลักสูตรภาษาไทย
-โครงการปริญญาตรี หลักสูตรภาษาอังกฤษ (BE)
ระดับบัณฑิตศึกษา
-โครงการปริญญาโท หลักสูตรภาษาไทย
-มหาบัณฑิต/ดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรภาษาอังกฤษ
-เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ สิ่งพิมพ์
วาสารเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์
เศรษฐสาร งานวิจัย
ศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ (ERTC)
Discussion Papers สัมมนา การรับสมัคร
ระดับปริญญาตรี
-ปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์(ไทย)
-ปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์(อังกฤษ)
ระดับบัณฑิตศึกษา
-โครงการปริญาโท หลักสูตรภาษาไทย
-มหาบัณฑิต/ดุษฎีบัณฑิต(นานาชาติ)
-เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ บริการทางการศึกษา
ห้องสมุด ป๋วย อึ้งภากรณ์
หอสมุดปรีดี พนมยงค์
ศูนย์คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ กิจการนักศึกษา ศิษย์เก่า
สมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ โครงการแลกเปลี่ยน
Inbound
Outbound บุคลากร
คณะผู้บริหาร
กรรมการประจำคณะและที่ปรึกษา
คณะทำงานและคณะกรรมการเฉพาะกิจ
ทำเนียบคณบดี
คณาจารย์
เจ้าหน้าที่
รายชื่ออีเมล์
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่างๆ และข้อมูลบุคลากร ข่าวและกิจกรรม ลิงก์ หน้าเว็บเดิม
Linkไปที่หน้าเว็บเดิม







สัมมนาเดือนเมษายน 2551
สัมมนา หัวข้อ "“Vulnerabiliy to Poverty with an Application to Thailand”"
วันที่ : วันที่ 9 เมษายน 2551
เวลา : 13.30 - 15.30 น.
สถานที่ : ณ ห้องประชุมชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ท่าพระจันทร์
โดย : Mr. Felix Povel และ Mr. Tobias Lechtenfeld University of Goettingen, Germany
ผู้ดำเนินรายการ : ศ.ดร.ดิรก ปัทมสิริวัฒน์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ไฟล์เอกสาร : seminar_mar_31_naya
สัมมนา หัวข้อ "Income distribution and poverty alleviation for native Hawaiian community"
วันที่ : วันที่ 4 เมษายน 2551
เวลา : 14.00 - 16.00 น.
สถานที่ : ณ ห้องประชุมชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ท่าพระจันทร์
โดย : Professor Seiji Naya, University of Hawaii
ผู้ดำเนินรายการ : ผศ.ดร.เอื้อมพร พิชัยสนิธ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ไฟล์เอกสาร : seminar_mar_31_naya


Page 1 ·
ผู้สนใจสามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณดาราวรรณ รักษ์สันติกุล โทรศัพท์ 0-2613-2404 หรือ seminar@econ.tu.ac.th



คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : 2 ถ.พระจันทร์ เขตพระนคร กรุงเทพ 10200 //www.econ.tu.ac.th
ศูนย์รังสิต : 99 หมู่ 18 ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ. คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12121


 

โดย: 047 IP: 118.174.110.63 31 มีนาคม 2551 20:28:11 น.  

 

“ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน”
คำกล่าวที่ยังคงดังก้องอยู่ในแบบแผนชีวิตของชาวธรรมศาสตร์จนทุกวันนี้ ล่าสุด เปิดโครงการอบรมฟรี
ให้แก่ครูจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดทุกหลักสูตร


มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดโอกาสครูจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าอบรมทักษะเพิ่มเติมช่วงปิดภาคฤดูร้อนนี้ ด้วยการจัดโครงการ อบรม 5 หลักสูตร โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมสนับสนุนค่าเดินทาง ค่าอาหาร และค่าที่พัก สำหรับผู้เข้าอบรมเกือบ 200 คน ตลอดทุกหลักสูตร

ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า การจัดอบรมครูทั้ง 5 โครงการมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนครูผู้เสียสละใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้พัฒนาทักษะเพิ่มเติม ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ และข้อคิดเห็นต่างๆ กับอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจะทำให้สามารถนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนได้ อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลต่อไป ซึ่งการจัดอบรมครั้งนี้เป็นการจัดอบรมแบบให้เปล่า และนอกจากผู้เข้าอบรมจะได้รับ ความรู้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการอบรม ค่าอาหาร และค่าที่พัก ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ยังได้รับค่าเบี้ยเลี้ยง บางส่วนด้วย

โครงการบริการสังคมทั้ง 5 โครงการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 21 – 25 เมษายน 2551 ซึ่งประกอบด้วย

โครงการอบรมครู เรื่อง “รู้จักเศรษฐกิจไทย” สำหรับครูที่สอนระดับมัธยมศึกษาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ จำนวน 60 คน รับผิดชอบโครงการโดย ศูนย์ศึกษาความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (APEC) มธ.
โครงการอบรมภาษาอังกฤษ สำหรับครูที่สอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา จำนวน 30 คน รับผิดชอบโครงการโดย สถาบันภาษา มธ.
โครงการอบรมครูด้านชีววิทยาพืชและพันธุศาสตร์ สำหรับครูที่สอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทางด้านชีววิทยา จำนวน 30 คน รับผิดชอบโครงการโดย ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ.
โครงการอบรมครูเกี่ยวกับการใช้ Internet และ Animation เพื่อเป็นสื่อการสอนเคมีระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับครูที่สอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทางด้านเคมี จำนวน 30 คน รับผิดชอบโครงการโดย ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ.
โครงการอบรมครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 30 คน รับผิดชอบโครงการโดย ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ.
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชลยืน หงส์ไพศาลวิวัฒน์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ
โทรศัพท์ 0-2564-4444 ต่อ 1014, 08-9788-2973
หรือที่คุณจุฑาภรณ์ พรรณพลีวรรณ กองบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
โทรศัพท์ 0-2564-4444 ต่อ 1755-6



 

โดย: 048 IP: 118.174.110.63 31 มีนาคม 2551 20:40:13 น.  

 

//www.tu.ac.th/news/2008/02/27.htm#510227-052a/
ขอเชิญประชาคมธรรมศาสตร์ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
“ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.....”
วันอังคารที่ 18 มีนาคม 2551 ณ มธ. ศูนย์รังสิต
และ วันพุธที่ 2 เมษายน 2551 ณ มธ.ท่าพระจันทร์


มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนำไปสู่การเป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
ในวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2551 เวลา 09.00 -12.00 น.
ณ ห้องกิจกรรม หอสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
และ ในวันพุธที่ 2 เมษายน 2551 เวลา 15.00-18.00 น.
ณ ห้อง วส. 102 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

รองศาสตราจารย์ หริรักษ์ สูตะบุตร รองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล ให้สัมภาษณ์ว่า ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้สอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับร่าง ดังกล่าวอย่างไม่เป็นทางการ มายังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป

หลังจากที่มหาวิทยาลัยได้รอดูพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยและสถาบันอื่นๆซึ่งมีการแก้ไขทั้งในระดับคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ในระดับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จนมีความชัดเจนพอสมควรแล้ว ขณะนี้เห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่จะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น จากประชาคมธรรมศาสตร์เพื่อที่จะได้แก้ไข ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป

อนึ่ง พระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติในรอบปีที่ผ่านมา และมีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐแล้ว มีดังนี้ คือ

- พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2551 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551
- พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยทักษิณ พ.ศ.2551 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551
- พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ.2551 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 9 มกราคม 2551
- พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 26 ธันวาคม 2550 พ.ศ. 2550
- พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ.2550 ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 16 ตุลาคม 2550

ส่วน ร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. ... และร่าง พ.ร.บ. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พ.ศ. ... อยู่ในระหว่างการรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ไม่รวมมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนสภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นต้น

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงขอเชิญชวนทุกท่านไปร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ....
ในวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น.
ณ ห้องกิจกรรม หอสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
และ ในวันพุธที่ 2 เมษายน 2551 ตั้งแต่ เวลา 15.00-18.00 น.
ณ ห้อง วส. 102 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่งานประชาสัมพันธ์
โทรศัพท์ 0-2613-3030-3 หรือ 0-2222-8873

 

โดย: 049 IP: 118.174.110.63 31 มีนาคม 2551 20:53:05 น.  

 

วงการแพทย์ พลาดไม่ได้ ! สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญทดลองใช้ฐานข้อมูล UpToDate


สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญทดลองใช้ฐานข้อมูล UpToDate ซึ่งเป็นฐานข้อมูลด้านการตรวจรักษาพยาบาล การวินิจฉัยโรค บทความครอบคลุมอายุรแพทย์เฉพาะทาง เช่น โรคหัวใจ โรคต่อมไร้ท่อ เวชศาสตร์ครอบครัว โรคไขข้อ โรคระบบทางเดินหายใจ ความดันโลหิต สูติ-นรีเวชศาสตร์ กุมารเวชศาสตร์ฯลฯ
ฐานข้อมูลนี้เขียนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางชั้นนำมากกว่า 3,300 ท่าน และนำข้อมูลมาจากวารสารทางการแพทย์มากกว่า 375 ฉบับ ซึ่งจะแสดงผลคำตอบที่นำไปปฏิบัติได้จริงและน่าเชื่อถือจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ บทความแสดงความคิดเห็น ในวงการแพทย์มีการปรับข้อมูลให้ทันสมัยทุกๆ สี่เดือน โดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โรงพยาบาลจอห์น ฮอปกินส์ และคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเมโย
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถทดลองใช้ได้แล้ววันนี้ที่ //library.tu.ac.th/
ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 เมษายน 2551

 

โดย: 050 IP: 118.174.110.63 31 มีนาคม 2551 21:10:32 น.  

 

'เหวง-สันต์'นำถกสรุปเสนอแก้รธน.ทั้งฉบับชูปี40ต้นแบบ

31 มีนาคม พ.ศ. 2551 20:05:00

สมาพันธ์ปชต.นำระดมขบวนการแก้ไขรธน.สรุปเสนอแก้ทั้งฉบับ ชูรธน.ปี40 ต้นแบบ พร้อมตั้งกก.เฉพาะกิจ ดึง"คณิน"ร่วมด้วย ประชุมนัดแรก1เม.ย. เปิดตัวครบ4เม.ย.

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ที่โรงแรมเดอะแกรนด์ ถ.รัชดาภิเษก ในนามสมาพันธ์ประชาธิปไตย และกลุ่มแนวร่วม จัดเสวนาระดมความคิดเห็นเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 โดยมีตัวแทนพรรคการเมือง อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 2540 อดีต ส.ว. - ส.ส. เช่น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และโฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ อดีตประธานกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนของวุฒิสภา และอดีตนายกสภาทนายความ นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตส.ส.ร. 2540

นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ตัวแทนพรรคพลังประชาชน และองค์กรภาคประชาชน เช่น นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย และอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปก.) รุ่น 1 นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานกลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญปี 2540 และอดีตแกนนำ นปก.รุ่น 1 นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย แกนนำแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการ(นปช.) และนายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เลขาธิการสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ร่วมเสวนา

นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ประชาธิปไตย เป็นประธานประชุมระดมความเห็น ซึ่งมีขอผู้เข้าร่วมประชุมจากตัวแทน 35 องค์กร จาก 8 กลุ่ม คือ นักวิชาการอิสระ องค์กรประชาธิปไตย องค์กรประชาชน อดีต ส.ส.ร. อดีต ส.ส. - ส.ว. พรรคการเมือง ผู้ใช้แรงงาน และตัวแทนนิสิตนักศึกษา กว่า 100 คน ได้ขอมติว่าเห็นด้วยที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือไม่

ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุม รวมทั้ง นายพงษ์เทพ นายคณิน และสมาชิกพรรคพลังประชาชน ต่างยกมือโหวตเสียงเอกฉันท์ให้แก้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 โดยมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ยกมือ

ถัดมา นพ.สันต์ ประธานที่ประชุม ได้ขอเสียงที่ประชุมโดยตั้งคำถามว่า ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บางมาตรา หรือแก้ทั้งฉบับ ปรากฏว่าผู้ร่วมประชุมทั้งหมดยกมือเป็นเอกฉันท์ให้แก้ไขทั้งฉบับ

ซึ่งคำถามสุดท้ายว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะให้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้ง หรือให้ยึดรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นตัวตั้งแล้วแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง ซึ่งที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้ง ขณะที่นายพงษ์เทพ ไม่ร่วมออกเสียงยกมือโหวตในประเด็นหลังนี้

ส่วนมาตรการเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญนั้น นพ.เหวง เสนอว่า 1.รวบรวมรายชื่อ 50,000 ชื่อ เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมให้มี 3 มาตรา โดยกำหนดให้ยกเลิกรธน.ปี 50 แล้วให้นำรธน.ปี 40 มาใช้ 2.ผลักดันพรรคพลังประชาชน และรัฐสภาเป็นผู้นำขับเคลื่อนแก้รธน.

นอกจากนี้ยังมีการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเคลื่อนไหวการแก้ รธน.ของภาคประชาชนด้วย โดยเชิญนักวิชาการ และนายคณิน ร่วมเป็นกรรมการ และเสนอให้นายจรัล ดิษฐาอภิชัย เป็นประธานชั่วคราว ทั้งนี้จะมีการนัดประชุมเพื่อเลือกคณะกรรมการภายในวันพรุ่งนี้ (1 เม.ย.) เวลา 13.00 น. ที่มูลนิธิดวงประทีป นอกจากนี้จะเปิดตัวคณะกรรมการขับเคลื่อนแก้ไข รธน.ในวันที่ 4 เม.ย.นี้ เพื่อวางแผนเคลื่อนไหวในสถานศึกษาทั่วประเทศ และจัดเวทีพบประชาชนทั่วประเทศ

3.ผลักดันรัฐสภาให้แก้ รธน. พร้อมจัดให้มีการปราศรัยใหญ่ กทม. และทั่วประเทศ เพื่อให้ความรู้ประชาชน และให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสนอประเด็นแก้ รธน. ขณะที่ รัฐบาลไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ควรทำหน้าที่แก้ปัญหาประเทศและเป็นเพียงผู้สนับสนุนว่าจะแก้ไข รธน.เท่านั้น และไม่ขอสนับสนุนวิธีการรวบรวมรายชื่อประชาชน 50,000 ชื่อเพราะเป็นการเสียเวลา

นายพงษ์เทพ กล่าวถึงข้อบกพร่องของ รธน.ปี 50 ว่า มีมาก ซึ่งเนื้อหาใน รธน.ปี 50 ไม่เป็นประชาธิปไตย เหมือนฉบับปี 40 เพราะบรรยากาศการยกร่าง รธน.แตกต่างกัน ซึ่งปี 2540 การยกร่าง รธน.บรรยากาศเป็นไปเพื่อปฏิรูปการเมืองและเพื่อประชาธิปไตย ขณะที่ ปี 2550 คณะผู้ร่าง ยกร่าง รธน.เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง และคณะที่แต่งตั้งผู้ยกร่างขึ้นมา โดยเนื้อหาที่เห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย

เช่น กระบวนการได้มาของ ส.ว. ที่ให้มี ส.ว.เลือกตั้ง 76 จังหวัดๆ ละ 1 คน ทั้งที่พื้นที่ กทม. มีประชากรหลายล้านคนกลับเลือกตัวแทน เป็น ส.ว.ได้เพียงเดียว ขณะที่จังหวัดซึ่งมีประชากรน้อยกว่าสามารถเลือกตัวแทน ส.ว.ได้ 1 คนเหมือนกัน แล้ว ส.ว.ในส่วนของการสรรหา กลับให้คณะบุคคล 7 คน เป็นผู้เลือกเข้ามาโดยไม่มีมาตรฐานในการสรรหา และการสรรหาก็คัดเลือกจากคนที่คณะกรรมการสรรหาเคยเห็นหน้าเห็นตากันอยู่เท่านั้น หรือไม่ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับบุคคลที่เป็นคณะกรรมการสรรหาเอง ซึ่งส่วนตัวแม้เป็น 1 ในคนบ้านเลขที่ 111 ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปร่วมแก้ไข รธน. แต่เห็นว่าเมื่อเราเคยใช้ รธน.ปี 40 มาจนรู้ว่าส่วนใดบกพร่อง ขณะที่ รธน.ปี 50 เมื่อยิ่งถูกนำมาใช้ก็ยิ่งเห็นข้อบกพร่อง ดังนั้นในการแก้ไข รธน. ควรที่จะนำ รธน. ปี 40 เป็นหลักในการพิจารณาแก้

ด้านนายคณิน กล่าวว่า เวลานี้ไม่ว่าจะแก้ หรือไม่แก้ รธน.ก็ยุ่ง เพราะมีทั้งกลุ่มที่ต้องการให้แก้ และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่กลุ่มไม่เห็นด้วยที่จะให้รัฐบาลพลังประชาชน แก้ไข รธน.ที่มีการเสนอแก้มาตรา 237 นั้น โดยมีผู้ยกร่าง รธน.ปี 50 ออกมาอ้างว่า มาตรา 237 ใน รธน.ปี50 เป็นการต่อยอดจาก รธน.ปี 40 นั้น ตนในฐานะที่เป็นผู้ยกร่าง รธน. ปี 40 ยืนยันว่า มาตรา 237 วรรคสอง และมาตรา 68 วรรคสี่ ไม่เคยมีปรากฏใน รธน.ปี 40 มาก่อน และไม่ใช่เนื้อหาที่เป็นส่วนต่อยอดมาจาก ปี 40 อย่างแน่นอน แต่มาตรา 237 วรรคสอง เป็นผลพวงมาจากการต่อยอดจาก มาตรา 35 ใน รธน.ฉบับชั่วคราวปี 2549 และประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ที่คณะรัฐประหารให้อำนาจตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่ศาล พิจารณายุบพรรค และให้ลงโทษด้วยการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี นี่คือเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของคณะรัฐประหารที่แต่งตั้งคณะผู้ยกร่าง รธน.ปี 50 เพื่อต้องการสกัดกั้นทุกวิถีทางไม่ให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่เป็นปรปักษ์เข้ามามีส่วนในประชาธิปไตย แต่พยายามให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มเข้ามาบริหารปกครองเพื่อสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร แต่หลังเลือกตั้งเกิดเป็นปรากฏการณ์ผิดฝาผิดตัวคือ พรรคพลังประชาชน ได้รับเลือกกลับเข้ามาและได้จัดตั้งรัฐบาล






 

โดย: 051 IP: 118.174.188.160 31 มีนาคม 2551 22:06:29 น.  

 

ณฐนนท'เล่นกลับผู้ว่าฯ กทม.ร้อง 'ดีเอสไอ'สอบฮั้วประมูลซื้อรถ'บีอาร์ที' 300 ล้าน
// //www.matichon.co.th
วันที่ 31 มีนาคม 2551 - เวลา 17:39:25 น.




เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 31 มีนาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัดกรุงเทพมหานครได้เข้าพบ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อยื่นเอกสารหลักฐานให้ดีเอสไอตรวจสอบความไม่โปร่งใสของโครงการประกวดราคาจัดซื้อรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ ของกรุงเทพมหานคร (BRT) จำนวน 45 คัน เป็นเงินกว่า 300 ล้านบาท

คุณหญิงณฐนนท กล่าวว่า ตนได้รับข้อมูลจากข้าราชการในกรุงเทพมหานครถึงความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อรถบีอาร์ที โดยมีการฮั้วประมูลการจัดซื้อ อีกทั้งสเปครถยนต์ผิดไปจากสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง จากเดิมกำหนดให้มี 37 ที่นั่ง แต่เมื่อมีการส่งมอบรถยนต์เหลือเพียง 34 ที่นั่ง นอกจากนี้ราคาในการจัดซื้อยังสูงเกินความเป็นจริง เบื้องต้นทราบว่ามีการประมูลซื้อรถบีอาร์ทีคันละ 7 ล้านบาท ทั้งที่ราคาในท้องตลาดขายเพียง 4 ล้านบาท ตนจึงรวบรวมข้อมูลหลักฐานมายื่นให้ดีเอสไอตรวจสอบ

พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า การประมูลตามโครงการดังกล่าว มีการเปิดประมูลมาตั้งแต่กลางปี 2550 ที่ผ่านมา ในขั้นตอนการประมูลมีบริษัทเอกชน จำนวน 2 รายที่ผ่านการคัดเลือก และมีคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสมตามเงื่อนไข และบริษัทที่ประมูลราคาได้มีการเสนอขายรถให้กทม.คันละ 7 ล้านบาทเศษ แต่ราคาที่ขายในท้องตลาดราคาเพียง 4 ล้านบาทเศษ สูงกว่าราคาท้องตลาดถึงคันละประมาณ 3 ล้านบาท อดีตปลัดกทม.จึงต้องการให้ดีเอสไอช่วยดำเนินการตรวจสอบว่าการจัดซื้อจัดจ้างโครงการดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณไปจำนวนมากอย่างไร

รายงานข่าวว่า การจัดซื้อรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ ของกรุงเทพมหานคร (BRT) จำนวน 45 คัน เป็นเงินกว่า 300 ล้านบาท ตามแผนยุทธศาตร์การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในกทม.ของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) มุ่งลงทุนในการขนคนมากกว่าขนรถ เพื่อเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าที่รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการ ด้วยการนำระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษขนส่งมวลชน(BRT) ที่แยกการเดินรถออกจากกระแสการจราจรอื่น มีเลนพิเศษชิดเกาะกลางถนนและสถานีเฉพาะที่อำนวยความสะดวก มีศูนย์ควบคุมและบริหารจัดการเดินรถ โดยใช้ระบบขนส่งอัจฉริยะ(ITS : Intilligent Transport System) ที่มีตารางการเดินรถและเวลาที่ค่อนข้างแน่นอน เพื่อความตรงต่อเวลาและปลอดภัย โดยมีอัตราค่าโดยสารเทียบเท่ารถปรับอากาศเท่านั้น

 

โดย: 052 IP: 118.174.188.160 31 มีนาคม 2551 22:34:18 น.  

 



'ณฐนนท' อดีตปลัดกทม. ยื่นหลักฐานจัดซื้อ'บีอาร์ที' ส่อฮั้วประมูล-ผิดสเปก เหตุราคาสูงกว่าตลาด 3 ล.บาท ขณะที่ 'อภิรักษ์' ปัดตอบ อ้างอยู่ระหว่างพักงาน รองผู้ว่าฯ กทม.ยังโปร่งใส ชี้แพงเพราะรวมค่าบำรุง ยันได้ราคาจาก ก.คลัง อัดส่อเกมการเมือง

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าพบ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อยื่นเอกสารหลักฐานให้ตรวจสอบความไม่โปร่งใสโครงการประกวดราคาจัดซื้อรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษของกรุงเทพมหานคร (บีอาร์ที) จำนวน 45 คัน เป็นเงินกว่า 300 ล้านบาท

คุณหญิงณฐนนท กล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากข้าราชการกทม. ระบุว่าโครงการจัดซื้อรถบีอาร์ทีส่อไปในทางมีการฮั้วประมูล อีกทั้งสเปครถยนต์ผิดไปจากสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง จากเดิมกำหนดให้มี 37 ที่นั่ง แต่เมื่อส่งมอบรถยนต์เหลือเพียง 34 ที่นั่ง ในราคาสูงเกินความเป็นจริง เบื้องต้นทราบว่ามีการประมูลซื้อรถบีอาร์ทีคันละ 7 ล้านบาท ทั้งที่ราคาในท้องตลาดขายเพียง 4 ล้านบาท

ด้านพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีบริษัทเอกชน 2 รายที่ผ่านการคัดเลือก บริษัทที่ประมูลราคาได้เสนอขายรถคันละ 7 ล้านบาทเศษ แต่ราคาท้องตลาดราคาเพียง 4 ล้านบาทเศษ สูงกว่าถึงคันละประมาณ 3 ล้านบาท อดีตปลัด กทม.จึงขอให้ตรวจสอบว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) ทำให้รัฐสูญเสียงบฯไปจำนวนมากอย่างไร

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าว โดยบอกว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการยุติบทบาทการทำหน้าที่ผู้ว่าฯกทม. ดังนั้น จึงอยากให้นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯกทม.ในฐานะรักษาราชการผู้ว่าฯกทม.เป็นผู้ชี้แจง

ขณะที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าฯกทม. ในฐานะกำกับดูแลโครงการบีอาร์ที กล่าวยืนยันว่า การประมูลจัดซื้อรถบีอาร์ทีโปร่งใส เป็นการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-auction) การที่ผู้ร้องระบุว่าการจัดซื้อรถแพงเกินจริง จากราคาตลาดคันละ 4 ล้านบาท แต่ กทม.จัดซื้อคันละ 7 ล้านบาทนั้น เชื่อว่าผู้ร้องรับทราบข้อมูลในเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) ไม่ครบถ้วน เพราะในจำนวน 7 ล้านบาทนั้น ได้รวมค่าซ่อมบำรุงตัวรถเป็นเวลา 3 ปี คันละประมาณ 1 ล้านบาทด้วย

'ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรระหว่างการวิ่งให้บริการ ผู้จัดซื้อจะต้องรับภาระในการซ่อมบำรุงทั้งหมด ซึ่งหากดูสเปครถบีอาร์ทีจะเห็นว่ามีคุณภาพมาตรฐานที่ดีกว่ารถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพราะนำแบบรถมาจากอเมริกาและเกาหลี เป็นรถใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีกำลังขับ 230 แรงม้า มีดิสเบรกล้อ มีจอแอลซีดีด้านหน้ารถ' นายพนิช กล่าวและว่า ที่ผ่านมา ในการเปิดประมูลครั้งแรกมีเอกชนมารับซองประมูลจำนวน 18 ราย แต่เมื่อถึงกำหนดเปิดซอง กลับไม่มีเอกชนรายใดมายื่นซอง จากการสอบถามเหตุผล บริษัทส่วนใหญ่ระบุว่า ราคาที่ กทม.ตั้งไว้ต่ำเกินไป จึงไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ ทำให้ กทม.ต้องล้มการประมูลครั้งแรก และเปิดประมูลครั้งที่ 2 โดยใช้ทีโออาร์เดิมและไม่มีการเพิ่มราคากลาง เพราะราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ได้มาจากกระทรวงการคลัง และเปรียบเทียบราคาจากการจัดซื้อรถของ ขสมก.แล้ว

นายพนิช กล่าวว่า เมื่อเปิดประมูลครั้งที่ 2 มีเอกชนเข้ายื่นซอง 2 ราย ได้แก่ บริษัท เบสลินท์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ปริญ อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต ซึ่งสุดท้ายบริษัท เบสลินท์ ชนะการประมูลด้วยวงเงินกว่า 387 ล้านบาท ในการจัดซื้อรถบีอาร์ทีจำนวน 45 คัน และ กทม.ตั้งใจเปิดวิ่งบริการรถบีอาร์ทีในเดือนสิงหาคมนี้ จึงตั้งข้อสังเกตว่าการออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เป็นเพราะต้องการให้โครงการบีอาร์ทีของ กทม.ต้องล่าช้า หากเรื่องนี้เป็นเรื่องการเล่นเกมการเมืองแสดงว่าผู้ร้อง ไม่ได้นึกถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

'ยอมรับว่า กทม.ซื้อแพง แต่ในสัญญานี้รวมราคาตัวรถและค่าซ่อมบำรุงถึง 3 ปี ดังนั้น ผู้ร้องควรกลับไปดูรายละเอียดในทีโออาร์ให้ชัดเจน ผมมั่นใจว่าคณะกรรมการทุกชุดที่เกี่ยวข้องกับโครงการบีอาร์ทีสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น' รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าว
// //www.matichon.co.th

 

โดย: 053 IP: 118.174.188.160 31 มีนาคม 2551 22:43:42 น.  

 

// //www.thaipost.net
เลี้ยบเบรกภาษีมือถือ3จีช้าอุ้มทีโอที-กสทฯ


31 มีนาคม 2551 กองบรรณาธิการ

เลี้ยบเล็งดึงกฎหมายสรรพสามิต 4 ฉบับกลับมาดูใหม่ อัดแนวคิดกลับมาเก็บภาษีโทรคมนาคมคิดแยกส่วน ไม่ได้ดักคอ "ระนองรักษ์" จะขึ้นภาษีตัวไหนต้องคุยกันก่อน กทช.ชี้ออกใบอนุญาต 3 จีช้า ช่วยทีโอที-กสทฯ




นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ร่างกฎหมายของกรมสรรพสามิตทุกฉบับคงต้องมีการนำกลับมาพิจารณาใหม่ ก่อนจะตัดสินใจเดินหน้าเสนอแก้ไขตามกระบวนการต่อไป โดยขณะนี้กระทรวงการคลังยังไม่ได้มีการยืนยันร่างกฎหมายฉบับใด เนื่องจากในช่วงนี้ต้องการเน้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน

อย่างไรก็ดี ในส่วนท่าทีต่อแนวคิดที่มีข้อเสนอให้กลับไปเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคมอีกนั้น เห็นว่า ณ วันนี้ ควรมองว่าจะปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจในกิจการโทรคมนาคมให้สามารถแข่งขันในระบบได้เสียก่อน ซึ่งจะต้องมีการคิดวิธีการพัฒนาไปทั้งระบบเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีในกิจการนี้ ที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องอื่นๆ เช่น การร่วมลงทุนกับเอกชน การพัฒนาไปสู่ระบบ 3 จี เป็นต้น ทั้งนี้ จะคิดแยกส่วนแค่ว่าจะเก็บหรือไม่เก็บภาษีเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้

นพ.สุรพงษ์กล่าวด้วยว่า การพิจารณาว่าจะมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในสินค้าใดเพิ่มเติมบ้างนั้น เบื้องต้นคงให้ ร.ต.ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง ที่ได้รับแบ่งงานให้กำกับดูแลกรมสรรพสามิตเป็นผู้พิจารณาในเบื้องต้น แต่ในขั้นการตัดสินใจคงต้องมีการหารือร่วมกันด้วย ทั้งนี้ สำหรับร่างกฎหมายของกรมสรรพสามิต 4 ฉบับที่ยังค้างอยู่ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ร่าง พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ร่าง พ.ร.บ.สุรา และร่าง พ.ร.บ.ยาสูบ

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า ภายในปีนี้ กทช.น่าจะออกใบอนุญาต (ไลเซนส์) 3 จี ให้กับผู้ประกอบการโทรคมนาคมได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ กทช.ต้องล่าช้านั้น เนื่องจากต้องการศึกษาผลดีและผลเสียก่อนที่จะมอบใบอนุญาต เพราะหากออกใบอนุญาตให้กับบริษัทเอกชนรายใดรายหนึ่งไปในขณะนี้ ก็อาจจะส่งผลเสียต่อบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากบริษัทที่อยู่ภายใต้สัญญาสัมปทาน อาจจะมีการดึงลูกค้าจากสัมปทานเดิมไปดำเนินธุรกิจภายใต้สัมปทานใหม่ ทำให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งสูญเสียรายได้

ด้านนายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. กล่าวว่า ขณะนี้ กทช.ได้เห็นชอบประกาศกฎเกณฑ์จัดสรรและบริหารเลขหมายฉบับใหม่ ซึ่งตามกฎใหม่จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลและช่วยกลั่นกรองเรื่องการขอเลขหมายจากผู้ประกอบการโทรศัพท์โดยเฉพาะ ซึ่งขณะนี้ได้มี บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ที่ได้ยื่นขอมาบริษัทละ 4 ล้านเลขหมาย.

 

โดย: 054 IP: 118.174.188.160 31 มีนาคม 2551 23:00:14 น.  

 



สถาบันการเรียนรู้และสร้างสรรค์ (สรส.) ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และเปิดโลกการเรียนรู้ให้แก่เยาวชนไทย ขอเชิญท่านหรือตัวแทนของท่านร่วมงานแถลงข่าว “ท่องแดนพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม” ซึ่งนับเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการค้นคว้าด้วยตนเองที่ใช้เทคโนโลยีมัลติมีเดียอย่างสมบูรณ์แบบ ณ พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม ถนนสนามไชย (กระทรวงพาณิชย์เดิม) ในวันพุธที่ 2 เมษายน 2551 เวลา 10.00 – 12.00 พร้อมพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ที่จะมาร่วมเปิดประสบการณ์การเรียนรู้ และย้อนเวลาสู่ยุคสมัยและความรุ่งเรืองของดินแดนสุวรรณภูมิของประเทศไทย
ทั้งนี้ ท่านสามารถยืนยันการเข้าร่วมงาน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์ ติดต่อ คุณกมลชนก วัฒนะธารี (กบ) โทร. 02-204-8071 หรือ 081-994-9450

กำหนดการ
10.00 – 10.30 น. สื่อมวลชนลงทะเบียน รับประทานอาหารว่าง และรับเอกสารข่าว

10.30 – 10.40 น. พลเรือเอกฐนิธ กิตติอำพน
ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้และสร้างสรรค์ (สรส.)
กล่าวถึงความสำเร็จในการจัดตั้ง “พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม” และ
การเปิดให้สาธารณชนเข้าชม

10.40 – 10.45 น. ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบริหาร สบร.
กล่าวแสดงความยินดี

10.45 – 11.30 น. ถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน
เยี่ยมชม “พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม”

11.30 – 12.00 น. ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบริหาร สบร.
ตอบข้อซักถามสื่อมวลชน ณ ห้องประชุม อาคารพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้
- นโยบายและทิศทางการดำเนินงานของ สบร. ในอนาคต
- แนวทางการเพิ่มทุนทางปัญญาให้กับคนไทยเพื่อให้สามารถแข่งขันกับ
ต่างชาติ
- ความชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างของ สบร. และหน่วยงานเฉพาะด้าน

12.00 น.เป็นต้นไป จบงาน / สื่อมวลชนเข้าชมตามอัธยาศัย

 

โดย: 055 IP: 118.174.139.4 1 เมษายน 2551 19:19:20 น.  

 

บริษัท แซส ซอฟแวร์ (ไทยแลนด์) จํากัด ร่วมกับ บริษัท Risk Technology International Ltd. จัดงานสัมมนา “Moving Beyond in Financial Services The Milestones Infrastructure for Multiple Regulatory & Compliance” ในการนำเสนอการบริหารจัดการข้อมูลทั้งหมดภายใต้แพลทฟอร์มเดียว เพื่อรองรับมาตรฐานการบริหารจัดการความเสี่ยงให้เป็นไปหลักเกณฑ์ข้อบังคับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และที่สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กำหนด ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน Basel II, IAS39, RAROC (Risk-Adjusted Return on Capital), Economic Capital, AML, รวมถึง Fraud เป็นต้น ในวันพุธที่ 2 เมษายน 2551 เวลา 8.30-16.30 น. ณ ห้อง Pinnacle 1-2 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล

 

โดย: 056 IP: 118.174.139.4 1 เมษายน 2551 19:30:24 น.  

 



กำหนดการสื่อมวลชนสัญจร ติดตามผลการปฏิบัติราชการตามกรอบนโยบาย 6 มิติ ของผู้ว่าฯ กทม. เพื่อมุ่งพัฒนากรุงเทพมหานครสู่ “กรุงเทพฯ เมืองสวรรค์”
ณ บ้านหนังสือริมบึงสีกัน หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์, สถานีรถไฟหลักสี่ และปากซอยวิภาวดี 64 เขตหลักสี่ วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน 2551 เวลา 08.30 – 14.00 น.

เวลา 08.30 น. - ลงทะเบียนสื่อมวลชน บริเวณหน้ากองประชาสัมพันธ์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า)

เวลา 09.00 น. - พร้อมออกเดินทางจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) สู่บริเวณบ้านหนังสือริมบึงสีกัน
หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ เขตหลักสี่

เวลา 10.00 น. - นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะ และสื่อมวลชน เดินทางมาถึง
เยี่ยมชมการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณบึงสีกัน เพื่อเป็นสวนสาธารณะสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
ของประชาชน
เยี่ยมชมบ้านหนังสือ
ชมผลงานการลดปริมาณขยะของชาวชุมชนเมืองทองฯ ด้วยการแปรรูปขยะเป็นจุลินทรีย์น้ำ
ชมผลงานการปรับปรุงที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งประชาชนร่วมกันจัดทำสวนแนวตั้ง โดยใช้วัสดุเหลือใช้
และขยะทิ้งขว้างปิดล้อมพื้นที่ฯ โอกาสนี้รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มอบไม้แขวน เพื่อประดับ
สวนแนวตั้ง พร้อมเชิญชวนชาวเมืองทองฯ รดน้ำจุลินทรีย์เพื่อบำรุงรักษาสวนแนวตั้ง

เวลา 11.15 – 11.20 น. - นายวัลลภ สุวรรณดี พร้อมคณะ นำสื่อมวลชนเดินทางจากหมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ไปเยี่ยมชม
การพัฒนาปรับปรุงวินรถจักรยานยนต์รับจ้างสถานีรถไฟหลักสี่
ชม การปรับปรุงภูมิทัศน์ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยจัดทำสวนแนวตั้งและซุ้มดอกไม้, การรณรงค์
คัดเลือกขยะ, การพัฒนาจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ และการจัดระเบียบพื้นที่จอดรถจักรยานยนต์

เวลา 11.30 – 11.35 น. - เดินทางจากวินจักรยานยนต์รับจ้างสถานีรถไฟหลักสี่ไปยังปากซอยวิภาวดี 64 เพื่อเยี่ยมชมโครงการ
“พัฒนาผู้ค้าวิภาฯ เขตหลักสี่ ให้เป็นแนวหน้า แห่งมหานคร”
ชม การพัฒนาจัดระเบียบผู้ค้าจุดผ่อนผันวิภาวดีฯ 64 ประกอบด้วย การจัดทำสวนแนวตั้ง,
การสร้างระเบียบจุดผ่อนผันโดยใช้ร่ม กันสาด และผ้าปูโต๊ะ สีเดียวกัน และการปรับผิวทางเท้า
การพัฒนาสุขาภิบาลอาหารริมบาทวิถีซึ่งผู้ค้ามีการบำบัดน้ำทิ้งด้วยถังดักไขมัน
ติดตามการขานรับนโยบายรณรงค์เปิดบัญชีพอเพียงโดยผู้ค้าในจุดผ่อนผัน

เวลา 12.00 น. - รับประทานอาหารกลางวัน ณ บริเวณโครงการฯ สัมผัสบรรยากาศจุดผ่อนผัน “ผู้ค้าแนวหน้า แห่งมหานคร”

เวลา 13.00 น. - เดินทางกลับศาลาว่าการ กทม.โดยสวัสดิภาพ

 

โดย: 057 IP: 118.174.139.4 1 เมษายน 2551 19:42:39 น.  

 

มร. ฮิโรยูกิ มุโตะ ผู้อำนวยการส่วนการขายและการตลาด บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นประธานในงานเปิดตัว “กล้องวิดีโอพานาโซนิครุ่นใหม่ AG-HPM72” สำหรับตากล้องมืออาชีพและผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ โดยได้รับความร่วมมือจาก ชยันต์ โล่ห์ปิติ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มาเป็นวิทยากรและสาธิตการใช้งานร่วมโปรแกรมตัดต่อไฟนอลคัท (Final Cut) ในวันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน 2551 ณ ห้อง ซาลอน บี โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ เวลา 9.00 น. – 16.00 น.

 

โดย: 058 IP: 118.174.139.4 1 เมษายน 2551 19:52:50 น.  

 

ขอเชิญเข้าอบรมเชิงปฏิบัติการ (ฟรี) “ความรู้เบื้องต้นการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับผู้สูงวัย” วันที่ 9-10 เมษายน 2551 เวลา 09.00-16.00 น. ณ ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ R 804 มหาวิทยาลัยนเรศวร ศูนย์วิทยบริการกรุงเทพมหานคร เนื้อหา 1.การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร (Internet, Email เน้นการรับส่งเมล์) 2.การค้นคว้าข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต (การใช้ search engine, การใช้ portal site) คุณสมบัติผู้เข้าอบรม 1. อายุ 40 ปี ขึ้นไป (นับถึงวันสมัคร) สามารถนำผู้ดูแลมาด้วยได้ เช่น บุตรหลาน 2. สามารถใช้เม้าสน์และคีย์บอร์ดได้บ้าง ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ 1. สมัครด้วยตนเอง พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ที่ ม.นเรศวร-กรุงเทพ (เพลินจิต) หรือ โทรศัพท์สำรองที่นั่ง ที่หมายเลข 0-2655-3700 และส่ง Fax สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมเขียนหมายเลขโทรศัพท์มือถือ โดยส่ง Fax ยืนยันการสำรองที่นั่ง ที่หมายเลขโทรสาร 0-2655-3699 3. โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันการรับเอกสารทางแฟกซ์ 2. รอรับ SMS แจ้งยืนยันการเข้าร่วมโครงการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่งานประชาสัมพันธ์ หรือ ติดต่อ นายนพดล ชุมภูวิลาส หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการ เปิดทำการทุกวัน //www.nubkk.nu.ac.th โทรศัพท์ 026553700 โทรสาร 026553699

 

โดย: 059 IP: 118.174.139.4 1 เมษายน 2551 20:00:07 น.  

 


งาน ดนตรี ชีวี มิตรภาพ
โดย : กลุ่มดนตรีวง คารามาย เมื่อ : 31/03/2008 11:15 AM
คอนเสิร์ตเพื่อระดมทุนช่วยเหลือ "หลิว" สมาชิกวงคารามาย เพื่อนที่ได้รับอุบัติเหตุช่วงปีใหม่เพื่อเป็นทุนช่วยเหลือในการรักษาพยาบาล

กำหนดการวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๑
ณ ร้าน ฅนหลังเขา ซ.มหาดไทย (รามคำแหง 65)

- ๑๗.๐๐-๑๗.๓๐ น. เริ่มงานชี้แจงวัตถุประสงค์
- ๑๗.๓๐-๑๙.๓๐ น. ดนตรีจากวงแม่น้ำ
- ๑๙.๓๐-๒๑.๓๐ น. ดนตรีจากวง อัง อิสรภาพ
- ๒๑.๓๐-๒๒.๓๐ น. ดนตรีจากวง คารามาย

วงดนตรีคารามาย เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นในช่วงที่เป็นนักศึกษา ม.รามฯ รวมตัวจากมิตรภาพจากหลากหลายชมรม เบียร์,หลิว จากชมรมรามอีสาน กุ๊จัง จากเสื่อมฯ นาย จาก ศนอ.


ที่มาที่ไป "จุดแรกในการมองเห็นร่วมกันคือการสืบสานเพลงเพื่อชีวิตจริงๆและเป็นแนวร่วมขบวนภาคประชาชนเท่าที่จะสามารถทำได้ คารามายจึงส่งตัวเองเข้าประกวดโฟร์คซองในรามฯ ช่วงปี ๒๕๔๖ ได้รับกำลังจากมิตรสหายจนคาดไม่ถึง จนทำให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ หลังจากนั้นได้แยกย้ายกันด้วยภารกิจการงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ก็ยังรวมตัวเล่นดนตรีขึ้นเวทีพี่น้องภาคประชาชนเป็นครั้งคราว ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องสายสลัม แรงงาน และอีกหลายๆ ที่ๆ ไปช่วยได้โดยไม่ได้คิดถึงค่าตอบแทนเป็นสำคัญ

จนเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๑ หลิว ได้รับอุบัติเหตุที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นจากการโดนทำร้ายร่างกาย ขณะนี้ผ่านไปหลายเดือนแล้วยังไม่รู้สึกตัว ทางสมาชิกวงคารามาย จึงคิดที่จะระดมทุนช่วยเหลือเท่าที่เพื่อนพ้องน้องพี่จะช่วยได้ ขอขอบคุณสำหรับน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยจิตศรัทธา คารามาย

หมายเหตุ --- หลังบัตรเขียนส่งเป็นกำลังให้กับหลิว ทางเราจะขอบคุณมากทางคนจัดมีขนมจีนน้ำยาจัดให้ พร้อมน้ำชากาแฟ ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ หาเองนะ

ติดต่อซื้อบัตรได้ที่
084-768-9383(เบียร์) 087-019-9809 (กุ๊)



 

โดย: 060 IP: 118.174.124.162 1 เมษายน 2551 21:07:04 น.  

 

//www.thaingo.org/prboard_1/view.php?id=7261
สัปดาห์แห่งกิจกรรมรณรงค์เรื่องเอดส์ - หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเสียง
โดย : Asia Pacific Network of People Living with HIV/AIDS เมื่อ : 31/03/2008 07:56 AM
คุณคิดว่าโลกเราได้ต่อสู้อย่างที่สุดหรือยังเพื่อยับยั้งโรคเอดส์ ร่วมกันกิจกรรมในประเทศของคุณเพื่อแสดงให้โลกเห็นถึงการทำงานร่วมกัน

เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมกับเพื่อนผู้รณรงค์ทั่วโลกในสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ถึง ๒๔ พฤษภาคม เพื่อเรียกร้องถึงการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ความโปร่งใสในการปฎิบัติงาน และเงินทุนเพื่อต่อสู้กับเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์

ทำไม - นักวิชาการ สื่อมวลชน รวมทั้งนักการเมืองต่างยอมรับถึงผลกระทบของโรคเอดส์ที่มีต่อครอบครัว สังคม และ เศรษฐกิจของโลก แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วง ๒๕ปีที่ผ่านมา ผลกระทบของโรคนี้ยังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คนจำนวนกว่า ๖๐๐๐ คนเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ในแต่ละวัน โดยที่สองในสามของผู้มีเชื้อเอชไอวีนั้นยังเข้าไม่ถึงการรักษา ในขณะที่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้มีเชื้อเอชไอวีทั้งหมดเป็นเพศหญิง สถานการณ์การแก้ไขปัจจุบันนั้นยังไม่ครอบคุมถึงการละเมิดสิทธิสตรี ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี

ในระหว่าง ๒ ปีที่ผ่านมา ช่วงสัปดาห์แห่งกิจกรรมรณรงค์เรื่องเอดส์ นักกิจกรรมต่อต้านและหยุดยั้งโรคนี้ได้จัดกิจกรรมใน ๓๐ ประเทศทั่วโลกเพื่อเป็นการเตือนเหล่าประเทศผู้นำของโลกในรักษาคำมั่นสัญญาที่จะต้องสู้กับโรคเอดส์ที่พวกเขาได้ให้ไว้ในการประชุมสมัชชาประจำปีขององค์กรสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เหล่าประเทศผู้นำได้ให้สัญญาว่าจะประกาศใช้นโยบายการเข้าถึงการรักษาสากล ซึ่งหมายถึงการรณรงค์การป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวี ตลอดจนการดูแลรักษาผู้มีเชื้อเอชไอวี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการรักษาสากลได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๓

การที่จะลดจำนวนผู้เสียชีวิตโดยโรคเอดส์ทั้งในชาย หญิง และเด็กนั้น ให้ได้ภายใน ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ นั้น รัฐบาลของแต่ละประเทศจะต้องมีการกำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุการเข้าถึงการรักษาสากล ( Universal Access) ให้ชัดเจน และบริษัทยาต่างๆจะต้องคำนึงถึงผู้ป่วยเป็นอันดับแรก แทนที่จะคำนึงถึงแต่กำไร ประเทศที่พัฒนาแล้ว

เช่นประเทศในกลุ่ม จีแปด (G8) จะต้องให้ความร่วมมือในด้านการเงิน เพื่อรักษาและยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี ตามที่ได้กล่าวไว้

ในช่วงสัปดาห์รณรงค์หยุดยั้งโรคเอดส์ เราจะต้องมั่นใจว่า เสียงของประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักโดยโรคนี้ อาทิเช่น เมือง อบูจา พนมเปญ เดลลี ลิลองเว รวมไปถึงประเทศไทยนั้น ได้ถูกส่งไปถึงรัฐบาลของแต่ละประเทศ เพื่อให้รัฐบาลรับรู้ว่าปัญหาเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์นั้น ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างคลอบคลุม ก่อนที่รัฐบาลจะรายงานถึงการดำเนินกิจกรรมและสถานการณ์ของเอชไอวีในแต่ละประเทศ กลับไปยังองค์กรสหประชาชาติ

เมื่อไร - สัปดาห์แห่งการรณรงค์กิจกรรมเรื่องเอดส์นั้น จะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑๘ ถึง ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และเป็นโอกาสของเราทุกคนที่จะร่วมมือกันเรียกร้องให้รัฐบาลเริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สัปดาห์นี้จะเริ่มด้วยวัน International Aids Candlelight Memorial ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่คนทั้งโลกจะร่วมกันรำลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตจากโรคเอดส์โดยการจุดเทียน สัปดาห์นี้เป็นช่วงเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์ ก่อนที่จะมีการจัดการประชุมระดับสูงขององค์กรสหประชาชาติ เพื่อถกเถียงรายงานความคืบหน้าของสถานการณ์โรคเอดส์ที่รัฐบาลของแต่ละประเทศทั่วโลกรายงาน

ในช่วงเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงเวลาที่มีการประชุมกลุ่ม จีแปด (G8) ที่จะมีขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น เราจะต้องทำให้กลุ่มผู้นำ จีแปดตระหนักว่าโลกกำลังจับตามองนโยบายการเงิน ว่าเงินที่สนับสนุนนี้ได้ถูกใช้เพื่อการพัฒนาสถานการณ์โรคเอดส์อย่างแท้จริง เพื่อบรรลุเป้าหมายของการเข้าถึงการรักษาสากล (Universal Access)

อย่างไร - ณ. ตอนนี้ จึงถึงปลายเดือนพฤษภาคม พวกเราจะต้องรวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรม เรียกร้องต่อรัฐบาลของท่านเอง คุณสามารถที่จะแลกเปลี่ยนแผนการ ความคิด เกี่ยวกับกิจกรรมของท่านกับเพื่อนร่วมรณรงค์ในประเทศต่างๆ ผ่านทางเวปไซต์ //www.globalaidsweek.org การสื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นช่วยหล่อหลอมกิจกรรมของแต่ละประเทศเข้าด้วยกันและเป็นการส่งเสียงที่หนักแน่นถึงผู้นำของโลก

คุณพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมในช่วงนี้หรือยัง เริ่มจากตัวของคุณเองโดยการส่งอีเมล์ เล่าถึงแผนกิจกรรมที่ท่านคิดขึ้น ไปยัง info@globalaidsweek.orgแล้วทางเราจะนำกิจกรรมของท่านมาระบุไว้ในลิสต์ของประเทศแกนนำกิจกรรม หลังจากนั้นคุณสามารถเข้าไปยังเวปไซต์เพื่อดูกิจกรรมของคุณในลิสต์

กิจกรรมครั้งนี้ไม่มีสำนักงานกลางและผู้จัดตั้ง กลุ่มที่มีรายชื่อข้างล่างนี้เป็นเพียงกลุ่มที่สนับสนุนให้มีการทำกิจกรรมเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณและองค์กรของคุณ ความสำเร็จของสัปดาห์แห่งการรณรงค์โรคเอดส์นี้ ขึ้นอยู่กับการทุ่มเทของเราทุกคนและการทำงานในระบบเครื่อข่าย ตลอดจนองค์กรภาคีต่างๆในแต่ละประเทศ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้เราจะต้องแสดงให้โลกเห้นถึงความร่วมมือร่วมใจของเราโดยการจัดกิจกรรมในแต่ละประเทศของเรา

เข้าไปดูกิจกรรมที่จัดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ที่
www.globalaidsweek.org

กลุ่มองค์กรสนับสนุน
ActionAid International
African Civil Society Coalition on AIDS
AIDS and Rights Alliance for Southern Africa (ARASA)
Asia Pacific Network of People Living with HIV/AIDS (APN+)
The Coalition of Asia Pacific Regional Network on HIV/AIDS (The Seven Sisters)
Global Network of People Living with HIV/AIDS (GNP+)
Health & Development Network (HDN)
International HIV and AIDS Alliance
International Treatment Preparedness Coalition (ITPC)
MWENGO (Mwelekeo Wa Ngo)
Pan-African Treatment Access Movement (PATAM)
Treatment Action Campaign (TAC)
World AIDS Campaign (WAC)

•การเข้าถึงการรักษา •หยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน •หยุดการตั้งเงื่อนไขของผู้ให้ทุน •มาตราการป้องกันการระบาดที่เหมาะสม• หยุดการละเมิดสิทธิผู้หญิง •การลงทุนเพื่อสนับสนุนทรัพยากรบุคคลทางด้านการสาธารณสุข• หยุดการตีตราและการเลือกปฏิบัติ •ระบบสาธารณสุขเพื่อส่วนรวม•


หนึ่งอาทิตย์ที่จะทำให้ผู้นำของคุณรักษาคำมั่นสัญญา เราทุกคนจะต้องร่วมมือกัน

 

โดย: 061 IP: 118.174.124.162 1 เมษายน 2551 21:19:25 น.  

 

//www.thaingo.org/prboard_1/view.php?id=7259
โครงการนำสื่อมวลชนติดตามสถานการณ์สิ่งแวดล้อมประมงชายฝั่งอันดามัน
โดย : สมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้ เมื่อ : 31/03/2008 07:47 AM
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 เดือนกุมภาพันธ์ 2551 กลุ่มประมงพาณิชย์อวนลากอวนรุนจังหวัดภูเก็ตจำนวน 36 คน ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช ขอให้เพิกถอนประกาศกระทรวงฯห้ามใช้เครื่องมืออวนลากอวนรุนจับสัตว์น้ำจังหวัดกระบี่ ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2550 โดยให้เหตุผลว่า ประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะประมงอวนลากอวนรุนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ข้อมูลทางวิชาการไม่เพียงพอ รัฐมนตรีเซ็นเพราะถูกกดดันจากสมัชชาคนจน ทำให้ชาวประมงอวนลากและอวนรุนไม่มีพื้นที่ทำการประมง ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกลดลง ประกาศดังกล่าวไม่ได้ส่งเสริมการอนุรักษ์เพราะเป็นปลาที่ย้ายถิ่นมาจากที่อื่น มาตรการเดิมเช่น แนวเขต 3,000 เมตรและการปิดอ่าวเป็นการอนุรักษ์ที่เพียงพออยู่แล้ว หากประกาศใช้อาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขการส่งออกหรือจีดีพี และธุรกิจต่อเนื่องจากประมงเช่น โรงน้ำแข็งและโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ

พัฒนาการและกฎหมายเกี่ยวข้องกับการทำประมง

“ทะเลและชายฝั่งประเทศไทยตลอดความยาว 2,614 กิโลเมตรมีความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายสูงและเป็นฐานของทรัพยากรที่สำคัญของประเทศไทยทั้งในแง่ของแหล่งอาหาร การท่องเที่ยวและการส่งออกสัตว์น้ำ รวมทั้งเป็นฐานทรัพยากรหล่อเลี้ยงชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน 3,797 หมู่บ้าน 56,859 ครัวเรือน”

“สืบเนื่องจากการออกกฎหมายจาก พรบ.ค่าน้ำ รศ.120 เป็น พรบ.ประมง 2490 และในปี 2492 กรมประมงได้ส่งเสริมให้กิจการประมงหันมาใช้เครื่องจักรในการจับสัตว์น้ำโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาฝึกสอนลูกเรือไทย หลังจากนั้นการทำประมงขนาดใหญ่ได้โดยเฉพาะอวนลากหน้าดินได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปริมาณการจับสัตว์น้ำที่ได้เพิ่มขึ้น และค่อย ๆ ลดจำนวนลงหลังปี 2520 เพราะระบบนิเวศน์ไม่สามารถฟื้นตัวได้ทันกับปริมาณที่ต้องการจับและเทคโนโลยีที่ทันสมัย”

“ทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน นักวิชาการ ชาวประมง ต่างก็ตระหนักและพยายามแก้ไขปัญหาร่วมกันผลักดันมาตรการในการอนุรักษ์เพื่อรักษาความสมดุลของอัตราการผลิตของธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ ให้ยกเลิกเครื่องมือประมงที่มีผลในการทำลายสัตว์น้ำวัยอ่อน และทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทำให้มีการกำหนดนโยบายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 และ 9 แผนปฏิบัติการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในช่วงดังกล่าว ซึ่งระบุว่า อวนรุนและอวนลากเป็นเครื่องมือทำลายระบบนิเวศน์ชายฝั่งและสิ่งแวดล้อม โดยรัฐจะดำเนินมาตรการเปลี่ยนหรือยกเลิกเครื่องมือประมงที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และจัดทำแนวเขตห้ามทำการประมงด้วยเครื่องมือทำลายสิ่งแวดล้อมในเขต 3,000 เมตรนับจากขอบน้ำชายฝั่ง บทสรุปในงานศึกษาของคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนนโยบายที่ระบุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับดังกล่าว ไม่มีการนำข้อสรุปไปดำเนินการปฏิบัติ”

“แต่ภายใต้รัฐบาลไทย กรมประมงไทย และกฎหมายประมงฉบับเดียวกัน เราจะพบว่าบางจังหวัดอย่างเช่น ตรัง สตูล กระบี่ หน่วยงานในระดับจังหวัดโดยความร่วมมือกับชาวประมงพื้นบ้านและองค์กรพัฒนาเอกชน สามารถตรวจจับและริบเรือประมงที่ฝ่าฝืนกฎหมายเข้าไปทำการประมงในเขต 3,000 เมตร ได้เป็นจำนวนมาก ขณะที่จังหวัดภูเก็ต จับได้บ้างแต่ริบเรือไม่ได้โดยอ้างว่าติดขัดข้อกฎหมาย จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช จับได้จำนวนน้อยมากขณะที่มีการฝ่าฝืนเป็นปกติประจำวัน ส่วนที่จับได้มีโทษปรับไม่เกิน 3,000 บาท”

การอนุรักษ์ชายฝั่งคือความยั่งยืนของท้องทะเลและอาชีพประมงพื้นบ้าน

“ชาวประมงพื้นบ้านเป็นประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับที่อาศัยอยู่ตลอดแนวชายฝั่ง มีเรือหางยาวขนาดเล็กตั้งแต่ 8 - 12 เมตร ทำการประมงด้วยเครื่องมือดักจับสัตว์น้ำหรือเครื่องมือประมงพื้นบ้านบริเวณใกล้ชายฝั่งไม่สามารถออกไปหากินไกล ๆ ได้ ที่ผ่านมาชาวประมงพื้นบ้านเรือหางยาวมีปัญหาเรืออวนรุนอวนลากเข้ามาในเขตและทำลายเครื่องมือประมงขนาดเล็ก เช่น ไซหมึก อวนปูของชาวบ้านทำให้ไม่มีเงินลงทุนอีกก่อให้เกิดความขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง”

“เมื่ออวนรุน อวนลากเข้ามากวาดกุ้งหอยปูหาปลาและความหลากหลายของระบบนิเวศน์เสร็จแล้ว เครื่องมือขนาดเล็กดักจับสัตว์น้ำได้ปริมาณที่น้อยลงไม่เพียงพอกับการดำรงชีพและไม่คุ้มกับการลงทุน เมื่อหน้าดินใต้ท้องทะเลถูกกวาด ความหลากหลายถูกทำลาย กว่าระบบนิเวศน์บริเวณนั้นจะฟื้นตัวกลับคืนต้องใช้เวลานานกว่าปกติของธรรมชาติ”

“สมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้มีความเห็นว่า เครื่องมือการประมงที่ดีต้องเป็นเครื่องมือที่เลือกจับสัตว์น้ำเฉพาะอย่าง ขณะที่ใช้เครื่องมือทำการประมงต้องไม่พลิกหน้าดินใต้ทะเล ไม่ทำลายหญ้าทะเล หรือปะการัง เป็นเครื่องมือที่ไม่จับสัตว์น้ำวัยอ่อน และไม่ทำลายหรือเบียดเบียนเครื่องมือประมงของชาวประมงคนอื่นๆ ซึ่งทำการประมงในทะเลเดียวกัน”

“ การออกประกาศของกระทรวงฯ เป็นเพียงการออกประกาศห้ามเครื่องมือบางชนิดที่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้ห้ามให้ใครทำประมงที่กอบโกยทรัพยากรเกินขอบเขตที่ระบบนิเวศน์จะฟื้นตัวได้ ถ้าทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องร่วมกันดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์ทั้งทางนโยบายกฎหมายนำไปสู่การปฎิบัติอย่างจริงจังโดยการปรับเปลี่ยนเครื่องมือให้สอดคล้องและไม่เป็นศัตรูกับธรรมชาติเพื่อรักษาระบบระหว่างมนุษย์และธรรมชาติให้มีความสมดุลย์”

จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงเรื่องราวและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับชายฝั่งอันดามันที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมงพื้นบ้าน ปะการังและทรัพยากรหลังได้รับการส่งเสริมเร่งการจับสัตว์น้ำเพื่อส่งออกเพื่อนำสู่ความเข้าใจต่อสาธารณะ

วัตถุประสงค์

๑. นำนักข่าวลงพื้นที่ศึกษาสถานการณ์สิ่งแวดล้อมประมงชายฝั่งอันดามัน ลัดเลาะแนวเขต ๕,๔๐๐ เมตร และแนวเขตตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับพิพาท เพื่อศึกษาสภาพทรัพยากร ข้อเท็จจริง และวิถีชีวิตชาวประมงขนาดเล็ก ข้อเสนอจากแง่มุมต่าง ความคิดเห็นของชาวบ้าน นักวิชาการ หน่วยงานผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ เพื่อนำเสนอต่อสาธารณะเพื่อร่วมกันหาทางออกและทางเลือกสำหรับการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมระหว่างมนุษย์และทรัพยากร

วันเวลาดำเนินการ
ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ และ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๑
เจ้าภาพร่วม
๑. สมาคมนักข่าวสิ่งแวดล้อม
๒. สมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้
๓. ศูนย์กฎหมายและสิทธิชุมชนพื้นที่อันดามัน

กำหนดการ โครงการนำสื่อมวลชนติดตามสถานการณ์สิ่งแวดล้อมประมงชายฝั่งอันดามัน
ล่องเรือเลาะแนวเขต ๕,๔๐๐ เมตร ตามประกาศกระทรวงเกษตรฯปี ๕๐ เพื่อการอนุรักษ์
ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ เมษายน ๒๕๕๑
ณ ทะเลอันดามัน ตรัง กระบี่ พังงา

วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๑

เวลา ๐๙.๐๐ น. - นัดพบที่ท่าเรือแหลมกรวด อ.เหนือคลอง จ.กระบี่

- วัตถุประสงการล่องเรือเลาะแนวเขตประกาศกระทรวงฯฉบับพิพาท
- ออกเดินทางล่องทะเลเลาะแนวเขตอนุรักษ์ ๕,๔๐๐ เมตร
- ลงเรือล่องทะเลอันดามันศึกษาข้อเท็จจริงของทะเล
- สถานการณ์ทะเลชายฝั่งอันดามัน
- วิถีชาวประมงพื้นบ้าน
- ดำน้ำสำรวจแหล่งปะการัง/เครื่องมือประมงพื้นที่บ้าน ที่ได้รับความเสียหายจากการใช้เครื่องมืออวนรุน อวนลาก

เวลา ๑๗.๐๐ น. - ศึกษาชุมชนประมง วิถีวัฒนธรรมชาวบ้านเกาะปอ

วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๑

เวลา ๐๗.๐๐ น. - รับประทานอาหารเช้า/กาแฟ/ขนมพื้นบ้านแบบชาวประมง

เวลา ๐๘.๐๐ น. - ออกล่องทะเล ( ต่อ )

เวลา ๑๒.๐๐ น. - รับประทานอาหารเที่ยงในเรือ

เวลา ๑๙.๐๐ น. - กลับถึงที่พัก ( อยู่ระหว่างการติดต่อ )
- ศึกษาชุมชนประมง วิถีวัฒนธรรมชาวบ้านเกาะปู

วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๑

เวลา ๐๗.๐๐ น. - รับประทานอาหารเช้า

เวลา ๐๘.๐๐ น. - สรุปภาพรวมการล่องทะเลและแนวทางการรณรงค์

เวลา ๑๒.๐๐ น. - รับประทานอาหารเที่ยง/สรุป/แยกย้ายกันกลับ

วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.เป็นต้นไป

- รวมติดตามข่าวการรณรงค์รวบรวมรายชื่อชาวประมงพื้นบ้านเพื่อร้องสอดขอเป็นจำเลยร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ
- กิจกรรมรณรงค์เพื่อทำความเข้าใจกับพี่น้องจังหวัดกระบี่และสาธารณะ ณ หน้าศาลากลางและบริเวณตัวจังหวัดจังหวัดกระบี่

คณะประสานงาน
สมยศ โต๊ะหลัง ๐๘๖-๖๘๖๔๑๔๒ ,วิโชคศักดิ์ รณรงไพรี ๐๘๑-๕๓๙๑๙๐๐ , อาหลี ชาญน้ำ ๐๘๖-๕๙๖๒๘๐๗ , สุทธิพงษ์ ลายทิพย์ ๐๘๙-๖๖๖๑๒๗๙

 

โดย: 062 IP: 118.174.124.162 1 เมษายน 2551 21:30:36 น.  

 


เสนอโครงการศึกษาวิจัย การทำงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรทางบก หรือการใช้หมวกนิรภัย
โดย : โครงการส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัย เมื่อ : 31/03/2008 07:44 AM
โครงการส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัย (Community Youth Helmet Use Project) สนับสนุนโดยกองทุนพัฒนาสังคมแห่งประเทศญี่ปุ่น (JSDF) และธนาคารโลก (World Bank)

ขอเชิญสถาบันการศึกษา องค์กรหรือหน่วยงานที่มีประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรทางบก หรือการใช้หมวกนิรภัย เข้าร่วมเสนอโครงการศึกษาวิจัย มูลค่า US$ 50,000 เพื่อการประเมินสถานการณ์ กำกับติดตาม และประเมินผลโครงการส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัย ที่จะดำเนินการในช่วง เมษายน 2551- สิงหาคม 2552

สนใจติดต่อแจ้งความจำนงเข้ารับฟังสรุปแนวทางการศึกษาวิจัยในวันที่ 1 เมษายน 2551 ได้ที่

คุณนวลอนงค์ โลหิตกุล ผู้ประสานงานโครงการฯ สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ
อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 ชั้น 22 ถนนรัชดาภิเษก คลองเตย กรุงเทพ 10110
โทรศัพท์ 02- 661- 8201 ต่อ 293, 081- 821-2490
E-Mail: nuananong.lohitakul@ifrc.org
ทั้งนี้มีกำหนดการปิดรับข้อเสนอโครงการภายในวันที่ 9 เมษายน 2551


 

โดย: 063 IP: 118.174.124.162 1 เมษายน 2551 21:39:21 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11693


thaiclimate : จากบาหลีสู่กรุงเทพฯ เมื่อโลกร้อนเจอโลกเงียบ





โดย //www.thaiclimate.org





เริ่มจากวันนี้ไปตลอดทั้งสัปดาห์ ผู้แทนกว่าพันคนจาก 190 ประเทศ จะเริ่มเจรจาถกมาตรการแก้ไข และรับมือปัญหาโลกร้อนรอบใหม่ที่กรุงเทพฯ หลังจากได้ข้อตกลงเบื้องต้นมาจากบาหลีเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แต่อย่าว่าแต่คนไทยทั่วไปจะไม่ได้ยินเกี่ยวกับการประชุมนี้ คนกรุงเทพฯ ที่ผ่านไปมาแถวถนนราชดำเนินนอกที่ตั้งของตึกสหประชาชาติก็อาจจะไม่ทราบว่าข้างในเขากำลังต่อรองเรื่องที่กำลังจะมีผลกระทบต่อมนุษย์และโลกใบนี้มหาศาล



“ทำไมนักข่าวไทยไม่สนใจการประชุมนี้เลย” ดร.สิตานนท์ เจษฎาพิพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ผู้ตามติดปัญหาโลกร้อน แสดงความแปลกใจหลังจากที่เห็นมีนักข่าวเพียงสามคนไปงานสัมมนาที่เตรียมสำหรับสรุปชี้ประเด็นการประชุมเพื่อช่วยนักข่าวไทยทำการบ้าน ที่ห้องประชุมที่มีขนาดจุ 40-50 คนที่จุฬาฯ เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา



นักข่าวที่ไปร่วมประชุมในวันนั้นยังไม่ทันตอบ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ผู้โด่งดังในวงการวิชาการโลกร้อนของไทยก็ตอบแทนว่า แต่อย่าว่าแต่นักข่าวไม่มา ผู้แทนจากสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ที่นำทีมเจรจาของไทย ซึ่ง ดร.สิตานนท์เชิญมาให้ความรู้กับนักข่าวว่าไทยเราเตรียมประเด็นอะไรบ้างที่สำคัญกับประเทศก็ยังไม่มา



ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าภาพใหญ่ของประเด็นโลกร้อนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Framework Convention on Climate Change -UNFCCC) ได้เปิดให้ประเทศและองค์กรต่างๆ เสนอความคิดเห็นล่วงหน้าสำหรับ ประเด็นที่จะมาถกกันที่กรุงเทพฯ และการเจรจารอบต่อๆ ไปเพื่อจัดทำแผนรับมือโลกร้อนหลังจากพิธีสารเกียวโตจะหมดการบังคับใช้ลงในปี 2012 ในขณะที่หลายประเทศยื่นข้อเสนอกันคึกคัก เพื่อวางกรอบการเจรจาที่จะให้ผลประโยชน์กับประเทศตัวเองมากที่สุด ไทยเรากลับไม่ได้เสนออะไรเลย



กระนั้นก็ตามยังมีข่าวชิ้นเล็กๆ จากสำนักข่าวไทยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ ดร.เกษมสันต์ จิณาวาโส เลขาธิการสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ว่า ไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมโลกร้อนรอบใหม่เพราะเราจริงจังแก้ปัญหามาตลอด เรามีแผนยุทธศาสตร์รับมือกับปัญหาในประเทศ แถมยังมีโครงการซื้อขายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้กลไก Clean Development Mechanism (CDM) ตั้ง 15 โครงการแล้วด้วย



ใครที่ติดตามการรับมือปัญหาโลกร้อนในไทย คงแปลกใจกับคำกล่าวของดร.เกษมสันต์ ว่าไทยเราทำอะไรไปมากมาย เพราะว่าเอาเข้าจริง จนถึงขณะนี้ที่โลกร้อนเป็นประเด็นมาสิบกว่าปี ไทยเรายังไม่มีแผนที่มีรูปธรรมในทางปฏิบัติ นอกจากมีตัวเลขเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้ว่ากรุงเทพฯ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ตั้งไว้สูงจนกระทั่งนักวิชาการคนเขียนแผนเองยังสงสัยว่าจะทำได้อย่างไร เพราะ กทม. ขาดอำนาจที่จะดำเนินการตามมาตรการส่วนมากที่กำหนดไว้ในแผน โครงการต่างๆ ภายใต้ CDM ก็เป็นโครงการของภาคเอกชนที่ทำมาเพื่อขายคาร์บอนเครดิตให้ต่างชาติที่ไม่ต้องการลดการปล่อยคาร์บอนในประเทศตัวเอง หาได้ทำมาเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศไทยเองไม่



ส่วนประเด็นที่ว่าทำไม UNFCCC เลือกมาจัดประชุมครั้งนี้ที่กรุงเทพฯ ทางผู้จัดไม่ได้ให้เหตุผลชัดเจน แต่เหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะการประชุมครั้งเดือนธันวาที่บาหลี เป้าหมายจริงคือมาจัดกรุงเทพฯ เพราะไทยไปเสนอตัวและถูกรับเลือกจากเหตุผลที่ไทยพร้อมกว่าเรื่องสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก แต่เมื่อไทยเจอรัฐประหาร 19 กันยา UNFCCC จึงกลับลำไปเลือกบาหลีแทน เพราะอินโดนีเซียเป็นประเทศที่เสนอตัวเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ฝรั่งหลายคนไม่เต็มใจไปเพราะยังจำภาพเหตุการณ์ระเบิดใหญ่จากการก่อการร้ายได้อยู่



ที่บาหลี ถึงแม้จะเป็นการประชุมที่ใกล้บ้าน แต่มีนักข่าวไทยไปไม่เกิน 5 คนจากกองทัพนักข่าวนานาชาติเกือบทุกสำนักหลายพันคน คนไทยจึงได้รับรู้เรื่องนี้อย่างฉาบฉวยจากการรายงานข่าวที่แปลมาจากสำนักข่าวต่างประเทศ รัฐบาลไทยที่ส่งผู้แทนไป (เที่ยว) บาหลีตั้ง 50 กว่าคนก็เลยสบายไม่ต้องมานั่งให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าตัวเองมาทำอะไร



การที่สังคมไทยให้ความสนใจเรื่องการเจรจาระหว่างประเทศน้อย อาจเป็นเพราะคนไทยพร้อมจะเชื่อแบบเดิมๆ (และขี้เกียจๆ) ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาไกลตัว และเป็นเรื่องของประเทศรวย ความจริงหลายประเทศกำลังพัฒนาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน นักกิจกรรมจากอินโดนีเซียที่มาประชุมที่กรุงเทพๆ ก็แฉรัฐบาลตัวเองเหมือนกันว่าเพิ่งจะมาสนใจเรื่องโลกร้อนก็เมื่อมารู้ตัวว่าจะได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมที่บาหลีเมื่อปีที่ผ่านมา



แต่ว่าเราจะเพิกเฉยแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน รายงานประเมินความเสียหายจากภาวะโลกร้อนหลายต่อหลายฉบับสรุปตรงกันว่าประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะที่ติดทะเล ประเทศที่เป็นหมู่เกาะ จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากการแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศไม่น้อยไปกว่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่จะต่างก็ตรงที่เรามีทรัพยากรในการรับมือและปรับตัวน้อยกว่า คนของเราจึงอาจได้รับผลกระทบมากกว่า ดังเช่น ผลงานวิจัยล่าสุด ของ OECD ชี้ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองอันดับที่เจ็ดของโลก ซึ่งจะได้รับผลกระทบด้านอุทกภัยอย่างรุนแรงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการทรุดตัวของแผ่นดิน



ถ้าจะเกี่ยงรอให้ประเทศรวยรับผิดชอบเรื่องนี้ก่อนก็ไม่แน่ว่าจะหวังได้มากนัก การประชุม UNFCCC ที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้จะมีวาระหลักอันหนึ่งว่าด้วยการหามาตรการช่วยให้ประเทศพัฒนาแล้วที่มีพันธะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพิธีสารเกียวโตภายในปี 2012 ทั้งนี้เนื่องจากหลายประเทศเช่นแคนาดา เยอรมันนี มีแนวโน้มว่าจะลดไม่ได้ตามเป้า เรื่องนี้ ดร.อานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกร้อนของไทยเตือนทีเล่นทีจริงให้จับตาดูว่าประเทศรวยเหล่านี้จะใช้เวทีกรุงเทพฯเป็นที่ฮั้วกันลดเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยใช้เทคนิควิธีการหรือศัพท์แสงใหม่ๆหรือเปล่า



นอกจากนี้ประเทศรวย โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่นอกจากไม่ยอมมีพันธะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพิธีสารเกียวโตแล้ว ยังตั้งป้อมว่าพวกประเทศกำลังพัฒนาต้องมีพันธะกรณีลดก๊าซในข้อตกลงใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากพิธีสารเกียวโตสิ้นสุดการบังคับใช้ในปี 2012 ด้วย จริงอยู่จีน กับ อินเดีย บราซิล อาจโดนก่อน แต่ไทยจะรอดลอยลำได้อีกนานสักแค่ไหน เพราะเราเป็นอันดับที่ 22 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขณะนี้ ซึ่งสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาเกือบทั้งหมด



เหล่านี้เป็นเรื่องที่คนไทยควรต้องช่วยกันตัดสินใจว่าควรผลักดันให้สังคมและรัฐบาลจริงจังกับปัญหานี้หรือยัง









*ติดตามความเคลื่อนไหว ทำความเข้าใจโลกร้อนในมุมที่เกี่ยวข้องกับเมืองไทย โดยทีมนักข่าวที่เกาะติดประเด็น ที่ //www.thaiclimate.org














--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 31/3/2551

 

โดย: 064 IP: 118.174.124.162 1 เมษายน 2551 21:53:14 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11683


ถกพรรคการเมืองภาคประชาชน: ชูรัฐสวัสดิการ เลิกพึ่งระบบอุปถัมภ์ ตรวจสอบนิยาม ‘ภาคประชาชน’







(29 มี.ค.) ที่ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา กลุ่มศึกษาพรรคการเมืองทางเลือก จัดงานจินตภาพสังคมไทยและพรรคการเมืองของประชาชน เพื่อเปิดตัวกลุ่มศึกษาพรรคการเมืองทางเลือก รวมทั้งยังเป็นการจัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีการเสียชีวิตของสุวิทย์ วัดหนู เอ็นจีโอที่ต่อสู้เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับชุมชนแออัด หัวเรี่ยวหัวแรงในการตั้งพรรคการเมืองภาคประชาชน ที่ปรึกษาคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย หรือ ครป. โฆษกบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย



นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย และหนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ จินตภาพสังคมไทยและพรรคการเมืองประชาชนว่า การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ แนวคิดที่พึ่งพาทุนข้ามชาติ ทำให้เศรษฐกิจแบบสังคมเกษตรถูกทำลาย เห็นได้จากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม 80% เป็นทุนต่างชาติ ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองตามมา



ทั้งนี้ จินตภาพของสังคมไทย คือการสร้างรัฐสวัสดิการ เพื่อขับเคลื่อนสังคมให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ตามแนวคิดของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในข้อเขียนจากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน ซึ่งจะเกิดได้ต้องมีการปฎิรุปที่ดิน เพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่ ที่ทำกิน การศึกษาฟรี และสามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง ปฎิรูปภาษี โดยจัดเก็บภาษีแบบก้าวหน้า อาทิ ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ปฎิรูปรายได้ โดยรัฐต้องทำให้คนมีงานทำ รวมถึงควบคุมปัจจัยพื้นฐาน ไม่ให้ต้นทุนสูง ให้คนมีอำนาจซื้อ และขายในประเทศให้หมดก่อนแล้วค่อยส่งออก



ส่วนจินตภาพของพรรคการเมืองนั้น ต้องเริ่มจากการเมืองนอกสภา โดยเริ่มจากการรวมตัวกันเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชน ทั้งด้านคุณธรรม การเมือง เศรษฐกิจและสังคม สรรหาบุคคลที่มีอุดมการณ์ ความรู้ความสามารถในการบริหารพรรค เพื่อลงสมัครผู้แทน ประสานผลประโยชน์กับกลุ่มอิทธิพลและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ระดมสรรพกำลังเคลื่อนไหวนอกสภา เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีส่วนในการเมืองภาคประชาชน



นายสมศักดิ์ กล่าวถึงพรรคการเมืองในปัจจุบันว่า ไม่เป็นพรรคการเมือง เป็นเพียงเรื่องของทุนจากคนไม่กี่คน ทั้งนี้ ในฐานะนักสหภาพแรงงาน มองว่ากลุ่มคนที่มีมากที่สุดในสังคมทุนนิยมก็คือ ผู้ใช้แรงงาน เพราะฉะนั้น ขบวนการสหภาพแรงงานจะต้องเข้มแข็ง แต่ไม่ใช่อยู่ใต้การควบคุมของเอ็นจีโอ เนื่องจากจิตสำนึกของเอ็นจีโอยังขาดทัศนคติของผู้ถูกกดขี่



ต่อมา เป็นการเสวนาเรื่อง จินตภาพสังคมไทยและการเมืองภาคประชาชน โดยนายจอน อึ๊งภากรณ์ อดีตประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) นายประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายปรีดา เตียสุวรรณ์ กลุ่มนักธุรกิจเพื่อสังคม ดำเนินรายการโดย นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์



นายจอน กล่าวว่า ปัจจุบัน การเมืองภาคประชาชนค่อนข้างมีพื้นที่เป็นของตัวเองแล้ว โดยมีรากฐานที่เหนียวแน่นมาตั้งแต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองยุค 14 ต.ค. 2516 จนมาถึงหลัง 2523 ซึ่งเกิดแนวร่วมระหว่างชนชั้นกลางหัวก้าวหน้ากับชาวบ้านกลุ่มต่างๆ จนเกิดกลุ่มพลังมากมายในสังคม อาทิ สมัชชาคนจน เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนหลายเครือข่าย



เขากล่าวว่า ปัจจุบันจะสังเกตว่า การเสนอข่าวการขับเคลื่อนของภาคประชาชนมีพื้นที่ในระดับที่พอใช้ได้ เช่น การเสนอข่าว ไม่ใช่เพียงผู้มีอำนาจทำอะไร แต่เสนอในมุมของภาคประชาชนด้วยว่า มีความเห็นอย่างไรต่อสิ่งที่ผู้มีอำนาจทำ นอกจากนี้ แม้จะมี “รัฐบาลที่ให้ แต่ไม่ฟัง” จอนยังมองว่ายังไม่ใช่สถานการณ์เลวร้าย ที่ผ่านมา ภาคประชาชนพึ่งพิงระบบอุปถัมภ์ หรือระบบล็อบบี้มากเกินไป เราอยู่กับการเมืองประเภทยื่นหนังสือ ซึ่งไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่ โดยจอนได้เสนอให้ใช้ประโยชน์จากข้อดีของรัฐธรรมนูญ 50 เช่น ประชาชนเข้าชื่อ 10,000 คนเสนอกฎหมายได้



ทั้งนี้ การต่อสู้ที่ภาคประชาชนได้ขับเคลื่อนมาตลอด ประกอบด้วย 4 ประเด็น คือ 1.สิทธิชุมชน ซึ่งไม่ใช่แค่สิทธิในทรัพยากร แต่รวมถึงสิทธิทางวัฒนธรรม การใช้ภาษาของตัวเอง และยอมรับในความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน 2.อุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นประชาธิปไตยที่เกี่ยวข้องกับความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย หรือ rule of law 3.รัฐสวัสดิการ ที่สร้างหลักประกันในคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานให้กับคนในประเทศตั้งแต่เกิดจนตาย 4.เศรษฐกิจที่ไม่ปล่อยให้ทุนนิยมเป็นอิสระเสรี



ส่วนสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ การสร้างความเข้มแข็งให้สหภาพแรงงาน เนื่องจากที่ผ่านมาขบวนการสหภาพแรงงานในสังคมไทยอ่อนแอมาก เพราะกฎกติกาสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม และสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่กลัวการรวมตัวของผู้ใช้แรงงานอย่างเป็นปึกแผ่น ดังนั้น จึงเสนอว่าต้องแก้กฎหมายแรงงาน พรรคการเมือง รวมถึงกฎหมายประกันสังคมด้วย เพราะคนที่ควบคุมการใช้จ่ายเงินแทนที่จะเป็นนายจ้างกับผู้ใช้แรงงาน กลับเป็นกระทรวงแรงงาน ซึ่งสนใจแต่การสะสมกองทุน ไม่สนใจสสวัสดิการของผู้ประกันตน



นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องเปิดพื้นที่สื่อของภาคประชาชนให้มากขึ้น รวมถึงใช้สื่อให้สังคมเกิดความเข้าใจและความนิยมจากประชาชน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะชนชั้นกลางยังไม่เข้าใจเอ็นจีโอ ดังนั้น ชนชั้นกรรมาชีพ ชาวนา กับชนชั้นกลางหัวก้าวหน้า จะต้องช่วยผลักดันให้เกิดขึ้น ผ่านมาตรการตามกฎหมาย



สำหรับพรรคการเมืองภาคประชาชน นายจอนมองว่า น่าจะเกิดขึ้นได้หลายพรรค โดยหากดูจากฐานของโครงสร้างภาคประชาชนที่มีอยู่ ก็อาจจะเกิดพรรคการเมืองของกรรมกร ของชาวนาภาคอีสาน ของคนในภาคใต้ โดยทั้งหมดมีเป้าหมายคือ พยายามเข้าสู่เวทีเลือกตั้งอย่างมีขั้นตอน เช่น หากได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่นก็ลงสมัครในท้องถิ่น แล้วจึงค่อยขยายวงออกไป แต่ข้อควรระวังคือ ผู้นำสหภาพแรงงาน ผู้นำเอ็นจีโอ และผู้นำองค์กรภาคประชาชน ไม่ควรเป็นผู้นำพรรคไปด้วย เพราะอาจเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน หรือหากเกิดอะไรขึ้นกับพรรค การเมืองภาคประชาชนจะได้รับผลกระทบไปด้วย



นายประภาส กล่าวว่า ทุกวันนี้ มีการนิยาม “ภาคประชาชน” แตกต่างกันไป จึงควรมีการสะสางความหมาย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่ใช่จะบอกว่าแบบไหนผิดหรือถูก หากแต่การเมืองภาคประชาชนในฐานะแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่แต่ละคนนิยาม ก็เป็นไปตามอุดมการณ์ผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ซึ่งก็จะนำไปสู่การขับเคลื่อนที่ต่างกันด้วย



การเมืองภาคประชาชนแบบที่คุ้นเคยกัน เกิดจากการลงพื้นที่ทำงานกับชาวบ้านที่ประสบปัญหาขัดแย้งกับรัฐ หรือภาคธุรกิจ ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม คนจนเข้าไม่ถึงทรัพยากร รวมทั้งการเมืองที่อ้างฉันทานุมัติ 10 วินาทีตอนกากากบาท จึงเกิดการเคลื่อนไหวของพี่น้องที่ไร้อำนาจ สร้างเครือข่าย และการเมืองบนท้องถนน โดยมีเป้าหมายคือถ่ายโอนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองจากภาคธุรกิจการเมืองที่ผูกขาด หรือถ่ายโอนอำนาจจากระบบตัวแทนออกมา ให้เป็นประชาธิปไตยทางตรง ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น



ทั้งนี้ ปัจจุบันมีภาคประชาชนอีกหลายแบบเข้ามา ทำให้ภาคประชาชนดังกล่าวถูกลดความสำคัญลง เช่น กลุ่มมหาประชาชนฯ ซึ่งเกิดจากการจัดตั้งโดยนักการเมือง กลไกของระบบราชการ ผู้ใหญ่บ้านกำนัน เป็นภาคประชาชนแบบประชานิยม ซึ่งมีมวลชนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ต้องทำให้เห็นความแตกต่างว่า “ภาคประชาชน” แต่ละแบบจะนำพาสังคมไปแบบไหน



นอกจากนี้ ที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของชนชั้นกลางในเมือง ในลักษณะตรวจสอบ ขับไล่รัฐบาลเรื่องการทุจริต ก็ถูกบอกว่าเป็นการเมืองภาคประชาชนอีกแบบหนึ่งด้วย ซึ่งต้องทบทวนว่า วิธีการแบบนี้อาจมุ่งสู่การเมืองภาคประชาชนบางนิยามจนลดทอนการเมืองภาคประชาชนของชนชั้นล่างให้ถอยห่างไป เหลือเพียงการรวมตัวขับไล่รัฐบาลหรือไม่ และการสร้างการเมืองบางแบบ จะไปกระทบกับการเมืองบางแบบหรือไม่



นายประภาสเห็นว่า ต้องทำให้การเมืองภาคประชาชน แตกต่างไปจากระบบการเมืองแบบปกติ แบบประชานิยม และการเมืองภาคประชาชนของชนชั้นกลาง โดยต้องคิดถึงจินตภาพของสังคมที่ต่างจากการเมืองในระบบปกติปกติ เช่น การถ่ายโอนอำนาจจากระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนมาเป็นประชาธิปไตยทางตรงมากขึ้น สร้างระบบเศรษฐกิจทางเลือก เช่น เศรษฐกิจชุมชน หรือเศรษฐกิจแบบแบ่งผัน สร้างรัฐสวัสดิการหรือสังคมสวัสดิการที่สามารถถ่ายโอนอำนาจออกจากรัฐ ไปสู่การจัดการโดยชุมชนเอง



นายปรีดา กล่าวถึงการตั้งพรรคการเมืองของภาคประชาชนว่า ควรรวมกันเป็นพรรคใหญ่ โดยมีน้อยพรรคที่สุด 1-2 พรรค เพราะรวมเป็นพรรคเล็กจะไม่มีอำนาจต่อรอง เช่นเดียวกับโมเดลในเยอรมนีที่มี 2 พรรคใหญ่ ที่เหลือเป็นพรรคเล็กๆ



นอกจากนี้ นายปรีดา ได้พูดถึงการลดช่องว่างด้านรายได้ของเกษตรกรซึ่งต่ำกว่าแรงงานในภาคอุตสาหกรรมภาคบริการ โดยเสนอให้ทำให้รายได้ต่อหัวของภาคเกษตรกรใกล้เคียงกับภาคบริการ โดยเน้นที่การท่องเที่ยวมากขึ้น โดยยกตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 1964 ว่า แรงงานในภาคเกษตรมีรายได้ต่อหัว 1,200 บาท ภาคบริการมีรายได้ 2,159 บาท ขณะที่ปี 2006 ภาคเกษตรมีรายได้ 3,400 บาทต่อหัว ส่วนภาคบริการมีรายได้ 9,800 บาท



นายปรีดา กล่าวแย้งนายประภาสว่า สิ่งที่ภาคประชาชนผลักดัน เป็นการพยายามแก้ปัญหาการเมืองในระดับโครงสร้าง เช่นที่พันธมิตรฯ เจอกันเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ก็เป็นการจัดการสัมมนา วิเคราะห์วิจัย ไม่ใช่ขับไล่ และว่า ถ้าเราไม่สามารถเข้าสู่การแก้ปัญหาทางโครงสร้างก็จะลงไปแก้ปัญหารากหญ้าไม่ได้



ช่วงท้าย นายจอน ได้อภิปรายในประเด็นของนายประภาสว่า ไม่มีความจำเป็นต้องบอกว่า อะไรคือองค์กรภาคประชาชน เพราะไม่แน่ว่า หากเลิกถามว่าจะเอาหรือไม่เอาทักษิณ แต่ถามว่าอยากเห็นสังคมแบบไหน ทั้งสองฝ่ายอาจต้องการรัฐสวัสดิการเหมือนกันก็ได้ เพราะฉะนั้น ต้องพยายามลดพลังของการเมืองที่เอาหรือไม่เอาทักษิณ มาเป็นพลังประชาธิปไตย ที่ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็จะต้องตรวจสอบ







กลุ่มศึกษาพรรคการเมืองทางเลือก (//peopledemocracy.org/) ประกอบด้วยผู้นำแรงงาน นักกิจกรรมสังคม องค์กรประชาชน ฯลฯ ซึ่งมีแนวคิดในการสร้างพรรคการเมืองของประชาชนเพื่อหาทางออกให้แก่สังคม








--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 31/3/2551

 

โดย: 065 IP: 118.174.124.162 1 เมษายน 2551 22:04:12 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/calendar/view.php?cid=1237&myCalendarDate=2008-04-01&page=1&atDate=2008-04-03

การประกาศผลรางวัล

โครงการประกวดหนังสั้น Short Film Competition Project

หัวข้อ “โลกร้อน นาฏกรรมแห่งชีวิต...หลังสึนามิ”

ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

วันที่ 3 เมษายน 2551 ณ ศูนย์การเรียนรู้อเนกประสงค์ (Learning Auditorium)

อุทยานการเรียนรู้ TK Park ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา



เวลา
รายการ

11.00 -12.00 น.
- ลงทะเบียนนักศึกษาผู้ร่วมประกวด 10 ทีมสุดท้าย / ผู้เข้าร่วมงาน / สื่อมวลชน

12.00 -12.15 น.
- พิธีกรกล่าวเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติ / คณะกรรมการ / สื่อมวลชน / นักศึกษาผู้ร่วมประกวด

10 ทีมสุดท้าย และผู้ร่วมงานเข้าห้องประชุม ศูนย์การเรียนรู้อเนกประสงค์ (Learning Auditorium)

12.15 -12.30 น.
- ผู้จัดการอุทยานการเรียนรู้ TK Park ให้เกียรติกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน

12.30 -12.45 น.
- คุณพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ เลขาธิการ มูลนิธิรักษ์ไทย

ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ และเป็นประธานเปิดงานการประกวดหนังสั้นรอบชิงชนะเลิศ

12.45 -13.00 น.
- คุณยุวลักษณ์ เหมะวิบูลย์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์ มูลนิธิรักษ์ไทย

กล่าวแนะนำคณะกรรมการ และทีมที่เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย

13.00 -14.15 น.
- ชมภาพยนต์สั้นจากทีมผู้เข้าประกวดรอบ 10 ทีมสุดท้าย ทีมที่ 1 – 5 ทีมละ 15 นาที

14.15 - 14.30 น.
- พักรับประทานอาหารว่าง 15 นาที

14.30 - 16.00 น.
- ชมภาพยนต์สั้นจากทีมผู้เข้าประกวดรอบ 10 ทีมสุดท้าย ทีมที่ 6 – 10 ทีมละ 15 นาที

16.00 - 16.30 น.
- กรรมการเข้าร่วมประชุมเพื่อตัดสินผลรางวัล

16.30 – 17.30 น.
- คุณศัลย์ อิทธิสุขนันท์ ทูตรักษ์ไทย พิธีกรในงานกล่าวเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติ / คณะกรรมการ /

สื่อมวลชน นักศึกษาผู้ร่วมประกวด 10 ทีม สุดท้าย / ผู้ร่วมงานเข้าห้องประชุมศูนย์ การเรียนรู้

อเนกประสงค์ (Learning Auditorium)

- ศ.ดร.นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ ประธาน มูลนิธิรักษ์ไทย ให้เกียรติกล่าวแสดงความยินดีกับ

ทีมนักศึกษาที่เข้ารอบการประกวด

- พิธีกรประกาศผลการตัดสินรางวัล พร้อมมอบรางวัลโดยคณะกรรมการมูลนิธิรักษ์ไทยและแขกผู้มี

เกียรติ

17.30 – 17.45 น.
- ผู้ชนะเลิศ การประกวดหนังสั้น Short Film Competition Project

ขึ้นรับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อหน้าพระฉายาลักษณ์

17.45 – 18.00 น.
- ทีมนักศึกษาที่ชนะเลิศอันดับ 1, 2, 3 และชมเชย 4 ทีม

ถ่ายภาพร่วมกับคณะกรรมการและแขกผู้มีเกียรติ

 

โดย: 066 IP: 118.174.124.162 1 เมษายน 2551 22:15:23 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms01&ContentID=2783&SystemModuleKey=Society&System_Session_Language=Thai


พ.ร.บ.ประกอบกิจการ : เสรีภาพการสื่อสารฉบับคุมเข้ม



เรียบเรียงโดย

ทิพย์อักษร มันปาติ สำนักข่าวประชาธรรม



แม้ว่าประชาชนจะออกมายืนหยัดคัดค้าน พรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ แต่ท้ายที่สุดก็ถูกบีบเค้นออกมาก่อนสิ้นสมัยรัฐบาลชั่วคราวอันเกิดจากรัฐประหาร 2549 จนได้ และถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551


อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังคงเดินหน้าคัดค้านกฎหมายนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นว่ามีเงื่อนปมเนื้อหาที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญหลายประการ โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการสื่อสารของประชาชน และน่ากังวลยิ่งว่านั้นคือ กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นกับดักขัดขวางการปฏิรูปสื่อไม่ให้เป็นประชาธิปไตย


ขณะนี้ประชาชนยังคงเคลื่อนไหวผลักดันคัดค้านกฎหมาย โดยยื่นเหตุผลและหลักฐานแสดงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ให้พิจารณาความไม่เป็นธรรมของกฎหมาย เพื่อนำข้อเรียกร้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ทำการวินิจฉัยกรณีที่ขัดกับหลักการรัฐธรรมนูญต่อไป


ล่าสุด สำนักข่าวประชาธรรม มีโอกาสเข้าร่วม เวทีเสวนา “การปฏิรูปสื่อและความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551” วันเสาร์ที่ 15 มี.ค. 2551 ณ โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จึงขอนำบทบรรยายของวิทยากร อาจารย์เจริญ คัมภีรภาพ รองอธิการบดีฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญาและภูมิปัญญาท้องถิ่น ม.ศิลปากร ซึ่งวิเคราะห์แง่มุมมาตราต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ใน พรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551 มาให้ติดตาม...



ฮุบคลื่นขายในตลาดการสื่อสาร


“กฎหมายฉบับนี้มองว่าคลื่นเป็นสินค้า ไม่ใช่เครื่องมือในการสื่อสารกับสังคม เมื่อมองคลื่นเป็นสินค้าก็ตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของระบบตลาด ดังนั้นจึงระบุถึงการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและเสรี ผมคิดว่าแนวความของกฎหมายมีเจตจำนงในการแปรรูปสื่อให้เป็นสินค้า และสกัดกั้นการเข้าถึงคลื่นเพื่อการสื่อสารโดยวิธีการการกำกับควบคุม”



มาตรา 32 เพื่อส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม และป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด ลด หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ให้การประกอบกิจการของผู้ได้รับใบอนุญาตอยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าและมาตรการเฉพาะที่คณะกรรมการประกาศกำหนดตามลักษณะการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์


การกระทำอันเป็นการผูกขาด ลด หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ให้หมายความรวมถึงการถือครองธุรกิจในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกันหรือการใช้วัสดุหรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งเป็นพิเศษเพื่อรับสัญญาณเสียงหรือภาพในลักษณะที่กีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม





“สื่อที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ มองประชาชนเป็นผู้บริโภคไม่ใช่ในฐานะเป็นผู้รับสาร เวลามีสื่อแทนที่จะใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์กลับเอาไปสร้างความบันเทิงเริงรมย์ เมื่อสื่อสารมวลชนหล่อเลี้ยงความคิดบันเทิง เริงรมย์ การบริโภค ผลก็คือได้สร้างสังคมอันฟอนเฟะขึ้นมา มีปัญหาสังคม ปัญหาเยาวชนมากมาย เช่น เด็กแว้น”



อ้างความมั่นคง ทำลายเสรีภาพ


“มาตรา 37 คือมาตราที่ทำลายเสรีภาพ ในขณะที่หากเป็นกฎหมายที่ปฏิรูปสื่อจริง ต้องมีบทบัญญัติที่ประกันสิทธิและเสรีภาพ แต่เนื้อหาของมาตรา 37 ชี้ให้เห็นว่า 1. อยู่ภายใต้การใช้อำนาจของบุคคล ไม่มีหลักในการใช้เงื่อนไขในการใช้อำนาจ จึงไม่ใช่เสรีภาพ 2. ไม่มีหลักประกันในการกระจายคลื่น 3. ไม่มีหลักประกันในเรื่องของเนื้อหา”



มาตรา 37 ห้ามมิให้ออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง


ผู้รับใบอนุญาตมีหน้าที่ตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการที่มีลักษณะตามวรรคหนึ่ง หากผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการ ให้กรรมการการมอบหมายมีอำนาจสั่งด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือสั่งให้ระงับการออกอากาศรายการนั้นได้ทันที และให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวโดยพลัน


ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเกิดจากการละเลยของผู้รับใบอนุญาตจริง ให้คณะกรรกมารมีอำนาจสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการแก้ไขตามที่สมควร หรืออาจพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้




“เนื้อหาของมาตรา 37 ชี้ให้เห็นว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายมาปฏิรูปสื่อ เพราะมีการกำกับควบคุมด้วยวาจา เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเสรีภาพของชุมชนหรือผู้ใช้สื่อที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ และการกระจายคลื่นความถี่ก็จะไปไม่ถึงมือประชาชน”



กำหนดโทษอาญา ขู่ขวัญสื่อภาคประชาชน


ในบทกำหนดโทษทางทางอาญา มาตรา 66 หากอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วจะพบว่า กฎหมายฉบับนี้นำเอาหลักการลงโทษ มาผนวกเข้ากับโทษที่จะได้รับ ในขณะที่หลักการทางกฎหมายจะต้องเขียนกฎหมายให้สร้างหลักการก่อน จึงตามมาด้วยการกำหนดโทษหากมีการละเมิดหลักการ



มาตรา 66 ผู้ใดใช้คลื่นความถี่สำหรับการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์หรือประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ หรือให้บริการนอกเหนือกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับวันละไม่เกิน 5 หมื่นบาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืน




“ผมอยากชี้ให้เห็นว่ากฎหมายฉบับนี้ต้องการที่จะเอาโทษฐานมาใช้ กล่าวคือ ผู้ใดใช้คลื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจะต้องได้รับโทษจำคุก 5 ปี การกำหนดเช่นนี้เป็นการไปตัดสิทธิ์คนที่อ้างสิทธิการใช้คลื่นซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะ ตามมาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ หรือทำตามสิทธิเสรีภาพโดยธรรมชาติความเป็นมนุษย์ที่ต้องการสื่อสาร แสดงว่ากฎหมายนี้ไม่ได้บรรลุถึงเสรีภาพของประชาชนเลย แต่เป็นกฎหมายที่ใช้เป็นแส้ควบคุมกำกับอย่างรุนแรง”


“โอกาสของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ จะอ้างความชอบธรรมในการสื่อสารที่กระทำตามหลักการบนพื้นฐานของเสรีภาพและรัฐธรรมนูญนั้นถูกปิดทางแล้ว เพราะเวลาใช้ดุลยพินิจเขาก็จะมาดูแค่ในบทกำหนดโทษตามลายลักษณ์อักษรที่ระบุไว้ในมาตรา 66 กล่าวคือ หากใครไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ จะต้องรับโทษจำคุก เมื่อเป็นเช่นนี้จะมาบอกว่ากฎหมายนี้เป็นกฎหมายปฏิรูปสื่อได้อย่างไร”


ที่จริงกฎหมายต้องมีหลักการเขียนเอาไว้ในหมวด เพื่อป้องกันมิให้รัฐบิดเบือนการใช้อำนาจ รวมทั้งป้องกันการนำอำนาจที่เขียนไว้นั้นมาใช้กดหัวประชาชน นี่คือหลักประกันการใช้ดุลยพินิจตามกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพ แต่กฎหมายนี้กลับเอาหลักการมารวมไว้กับเรื่องโทษ ทำให้เกิดปัญหาในการใช้ดุลยพินิจ เพราะไม่ได้เขียนหลักการไว้ การลงโทษจึงอาจทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ดูว่ามีใบอนุญาตประกอบกิจการหรือไม่



เปิดทางทุนสื่อใช้สมบัติสาธารณะ



มาตรา 76 ให้กระทรวงการคลังนำรายได้เป็นมูลค่าเท่ากับร้อยละ 2 ของรายได้ที่หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐต้องนำส่งกระทรวงการคลังจากการให้อนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาเพื่อประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ที่มีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ใช้บังคับ ส่งเข้ากองทุน ทั้งนี้ จนกว่าการอนุญาตสัมปทานหรือสัญญานั้นจะสิ้นสุด




กฎหมายนี้สร้างทางให้ทุนใหญ่และมีความสามารถ มีโทรทัศน์ มีโทรคมนาคม มีอินเตอร์เน็ต ได้ใช้โครงข่ายของรัฐโดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แต่ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จ่าย ประโยชน์ของสาธารณะก็สูญเสีย เป็นกฎหมายที่เอาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเข้ามาใส่ไว้ในเคเบิล โทรทัศน์ ฯลฯ ฉะนั้น จึงไม่มีทางที่จะแปรสิ่งนี้ให้เป็นสื่อแนวนอนได้


“ทางออกของประชาชนคือต้องมีกฎหมายของเราเอง เพราะกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ยิ่งกว่าติดหนวดฮิตเลอร์ ภาคประชาชนต้องสู้เดี๋ยวนี้ตามเจตนารมณ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 ซึ่งระบุว่าคลื่นเป็นประโยชน์สาธารณะ และผมเห็นว่าเราต้องมีกฎหมายที่คุ้มครองประชาชน ต้องผลักดันให้ยกเลิกกฎหมายนี้ แล้วสร้างกฎหมายที่สนับสนุนเสรีภาพของประชาชน เพื่อให้มีการสื่อข้อมูลข่าวสารทั้งแนวดิ่งและแนวระนาบ ท้ายที่สุด คือ สื่อสาธารณะต้องเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของรัฐ ไม่ใช่ของกลุ่มทุน”














--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 30/3/2551

 

โดย: 067 IP: 118.174.124.162 1 เมษายน 2551 22:24:38 น.  

 

กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์

ขอเชิญสื่อมวลชนร่วมเสวนา
“รู้เรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์.เพิ่มเครดิตให้ชีวิต”

เปิดการสัมมนาโดย
นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
ร่วมเสวนา โดย
ทัศนีย์ คล้ายกัน (เจ้าของนามปากกา อาริตา กันยามาส )
ตรัสวิน จิตติเดชารัตน์ (เจ้าของสำนักพิมพ์ ซิลด์เวิร์ม บุ๊คส์)

ในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2551 เวลา 12.30 น.
ณ ห้องออดิทอเรียม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ อินทิรา ใจอ่อนน้อม
ปฐมธิดา พงษ์เหล็ง
ปรัชญา จันทร์หอม
บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส จำกัด (มหาชน)
โทร. 0-2662-2266

 

โดย: 68 IP: 118.174.238.162 2 เมษายน 2551 21:41:45 น.  

 

// //www.komchadluek.net


ไอทีโซน- โฟโต้ช็อปเปิดแต่งภาพผ่านเว็บไซต์






อยากใช้โปรแกรมตัดแต่งภาพ"โฟโต้ช็อป" ไม่ต้องไปหาซื้อแผ่นผีซีดีเถื่อนแล้ว เมื่อโฟโต้ช็อปเปิดตัวโปรแกรมตัดแต่งภาพใช้งานผ่านเว็บไซต์ ช่วยให้บรรดาบล็อกเกอร์ปรับภาพให้สวยสมใจก่อนนำขึ้นอวดหราบนเว็บ

โปรแกรมปรับแต่งภาพโฟโต้ช็อปฉบับออนไลน์สามารถลงทะเบียนเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์ https://www.photoshop.com/express/index.html

ปกติผู้ใช้งานโปรแกรมโฟโต้ช็อปมักเป็นกลุ่มลูกค้ามืออาชีพที่ทำงานด้านการถ่ายภาพและการปรับแต่งภาพเพื่องานโฆษณาเป็นหลัก แต่สำหรับโปรแกรมโฟโต้ช็อป เอ็กซ์เพรส ที่เพิ่งเปิดตัว "เบต้า" หรือรุ่นทดสอบการใช้งานเพื่อสัปดาห์ที่แล้ว สามารถใช้งานได้ง่ายมาก แม้ไม่มีความรู้ด้านการปรับแต่งภาพก็ใช้ได้

เนื่องจากโปรแกรมโฟโต้ช็อปเอ็กซ์เพรส เป็นโปรแกรมที่ทำงานผ่านเว็บ หมายความว่า มันสามารถใช้งานได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแมคอินทอช หรือวินโดว์ส ได้ทั้งนั้น และไม่ว่าจะใช้โปรแกรมเว็บค่ายไหน เช่น อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ (ไออี), ซาฟารี, ไฟร์ฟ็อกซ์ หรือโอเปร่า ก็สามารถใช้ปรับแต่งภาพด้านโฟโต้ช็อป เอ็กซ์เพรส จากเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ออนไลน์

ปัจจุบันนักท่องอินเทอร์เน็ตจำนวนไม่น้อยนิยมนำภาพถ่ายไปอวดตามเว็บไซต์ที่เปิดให้ส่งรูปแลกเปลี่ยนกันชมเช่น //www.flickr.com, //www.SmugMug.com และ //www.live.com เป็นต้น

อย่างไรก็ตามผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบางรายต้องการปรับแสง ตัดรูป เพิ่มโทนสี ฯลฯ ให้ภาพก่อนนำไปขึ้นให้คนทั่วโลกได้ร่วมกันชม จึงจำเป็นต้องใช้โปรแกรมปรับแต่งภาพเข้าช่วย

ผู้ใช้สามารถใช้โฟโต้เอ็กซ์เพรส พลิกภาพตะแคงซ้ายหรือขวา ตัดภาพบางส่วน แก้ตาแดง แก้ริ้วรอย เพิ่มความอิ่มของสี ปรับความสว่าง/มืด แก้ไขภาพอัตโนมัติ ทำภาพเบลอ เพิ่มความคมชัดให้ภาพ เปลี่ยนภาพขาวดำ เป็นต้น


 

โดย: 069 IP: 118.174.238.162 2 เมษายน 2551 22:48:19 น.  

 




กำหนดการงานมอบรางวัลศาสตราจารย์นิคม จันทรวิทุร ประจำปี '50 และการอภิปรายเรื่องกฏหมายแรงงานและคุณภาพชีวิตของแรงงานฯ


กำหนดการงานมอบรางวัลศาสตราจารย์นิคม จันทรวิทุร ประจำปี 2550



วันพุธที่ 30 เมษายน 2551 เวลา 8.30-12.30 น.

ณ ห้องประชุม F 401 ชั้น 4

อาคารอเนกประสงค์ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร


เวลา กิจกรรม
8.30 – 9.00 น.
ลงทะเบียน

พิธีกร โดย นางธัญนพ พงษ์โสภณ
เลขานุการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

9.00 – 9.15 น. กล่าวต้อนรับและกล่าวรายงานการจัดโครงการรางวัลศาสตราจารย์นิคม จันทรวิทุร

โดย รองศาสตราจารย์ไว จามรมาน
ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

9.15 – 10.00 น. พิธีมอบรางวัลศาสตราจารย์นิคม จันทรวิทุร ประจำปี 2550

โดย ศาสตราจารย์ ดร. สุรพล นิติไกรพจน์
อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธานการมอบรางวัล

10.00 – 11.45 น. การอภิปราย เรื่อง
“กฎหมายแรงงานกับคุณภาพชีวิตของแรงงาน : การสืบทอดเจตนารมณ์ของ นิคม จันทรวิทุร”

• การปรับปรุงกฎหมายแรงงานโดยภาพรวมกับคุณภาพชีวิตของแรงงาน
โดย ผู้แทนกระทรวงแรงงาน

• กฎหมายแรงงานในภาครัฐวิสาหกิจ และความต้องการในการเปลี่ยนแปลง
โดย นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์

• การขยายการคุ้มครองการประกันสังคมกับคุณภาพชีวิตของแรงงานนอกระบบ และความต้องการใน
การเปลี่ยนแปลง
โดย นางดาวน้อย ศรีขจร ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ

• การขยายการคุ้มครองของกฎหมายแรงงานในภาคราชการ และความต้องการในการเปลี่ยนแปลง
โดย นายประสินธุ์ นาคกราย ประธานสมาพันธ์สมาคมลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย

• วิพากษ์การบังคับใช้กฎหมายแรงงาน
โดย รองศาสตราจารย์มาลี พฤกษ์พงศาวลี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดำเนินการอภิปราย โดย ดร. โชคชัย สุทธาเวศ เลขาธิการมูลนิธินิคม จันทรวิทุร

11.45 – 12.15 น. ซักถามและร่วมแสดงความคิดเห็น
12.15 – 12.30 น. สรุปและกล่าวปิดการสัมมนา
โดย ศาสตราจารย์ ดร. ธีระ ศรีธรรมรักษ์ ประธานมูลนิธินิคม จันทรวิทุร

12.30 – 13.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน
//www.hri.tu.ac.th/ResearchFiles/ResearchNews/020408.htm


 

โดย: 070 IP: 202.28.23.196 3 เมษายน 2551 16:35:46 น.  

 

//www.ams.cmu.ac.th/research/Fundnews/general/g03851.pdf
ศูนย์คุณธรรม ขอเชิญส่งผลงานวิจัยเข้าร่วมการประชุมวิชาการ
ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม
โทร.02-6449900 ต่อ 201 หรือ 202
www.moralcenteer.or.th

 

โดย: 071 IP: 202.28.23.196 3 เมษายน 2551 17:26:00 น.  

 

//www.oknation.net/blog/ToeflThailand


หลักการค้นหาของ Google คือการหาคำเหมือนซึ่งเราอาจจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณีพื้นฐานคือ

1. Text หรือ ตัวอักษร
2. รูปภาพ

สำหรับคำถามเกี่ยวกับเทคนิคในการ search หารูปภาพหรือ VDO นี้หากเราต้องการให้รูปของเราสามารถหาพบได้ง่ายจากคำ search เช่น
รถยนต์หรือ car นี้เราก็ควร

1. ตั้งชื่อ file ของ jpeg, tiff หรือ file รูปภาพอื่นๆ ให้มีคำว่า car.jpeg หรือ racing-car.jpeg ปัจจุบัน Google เก่งขึ้นมาจึงสามารถจดจำคำเหมือนได้ด้วย ดังนั้น automobile ก็ใช้ได้เช่นกัน เทคนิคที่ผมใช้บ่อยและทำให้ได้ผลคือผมมักจะตั้งชื่อเป็น car1.jpeg, car2.jpeg เนื่องจากการมีกลุ่มรูปภาพที่เหมือนกันในหน้าเดียวกันก็จะช่วยให้เรา rank ได้ดีใน search engine ครับ

2. หากเป็นไปได้ควรตั้ง attribute (คุณสมบัติ) Alt?? ซึ่งเป็นคำที่เดิมใช้ช่วยคนตาบอดให้สามารถใช้ computer เื่พื่อการออกเสียงและให้ปัจจุบันมีประโยชน์อย่างอื่นเพิ่มเช่นการใช้ Internet ใน mobile phone ซึ่งอาจจะไม่สามารถที่จะรับรูปได้เต็มที่เนื่องจากหน้าจอมีขนาดเล็ก
และความสามารถในการรับส่งข้อมูลต่ำ เมื่อใส่ Alt เราก็ควรใช่
คำที่เราต้องการให้มีการ search พบใน Alt ครับ

//www.oknation.net/blog/ToeflThailand

 

โดย: 072 IP: 202.28.23.196 3 เมษายน 2551 17:49:42 น.  

 

//www.matichon.co.th/

"มั่น พัธโนทัย" ความในใจงูเห่า... ถึงชาวนา

โดย หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ

หน้า 11

 

โดย: 073 IP: 202.28.23.196 3 เมษายน 2551 18:30:28 น.  

 

//www.matichon.co.th/

วันที่ 02 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10980

ศึกษา รัฐประหาร จังหวะก้าว ทางการเมือง ประสาน การทหาร

คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์


ถามว่าสภาพทางการเมืองในปัจจุบันมีฝ่ายที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

มีอย่างแน่นอน เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงโดยวิธีใด โดยวิธีการประชาธิปไตยผ่านระบบรัฐสภา โดยวิธีการที่เรียกว่าตุลาการภิวัตน์ โดยวิธีการชุมนุมและเคลื่อนไหวประชาชน

ทุกบทก้าวล้วนอยู่ในการเฝ้าติดตามโดยฝ่ายที่มีกองกำลังติดอาวุธอย่างใกล้ชิดเสมอ

หน้า 3

 

โดย: 074 IP: 202.28.23.196 3 เมษายน 2551 18:49:39 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11749


สถาบัน ‘สัญญา ธรรมศักดิ์’ ตั้งรางวัล ‘วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์’ สำหรับวิทยานิพนธ์เพื่อคนจน



นายธีรยุทธ บุญมี ผอ.สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตยแถลงว่า จากกรณีที่นางสาววนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ผู้นำการต่อสู้ภาคประชาชนเสียชีวิตลง นางสาววนิดา ได้ทุ่มเทเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่เป็นธรรมมาตลอดชีวิต ทางสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ จึงเห็นสมควรตั้งรางวัล “วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์” มอบให้กับวิทยานิพนธ์ที่มีเนื้อหาสร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับความยากจน ส่งเสริมสิทธิคนจน หรือมีข้อเสนอด้านนโยบายใหม่เพื่อแก้ปัญหาความยากจน



รางวัลนี้เปิดรับพิจารณาจากวิทยานิพนธ์ของทุกมหาวิทยาลัย วิทยานิพนธ์ที่ได้รับการคัดเลือก จะได้รับรางวัลเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ผู้สนใจสามารถส่งวิทยานิพนธ์ให้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2551หรือสอบถามรายละเอียดที่ โทร. 02-613-3130








--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 4/4/2551

 

โดย: 075 IP: 118.174.162.92 4 เมษายน 2551 20:04:15 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11752




นักวิชาการเทศหนุนไทย ทำ ‘ซีแอล’ ควบ ‘ลงทุน R&D’ ตัวยาสำคัญ



ตามที่รายงานของสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เรื่อง อุปสรรคการค้าและการลงทุนของประเทศคู่ค้าสำคัญฯ ของสหรัฐฯ (National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers: NTE) ในส่วนของประเทศไทย ระบุเอาไว้ว่า



“กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้ประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ กับยาติดสิทธิบัตรจำนวนหนึ่ง โดยสหรัฐฯ ยอมรับว่า ประเทศไทยมีสิทธิในการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนด้านสาธารณสุข อันเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีดังระบุในกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก



แต่ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ มีความวิตกกังวล เนื่องจากกระบวนการในการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ของประเทศไทยนั้นขาดความโปร่งใส ตลอดจนมีแนวโน้มว่าจะมีการประกาศใช้สิทธิฯ อย่างกว้างขวาง



สหรัฐฯ จึงเรียกร้องให้ประเทศไทยดำเนินการอย่างสุขุมรอบคอบเพื่อแก้ปัญหาความซับซ้อนระหว่างนโยบายด้านการสาธารณสุขและทรัพย์สินทางปัญหา โดยมีความตระหนักชัดถึงบทบาทความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญาต่อการพัฒนายาใหม่ๆ”



ศาสตราจารย์ บรู๊ค เค เบเกอร์ จากภาควิชาสิทธิมนุษยชนและเศรษฐกิจโลก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์น นำเสนอแง่มุมเกี่ยวกับมาตรการบังคับใช้สิทธิ โดยตั้งข้อสังเกตไว้ 4 ประการ คือ



1. สหรัฐฯ ยังคงยืนกรานในความเห็นที่ผิดๆ ของตนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อนุญาตให้มีการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ โดยแนะนำว่ามาตรการดังกล่าวมีไว้สำหรับเฉพาะกรณีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุขเท่านั้น



2. สหรัฐฯ ยังคงยืนกรานว่า การประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ที่ผ่านมาของไทยขาดความโปร่งใส ทั้งนี้สหรัฐฯ คงลืมไปว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการเจรจาอย่างยืดเยื้อยาวนานก่อนจะมีการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ กับยาเอฟฟาไวเรนซ์ โคลพิโดเกรล และโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ในระหว่างปี 2549-2550 หรือแม้แต่การร่วมปรึกษาหารืออย่างต่อเนื่องจริงจังก่อนประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ

กับยาต้านมะเร็งทั้ง 4 รายการในปี 2551



3. สหรัฐฯ เพิ่มข้อวิตกกังวลในเรื่องใหม่ที่ว่า “มีแนวโน้มว่าจะมีการประกาศใช้สิทธิฯ อย่างกว้างขวาง”

อันที่จริง ประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างรอบคอบระมัดระวังเพื่อจัดตั้งกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มงวด

โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากความจำเป็นเท่านั้น พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศใช้สิทธิฯ กับยาติดสิทธิบัตรในประเทศไทยเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น



4. ประการสุดท้าย สหรัฐฯ กลับปิดปากเงียบ และไม่แสดง ‘ท่าทีหรืออาการ’ ใดๆ ทั้งสิ้น ว่ามีเจตนาจะปรับสถานะประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาขั้นรุนแรงหรือ Priority Watch Country ดังปรากฏในข่าวตามสื่อต่างๆ ก่อนหน้านี้



ก่อนหน้านี้ เจมส์ เลิฟ ได้เสนอให้ประเทศไทย (และประเทศอื่นๆ ที่มีรายได้ปานกลาง) แก้ปัญหาในประเด็นที่สหรัฐฯ ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับ “การมีส่วนช่วยพัฒนายาใหม่ๆ” ด้วยการปรับอัตราค่าตอบแทนการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรให้สูงขึ้น (อัตราปัจุจุบันอยู่ระหว่างร้อยละ 0.5-5 จากราคายาชื่อสามัญ)



แม้ว่าหลักปฏิบัติสากลในการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิและการค้า จะสนับสนุนอัตราค่าตอบแทนข้างต้น แต่พึงทราบว่าอัตราค่าตอบแทนทางการค้านั้นโดยปกติจะยึดจากราคาจำหน่ายที่ราคาผูกขาด

จึงทำให้สามารถจ่ายค่าตอบแทนเต็มจำนวนต่อเม็ดได้ในอัตราที่สูงกว่ามาก



แม้ว่าจะไม่มีข้อกำหนดไว้ก็ตาม แต่ประเทศไทยอาจมีวิธีสร้างความน่าเชื่อถือกับบรรดาผู้นำในสภาคองเกรสสหรัฐฯ และทำลายแผนโจมตีของสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และสมาคมผู้ผลิตยาสหรัฐ (PhRMA) ด้วยการเสนอค่าตอบแทนเพิ่มเติม อาจเป็นค่าตอบแทนสำหรับการทำวิจัยและพัฒนาในกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด หนึ่งในนั้นอาจเป็นการเสนอค่าตอบแทนให้กับการทำวิจัยและพัฒนาในกลุ่มโรคประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 (โรคที่ถูกละเลย) ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไทย



หากบริษัทยาที่ได้รับผลกระทบยินดียอมรับในข้อเสนอตามเงื่อนไขนี้ การทำวิจัยและพัฒนาย่อมสามารถทำได้ทุกที่ ทว่าทางเลือกที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือ ให้ดำเนินการวิจัยและพัฒนาในกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดนี้ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย (ถ้ามี) หรือกระทั่งในองค์การเภสัชกรรม (GPO)

โดยอาจต้องทำข้อตกลงร่วมกันก่อนล่วงหน้าเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของร่วมและการทำตลาดสินค้าที่เป็นนวัตกรรมนั้นๆ



นอกจากนี้ รูปแบบการทำวิจัยและพัฒนาในกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดนี้ต้องอาศัยการถ่ายทอดทางเทคโนโลยี การสร้างเสริมศักยภาพในการทำวิจัย หรือกระทั่งอาจหมายถึงการขยายศักยภาพด้านเภสัชกรรมในประเทศไทยเลยทีเดียว



แต่ข้อเสนอนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้างเช่นกัน ทั้งยังส่งผลให้มาตรฐานอัตราค่าตอบแทนการใช้สิทธิเพิ่มสูงขึ้น

และอาจทำให้มีจำนวนผู้ป่วยที่จะได้รับการรักษาน้อยลงด้วยเงินงบประมาณด้านสาธารณสุขเท่าเดิม

กระนั้นข้อเสนอนี้มีข้อดีในแง่ของการเมืองอยู่บ้าง กล่าวคือ แสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อให้เกิดการวิจัยและพัฒนา ตราบเท่าที่การวิจัยและพัฒนานั้นๆ มุ่งตอบสนองความต้องการของประเทศกำลังพัฒนา








--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 4/4/2551


 

โดย: 076 IP: 118.174.162.92 4 เมษายน 2551 20:09:46 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11740


จากบริโภคนิยมสู่ ‘ทางรอด’ โลกร้อน เริ่มได้จากเรื่องใกล้ตัว



ประชาไท – เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2551 เวลา 13.30 น. เครือข่ายลดโลกร้อนด้วยโลกที่เป็นธรรม (Thai Working Group on Climate Justice) จัดการฉายหนังและเสวนาเรื่อง “จากบริโภคนิยมสู่ทางรอดโลกร้อน” โดยในช่วงต้นได้เปิดสารคดี ความยาวประมาณ 20 นาที เรื่อง The Story of Stuff with Annie Leonard (โลก 5 ใบ ให้นายเอาไปหมดเลยกับแอนนี่ เลนนาร์ด) ซึ่งดำเนินเรื่องโดยภาพการ์ตูนลายเส้น ส่วนบทและผู้บรรยายคือ แอนนี่ เลนนาร์ด



เนื้อหาในสารคดีเกี่ยวกับการเดินทางของข้าวของ ที่มีขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง โดยเรียงลำดับจากการสกัด ไปสู่การผลิต การจำหน่าย การบริโภค และการกำจัด ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า ‘เศรษฐกิจวัตถุ’ เป็นเหตุให้ทรัพยากรกำลังจะหมดโลก เพราะเราใช้ข้าวของมากเกินไป การบริโภคกันอย่างจริงจัง ทำให้ข้าวของที่ออกมากลายเป็นขยะภายในเวลาเพียง 6 เดือน ซึ่งบรรทัดฐานของระบบที่ออกแบบให้สินค้ากลายเป็นขยะและใช้งานภายในเวลารวดเร็วที่สุดเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ และสื่อต่างๆ มีบทบาทมากในการซื้อข้าวของ



ปัญหาต่อมาก็คือ ข้าวของที่ซื้อมามีจำนวนมากจนไม่รู้จะกำจัดอย่างไร หากเผาหรือฝังดิน สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดสารพิษที่มากขึ้น มนุษย์จึงเป็นคนสร้างปัญหาทั้งหมด แต่ก็ยังสามารถแก้ไขได้โดยเริ่มจากการอนุรักษ์ป่าไม้ การผลิตข้าวของโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ รอบด้าน คนงานได้รับการคุ้มครองสิทธิแรงงานและการค้าที่เป็นธรรม บริโภคอย่างมีจิตสำนึก และ ที่สำคัญคือการยึดรัฐบาล ให้รัฐบาลเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง



หลังจากฉายสารคดี มีการพูดคุยกันต่อในหัวข้อ จากบริโภคนิยมสู่ทางรอดโลกร้อน ผู้เข้าร่วมเสวนาครั้งนี้ ได้แก่ ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว, ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการนิตยสาร A Day, ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ดำเนินรายการ



ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว กล่าวถึงสารคดีว่า แม้เนื้อหาที่พูดถึงจะเป็นเรื่องเดิมๆ ที่รู้กันอยู่แล้ว แต่เรื่องเดิม เมื่อเอามาพูดใหม่ สามารถทำให้เห็นภาพรวมที่กระชับและให้รายละเอียดมากขึ้นด้วย



นอกจากนี้ ดร.สรณรัชฎ์ ได้กล่าวถึงวิถีการบริโภคนิยมของคนกรุงเทพด้วย ซึ่งวิถีการบริโภคนิยมนี้เป็นเพียงการตอบสนองกิเลสง่ายๆ ของผู้บริโภค โดยเปรียบเทียบว่า ตลอดทาง เราสะสมวัตถุ แต่ขณะนี้เกิดการสะสมมากเกินไป ประชากรมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนมาก และคนกรุงเทพใช้ทรัพยากรมหาศาล ถ้าดูจากการใช้ไฟฟ้าของศูนย์การค้า 3 ห้างในกรุงเทพ คือ สยามพารากอน, มาบุญครอง และ เซ็นทรัลเวิลด์ ใช้ไฟจากเขื่อนที่ภาคอีสานมากกว่า 3 เขื่อนคือ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธร และเขื่อนปากมูล ซึ่งคนกรุงเทพไม่ตระหนักถึงผลกระทบและความเดือดร้อนของชาวบ้านซึ่งต้องสูญเสียอาชีพและที่ทำกิน จนเกิดปัญหาการแตกแยกของสังคมขึ้น ดังนั้น เราต้องแก้ไขจุดนี้ก่อน



“เราต้องเอารัฐของเราคืนมา ปัญหาไม่ใช่แค่ว่าปิดไฟ 1 ชั่วโมงแล้วพอ แต่ปัญหาก็คือเราต้องช่วยกันร่วมวิเคราะห์ร่วมกันรณรงค์ เพื่อให้ได้แผนพัฒนาพลังงานของประเทศที่ตอบสนองกับการแก้ปัญหาโลกร้อนจริงๆ ไม่ใช่แค่มองว่าตอนนี้พลังงานต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเศรษฐกิจกำลังจะโตขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีไฟสำรองมากกว่า 17 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นต้องมีนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นมา พลังงานทางเลือกอย่าไปสนใจเพราะมันเล็กน้อยมาก ทั้งที่จริงมันเป็นแนวโน้มที่ควรจะคิดมากขึ้น”



“ตอนนี้เราควรจะรับรู้รับข่าวสารให้เร็วที่สุด ทำอย่างไรให้ประชาคมแข็งแรง อย่างน้อยเราต้องช่วยกันเอง และตระหนักว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวขนาดไหน เราต้องทำใจว่าเราทำลายโลกขนาดนี้ ไม่มีอะไรที่จะกลับมาเหมือนเดิม ต้องมีความหวังว่าเราต้องลดคาร์บอนได้ ต้องพยายามใช้ถุงผ้า การปิดไฟ ลดทุกอย่าง เราควรจะสร้างสรรค์เพื่อลดการใช้พลังงานและมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ดร.สรณรัชฎ์ กล่าวโดยสรุป



ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวหลังจากได้ชมสารคดีว่า สิ่งที่นำเสนอนั้นสั้นและเข้าใจง่ายขึ้น ประเด็นที่สำคัญคือมันเป็นเรื่องใกล้ตัวและอยากให้หลายคนเริ่มคิดเรื่องนี้กัน และต้องคิดต่อไปว่าเราจะนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้อย่างไร ต่อไปเราคงไม่ต้องบอกว่าโลกโดนทำร้ายอย่างไรบ้าง แต่หลังจากนี้เราจะทำอย่างไรกันต่อ



ผศ.สุรัตน์ กล่าวอีกว่าสารคดีเรื่องนี้อาจจะเป็นประเด็นที่ถกเถียงปัญหาสังคมอเมริกาได้ในบางประเด็น การที่จับแต่สหรัฐฯ อย่างเดียวว่าเป็นตัวสร้างปัญหาทั้งหมด คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ถูกและผิดในเวลาเดียวกัน ส่วนที่ถูกต้อง คือ วิธีการบริโภคของสหรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็มีส่วนของประชาชนที่ตระหนักถึงปัญหาทรัพยากรอยู่เหมือนกัน ดังนั้น เราต้องเปลี่ยนระบบรัฐบาล เศรษฐกิจ การเมืองใหม่ ในระบบที่มีสวัสดิการสังคม ซึ่งหมายความว่าจะเปิดโอกาสทำให้ประชาชนคิด ทำให้ประชาชนกลับมามีพลังความแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง



“เศรษฐกิจการเมืองเป็นแบบนี้แล้ว เราไม่อยากโทษรัฐบาลอย่างเดียว รัฐไม่ได้คิดถึงสิ่งแวดล้อม คิดถึงแต่อยู่ถึง 4 ปีไปวันๆ เรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ปัจจัยหลักของพวกนักการเมืองเลย ซึ่งการบริโภคนิยมคือเสรีภาพ แม้แต่รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็ยังสามารถปกครองประเทศได้เลย ตราบใดที่สามารถปล่อยบรรยากาศบริโภคนิยมอยู่ในประชาชนได้ มันเหนือกว่าเรื่องของสิทธิ ยกตัวอย่างประเทศจีนที่ปกครองแบบเผด็จการ แต่สุดท้าย GDP มันสูง บริโภคได้มีเสรีภาพในการเลือก นี่คือจิ๊กซอว์ของปัญหาทั้งหมด”



“เรื่องพลังงานทางเลือก รัฐเห็นว่าเป็นกระแสแฟชั่นเท่านั้น แต่แท้ที่จริงมันปัญหารากเหง้าทั้งหมด และภายใต้ความเจ็บปวดของโลกก็ยังมีคนใช้ความบริโภคนิยมได้อีก คนขายพัดลมขายได้ คนขายไอติมขายได้ แต่โลกกำลังพัง โลกกำลังแย่อยู่ ตรรกะในการตอบคำถามนี่เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคนิยมทำมา หรืออินเทอร์เน็ตที่เราใช้ในทางการสื่อสารขณะเดียวกันที่เกิดขึ้นว่านักวิชาการกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยว่าโลกร้อน ซึ่งกลายเป็นสื่อเสรีภาพที่เลวร้ายที่สุด สุดท้ายแล้วเสรีภาพกลายเป็นดาบมาฟันเรา เถียงกันว่าทำไมโลกร้อน แต่เรื่องที่เขาเถียงกันคือวิถีที่จะพัง มันพังแบบไหน ซึ่งปัญหาต่างๆ ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข”



ทางด้าน ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการนิตยสาร A Day กล่าวหลังจากชมสารคดีว่า การสื่อสารของสารคดีเป็นการเล่าเรื่อง แต่ข้อมูลไม่ได้ใหม่ เป็นการเล่าเรื่องง่ายๆ มีการเท้าความอย่างมีเหตุมีผล บ่งบอกถึงรากของปัญหา และประเด็นอยู่ที่ว่า ‘เราจะช่วยได้อย่างไรบ้าง’



ทรงกลด ได้กล่าวถึงวัยรุ่นยุคนี้ว่ากลัวความแตกต่าง กลัวที่จะไม่เหมือนคนอื่น และกล้าที่จะออกมาทำสิ่งที่ดีๆ กันน้อย แต่เทรนด์ตอนนี้ รู้สึกว่าเทรนด์จะเหวี่ยงกลับ คนทำงานเพื่อสังคมจะดีขึ้น เด็กที่อเมริกาหันมาสนใจทำงานเพื่อสังคมมากขึ้นเท่กว่าฮิพฮอพ เท่กว่าร็อคสตาร์ ในเมืองไทยน่าจะเป็นไปได้ถ้ามีคนแรกหรือกลุ่มแรกในการทำงานเหล่านี้ให้น่าสนใจการจับรวมกันในเครือข่ายอาจจะเป็นเทรนด์ได้



พร้อมกันนี้ บรรณาธิการนิตยสาร A Day กล่าวถึงทางแก้ปัญหาโลกร้อนว่ามองเป็นเรื่องของเทรนด์ เทรนด์ คือ ‘การมา’ และ ‘ไป’ ยกตัวอย่างเช่นโครงการหาร 2 เปิดตัวสวยงามเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คนในบ้านเมืองสนใจ เมื่อ 5 ปีผ่านไปคนก็พูดข้อมูลเดิม คนฟังก็ฟังแต่ข้อมูลเดิม คนฟังก็เบื่อ ถ้าพูดถึงโครงการหาร 2 ก็เชยมาก เป็นข้อมูลที่น่าเบื่อมาก จึงกลัวว่าถ้าวันหนึ่งคนเริ่มเบื่อ และไม่สนใจจะเกิดอะไรขึ้น



“สิ่งที่ผมมองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีคนอยากมาช่วยมาก ส่วนหนึ่งอยากช่วย แต่กลับเป็นการสร้างภาพให้ตัวเองมากกว่าการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างแท้จริง เรื่องที่สองทุกวันนี้เราอาจจะพูดมากกว่าทำ พูดกันหมดว่าจะทำ สื่อก็ด้วย ว่าจะทำอะไรบางอย่าง พูดแล้วใครทำ อีกเรื่องคือเราทำน้อยกว่าที่เราทำได้ เราใช้ถุงผ้า ปิดไฟคนละดวง ปลูกต้นไม้คนละต้น ซึ่งมันเล็ก คือเราควรออกกฎบางอย่างที่ทุกคนต้องร่วมกันปฏิบัติ”



นอกจากนี้ ทรงกลด ยังกล่าวอีกว่า โลกซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เหมือนกัน เรื่องโลกร้อนก็เป็นปัญหาที่ซับซ้อนมากว่าจะต้องแก้อย่างไร ซึ่งทุกๆ ปัญหาจะมีผู้ร้ายเสมอ ปัญหาโลกร้อนใครจะรับผิดชอบ เรามักจะไม่คิดว่าเราเป็นหนึ่งผู้ก่อปัญหา ทุกคนจะมองว่าไม่ใช่ฉัน ความคิดนี้อันตรายมาก คิดแบบนี้จะไม่มีทางแก้ใดๆ เลย ต้องมองว่าเราเป็นปัญหาซึ่งเราต้องเป็นคนแก้ และเราต้องแก้ให้ได้










--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 3/4/2551

 

โดย: 077 IP: 118.174.162.92 4 เมษายน 2551 20:17:22 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/calendar/view.php?ModuleKey=ActivitiesCalendar&action=view&myCalendarDate=2008-04-06&cid=1239
ร่วมปั่นฯ เพิ่มพลังกาย ลดใช้พลังงาน ต้านโลกร้อน


เครือข่ายต้านโลกร้อน ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ เชียงใหม่ และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 เชียงใหม่ ขอเรียนเชิญสมาชิกฯทุกท่านร่วมรณรงค์ปั่นจักรยาน...เพิ่มพลังกาย...ลดใช้พลังงาน...ต้านโลกร้อน... ใน วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2551 เวลา 7.00-14.00 น. โดยมีวัถตุประสงค์ดังนี้

1. เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและองค์การเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศและปัญหาจราจร
2 เพื่อสร้างจิตสำนึกร่วมกันถึงปัญหามลพิษทางอากาศ รวมถึงปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติ
3.เพื่อให้ประชาชนคนเชียงใหม่ร่วมกันออกกำลังกายเสริมสร้างสุขภาพควบคู่กับการท่องเที่ยว
4.เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความผูกพันกับการใช้จักรยานเพิ่มขึ้น
5.เพื่อสร้างเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อมให้กว้างขึ้น

ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

กำหนดการ"ร่วมปั่นฯ เพิ่มพลังกาย ลดใช้พลังงาน ต้านโลกร้อน" ปี 2551
วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2551 เวลา 7.00-14.00 น.
***************************************
07.00 น. - ผู้ร่วมปั่นจักรยานพร้อมกันที่ข่วงประตูท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมลงทะเบียน
08.30 น. - ประธานกล่าวเปิดกิจกรรม
08.45 น. - ตั้งขบวนปั่นจักรยานที่ข่วงประตูท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
09.00 น. - เริ่มปั่นจักรยาน
12.00 น. - ร่วมรับประทานอาหารกลางวันพร้อมเครื่องดื่ม โรงเรียนหอพระ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
13.00 น. - จับฉลากชิงรางวัล ณ โรงเรียนหอพระ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หากสมาชิกท่านใดมีความประสงค์จะยืมจักรยานเพื่อปั่นฯครั้งนี้ โปรดแจ้งให้ทราบด้วยครับ ทางเราจะจัดเตรียมจักรยานให้ครับ

... ท่านสามารถหยุดโลกร้อนได้...

 

โดย: 078 IP: 118.174.162.92 4 เมษายน 2551 20:24:39 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/calendar/view.php?ModuleKey=ActivitiesCalendar&action=view&myCalendarDate=2008-04-22&cid=1228
โครงการ งานมหกรรม วันคุ้มครองโลก


Earth Day

โครงการ งานมหกรรม วันคุ้มครองโลก

วันอังคารที่ 22 เมษายน 2551

ณ สนามกลางแจ้ง และ ลานเอนกประสงค์ อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว จ.เชียงใหม่





หลักการและเหตุผล “ภาวะโลกร้อน คือ ภาระร่วม..... ต้องเรียนรู้และแก้ไข”



ชนวนความคิดเรื่องวันคุ้มครองโลกเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 โดยสมาชิกวุฒิสภา เกย์ลอร์ด เนลสัน (Senator Gaylord Nelson) ซึ่งต่อมาก็เป็นผู้ที่ก่อตั้งวันคุ้มครองโลกได้สำเร็จ ก่อนที่ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมจะเข้าไปสู่ความสนใจของประชาคมโลก พลเมืองโลกระดับรากหญ้า ได้ตระหนักถึงปัญหาความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อม ที่ปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปอย่างเด่นชัด ในทางกลับกันนักการเมืองระดับประเทศกลับมองไม่เห็น ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า หัวข้อเรื่องสิ่งแวดล้อม จะไม่เคยได้รับการบรรจุเข้าไปในวาระการประชุมทางการเมืองระดับชาติเลย อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องการกำหนดให้มีวันคุ้มครองโลกขึ้นก็มีความผันแปรเรื่อยมา จากครั้งแรกที่มีการนำเสนอตลอดระยะเวลา 7 ปีของการรณรงค์ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2512 วุฒิสมาชิกเนลสัน ได้ตัดสินใจจัดให้มีการชุมนุมประชากรระดับรากหญ้าทั่วประเทศขึ้น เพื่อแสดงความคิดเห็นในปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และได้เชิญชวนทุกๆคนให้เข้าร่วมในการชุมนุมดังกล่าว ผลจากความห่วงใยเรื่องวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ของคนในสังคมขณะนั้น ทำให้กลุ่มคนจำนวนมากเข้าร่วมการชุมนุม ซึ่งกิจกรรมชุมนุมดังกล่าวเป็นการนำไปสู่ความสำเร็จอันงดงามของการก่อตั้งวันคุ้มครองโลกขึ้น ในที่สุด วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2513 “วันคุ้มครองโลก” ก็ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก นิตยสาร อเมริกัน เฮริเทจ (American Heritage Magazine) ฉบับเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 ได้หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “เป็นเหตุการณ์ที่โดดเด่นที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตย”

ในปีนี้ วันคุ้มครองโลก วันที่ 22 เมษายน 2551 เครือข่ายต้านโลกร้อน โดยความร่วมมือขององค์กรภาคีทั้งภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคประชาชน และภาคธุรกิจเอกชน จำนวน 48 องค์กร จึงได้วางแผนร่วมกันจัดงานมหกรรม วันคุ้มครองโลก ประเด็น “ ภาวะโลกร้อน ภาระร่วม .... ต้องเรียนรู้และแก้ไข” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรณรงค์ให้ทุกคนและทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

 

โดย: 079 IP: 118.174.162.92 4 เมษายน 2551 20:32:50 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11725


เอฟทีเอว็อทช์ เรียกร้องตั้ง กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ หวั่นแปลงโฉม ม.190 งุบงิบทำเอฟทีเอ



เมื่อวันที่ 2 เม.ย.51 กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ เอฟทีเอ ว็อทช์ แถลงข่าวตอบโต้ข้อสรุปในการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาล โดยเฉพาะในมาตรา 190 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำข้อตกลง สนธิสัญญาใดๆ ระหว่างประเทศ



จักรชัย โฉมทองดี ตัวแทนจากกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ กล่าวว่า ทางกลุ่มเห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ และไม่ได้ปฏิเสธอำนาจของรัฐสภา แต่ก็ไม่ควรผูกขาดให้รัฐสภามีอำนาจแก้รัฐธรรมนูญแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงองค์กรเดียว ควรมีกระบวนการและกลไกที่เป็นที่ยอมรับ โดยเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่มีกฎ ระเบียบรองรับชัดเจนเรื่องการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน กรรมาธิการต้องได้รับการคัดสรรอย่างเป็นประชาธิปไตย และต้องเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง หรืออาจต้องมีการทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในรายประเด็นด้วย



“การแก้ไขหรือปรับปรุงรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่ประชาชนชาวไทย หรือผู้แทนปวงชนชาวไทยย่อมกระทำได้ภายใต้หลักการประชาธิปไตย และด้วยเจตจำนงค์ที่จะผลักดันให้รัฐธรรมนูญเป็นกรอบการปกครองเพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง การเร่งร้อนเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนจะมีการบังคับใช้จริง หรือเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ของการบังคับใช้ ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ารัฐธรรมนูญข้อบทดังกล่าวส่งผลเสียอย่างกว้างขวางต่อสังคมอย่างไรนั้น สะท้อนเจตนาอันน่าสงสัย ว่ามุ่งเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนบางคน บางกลุ่มเท่านั้น” ใบแถลงข่าวระบุ



กล่าวเฉพาะประเด็น มาตรา 190 ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำข้อตกลง สนธิสัญญาระหว่างประเทศ จักรชัย ระบุว่า มาตรานี้ในรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นการอุดช่องโหว่เดิมในรัฐธรรมนูญ 2540 และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมกันอย่างกว้างขวาง สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน โดยมีการระบุหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบทบาทฝ่ายนิติบัญญัติ ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจักรชัยยืนยันว่าทั้งหมดนั้น รวมถึงการกำหนดให้เสนอกรอบการเจรจา และการรับฟังความคิดเห็นก่อนลงนาม ไม่ได้ทำให้เสียท่าทีการเจรจาตามที่รัฐบาลกังวล และประเทศคู่ค้าของไทยไม่ว่าสหรัฐ ยุโรป ก็ล้วนปฏิบัติแบบเดียวกันนี้



จักรชัย กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์จะยังคงเดินหน้ารวบรวม 10,000 รายชื่อต่อไป เพื่อเสนอกฎหมายลูกของมาตรา 190 คือ พ.ร.บ. การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ใกล้ครบถ้วนแล้ว



บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ตัวแทนกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ อีกคนหนึ่ง กล่าวว่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า ม.190 ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเจรจา คือ เอฟทีเอ อาเซียน-ยุโรป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตาม ม.190 ไปแล้วโดยมีการจัดทำกรอบเจรจาและเผยแพร่ก่อนเจรจา รวมทั้งเปิดให้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง



ส่วนข้อสังเกตเกี่ยวกับมาตรา 190 ที่รัฐบาลหยิบยกมาแก้ไขว่าเป็นมาตราเดียวที่ไม่ใช่ประเด็นทางการเมืองอย่างชัดเจนนั้น บัณฑูรมองว่า เรื่องการทำข้อตกลงต่างๆ โดยเฉพาะเอฟทีเอก็เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของคนรัฐบาล จะเห็นได้ว่าการเจรจาที่ผ่านมามีคนในรัฐบาลเก่าได้ประโยชน์ชัดเจน ทั้งยังเชื่อว่าสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศคู่เจรจาสำคัญที่อยู่ระหว่างการเจรจากับไทย ไม่ได้มีส่วนกดดันให้มีการแก้ไขมาตราดังกล่าว เนื่องจากสหรัฐเองก็มีมาตรฐานเช่นเดียวกันนี้





ข่าวประกอบ



ล่าหมื่นชื่อเสนอ ก.ม.การทำเอฟทีเอฉบับประชาชน ด้าน‘บัวแก้ว’ ไม่สนคำร้องเปิดร่างฉบับกระทรวง

//www.prachatai.com/05web/th/home/11486



การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

ว่าด้วยการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อใคร ???





ตามที่คณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ภายใต้กรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 มาตรา ซึ่งหนึ่งในนั้น คือมาตรา 190 ว่าด้วยการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศนั้น



กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ เอฟทีเอ ว็อทช์ เครือข่ายภาคประชาสังคมอันประกอบด้วย นักวิชาการ องค์กรประชาชน และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ติดตามการเจรจาทำความตกลงระหว่างประเทศ ขอคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว



ที่ผ่านมา มาตรา 190 เกิดขึ้นมาเนื่องจากปัญหาที่สะสมอย่างยาวนานจากการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่แสดงอย่างชัดเจนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยและขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนและฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่เพียงแต่นักวิชาการและภาคประชาสังคมบางส่วนเท่านั้นที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหานี้ แต่รวมถึงภาคธุรกิจและประชาชนในวงกว้างก็มีจุดยืนต้องการเห็นกระบวนการที่สะท้อนความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น



3 หลักการสำคัญภายใต้ มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ 1. บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ 2. ความโปร่งใส และ 3. การมีส่วนร่วมของประชาชน หลักการทั้ง 3 ข้อนี้เป็นกลไกที่จะต้องทำงานร่วมกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ไม่เช่นนั้นกระบวนต่างๆจะขาดประสิทธิภาพและก่อปัญหาอยู่เช่นเดิม การที่จะให้รัฐสภาแสดงความเห็นชอบเพียงอย่างเดียวโดยไม่เปิดการมีส่วนร่วมและความโปร่งใสอย่างมีความหมาย ย่อมทำให้การตัดสินใจของฝ่ายนิติบัญญัติขาดความรอบคอบรัดกุม ไม่แตกต่างจากการที่ฝ่ายบริหารดำเนินการฝ่ายเดียวแบบที่เป็นมาในอดีต



บทบัญญัติในมาตรา 190 นั้น สะท้อนถึงการคำนึงถึงความยืดหยุ่นในการเจรจา ประสิทธิภาพและท่าทีของฝ่ายรัฐบาลไทยในการเจรจาอยู่อย่างถ้วนถี่ การนำเสนอกรอบการเจรจาก่อนการเจรจานั้นเป็นวิธีปฏิบัติที่นานาชาติดำเนินการอยู่ มิได้ทำให้เสียท่าทีหรือเสียอำนาจต่อรองของประเทศแต่ประการใด ในทางตรงกันข้ามกรอบการเจรจาที่ผ่านความเห็นขอบจากรัฐสภาและผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนจะทำให้การท่าทีการเจรจาของฝ่ายไทยมีความเข้มแข็งและสามารถต่อรองกับประเทศคู่เจรจารวมทั้งชาติมหาอำนาจได้อย่างทัดเทียมมากยิ่งขึ้น



ที่สำคัญที่สุด เมื่อจบกระบวนการเจรจาแล้ว การเปิดเผยข้อมูลหรือรับฟังความคิดเห็นในขั้นที่จบกระบวนการการเจรจาแล้วนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อท่าทีการเจรจาแต่อย่างใด เพราะมีการแยกกระบวนการในส่วนนี้อย่างชัดเจน รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่า ภายหลังการลงนามรับรองความถูกต้องอย่างแท้จริงซึ่งหมายถึงว่าจบกระบวนการการเจรจาไปแล้ว ให้รัฐบาลนั้นเผยแพร่รายละเอียดของความตกลงหรือหนังสือสัญญาต่อสาธารณะ จัดรับฟังความคิดเห็น และนำผลการรับฟังความคิดเห็นประกอบไปเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ ขั้นตอนในชั้นนี้ ขอย้ำว่าไม่ส่งผลกระทบต่อท่าทีการเจรจาแต่อย่างใด และไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถเจรจากับนานาประเทศได้



ที่ผ่านมา ทั้งในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต่างพยายามใช้ความไม่ชัดเจนและช่องว่างในรัฐธรรมนูญปี 2540 รัฐธรรมนูญชั่วคราว และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพื่อเลี่ยงการมีส่วนร่วมของประชาชนและความโปร่งใสในการทำความตกลงต่างๆ



การขาดการมีส่วนร่วมไม่ได้หมายถึงประชาชนโดยทั่วไปเท่านั้นที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล แต่รวมถึงนักวิชาการผู้มีความชำนาญในประเด็นต่างๆทั้งประเด็นข้อกฎหมาย ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ฯลฯ ที่มีความเกี่ยวข้องกับความตกลงนั้นๆ ไม่สามารถที่จะเข้าไปแสดงความเห็นที่เป็นประโยชน์ หรือวิเคราะห์ศึกษาผลกระทบที่จะเกิดจากความตกลงนั้นได้เลย ตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจน เอฟทีเอ ไทย-จีน ภายใต้กรอบอาเซียน-จีนที่ส่งผลกระทบกว้างขวางต่อเกษตรกร และยังส่งผลกระทบยาวนานจนถึงปัจจุบันก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากการขาดความรอบคอบและรัดกุม ผลประโยชน์ที่ได้ตกแก่กลุ่มทุนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งความผิดพลาดนี้ก็เป็นที่ยอมรับแม้แต่ในคณะรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เอง



ในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) เนื้อหาที่ว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต และการอนุญาตขนย้ายขยะสารพิษจากญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทยอย่างสะดวกยิ่งขึ้น เป็นที่ยอมรับทั้งจากฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในช่วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ว่า เมื่อครั้งที่ทำความตกลงนี้ไม่ได้ตระหนักประเด็นเหล่านี้อย่างรอบคอบเพียงพอ และยอมรับว่าการทำความตกลงนี้เป้นการทำความตกลงที่ผูกพันประเทศไทยมากกว่าที่ผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งข้อเสนอเพื่อแก้ไขต่างๆเหล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อภาคประชาชนและนักวิชาการในวงกว้างมีโอกาสเห็นร่างความตกลงฯ แล้ว จนนำไปสู่การทำจดหมายแนบท้ายเพิ่มเติมข้อความเพื่อสร้างความแน่ใจว่า ประเทศไทยจะไม่มีผลกระทบด้านลบจากความตกลงดังกล่าว



ต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นบทเรียนที่เห็นชัดว่า การสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม ไม่ก่อให้เกิดปัญหา และไม่ส่งกระทบต่อท่าทีของประเทศ แต่เพิ่มความรัดกุมและประสิทธิภาพในการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย และประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริงจากความตกลง



สำหรับความโปร่งใสในการเจรจาก็เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมารัฐบาลสนับสนุนกลุ่มธุรกิจบางกลุ่มเข้ามาร่วมสังเกตการเจรจาอยู่แล้ว ในมาตรา 190 เพียงเพิ่มข้อกำหนดชัดเจนยิ่งขึ้นและเป็นระบบระเบียบมากขึ้นซึ่งการเพิ่มขั้นตอนความโปร่งใสนั้นย่อมไม่ทำให้วิถีทางปฏิบัติที่มีมาแต่เดิมของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องนั้นเสียหาย หรือส่งผลเสียต่อท่าทีการเจรจาแต่อย่างใด



ที่สำคัญที่สุด การแก้ไขมาตรการ 190 ควรต้องมาจากการทดลองใช้และทดสอบใช้ว่าเกิดปัญหาในจุดใดบ้าง เนื่องจาก มาตรา 190 มีลักษณะพิเศษ เพราะเป็นมาตราที่เขียนแก้ปัญหาที่สั่งสมมาอยู่อย่างเนิ่นนาน หนทางที่มาตรา 190 กำหนด ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะแก้มาตรา 190 ในชั้นนี้ แม้มาตรา 190 จะมีช่องว่างหรือขาดความครบถ้วนในบางประเด็นอยู่บ้างก็ตาม



ที่ผ่านมา การปฏิบัติภายใต้มาตรา 190 นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2550 จนถึงปัจจุบันได้มีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาสามารถจัดรับฟังความคิดเห็น สร้างความโปร่งใส ยกตัวอย่างเช่น ที่กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติในกรอบการเจรจา อาเซียน-อียู ก็สามารถดำเนินการอย่างไม่มีปัญหา และสร้างท่าทีการยอมรับโดยทั่วไปในสังคม ฝ่ายสหภาพยุโรป ในฐานะคู่เจรจาก็ยินดีที่เห็นการเจรจาที่มีความเป็นประชาธิปไตยเช่นนี้ ยิ่งเป็นการย้ำว่า การปฏิบัติตามมาตรา 190 ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด



ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า ผลที่เกิดจากการทำเอฟทีเอ และความตกลงอื่นๆที่มีความสำคัญนั้น ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง จะคำนึงแต่ด้านความคล่องตัวและอำนาจตัดสินใจของรัฐบาลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมิได้



กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) เห็นว่า การแก้ไขหรือปรับปรุงรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่ประชาชนชาวไทย หรือผู้แทนปวงชนชาวไทยย่อมกระทำได้ภายใต้หลักการประชาธิปไตย และด้วยเจตจำนงค์ที่จะผลักดันให้รัฐธรรมนูญเป็นกรอบการปกครองเพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง การเร่งร้อนเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนจะมีการบังคับใช้จริง หรือเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ของการบังคับใช้ ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ารัฐธรรมนูญข้อบทดังกล่าวส่งผลเสียอย่างกว้างขวางต่อสังคมอย่างไรนั้น สะท้อนเจตนาอันน่าสงสัย ว่ามุ่งเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนบางคน บางกลุ่มเท่านั้น



กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) เห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผูกขาดแค่ในรัฐสภาเพียงองค์กรเดียว เนื่องจากฝ่ายการเมืองเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง การแก้ไขจึงไม่ควรเป็นเรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นกระบวนการแก้ไขและปรับปรุงรัฐธรรมนูญ จะต้องมีกระบวนการที่ชัดเจน ในการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญที่จะต้องประกอบไปด้วย ตัวแทนภาคส่วนต่างๆ ทั้งนักวิชาการ กลุ่มประชาชนอย่างกว้างขวาง โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้จะต้องจัดให้มีการศึกษาอย่างรอบคอบและจัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนเจ้าของประเทศอย่างกว้างขวางและทั่วถึงในทุกภูมิภาค รวมทั้งนำความคิดเห็นนั้นมาประกอบกับเนื้อหาการแก้ไขฯเพื่อให้รัฐสภามีมติต่อไป ทั้งนี้ หากรัฐสภามีความเห็นต่างในสาระสำคัญกับร่างของคณะกรรมาธิการวิสามัญก็จำเป็นจะต้องส่งกลับมาให้คณะกรรมธิการพิจารณาใหม่ นอกจากนี้ หากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการปรับเปลี่ยนในสาระสำคัญจะต้องจัดให้มีการลงประชามติรายประเด็น



เมื่อดำเนินการเช่นนี้แล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับได้ มิเช่นนั้นจะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคมต่อไปได้





2 เมษายน 2551












--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 3/4/2551

 

โดย: 080 IP: 118.174.162.92 4 เมษายน 2551 20:39:12 น.  

 

//www.thaingo.org/webboard/view.php?id=13188
Google กับการสนับสนุน NGOs

quote:
--------------------------------------------------------------------------------

Many of you spend your days making this world a better place, and we want to do our part to help.

--------------------------------------------------------------------------------




Google For Non-Profits บริการ Google สำหรับองค์กรไม่แสวงผลกำไร รวมเครื่องมือที่จำเป็นต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น โดยองค์กรที่เข้าร่วมสามารถใช้บริการหลายอย่างของ Google ได้ฟรี เช่น Google Docs จัดการงานเอกสารร่วมกัน หรือว่าจะใช้ Google-hosted email จากโดเมนขององค์กรเองก็ทำได้ อีกทั้งยังสามารถรับเงินบริจาคผ่าน Google Checkout โดยไม่คิดค่าบริการ และโฆษณาผ่าน Google Grants เพื่อการประชาสัมพันธ์ได้ฟรีอีกต่างหาก

//arthuran.net/node/65/google-for-non-profits

โดย : arthuran (58.8.182.42) เมื่อ : 4/04/2008 03:22 AM

 

โดย: 081 IP: 118.174.162.92 4 เมษายน 2551 20:46:22 น.  

 

//www.thaingo.org/webboard/view.php?id=12689
นิเวศน์ประชาธรรม-หน่ออ่อนการเมืองยุดหน้า????
การต่อยอดของพลพรรคถั่วเขียว????





1. ที่มา
นปธ.คือ การสรุปบทเรียนของภาคประชาชนไทย

– คือการตกผลึกร่วมกันของภาคประชาชนในสังคมไทย จากการปฏิบัติในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา (ct 3)

– เป็นการสรุปบทเรียนของ ภาคประชาชน 3 กลุ่มหลักคือ (ct 3)
– กลุ่มนิเวศ ตั้งแต่กลุ่มรักท้องถิ่น, กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ, จนถึงนิเวศการเมือง
– กลุ่มประชา (หรือกลุ่มเพื่อประชาชน) คือ กลุ่มที่มีจิตสำนึกรับใช้ประชาชนเดิม
– กลุ่มธรรม เช่น แนวคิดของท่านพุทธทาส

– นปธ.จึงไม่ใช่ความคิดของนักทฤษฎีคนใดคนหนึ่ง–กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นประสบการณ์ร่วมในการ
เคลื่อนไหวจากรากฐานของสังคมไทย (ct 3)
– เป็นข้อสรุปที่ “ขึ้นมาจากฐานล่าง” ไม่ใช่ “การชี้นำจากเบื้องบน” (ct 3)

– ที่ผ่านมาแต่ละกลุ่มมีแนวคิดของกลุ่มอื่นๆแทรกอยู่แล้ว (เช่น กลุ่มนิเวศ ก็มีมิติของ ความเป็นธรรม
ทางสังคม และธรรม แทรกอยู่) เพียงแต่มีจุดเน้นและรูปธรรมการเคลื่อนไหวต่างกันไป (ct 3)

– จากนิยามนี้ทำให้เห็นว่ามีนักปฏิบัติ นปธ. กระจายอยู่ในท้องถิ่นต่างๆทั่วประเทศ เพียงแต่ยังไม่ได้ลุก
ขึ้นมารวมตัวกัน (ct 3)

นิยาม นปธ.
– คือการไม่เบียดเบียนกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และมนุษย์กับมนุษย์ (สช 31)

– คือการคัดค้านบริโภคนิยมสุดโต่ง คือการจัดสรรและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล
และเป็นธรรม คือการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคม คือการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของ
ประชาชนเป็นสำคัญ (สช 31)

– คือ Green Politics + บริบทสังคมไทย (ปัญหาความยากจน + ธรรม) (ml)

– คือชุดความคิดทางการเมืองที่เกิดจากการสังเคราะห์บทเรียน-ความเคลื่อนไหวของ
ขบวนการประชาชนไทยในอดีต นิเวศประชาธรรมเชื่อว่าปัญหาทั้งในระดับบุคคล สังคม
และระบบนิเวศ เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง โดยทั้งหมดมีสาเหตุสำคัญมาจากทัศนะต่อโลก
และชีวิตที่ผิดพลาด อันนำไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจสังคมแบบทุนนิยม-บริโภคนิยม
นิเวศประชาธรรมเชื่อในการสร้างสรรค์สังคมใหม่ภายใต้หลัก 3 ประการ คือ ศาสนธรรม-
รัฐสวัสดิการ-และระบบนิเวศ โดยมุ่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงผ่านขบวนการประชาชน
ระดับท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อจัดทำและผลักดันนโยบายในระดับ
ชาติ (ml)

– (นิยามของลุง oc แยกไปใส่ในหัวข้อนโยบาย)

2. ปัญหา–สาเหตุ

ระดับปรากฏการณ์
– ปัญหา ความเป็นธรรมทางสังคม, ระบบนิเวศ, การเมืองสกปรก (oc 9/16)

– ระบอบอุปถัมภ์ เป็นปัญหาสำคัญของประชาธิปไตย ต้องแก้ปัญหานี้จึงจะมีประชาธิปไตย
ที่แท้จริงได้ (ct 2)

– สาเหตุสำคัญคือ มนุษย์เบียดเบียนกันเอง / มนุษย์เบียดเบียนธรรมชาติ
(ปัญหาระหว่างมนุษย์–มนุษย์ / มนุษย์–ธรรมชาติ คือการเบียดเบียนกัน) (ct 4)


ระดับโครงสร้าง (โครงสร้างระดับล่าง)
– อุตสาหกรรมนิยม–บริโภคนิยมคือต้นเหตุ ปัญหาการล่มสลายของระบบนิเวศในรูปแบบต่างๆคือผล
อันเกิดจากเหตุ ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ (หยุดบริโภคนิยม หยุดความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไร้ขอบเขต)
จะไม่สามารถแก้ปัญหาระบบนิเวศได้อย่างแท้จริง (ml 7)

– ระบบทุนนิยมไม่มีทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประชาชนส่วนใหญ่ได้
ระบบสังคมนิยมรวมศูนย์ ที่มุ่งสู่อุตสาหกรรมนิยม บริโภคนิยม ที่สุดแล้วก็นำไปสู่ปัญหา
ไม่ต่างจากทุนนิยม (ct 9 / สช 24)

– โครงสร้างการผลิตแบบทุนนิยม บริโภคนิยม อุจสาหกรรมนิยม ที่กระตุ้นการบริโภคผ่านระบบ
โฆษณา ย้อนกลับไปปลูกฝังกระบวนทัศน์ที่ผิดพลาดด้วย (oc 11)

– นปธ.ต่างจากนักอนุรักษ์ทั่วไป เพราะนปธ.เน้นความสำคัญของการเมืองในการแก้ปัญหาด้วย
(สช 27)


ระดับปรัชญาแนวคิด (รูปการจิตสำนึก / โครงสร้างระดับบน)
– ปัญหาสำคัญอยู่ที่ “รูปการณ์จิตสำนึก” (ct 4)

– โครงสร้างระดับบน (หรือกระบวนทัศน์) นำไปสู่โครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม (ml 7)
โครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมนำไปสู่ปัญหารูปธรรม (ปรากฏการณ์)
โครงสร้างระดับบน  โครงสร้างระดับล่าง  ปรากฏการณ์ (ปัญหา)

– การตามแก้ปัญหาที่ระดับปรากฏการณ์เพียงอย่างเดียวไม่มีทางสำเร็จ เพราะโครงสร้างที่ผิดพลาด
ทั้ง 2 ระดับ จะผลิตปัญหาใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง การแก้ปัญหาที่ระดับโครงสร้างจึงควรเป็น
ภารกิจสำคัญของนปธ. (ml 7)

3. อุดมคติ

หลักการ

นิเวศ
– มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์ควรเคารพธรรมชาติ ...(ตรงข้ามกับระบบทุนนิยม
ที่เห็นมนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ทุกสิ่งต้องรับใช้ความต้องการของมนุษย์) (oc 10/16)
– ต้องสร้างระบบเศรษฐกิจสังคมที่อยู่ภายใต้สมดุลของระบบนิเวศ (oc 15)

ประชา
– “ประชาธรรม” หมายถึงการจัดสรรทรัพยากรของชาติอย่างเป็นธรรมด้วย (atm 1)
– เน้น “ประชาธรรม” (ความเป็นธรรมทางสังคม) เพราะยังเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน
(สช 27)
– การแก้ปัญหา “รูปการณ์จิตสำนึก” (จิต) ต้องควบคู่กับ วัตถุ (ct 4)

ธรรม
– “ธรรม” (ในนปธ.) คือ ศีลธรรม ความเป็นธรรม ความชอบธรรม (atm 1)

ข้อเสนออื่นๆ (ในประเด็นหลักการ)
– หลักการสำคัญคือ มนุษย์เลิกเบียดเบียนกัน / มนุษย์เลิกเบียดเยียนธรรมชาติ
“การไม่เบียดเบียนกัน” ควรเป็นกติกาของสังคม และเป็นกติกาของความสัมพันธ์
ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ (ct 4 / สช 23)
– สร้างความกลมเกลียว ในความสัมพันธ์ มนุษย์–มนุษย์ / มนุษย์–ธรรมชาติ (สช 27)

– เสนอหลัก 3 ประการ (ที่เข้าใจง่ายและสื่อถึงภารกิจ) คือ
“ศาสนธรรม–รัฐสวัสดิการ–และระบบนิเวศ” (ml)
– ทฤษฎี–หลักการที่อธิบาย–ชี้นำการเคลื่อนไหว ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามไปตามสภาพสังคม
ที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา (jd 6)

นโยบาย

หลักการทั่วไป
– เป้าหมายคือ คุณภาพชีวิตที่พอเพียงและสมดุล (oc 12)

– ใช้กระบวนทัศน์นิเวศนิยมสร้างสังคมใหม่ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา
วัฒนธรรม ฯลฯ (oc 11)

– ชีวิตในอุดมคติน่าจะเป็นการมีปัจจัย 4 อย่างเพียงพอ แล้วพัฒนาจิตให้เข้าถึงความจริง
สูงสุดของธรรมชาติ (ml 7)

– นโยบายทุกด้านควรเป็นเอกภาพ ยึดโยงกันด้วยปรัชญา–อุดมการณ์นปธ.(ml)

– ในการจัดทำนโยบายควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงจากระดับปรัชญาจนถึงโครงการ (ml)
โดยปรัชญากำหนดอุดมการณ์ อุดมการณ์กำหนดนโยบาย นโยบายกำหนดโครงการ
(การบริหารจัดการ บุคลากร งบประมาณ ฯลฯ ในขั้นปฏิบัติการ)

“ปรัชญา --> อุดมการณ์ --> นโยบาย --> โครงการ”


นโยบายเศรษฐกิจ

หลักการ
– เป้าหมายคือระบบเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้ความสมดุลของธรรมชาติ และแบ่งปันกันอย่าง
เป็นธรรม (oc 16)
– ไม่เห็นด้วยกับอุตสาหกรรมนิยมและบริโภคนิยมสุดโต่ง (oc)
– สร้างเศรษฐกิจที่ “รู้จักพอ” / เข้าใจขีดจำกัดของธรรมชาติ (oc 10)
– ควรเป็นสังคมที่มีความสมบูรณ์พูนสุข (ตามอัตภาพ) ด้วย (สช 23)
– สร้างเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ (ประหยัดสูง ประโยชน์สุด) (ps 21)
– ใช้ระบบเศรษฐกิจที่มีการแข่งขัน แต่รัฐ “ดูแล” ให้ทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้ (สช 24)
– คัดค้านทุนนิยมผูกขาด แต่ยอมรับทุนนิยมเสรี ที่รับผิดชอบต่อสังคม (oc)

การเปลี่ยนผ่าน
– ต้องมีคำตอบถึงการเปลี่ยนผ่านจากระบบปัจจุบัน (ct 2)
– ในสถานการณ์ปัจจุบันรัฐยังต้อง “นำพา” หรือสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย (เช่น
มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่) ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (สช 25)

บริโภคนิยม
– ควรมีกระบวนการทางวัฒนธรรมใหม่ เพื่อหล่อหลอมมนุษย์ไปในทิศทางที่บริโภคน้อยลง
พึ่งพาวัตถุ (ส่วนเกิน) น้อยลง แต่มีความสงบสุขมากขึ้น...ไม่ใช่ใช้อำนาจบังคับให้ลดการ
บริโภค (ml 7)
– ควรศึกษาแนวคิด Small is Beautiful ของ Schumacher (rs 21)

อุตสาหกรรม
– ต้องลดการบริโภค ลดการใช้พลังงาน ลงจากระดับปัจจุบัน (oc 14)
– ต้องมีอุตสาหกรรมแบบใหม่ที่เข้าใจระบบนิเวศ และรับผิดชอบต่อฝ่ายแรงงาน (oc 10)
– ใช้ระบบภาษีสีเขียว (ลดภาษีกิจการที่เป็นมิตรกับระบบนิเวศ / ขึ้นภาษีกิจการที่ก่อมลพิษ)

การวัดความเจริญก้าวหน้า
– ต้องทบทวนระบบการวัดความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงมิติอื่นๆด้วย
เช่น ระบบนิเวศ, วิถีชีวิต, ความสุข, ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ (oc 10)
– Gross National Happiness (สช. 22)

เศรษฐกิจชุมชน
– สร้างเศรษฐกิจระดับชุมชนที่เข้มแข็งและยั่งยืน (สช 22)
– เศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง (oc)
– เน้นการสร้างงานในชนบท จะแก้ปัญหาอื่นๆที่เชื่อมโยงได้มาก (สช 26)
– ส่งเสริมความหลากหลายของผลิตภัณ์ชุมชน (โอทอป เป็นทิศทางที่ผิดพลาด) (slum 31)
– ส่งเสริมระบบสหกรณ์ (ดส)

รัฐสวัสดิการ
– ควรมีสวัสดิการด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และเบี้ยยังชีพ สำหรับชาวนา, กรรมกร,
คนชรา (ps 21)
– รัฐต้องจัดสวัสดิการอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่คอร์รัปชั่น เพื่อให้ประชาชนยินดีเสียภาษี
ในระดับสูง (vn 32)

การเมือง
– มุ่งกระจายอำนาจการเมืองออกไปสู่ ภูมิภาค ท้องถิ่น ชุมชน (oc 12)
– ควรศึกษาแนวทางของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ที่เน้นความสำคัญของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก 32)
– ควรเน้นประชาธิปไตยทางตรง (สมาชิก–ประชาชน ควบคุมผู้บริหารระดับสูงและตัดสินใจ
เรื่องสำคัญๆได้โดยตรง) ตั้งแต่ภายในองค์กรจนถึงการเมืองระดับชาติ (ml)

ระบบนิเวศ
– ใช้การจัดการทางนิเวศวิทยาเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ (ps 21)

– ป่าไม้
– ทำรั้วกั้นเขตป่าให้ชัดเจน (atm1)
– เร่งออกเอกสารสิทธิ์ในเขตป่าเสื่อมโทรม (atm1)
– ยกเลิกกฎหมายป่าไม้ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน (atm1)
– ส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนปลูกไม้ยืนต้น โดยให้งบ 3 บาท/ต้น/ปี (atm1)
– ลดภาษีสำหรับผู้ปลูกไม้ยืนต้นจำนวนมาก (atm1)
– ทำแผนการใช้งานและปลูกไม้ทดแทน (atm1)
– ส่งเสริมป่าชุมชน

– ปัญหาโลกร้อน
– แก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยมองความเชื่อมโยงของปัญหาทั้งระบบ
(สช 29)
– รณรงค์สร้างจิตสำนึก (jd 5)
– ต้องแก้ที่ระบบทุนนิยม–บริโภคนิยม (oc 20)
– สร้างเมืองบริวาร ที่มีการจ้างงาน บริการด้านการศึกษาและสาธารณสุข
อย่างครบถ้วน เพื่อลดขนาดของเมืองใหญ่ (สช 25/ 27)
– เน้นแก้ปัญหากรุงเทพฯ ซึ่งก่อปัญหามากที่สุด (สช 26)
– ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง (ur 31)
พลังงาน
– ตั้งกองทุนสนับสนุนการวิจัยพลังงานลม, แสงอาทิตย์ ให้ใช้งานได้จริงใน 3 ปี (atm1)
– ลด–ยกเว้นภาษี สำหรับโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์และกิจการที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (atm1)
– สร้างต้นแบบ แหล่งพลังงานสะอาด และผลักดันให้เกิดการนำไปใช้งานจริง (สช 26)
– ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน โดยคำนึงถึงการกระจายความเจริญ
และการจ้างงานในชทบท และ (สช 27)
– สร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อประหยัดพลังงาน และกระจายความ
เจริญไปพร้อมกัน (สช 25)

การศึกษา
– ต้องรณงค์เรื่องรูปการจิตสำนึกทางนิเวศของประชาชนอย่างจริงจัง (สช 30)
– สร้างประชาชนที่รู้เท่าทันนักการเมือง (ps 21)
– สร้างประชาชนที่รู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แบ่งปัน ยอมรับความแตกต่าง (ps 21)
– ต้องเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพ เน้นความสุขจากการเรียนรู้ การศึกษาเพื่อรับใช้ชีวิตที่มีสุข
ของชุมชน ของสังคม ของปัจเจกชน (oc)
– เป้าหมายของการศึกษาคือการสร้างสังคมอุดมปัญญา มีจริยธรรมใหม่ สร้างองค์ความรู้
เพื่อสร้างสมดุลในโลกนิเวศ (oc)
– คนจนต้องมีโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม (ps 21)
– ให้การศึกษาสำหรับทุกคนจนถึงระดับมัธยมศึกษา จัดให้การศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วถึงและราคาไม่แพง (สช 24)
– ส่งเสริมการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่น (สช 24)
– ยกระดับเงินเดือนและสวัสดิการของบุคลากรการศึกษาของรัฐให้เท่ากับเอกชน (สช 24)

เกษตรกรรม
– สนับสนุนระบบเกษตรอินทรีย์ เช่น ให้เงินอุดหนุนเกษตรกร (oc 13)
– ควรศึกษาบทเรียนด้านเกษตรอินทรีย์ของคิวบา (rs 22)

ปัญหาคอรัปชั่น
– สร้างธรรมาภิบาลทุกระดับ (ps 21)
–ส่งเสริมบทบาทของสื่อสาธารณะ และสิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร (ps 21)
– ดำเนินการกับพรรคการเมืองที่โกงกินอย่างเด็ดขาด เช่น ยุบพรรค (ps 21)

สังคม
– สร้างสังคมที่น่าอยู่ ไม่เบียดเบียนกัน เคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ สิทธิชุมชน สร้างสังคมที่
เป็นธรรมทุกระดับ ร่วมไม้ร่วมมือกันในทุกระดับ เป็นสังคมมีจริยธรรม มีคุณธรรม (oc)

4. ยุทธศาสตร์–ยุทธวิธี
– ปฏิบัติการของนปธ.ประกอบด้วย 2 ส่วนควบคู่กัน คือ พรรคการเมือง และขบวนการประชาชน (ml)

ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคกับองค์กรประชาชน
– การตั้งพรรคการเมืองฝ่ายประชาชนควรตั้งต้นจากฐานคิดขององค์กรประชาชน (ขบวนการฝ่าย
นิเวศ) ที่กำลังเติบโต ก้าวพ้นจากปัญหาเฉพาะตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม (oc 10)

– พรรคนปธ. ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อยุบเลิกองค์ภาคประชาชนต่างๆ มารวมกันเป็นพรรคหรือองค์กรใหม่
แต่เกิดขึ้นเพื่อสังเคราะห์ความต้องการของประชาชนกลุ่มต่างๆขึ้นมาเป็นเนื้อหาที่ยอมรับกันทั่วไป
เพื่อสร้างความเคลื่อนไหวในระดับที่สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง (ct 2)
– พรรคต้องไม่มีจุดประสงค์เพื่อครอบงำการเคลื่อนไหวขององค์กรประชาชน องค์ประชาชน
ต้องเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระจากพรรค (ct 2)

– ถือว่าขบวนการประชาชนทวนกระแส คือเนื้อแท้ของนปธ. แม้จัดตั้งพรรคเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจได้
แล้ว ยังต้องให้ขบวนการประชาชนมีบทบาทควบคุมพรรค * (oc 13)
– พรรคควรทำตัวเป็นกลไกหนึ่งขององค์กรประชาชน ให้องค์กรประชาชนสามารถใช้งาน
พรรคได้ (ct1)

– พรรคควรร่วมเคลื่อนไหวในปัญหาเฉพาะขององค์กรภาคประชาชน เพื่อแสดงให้เห็นว่าพรรคเกิดขึ้น
เพื่อรับใช้องค์กรประชาชนอย่างแท้จริง (ct 2 / oc 12)
– ความเห็นต่าง : พรรคหรือองค์กรนปธ.ไม่ควรเข้าไปร่วมคิดร่วมแก้ปัญหาการทำลาย
ธรรมชาติเฉพาะจุด ต้องแก้ปัญหาที่เป็นใจกลางของเรื่อง (สช 26)

– ในขั้นต้นต้องรณรงค์ให้องค์กรประชาชนมีทัศนะที่พ้นจากปัญหาเฉพาะของกลุ่ม–ท้องถิ่น และเห็น
ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างร่วมกัน (oc 13)

– การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง นโยบาย จำเป็นต้องเข้าสู่อำนาจรัฐส่วนกลาง ดังนั้นในระยะยาวนปธ.
ควรมีเป้าหมายเข้าสู่อำนาจรัฐส่วนกลาง (ผ่านการจัดตั้งพรรคการเมือง) (oc 12)
ควรจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองในขั้นต้นนี้หรือไม่

– นปธ.ยังไม่ควรเป็นพรรคการเมือง (อย่างน้อยในขณะนี้) แต่ควรเป็นคณะทำงานเพื่อผนึกกำลังฝ่าย
ประชาชน และเพื่อรณงค์แก้ปัญหาสังคม–นิเวศ (ct 5)
– ควรทำจากเล็กไปใหญ่ จากล่างสู่บน เฉพาะส่วนถึงทั้งหมด (ct 5)
– ควรจัดตั้งพรรคเมื่อเกิดความตื่นตัวของคนหมู่มากแล้ว (ct 5)

– ไม่ควรมีเป้าหมายในการตั้งพรรค เพราะที่ผ่านมาเมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วมักละทิ้งอุดมการณ์
(สช 22 ...สรุปความคิดเก่าที่เคยแลกเปลี่ยน)

– การเริ่มต้นโดยเป็นพรรคทันทีจะทำให้ทำงานลำบาก (สช 30)


แนวทางการเคลื่นไหวในช่วงแรก (แบบไม่ใช่พรรค)

– บทบาทในช่วงนี้ควรเป็นหน่วยทางความคิด หน้าที่คือ คิด–เผยแพร่–รับฟัง–สังเคราะห์ (สช 30)
– งานสำคัญ 2 ด้านคือ 1.งานความคิด 2.งานเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ (สช 30)
– สิ่งจำเป็นก่อนการจัดตั้งพรรคการเมือง คือ ชุดความคิด ที่มีคุณภาพและเกิดจากการตก
ผลึกอย่างแท้จริง (oc 9)
– ภารกิจสำคัญในช่วง 3-5 ปีแรกน่าจะเป็นการสร้างเนื้อหา–ตัวต้น ในฐานะอุดมการณ์
ทางเลือกให้ชัดเจน (ml 7)

– เน้นการสร้างเครือข่ายขบวนการประชาชน ทั้งกลุ่มอาชีพ, กลุ่มชุมชน, กลุ่มอนุรักษ์, Ngos ฯลฯ
– ควรสร้างเครือข่ายของตนเอง ควบคู่ไปกับการทำงานความคิดและเผยแพร่ (สช 30)

– บันได 4 ขั้น [ml 8] ...(แบบนี้พรรคจะเกิดขึ้นในช่วงไหนก็ได้ ตามความเหมาะสมของปัจจัยต่างๆ)
1. สรุปความคิดให้ชัด
2. สร้างนโยบายรูปธรรม
3. เผยแพร่แนวคิดและนโยบาย
4. ผลักดันไปสู่การปฏิบัติ
– ระหว่างที่ยังไม่สามารถเข้าสู่อำนาจรัฐ ต้องอาศัยการเมืองภาคประชาชน ผลักดัน
แนวคิด–นโยบายให้รัฐรับไปปฏิบัติเท่าที่จะทำได้ (oc 12)
ยุทธศาสตร์นโยบาย (ml)

– ทำอะไร จัดทำชุดนโยบายสาธารณะภายใต้แนวคิดนิเวศประชาธรรม โดยเข้าไปเชื่อต่อ
กับบุคคลและเครือข่ายที่มีความสนใจเฉพาะด้านให้กว้างขวางมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ได้ทั้ง
ชุดนโยบายที่มีคุณภาพและเป็นการขยายความคิด–ขยายแนวร่วมไปพร้อมกัน

– ยุทธศาสตร์โครงการ
– การเปิดโอกาสให้กลุ่มหรือเครือข่ายเฉพาะด้านต่างๆ “มีที่ยืน” หรือสามารถ
ผลักดันการแก้ปัญหาตามความสนใจเฉพาะด้านของตน จากการสนับสนุนชุด
นโยบายนี้ จะเป็นการผนึกกำลังฝ่ายก้าวหน้า ทำให้ชุดนโยบายนปธ.กลายเป็น
ศูนย์กลางในการรวมพลังทางสังคมการเมืองอย่างสำคัญ
– ใช้ “กระบวนการจัดทำนโยบาย” เป็นเครื่องมือในการผนึกกำลังขบวนการ
ประชาชนทั้งหมดเข้าด้วยกัน (กระบวนการสำคัญไม่น้อยกว่าตัวนโยบาย)
– ถ้านโยบายดี มีผู้สนับสนุนมาก กลุ่มย่อมมีพลังทางการเมืองสูง [ml 8]

– การดำเนินการ จัดทำนโยบายแต่ละด้านโดยศึกษานโยบายพรรคกรีนต่างประเทศควบคู่
กับปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบายที่องค์กรประชาชนต่างๆจัดทำไว้แล้ว และผลักดันนโยบายไปสู่
การปฏิบัติโดยประสานกับองค์กรประชาชน

ข้อเสนอเกี่ยวกับยุทธศาสตร์–ยุทธวิธีอื่นๆ

– เน้นการร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่มุ่งแบ่งแยก–โจมตี เพราะไม่นำไปสู่
การแก้ปัญหา (สช 29)
– มองทุกฝ่ายอย่างเป็นมิตร–มองด้านดี ไม่กวาดตาหาศัตรู (สช 30)
– ไม่ควรเน้นการต่อสู้ทางชนชั้น แต่ควรเน้น “การอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง การช่วยเหลือ
เกื้อกูลกัน” (Symbiosis) (สช)

– มวลชน (ไม่ว่าชนชั้นใด) คือเป้าหมายในการทำงานของชาวนปธ. ต้องมุ่งเผยแพร่ปลูกฝังโลกทัศน์–
อุดมการณ์นปธ.ให้กว้างขวาง (oc 13)

– การรณรงค์ควรยึดหลักการให้มั่นคง ไม่ประนีประนอมเพียงเพื่อให้คนส่วนใหญ่หันมาสนับสนุน
(oc 19)

– ต้องระวังท่าทีต่อองค์กรประชาชนอื่นๆ ไม่ให้รู้สึกว่านปธ.เข้าไปแย่งสมาชิก หรือครอบงำองค์กรอื่น
(สช 30)

– เมื่อถึงเวลาตั้งพรรคไม่ควรอาศัยนายทุนใหญ่ แต่ควรมีประชาชนเป็นเจ้าของ (แบบสหกรณ์) (vc 31)

– การจัดประชุมบ่อยๆและกระจายออกไปยังต่างจังหวัด จะทำให้เกิดกระแส เกิดความตื่นตัวทาง
การเมืองได้ (สช 26 ...อ้างบทความ อ.ชัยอนันต์)

– พฤติกรรมที่ทำให้เกิดปัญหาในการรวมตัวของฝ่ายประชาชน เช่น ลัทธิเจ้าขุนมูลนาย, คิดเล็กคิด
น้อย, มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ, ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง, อภิปรายแต่ไม่ลงมติ, ลงมติแล้วไม่ทำ,
ถอนตัวเมื่อมติขัดกับความเห็นส่วนตัว ฯลฯ (ct 1)

– จังหวะก้าว
สรุปปรัชญา–อุดมการณ์ 3-6 เดือน
จัดทำนโยบาย–ขยายแนวร่วม 2-3 ปี
5 ปีแรกควรเน้นสร้างความคิด–นโยบาย การสื่อสารกับสังคม และการขยายแนวร่วมเป็นหลัก


 

โดย: 082 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 21:00:05 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11758


วิทยุ‘ชุมชน’ กว่าสองร้อยเตรียมยื่นขอใบอนุญาต



ปนัดดา ขวัญทอง



เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 51 เครือข่ายภาคประชาชนปฏิรูปสื่อ จัดประชุมหารือเรื่องใบอนุญาตวิทยุชุมชน เพื่อกำหนดท่าทีต่อกฎหมายวิทยุโทรทัศน์ฉบับใหม่ ที่กำหนดให้ กทช. มีอำนาจในการให้ใบอนุญาตเป็นการชั่วคราวให้กับวิทยุชุมชนทั่วประเทศ โดยมีตัวแทนเข้าร่วมจากสหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ เครือข่ายวิทยุชุมชนจาวล้านนา สมาพันธ์วิทยุชุมชนคนอีสาน ร่วมด้วยคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม มูลนิธิพัฒนาสื่อภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อการพัฒนาวิทยุชุมชนไทย กลุ่มปฏิรูปสื่อภาคประชาชน จังหวัดกาญจนบุรี เครือข่ายสื่อภาคประชาชนภาคเหนือ



ผลการหารือจากที่ประชุมได้กำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวปฏิรูปสื่อเพื่อสร้างพื้นที่การสื่อสารภาคประชาชน โดยมีมติผลักดันการขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงชุมชน และให้ยื่นข้อเสนอหลักเกณฑ์การประกอบกิจการต่อ กทช. ตามที่บทเฉพาะกาล มาตรา 78 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 กำหนดให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติมีอำนาจดำเนินการเพื่อให้ผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงชุมชนและกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่รับใบอนุญาต ในประเภทการประกอบกิจการบริการชุมชนและกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่เป็นการชั่วคราว โดยใบอนุญาตมีอายุไม่เกินหนึ่งปี



ทั้งนี้หลักเกณฑ์ที่เครือข่ายภาคประชาชนปฏิรูปสื่อเตรียมเสนอให้กับ กทช. ได้กำหนดกรอบไว้เกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาต วัตถุประสงค์การดำเนินการ การผลิตรายการและเนื้อหารายการ ลักษณะและขนาดการประกอบกิจการ การมีส่วนร่วมของชุมชน และที่มาของรายได้ ซึ่งเน้นหลักการดำเนินการวิทยุชุมชนที่เป็นของชุมชน เพื่อชุมชน และโดยชุมชน ตามหลักการขององค์การยูเนสโกและวิทยุชุมชนทั่วโลก



บุญส่ง จันทร์ส่องรัศมี กลุ่มปฏิรูปสื่อภาคประชาชน จ.กาญจนบุรี ผู้ก่อตั้งวิทยุชุมชนแห่งแรกในประเทศไทยที่ จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า เห็นด้วยว่าเครือข่ายวิทยุชุมชนควรเคลื่อนไหวเพื่อกำกับดูแลกันเอง เบื้องต้นควรสนับสนุนการรวมกลุ่มของประชาชนให้มีเอกภาพ มีทิศทางที่ชัดเจนเรื่องการใช้สิทธิในคลื่นความถี่ของประชาชน ซึ่งควรยืนยันกับ กทช. ว่า วิทยุชุมชนที่ประชาชนทำเองนั้นพร้อมจะเคลื่อนไหวในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเนื้อหา กระบวนการ และเทคนิค รวมทั้งการจัดสรรคลื่น โดยประเมินว่าวิทยุชุมชนที่เป็นของชุมชนนั้นมีประมาณกว่าสองร้อยสถานี ที่เหลือเป็นวิทยุธุรกิจท้องถิ่น



“เจ็ดปีที่ผ่านมาเรื่องเหล่านี้ไม่ถูกทำอย่างจริงจัง จนกระทั่งวันนี้เราเห็นแล้วว่าเราช้าเกิน อย่างที่เมืองกาญฯ ก็พยายามบังคับตัวเองมากกว่าที่ให้กรมประชาสัมพันธ์มาบังคับ แล้วให้เขาเป็นนายเรา เราเป็นลูกน้องเขา ตามแต่ท่านจะว่าอะไร ซึ่งเราก็บังคับตัวเองมาเจ็ดแปดปีไม่ให้เสียภาพพจน์ในการใช้สิทธิของภาคประชาชนเข้ามาทำวิทยุชุมชน”



สุเทพ วิไลเลิศ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ชี้แจงถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนว่า กฎหมายวิทยุโทรทัศน์ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม เป็นต้นมา ซึ่งจะเกิดความเคลื่อนไหวในสองส่วนได้แก่ ข้อแรกการต้องยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการชั่วคราวของวิทยุชุมชนและเคเบิลทีวี ซึ่งต้องยื่นขอรับใบอนุญาตกับ กทช. ตามกฎหมาย ทั้งนี้สิ่งที่ต้องจับตาคือการประกาศหลักเกณฑ์การขอรับใบอนุญาตของวิทยุชุมชนเพื่อบริการชุมชน รวมถึงความโปร่งใสในการจัดสรรคลื่นฯ ของ กทช.



ข้อที่สองคือ การแก้ไข พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปี 2543 เพื่อยุบรวมองค์กรอิสระสององค์กรคือ กทช. และ กสช. ที่ต้องเกิดขึ้นตามมาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ซึ่งบทเฉพาะกาลได้กำหนดให้ต้องแล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งในกรณีนี้จะมีผลต่อการปฏิรูปสื่อของภาคประชาชนเป็นอย่างยิ่ง การแก้ไขกฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปี 2543 จึงควรมีความโปร่งใสและให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม เพราะหากผลออกมาแล้วกระบวนการสรรหาองค์กรอิสระไม่เป็นธรรมและไม่ได้คณะกรรมการที่เป็นอิสระจริง รวมถึงไม่คงสิทธิในการใช้คลื่นความถี่ของภาคประชาชนที่เดิมกำหนดไว้ว่าต้องไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบ การปฏิรูปสื่อที่ผ่านมาก็อาจถือได้ว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง



ด้านวิเชียร คุตวัส ประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนาวิทยุชุมชนไทย กล่าวว่า หลังจากการพาพี่น้องเข้าหารือส่วนตัวกับ เลขาฯ กทช. ได้รับคำชี้แจงว่ากระบวนการให้ใบอนุญาตนั้น ในเบื้องแรกจะให้ทุกกลุ่มจัดทำข้อเสนอเรื่องหลักเกณฑ์วิทยุชุมชนขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะ หลังจากนั้นจะจัดทำหลักเกณฑ์และประกาศใช้ โดยจะให้แต่ละกลุ่มเสนอตัวแทนเข้ามาเป็นคณะกรรมการ แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ กทช. ยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้เนื่องจากติดขัดที่ ครม. ยังไม่มีมติแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิอีก 6 ท่าน มาเป็นคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ตามกฎหมาย



“ในช่วงเดือนที่ผ่านมาตัวสหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติได้ทำโครงการกับดีเอสไอ(กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ในทุกภาคก็ได้คุยกับเพื่อนมิตรทั่วทุกภาคแล้วว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง เช่น ต้องปรับผังรายการ จะให้ใครเป็นผู้ขอใบอนุญาต ใครเป็นนายสถานี และประวัติความเป็นมา อันนี้บอกในทุกภาคแล้ว”



ทั้งนี้ระหว่างการประชุม ผู้ประสานงานภาคของสหพันธ์ฯ ได้แจ้งที่ประชุมถึงการลาออกจากการเป็นผู้ประสานงานหลักสหพันธ์ฯ ของนายวิเชียร คุตวัส ที่ทำหน้าที่มาตั้งแต่ปี 2545 โดยได้ยื่นหนังสือลาออกตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2550 ซึ่งเป็นผลให้ผู้ประสานงานสหพันธ์ฯ ของแต่ละภาคมีมติให้จัดสมัชชาสหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติครั้งที่ 2 ขึ้น เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวและมีบทบาทปกป้องสิทธิในการสื่อสารของภาคประชาชนได้จริง








--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 4/4/2551

 

โดย: 083 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 21:08:02 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11756
ลูกพยานคดีทุจริตเลือกตั้ง ขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ ถูกขู่ ถูกแกล้ง
เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 51 เมื่อเวลา 13.00 น. ที่สภาทนายความ ถนนราชดำเนิน นายเกรียงไกร ฉางข้าวคำ ได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับสภาทนายความ กรณีที่นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย ผู้เป็นบิดาถูกข่มขู่เอาชีวิตและถูกกลั่นแกล้งโดยกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดในคดีอาญาอีกหลายคดี หลังจากเข้าเป็นพยานในคดีกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน และนางสาวละออง ติยะไพรัช น้องสาว โดยมีนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความเป็นผู้รับเรื่อง

 

โดย: 084 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 21:23:40 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11748


จับทันทีไม่มีเจรจา บ้านใหม่หนองผึ้งร้องระงับการรื้อถอนไม่เป็นผล





















จนท. บุกค้นบ้านใหม่หนองผึ้ง จับบุคคลไม่มีสถานะ – ออกนอกพื้นที่กว่า 50 ราย

ตามที่เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา ชาวบ้านบ้านใหม่หนองผึ้ง หมู่ 18 ต.อินทขิล อ.แม่แตง เตรียมยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้ระงับการรื้อถอนบ้านเรือนของชาวบ้านที่ปลูกสร้างในที่ สปก. 4-01 แต่ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง ของ อ.แม่แตง ห้ามไม่ให้เดินทางไปร้องเรียนที่ศาลากลางจังหวัดและให้มาเจรจากันที่อำเภอแม่แตง ก่อนจะเลื่อนเจรจาชาวบ้านเป็นวันถัดไปเนื่องจากติดประชุม



โดยปลัดอำเภอได้ให้ผู้นำชุมชนแจ้งยอดสมาชิกในชุมชนที่ไม่มีหลักฐานประจำตัวอะไรเลย โดยให้เหตุผลว่าขอรายชื่อไว้ก่อนเพื่อทำการสำรวจสัญชาติต่อไป



ความคืบหน้าล่าสุดนั้น วานนี้ (3 เม.ย.) เวลา 5.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงใหม่ แม่สอด และฝาง ร่วมกับ ตชด.ที่ 33 ตำรวจ สภ.อ.แม่แตง และตำรวจป่าไม้ สนธิกำลังพร้อมอาวุธกว่า 100 นาย เข้าไปตรวจค้นชุมชนบ้านใหม่หนองผึ้งดังกล่าว



กำลังเจ้าหน้าที่จำนวนกว่า 100 นาย ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจแม่แตง ได้เข้าไปตรวจสอบและจับกุมชาวบ้านบ้านหนองผึ้งใหม่จำนวน 54 คน ข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย และออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต



จากการตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย และชาวบ้านที่เหลือไม่ถูกจับกุม เนื่องจากมีเอกสารแสดงสถานะบุคคล บางส่วนมีใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าว โดยแยกคนกลุ่มแรกที่ไม่มีเอกสารแสดงสถานะบุคคล จำนวน 27 คน ซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 50-70 ปี ส่งสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จ.เชียงใหม่



ในเวลาต่อมาพบว่า ในจำนวนที่ไปสำนักงาน ตม. นั้นเป็นเด็ก 5 คน คนที่มี ทร 38/1 จำนวน 1 คน มีบัตรอนุญาตทำงาน 8 คน แต่บัตรหมดอายุ 2 คน บัตรผู้สูงอายุ 1 คน และมีผู้ไม่มีเอกสารแสดงสถานะบุคคลจริงๆ เพียง 12 คน



ส่วนคนกลุ่มที่สองจำนวน 27 คน ถือบัตรบุคคลบนพื้นที่สูงสีเขียวขอบแดง รอการพิสูจน์สัญชาติ จึงถูกจับข้อหาข้ามเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว โดยถูกควบคุมที่ สภ.อ.แม่แตง แบ่งเป็นชาย 17 คน หญิง 10 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ 2 คน และแม่ลูกอ่อน 1 คน และมีเยาวชนอายุ 15-17 ปี 2 คน สำหรับผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งหลักทรัพย์ยื่นขอประกันตัวรายละ 75,000 บาท แต่ไม่มีใครมีเงินพอ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวไว้ก่อนที่ สภ.อ.แม่แตง ก่อนทำสำนวนฝากขังที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่





มติ ครม.ไร้ผล ตำรวจควบคุมเยาวชน 2 รายฝากขังสถานพินิจ

ส่วนเยาวชน 2 คน ถูกนำตัวส่งสถานพินิจข้อหาออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว ตั้งหลักทรัพย์ประกันตัวรายละ 5,000 บาท



แม้จะมีระเบียบกระทรวงที่ออกโดยกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0308.4/ว 795 ฉบับลงวันที่ 7 มีนาคม 2550 เรื่องการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ที่ระบุว่า ให้เด็กและเยาวชนสามารถเดินทางไปศึกษาได้เป็นระยะเวลาตามหลักสูตร โดยไม่ต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว และอนุญาตให้นักเรียน นักศึกษา ที่เป็นบุคคลไม่มีสัญชาติไทยเดินทางออกนอกเขตควบคุมเป็นการชั่วคราว เพื่อรับการศึกษาในสถานศึกษา



ชาวบ้านในชุมชนดังกล่าวกล่าวว่า เพราะชาวบ้านออกมาเรียกร้องขออยู่อาศัยในชุมชนใช่หรือไม่จึงถูกจับ ถูกกวาดล้างขนาดนี้ แล้วทั้งๆ ที่จะมีการเจรจากับทางอำเภอในเช้าวันนั้น แต่กลับมีการตรวจค้น-จับกุมในเวลาเช้ามืด เจ้าหน้าที่ต้องการอะไรกันแน่ จะช่วยเหลือหรือจะผลักดันพวกเขาออกนอกประเทศ





ผกก.ตรวจคนเข้าเมืองฯ เห็นเป็นต่างด้าวสร้างบ้านในที่ สปก. จึงเข้าตรวจค้น

ขณะที่ พ.ต.อ.ประยุทธ ชมมาลี ผกก.ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้รับข้อมูลว่ามีบุคคลต่างด้าวจำนวนมากเข้าไปซื้อที่ดิน สปก. 4-01 เพื่อสร้างบ้าน และชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว จึงได้ประสานกับตำรวจป่าไม้เข้าตรวจสอบพบมีการจัดสรรที่ดินแปลงละ 100 ตารางวาจำนวน 220 แปลงรวมประมาณ 72 ไร่




และต่อมาในปี 2546 ได้มีชนกลุ่มน้อยและบุคคลต่างด้าวสัญชาติพม่า ทยอยเข้ามาซื้อที่ดินในราคาแปลงละ 20,000 บาท และสร้างเป็นที่อยู่อาศัย หลังจากต้นปี 2547 จำนวนของบุคคลต่างด้าวได้เพิ่มจำนวนขึ้น จึงมีการตรวจค้นและจับกุม





องค์กรพัฒนาเอกชนเข้าหารือ จนท.รัฐ ขอให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา

ขณะที่ในเวลา 10.00 น. ที่ว่าการอำเภอแม่แตง เจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน จากมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนพื้นที่สูง (ศปส.) และสภาทนายความ ได้เข้าพบกับนายปกรณ์ สุริวรรณ ปลัดอำเภอแม่แตง ฝ่ายความมั่นคง



โดยนายปกรณ์กล่าวว่า จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาแก้ไขปัญหา มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีคณะทำงานประกอบด้วยหน่วยงานราชการเกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมที่ดิน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แรงงานจังหวัดเชียงใหม่ โดยเจ้าหน้าที่จากองค์กรพัฒนาเอกชนได้เสนอว่าต้องให้ชาวบ้านในชุมชน และภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการชุดนี้ด้วย



โดยนายปกรณ์กล่าวว่าหากมีการประชุมโดยคณะทำงานก็ยินดีให้ชาวบ้านเข้าฟังการประชุม ส่วนข้อเสนอเรื่องขอร่วมเป็นคณะกรรมการขอนำไปพิจารณาก่อน





ผู้ว่าฯ รับไม่ได้ ให้ สปก.จังหวัดดำเนินคดี

ด้าน นายวิบูลย์ สงวนพงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าส่วนใหญ่ผู้ที่อาศัยในชุมชนดังกล่าวเป็นชาวไทใหญ่หลังจากตรวจสอบทราบว่า มีนายทุนผู้มีสิทธิครอบครองนำที่ดินไปใช้นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยที่ดินผืนดังกล่าวอยู่ในที่ สปก. 4-01 แปลงเลขที่ 4 ระวาง สปก. ที่ 405 เลขที่ 1721 เล่มที่ 18 หน้า 21 อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ซึ่งรัฐจัดสรรให้เป็นที่ทำกินของเกษตรกร โดยมีนางอรทัย รัตนพจน์ ชาวกรุงเทพฯ เป็นผู้ครอบครองขณะนี้ได้มอบหมายให้หัวหน้าสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดแจ้งความดำเนินคดีต่อไป




อนึ่ง มีหนังสือจากสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ ที่ ชม. 0011/936 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2551 เรื่อง รายงานข้อเท็จจริงกรณีนายทุนนำที่ดิน สปก. ไปแบ่งขายให้ต่างด้าว ส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มีข้อเสนอแนะเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหา ว่า “2 กรณีแรงงานต่างด้าวเข้าอยู่อาศัยทำประโยชน์ในพื้นที่ สปก. โดยมิชอบ เห็นสมควรดำเนินการ 2 แนวทางดังนี้



2.1 พิจารณาตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหา การบุกรุกที่ดินสปก. ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อัยการ ตำรวจ กรมป่าไม้ สำนักงานที่ดินจังหวัด อบต.อินทขิล แรงงานจังหวัด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ



2.2 ฟ้องคดีอาญาฐานบุกรุกที่ดิน สปก. ซึ่ง สปก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532 มาตรา 36 ทวิ บรรดาที่ดินที่ สปก. ได้มา ให้ สปก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และ สปก. มอบอำนวจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจร้องทุกข์คดีอาญา ตามคำสั่งที่ 767/2548 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548





ทนายวิจารณ์ จนท.เข้าจับกุมเหมือนชาวบ้านเป็นอาชญากร แนะใช้หลักมนุษยธรรม

ด้านนายสุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์สิทธิชุมชนด้านกฎหมาย และทนายความจากสภาทนายความ ซึ่งร่วมหารือกับปลัดอำเภอด้วย กล่าวว่า เรื่องนี้ชาวบ้านไม่ได้บุกรุกป่าแน่ เพราะที่ดินมีเจ้าของ มีเอกสารสิทธิ มีการเสียภาษีทุกปี แต่ที่ สปก. ซื้อขายไม่ได้ และคนต่างด้าวไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ แต่ต้องทำความเข้าใจว่า คนเรามีความจำเป็น ต้องมีครอบครัว มีรายได้ ต้องมีที่ซุกหัวนอน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ คนต่างด้าวที่ไปซื้อที่เขาไม่รู้กฎหมายแน่ๆ และการเข้าไปอยู่ เป็นการอยู่อาศัยเป็นร้อยๆ ครอบครัว ไม่ได้ปลูกสร้างกันวันสองวัน ตอนนี้กลายเป็นชุมชนแล้ว หากมีการไล่ที่ รื้อถอนบ้านเรือน ต้องคิดว่าจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน



นายสุมิตรชัยยังวิจารณ์การตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้ว่า กรณีที่เป็นที่ดิน สปก. เช่นนี้ หากจะดำเนินคดีควรดำเนินการเพิกถอนสิทธิ สปก. เสียก่อน ไม่ใช่เข้าไปค้นชาวบ้านด้วยสมมติฐานว่าเขาเป็นอาชญากร ทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีมนุษยธรรม มีภาพแม่ที่โดนจับให้นมลูกในคุก มีสามเณรเกาะลูกกรงร้องไห้ ซึ่งไม่ควรมีภาพแบบนี้



อนึ่ง สำหรับชุมชนบ้านใหม่หนองผึ้งดังกล่าวตั้งขึ้นในปี 2547 เมื่อเจ้าของที่ สปก. เดิม ที่มีที่ดินแปลงติดกันรวม 3 ราย พื้นที่กว่า 70 ไร่ ต้องการขายสิทธิที่ดิน คนเฝ้าสวนซึ่งเป็นชาวไทใหญ่ ถือบัตรสถานะบุคคลบนพื้นที่สูง (เขียวขอบแดง) จึงขอซื้อต่อ แต่เงินไม่พอจึงพากันชักชวนครอบครัวและญาติพี่น้องช่วยกันซื้อที่ดินคนละแปลงๆ ละประมาณ 80-100 ตารางวา ราคาแปลงละ 20,000 บาท โดยไม่รู้ว่าที่ดิน สปก. ตามกฎหมายข้ามซื้อขาย แบ่งแยก โอนสิทธิ์ และต้องใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมเท่านั้น



และจากเดิมที่มีชาวบ้านไทใหญ่เข้ามาอาศัยไม่กี่สิบราย ต่อมาก็มีการชักชวนญาติพี่น้องที่เป็นชาวไทใหญ่ด้วยกันซึ่งอาศัยอยู่แถบ ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ซึ่งถือบัตรสถานะบุคคลบนพื้นที่สูง (สีเขียวขอบแดง) และส่วนหนึ่งถือบัตรอนุญาตทำงานแรงงานแต่งด้าวมาร่วมซื้อที่ดินเพื่อสร้างที่พักอาศัย



จนปัจจุบันชุมชนบ้านใหม่หนองผึ้งมีบ้านกว่า 150 หลังคาเรือน ประชากรกว่า 1,000 คน ส่วนใหญ่ชาวบ้านรับจ้างทำเกษตรกรรมตามฤดูกาล โดยเมื่อปี 2547 ชุมชนแห่งนี้เคยได้รับการแต่งตั้งจากนายสุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ ในขณะนั้น ให้เป็นหมู่บ้านชุมชนเข้มแข็งด้วย ก่อนที่จะถูก สปก. และเจ้าหน้าที่ตำรวจสนธิกำลังเข้าตรวจสอบและจับกุมดังกล่าว





ข่าวประชาไทย้อนหลัง

ชาวไทใหญ่ร้องจนท.ระงับรื้อถอนชุมชน, ประชาไท, 3 เม.ย. 51








--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 4/4/2551

 

โดย: 085 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 21:29:04 น.  

 

//www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fwww.bangkokhealth.com%2Fsitesearch_detail.asp%3Fnumber%3D10098

โรคไข้หัดแมว (feline panleucopenia)


โรคไข้หัดแมว (feline panleucopenia) เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่งในแมวและลูกแมว โรคนี้มักเกิดในลูกแมวและแมวเด็ก และพบว่ามีอัตราการตายสูงมาก อาจตายได้โดยทันทีแม้สัตว์ยังไม่แสดงอาการของโรค โรคหัดแมวมักเป็นกับแมวเล็ก แมววัยรุ่น ถ้าเป็นแล้วมักจะตาย และติดต่อกันได้รวดเร็ว

พบรายงานการเกิดโรคนี้มานานแล้ว ซึ่งสามารถพบในแมวทุกตระกูลไม่ว่าจะเป็น เสือ สิงโต แมวป่า หรือแม้แต่แมวบ้านทุกพันธุ์ นอกจากนี้ยังพบได้ในสัตว์ตระกูลอื่นๆ อีก เช่น สกั๊งค์ เฟอเร็ต มิ้งค์ แรคคูน ซึ่งโรคนี้ทําให้สัตว์มีอาการคล้ายเป็นหวัดและท้องเสีย ซึ่งมีอาการเหมือนโรคไข้หัดสุนัข จึงมีคนเรียกชื่อต่างๆ เช่น โรคไข้หัดแมว หรือโรคลําไส้อักเสบในแมว

สาเหตุ

โรคไข้หัดแมวนี้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มพาร์โวไวรัส (feline parvovirus) มีผลต่อระบบทางเดินอาหารของแมว โรคไข้หัดแมวมีระยะการฟักตัวของโรค 2-7 วัน
แมวสามารถติดโรคไข้หัดแมวได้จากการติดต่อโดยตรงจากแมวป่วย โดยเฉพาะทางอุจจาระภาชนะใส่อาหาร น้ำ กรงหรือที่ขับถ่ายของแมว พื้นดินที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อไวรัส นอกจากนี้อาจเป็นเสื้อผ้าหรือรองเท้า ไวรัสไข้หัดแมวมีอยู่ตามธรรมชาติ ติดต่อจากแมวตัวหนึ่งไปยังตัวอื่นได้ ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย อาหาร หรือสัมผัสแมวตัวที่เป็นโรค ถ้าแมวบ้านออกไปสังคมกับแมวนอกบ้าน ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไข้หัดแมวได้มาก
การแพร่โรคเกิดได้ง่ายขึ้นระหว่างแมวที่เลี้ยงปนกันหลายๆตัว แมลงวันก็เป็นอีกพาหะสำคัญในประเทศแถบร้อน โดยพาเชื้อไวรัสไข้หัดแมวบินไปเกาะแมวตัวที่เป็นโรค สามารถแพร่กระจายให้เกิดการติดเชื้อได้
ถึงโรคหัดแมวจะติดต่อกันได้ง่าย แต่ไม่ต้องกังวลว่าเชื้อจะแพร่กระจายผ่านอากาศ หรือพัดพาไปตามลม ไวรัสหัดแมวแพร่เชื้อด้วยการสัมผัส แค่ไอ จาม เชื้อลอยในอากาศ ติดต่อไม่ได้ ไวรัสไข้หัดแมวไม่สามารถทนความร้อนได้ อุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส ก็อยู่ไม่ได้ การดำรงชีวิตต้องอยู่ในที่ชื้น อยู่ในตัวกลางที่เป็นน้ำ น้ำมูก น้ำลายสัตว์ แต่ทนอยู่ในที่ร้อนและไม่ชื้นแฉะไม่ได้
อาการสัตว์ป่วย

แมวมีอาการซึม ไม่กินอาหาร ไข้สูง เพียงแค่หนึ่งวัน อาจจะเป็นอัมพาตขาทั้ง 4 ข้างเดินไม่ได้
โรคไข้หัดแมวนี้จะรุนแรงมากในแมวอายุน้อย โดยมีอาการที่สําคัญที่พบ คือ มีไข้สูง อาเจียนท้องเสีย มีผลต่อการทรงตัวของลูกแมว และทําให้ลูกแมวตาบอดได้
เมื่อคลําบริเวณช่องท้องจะเจ็บท้อง บางทีพบเป็นลําของลําไส้หนาตัว ภายในมีแก๊สและของเหลว
ตรวจเลือดพบเม็ดเลือดขาวต่ำมาก จึงมีชื่อเรียกโรคนี้ว่า feline panleukopenia
ในลูกแมวโต เมื่อเกิดการติดเชื้อระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ ก็จะอาการดีขึ้น แต่แมวที่หายจากโรคใหม่ๆสามารถพบเชื้อไวรัสออกมากับอุจจาระได้หลายสัปดาห์ แมวเด็กส่วนใหญ่เป็นแล้วตาย ต่างกับแมวผู้ใหญ่เป็นแล้วโอกาสรอดมีมากกว่า แมวอายุมาก ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว พอจะมีภูมิต้านทานโรคอยู่บ้าง แต่แมวที่ไม่แสดงอาการโรคหัด ก็ไม่ได้หมายความว่าแมวตัวนั้นจะไม่มีเชื้อ แมวอาจได้รับเชื้อหัดอ่อนๆอยู่ในตัว ถึงจะไม่มีอาการ แต่ก็เป็นตัวกลางนำเชื้อแพร่ไปสู่แมวตัวอื่นได้เช่นกัน การสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่แมวที่เจ้าของเลี้ยง ต้องดูแลใกล้ชิด
ในแมวตั้งท้อง อาจแท้งลูกหรือลูกตายหลังคลอดได้
อาการอาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง และแห้งน้ำอย่างรวดเร็ว มักทำให้เจ้าของคิดว่าสัตว์โดนสารพิษ
ในกลุ่มแมวอายุน้อย ส่วนใหญ่จะตายอย่างรวดเร็ว อัตราการตายอยู่ระหว่างร้อยละ 25-90 แมวที่ป่วยเป็นหัด ถ้าเป็นแมวเด็กอายุ 6-8 อาทิตย์ จะเสียชีวิตภายใน 1 สัปดาห์ ยิ่งเป็นลูกแมวก็จะไม่มีภูมิต้านทาน ยิ่งน่าเป็นห่วง เมื่อติดเชื้อแล้วอาการเป็นหนักและเสียชีวิตได้ง่ายมาก
การติดต่อ

โรคไข้หัดแมวนี้เป็นโรคเฉพาะสัตว์ในตระกูลแมวเท่านั้น ไม่เคยปรากฎมีรายงานว่าพบการติดต่อมาสู่คนแต่อย่างใด

การรักษา

พาไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะเป็นโรคติดต่อร้ายแรง
โดยเฉพาะแมวที่ไม่กินอาหาร หรืออาเจียนท้องเสีย จะทําให้ร่างกายอ่อนเพลียทรุดโทรมมาก สัตว์อาจอยู่ในสภาพช็อคได้
รักษาตามอาการและพยุงชีวิตให้สัตว์สามารถสร้างภูมิต้านทานต่อโรคได้โดยการให้สารน้ำทดแทน ขั้นตอนการรักษาหลักๆ คือ ทำให้แมวกินอาหารให้ได้ ต้องพยายามป้อนอาหาร พร้อมกับให้ยาปฏิชีวนะป้องกันโรคแทรกซ้อน การรักษาทำได้เพียงเท่านี้ จะรอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแมวแต่ละตัว
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน
ฉีดยาระงับการอาเจียนและลดการทํางานของลําไส้โดยการงดอาหารและน้ำ
วิตามินบีรวมโดยการฉีดเข้าทางเส้นเลือด
การป้องกัน

นำแมวไปฉีดวัคซีนป้องกัน เมื่อแมวมีอายุได้ 2 เดือน ฉีดวัคซีนซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 6 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี


หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลโรคระบาดในสัตว์ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ที่ใช้เป็นอาหารเพิ่มขึ้น
ในส่วนของผู้เลี้ยงจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการนำสัตว์เลี้ยงของตนเองไปฉีดวัคซีนตามที่กำหนด และไม่เลี้ยงอย่างปล่อยปละละเลย
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดแมวจําหน่ายหลายยี่ห้อ และยังมีชนิดที่เป็นวัคซีนรวมอีกด้วย โดยสามารถใช้ป้องกันได้ทั้งโรคไข้หัดแมวและโรคไข้หวัดแมวไปพร้อมๆกัน วัคซีนโรคอื่นๆที่สำคัญในแมว มี 4 ชนิด โรคไข้หัดแมว โรคพิษสุนัขบ้า โรคลูคีเมีย หรือมะเร็งแมว และโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
ควรระวังแมวที่ยังไม่เป็นโรค โดยรีบแยกแมวป่วยออกจากแมวปกติตัวอื่นทันที เพราะโรคนี้เป็นได้กับแมวทุกอายุ
ทําความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่อาจแพร่ออกมากับอุจจาระปัสสาวะด้วยน้ำยาโซเดียมไฮโปคลอไรด์
เจ้าของแมวที่มีแมวตายด้วยโรคไข้หัดแมวไม่ควรนําลูกแมวที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนเข้ามาเลี้ยงอีก


คำแนะนำบางประการ
สัตว์ป่าตระกูลแมวและแมวทุกเพศทุกวัย ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน โดยใช้โปรแกรมเดียวกับแมวเลี้ยงดังนี้
โปรแกรมการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดแมว
เข็มที่ 1 ฉีดเมื่อลูกแมวอายุ 2 เดือน
เข็มที่ 2 ฉีดเมื่อลูกแมวอายุ 6 เดือน
เข็มที่ 3 จากนั้นฉีดทุกปี โดยฉีดวัคซีนปีละเข็ม
ปกติจะฉีดวัคซีนในแมวช่วงอายุตั้งแต่เดือนครึ่ง 2 เดือน ไปจนถึง 4 เดือน แมวที่ได้รับวัคซีนจะมีภูมิคุ้มกันติดตัวไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงอายุ 6-7 เดือน อยู่ในช่วงเริ่มโต ถึง 1 ปีขึ้นไป ก็เรียกว่าโตเต็มที่ แมวจะมีภูมิคุ้มกันครบถ้วน ร่างกายแข็งแรง แมวจะเป็นโรคหัดหรือไม่ อยู่ที่ภูมิต้านทานในตัว ทั้งมีอยู่แล้วกับเสริมด้วยวัคซีน เมื่อมีโรคต่างๆเกิดขึ้นมา ร่างกายรับเข้ามาจะกำจัดได้ด้วยการสร้างภูมิสู้ จังหวะที่รับเชื้อโรค ถ้าร่างกายแข็งแรงก็สู้ได้ ในทางกลับกัน ถ้าร่างกายอ่อนแอก็แย่
แมวต่างประเทศ เปอร์เซีย ยุโรป นำเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย วัคซีนทุกชนิดจำเป็นต้องให้ ถ้าไม่ให้มักจะไม่ค่อยรอด เพราะเป็นแมวที่มาอยู่ต่างถิ่น ต่างสภาพแวดล้อม แต่ก่อนที่จะนำเข้ามาเลี้ยง แมวต่างประเทศอาจจะนำเชื้อโรคแปลกใหม่เข้ามาด้วย ดังนั้น ก่อนนำเข้ามาต้องให้วัคซีนป้องกัน โดยเฉพาะวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า เป็นกฎหมายบังคับให้ต้องฉีดมาก่อนล่วงหน้าในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน เหตุผลที่ให้ความสำคัญกับโรคพิษสุนัขบ้า เพราะเชื้อไม่ได้ติดต่อระหว่างสัตว์กับสัตว์ แต่ยังติดไปถึงคนได้และอันตรายถึงชีวิต ปัจจุบันโรคในแมวที่พบหนักหนาถึงขั้นทำให้เสียชีวิต มีอยู่ไม่กี่โรค ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนตั้งแต่เล็ก
ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือรับคำปรึกษาจากแพทย์ได้ ที่นี่

 

โดย: 086 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 21:39:42 น.  

 

//www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fwww.bangkokbiznews.com%2F2008%2F04%2F04%2FWW10_WW10_news.php%3Fnewsid%3D245787
ครส.ค้านแก้5มาตราเอื้อตัวเองภาคปชช.ต้องมีส่วนร่วม

4 เมษายน พ.ศ. 2551 19:47:00

ครส.แถลงต้านวิปรัฐบาลชงแก้5มาตราเพื่อตัวเอง ชี้ม.190ตัดการรับฟังความคิดเห็นประชาชนกรณีทำข้อตกลงระหว่างประเทศ ยอมรับภาพรวมสมควรแก้ แต่ต้องให้ภาคประชาชมีส่วนร่วม

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : แถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)

เรื่อง ท่าทีต่อแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมือง

ตามที่คณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ภายใต้กรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) มีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 มาตรา คือ

1.ยกเลิกมาตรา 309 2.แก้ไขเปลี่ยนแปลงปรับปรุงมาตรา 190 เรื่องการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ตัดการให้เปิดเผยหลักการสาระของข้อตกลง และการรับฟังความคิดเห็นออกไป 3.แก้ไขมาตรา 266 ที่ห้ามนักการเมืองแทรกแซงก้าวก่ายการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

4.ยกเลิกมาตรา 237 บางประเด็นที่เกี่ยวกับหลักการเรื่องการยุบพรรค โดยให้ตัดคำว่า ให้ถือว่าพรรคการเมืองกระทำออก เพื่อให้ถือว่าเป็นเรื่องของบุคคลไม่เกี่ยวกับพรรค

และ 5.แก้ไขมาตรา 163 เรื่องการเสนอกฎหมายโดยประชาชน คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.) ซึ่งติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด มีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ของกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนท่าทีของนายกรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

เราเห็นว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรมีกระบวนการการมีส่วนร่วมจากประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ลักลั่นกันทั้งระบบ ไม่ใช่การแก้ไขเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของใคร พรรคการเมืองใด ในสถานการณ์หนึ่งสถานการณ์ใด หรือเฉพาะมาตราหนึ่งมาตราใดที่ขัดต่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทางการเมืองเท่านั้น โดยใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยขาดการมีส่วนร่วมทางตรงจากประชาชน เพราะจะทำให้เกิดการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่รู้จบจากผู้มีอำนาจทางการเมืองที่สูญเสียประโยชน์ หรือเกิดรัฐธรรมนูญฉบับ "อำนาจนิยม"ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

เราขอคัดค้านการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองเพื่อผลประโยชน์เฉพาะของตนเอง โดยเฉพาะการพยายามแก้ไข 5 มาตราเฉพาะตามข้อเสนอของกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องเพราะเป็นการแก้ไขเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน โดยเฉพาะ มาตรา 190 ที่ต้องการตัดข้อความ"คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน" ออกไปเพื่อใช้ประโยชน์จากการทำข้อตกลงระหว่างประเทศในทางธุรกิจการเมืองโดยขาดการตรวจสอบและมีส่วนรู้เห็นจากประชาชน,

มาตรา 266 ที่ต้องการแก้ไขเพื่ออนุญาตให้นักการเมืองเข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายข้าราชการในทางผลประโยชน์ส่วนตัวได้ เพราะหากแทรกแซงก้าวก่ายเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติแล้ว รัฐธรรมนูญก็มิได้ห้ามไว้

มาตรา 237 การให้ตัดคำว่า“ให้ถือว่าพรรคการเมืองกระทำ” ออก เพื่อให้ถือว่าการทุจริตของกรรมการบริหารพรรคเป็นเรื่องของบุคคลไม่เกี่ยวกับพรรค เพื่อให้พรรคการเมืองบางพรรคที่มีเรื่องค้างคาอยู่เป็นคดีรอดพ้นจากการยุบพรรค (ตามที่นายสมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ว่า หากมีการแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญมาตรา 237 ที่ชัดเจนว่า พรรคการเมืองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการกระทำของกรรมการบริหารพรรค จะส่งผลให้ กกต.ต้องยุติการสอบสวนเรื่องยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยในขณะนี้ทันที ไม่ว่าจะมีผลบังคับใช้ทันทีหรือย้อนหลัง...)

และรวมถึงมาตรา 309 เพื่อเปิดทางไปสู่การนิรโทษอดีตกรรมกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองไป

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ยังมีปัญหาทั้งในเชิงอำนาจและในเชิงมาตราหลายข้อที่สมควรได้รับการแก้ไขปรับปรุง โดยเฉพาะมาตรา 309 แต่จะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไข จัดทำ หรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย เพราะหากรัฐบาลไม่มีกระบวนการการการมีส่วนร่วมเหมือนครั้งนี้ ก็จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขไม่ได้รับการยอมรับอีกเหมือนเดิม

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.) ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไปในระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยแก้ไขโดยรวมทั้งระบบ โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ไม่ควรดำเนินการอย่างรวบรัดเพื่อประโยชน์ของกลุ่มบุคคลใด เพื่อสร้างพัฒนาการและเสริมสร้างประชาธิปไตยทั้งระบบ ไม่ใช่เพื่อกลุ่มคนหรือพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นการเฉพาะ โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น รัฐบาลจะต้องจัดให้มีกระบวนการการมีส่วนร่วมในทุกระดับให้ชัดเจน เพื่อขยายสิทธิเสรีภาพของประชาชน การเคารพหลักสิทธิมนุษยชน และขยายการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมให้มากขึ้นต่อไป

4 มีนาคม 2551

“ชนชั้นใดออกกฏหมายก็ล้วนรับใช้ชนชั้นนั้น”

คณะกรรมการรรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)



 

โดย: 086 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 21:53:38 น.  

 

//www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fwww.thaipost.net%2Findex.asp%3Fbk%3Dxcite%26iDate%3D4%2FApr%2F2551%26news_id%3D156672%26cat_id%3D200100
'ชีวิตใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้'ภาพวาดของเด็กที่บอบช้ำ


4 เมษายน 2551 กองบรรณาธิการ

เยียวยาบาดแผลหัวใจเด็กใต้ เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วที่เสียงระเบิดและควันปืนดังขึ้นไม่เคยเว้นวันในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


ครอบครัวนับพันล่มสลาย มีหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าเต็มเมือง ภายใต้บรรยากาศอึมครึม เราไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้ฝากร่องรอยอะไรไว้ในจิตใจดวงน้อยๆ ของเด็กเหล่านี้บ้าง

"สตีเฟ่น รูฮอล" นักศึกษาด้านมานุษยวิทยา ระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี เดินทางมายังประเทศไทยเมื่อ 6 ปีก่อน และเป็นอาจารย์พิเศษด้านภาษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เขาได้คลุกคลีกับพื้นที่สีแดง พบเห็นและรับรู้ถึงความรุนแรงในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงคิดทำอะไรสักอย่างเพื่อบอกกล่าวให้สังคมได้รับรู้ว่า พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างไร

สตีเฟ่นได้ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลด้วยการให้เด็กๆ ในสถานศึกษากว่า 40 แห่ง วาดรูปภายใต้หัวข้อ "ชีวิตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" โดยแบ่งเป็นระดับชั้นตั้งแต่ประถมศึกษาไปจนถึงมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2549 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2550 ตลอด 1 ปีเขาได้ผลงานจำนวนกว่า 1,000 ชิ้น ที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของเด็กๆ อ่านได้ถึงความชอกช้ำทางจิตใจในสภาวะสงคราม ท่ามกลางสังคมที่ถูกห้ามพูด เพราะความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เช่น ขณะที่เด็กในสุราษฎรธานีวาดภาพสวนยางพาราสวยงาม ด้วยสีเขียว สีฟ้าน้ำทะเล เด็กที่ปัตตานีกลับวาดภาพถนนในเมืองที่มีการยิงกัน โทนสีของภาพส่วนใหญ่เป็นโทนแรง เช่น ดำ แดง น้ำตาล

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้คัดเลือกภาพวาดฝีมือเด็กๆ ตามโครงการของรูฮอลมาจัดแสดงภายใต้ชื่อ "ภาพสะท้อนในใจฉัน...สีสันร่วมสร้างสันติสุข" ที่ลานสร้างสุข ชั้น 35 อาคารเอสเอ็มทาวเวอร์ โดยจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 เม.ย. จัดแสดงจนถึงวันที่ 11 เม.ย.นี้ โดยในวันเปิดมีตัวแทนเยาวชนผู้สร้างสรรค์ภาพเขียน อาจารย์ผู้ดำเนินโครงการ ศิลปิน และนักวิจารณ์ศิลปะมาร่วมเสวนา ไม่เพียงเท่านั้น ในงานนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการ ศอ.บต. มากล่าวสะท้อนความรู้สึกจากภาพนิทรรศการที่ได้พบเห็น

หลังจากนั้นจะเป็นการเสวนา "แบ่งปันประสบการณ์ จากจินตนาการสู่ข้อเท็จจริง : 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" โดยประสบการณ์ตรงของผู้ที่อยู่ในพื้นที่ และนักวิเคราะห์ที่คุ้นชินกับปัญหา นักจิตวิทยาที่จะมาสะท้อนถึงวิกฤติสภาพจิตใจของเยาวชนผ่านผลงานศิลปะที่ถูกถ่ายทอดออกมาไม่แตกต่างจากเด็กๆ ที่อยู่ในประเทศสงครามอย่างซูดาน หรืออิรักเลย

วาณิช จรุงกิจอนันต์ นักเขียนซีไรต์ สะท้อนความรู้สึกหลังได้ชมผลงานศิลปะฝีมือเด็กๆ ไว้ว่า ภาพเขียนของเด็กๆ และเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ชุดนี้ คือความสวยงามของความน่ากลัว คือความสวยงามของความขมขื่นและโศกเศร้า เด็กๆ และเยาวชนผู้รักและมีฝีมือทางศิลปะเหล่านี้ ควรจะได้ทำงานศิลปะที่มีแต่ความสวยงามโดยไม่มีความน่ากลัวและขมขื่นโศกเศร้าแฝงอยู่

ขณะที่ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความรู้สึกว่าหลังได้ดูภาพสะท้อนประสบการณ์ความรุนแรงของเด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เห็นแล้วรู้สึกรันทดและเศร้าเสียใจที่เกิดความรุนแรงกับเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นเหตุมาจากผู้ใหญ่มาจากสถานการณ์ในสังคมและประเทศที่สั่งสมมา จนทำให้เกิดสภาพเลวร้ายดังภาพที่สะท้อนของเด็ก ดังนั้นผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ ตลอดจนประชาชนทั้งหมด ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ผลกระทบทางจิตใจของเด็กและเยาวชนได้บรรเทาเบาลง ซึ่งสิ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้คือ การให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกเป็นเจ้าของ และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

นายวีรเดช พนมวัน ณ อยุธยา รักษาการเลขานุการหอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ผลงานศิลปกรรมและศิลปะเด็กจากศิลปินและนักเรียนในท้องถิ่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสื่อที่พูดแทนความรู้สึกจากภายในจิตของเขา ด้วยการสะท้อนเหตุการณ์ สถานการณ์ สังคม ชีวิตและมากมายหลายอย่างที่บางครั้งภาษาที่ใช้พูดเพื่อให้เข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่สามารถจะสื่อให้เข้าใจกันได้ ความละเอียดอ่อนด้วยภูมิปัญญาจากภาษาหรืออักษรภาพเหล่านี้มีทั้งมุมมองในด้านบวกที่เรียกร้องความอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคี มีสันติสุข และในด้านลบที่มองเห็นความรุนแรงที่สะท้อนตอบด้วยความรุนแรง สูญเสีย อยุติธรรมและเหมือนไม่มีการสิ้นสุด.



 

โดย: 087 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 22:00:43 น.  

 

//www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fwww.posttoday.com%2Fnewsdet.php%3Fsec%3Dnews%26id%3D230492
คอนโดฯเสี่ยงกม.สีเทา

โพสต์ทูเดย์ — ผู้ประกอบการคอนโด ครวญ กม.กำหนดการวัดส่วนสูงอาคารไม่ชัดเจน ทำให้มีปัญหาสร้างเกินกำหนด

แหล่งข่าวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า การขออนุญาตก่อสร้างอาคารที่สูงไม่เกิน 23 เมตร เพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน มีปัญหาในทางปฏิบัติค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเรื่องส่วนสูงของอาคาร ที่อาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย และกลายเป็นปัญหาตามในภายหลัง


ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้การวัดส่วนสูงของอาคาร ให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างจนถึงพื้นดาดฟ้า สำหรับอาคารทรงจั่วหรือปั้นหยา ให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงยอดผนังของชั้นสูงสุด


“การวัดส่วนที่สูงสุด มักไม่มีปัญหา แต่จุดเริ่มต้นของการวัด มักจะมีปัญหาว่าจะวัดตรงจุดไหนระหว่างพื้นดินกับพื้นถนน และกลายเป็นช่องโหว่ของกฎหมายที่เป็นสีเทาๆ เสมอมา เพราะการวัดบนพื้นที่ที่ต่างกัน ก็อาจจะได้ผลที่ต่างกัน และหากวัดแล้วสูงเกินมาเพียง 1 มิลลิเมตร ก็มีปัญหาแล้ว” แหล่งข่าววงการอสังหาฯ กล่าว


แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ผู้ประกอบธุรกิจคอนโดมิเนียมที่สร้างอาคารไม่เกิน 23 เมตร ส่วนใหญ่จะสร้างประมาณ 22.9 เมตร และคิดว่าไม่มีใครคิดที่จะลักไก่ สร้างให้เกินที่กำหนด เพราะได้ไม่คุ้มเสีย แต่เมื่อเกิดความไม่ชัดเจนในการกำหนดจุดที่วัดความสูงของอาคาร ก็อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ หรือแม้แต่มีการคำนวณความสูงของแต่ละชั้นผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ซึ่งในทางการก่อสร้าง สามารถเป็นไปได้ก็เกิดปัญหาได้เช่นกัน


ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนอาคารชุดเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขต กทม.มีอาคารชุดที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกกว่า 3 หมื่นหน่วย และสร้างเสร็จแล้วรอโอนให้ลูกค้าอีกเกือบ 2 หมื่นหน่วย


แหล่งข่าวจากวงการอสังหาฯ กล่าวว่า โดยเฉพาะอาคารชุดตามแนวรถไฟฟ้า ที่อยู่ซอยต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะก่อสร้างเป็นอาคารพักอาศัยรวมสูงไม่เกิน 23 เมตร อาคารเหล่านี้ได้เริ่มทยอยก่อสร้างเสร็จ และอยู่ในระหว่างการขอ ท้องที่เปิดใช้อาคาร ก็อาจจะมีปัญหา หากวิธีการวัดตามนิยามของ กทม.และ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารแตกต่างกัน


ด้านนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของ กทม.ที่จะต้องดำเนินการตรวจสอบอาคารให้ถูกต้องตามแบบที่ขอไว้ และในช่วงนี้จะเห็นว่ามีหลายอาคาร ที่เข้าข่ายกระทำไม่ถูกต้อง


แหล่งข่าวจาก กทม. กล่าวว่า ข้อบัญญัติของ กทม.ได้ใช้การวัดส่วนสูงของอาคารจากถนนไปถึง พื้นดาดฟ้า แตกต่างจาก พ.ร.บ. เนื่องจากในพื้นที่ กทม.ส่วนใหญ่เป็นถนน ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจ ใน กทม.ย่อมรู้เรื่องดี แต่ที่ผ่านมามีความพยายามสร้างให้เกิดความสูงที่กำหนด ซึ่งการทำธุรกิจ ควร จะคำนึงถึงการทำให้ถูกต้องตามระเบียบด้วย

 

โดย: 088 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 22:07:57 น.  

 

//www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fwww.matichon.co.th%2Fprachachat%2Fprachachat_detail.php%3Fs_tag%3D02p0101030451%26day%3D2008-04-03%26sectionid%3D0201

วันที่ 03 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3989 (3189)

รีดภาษีเพิ่ม"แนวรถไฟฟ้า" กทม.ฟันบ้าน-ที่ดิน-คอนโดถ้วนหน้า

คนกรุงเทพฯเจอแจ็กพอต กทม.รื้อ โครงสร้างภาษีโรงเรือนและที่ดิน-ภาษีบำรุงท้องที่ใหม่ เล็งจัดเก็บภาษีสาธารณูปโภคจากเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า 9 สาย และส่วนต่อขยาย บีทีเอส-รถไฟฟ้าใต้ดิน "โรงแรม-ห้าง-ออฟฟิศ-คอนโดฯ-บ้านเดี่ยวยันทาวน์เฮาส์" เข้าข่ายจ่ายเพิ่มยกกระบิ หวังเพิ่มรายได้ไว้ลงทุนรถไฟฟ้าในอนาคต

นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กทม.มีแนวคิดจะรื้อโครงสร้างการจัดเก็บภาษี เป็นการเฉพาะสำหรับพื้นที่ที่มีการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตามแนวโครงการรถไฟฟ้า เหมือนกับที่หลายประเทศนำภาษีในลักษณะนี้มาใช้ เพื่อให้ กทม.มีรายได้เพิ่มและรัฐบาลสามารถนำรายได้จากส่วนนี้ไปใช้ลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้ามีการพัฒนาเกิดขึ้นมากมาย แม้ในปัจจุบัน กทม.จะจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน รวมทั้งภาษีบำรุงท้องที่ แต่ยังไม่สามารถจะจัดเก็บได้ครอบคลุมทุกพื้นที่

"พื้นที่ไหนที่รถไฟฟ้าตัดผ่าน จะมีการเก็บภาษีเฉพาะเรียกว่าภาษีสาธารณูปโภค โดยจัดเก็บในอัตราที่สูงกว่าพื้นที่อื่นๆ จากปัจจุบัน กทม.เก็บภาษีโรงเรือนในอัตราร้อยละ 12.5 เท่ากันทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะย่านเศรษฐกิจหรือนอกเมือง ถือเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ และไม่เป็นธรรมสำหรับผู้เสียภาษีที่อยู่ชานเมืองหรือนอกเมือง"

นอกจากนี้ กทม.ยังจัดเก็บภาษีได้เฉพาะพื้นที่ที่นำมาใช้ประโยชน์ด้านพาณิชย์ เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างประเภทที่อยู่อาศัย เช่น คอนโดมิเนียมสร้างใหม่ตามแนวรถไฟฟ้าก็ไม่ได้จัดเก็บ ในอนาคตหากมีภาษีใหม่จะบังคับใช้โดยมีการแบ่งโซนชัดเจนทั้งพื้นที่เชิงพาณิชย์ หรือที่อยู่อาศัยต้องเสียภาษีสาธารณูปโภคให้เป็นธรรมมากขึ้น

นายพนิชกล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้า บีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดินส่วนใหญ่ตัดผ่านเฉพาะพื้นที่ชั้นใน อาทิ ปทุมวัน วัฒนา สีลม คลองเตย จตุจักร ห้วยขวาง ราชเทวี ฯลฯ ส่งผลให้แต่ละพื้นที่มีการพัฒนามากขึ้น เห็นได้จากโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ คอนโดฯ ทาวน์เฮาส์

ขณะที่พื้นที่รอบนอกอย่างลาดกระบัง หนองจอก มีนบุรี แม้ยังไม่มีรถไฟฟ้าตัดผ่านก็เสียภาษีเท่ากับพื้นที่ชั้นใน ทั้งที่น่าจะเสียภาษีถูกลง เพื่อดึงคนไปพัฒนาโซนรอบนอก

และเมื่อนำภาษีตัวนี้มาใช้ทุกพื้นที่จะต้องเสียภาษีเท่ากันหมดในอัตราที่สูงขึ้น เมื่อมีโครงการรถไฟฟ้า เช่น ส่วนต่อขยายบีทีเอส ช่วงอ่อนนุช-แบริ่งที่ กทม.กำลังก่อสร้าง ส่วนต่อขยายบีทีเอสสายสีลม ตากสิน-แยกตากสิน-บางหว้า สายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ สีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ สายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน บางซื่อ-รังสิต สีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่

เมื่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ความเจริญจะเข้าถึง มีการพัฒนาโครงการใหม่ ได้ประโยชนกว่าพื้นที่อื่น แต่ละโครงการต้องใช้เงินลงทุนสูง มูลค่าที่ดินขยับสูงขึ้นจึงต้องเสียภาษีแพงกว่าที่อื่น ซึ่ง กทม.จะรื้อโครงสร้างภาษีใหม่ โดยพิจารณาว่าที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ควรจัดเก็บเท่าใด

รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายจะก่อสร้างรถ ไฟฟ้าเพิ่มอีก 9 สาย ทำให้เกิดการพัฒนาและก่อสร้างมากมาย หากมีภาษีใหม่ได้จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก

"กำลังให้สำนักการคลังกทม.ศึกษาในรายละเอียดว่าจะจัดเก็บวิธีไหน รัศมีห่างจากรถไฟฟ้าเท่าไรอยู่ในข่ายต้องจ่ายภาษี แต่ละพื้นที่จะเก็บอัตรามากน้อยแค่ไหน จะหารือกับกระทรวงการคลัง จากนั้นจะบูรณาการและผลักดันออกมาเป็น กม."

และจะมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กทม.จะจัดเก็บเฉพาะใน กทม. พื้นที่นอกเขตรถไฟฟ้าผ่านสมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานีเป็นหน้าที่ของท้องถิ่นนั้นๆ

ในส่วนของ กทม. นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษา กทม. กำลังจัดทำโครงการวิจัยและศึกษาการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของ กทม. รวมทั้งจัดทำโครงสร้างภาษีใหม่ และรอผลการศึกษาของสำนักการคลัง จากนั้นจึงเสนอร่างกฎหมายอาจเป็นภาษีใหม่โดยเฉพาะหรือบรรจุในกฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดินก็ได้

สคบ.บี้อสังหาฯโฆษณาเกินจริง

นางชื่นสุข เมธากุลวัฒน์ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านโฆษณา สำนัก งานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้ประกอบการอสังหาฯเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าและนิยมโฆษณาว่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ทั้งๆ ที่บางโครงการอยู่ไกลมาก ผิดข้อเท็จจริงหรือบางโครงการระบุว่าเปิดขายคอนโดฯใกล้รถไฟฟ้าแต่เป็นโครงการในอนาคตจึงสงสัยว่าทำได้หรือไม่ หากไม่ ก่อสร้างจริงเท่ากับไม่ได้ทำตามที่โฆษณาไว้

ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้รับการร้องเรียน ส่วนการระบุข้อความโฆษณาดังกล่าวทำได้หรือไม่ จะพิจารณาว่า โครงการรถไฟฟ้าที่นำมาโฆษณามีความแน่นอนหรือเป็นไปได้ในการก่อสร้างเกินกว่า 50% อาทิ ผ่านมติคณะรัฐมนตรีแล้ว อยู่ระหว่างรอการเปิดประมูลหาผู้รับเหมา ฯลฯ หรือกรณีผู้บริโภคต้องการร้องเรียนจริงๆ สามารถนำแผ่นพับแนะนำโครงการเป็นหลักฐานประกอบได้

หน้า 1






 

โดย: 089 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 22:13:20 น.  

 

//www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=159533&NewsType=1&Template=1

วันที่ 3 เมษายน 2551 เวลา 00:00 น. | จำนวนผู้อ่าน 3456 คน ผู้โหวต 3 คน
คะแนนข่าว

ขนาดตัวอักษร ก ก ก
เช็งเม้ง ไหว้บรรพบุรุษรำลึกผู้ล่วงลับ










ปฏิทินเดือนเมษายนนอกจาก จะมีตัวเลขสีแดงบอกแจ้ง วันสงกรานต์ ในปฏิทินยังปรากฏอักษรบ่งบอกถึง วันเช็งเม้ง เทศกาลที่มีความหมายซึ่งปีนี้เวียนมาถึงอีกครั้ง

เช็งเม้ง หมายถึงฤดูกาลซึ่งฤดูกาลของชาวจีนแบ่งเป็น 4 ฤดูกาลใหญ่ ได้แก่ ใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เทศกาลเช็งเม้งอยู่ในช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูกาลย่อยซึ่งช่วงเวลานี้อากาศจะสดชื่นคลายจากความหนาวเย็นเริ่มเข้าสู่อากาศอบอุ่น ท้องฟ้าจะสว่างสดใส อ.เศรษฐพงษ์ จงสงวน สถาปนิก นักวิชาการอิสระผู้ศึกษาวัฒนธรรมจีนเริ่มบอกเล่า พร้อมให้ความรู้ถึงประเพณีเช็งเม้งที่มีความหมายความสำคัญเป็นธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษแสดงความเคารพกตัญญูของลูกหลานจีน รวมทั้งชาวไทยเชื้อสายจีนซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน

ในการกำหนดปีของชาวจีนจะใช้พระอาทิตย์เป็นสิ่งกำหนด ซึ่งการโคจรของดวงอาทิตย์หนึ่งวงรอบ 360 องศา ชาวจีนจะแบ่งเวลาเป็นช่วงละ 15 องศาเป็นหนึ่งฤดูกาลย่อย ซึ่งการแบ่งฤดูกาลอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรที่ทำการเกษตรกรรม อย่างถ้าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่หิมะตก อากาศร้อน แมลงออกจากการจำศีล ฯลฯ การแบ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่บอกให้ได้ทราบและเช็งเม้งก็เป็นหนึ่งในฤดูกาลแบบนี้ โดยเช็งเม้ง หมายถึงความสว่างสดใส

“ในความสดใสนั้นหมายความว่าอากาศจะเริ่มคลายจากความหนาวและค่อยอุ่นขึ้นจนถึงอากาศร้อนในฤดูร้อน ซึ่งอากาศสดใสก็จะมีความเย็นกว่าฤดูร้อนทำให้เหมาะแก่การออกนอกบ้าน เหมาะแก่การเริ่มทำการเกษตรกรรม ต่างจากช่วงตรุษจีนซึ่งเป็นช่วงที่หนาวจึงเป็นการเริ่มตระเตรียมการทำนา พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะเริ่มทำนาปักดำ หลังจากปักดำได้ถึงช่วงเช็งเม้งก็จะเป็นช่วงที่มีฝนตกพรำเริ่มมีแสงแดดอุ่นซึ่งจากนี้ไปก็จะเริ่มเข้าหน้าร้อนจะเริ่มมีพืชแตกยอดอ่อน ผลิดอกก็จะเป็นวงจรไป”

ทีนี้เช็งเม้งพอเป็นเรื่องของฤดูกาลแล้ว ในความเข้าใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือช่วงเวลาที่ชาวจีนจะออกไปเซ่นไหว้ที่สุสานซึ่งการเซ่นไหว้ที่เกิดขึ้นจะมีด้วยกัน 2 ครั้งคือ ในช่วงเวลานี้ฤดูใบไม้ผลิ และในช่วงฤดูหนาว โดยช่วงฤดูหนาวจะอยู่ในราววันที่ 22 เดือนธันวาคม ซึ่งสองช่วงเวลานี้จะเป็นโอกาสที่เซ่นไหว้สุสาน แต่บางท้องถิ่นช่วงอากาศหนาวไปไม่ได้ก็จะถือช่วงเช็งเม้งเป็นหลัก

“ช่วงเวลานี้ในประเทศไต้หวัน ประเทศจีนจะเรียกว่า เส้าหมอ หรือ การเก็บกวาดสุสาน ซึ่งจะไม่ค่อยเรียกว่า เช็งเม้ง ก็จะไปทำความสะอาดและเซ่นไหว้ซึ่งการแสดงความเคารพระลึกถึงบรรพบุรุษในเทศกาลนี้ชาวจีนบางถิ่นเรียกการเซ่นไหว้สุสานว่าก้วยจั้ว แปลว่าแขวนกระดาษ เพราะเมื่อเซ่นไหว้และเผากระดาษเสร็จแล้วต้องนำกระดาษสี 5 สีที่ตัดเป็นแถบยาววางไว้ที่บนป้ายจารึกหน้าสุสาน และโปรยไว้บนเนินดินสุสาน เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าลูกหลานได้มาเซ่นไหว้แล้ว หากครอบครัวไหนไม่ได้เก็บศพบรรพบุรุษไว้ที่สุสานหรือมีบรรพบุรุษอยู่ไกลที่ประเทศจีนก็จะตั้งไหว้ที่บ้าน ครอบครัวไหนเก็บกระดูก ป้ายวิญญาณไว้ที่วัด ก็จะมาเซ่นไหว้กันที่วัด”

การเซ่นไหว้เครื่องเซ่นไหว้นอกจากจะมีอาหารคาว หวาน ผลไม้ ฯลฯ อะไรก็ได้ตามความเหมาะสม ความต้องการของลูกหลาน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นที่นิยมเป็นขนมคู่เทศกาลนี้จะมีการไหว้ ขนมจือชังเปี้ย ซึ่งเป็นขนมเปี๊ยะอย่างหนึ่งข้างในจะใส่ต้นหอมโดยมีทั้งแบบอบกรอบ และแบบนิ่ม ขนมชนิดนี้จะทำเฉพาะเทศกาลเช็งเม้งเท่านั้นเป็นของชาวจีนแต้จิ๋วซึ่งคนจีนถิ่นอื่นจะไม่ค่อยใช้ นอกจากนี้การเซ่นไหว้ของประเพณีนี้จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมด้วย

“โดยปกติกระดาษเงินกระดาษ ทองจะคู่กับการเซ่นไหว้ซึ่งในการไหว้บรรพบุรุษจะใช้เช่นเดียวกันจะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองส่งไป รวมทั้งมีเครื่องกระดาษที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้และในเวลานี้มีหลาก หลายรูปแบบ ซึ่งเครื่องใช้อุปโภคบริโภคจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและคาดว่าจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างพาหนะ แต่เดิมเป็นเกี้ยว เป็นรถม้า แต่ปัจจุบันเป็นรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ คันเล็กคันใหญ่ก็สุดแท้เหมาะแก่สถานะของผู้ซื้อ เครื่องบิน บัตรเครดิต โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วีซีดี บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม พัดลม ฯลฯ ก็จะถูกเผาส่งไปให้แก่ผู้ล่วงลับ

แต่ที่จะขาดไม่ได้ต้องมีเสื้อผ้าซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสที่ส่งเสื้อผ้าไปเปลี่ยนให้แก่ท่านก็ส่งเป็นเสื้อผ้ากระดาษไปให้ก็จะมีทั้งแบบจัดเป็นห่อเป็นชิ้น ๆ ซึ่งเสื้อผ้าจะมีการจัดแบ่งไว้ชัดเจนมีทั้งเสื้อผ้าแบบผู้ชายและผู้หญิง”

ขณะที่ประเทศไทยมีเทศกาลเช็งเม้งประเทศเพื่อนบ้านที่รับวัฒนธรรม จีนก็มีเทศกาลนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ ก็จะเก็บกวาดสุสาน ไหว้บรรพบุรุษซึ่งจะอยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน แต่อาจจะมีต่างกันไปบ้างอย่างในเมืองไทยจะมีการไหว้บรรพบุรุษเช็งเม้งก่อนวันจริง ขณะที่ชาวจีนอาจจะทำหลังวันเช็งเม้ง

แต่อย่างไรก็ตามประเพณีที่มีความหมายความสำคัญนี้เป็นช่วงเวลาอันดีที่ครอบครัวจะได้กลับมาพบเจอได้ทำบุญระลึกถึงญาติผู้ล่วงลับร่วมกันและขณะที่ทุกเทศกาลแต่ละปีจะหมุนเวียนผ่านมา นอกจากความหมายความสำคัญของเทศกาลนี้ที่แสดงถึงความเคารพกตัญญูระลึกถึงผู้ล่วงลับ

อีกด้านหนึ่งยังเป็นเสมือนกุศโลบายแยบยลของคนโบราณที่คิดในเรื่องวัฒนธรรมประเพณีเป็นสิ่งที่แฝงไว้ให้เรียนรู้ถึงกาลเทศะซึ่งมีความสำคัญ

“กาลเทศะเป็นการแสดงให้เห็นว่าถึงช่วงเวลานี้ควรที่จะต้องทำอะไร เป็นการเตือนตนในการดำเนินชีวิตซึ่งไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร วางตัวอย่างไรหากรู้จักกาลเทศะก็ช่วยให้รู้จักตัวตนของตัวเอง รู้หลักการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า มีสติ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง รุ่งเรือง” อาจารย์ท่านเดิมกล่าวทิ้งท้าย

จากคุณค่าความหมายของประเพณี การไหว้บรรพบุรุษ เช็งเม้ง ช่วงเวลานี้เป็นอีกโอกาสอันดีที่จะแสดงความเคารพทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ล่วงลับ อีกทั้งยังเป็นการทบทวนการดำเนินชีวิตอีกร่วมด้วย.

พงษ์พรรณ บุญเลิศ


 

โดย: 090 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 22:20:38 น.  

 

//www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=55139&NewsType=2&Template=1

วันที่ 2 เมษายน 2551 เวลา 00:00 น. | จำนวนผู้อ่าน 1157 คน ผู้โหวต 1 คน
คะแนนข่าว

ขนาดตัวอักษร ก ก ก
'ความทรงจำแห่งโลก' 'มรดกวัดโพธิ์' คนไทยใส่ใจแค่ไหน?




เป็นอีกหนึ่งเรื่องน่าภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ กับมรดกทางการศึกษา การแพทย์ ประวัติศาสตร์ ศาสนา และวรรณคดีอันล้ำค่า ที่บรรพบุรุษไทยได้ทิ้งไว้เป็นลายลักษณ์อักษรบน “จารึก” ที่อยู่ตามฝาผนัง เสา ใน “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” หรือที่เรียกกันติดปากสั้น ๆ ว่า “วัดโพธิ์” ย่านท่าเตียน กรุงเทพฯ

“จารึก” ต่าง ๆ ภายในวัดนี้ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ “ยูเนสโก” ได้ขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก” หรือ “memory of the world”

วัดโพธิ์แห่งนี้เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 เป็นวัดที่มีพระนอน (พระพุทธไสยาสน์) ขนาดใหญ่และงดงามวัดหนึ่ง มีเจดีย์น้อยใหญ่มากมาย มีรูปปั้นตุ๊กตานักรบที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน มีรูปปั้น “ยักษ์วัดโพธิ์” ที่รู้จักกันคู่กับ “ยักษ์วัดแจ้ง” ที่วัดอรุณราชวราราม เป็นที่ตั้งของโรงเรียนแพทย์แผนโบราณที่สอน “นวดแผนไทย” ซึ่งมีชื่อเสียง เป็นอีกสถานที่สำคัญในเมืองไทยที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจ

ทั้งนี้ วันที่มีข่าว “จารึกวัดโพธิ์” ได้รับการประกาศเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก” ทีม “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ได้ลงพื้นที่วัดโพธิ์ ได้พบและพูดคุยกับ ศ.เจ.บี.ทิสานายกะ เอกอัครราชทูตศรีลังกา ประจำประเทศไทย ที่มาพร้อมภรรยา ซึ่งท่านทูตสนใจถ่ายภาพจารึกเกี่ยวกับร่างกายคน โดยให้เหตุผลว่าสนใจเรื่องนี้มานาน จึงถ่ายภาพไว้เพื่อศึกษา ที่ผ่านมาเคยมาเยี่ยมเยียนวัดนี้หลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้มาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ

“เป็นที่น่ายินดีที่จารึกในวัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก นับเป็นชื่อเสียงของประเทศไทย ช่วยให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ในวงกว้างมากขึ้นอีก มาวันนี้ถือโอกาสพาพระชาวศรีลังกามาชมวัดด้วย ซึ่งชาวศรีลังกา 75% นับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกับคนไทย โดยวัดก็เปรียบเสมือนเป็นโรงเรียน เป็นสถานที่ควรได้รับการเคารพ ดูแลรักษา” ...ท่านทูตศรีลังการะบุอย่างนี้

ขณะที่ กฤศน์วัต แสงกระจ่าง มัคคุเทศก์ของบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง บอกว่า... ทำอาชีพมัคคุเทศก์มานานกว่า 20 ปี เห็นการเปลี่ยนแปลงในวัดโพธิ์ตลอดมา ซึ่งในความรู้สึกส่วนตัวแล้วทางวัดได้รักษาศิลปะต่าง ๆ ทุกอย่างไว้ได้อย่างดี ควบคุมบริหารจัดการการท่องเที่ยวในวัดได้ดี ไม่สับสนอลหม่าน หรือวุ่นวาย และเจ้าหน้าที่วัดก็ดูแลนักท่องเที่ยวทั่วถึง รวมถึงการรักษาความสะอาด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สร้างความประทับใจให้แขกเมือง

นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวชมที่วัดนี้กันทั้งปีก็จะเป็นนักท่องเที่ยวจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ส่วนฝรั่งตะวันตกนั้นจะมาในช่วงปลายปีที่บ้านเขาจะหนาวจัด ก็หนีหนาวมาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งไฮไลต์ของวัดโพธิ์คือพระพุทธไสยาสน์หรือพระนอน ศิลปะไทย-จีน อาทิ เจดีย์ รูปปั้น และโรงเรียนสอนนวดไทย

“และจะดีมากถ้ามัคคุเทศก์อธิบาย ไตรภูมิพระร่วง หนึ่งในจารึกในวัดโพธิ์ได้ดี จะเป็นเสน่ห์ของมัคคุเทศก์ได้มากทีเดียว และทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักวัดโพธิ์ลึกซึ้งขึ้นอีก” ...กฤศน์วัตกล่าว

ด้าน พระมหาสมเกียรติ ปญญาสิริ เลขานุการแผนกทัศนศึกษา วัดโพธิ์ บอกว่า... จารึกในวัดโพธิ์แบ่งเป็นหมวดต่าง ๆ อาทิ ประวัติการสร้างวัด พระพุทธศาสนา (ประวัติพุทธสาวก อุบาสก อุบาสิกา) ตำรายา วรรณคดี (โคลง, ฉันท์, กาพย์, กลอน), สุภาษิต, ทำเนียบการปกครองหัวเมืองสมัยรัชกาลที่ 3, อนามัย, และ “ฤาษีดัดตน” 24 ท่า ที่ไม่มีชาติใดนำไปจดลิขสิทธิ์ได้ เพราะเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของแพทย์แผนไทย

“คนไทยรุ่นใหม่ ๆ ใครจะรู้บ้างว่าที่นี่เป็น มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรก ของฆราวาส ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงมีวิสัยทัศน์ว่าการพัฒนาประเทศนั้นประชาชนต้องมีความรู้ ไม่ใช่เพียงชนชั้นปกครอง จึงระดมผู้ชำนาญการต่าง ๆ เขียนวิชาความรู้ลงบนแผ่นศิลาแขวนไว้ในวัด และสำหรับวิชาแพทย์นั้นพระองค์ท่านทรงให้แพทย์สาบานว่าจะไม่กั๊กความรู้ เพราะเป็นอันตรายถึงชีวิตหากใส่ความรู้ไม่ครบ ซึ่งตำรายาเวชศาสตร์ในสมัยก่อนคนจะหวงมาก”

ที่วัดโพธิ์แห่งนี้ในสมัยก่อนคนที่มาเรียนรู้วิชาต้องนำเทียนมาส่องและนำแป้งมาทา อาศัยจำกันไปวันละท่อนสองท่อน แต่คนก็อดทนมาเรียนรู้กันมาก แต่ทุกวันนี้มีสื่อต่าง ๆ มากมายคนไทยก็เลยไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก หรือสนใจแค่เฉพาะกลุ่ม ซึ่งชาวต่างประเทศ พวกนักวิชาการ เขากลับสนใจกันมาก

ทั้งนี้ เมื่อ พ.ศ. 2533 ยูเนสโกก็ได้ประกาศยกย่อง “กรมสมเด็จพระมหาสมณเจ้าปรมานุชิตชิโนรส” อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ รูปที่ 2 เป็น “บุคคลที่มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก” ด้วย ซึ่งท่านทรงประพันธ์งานสำคัญ ๆ เช่น ลิลิตตะเลงพ่าย, กฤษณาสอนน้อง ที่มีเนื้อความ “พฤศภกาษร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตยทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา” วัดแห่งนี้จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “บ้านของกวีเอก” คนหนึ่งของโลกด้วย

“อยากจะเชิญชวนให้คนไทยรุ่นใหม่มาเที่ยววัดโพธิ์ให้มากขึ้น และลึกซึ้งกว่านี้ ที่นี่มีหลายอย่างที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ เช่นภาพ จิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธศาสนา ซึ่งสมัยก่อนเปรียบเสมือนโรงภาพยนตร์ชั้นดีที่ชาวบ้านพาลูกจูงหลานมาดูโดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่แดงเดียว และปัจจุบันทางวัดก็ปรับปรุงทัศนียภาพภายในให้น่าชม และเป็นระบบระเบียบ” ...พระมหาสมเกียรติกล่าว

เป็น “บ้านของกวีเอก” คนหนึ่ง...ที่นานาชาติยกย่อง
ล่าสุด...เป็น “คลังมรดกความทรงจำแห่งโลก” ด้วย
แต่คนไทยรุ่นใหม่...รู้จัก “วัดโพธิ์” กันแค่ไหน ???.

 

โดย: 091 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 22:34:35 น.  

 

//www.norsorpor.com/go2.php?u=http%3A%2F%2Fwww.matichon.co.th%2Fprachachat%2Fprachachat_detail.php%3Fs_tag%3D02com05030451%26day%3D2008-04-03%26sectionid%3D0209




















วันที่ 03 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3989 (3189)

ย้อนรอย 80 ปี "ยิบอินซอย" เงียบๆ แต่มั่นคงในธุรกิจไอที โซลูชั่น

กว่า 80 ปีของ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ผ่านร้อนผ่านหนาวในธุรกิจเหมืองแร่ ปุ๋ยเคมี บริษัทเงินทุน แม้กระทั่งอสังหาริมทรัพย์ แต่วันนี้ 98% ของรายได้บริษัทมาจากงานออกแบบและวางระบบสารสนเทศ (system integrator)

"เทียนชัย ลายเลิศ" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ยิบอินซอยก้าวเข้าสู่แวดวงไอทีครั้งแรกเมื่อปี 2517 โดยเป็นเจ้าแรกๆ ที่นำเข้าคอมพิวเตอร์เมนเฟรม รับติดตั้ง ดูแลระบบ รวมถึงฝึกอบรมบุคลากรของลูกค้าให้ด้วย ในยุคนั้นระบบงานสำเร็จรูปแทบไม่มี ทุกอย่างต้องพัฒนาโปรแกรมขึ้นเอง ลูกค้าสำคัญของยิบอินซอยคือหน่วยงานราชการขนาดใหญ่และสถาบันการเงินที่มีกำลังซื้อสูง

งานที่มีอยู่ในมือขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นงานที่ต่อเนื่องจากโครงการเดิม อาทิ โครงการเชื่อมระบบพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง จากการวางระบบการผ่านพิธีการศุลกากรทางอินเทอร์เน็ตหรือ E-customs ของ กรมศุลกากร หรือโครงการปรับปรุงระบบการนำจ่ายเงินเดือนข้าราชการทั่วประเทศของกรมบัญชีกลาง เป็นต้น

ลูกค้าของยิบอินซอย ณ ขณะนี้ 80% เป็นลูกค้าภาครัฐ ที่เหลือ 20% เป็นภาคเอกชน อาทิ สถาบันการเงิน โดยที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากภาครัฐ 800-900 ล้านบาท จากลูกค้าสถาบันการเงินประมาณ 200-300 ล้านบาท และปีนี้คาดว่ารายได้รวมจะอยู่ที่ประมาณ 1,800-2,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้าภาคเอกชนจากที่ได้ร่วมกับพันธมิตร อาทิ SAP Software, Sun Microsystems ในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มสถาบันการเงินมากขึ้น

นายเทียนชัยกล่าวว่า ผลพวงของข้อตกลงเปิดการค้าเสรีของ FTA หรือ WTO ตลอดจนกฎระเบียบใหม่ทางการเงิน จะทำให้สถาบันการเงินต้องปรับเปลี่ยนระบบใหม่ จึงคาดว่าจะมีการใช้จ่ายด้านไอทีมากขึ้น ที่สำคัญทุกคนรู้แล้วว่าไม่ว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี ก็ต้องลงทุนระบบไอทีถ้าอยาก อยู่รอด

"ยิบอินซอยมีแผนจะขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ แต่จะทำในสิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น อาทิ การให้บริการย้ายระบบงานจากเมนเฟรมมาสู่ระบบเปิด เป็นอีกโอกาสทางธุรกิจที่ยิบอินซอยมองเห็นในตอนนี้"

เพราะระบบที่ทำงานบนเมนเฟรมมีค่าบำรุงรักษาสูงมาก การปรับมาสู่ระบบเปิดจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 ใน 3 แต่ในหลายประเทศ อาทิ ฟิลิปปินส์ ยังลังเลที่จะเปลี่ยน เนื่องจากการย้ายระบบถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายสูงและเสี่ยงที่ข้อมูลจะสูญหาย ขณะเดียวกันก็กลัวว่าการปรับไปสู่ระบบใหม่จะทำให้ธุรกิจสะดุด

นายเทียนชัยกล่าวว่า บริษัทได้รับการการันตีด้านความเชี่ยวชาญในการให้บริการดังกล่าวจากคู่ค้า อย่างในเว็บไซต์ของซัน ไมโครซิสเต็มส์ จะมีชื่อยิบอินซอยเป็น ผู้เชี่ยวชาญในการย้ายระบบเพื่อแนะนำให้ลูกค้าของซันเรื่องใช้บริการ บริษัทจะอาศัยช่องทางและเครือข่ายของพันธมิตรใน ต่างประเทศในการที่จะขยายบริการออกสู่ต่างประเทศ "โดยเฉพาะเมื่อพันธมิตรอย่าง Sun ต้องการดึงลูกค้าที่เคยใช้เมนเฟรมมาใช้ระบบเปิดของซันมากเท่าไร โอกาสมาที่บริษัทก็มากขึ้น แต่ก็จะค่อยๆ ทำ ไม่หวือหวา ตามสไตล์ของยิบอินซอย บุคลิกของยิบอินซอยจะเงียบๆ ไม่โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ในวงการไอทีแล้วเราได้รับการยอมรับ ทั้งจากประสบการณ์ที่ยาวนาน และการยึดมั่นในคำสัญญาที่ให้กับลูกค้ามาตลอด เพราะเชื่อว่าการสร้างชื่อเสียงและผลงานที่ดีคือการต่อยอดธุรกิจที่ดีที่สุด"

นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้ยิบอินซอยแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ คือ บุคลากรที่รู้จริง มีความเชี่ยวชาญ ประกอบกับบริษัทมีความมั่นคงทางการเงิน จึงเน้นการทำงานแบบ long term ไม่เน้นการทำกำไรในระยะสั้นๆ

สำหรับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่วงการไอทีต้องเจอะเจอมาตลอด ยิบอินซอย มองปัญหานี้ว่า เป็นเรื่องปกติที่จะเจอ ความเจริญของเทคโนโลยีตำราตามไม่ทันอยู่แล้ว จะหวังให้สถาบันการศึกษาผลิตคนออกมาให้มีความรู้ทันเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บริษัทจึงเน้นการพัฒนาคนขึ้นมาเอง ซึ่งในบางครั้งเราพบว่าคนที่ไม่รู้เรื่องไอทีเลย แต่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากได้รับการพัฒนาด้านไอทีเพิ่ม จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่เยี่ยมมาก

แม้ว่าหลายคนจะมองว่าเป็นภาระ แต่บริษัทยอมลงทุนจ้างคนที่จบใหม่มาอบรมเพิ่ม

"การลงทุนพัฒนาด้านไอทีเป็นความรู้เฉพาะที่มีต้นทุนสูงมาก แต่ยิบอินซอยก็ยังยินดีรับภาระ ยินดีจะเป็น training school ให้กับอุตสาหกรรม"

หน้า 31

 

โดย: 092 IP: 118.174.58.200 4 เมษายน 2551 22:39:33 น.  

 

//thainews.prd.go.th/ สัมมนาการแพทย์แผนไทยสู่ระดับบัณฑิตศึกษา'
วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับศูนย์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง การแพทย์แผนไทยสู่ระดับบัณฑิตศึกษา ในวันที่ 10 เมษายน เวลา 08.30 - 16.00 น. ที่ห้องประชุมนานาชาติ อาคารสถาบัน 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทร.02-218-8144 . . .

 

โดย: 093 IP: 118.174.198.102 5 เมษายน 2551 18:52:40 น.  

 

//thainews.prd.go.th/'ไบโอเทคร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาออกร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาไทย


ไบโอเทคร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ออกร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาไทย แก้ปัญหาถูกละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไทย
ดร.ธนิต ชังถาวร นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงผลงานวิจัยเรื่อง "การศึกษาวิจัยแนวทางการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น" ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกละเมิดทรัพย์สินด้านภูมิปัญญาของไทย อาทิ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในชื่อฤาษีดัดตน สิทธิบัตรกวาวเครือ รวมถึงการนำภูมิปัญญาไทยไปใช้ไม่เหมาะสม อย่างการนำเศียรพระพุทธรูปจำลองไปใช้ในการแสดงสินค้า เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญาเป็นการเฉพาะ มีเพียงพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 ที่คุ้มครองด้านการแพทย์เท่านั้น ดังนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์จึงได้สนับสนุนงบประมาณ 2,000,000 บาท ให้ไบโอเทคและศูนย์คติชนวิทยา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ทำการศึกษาวิจัยแนวทางการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นตั้งแต่ปี 2550 โดยได้ยกร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญา อาทิ เกษตรกรรม ภาษาและวรรณกรรม ความเชื่อ ประเพณี ซึ่งจะให้การคุ้มครองในลักษณะทรัพย์สิน เน้นการอนุญาตใช้ประโยชน์ภูมิปัญญา หรือชื่อภูมิปัญญา รวมทั้งการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างยุติธรรม การคุ้มครองศักดิ์ศรีของภูมิปัญญาไม่ให้มีการนำองค์ความรู้หรือชื่อของภูมิปัญญาไปใช้ในทางเสื่อมเสีย
อย่างไรก็ตาม หากผู้ใดละเมิดหรือลักลอบใช้ภูมิปัญญาต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจะต้องระวางโทษขั้นต่ำจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งขณะนี้ได้นำผลการศึกษา พร้อมร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญา เสนอให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาพิจารณาก่อนดำเนินการออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อ





 

โดย: 094 IP: 118.174.198.102 5 เมษายน 2551 19:02:11 น.  

 

บทเรียน จากวิกฤติโลกร้อน ?

หมอกควัน ที่ปกคลุมจ.เชียงใหม่จนก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำในหน้าแล้ง เพียงแต่ระดับความรุนแรงอาจไม่เท่ากันในแต่ละปี เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ทั้งปริมาณฝุ่นควันที่สะสมอยู่ในบรรยากาศ หรือ สภาพภูมิอากาศ ในปีนั้นๆ การเผาไร่ เพื่อเริ่มต้นฤดูการเพาะปลูก หรือไฟป่าอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง ตราบใดที่มนุษย์ ยังมิได้ตระหนักว่า พวกเขานั่นเองที่กำลังนำพาประวัติศาสตร์โลกไปสู่โฉมหน้าใหม่

เหตุใด ในปีนี้ ปริมาณฝุ่นควันพิษในอากาศ จึงสูงมากกว่าทุกปี

การสะสมตัวของฝุ่นละอองในอากาศ เกิดขึ้นในหน้าแล้ง เนื่องจากอากาศแห้ง ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำ ความกดอากาศสูงทำให้อากาศจมตัวลง ปรากฎการณ์ที่เห็นได้บ่อยๆ ก็คือกลุ่มหมอกเหมย ในตอนเย็นลอยเรี่ยพื้นแทนที่จะลอยสูงขึ้น

หากมองด้วยดวงตาจากสรวงสวรรค์ ก็จะพบว่า เมืองเชียงใหม่นั้นเป็นที่กระจุกตัวของพื้นผิวคอนกรีต ในแอ่งที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง ซึ่งทอดตัวลงไปทางใต้ต่อเนื่องไปถึงตัวเมืองลำพูน มีสภาพไม่ต่างจาก "แอ่งกระทะ" ที่ถูกเทือกเขาสูงล้อมไว้ทุกด้าน อากาศที่เต็มไปด้วยเขม่า และฝุ่นละออง จะจมตัวลง และขังอยู่ใน แอ่งกระทะ การเผาไร่ และไฟป่ามักเกิดขึ้นตามลาดเขา ในวันที่ไม่มีลม อากาศเย็นจะเคลื่อนมาตามลาดเขาพร้อมกับฝุ่นละอองเหล่านี้ ลงมายังแอ่งที่ต่ำลงไป และสะสมอยู่ในบรรยากาศระดับต่ำ

การตรวจวัดฝุนละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน พบว่ามีความหนาแน่นในอากาศมากกว่าปกติถึง 2 เท่า อาจเป็นไปได้ว่า มีการเผาไร่ และไฟป่ามากขึ้นในปีนี้ แต่ขณะเดียวกัน ฝุ่นควันจากรถยนต์ในเมือง ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากในห้วงไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน

ปกติแล้ว อากาศเย็นที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองเหล่านี้จะไม่สะสมอยู่นาน แต่บางส่วนจะสลายตัวไปกับบรรยากาศสูงขึ้นไป บางครั้ง พายุฤดูร้อนในช่วงเดือนมีนาคม ก็จะช่วยชะล้างอากาศที่ขุ่นมัวลงไปได้บางส่วน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งเดือนนี้ มีแต่ความนิ่งสงัดของอากาศ จนการสะสมของฝุ่นควันหนาแน่นขึ้นอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ซึ่งปรากฎการณ์นี้ อาจมาจากหลายปัจจัยที่สอดรับกัน ทั้งจากความแห้งแล้ง เนื่องจากอิทธิพลของเอล นีโญ่ รวมทั้ง สภาพโดมความร้อนของเมืองเชียงใหม่ ที่เกิดจากการสสมความร้อนของพื้นผิวคอนกรีต และกิจกรรมการใช้พลังงานต่างๆ จนทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นจนสังเกตได้

อากาศเย็น และ แห้งที่หนาแน่นไปด้วยอณูมลพิษ จมตัวอยู่ในระดับต่ำ สภาพอากาศร้อนจัดทำให้เกิดชั้นอุณหภูมิผกผัน (temperature inversion) ซึ่งเกิดจากมวลอากาศร้อนเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว และรุนแรง มาครอบอยู่เหนืออากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน สภาพของมันจึงไม่ต่างจากกำแพงที่มองไม่เห็นกดทับลงไปเหนือม่านฝุ่น จนไม่อาจระบายออกไปสู่ชั้นบรรยากาศได้

ยิ่งเผาไร่ และเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงมากเท่าไร ก็ยิ่งเท่ากับคนในแอ่งเชียงใหม่ กำลังรมควันตัวเอง ในห้องขนาดใหญ่ที่ไม่มีทางระบาย

ปกติแล้ว ชั้นอากาศผกผัน ที่ปิดกั้นการฟุ้งกระจายของอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง สลายไปได้ด้วยกลไกตามธรรมชาติ นั่นคือ เมื่ออากาศได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้นก็จะยกตัวสูงขึ้น อากาศที่เย็นกว่าจะเคลื่อนเข้ามาแทน เกิดเป็นพายุฤดูร้อน แต่สถานการณ์ขณะนี้ ดูเหมือนว่า ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก จนโอกาสจะเกิดฝนเป็นไปได้ยาก

ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาวะอากาศแห่งสหราชอาณาจักร เพิ่งตรวจพบว่า ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ มีผลโดยตรงต่อการเกิดฝน

เขายังพบว่า ยิ่งอนุภาคมลภาวะในอากาศมีมาก จะยิ่งทำให้ละอองน้ำฟ้า มีขนาดเล็กมากตามไปด้วย เมื่อหยดน้ำมีขนาดเล็ก โอกาสที่จะก่อตัวเป็นฝนตก จึงเกิดได้ยากขึ้น ซึ่งหมายความว่า เมฆ จะมีเวลาอยู่บนฟ้านานขึ้น หากเมฆก่อตัวหนาแน่นโดยไม่ตกลงมาเป็นฝน ก็จะสะท้อนความร้อนที่พื้นดินคายออกมาให้กลับลงมา ทำให้อากาศทวีความร้อนอบอ้าวมากยิ่งขึ้นไปอีก สถานการณ์ก็จะยืดเยื้อยาวนานออกไปจนไม่อาจคาดเดาความเสียหายได้

อย่างไรก็ตาม มลพิษทางอากาศที่ปกคลุมแอ่งเชียงใหม่ จะสลายตัวไปได้อย่างรวดเร็ว และทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ เมื่อความชื้นจากทะเลถูกลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดพามาถึงในอีกไม่เกิน 1 เดือนข้างหน้า และในความเป็นจริง ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน จะเกิดฝนตกกระจายทั่วไป ชั่วระยะหนึ่ง แต่ในขณะนี้ โอกาสที่จะเกิดขึ้น น้อยเต็มที

มนุษย์กำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางลมฟ้าอากาศ อันเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ปรากฎการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ปกคลุมเชียงใหม่ และหลายจังหวัดในภาคเหนือ เป็นตัวอย่างที่เชื่อมโยงไปถึงภาวะโลกร้อน

โลกร้อน มิได้หมายถึงว่า โลกจะร้อนขึ้นอีกนิดหน่อย แก้ได้ด้วยการเปิดแอร์ หรือเร่งวันสงกรานต์ให้เร็วขึ้น แต่ภาวะโลกร้อน หมายถึง ความวิปริตแปรปรวนของลมฟ้าอากาศ ผิดไปจากเดิมจนไม่สามารถใช้องค์ความรู้ทางอุตุนิยมวิทยาที่มีมาทำนายได้ ลมฝนที่ควรจะมาถึง กลับล่าช้าออกไป ความแห้งแล้งที่น่าจะสิ้นสุดลง ปรากฎว่า ยืดเยื้อออกไปโดยไม่มีสาเหตุ สิ่งเหล่านี้เอง ที่จะสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับมนุษย์

เราอาจทนอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษได้ 1 สัปดาห์ แต่หากช่วงเวลาที่อากาศเลวร้ายยืดออกไปเป็น 1 เดือนเต็ม เชียงใหม่ คงเป็นเมืองที่คนอพยพหนี มากกว่าจะหลั่งไหลเข้าไปอาศัยอยู่เพราะเชื่อว่าอากาศดี

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ในอีกทางหนึ่งได้ช่วยย้ำเตือนให้ เราได้ตระหนักมากขึ้นว่า แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ และเปราะบาง มีชีวิตอยู่รอดได้ ภายใต้เงื่อนไขของลมฟ้าอากาศที่สมดุลย์ ในช่วงแคบๆ เท่านั้น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปเพียง 2 - 3 องศา จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อกลไกลมฟ้าอากาศ จนมนุษย์ ไม่อาจทนอยู่ได้เลย

และที่จำเป็นต้องตระหนักให้มากขึ้นก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งปวงก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากน้ำมือมนุษย์เองทั้งสิ้น ทั้งการเผาผลาญเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศ จนเกิดภาวะเรือนกระจก การตัดไม้ทำลายป่าอันเป็นแหล่งที่ช่วยดูดกลืนคาร์บอนไดออกไซด์ รวมไปถึงการขยายพื้นที่เกาะแห่งความร้อนออกไปไม่สิ้นสุด

นี่คือ บทเรียนบทแรกๆ ของภาวะโลกร้อน ที่ทำให้ "หมอกมุงเมือง" ในหน้าแล้ง ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันแสนธรรมดา กลายเป็นซุเปอร์หมอกควัน ที่เลวร้ายต่อระบบหายใจอย่างเฉียบพลัน

บางที สิ่งที่กำลังรอคอยเราอยู่ในอนาคตอันใกล้นี้ อาจรุนแรงกว่านี้ รุนแรงจนไม่อาจคาดไปถึงได้


กฤษกร วงค์กรวุฒิ
ที่ปรึกษาศูนย์ศึกษาธรรมชาติดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่


ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
ติดต่อ ฝ่ายสื่อสารองค์กร WWF ประเทศไทย
โทร. 02-524-6128-9, 02-524-6168-9
หรือ คุณพิมพาพรรณ ดวงแก้ว
ผู้ประสานงานโครงการ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่
โทร. 08-6731-4298

 

โดย: 095 IP: 118.174.70.151 5 เมษายน 2551 20:42:21 น.  

 

14 กลเม็ดง่ายๆ กู้วิกฤติโลกร้อน!!

ขณะที่ผู้คนทั่วโลก กำลังตื่นตัวอย่างหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และเหล่าผู้นำโลกตั้งหน้าตั้งตาถกกันเครียดเพื่อหาทางรับมือกับวิกฤตการณ์ใหญ่จาก โกลบอล วอร์มมิ่ง คุณเชื่อหรือไม่คะว่า ด้วยกลเม็ดง่ายๆ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ประชากรโลกธรรมดาๆอย่างพวกเรา ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะ เรือนกระจก หรือกรีนเฮาส์ เอฟเฟกต์ ได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง!!
ในนิตยสารไทม์ฉบับล่าสุด วันที่ 9 เมษายน 2007 มีการนำเสนอ แนวทางการชะลอวิกฤตการณ์โลกร้อนฉบับประชาชน ไว้อย่างน่าสนใจหลายประการ เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แพร่หลายไปทั่วโลก โดยแต่ละไอเดียเป็นเรื่องจับต้องได้ใกล้ๆตัว และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงไม่ยากจนเกินไป!!

ไอเดียแคนดูแรกในการพิทักษ์โลกให้รอดพ้นจากภาวะโลกร้อนคือ เปลี่ยนอาหารให้เป็นเชื้อเพลิง ในระยะหลายปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกทุ่มเทเวลาอย่างจริงจังให้กับการคิดค้น หาวิธีผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากพืชพันธุ์ธรรมชาติ ไล่ตั้งแต่ ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, น้ำมันหุงต้ม ไปจนถึงเศษขยะ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ทดแทนพลังงานจากน้ำมัน ซึ่งนับวันมีแต่จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ!! เห็นได้ชัดจากความเคลื่อนไหวของกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่มงบประมาณเป็นสองเท่า สำหรับการทำวิจัยคิดค้นเชื้อเพลิงชีวภาพโดยเฉพาะ และดูเหมือนว่าเชื้อเพลิงที่ผลิตจากข้าวโพดเป็นก๊าซอีธานอลจะมาแรงแซงทางโค้ง กว่าใครเพื่อน เพราะ ทั้งเซฟเงินในกระเป๋า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต

เปลี่ยนหลอดไฟใหม่เป็นแบบประหยัด คือวิธีเซฟค่าไฟในบ้านที่ฮิตฮอตที่สุดของที่สุด แม้รูปร่างหน้าตาของหลอดไฟซีเอฟแอล ที่เรียกกันติดปากในบ้านเราว่า หลอดไฟตะเกียบ ออกจะแปลกตาสักหน่อย แต่ประสิทธิภาพไฮโซมาก!! เพราะช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไฟธรรมดาๆถึง 3-5 เท่า แถมยังมีอายุการใช้งานนานกว่าหลายเท่าตัว ปัจจุบันมีให้เลือกใช้มากมายหลายขนาด ทั้งหลอดไฟขนาด 26 วัตต์, 40 วัตต์ ไปจนถึง 100 วัตต์

จัดระเบียบการซักผ้าใหม่ ผลการศึกษาล่าสุดของสถาบันอุตสาหกรรมการผลิต มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ค้นพบว่าขั้นตอนการซักผ้าและอบผ้าให้แห้ง กินพลังงานถึง 60% ของการผลิตเสื้อผ้าทั้งหมด และเสื้อยืดธรรมดาๆตัวหนึ่ง ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบ 4 กิโลกรัม!! คงไม่ถึงกับขอร้องคุณๆให้หยุดการซักผ้ารีดผ้าหรอกนะคะ!! แต่ถ้าอยากช่วยพิทักษ์โลกสีเขียวก็สามารถทำได้ง่ายๆด้วยการจัดระเบียบการซักผ้ารีดผ้าใหม่ เช่น เปลี่ยนจากการซักผ้าด้วยน้ำอุ่นเป็นน้ำเย็น หรือไม่ก็รวบรวมเสื้อผ้าให้ได้กองโตพอสมควรก่อน ค่อยนำไปซักทีเดียว อย่างบ้านเรา แดดเปรี้ยงแรงดีอยู่แล้ว แค่นำเสื้อผ้าตากแดดตากลมให้แห้งตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องอบผ้าให้กินไฟและทำลายสิ่งแวดล้อม

จัดบ้านใหม่ให้สอดคล้องกับหลักธรรมชาติ เชื่อหรือ ไม่คะว่า 16% ของพลังงานที่ใช้ภายในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เป็นตัวการก่อให้เกิดการแพร่กระจายก๊าซกรีนเฮาส์ในอเมริกา ฉะนั้น ลองหาเวลาว่างจัดบ้านใหม่ให้สอดคล้องกับหลักธรรมชาติ และทิศทางลม แทนที่จะพึ่งเทคโนโลยีไฮเทคตลอดเวลา เพราะการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายโลว์เทคๆช่วยเซฟพลังงานในบ้านได้ถึง 40%

ใส่เสื้อผ้ามือสองพิทักษ์โลก ในนิตยสารไทม์ฉบับล่าสุด ระบุไว้ว่า เสื้อผ้ามือสองเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเสื้อผ้าใหม่ เพราะการซื้อเสื้อผ้ามือสองช่วยหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง จากการผลิต และขนส่ง อันเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ยิ่งยุคนี้วินเทจ ลุคเป็นที่นิยมอยู่ด้วย ช่วยกันคนละนิดนะคะ ทั้งอินเทรนด์ แถมยังลดวิกฤติโลกร้อน!!

อีกหนึ่งวิธีเซฟ เดอะ เวิลด์ที่เวิร์กมากๆ เห็นจะเป็น การจัดสรรให้พนักงานทำงานใกล้บ้านที่สุด ฟาสต์ฟู้ดใหญ่ๆ ทั่วอเมริกานำวิธีนี้มาใช้อย่างได้ผล!! เพราะแทนที่หนุ่มสาวคนทำงานจะสูญเสียพลังงานจากการขับรถไกลๆมาทำงานในแต่ละวัน ทำไมเราไม่หาสาขาที่ทำงานใกล้บ้านให้แมตช์กับพนักงานละคะ!! หรือถ้าฟังดูยุ่งยากเกินไปก็อาจตั้งเป้าหมายไปเลยว่า ต่อไปนี้ฉันจะหางานทำเฉพาะทำเลที่อยู่ใกล้บ้านเท่านั้น!!

ถ้าคุณเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตัวจริงละก็ ทิ้งบ้านหลังใหญ่แถบชานเมือง ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงด่วนจี๋!! เพราะเมืองใหญ่ๆอย่างแมนฮัตตัน, โตเกียว หรือลอนดอน ถือเป็นโซนของพลเมืองโลกหัวใจสีเขียวขนานแท้!! ชาวกรุงน้อยคนนักจะขับรถไปทำงาน ส่วนใหญ่นิยมเดิน, ขี่จักรยาน หรือไม่ก็ใช้บริการขนส่งมวลชน ซึ่งรวดเร็วและเปี่ยมประสิทธิภาพมากกว่า!!

จ่ายบิลค่าใช้จ่ายทางอินเตอร์เน็ต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ หันมาจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต จะช่วยกู้วิกฤติโลกร้อนได้ อย่างมโหฬาร!! อย่างน้อยๆก็ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งนำไปสู่การตัดไม้ ทำลายป่า แถมยังช่วยลดความสิ้นเปลืองพลังงานจากการขนส่งกระดาษทั้งทางเครื่องบิน และรถบรรทุก รู้ไหมคะว่าวิธีนี้นอกจากจะประหยัดเวลาและเงินในกระเป๋าของคุณเห็นๆแล้ว ยังช่วยลดปริมาณขยะลงถึงปีละ 1,450 ล้านตัน และจำกัดการแพร่กระจายของก๊าซกรีนเฮาส์ ปีละ 1.9 ล้านตัน

เปิดหน้าต่างรับลมแทนการเปิดแอร์ วิธีนี้ง่ายและคนไทยคุ้นเคยกันดี ผลการศึกษาของอเมริกาบ่งชี้ว่า 22.7 ตัน ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศมาจากบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ลองลดการใช้พลังงานและทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการเปิดหน้าต่างภายในบ้านเพื่อรับลม แทนที่จะเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน เพราะลมธรรมชาติจากภายนอกจะทำให้อากาศภายในบ้านเย็นสบายขึ้นในช่วงฤดูร้อน และอุ่นขึ้นในช่วงฤดูหนาว

ปิดคอมพิวเตอร์ทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้ เรื่องนี้ควรรณรงค์ อย่างจริงจังในทุกออฟฟิศ เพราะการเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ ไม่เพียงแต่จะเปลืองไฟ แต่ยังก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากจะปิดทิ้งหลังใช้ เสร็จทุกครั้งแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการประหยัดพลังงานยังแนะนำว่า การปิดคอมพิวเตอร์, โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ โดยใช้ปุ่มสแตนด์บาย พาวเวอร์ กินไฟในบ้านแบบไม่รู้ตัวถึง 75%...ปุ่ม off เท่านั้นที่เราต้องการ!!

ปิดไฟทุกครั้งที่เสร็จงาน ไม่เฉพาะแต่ช่วงพักกลางวัน หรือหลังเลิกงานที่ควรรณรงค์เรื่องการปิดไฟในออฟฟิศ แต่บางออฟฟิศในเมืองใหญ่ๆยังขอความร่วมมือจากพนักงานให้ปิดไฟทุกครั้งที่ทำงานเสร็จ แม้บรรยากาศในออฟฟิศอาจดูมืดๆทึมๆไปบ้าง แต่ก็ช่วยเซฟพลังงานได้อีกหลายเท่าตัว เรื่องประหยัดไฟต้องยกให้ "สมเด็จพระบรมราชินีเอลิซาเบธที่สองแห่งอังกฤษ" ทรงเป็นต้นแบบของโลก!!

ทายสิคะว่า ระหว่างการขับรถ BMW กับการกินเบอร์เกอร์บิ๊กแมค อะไรก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนหนักกว่ากัน!! คำตอบก็คือบิ๊กแมคค่ะ!! จากรายงานของนิตยสารไทม์ ระบุว่า อุตสาหกรรมผลิตเนื้อทั่วโลกก่อให้เกิดการแพร่กระจายก๊าซกรีนเฮาส์ ในชั้นบรรยากาศมากถึง 18% เลิกบริโภคเนื้อสเต็ก เถอะนะคะ เพื่อให้ลูกหลานมีอากาศดีๆ ไว้หายใจในอนาคต!!

ปฏิเสธถุงพลาสติกลูกเดียว!! ในแต่ละปีมีถุงพลาสติกถูกผลิตออกสู่ตลาดมากกว่า 50,000 ล้านถุง และมีเพียง 3% ของถุงพลาสติกที่นำไปรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง โดยถุงพลาสติกแต่ละใบต้องใช้เวลาถึงพันปีกว่าจะย่อยสลายหมดไปจากโลก!! ทางที่ดีช่วยกันรณรงค์งดใช้ถุงพลาสติกจะดีกว่า แล้วหันมาพกถุงผ้าส่วนตัวไปช็อปปิ้งตามซุปเปอร์มาร์เกตแทน!!

ปลดเนกไท-ถอดสูททิ้ง บริษัทใหญ่ๆในญี่ปุ่นเป็นผู้ริเริ่มการประหยัดพลังงานแนวใหม่ ด้วยการไฟเขียวอนุญาตให้พนักงานใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดาๆ โดยไม่ต้องสวมสูทและผูกเนกไทมาทำงานในช่วงฤดูร้อนตับแตก เพื่อประหยัดค่าแอร์!! ปรากฏว่าได้ผลมาก เพราะฤดูร้อนที่ผ่านมา พี่ยุ่นสามารถลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 71,700 ตัน


Win Mektri (pop)

ศูนย์ส่งเสริมการให้และการอาสาช่วยเหลือสังคม (ศกอส.)
TRN, Volunteer Spirit Network

 

โดย: 096 IP: 118.174.70.151 5 เมษายน 2551 20:50:08 น.  

 

ระบบสิทธิบัตรกับจุดอ่อนของการคุ้มครองทรัพยากรจุลชีพในประเทศไทย

ในบทความของผู้เขียนเรื่อง "JTEPA สิทธิบัตรจุลชีพ กับม้าโทรจัน" ได้ชี้ให้เห็นว่าการประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับจุลชีพมีอยู่ด้วยกันอย่างน้อย 4 ประเภทด้วยกัน คือ คือ 1) จุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติซึ่งมนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น 2) จุลชีพที่ถูกสกัดออกมาแต่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกับจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติทุกประการ 3) จุลชีพที่ถูกสร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีทางชีววิทยาซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมต่างจากจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และ 4) ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาจากจุลชีพต่างๆ ข้างต้น โดยตามความเห็นของผู้เขียนนั้น จุลชีพประเภทแรกไม่สามารถขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรได้ ส่วนประเภทที่สามและประเภทที่สี่อาจขอรับสิทธิบัตรได้ตามพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่ตามความตกลงทริปส์ แต่จุลชีพประเภทที่สองนั้น ยังมีความคลุมเครือทั้งในแง่กฎหมายไทย นโยบายสาธารณะ และในบทบัญญัติตามข้อ 130 (3) ของความตกลง JTEPA

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของประเทศไทยในการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรจุลชีพ แต่ก่อนอื่นเพื่อให้เห็นความแตกต่างของสิทธิบัตรจุลชีพแต่ละประเภท โปรดพิจารณาจากตัวอย่างดังนี้ สมมติว่ามีกระทาชายหนึ่งชื่อว่านายยามาโต้ (ซึ่งชื่อเหมือนกับเรือรบขนาดมหึมาของญี่ปุ่นที่ซ่อนไว้เพื่อใช้ในการล่าอาณานิคมระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2) ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยแล้วพบว่าบริเวณอำเภอคลองด่านของไทยมีปริมาณของเสียตกค้างจากพลาสติกน้อยมาก นายยามาโต้จึงเริ่มเก็บตัวอย่างดินในบริเวณนั้นไปวิเคราะห์ จึงพบว่าดินในบริเวณนั้นมีแบคทีเรียชนิดหนึ่งปะปนอยู่ในดิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการกำจัดพลาสติกได้เป็นอย่างดี แบคทีเรียนี้ไม่เคยมีใครพบมาก่อน นายยามาโต้จึงเรียกแบคทีเรียนี้ว่า "ยามาโต้-คลองด่าน" หลังจากนั้นนายยามาโต้ได้สกัดและเพิ่มปริมาณแบคทีเรียชนิดนี้ ซึ่งทำให้แบคทีเรียที่ได้มามีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกับแบคทีเรียที่ได้มาจากอำเภอคลองด่านทุกประการ

แต่หลังจากนั้น นายยามาโต้ได้ใช้กรรมวิธีทางพันธุวิศวกรรม โดยนำสารพันธุกรรมในแบคทีเรียยามาโต้-คลองด่าน ที่สกัดออกมาใส่เข้าไปยังแบคทีเรียอีกชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ในดินทั่วไป นายยามาโต้เรียกแบคทีเรียชนิดใหม่นี้ว่า "ยามาโต้-สุวรรณภูมิ"

ตามหลักกฎหมายไทย แบคทีเรียยามาโต้-สุวรรณภูมิ ย่อมสามารถนำมาขอรับสิทธิบัตรได้เนื่องจากเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ และการที่แบคทีเรียนี้มีความสามารถในการดำรงชีวิตในดินทั่วไปแต่ขณะเดียวกันก็สามารถกำจัดพลาสติกได้ด้วย จึงถือเป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม นายยามาโต้ไม่สามารถนำแบคทีเรียที่ค้นพบที่อำเภอคลองด่านมาขอรับสิทธิบัตรได้เนื่องจากเป็นแค่เพียงการค้นพบซึ่งกฎหมายสิทธิบัตรไม่ให้ความคุ้มครอง แต่ปัญหาที่ยังคลุมเครือก็คือ นายยามาโต้สามารถขอรับความคุ้มครองแบคทีเรียยามาโต้-คลองด่านที่ตนเองสกัดและเพิ่มปริมาณนั้นได้หรือไม่

หากนายยามาโต้สามารถขอรับสิทธิบัตรแบคทีเรียยามาโต้-คลองด่านดังกล่าวได้ ผลก็คือบุคคลทุกคนจะไม่สามารถนำแบคทีเรียชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ในทางหนึ่งทางใดได้อีก เช่น นักวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถนำแบคทีเรียนี้มาใช้ศึกษาวิจัย แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบคทีเรียที่มีคุณสมบัติในการกำจัดพลาสติกก็ตาม

ปัญหาว่าสมควรให้มีการขอรับสิทธิบัตรในจุลชีพประเภทนี้หรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย และไม่สมควรเป็นปัญหาข้อกฎหมายด้วย แม้ว่านักกฎหมายยังคงมีช่องทางในการตีความให้สอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะได้อย่างไม่ยากนักก็ตาม

ระบบกฎหมายสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับจุลชีพของประเทศไทย ยังมีจุดอ่อนในการคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณะอีกหลายประการ คือ 1) ปัญหาเกี่ยวกับการตีความความหมายของคำว่า "จุลชีพ" 2) ระบบและวิธีการเปิดเผยรายละเอียดการประดิษฐ์ของสิทธิบัตรจุลชีพ และ 3) หลักเกณฑ์การเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์ในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับจุลชีพ

ในความตกลงทริปส์นั้น ประเทศสมาชิกมีหน้าที่ต้องให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรจุลชีพ แต่ไม่จำเป็นต้องให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรแก่พืชและสัตว์ หากพิจารณาจากความตกลงทริปส์ จะดูเหมือนว่าพืช สัตว์ และจุลชีพนั้นเป็นสิ่งที่สามารถแยกแยะออกจากกันได้อย่างชัดเจน แต่ในประชาคมวิทยาศาสตร์ นักอนุกรมวิธานไม่ได้แยกสิ่งมีชีวิตในลักษณะเช่นนี้ เมื่อกฎหมายและนักกฎหมายแยกแยะสิ่งมีชีวิตเป็นพืช สัตว์ และจุลชีพ ทำให้การจำแนกสิ่งมีชีวิตบางประเภทออกเป็นพืช สัตว์ หรือจุลชีพแทบจะไม่สามารถทำได้อย่างชัดเจน สิ่งมีชีวิตหลายประเภทจึงอยู่ในฐานะที่มีความคลุมเครือว่าเป็นพืชหรือจุลชีพ สัตว์หรือจุลชีพ หรือแม้กระทั่งไม่อาจกำหนดได้ชัดเจนว่าเป็นพืช สัตว์หรือจุลชีพกันแน่ วิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นอาจทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่เคยถูกกำหนดให้เป็นจุลชีพในความหมายของนักกฎหมาย กลับกลายเป็นพืชหรือสัตว์ขึ้นมาก็ได้

ความตกลงทริปส์ไม่ได้ให้ความหมายของ "จุลชีพ" ไว้ จึงทำให้ประเทศสมาชิกมีอิสระที่จะตีความจำกัดขอบเขตของการคุ้มครองสิทธิบัตรจุลชีพเพียงใดก็ได้ ประเทศที่ความเจริญก้าวหน้าด้านจุลชีววิทยาไม่สูงมากนัก มักเห็นว่าการคุ้มครองจุลชีพอย่างกว้างขวางจะมีผลกระทบกับวิทยาการด้านนี้ จึงไม่เพียงแต่ไม่ให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังไม่ให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรแก่จุลชีพที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกับจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และที่สำคัญก็คือ ประเทศเหล่านี้จะคุ้มครอง "ประเภท" ของจุลชีพอย่างจำกัดอีกด้วย

ทั้งที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในหมู่นักชีววิทยาในสาขาจุลชีววิทยาและสาขาที่เกี่ยวข้องว่า จุลชีพมีความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาในประเทศไทยเพียงใด แต่ประเทศไทยกลับไม่มี "ยุทธศาสตร์" ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน การปล่อยให้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้อยู่ในอำนาจการตัดสินของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสิทธิบัตรหรือแม้กระทั่งศาล จึงสุ่มเสี่ยงต่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเป็นอย่างยิ่ง

ตามกฎหมายสิทธิบัตร ผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรมีหน้าที่ต้องเปิดเผยรายละเอียดการประดิษฐ์อย่างชัดแจ้ง และเพียงพอที่จะสามารถทำให้ผู้มีความชำนาญในระดับสามัญของงานประเภทนั้น (a person skilled in the art) สามารถทำและปฏิบัติการตามการประดิษฐ์นั้นได้ ปัญหาของการขอรับสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิตรวมทั้งจุลชีพก็คือ การเปิดเผยรายละเอียดการประดิษฐ์เป็นไปได้โดยยาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นักกฎหมายส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการให้สิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิตจึงเห็นว่า เมื่อผู้ขอรับสิทธิบัตรไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของสิ่งมีชีวิตนั้นเป็นลายลักษณ์อักษรได้ จึงไม่สมควรมีการออกสิทธิบัตรให้แก่สิ่งมีชีวิต และแนะนำให้ประเทศกำลังพัฒนาใช้เหตุผลนี้ในการปฏิเสธคำขอรับสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประเทศอุตสาหกรรมจึงได้จัดตั้งระบบรับฝากตัวอย่างของจุลชีพขึ้น โดยจัดทำสนธิสัญญาบูดาเปสว่าด้วยการฝากจุลชีพในกระบวนการขอรับสิทธิบัตรขึ้น ซึ่งมีผลให้เมื่อมีการฝากตัวอย่างจุลชีพกับสถาบันรับฝากที่ได้รับการรับรองแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดการประดิษฐ์เป็นลายลักษณ์อักษรต่อไป และประเทศพัฒนาแล้วเหล่านี้ก็พยายามกดดันให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาฉบับนี้ด้วย

ปัญหาของประเทศไทยย้อนกลับเข้าสู่ปัญหาเดิมว่า สมควรจะให้มีการคุ้มครองสิทธิบัตรในจุลชีพหรือไม่ หากไม่สมควร การปฏิเสธคำขอรับสิทธิบัตรในจุลชีพก็อาจทำได้ด้วยเหตุผลลำพังว่าผู้รับสิทธิบัตรไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดการประดิษฐ์ได้ แต่หากเห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องคุ้มครองสิทธิบัตรจุลชีพบางประเภท ประเทศไทยก็ต้องเข้าสู่ระบบการฝากตัวอย่างจุลชีพด้วย

ปัญหาที่สำคัญก็คือ หากประเทศไทยเข้าสู่ระบบการรับฝากจุลชีพตามสนธิสัญญาบูดาเบส โดยเพียงแต่ยอมรับให้มีการนำตัวอย่างจุลชีพไปฝากไว้ที่สถาบันรับฝากในต่างประเทศได้ แต่ไม่ได้คิดที่จะจัดตั้งสถาบันรับฝากขึ้นในประเทศไทยอย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่การขอรับสิทธิบัตรจุลชีพของคนไทยจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงเพิ่มขึ้นเท่านั้น ทรัพยากรพันธุกรรมเหล่านี้ก็จะถูกส่งออกไปเก็บรักษาไว้ในต่างประเทศ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยในระยะยาว

ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรพันธุกรรมจุลชีพ (Microorganism Genetic Resources) แต่ทรัพยากรพันธุกรรมเหล่านี้ได้ถูกนักวิจัยจากต่างประเทศเข้ามาเก็บรวบรวมและส่งกับไปยังประเทศของตนด้วยรูปแบบที่หลากหลายเป็นจำนวนมาก การที่ประเทศญี่ปุ่นนำประเด็นเรื่องสิทธิบัตรจุลชีพขึ้นสู่เวทีการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจจึงชี้ให้เห็นว่าประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจต่อการขอรับสิทธิบัตรจุลชีพเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นหากประเทศไทยไม่เริ่มคิดเรื่องระบบการรับฝากจุลชีพอย่างจริงจังแล้ว ระบบสิทธิบัตรจุลชีพจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อฐานทรัพยากรทางพันธุกรรมอย่างแน่นอน

ประเด็นปัญหาสุดท้ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึงก็คือ การเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรมจุลชีพ ในระบบสิทธิบัตรยุคปัจจุบัน มีความพยายามที่จะกำหนดให้การขอรับสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องมีการเปิดเผยแหล่งที่มาของสารพันธุกรรมก่อน และในกรณีที่สารพันธุกรรมนั้นมีแหล่งที่มาจากประเทศที่มีระบบในการเข้าถึงหรือการแบ่งปันผลประโยชน์ ผู้ขอรับสิทธิบัตรต้องแสดงหลักฐานว่าได้นำสารพันธุกรรมนั้นมาโดยถูกต้อง และแสดงหลักฐานการแบ่งปันผลประโยชน์กับประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากรทางพันธุกรรมนั้นด้วย

ความพยายามในการกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้ได้นำไปสู่ปัญหาว่า หากผู้ขอรับสิทธิบัตรไม่เปิดเผยแหล่งที่มาของสารพันธุกรรม หรือไม่แสดงหลักฐานเกี่ยวกับการเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์ สำนักงานสิทธิบัตรในประเทศนั้นจะปฏิเสธคำขอรับสิทธิบัตรได้หรือไม่ นักกฎหมายฝ่ายหนึ่งเห็นว่าการไม่กระทำการเช่นนั้นทำให้การประดิษฐ์นั้นเป็นการประดิษฐ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่สมควรได้รับสิทธิบัตร แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าการปฏิเสธคำขอรับสิทธิบัตรเช่นนี้เป็นการขัดต่อความตกลงทริปส์ เพราะเป็นการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมในการขอรับสิทธิบัตรแตกต่างจากที่ความตกลงทริปส์กำหนดไว้

ประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้ไว้ในกฎหมาย จึงได้เลี่ยงไม่กำหนดเงื่อนไขเช่นนี้เป็นเงื่อนไขในการขอรับสิทธิบัตร แต่ใช้วิธีการเพิกถอนสิทธิบัตรแทนเมื่อปรากฏว่าผู้ขอรับสิทธิบัตรไม่เปิดเผยแหล่งที่มา ของสารพันธุกรรมหรือแสดงหลักฐานการเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งกระบวนการในการเพิกถอนสิทธิบัตรเช่นนี้ไม่ขัดกับความตกลงทริปส์

การคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมของประเทศกำลังพัฒนาด้วยวิธีการเช่นนี้ ทำให้ประเทศอุตสาหกรรมประสบกับความยากลำบากในการขอรับสิทธิบัตรมากขึ้น ประเทศอุตสาหกรรมจึงได้คิดวิธีการในการป้องกันไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาเพิกถอนสิทธิบัตรเช่นนี้ ในความตกลงการค้าเสรีที่สหรัฐทำกับประเทศต่างๆ จึงซ่อนเงื่อนไขประการหนึ่งไว้ว่า ประเทศคู่ค้ากับสหรัฐต้องไม่เพิกถอนสิทธิบัตรด้วยเหตุผลอย่างอื่นนอกจากจะเป็นเหตุที่อาจปฏิเสธได้ในการขอรับสิทธิบัตร หรือไม่มีการเปิดเผยหรือเปิดเผยข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับส่วนประกอบของการประดิษฐ์นั้นเท่านั้น

การกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้เป็นไปอย่างแยบยลยิ่ง เพราะไม่ได้มีการกล่าวถึงการเปิดเผยแหล่งที่มาของสารพันธุกรรม การแสดงหลักฐานการเข้าถึงหรือการแบ่งปันผลประโยชน์ไว้แม้แต่น้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ประเทศคู่ค้ากับสหรัฐจะปฏิเสธคำขอรับสิทธิบัตรก็ไม่ได้เพราะอาจขัดกับความตกลงทริปส์ และจะเพิกถอนสิทธิบัตรนั้นก็ไม่ได้เพราะขัดกับความตกลงการค้าเสรี

ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาของบทความในตอนนี้ ผู้เขียนขอชี้แจงก่อนว่า ผู้เขียนไม่ใช่นักวิชาการโดยอาชีพ ความสนใจต่อกฎหมายสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรพันธุกรรมได้สิ้นสุดลงเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากผู้เขียนเห็นว่ามีครูบาอาจารย์และนักกฎหมายหลายท่านให้ความสนใจในปัญหาเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และมีพื้นที่ในกฎหมายบางเรื่องที่ผู้เขียนควรไปให้ความสนใจมากกว่าเนื่องจากไม่มีใครให้ความสนใจนัก ความรู้ของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงจำกัดอยู่ที่ข้อมูลเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้น เพียงแต่เมื่อมีปัญหาเหล่านี้ในบ้านเมือง จึงรู้สึก "อาสนะ" ร้อนขึ้นมาเท่านั้น คงเป็นคำออกตัวที่ดีนะครับ

มาถึงปัญหาสำคัญว่าเหตุใดระบบกฎหมายไทยจึงยังมีจุดอ่อนในการคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมจุลชีพ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมจุลชีพ

ระบบกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดของไทยก็คือ ระบบกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช (Plant Variety Protection) เพราะกฎหมายนี้ไม่ได้มุ่งแต่จะให้ความคุ้มครองสิทธิของนักปรับปรุงพันธุ์เท่านั้น แต่ยังให้ความคุ้มครองแก่พันธุ์พืชพื้นเมืองและพันธุ์พืชป่า ซึ่งเป็นทรัพยากรพันธุกรรมพืชอันทรงคุณค่าของประเทศไทยด้วย

ความก้าวหน้าที่มีมากที่สุดในระบบกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชของไทยก็คือ การรับหลักการในการเปิดเผยแหล่งที่มาของสารพันธุกรรมและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่อยู่ในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biodiversity) เข้ามาบัญญัติไว้ในกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ตามกฎหมายนี้ นักปรับปรุงพันธุ์มีหน้าที่ต้องแสดงแหล่งที่มาของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่นั้น และต้องเปิดเผยข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ในกรณีที่มีการใช้พันธุ์พืชพื้นเมืองหรือพันธุ์พืชป่าในการปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่เพื่อผลประโยชน์ทางการค้านั้นด้วย

หลายปีที่ผ่านมา มีบริษัทข้ามชาติจำนวนมากที่นำทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ แล้วนำผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาขอรับสิทธิบัตร โดยไม่มีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของภูมิปัญญาหรือแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่เกษตรกรผู้ดูแลรักษาทรัพยากรเหล่านั้นอย่างเป็นธรรม นักวิชาการและองค์กรเอกชนได้พยายามเสนอให้กรมทรัพย์สินทางปัญญานำหลักการในเรื่องการเข้าถึงและการแบ่งปันผลประโยชน์ไปบัญญัติไว้ในกฎหมายสิทธิบัตรด้วย แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากภาครัฐเท่าใดนัก ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มพระราชบัญญัติสิทธิบัตรฯ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจึงมุ่งไปสู่การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขอรับสิทธิบัตรและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น

อย่างไรก็ดี มิใช่ภาครัฐจะไม่ได้ให้ความสนใจแก่การคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรพันธุกรรมเสียทีเดียว กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดให้มีการสัมมนาระดมความเห็นในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นขึ้น โดยจะให้ความคุ้มครองแก่ทรัพยากรพันธุกรรมด้วย อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการให้ความคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นภายใต้กฎหมายฉบับนี้ กลับถูกคัดค้านจากหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง โดยเห็นว่ากฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชได้ให้ความคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมพืชอยู่แล้ว ส่วนการคุ้มครองพันธุ์สัตว์นั้น ก็มีหน่วยราชการอื่นกำลังริเริ่มดำเนินการอยู่แล้วเช่นกัน

เป็นที่น่าเสียใจว่า การดำเนินการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นฯ เป็นไปอย่างล่าช้า เวลาที่ผ่านไปหลายปียังไม่สามารถทำให้สาธารณชนได้เห็นต้นร่างของพระราชบัญญัติฉบับนี้เลย แต่สิ่งที่เป็นที่น่าเสียใจมากกว่าก็คือ ประเด็นการคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมจุลชีพมิได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแม้แต่น้อย

ในปัจจุบัน กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของไทยไม่มีระบบเปิดเผยการเข้าถึง และการแบ่งปันผลประโยชน์เมื่อมีการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมจุลชีพในการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ในระหว่างการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหรัฐ นักวิชาการและองค์กรเอกชนได้พยายามผลักดันให้ฝ่ายไทยนำหลักการเปิดเผยแหล่งที่มาและการแบ่งปันผลประโยชน์เข้าสู่เวทีของการเจรจา ซึ่งคณะเจรจาด้านทรัพย์สินทางปัญญาในความตกลงการค้าเสรีไทย - สหรัฐ ก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี แม้ว่าในใจอาจทราบว่าการเสนอประเด็นเหล่านี้ไม่มีทางสำเร็จลงได้ก็ตาม

ในทางตรงกันข้าม เวทีการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น กลับไม่ได้มีการนำเสนอประเด็นนี้ให้สาธารณชนได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม สาธารณชนไม่เคยเห็นร่างข้อเสนอของฝ่ายไทยในการคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมแม้แต่น้อย ผลลัพธ์ที่ได้จากความตกลงฉบับนี้มีเพียงการเสนอให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยจะมีการนำประเด็นเกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรมเข้าหารือด้วยเท่านั้น ซึ่งไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย แต่ก็สุดความสามารถของคณะเจรจาที่จะทำได้แล้ว

แม้ว่าประเทศไทยยังมีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงเพื่อคุ้มครองฐานทรัพยากรพันธุกรรมหลายประการด้วยกัน แต่ขอบเขตของการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรจุลชีพทั้งตามความตกลง JTEPA และกฎหมายไทยก็เป็นสิ่งที่ต้องรอการพิสูจน์ ในต่างประเทศ ปัญหาทำนองเดียวกันนี้เคยถูกท้าทายด้วยสถานการณ์จริง ผู้เขียนจำได้ว่าหญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งเคยประกาศยื่นคำขอรับสิทธิบัตรตัวเอง เพื่อต้องการทราบว่ามนุษย์อาจถูกจดสิทธิบัตรได้หรือไม่ และมีหลักฐานทางวิชาการปรากฏว่า นักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในตัวอ่อนที่มีสารพันธุกรรมของมนุษย์และสัตว์อยู่ โดยได้ประกาศว่าตนเองไม่ต้องการได้รับสิทธิบัตร แต่ต้องการทราบว่าสำนักงานสิทธิบัตรจะออกสิทธิบัตรให้แก่การประดิษฐ์นี้หรือไม่ และหากปฏิเสธ การปฏิเสธนั้นจะใช้เหตุผลใด

เมื่อความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจต้องดำเนินต่อไป การเรียกร้องให้ปกป้องผลประโยชน์ของชาติก็คงต้องดำเนินต่อไปเช่นกัน ส่วนตัวผมคิดว่าทรัพยากรพันธุกรรมเป็นสมบัติร่วมกันของคนทั้งชาติ ซึ่งไม่อาจนำผลประโยชน์ส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษี หรือการเปิดเสรีด้านการค้า การค้าบริการ หรือการลงทุน มาแลกเปลี่ยนได้ ถึงแม้ว่าผลประโยชน์เช่นนี้จะมีส่วนช่วยการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติโดยรวมก็ตาม ความเห็นเช่นนี้อาจจะแตกต่างกันก็ได้ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เหตุใดความพยายามเข้าไปช่วยคิดหรือมีส่วนร่วมของประชาชนจึงต้องมีอุปสรรคมากมายเช่นนี้


นันทน อินทนนท์
มหาวิทยาลัยสต๊อกโฮล์ม

 

โดย: 097 IP: 118.174.70.151 5 เมษายน 2551 20:59:04 น.  

 

ข่าวและกิจกรรม มศว


อบรมการวาดการ์ตูน สำหรับเยาวชน (ภาคฤดูร้อน) ไม่เสียค่าใช้จ่าย



คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
โครงการบริการวิชาการแก่ชุมชน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551

ชื่อโครงการ โครงการอบรมการวาดภาพการ์ตูนสำหรับเยาวชนไทย (ภาคฤดูร้อน)
ครั้งที่ 1

หน่วยงานที่รับผิดชอบ
สาขาวิชาการออกแบบสื่อสาร คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ


กลุ่มเป้าหมาย
เด็กเยาวชนอายุตั้งแต่ 12 – 16 ปี ที่มีความรักในการสร้างสรรค์
จำนวนโดยประมาณ 100 คน (กลุ่มละ 20 คน)
ระยะเวลาดำเนินการ
1. วันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2551 หัวข้อการวาดภาพการ์ตูนประเภทคน
2. วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2551 หัวข้อการวาดภาพการ์ตูนประเภทสัตว์
3. วันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2551 หัวข้อการวาดภาพการ์ตูนประเภทสิ่งของ
4. วันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 หัวข้อการวาดภาพการ์ตูนประเภททิวทัศน์ธรรมชาติ
5. วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2551 หัวข้อการวาดภาพการ์ตูนประเภททิวทัศน์อาคารสิ่งก่อสร้าง
เวลาอบรม 9.30-12.00 น.
สอบถามรายละเอียดและสมัครได้ที่ 0-2649-5499



4 เม.ย. 51 09:30-
12:00
อบรม: วาดภาพการ์ตูนประเภทคน
คณะศิลปกรรมศาสตร์
0-2649-5499


11 เม.ย. 51 09:30-
12:00
อบรม: วาดภาพการ์ตูนประเภทสัตว์
สาขาวิชาการออกแบบสื่อสาร คณะศิลปกรรมศาสตร์
0-2649-5499


18 เม.ย. 51 09:30-
12:00
อบรม: วาดภาพการ์ตูนประเภทสิ่งของ
สาขาวิชาการออกแบบสื่อสาร คณะศิลปกรรมศาสตร์
0-2649-5499


25 เม.ย. 51 09:30-
12:00
อบรม: วาดภาพการ์ตูนประเภททิวทัศน์ธรรมชาติ
สาขาวิชาการออกแบบสื่อสาร คณะศิลปกรรมศาสตร์
0-2649-5499


2 พ.ค. 51 09:30-
12:00
อบรม: วาดภาพการ์ตูนประเภททิวทัศน์อาคารสิ่งก่อสร้าง
สาขาวิชาการออกแบบสื่อสาร คณะศิลปกรรมศาสตร์
0-2649-5499





เอกสารแนบข่าวประชาสัมพันธ์



หน่วยงาน ภาควิชาออกแบบทัศนศิลป์

ผู้ส่งข่าว อ.นัทธพัชร์ น้อยสวัสดิ์ 02-6641000 ต่อ 5107

E-mail ผู้ส่งข่าว nat_noisawad@hotmail.com

วันเริ่มประกาศข่าว 11 มีนาคม 2551 ถึง 2 พฤษภาคม 2551




 

โดย: 098 IP: 118.174.70.151 5 เมษายน 2551 21:11:26 น.  

 






สำนักพิมพ์ฟรีมายด์ และศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญร่วมงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ "ความคิด ชีวิต ตัวตน...ภัทราวดี" เด็กหญิง ณ ริมน้ำ โดย ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน สตรีดีเด่น ปี 2551 สาขาอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม
ในวาระแห่งการครบรอบอายุ 60 ปี ของ "ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน"...ศิลปินหญิงแถวหน้าของเมืองไทย ปูชนียบุคคลผู้ที่บุกบั่นปลุกปั้นให้ศิลปะการแสดงของไทยผงาดขึ้นไปเป็นมรดกชิ้นสำคัญของโลกได้ในทุกวันนี้ นับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจสูงสุดของสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ที่ได้มีโอกาสจัดทำหนังสือที่สะท้อน "ความคิด ชีวิต และตัวตน" ของครูเล็กชุดนี้ขึ้น เพื่อเป็นบันทึกอันล้ำค่าที่บอกเล่าถึงช่วงเวลาสำคัญของชีวิตตามกาลเวลาที่ผันผ่าน พร้อมด้วยแง่คิดที่ได้รับ และภาพถ่ายแห่งความทรงจำที่น่าประทับใจ เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ศึกษา ได้เพลิดเพลิน และสามารถนำไปปรับใช้ตามวิถีชีวิตได้เป็นอย่างดี... ดำเนินรายการโดย คุณแอ๊ด ไชยวัฒน์ อนุตระกูลชัย (พิธีกรประจำรายการ บ้านเลขที่ 5)

ในวันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2551 เวลา 14.00 - 15.00 น.
ณ เวที Hall A ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 36

หมายเหตุ: ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ฟรีมายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด โทร. 0-2637-8600

 

โดย: 099 IP: 118.174.32.135 6 เมษายน 2551 10:35:36 น.  

 

เนื่องด้วย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดย โมเดิร์นไนน์ทีวี จัดงานแถลงข่าว เปิดตัวโครงการความร่วมมือระหว่าง 6 ประเทศ ผลิตสารคดี "แม่น้ำโขง มหานที แห่งชีวิต" ดังนี้
* ในวันพุธที่ 9 เมษายน 2551 เวลา 13.00 น.
* ณ โรงละครสยามนิรมิต
* โดย นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท
และเอกอัครราชทูต จาก 5 ประเทศความร่วมมือ

กำหนดการงานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง 6 ประเทศผลิตสารคดี

เวลา 13.00 -- 13.30 น. แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนลงทะเบียนและรับประทานอาหารว่าง

เวลา 13.30 -- 14.00 น. แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนเดินทางเข้าสู่โรงละคร

เวลา 14.00 -- 14.10 น. การแสดงเปิดตัว ชุด " แม่น้ำแห่งสรวงสวรรค์"

เวลา 14.10 -- 14.15 น. พิธีกรกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

เวลา 14.15 -- 14.20 น. กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท กล่าวนำถึงโครงการความร่วมมือ

เวลา 14.20 -- 14.30 น. วีดีทัศน์ตัวอย่างสารคดี "แม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต

เวลา 14.30 -- 14.45 น. ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักโทรทัศน์ บมจ.อสมท และ
โปรดิวเซอร์ 5 ประเทศ กล่าวถึงความร่วมมือในการผลิตสารคดี
และผู้สนับสนุนขึ้นกล่าว

เวลา 14.45 -- 14.50 น. รมว.กระทรวงต่างประเทศ (นายนพดล ปัทมะ ) ขึ้นกล่าวเปิดงาน

เวลา 14.50 -- 15.00 น. รมว.กระทรวงต่างประเทศ (นายนพดล ปัทมะ ) พร้อมด้วย
เอกอัครราชทูต 5 ประเทศ ทำพิธีกดปุ่มเปิดงานร่วมกัน

เวลา 15.00 -- 15.10 น. ถ่ายภาพร่วมกันบนเวที

เวลา 15.10-- 15.20 น. พิธีกรกล่าวสรุปและกล่าวปิดงาน

 

โดย: 100 IP: 118.174.32.135 6 เมษายน 2551 11:12:35 น.  

 

ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2539 จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งจดทะเบียนแล้ว (กสจ.) ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการจัดสวัสดิการแก่ลูกจ้าง ประจำให้มีเงินไว้ใช้เมื่อออกจากราชการ หรือเมื่อพ้นวัยทำงาน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐและลูกจ้างประจำ และเพื่อสร้างสถาบันเงินออม คณะกรรมการ กสจ. ประกอบด้วย ผู้แทนส่วนราชการ และผู้แทนสมาชิก ปัจจุบันสมาชิกมีจำนวน 157,541 ราย และมีหน่วยราชการที่นำส่งเงินเข้ากองทุน จำนวน 4,494 หน่วยงาน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ณ 31 ธันวาคม 2550 ที่ 10,505.60 ล้านบาท มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วย 13.8580 บาท โดยในปี 2550 กสจ.สามารถสร้างอัตราผลตอบแทนได้ถึงร้อยละ 8.27 และในทุกปี กสจ.จะจัดให้มีการประชุมใหญ่สมาชิกและการแถลงข่าวเพื่อรายงานความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ที่ กสจ.ได้ดำเนินการ รวมทั้งผลประกอบการประจำปี ให้แก่สมาชิกและสื่อมวลชนได้รับทราบ
สำหรับการสรุปผลการดำเนินงานและผลประกอบการประจำปี 2550 กสจ. ได้มีกำหนดการจัดงานแถลงข่าวขึ้น ในวันที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 10.00 น. ณ ห้องบำรุงเมือง ชั้น 4 โรงแรมเดอะ ทวินทาวเวอร์ กรุงเทพมหานคร ต่อจากนั้นในช่วงบ่ายระหว่างเวลา 13.00 - 16.00 น. ณ สถานที่เดียวกัน กสจ.ได้จัดให้มีการประชุมใหญ่สมาชิกประจำปี 2550
ดังนั้น กสจ.จึงขอเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมงานในวันเวลาดังกล่าวข้างต้น หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสอบถามได้ที่ ประชาสัมพันธ์ กสจ.โทร.02-643-1383-5 ต่อ 101,107 โทรสาร 02-643-1387

 

โดย: 101 IP: 118.174.138.244 6 เมษายน 2551 13:21:03 น.  

 

//www.thaingo.org/cgi-bin/content/content3/show.pl?1048



ขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ นามของสยามประเทศ และแก้กฎหมายสำหรับ “จังหวัดธนบุรี”
นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ - [ 31 มี.ค. 51, 07:30 น. ]



มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ท่าพระจันทร์ พระนคร
28 มีนาคม 2551

เรื่อง ขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ นามของสยามประเทศ และแก้กฎหมายสำหรับ “จังหวัดธนบุรี”

กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี, ฯพณฯ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, ฯพณฯ ประธานศาลฎีกา
(ผ่านสื่อมวลชนและ pocket modkanfai Network)

สืบเนื่องจากการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นนั้น กระผมใคร่ขอเสนอข้อแก้ไขเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ คือ

(หนึ่ง) แก้คำในภาษาไทยที่ใช้ว่ารัฐธรรมนูญ “แห่งราชอาณาจักรไทย” เป็นรัฐธรรมนูญ “แห่งราชอาณาจักรสยาม” หรือรัฐธรรมนูญ “แห่งสยาม” และในภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนจาก The Kingdom of Thailand เป็น The Kingdom of Siam หรือ of Siam ทั้งนี้ เพื่อความ “รักสามัคคี” “สมานฉันท์” และ “ปรองดอง” และให้ประเทศของเรา ซึ่งมีประชากรกว่า 60 ล้านคนนั้นเป็นที่ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย ไท ยวน ลาว ลื้อ คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ แคะ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ ปาทาน เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทยใหญ่ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า กำหมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ โอรังลาอุต ฝรั่ง (ชาติต่างๆ) แขก (ชาติต่างๆ) ลูกครึ่ง ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ” กว่า 50 ชนชาติและภาษา”

(สอง) แก้ไขให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีแต่เพียงสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร โดยให้ยกเลิก สว. หรือวุฒิสมาชิก เพราะนับแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก พุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสภาดังกล่าว ไม่มีประโยชน์เท่าไรนัก ทำการทำงานน้อย เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ (เงินเดือน) สิ้นเปลืองเวลา กลายเป็นแหล่งรักษาผลประโยชน์และเป็นรางวัลของพรรคและพวกเดียวกัน ขัดต่อประชาธิปไตยของชาติ

(สาม) ให้ดำเนินการออกกฎหมายที่เป็นประชาธิปไตย โดยคืนสถานะเดิมอันเป็นตัวของตัวเองและศักดิ์ศรีของ “จังหวัดธนบุรี” ที่ถูกยุบรวมและทำลายลงด้วยประกาศและอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนับเมื่อปี พุทธศักราช 2514/15


จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ
ข้าราชการบำนาญ
//www.petitiononline.com/siam2007/petition.html


 

โดย: 102 IP: 118.174.1.191 6 เมษายน 2551 14:05:58 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11765
บทความ: ทำไมถึงต้องแก้รัฐธรรมนูญ [ทั้งฉบับ]


ณัฐกร วิทิตานนท์
เชิงอรรถ

[1] ทว่าก็อาจเกิดข้อถกเถียงได้ว่า สำหรับสังคมการเมืองไทยหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะยิ่งหากรัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยสูงเท่าใดก็ยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกยกเลิกได้อย่างง่ายดายรวดเร็วอยู่เสมอ นักศึกษาหลายๆ คนที่คิดในทำนองเช่นนี้ ก็มักจะเสนอว่ารัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดต้องมีความสอดรับกับวัฒนธรรมของผู้คนในสังคมการเมืองนั้นๆ ต่างหาก มันถึงจะอยู่ได้อย่างยั่งยืนสืบไป

[2] ดังเช่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2523 ซึ่งวินิจฉัยว่า “…เมื่อคณะปฏิวัติหรือคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติหรือหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินย่อมมีอำนาจที่จะออกประกาศหรือคำสั่ง อันถือว่าเป็นกฎหมายใช้บังคับแก่ประชาชนทั่วไปได้ แม้จะมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยออกประกาศใช้แล้วก็ตาม แต่หาได้มีบทกฎหมายยกเลิกประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิวัติหรือคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินไม่ ประกาศหรือคำสั่งนั้น จึงยังเป็นกฎหมายใช้บังคับอยู่...” สำหรับผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติม โปรดดู สมชาย ปรีชาศิลปกุล, “หลักนิติรัฐประหาร,” ฟ้าเดียวกัน ฉบับพิเศษ รัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน, 2550), หน้า 190-202.

[3] อ้างถึงใน ฟ้าเดียวกัน, ปีที่ 5 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2550, หน้า 1.

[4] อ้างถึงใน //blog.nationmultimedia.com/supalak/2008/03/11/entry-1

[5] ดังคำกล่าวว่า “forty eight stars triumph over five” ของประธานาธิบดีทรูแมนในการสั่งปลดนายพลแมกอาร์เธอร์ที่บังอาจท้าทายภาวะผู้นำของประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1951 ซึ่งเป็นการยืนยันความเหนือกว่าของผู้นำพลเรือนต่อทหาร อ้างถึงใน ติน ปรัชญพฤทธิ์, ศัพท์รัฐประศาสนศาสตร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 254










--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 5/4/2551

 

โดย: 103 IP: 118.174.1.191 6 เมษายน 2551 14:26:27 น.  

 

//www.thaibja.org//index.php?option=com_content&task=view&id=654&Itemid=1
เลขากทช. ยัน จัดสรรคลื่นวิทยุโทรทัศน์ตามกฎหมายใหม่
มุ่งสร้างกติกาให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ภายใต้คลื่นที่มีจำกัด ส่วนภาคประชาชน ไม่เชื่อมั่นการใช้อำนาจของภาครัฐ



สว.สายสื่อ ยอมรับกฎหมายวิทยุโทรทัศน์ ยังไม่สมบูรณ์ แต่เจตนาหลักคือการเปิดเสรี เรียกร้อง กทช. ที่ทำหน้าที่ชั่วคราว ดึงคลื่นรัฐและกองทัพกลับมาจัดสรรใหม่อย่างเป็นธรรมโดยเร็วที่สุด เพื่อปลดล็อคการผูกขาดการใช้คลื่นวิทยุโทรทัศน์



วันนี้ (1 เม.ย. 51) คณะทำงาน 6 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ร่วมกับเครือข่ายวิทยุเพื่อการศึกษา ได้จัดการเสวนา เรื่อง "อนาคตวิทยุโทรทัศน์ไทย หลังกฎหมายใหม่ใช้บังคับ" เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสาระสำคัญในกฎหมายสำคัญที่จะใช้ในการกำกับดูแลจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์คือ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ซึ่งได้ประกาศใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 ที่ผ่านมา


นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา และอดีตรองประธานคนที่ 1 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เล่าเบื้องหลังของการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ว่าเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องเกี่ยวข้องกับกลุ่มผลประโยชน์หลายกลุ่ม ทั้งอำนาจรัฐ ข้าราชการ และกลุ่มทุนธุรกิจ แม้กฎหมายฉบับนี้จะมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง เช่น สัมปทานในกลุ่มผู้ประกอบการวิทยุโทรทัศน์เดิม ซึ่งบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญใหม่ ปี 2551 ได้ระบุความคุ้มครองไว้ ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้ จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัมปทานเดิมที่ได้ให้ไว้แล้ว แต่มีเป้าหมายคือ ดำเนินการสำหรับกลุ่มที่จะเกิดขึ้นใหม่ เปิดโอกาสให้ภาคประชาชน ผู้ประกอบการรายเล็กและย่อย ได้เข้าถึงและใช้คลื่นความถี่ได้กว้างขวางมากขึ้นโดยมีสาระสำคัญคือ การแบ่งประเภทกิจการเป็น กิจการวิทยุโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่ และไม่ใช้คลื่นความถี่ ซึ่งในกลุ่มใช้คลื่นความถี่ ได้แยกประเภท ใบอนุญาตประกอบกิจการบริการสาธารณะ บริการชุมชนและ และบริการธุรกิจ และยังแยกย่อยขนาดธุรกิจให้มีความหลากหลาย ทั้งระดับชาติ ภูมิภาคและจังหวัด ดังนั้น คลื่นความถี่ที่ปัจจุบันเป็นของหน่วยงานรัฐ กองทัพ รัฐวิสาหกิจและราชการ ก็สามารถดึงคลื่นความถี่ที่เกินจำเป็นกลับคืนมาจัดสรรใหม่ได้ทันที



ส่วนในกลุ่มกิจการไม่ใช้คลื่นความถี่ เช่น เคเบิล ดาวเทียม และเทคโนโลยีใหม่ มีหลักคิดสำคัญ คือการเปิดเสรี แทนการผูกขาดในปัจจุบัน (ซึ่งมีใบอนุญาตจำกัด ทำให้เกิดเคเบิลทีวีเถื่อนจำนวนมาก) นอกจากนี้ กฎหมายยังระบุเวลาให้ใบอนุญาตวิทยุไม่เกิน 7 ปี โทรทัศน์ไม่เกิน 15 ปี เพื่อแก้ปัญหาเดิมคือ ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงในการทำธุรกิจ เพราะระยะเวลาสัมปทานไม่แน่นอนในวิทยุ แต่กลับมีการผูกขาดระยะยาวในโทรทัศน์


"การสัมปทานคลื่นวิทยุปัจจุบัน มีความเสี่ยงมาก ผมทำวิทยุ ถูกถอดทุกปี ถูกขู่ทุกปี และมีโทรศัพท์จากทำเนียบรัฐบาล จากทหารยศพันเอก พลเอก แจ้งผู้คุมรายการว่าจะทบทวนสัมปทาน ไม่มั่นคงก็วางแผนธุรกิจล่วงหน้าไม่ได้ แต่โทรทัศน์ ผู้รับสัมปทานบางช่อง กลับอยู่ได้ยาวนานเป็น20-30 ปี ต่อสัญญาใหม่ทั้งๆที่สัญญาเก่ายังไม่หมด ...... กฎหมายนี้ เกิดขึ้นด้วยเจตนาที่ต้องการแก้ไขปัญหาเก่า ที่สั่งสมมานาน ผมเชื่อเรื่องเสรีภาพสื่อที่หลากหลาย และการกระจายคลื่นความถี่ให้กว้างขวาง ยังอยากเห็นวิทยุเพื่อการศึกษาเกิดขึ้นมากๆ ซึ่งก็ต้องมีการจัดสรรคลื่นความถี่กันใหม่ และเชื่อว่า ปฏิวัติจะไม่เกิดขึ้นอีก หากสื่อไม่ถูกปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร "


นายสมชายยังกล่าวด้วยว่า ในช่วงสุญญากาศ ที่องค์กร กสทช. ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้มีการสวมรอยทางธุรกิจจากกลุ่มผลประโยชน์มากมาย ซึ่งเป็นปัญหามาก จึงอยากเรียกร้องให้ประกาศตัวเองอย่างชัดเจนว่า ต้องการใช้คลื่นความถี่เพื่ออะไร

"ตอนนี้ กิจการวิทยุที่เกิดใหม่ จำนวนมาก กว่า 4 พันสถานี เป็นอีแอบ มีกลุ่มทุนที่แฝงตัวมาทำธุรกิจภายใต้ชื่อวิทยุชุมชน หากอยากทำธุรกิจก็ประกาศตัวไปเลย ยืนยันการทำธุรกิจและส่งเงินเข้ากองทุน ไม่ใช่เป็นอีแอบในการฉกฉวยประโยชน์โดยอ้างชุมชน และเปิดเพลงจากค่าย หรือโฆษณากันอย่างโจ่งแจ้งแบบที่เกิดขึ้นในขณะนี้ วิทยุชุมชนจะได้ทำงานเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง"




ด้านนาย กฤษณพร เสริมพานิช รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งได้มีบทบาทตั้งแต่ครั้งเป็นผู้อำนวยการ กองงาน กกช. กรมประชาสัมพันธ์ และเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสื่อ กล่าวว่า กรมประชาสัมพันธ์ เคลื่อนไหวเรื่องกฎหมายนี้ ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับรวมทั้ง พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ. 2543 จึงเห็นปัญหาต่างๆ มากและเห็นความต้องการไม่ลงตัวของกลุ่มต่างๆ อย่างไรก็ตามเห็นว่าผู้เกี่ยวข้องมี 2 กลุ่มคือ ภาครัฐและเอกชน ส่วนกลุ่มภาคประชาชนและชุมชนเข้ามาภายหลังกรมประชาสัมพันธ์ ได้เริ่มเดินสายในการพบปะประชาชนกลุ่มต่างๆ ทำความเข้าใจเรื่องกฎหมาย และสอบถามความต้องการของภาคประชาชนโดยใช้เวลาประมาณ 2 ปี

รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ เกิดขึ้นโดยรากฐานยังไม่แข็งแรงเพียงพอ เพราะ

พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ. 2543 ยังไม่ถูกแก้ไขให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญใหม่ที่ระบุให้มีองค์กรกำกับดูแลเพียงองค์กรเดียว คือ กสทช.(ในขณะกฎหมายเดิม แยกเป็นสององค์กร คือ กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ- กสช. และกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ - กทช.)


สิ่งสำคัญที่ต้องทำต่อไป คือต้องสร้างเวทีเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ และเปิดพื้นที่ให้สำหรับคนหน้าใหม่ด้วย สำหรับแนวทางปฏิบัติในการสร้างสื่อเพื่อพัฒนาสังคม รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เห็นว่ายังอีกไกล เพราะกฎหมายนี้ ยังเน้นเรื่องเทคนิคและเทคโนโลยี จึง อาจล้าสมัยไปแล้วเรื่องเทคโนโลยี สิ่งที่ขาดไป คือการพูดเรื่องการพัฒนาและสร้างคน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการปฎิรูปสื่อ คือเรื่องจรรยาบรรณ และการพัฒนาคุณภาพคนทำสื่อ การกำกับดูการทำงานของสื่อ หากสิ่งนี้ยังไม่เกิด ก็ยังไม่สามารถใช้สื่อได้อย่างเต็มที่


ทั้งนี้กรมประชาสัมพันธ์ ได้รับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ไปก่อนจนกว่าจะมีแผนแม่บทวิทยุโทรทัศน์ ตามกฎหมายนี้ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ห้ามโฆษณา ซึ่งกรมประชาสัมพันธ์ ก็ต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อให้สามารถดำเนินกิจการได้ต่อไป อีกเรื่องที่ต้องปรับตัว คือ บุคลากร เดิมกรมประชาสัมพันธ์ ให้คนนอกมาเช่าเวลาประกอบกิจการ แต่เมื่อรัฐบาลมีนโยบายดึงคลื่นมาทำเอง ก็ต้องบริหารจัดการกันใหม่


" กรมประชาสัมพันธ์ ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะต่อไป นโยบาย คือ การลดเงินงบประมาณ ลดจำนวนบุคลากร แต่กลับมีแนวทางให้เพิ่มสถานี ทำให้ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างกว้างขวางทั่วถึงมากที่สุด จึง เป็นโจทย์ที่ยากและท้าทายมาก ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า ที่จริงแล้ว การประกอบกิจการ ควรต้องตีโจทย์ให้ชัด

ว่าการจัดสรรคลื่นทำเพื่ออะไร แบ่งเป็นรายการ เช่น เพื่อความมั่นคง เพื่อการศึกษา ควรมีสัดส่วนเนื้อหารายการตามเป้าหมายของสถานี กี่เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจะโฆษณาหารายได้อย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา"


รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องการมาขอรับใบอนุญาตการใช้คลื่นความถี่ ต้องเตรียมตัวหลายเรื่อง ทั้งการศึกษาข้อมูล หาความรู้ การเตรียมเรื่อง งบประมาณ และบุคลากร รวมทั้งพร้อมรับการแข่งขันที่จะมีสูงมากในอนาคตด้วย


ส่วนนาย จรัล พากเพียร คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การประกอบกิจการฯ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งได้ร่วมกับเครือข่ายได้เดินทางไปรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพบว่า ภาคประชาชน วิทยุชุมชน และเครือข่าย มีความห่วงใยในกฎหมายนี้หลายประเด็น โดยเรื่องหลักคือ การไม่เชื่อใจ และไม่เชื่อมั่นวิจารณญาณของคณะกรรมการที่จะมากำกับดูแล ว่าพิจารณาเรื่องต่างๆ ด้วยความเที่ยงธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ


" หลายประเด็น คนไม่เห็นด้วย เช่น มาตรา 37 ที่ให้อำนาจคณะกรรมการสั่งการด้วยวาจาเพื่อระงับรายการกรณีที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ มีการกระทำอันเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือทำให้เกิดความเสื่อมต่อประชาชน หรือกรณี มาตรา 35 ที่คณะกรรมการขอความร่วมมือให้ มีรายการเพื่อภัยพิบัติ ที่ประชุมเห็นว่า ถ้อยคำกินความหมายกว้างเกินไป เพราะหากเกิดภัยพิบัติ ผู้จัดรายการทุกคนก็ยินดีให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่หากอ้างเหตุการณ์รัฐประหาร ผู้รับใบอนุญาต จะไม่ยอมรับสัญญาณถ่ายทอดได้หรือไม่ เป็นต้น ภาคประชาชนห่วง การเลือกปฏิบัติ และการแทรกแซงสื่อจากหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีเรื่อง การเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้คลื่นความถี่เพื่อบริการสาธารณะ ซึ่งซ้ำซ้อนกัน


นอกจากนี้ ภาคประชาชน ห่วงใยเรื่องบทกำหนดโทษ ซึ่งไม่ได้แยกตามขนาดการประกอบกิจการและไม่สัมพันธ์กับความเสียหายที่เกิดขึ้น อีกทั้งกฎหมาย ไม่ได้แตะต้องกลุ่มผู้รับสัมปทานเดิม ทำให้เห็นว่า ไม่ได้แก้ปัญหาการผูกขาดคลื่นความถี่ ที่มีอยู่เดิมอย่างแท้จริง


นายสมชาย ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่เป็นข้อจำกัดทำให้สาระไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร เช่น เรื่องสัมปทานเดิม ซึ่งทำไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญใหม่คุ้มครองไว้ ส่วนอำนาจของกรรมการทั้งเรื่องความมั่นคงของรัฐ เรื่องลามกอนาจาร และภัยพิบัตินั้น มีบันทึกเจตนารมณ์ของกฎหมายไว้ว่า ระดับใดและความรุนแรงอย่างไรที่คณะกรรมการจึงจะใช้อำนาจนั้นได้ ไม่ได้ให้ใช้อำนาจโดยพร่ำเพรื่อ ส่วนบทลงโทษ ที่กำหนดขั้นสูงสุดไว้ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 ล้านบาทนั้น เป็นการเปิดช่องให้ผู้พิพากษาและกระบวนการยุติธรรม ได้ใช้ดุลพินิจ ซึ่งอาจไม่ต้องโทษจำคุกเลยก็ได้ จะดีกว่า การกำหนดบทลงโทษขั้นต่ำ ซึ่งหมายความว่า ศาลต้องตัดสินลงโทษ ไม่น้อยกว่าโทษที่กฎหมายกำหนด



ด้านนายสุรนันทน์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า ตามบทเฉพาะกาลกฎหมายฉบับนี้ กทช. จะต้องเป็นฝ่ายเลขาฯ ชั่วคราวในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์อันมีผู้แทนจากหลายภาคส่วนมาร่วมกันกำหนดสาระสำคัญ ในการกำกับดูแลกลุ่มวิทยุชุมชนและกิจการไม่ใช้คลื่นความถี่ ขณะนี้รอคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ครม.ต้องแต่งตั้ง เพื่อเป็นอนุกรรมการวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งยังไม่มีคำตอบกลับมา

สำหรับระยะเวลาที่กทช. ต้องทำงาน ยังไม่แน่นอน อยู่ในช่วงระหว่าง 6 เดือน - 2 ปี


เลขาธิการ กทช. กล่าวว่า ภารกิจหลักขณะนี้คือ การเตรียมการ และสร้างกฎกติกาให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ เป็นการทำงานภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัด เช่น

1. แผนจัดสรรคลื่นความถี่ จะเกลี่ยให้เกิดความเป็นธรรมและทั่วถึงได้อย่างไร วิธีการในการดึงคลื่นความถี่กลับคืนมาจัดสรรใหม่ ต้องทำอย่างไร


2. การใช้คลื่นความถี่ที่จัดสรรใหม่อย่างไร จะสร้างกฎกติกาอย่างไร จะสร้างมาตรฐานเครื่องส่ง และกำกับดูแลอย่างไร


ขณะนี้ ยังมีข้อจำกัดในทางเทคนิคหลายประการ เช่น จำนวนคลื่นความถี่มีจำกัด แต่ในเวลาเดียวกัน เทคโนโลยีใหม่ก็เข้ามามากมาย ในระบบดิจิตอล ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบ

ที่สำคัญ แม้จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งกรมประชาสัมพันธ์จะต้องส่งมอบงานที่กกช. เคยดูแลมาให้ ก็ต้องเป็นการทำงานร่วมกัน และเมื่อได้คณะอนุกรรมการฯ มาแล้ว ก็จะต้องเปิดเวทีสัมมนา อภิปราย เพื่อ เปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มได้แสดงความเห็น กทช. ในฐานะฝ่ายเลขาฯ จะยังไม่แตะในประเด็นที่ใหญ่ ซึ่งเป็นภารกิจที่ คณะกรรมการ กสทช. จะต้องเป็นผู้ดำเนินการ


" ใบอนุญาตชั่วคราว หากจะพิจารณาออก ก็ต้องมั่นใจว่า จะไม่เป็นปัญหาต่อในอนาคต ดังนั้น งานทุกอย่างที่กทช.จะทำในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ต้องไม่สร้างปัญหาในอนาคต เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อหลายฝ่าย กทช.คงไม่ทำงานเพียงลำพัง"



หลังจากนั้น ที่ประชุมเปิดเวทีให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แลกเปลี่ยนความเห็นอย่างกว้างขวาง รศ. จุมพล รอดคำดี จากสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านขณะนี้ มีปัญหาที่ยังไม่ถูกพูดถึง คือ ผู้ประกอบการวิทยุและโทรทัศน์ เดิม จะต้องทำอย่างไรในเรื่องของสัญญาสัมปทาน ซึ่งกำลังจะหมดอายุ ใครจะเป็นผู้ดูแลต่อ หรืออนุญาตให้ประกอบการเช่นเดิมต่อไป หากเป็นเช่นนี้ จะผิดกฎหมายหรือไม่

ยังไม่รวมถึงการระบุเรื่อง การกำกับดูแลสื่อมวลชนให้ปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ สิ่งสำคัญคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนทั่วไป จะมีโอกาสเข้าถึงและใช้คลื่นความถี่ได้อย่างกว้างขวาง และจำเป็นต้องพูดถึง การจัดการคลื่นความถี่ที่มีอยู่เดิมว่าจะจัดอย่างไรให้ลงตัว และทุกคนได้ใช้


นางสาวนันทพร เตชะประเสริฐสกุล จากมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ว่า หลายประเด็นที่ภาคประชาชนยังมีความเคลือบแคลงใจ เช่นการกำหนดใบอนุญาตให้กับกิจการบริการสาธารณะ เพื่อความมั่นคงฯ สามารถหารายได้ ทำให้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นเรื่องความโปร่งใส อีกทั้งไม่แตะต้องผู้รับสัมปทานเดิม จึงอยากเรียกร้องให้จับตามองประเด็นเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

นายวิชิต สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประมาณปี 2547 กรมประชาสัมพันธ์ ได้ทำสัญญาให้เคเบิลทีวีที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าร่วมเครือข่าย แต่กลับถูกกฤษฎีกา ตีความว่าไม่สามารถดำเนินการได้เพราะผิดกฎหมาย

วิทยุชุมชนและเคเบิลทีวีที่ไม่มีใบอนุญาต อยู่ในสถานะอะไร ในช่วงเปลี่ยนผ่าน นอกจากนี้

การออกใบอนุญาตชั่วคราวระยะเวลา 1 ปี จะทำให้เกิดการขอใบอนุญาตอย่างไม่จำกัด ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหาตามมา เช่น เคเบิลทีวี ก็ต้องขอลากสายพ่วงกับการไฟฟ้าในปริมาณมหาศาล และเกี่ยวพันกับการสั่งสินค้านำเข้า ซึ่งอาจเกิดโอกาสขาดดุลการค้าได้ จึงต้องพิจารณาหลักเกณฑ์กติกาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง


นายวิชิต แสดงความเป็นห่วงในการเปิดเสรีกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ว่าอาจเป็นความเสี่ยงให้ทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจและครอบงำกิจการ จึงต้องจับตามองเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพราะแม้กฎหมายระบุว่าต้องมีคนไทย สัดส่วน 2 ใน 3 ก็ไม่อาจรับประกันการเป็น นอมินี นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องทุนใหญ่จากส่วนกลางจะทำให้โอกาสการแข่งขันจากทุนขนาดเล็กในท้องถิ่น เสียเปรียบ



คณะทำงาน 6 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ประกอบด้วย

สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย

นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย

สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 

โดย: 104 IP: 118.174.1.191 6 เมษายน 2551 14:39:53 น.  

 

ด้วยวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะจัดงาน “The 14th PPC Symposium on Petroleum, Petrochemicals, and Polymers” ในวันที่ 23 เมษายน 2551 ณ ห้อง Sasin Holl ชั้น 9 อาคารศศปาฐศาลา สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเสนอผลงานวิจัยของนิสิตหลักสูตรวิทยศาสตรมหาบัณฑิตนานาชาติ สาขาเทคโนโลยีปิโตรเลียม เทคโนโลยีปิโตรเคมี และวิทยาศาสตร์พอลิเมอร์ ภายในงานมีการบรรยายพิเศษโดย “ดร.วิโรจน์ มาวิจักขณ์” กรรมการอำนวยการบริษัทไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) และยังมีการจัดแสดงผลงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อสังคมและสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไปได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0-2218-4113-4

chaiyaphan1977@yahoo.com

 

โดย: 105 IP: 118.174.1.191 6 เมษายน 2551 15:13:43 น.  

 

//www.vcharkarn.com/vservice/showkratoo.php?Pid=1109
ขอเชิญร่วมงานครั้งสำคัญ “พิธีสวดมหากรุณาธารณีสูตรถวายพระพรองค์ราชัน” เป็นการสาธยายมนต์ประกอบธรรมคีตะจีนโบราณ แบบมหายานที่มีความไพเราะและศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง และ “นิทรรศการกฤษฎาบารมีธรรมพระโพธิสัตว์กวนอิม”เพื่อเผยแผ่พระบารมีธรรมของพระโพธิสัตว์กวนอิม ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเสริมสวัสดิมงคลแก่ประเทศชาติ

พบกับประติมากรรมงานปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม 33 ปางที่งดงามและหาชมได้ยาก, งานจิตรกรรมชุดพระโพธิสัตว์กวนอิม 108 ปาง จากฝีมือของจิตรกรเอกชาวจีน ซือ จิน ฮุย ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่วาดภาพของพระโพธิสัตว์กวนอิมได้งดงามที่สุดมาจัดแสดง นอกจากนั้นยังจะได้ฟังบรรยายธรรมจาก พระเถระซินติ้ง พระเถราจารย์ฝ่ายมหายานผู้มีชื่อเสียงที่เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อบรรยายธรรม ในหัวข้อ “ พระบารมีธรรมพระโพธิสัตว์, การสนทนาธรรม , การแสดงสรรเสริญพระบารมีธรรมพร้อมจุดเทียนถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเพื่อสวัสดิมงคลแก่ประเทศ

งานจะจัดขึ้นเพียงวันเดียว คือ ในวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2551 ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดี-รังสิต ผู้ที่สนใจสามารถมาชมนิทรรศการ ร่วมสวดมนต์ตามหนังสือที่มีคำอ่านภาษาไทยกำกับ ทั้งยังสามารถเข้าใจความหมายของมนต์ที่สวดจากบทแปล เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและความร่มเย็นเป็นสุขของประเทศชาติ นับเป็นการเสริมสิริมงคลให้แก่ตนเองและครอบครัวในการเริ่มต้นปีใหม่ของไทยได้เป็นอย่างดี

งานนี้จัดโดยมูลนิธิส่งเสริมพุทธศาสนาเพื่อสังคม ในพระสังฆราชูปถัมภ์ และ มูลนิธิแสงพุทธธรรม ร่วมกับ กรมกิจการพลเรือนทหารบก ผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรมหรือชมงานสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิส่งเสริมพุทธศาสนาเพื่อสังคม ในพระสังฆราชูปถัมภ์โทร. 0 2645 0598 ,08 1596 2365 และ //www.guanyin-exh2008.com

nawaporn.su@yahoo.com

 

โดย: 106 IP: 118.174.1.191 6 เมษายน 2551 15:22:55 น.  

 

//www.vcharkarn.com/vnews/
การเรียกร้องการพัฒนาระบบโทรศัพท์ของคนหูหนวกในประเทศอังกฤษ โดย nonne@nutch
วิธีการที่ช่วยให้คนที่เกษียณหรือผู้สูงอายุแล้วรู้สึกดีเมื่อจะใช้งานคอมพิวเตอร์ โดย nonne@nutch
การดื่มกาแฟวันละแก้ว ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ โดย ว่านเจ้าขา
“ขิง” อาจช่วยรักษาโรคมะเร็งรังไข่ (ธัญญวรรณ)
เตือน!! พิษของพลาสติกต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล โดย gik_ravicha

 

โดย: 107 IP: 118.174.168.209 6 เมษายน 2551 16:18:13 น.  

 



ใบตอบรับ
การเข้าร่วมงานวันผู้สูงอายุ และวันครอบครัว
วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๑ เวลา ๐๘.๐๐-๑๓.๐๐ น.
ณ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

ชื่อ (นาย/ นาง/ นางสาว/ อื่นๆ) ……………………………………………..……..……..สกุล………………………………….……………………
ตำแหน่ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………....
หน่วยงาน/ ที่อยู่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………..………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……
โทรศัพท์ ……………………………………………………………..โทรสาร …………………………………………………………………………….…

เข้าร่วมงานได้ และมีผู้ติดตามจำนวน ………………… คน ได้แก่
๑) ………………………………………………………..… ๒) …………………………………………………………….………
๓) ………………………………………………………..… ๔) …………………………………………………………….………
๕) ………………………………………………………..… ๖) …………………………………………………………….………
๗) ………………………………………………………..… ๘) …………………………………………………………….………
๙) ………………………………………………………..… ๑๐) …………………………………………………………….………

ไม่สามารถเข้าร่วมงานได้
ไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ และขอส่งผู้แทนจำนวน …………………..คน
๑) ………………………………………………………..… ๒) …………………………………………………………….………
๓) ………………………………………………………..… ๔) …………………………………………………………….………
๕) ………………………………………………………..… ๖) …………………………………………………………….………
๗) ………………………………………………………..… ๘) …………………………………………………………….………
๙) ………………………………………………………..… ๑๐) …………………………………………………………….………


หมายเหตุ : ๑. กรุณาส่งใบตอบรับภายในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๑ ทางโทรศัพท์หมายเลข ๐-๒๔๔๑-๐๖๐๒-๘ ต่อ ๑๐๐๐
หรือทางโทรสาร หมายเลข ๐-๒๔๔๑-๐๑๖๗ หรือทางอีเมลล์ pung_ad@yahoo.com
๒. หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ คุณกชกร วรรณนิตย์ โทรศัพท์ ๐-๒๔๔๑-๐๖๐๒-๘ ต่อ ๑๐๐๐














 

โดย: 109 IP: 118.174.168.209 6 เมษายน 2551 16:53:59 น.  

 

//www.cf.mahidol.ac.th/images/app_10year.doc
ใบสมัครการประชุมวิชาการ
เรื่อง กระบวนทัศน์ใหม่เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในทศวรรษหน้า
วันเสาร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ณ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว”
****************************
กรุณาเขียนตัวบรรจงหรือพิมพ์
๑. ชื่อ-สกุล (นาย/นาง/นางสาว).........................................................................................................................
๒. สถานที่ทำงาน.......................................................... ...................................................................................
๓. ที่อยู่ปัจจุบัน เลขที่...........................ซอย...........................................ถนน...................................................
ตำบล..................................................อำเภอ.......................................จังหวัด............................................
รหัสไปรษณีย์.......................โทร........................................................มือถือ..............................................
โทรสาร ……………………………………… E-mail-Address...............................................................๔. สมัครเข้าร่วมประชุมวิชาการ และประสงค์เข้าร่วมประชุมปฏิบัติการ (กรุณาใส่หมายเลขเรียงตามลำดับความสนใจ)
 ช่วงแรก ............ดนตรี ขนมหวาน อาหารสมองสำหรับเด็ก (๔๐ คน) .........หนังสือเล่มแรก
..........เส้นสีสื่อสาร (๔๐ คน)
..........ของเล่นเป็นสุข (๕๐ คน)
 ช่วงที่สอง ..............เด็กปลอดภัยไร้ความเสี่ยง
..........ศาสนาใกล้ใจ
..........เสริมทักษะชีวิตเด็กพิเศษด้วยการเล่น (๖๐ คน)
..........เฝ้าดูและเรียนรู้ (๔๐ คน)
๕. การชำระเงิน
 โอนเงินเข้าบัญชี “ม.มหิดล เงินค่าลงทะเบียนการประชุมวิชาการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนา
เด็กและครอบครัว”
 ธนาณัติ ปณ.พุทธมณฑล สั่งจ่าย นางสาวชัชชนัน เทพพานิช
 ๘๐๐ บาท (ภายใน ๑๒ พ.ค. ๕๑)  ๑,๐๐๐ บาท
๖. การรับประทานอาหาร  ปกติ  มุสลิม  มังสวิรัติ

ลงชื่อ.............................................ผู้สมัคร
............/............./................

กรุณาส่งใบสมัคร พร้อมหลักฐานการโอนเงินค่าลงทะเบียนทางอีเมลล์ pung_ad@yahoo.com

หมายเหตุ :
กรุณาโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามหาวิทยาลัยมหิดล บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ ๓๓๓-๒๒๕๐๘๙-๐ ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยมหิดล เงินค่าลงทะเบียนการประชุม วิชาการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว * หากท่านโอนเงินเรียบร้อยแล้ว กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงินทางธนาคาร/ธนาณัติพร้อมใบสมัครมาที่โทรสาร ๐-๒๔๔๑-๐๑๖๗ หรือทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ของสถาบันฯ ภายในวันที่ ๑๖ พ.ค.๕๑

* สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐-๒๔๔๑-๐๖๐๒-๘ ต่อ ๑๐๐๐ คุณกชกร หรือ ต่อ ๑๓๐๗ คุณสิริวรรณ


 

โดย: 110 IP: 118.174.168.209 6 เมษายน 2551 17:08:02 น.  

 

๏ ข่าวดีสำหรับคนที่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับในมรดกโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร ตอนนี้องค์การยูเนสโกร่วมกับกรมศิลปากรเปิดตัวเว็บไซต์แหล่งมรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชรแล้วอย่างเป็นทางการ รวมทั้งยังมีข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวก ผู้ที่สนใจไปเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ //www.archaeological-data.go.th/Website/HTM/ index.htm

 

โดย: 111 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 17:32:48 น.  

 

วันที่ 07 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10985

ข้ามเส้นของระบอบ

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์





อันที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในเมืองไทยที่จะแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ สมัยที่กองทัพกำกับควบคุมการเมืองโดยตรง ก็ทำอย่างนี้ตลอดมาตั้งแต่ต้นแล้ว หากมีส.ส.ประเภทสองอยู่ในสภา ก็แก้มาตราที่เป็นปัญหา หรือขยายบทเฉพาะกาล ถ้าคุมสภาไม่ได้ก็แก้ด้วยการรัฐประหารแล้วนำเอาฉบับที่ไม่เป็นปัญหามาใช้ หรือเขียนขึ้นใหม่

แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็เขียนขึ้นใหม่เพื่อแก้ปัญหาการเมืองเฉพาะหน้า

แต่ความพยายามจะแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่น เพราะทหารไม่ได้อยากให้แก้ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งต่างหากที่ต้องการแก้ เพื่อหลบหลีกปัญหาทางการเมืองของตนเอง

ซ้ำโดยทางทฤษฎีเป็นอย่างน้อย นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็สามารถแก้ได้ด้วย เพราะมีคะแนนเสียงในสภาเพียงพอ

ผมไม่ทราบว่า กองทัพมีท่าทีต่อการแก้รัฐธรรมนูญของนักเลือกตั้งอย่างไร แม้มีทหารบางคนออกมาให้สัมภาษณ์เชิงคัดค้านต่อต้าน อันที่จริง "กองทัพ" ในฐานะสถาบันที่มีความเห็นทางการเมืองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันยังมีอยู่หรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

เป็นอีกก้าวหนึ่งในหนทางที่ระบอบเลือกตั้งสถาปนาตนเองขึ้นครอบงำการเมืองในฐานะระบอบนำได้สูงสุด และเริ่มแสดงผลให้เห็นว่าการเมืองภายใต้ระบอบเลือกตั้งจะมีลักษณะอย่างไร

น่าสังเกตว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ แม้ได้ผ่านประชามติ แต่ก็มีผู้ที่เห็นว่าควรแก้ไขปรับปรุงอยู่มาก เป็นความเห็นจากหลายฝ่ายด้วย แม้แต่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้บางคนยังอ้อนวอนให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญในการทำประชามติว่ารับๆ ไปก่อนแล้วค่อยแก้ไขเอาในภายหน้า

พูดง่ายๆ ก็คือเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ค่อยมีแฟน

ฉะนั้นจึงน่าจะง่ายมากแก่นักเลือกตั้งที่อยากแก้ปัญหาการเมืองส่วนตัวด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ เพียงแต่ต้องไม่ใช้วิธีบุ่มบ่าม หักด้ามพร้าด้วยเสียงข้างมากในสภา แต่สร้างกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญซึ่งสังคมโดยรวมยอมรับได้ บริหารจัดการด้านประชาสัมพันธ์ให้ดี เพื่อแทรกประเด็นที่ตัวต้องการแก้เข้ามา ยอมประนีประนอมกับประเด็นที่ฝ่ายอื่นต้องการแก้ด้วย ทุกอย่างอาจออกมาราบรื่นกว่านี้ โดยไม่ต้องแสดงด้านหยาบของระบอบเลือกตั้งให้ปรากฏชัดเจนดังที่ทำกันอยู่

แต่ทุกอย่างมาติดที่เงื่อนเวลา เพราะคดีทางการเมืองของพรรคและบุคคล บังคับให้ต้องรีบแก้โดยเร็ว นักเลือกตั้งจึงต้องทำอย่างเดียวกับที่ทหารเคยทำมาแล้ว นั่นคือรัฐประหารหรือโหวตด้วยเสียงท่วมท้นของ ส.ส.ประเภทสอง

ข่าวทีวีบอกว่า วันที่เขียนบทความนี้ ส.ส.ของพรรค พปช.จำนวนหนึ่งจะเสนอญัตติแก้รัฐธรรมนูญแก่สภา ผมเดาไม่ถูกว่าสภาจะรับหลักการหรือไม่ และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ แต่เชื่อแน่ว่าหากสภารับ ก็จะเกิดความเคลื่อนไหวต่อต้านในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเขตเมือง

พลังที่จะเข้ามาต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญของนักเลือกตั้งครั้งนี้ น่าจะมาจากหลายฝ่าย แต่จะมีผลยับยั้งการแก้รัฐธรรมนูญด้วยกระบวนการรวบรัดเช่นนี้ได้หรือไม่ เดาไม่ถูก

ส่วนหนึ่งของกลุ่มนักวิชาการคงคัดค้าน แต่กลุ่มนี้ก็แยกออกเป็นหลายจำพวกเหมือนกัน บางจำพวกต้องการแก้รัฐธรรมนูญเหมือนกัน หากต้องใช้กระบวนการที่ "ชอบธรรม" กว่านี้ เช่น มีการถ่วงดุลนักเลือกตั้งในคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยคนฝ่ายอื่น (เช่น ตัวนักวิชาการเอง) ซึ่งเรียกกันว่า "ประชาชน" บ้าง บางจำพวก โดยเฉพาะที่มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ อยากให้ใช้ไปก่อน จนกว่าสังคมโดยรวมได้เรียนรู้ข้อบกพร่องจากประสบการณ์จริง แล้วค่อยคิดแก้ไข

กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ภาคประชาชน" อันประกอบด้วยเอ็นจีโอ, นักเคลื่อนไหวอิสระ, และผู้นำชาวบ้าน ก็น่าจะออกมาคัดค้านเช่นกัน แต่ก็คงเช่นเดียวกับนักวิชาการ คือมีความเห็นแตกต่างกันไปได้หลายอย่าง แต่โดยรวมๆ แล้วคงจะมุ่งไปที่มาตราซึ่งประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนและการตรวจสอบอำนาจฝ่ายบริหารโดยประชาชน บางฝ่ายของกลุ่มนี้จึงอาจสนใจ "กฎหมายลูก" มากกว่า เพราะมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญนั้นจะมีผลจริงได้ก็ต้องมีกฎหมายอื่นบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตาม บางฝ่ายอาจต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราเหล่านี้ให้ชัดจนมีผลปฏิบัติจริง บางฝ่ายอาจมุ่งไปที่กฎหมายซึ่งออกภายใต้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อันมีเนื้อหาละเมิดหรือเปิดทางละเมิดรัฐธรรมนูญอยู่ไม่น้อย

นักเลือกตั้งฝ่ายค้าน คงเห็นเป็นโอกาสอันดีที่มีกระแสคัดค้านต่อต้านรัฐบาลจากหลายฝ่าย เข้าร่วมการต่อต้านคัดค้านด้วย โดยตนเองหรือโดยเครือข่ายของตนหรือโดยทางลับ ในขณะเดียวกันก็ใช้มาตรการทางสภาทุกลูกเล่นที่รู้จัก เพื่อทำให้ความไม่ชอบธรรมในการแก้รัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาลปรากฏชัดขึ้น

แม้มีความพยายามจากฝ่ายรัฐบาลที่จะประนีประนอมกับฝ่ายทหาร เช่น ไม่ตรวจสอบการใช้งบฯลับของ คมช. แต่ก็ยังมีทหารบางคนที่ไม่อาจยอมรับการเถลิงอำนาจของระบอบเลือกตั้งได้ ย่อมสนับสนุนการคัดค้านต่อต้านของกลุ่มต่างๆ ทำให้กองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ใช้ไม่ได้แก่ฝ่ายใดเลย

ฝ่ายทุนก็แยกเป็นหลายพวก แม้ว่ารัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลของฝ่ายทุนโลกาภิวัตน์ก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุนไทยทั้งหมดเป็นทุนโลกาภิวัตน์ มีกลุ่มทุนที่เสียประโยชน์จากนโยบายโลกาภิวัตน์แบบทักษิณอยู่มาก บางกลุ่มรู้สึกว่าตัวถูกรังแกด้วยซ้ำ ทุนกลุ่มนี้ย่อมไม่ไว้วางใจรัฐบาลพรรค พปช.อย่างแน่นอน แม้แต่กลุ่มทุนที่เคยสนับสนุน ทรท.มาก่อน ก็อาจยังไม่วางใจ พปช.สนิทนัก เพราะ ครม.ของ พปช.ไม่เหมือน ครม.ของ ทรท. กล่าวคือไม่มีตัวแทนของกลุ่มทุนใดเข้ามานั่งร่วมด้วย เป็นการแบ่งเค้กกันของนักเลือกตั้งทั้งที่อยู่ในและนอกบ้านเลขที่ 111 โดยแท้ ฉะนั้นส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนคงให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งวางตัวเป็นกลาง หรืออย่างมากก็แสดงความวิตกห่วงใยต่อการเมืองที่ไม่ "นิ่ง"

แน่นอนคนชั้นกลางที่มีการศึกษารับไม่ได้ (อย่างที่เห็นในสื่อตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา) อาจยังไม่พร้อมจะไปนั่งตากยุงกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะตอบโต้ผู้ต่อต้านคัดค้านด้วยวิธีสามหาวและยโส (arrogant) มากน้อยเพียงใดด้วย จะหาอะไรน่ารังเกียจแก่คนชั้นกลางไทยยิ่งไปกว่าความสามหาวและอาวุโสของนักเลือกตั้งผู้ได้รับเลือกตั้งจากชนชั้นล่างไม่ได้ เพราะมันเตือนให้คนชั้นกลางสำนึกได้ว่า อำนาจทางการเมืองที่ตัวเคยมีกำลังจะหมดไปในระบอบเลือกตั้งซึ่งกำลังเข้ามาแทนที่ระบอบกึ่งเลือกตั้งกึ่งอำมาตยาธิปไตย

ในภาวะที่สับสนวุ่นวายทางการเมืองข้างหน้านั้น อะไรจะเกิดขึ้น ผมเดาไม่ถูก เพราะความรู้เกี่ยวกับปัจจัยสำคัญทางการเมืองไทยบางตัวนั้นผมมีไม่พอ เพียงแต่เชื่ออย่างเดียวกับท่านนายกฯว่า ยังไม่มีแรงจูงใจเพียงพอแก่กองทัพที่จะทำรัฐประหารในช่วงนี้

อย่างไรก็ตาม กลุ่มต่อต้านคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองของ พปช.และพรรคร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ ล้วนไม่มีน้ำยาในชนบท การต่อต้านคัดค้านจึงจำกัดอยู่ในเมือง และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ (หลังลงโทษทางการเมืองแก่นายกฯ, หลังยุบพรรค, หลังรัฐประหาร หรือหลังอะไรก็ตาม) นักเลือกตั้งกลุ่มเดิมนี้จะกลับมาใหม่ ในนามของพรรคใดพรรคหนึ่ง แล้วก็จัดตั้งรัฐบาลใหม่อีก

การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ หากสามารถแก้ได้ตามประสงค์ ก็แสดงว่าการเมืองไทยได้ก้าวเข้าสู่ระบอบเลือกตั้งเต็มตัวแล้ว พร้อมทั้งแสดงใบหน้ากักขฬะของระบอบให้เห็นมาแต่ต้น หากแก้ไม่ได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ก็แสดงว่าระบอบเลือกตั้งและระบอบกึ่งเลือกตั้งกึ่งอำมาตยาธิปไตย ซึ่งนับวันก็ต้องเผยให้เห็นใบหน้ากักขฬะพอๆ กัน จะต้องเผชิญหน้ากันต่อไป

หน้า 6

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01070451&day=2008-04-07§ionid=0130

 

โดย: 112 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 17:43:03 น.  

 

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01lif05310351&day=2008-03-31§ionid=0132

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10978

สปสช.ปรับโครงสร้างใหม่ จ้างบุคลากรผู้พิการทำงาน



นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สปสช.อยู่ระหว่างการจัดทำแผนปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อรองรับงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายซึ่งเป็นภารกิจใหม่ และในอนาคตที่อาจจะต้องดูแลชนกลุ่มน้อยไร้สัญญาณที่อยู่ตามตะเข็บชายแดนไทย ประมาณ 7 แสนคนทั่วประเทศด้วย โดยหลักในการพิจารณาอัตราของบุคลากร ขึ้นอยู่กับงบประมาณ และภารกิจจะต้องไม่ทับซ้อนกัน ขณะนี้ สปสช.มีบุคลากรทั่วประะเทศประมาณ 600 คน เป็นข้าราชการ 400 คน และลูกจ้างอีก 200 คน ถือว่ายังขาดบุคลากรอีกร้อยละ 10 โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งปัจจุบันต้องประสานให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ช่วยดูแลให้ รวมถึงจะมีการเพิ่มบุคลากรที่เป็นผู้พิการทางร่างกายและสมองให้ได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด คือร้อยละ 12 ของบุคลากรทั้งองค์กร ซึ่งปัจจุบัน สปสช.มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้พิการแล้ว 3 ราย ซึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีเทียบเท่าคนปกติ

นพ.ประทีปกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สปสช.ยังมีการพิจารณาเพิ่มตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. อีก 1 ตำแหน่ง เพื่อมาทดแทน นพ.วินัย สวัสดิวร รองเลขาธิการ สปสช. ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ ซึ่งตำแหน่งรองเลขาธิการ สปสช.เป็นอำนาจการจัดการภายในของ สปสช.เอง โดยเบื้องต้นอาจจะมีการกำหนดคุณสมบัติ และทาบทามผู้เหมาะสม ต้องมีประสบการณ์งานบริหารองค์กร หรืออย่างน้อยต้องมีตำแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดี ทั้งนี้ จะพิจารณาปรับโครงสร้างดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนนี้ เพื่อให้ทันกับการเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552

หน้า 10


 

โดย: 113 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 17:55:22 น.  

 

//www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?id=863&catid=9
ครม.เงา'เลขที่111'ตัวจริง-ชัดเจน


































ผู้อ่านข่าว 7 คน วันที่ 07 เมษายน 2551 - เวลา 15:12:29 น.







ครม.เงา"เลขที่111"ตัวจริง-ชัดเจน
ขณะที่บทบาท"ครม.เงา"ของพรรคประชาธิปัติย์พยายามสร้างจุดขายใหม่ทางการเมืองด้วยการเลียนแบบระบบรัฐสภาฯอังกฤษที่ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ครม.เงาหรือ "ชาโดว์ คาบิเนต" เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตลอด2เดือนที่ผ่านมา ครม.เงาของประชาธิปัติย์ก็ยังทำหน้าที่ได้แค่ออกมาแถลงข่าวที่พรรคทุกบ่ายวันอังคาร ให้ความเห็นนโยบายต่างๆของรัฐบาลหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี เท่านั้น
พลัง และลำหักลำโค่นถือว่ายังไม่เข้าตาบรรดาแฟนานุแฟนเท่าใดนัก อาจเนื่องจากครม.เงาเป็นเรื่องใหม่ สำหรับสังคมไทย คนก็ยังไม่ให้ความสำคัญ ประกอบกับ รัฐบาลไม่เปิดกว้างที่จะให้ใช้สื่อของรัฐวิพากษ์วิจารณ์เหมือนกับที่"นายกฯสมัคร" ใช้พื้นทีสถานีโทรทัศน์ ช่อง11"โมเดิร์น อีเลฟเว่น" ออกมาชิมไปบ่นไป แขวะคนนั้นทีคนนี้ที ทุกเช้าวันอาทิตย์
แต่ที่สวนทางกับครม.เงาของประชาธิปัติย์ นั่นคือ บทบาทของสมาชิกบ้านเลขที่111 ทีถูกพักห้ามเล่นการเมือง 5ปีจากกรณียุบพรรคไทยรักไทย แต่ดูเหมือนว่า การสั่งยุบพรรคอาจจะเป็นผลดีกับสมาชิกบ้านเลขที่111หลายๆคน เพราะแม้ว่าตัวเองยังไม่สามารถเข้ามามีบทบาทในการบริหารประเทศได้ แต่ก็มีตัวแทน"นอมินี"เข้ามาทำหน้าทีแทนแบบชนิดทีเรียกว่า เป็นรัฐมนตรีหุ่นเชิด ตัวจริงเสียงจริง
บางคนเชิดภรรยา บางคนเชิดน้องชาย บางคนเชิดลูกน้องคนสนิท รัฐบาลนี้กลายเป็นรัฐบาลตัวสำรอง
นายกรัฐมนตรีเองก็เคยยอมรับว่าเป็น"นอมินี"ของอดีตนายกฯ ทุกวันนี้กำลังลบคำพูดตัวเองด้วยอากัปกริยาที่แสดงตนให้เห็นว่าไม่ได้เป็น"หุ่นเชิด"หรือนอมินีใคร แต่ทุกครั้งที่นายกฯตัวจริงเสียงจริงจะเอาอย่างไรก็ต้องยอมตาม อย่างทีรู้ๆกันอยู่ ว่าเสียงดังก็เฉพาะฉากหน้า แต่ฉากหลังก็ไม่ทิ้งบทบาท"นอมินี"อยู่ดี
คนในสังคมมัวแต่ฉายสปอร์ตไลท์ จ้องจับผิด"นายกฯนอมินี"จนลืมไปว่ารัฐมนตรีทั้งคณะก็ล้วนแต่นอมินี ด้วยกันทั้งสิ้น และหลายกระทรวง ครม.เงาตัวจริง ทำงานยิ่งกว่ารัฐมนตรี(นอมินี)เจ้ากระทรวงเสียอีก
ว่ากันว่า ตอนนี้ภาพนอมินีในหลายๆกระทรวงเริ่มชัดแจ๋ว บางคน(ตัวจริง)ทีมีคนในบ้านเดียวกันมาเป้น"รัฐมนตรีนอมินี"ถึงกับใช้บ้านพักเป้นทีทำงานแทนกระทรวง เรียกประชุมบรรดาข้าราชการในกระทรวงทุกวันพุธเพื่อสั่งงาน หากข้าราชการจะต้องรายงานความคืบหน้าของงานที่ได้รับมอบหมายก้ต้องไปรายงานที่บ้าน จะต้องมีรัฐมนตรีตัวจริงนั่งหัวโต๊ะคอยนั่งและสั่งงานอยู่ด้วย
บรรดาข้าราชการในกระทรวงนี้ ต้องทำงานสองแห่งพร้อมๆกัน ไหนจะต้องไปรายงานนาย(ตัวจริง)ที่บ้านแล้วยังต้องรายงาน"นายนอมินี"ที่กระทรวง
บางกระทรวงไม่ต้องรายงานที่บ้าน แต่จะเขียนใบสั่งให้รัฐมนตรีนอมินี สั่งงานตามใบสั่งที่มอบหมายทุกอย่าง เมื่อรัฐมนตรีนอมินีสั่งงานเสร็จก็ไม่เข้ากระทรวง ข้าราชการจะรายงานความคืบหน้าก็หาตัวไม่เจอ ต้องติดต่อไปนัดหมายรายงานกันที่บ้านในภายหลังทำให้ยุ่งยาก งานก็ล่าช้า
บางกระทรวงฉากหน้าให้รัฐมนตรีนอมินี ออกมาสั่งงานตามใบสั่ง แล้วเจื้อยแจ้วให้สื่อฟังเพื่อกลบเกลือนการทำงาน แต่รัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริงเข้าไปกระทรวงแอบจัดวางสรรพกำลังใหม่ เอาคนของตัวเองเข้าไป วางตามจุดต่างๆ กะว่าแม้พ้นกระทรวงนี้ไปก้ยังมีคนของตัวเองกุมกำลังสำคัญไว้
การเดินเกมรัฐมนตรีเงาเสียงจริงรายนี้ ถือว่าเนียนแบบไร้ตำหนิจริงๆ ภาพที่ปรากกสายตาคนทั่วไปอาจจะไม่สงสัยเพราะทั้งนอมินี ที่ไม่เคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อน ตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์ก้ไม่เคยเกียวข้องกับกระทรวงนี้ แต่มีมือดีทีเป้นพรรคพวกมานานหลายปีดีดัก คอยจัดวางเกมทุกอย่างให้
เลียบค่ายมาดูอีกกระทรวง ที่ถือเป็นกระทรวงใหญ่และสำคัญมากและเป็นกระทรวงปราบเซียนทีใครมาต้องตกม้าตาย อยู่ได้ไม่นานต้องเด้งจากเก้าอี้ ล่าสุด"นอมินี"เริ่มแผลงฤทธิ์ เมื่อมีการสอบบรรจุแต่งตั้งระดับผู้อำนวยการในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ 35ตำแหน่ง ผู้ทีสอบผ่านข้อเขียน 160คน แต่งานนี้มีการเมืองเข้าแทรกด้วยการ"ล็อคสเป้ค"เอาคนของตัวเองเข้ามาเสียบทั้งที่คุณสมบัติไม่ถึง
ทั้งหลายทั้งปวงเรื่องมาแดงเมื่อคนที่สอบได้เป็นแค่ข้ารชการกระดับซี.7 และไม่เคยผ่านงานบริหาร แต่คนที่เข้าสเป็คทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ เคยผ่านงานบริหารอย่างโชกโชนกลับไม่ผ่าน
จนมีเสียงเล่าลือว่า งานนี้"นายหญิง"เข้ามาจัดการเองทุกอย่าง รัฐมนตรีตัวจริงที่ก็ถือว่าเซียนคนหนึ่งยังต้องโค้งให้
แต่ใช่ว่าตัวจริง เสียงจริงที่อยู้เบื้องหลังจะสั่งการได้ตามอำเภอใจ หลายกระทรวงเริ่มมีรายการ"แข็งข้อ"ขึ้นมาบ้างแล้ว รัฐมนตรีนอมินีเหล่านี้จะไม่ใช่นอมินีจากสายเลือด แต่เป็นแค่คนสนิท เมื่อคนที่ชักใยอยู่ข้างหลังชักจะล้ำหน้าก็เริ่มอึดอัดจนแทบทนไม่ไหวหลายครั้งนำมาสู่ความขัดแย้ง และรอวันแตกหัก
นี่คือ เบื้องหลังการบริหารงานของรัฐบาลนอมินี







 

โดย: 114 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 18:03:11 น.  

 

เดิมพัน 'ทีวีสาธารณะ' ในอุ้งมือ 'พปช.'


































วันที่ 05 มีนาคม 2551 - เวลา 16:26:26 น.







ทวี มีเงิน




นอกจากคนใกล้ชิดหลายๆ คนที่รู้จัก ยังมีบทความหลายๆ บทความที่ผ่านตาในห้วงนี้ ต่างเอาใจช่วยเขียนเชียร์ทีวีสาธารณะกันยกใหญ่ ราวกับอัดอั้นตันใจกัน มานาน หลายๆ คนคงอยากจะเห็นสื่อทีวีบ้านเราเป็นสื่อทีวีสาธารณะจริงๆ เพื่อนๆ บางคนบอกว่า ลูกๆ ติดรายการสารคดีของ "ช่องทีพีบีเอส" กันงอมแงม ยังถามพ่อว่าที่บ้านเราติดยูบีซีตั้งแต่เมื่อไหร่

ขนาดคนใกล้ตัวอย่างเจ้าลูกชายผมสองคนแต่ก่อนติดเกมโชว์ ละครน้ำเน่า แต่ตอนนี้ติดรายการสารคดี ดูได้ไม่เบื่อ จะขอไปดูช่องอื่นบ้างก็ไม่ยอม จนพ่อกับแม่ต้องนั่งดูสารคดี พลอยได้ความรู้ไปด้วย

นี่เป็นปรากฏการณ์เล็กๆ ที่มีต่อทีวีสาธารณะ



อย่างไรก็ตามช่วงนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังท้าทายคณะกรรมการทั้ง 5 ท่าน หรือ "5 อรหันต์แห่งทีพีบีเอส" จะสามารถผลักดันให้ ทีวีสาธารณะเกิดได้จริงๆ หรือไม่ และคุณภาพต้องเป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่ทีวีราชการเหมือนช่อง 11

ที่สำคัญประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอยเหมือน "ทีวีเสรี" ที่ถูกบิดเบือนเจตนารมณ์จนกลายเป็น "ทีวีของทุนผูกขาด" เป็นทีวีเสรีที่ไม่เสรีจริงซึ่งไม่ใช่เพิ่งเกิดตอนยุคที่กลุ่มชินคอร์ปเข้ามาเท่านั้น แต่ทีวีเสรีถูกบิดเบือนเจตนารมณ์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งใหม่

เริ่มตั้งแต่ข้อกำหนดให้ถือหุ้นแต่ละรายไม่เกิน 10% บรรดาผู้ถือหุ้นก็เลี่ยงด้วยการตั้งบริษัท "นอมินี" เข้ามาถือหุ้นแทน หรือกรณีผู้ถือหุ้นที่ยื่นทีโออาร์กับผู้ถือหุ้นหลังจากชนะประมูลแล้ว กลายเป็นคนละกลุ่ม จนกระทั่ง "ดร.ทักษิณ" เข้ามา ถือหุ้นใหญ่ไว้เพียงรายเดียว ทั้งที่เงื่อนไขว่าต้อง ไม่เกิน 10% ก็ล้วนแต่ผิดเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้แต่แรก คนในสังคมก็หยวนๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง



ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผังรายการที่กำหนดเนื้อหาสาระ 70% บันเทิง 30% แต่ก็ผู้บริหารสถานีก็ "เลี่ยงบาลี" เอาเกมโชว์มาถ่ายทอด อ้างว่าเป็นเกมโชว์ที่มีสาระอยู่ในเงื่อนไขกำหนด จนไม่รู้ว่ารายการไหนสาระ หรือบันเทิง

จากบทเรียนจากทีวีเสรี ทำให้หลายคนเป็นห่วงว่า กรรมการทั้ง 5 คนจะผลักดันให้ทีวีสาธารณะเป็นไปตามปรัชญาที่ตั้งไว้หรือไม่ กล่าวคือต้องไม่ใช่รายการ "ทีวีของเอ็นจีโอ" หรือถูกบิดเบือนกลายเป็นรายการทีวีของกลุ่มผล ประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่จ้องจะฮุบเหยื่ออยู่แล้ว เหมือนกรณี "ไอทีวี" เคยถูกบิดเบือนจากทีวีเสรีจนจำหน้าตาไม่ได้

ตรงนี้ต้องทำให้ชัดเจนตั้งแต่แรก และต้องทำความเข้าใจกับสาธารณชนให้รู้ เข้าใจในปรัชญาทีวีสาธารณะ

อย่างน้อยที่สุด ชาวบ้านจะได้เข้าใจว่างบประมาณเกือบ 3,000 ล้านต่อปีเอามาใช้ อย่างคุ้มค่า และเป็นประโยชน์กับเขาจริงๆ



แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ผู้ร่างกฎหมายบังคับว่า ผู้ผลิตจะต้องได้รับงบประมาณสนับสนุนเท่านั้น มันจะทำให้ "ทีวีสาธารณะ" กลายเป็น "ทีวีราชการ" เพราะหากไม่มีการแข่งขันก็ไม่ทำให้คนกระตือรือร้น ทำงานแบบขอไปที การที่ลอกแบบทีวีสาธารณะในต่างประเทศมาทั้งดุ้นอาจจะไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของเรา อาจจะล้มเหลวเหมือนกับหลายเรื่องในอดีตที่ลอกเขามาอย่าง ขาดความเข้าใจในเนื้อหา จึงได้แต่ "เปลือก" ไม่ได้ "แก่น" จริงๆ

อันที่จริงสาเหตุที่รายการทีวีบ้านเราไม่มีคุณภาพ เพราะมันเป็นธุรกิจ รายการทีวีมีการ ผูกขาดŽ อยู่ในมือผู้ผลิตไม่กี่ราย ที่ครอบงำทีวีทุกช่องในเมืองไทย

อะไรก็ตามที่ผูกขาดย่อมไม่มีคุณภาพ นี่คือสัจธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้ ตรงนี้สำคัญที่ผู้บริหาร จะต้องไม่ให้มีการผูกขาด จะต้องมีกรอบชัดเจนพิจารณาอย่างรอบคอบและชอบธรรมที่สุด ข้อเสนอของใครตรงตามกรอบมากที่สุดคณะกรรมการจะต้องเปิดกว้างพิจารณาจากเนื้อหารายการ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือเป็นเพราะอยู่ในค่ายยักษ์ใหญ่เหมือนอย่างทุกวันนี้



ถ้าหากวางกรอบกติกาชัดเจน ไม่จำเป็นว่าทุกรายการต้องแบมือขอรับแต่งบประมาณ บางรายการอาจจะหารายได้ หา "สปอนเซอร์" ช่วยเหลือตัวเอง โดยเนื้อหาต้องเป็นไปตามกรอบกติกาที่วางไว้ ถ้ารายการดีจริงๆ มีโฆษณาก็ไม่เห็นแปลก

รายการดีๆ และสามารถอยู่ได้ อย่างรายการ "กบนอกกะลา คนค้นฅน แฟนพันธุ์แท้" ยังมีอีกหลายรายการที่เป็นรายการดีๆ ที่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง เนื้อหาสาระก็เป็นประโยชน์ก็น่าจะ อยู่ในข่ายนำเสนอในทีวีสาธาณะได้ไม่ใช่จะให้มีแต่รายการแห้งๆ ไร้สีสัน

กลับกัน รายการใดที่เห็นว่าดี แต่ไม่มีโฆษณา ก็อาจอยู่ในเงื่อนไขต้องให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ อย่างเช่น รายการเด็ก, รายการวัฒนธรรมพื้นบ้าน

จึงไม่ควรยึดติดกับรูปแบบจากต่างประเทศว่าต้องพึ่งเงินสนับสนุนจากรัฐบาลแต่ถ่ายเดียว

ตรงนี้ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของประชาชนต้องจับตาดูว่า รายการทีวีสาธารณะจะเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนจริงๆ หรือไม่



แต่ที่ต้องจับตามองยิ่งกว่าคือ รัฐบาลใหม่จะมี นโยบายเกี่ยวกับทีวีสาธารณะอย่างไรตอนนี้เริ่ม มีกระแสข่าวแพลมออกมาว่าหาก "พรรคพลังประชาชน" เข้ามาเป็นรัฐบาลจะยึด "ทีวีสาธารณะ" กลับคืน แล้วไปดำเนินการแบบธุรกิจเหมือนกับไอทีวี จะผลักดันให้ช่อง 11 ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็นทีวีสาธารณะแทน

อาจจะแค่เป็นเพียงกระแสข่าว แต่หากย้อนประวัติความเป็นมาของสถานีแห่งนี้กับ ประวัติศาสตร์ไทยรักไทย (ที่แปลงร่างเป็นพลังประชาชน) ข่าวนี้ก็ไม่ไกลความจริงมากนักจึงเป็นภาระหน้าที่ของประชาชนที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้นโยบายทีวีสาธารณะต้องล้มลง ตั้งแต่ยังไม่ตั้งไข่








 

โดย: 115 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 18:14:58 น.  

 

//www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?id=673&catid=9
'กาสิโน'กับภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ
สัปดาห์ที่แล้ว"นายสมัคร สุนทรเวช"นายกรัฐมนตรีที่มีบุคคลิกสไตล์พ่อบ้านโบราณๆได้ออกมาจุดประเด็นที่ถือว่าล้ำสมัยด้วยการประกาศผลักดันตั้งบ่อน"กาสิโน"อย่างถูกต้องตามกฏหมาย แถมยังย้ำอย่างหนักแน่นว่าในวาระ4ปีที่ตัวเองนั่งในตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลจะต้องตั้งบ่อนกาสิโนให้ได้5แห่ง ในหัวเมืองใหญ่ๆอย่าง พัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่ เป็นต้น
แต่พลันที่สิ้นเสียง นายกฯสมัคร ก็มีเสียงค้านดังทั่วทุกสารทิศ กระทั่งทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชาชนก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยผลักดันเรื่องนี้


ในที่สุดนายสมัครก็เริ่มหาทางถอยให้กับตัวเองด้วยการออกตัวว่าเรื่องผลักดันกาสิโนถูกกฏหมายไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลและพรรคพลังประชาชน แต่เป็นแค่ความเห็นส่วนตัว และยังตอกย้ำในรายการ"สนทนาประสาสมัคร"ทางช่อง11 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หากจะมีบ่อนกาสิโนรัฐบาลจะไม่เป็นเจ้าของ แต่จะให้เอกชนดำเนินการ
อย่างไรก็ตามแม้เรื่องนี้จะเป็นแค่โยนก้อนหินถามทางเป็นการหยั่งกระแสสังคมเพื่อหาทางหนีทีไล่ให้รอบคอบ เพราะกาสิโนมิใช่ผุดขึ้นมาลอยๆแต่มีการคิดและดำเนินการอย่างเป็นกระบวนการมาตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่มี"พตท.ทักษิณ ชินวัตร"เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีความพยายามผลักดันและมีการดำเนินการอย่างลับๆถึงขั้นมีการจับขั้วกันแล้ว ว่ากันว่าเจ้าพ่อคนหนึ่งต้องถูกดับรัศมีเพราะขัดแย้งกับอดีตนักการเมืองใหญ่คับฟ้าคนหนึ่ง ก็มาจากความขัดแย้งเรื่องชิงตั้งบ่อนกาสิโน


ฉะนั้นเชื่อว่าหลังจากกระแสค้าน"กาสิโน"เงียบลง กลุ่มที่ผลักดันก็คงจะเดินเกมลึกๆและพยายามสร้างกระแสว่า"กาสิโน"เป็นเรื่องความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ด้วยการละเลยเรื่องศีลธรรม เหมือนกับที่เคยใช้ยุทธวิธีเดียวกันนี้ประสบควาสำเร็จมาแล้วจากการผลักดัน"หวยใต้ดิน"ขึ้นมาอยู่"บนดิน"สำเร็จ
ความขัดแย้งทางความคิดของคนในสังคมมีขาวกับดำคือเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย ฝ่ายทีเห้นด้วยก็อ้างความจำเป็นเรื่องเศรษฐกิจจะทำให้ประเทศมีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักพนันต่างชาติที่จะเข้ามาจับจ่ายใช้สอย และไม่กระทบศีลธรรมเพราะจะเปิดให้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น และยังย้ำว่าสำหรับศีลธรรมนั้นต้องยอมรับความจริงว่าการพนันอยู่คู่กับสังคมไทยมานานยังไงก็แก้ไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายค้านบอกว่า การอนุญาติตั้งบ่อนกาสิโนถูกกฏหมาย ทำให้คนไทยติดการพนันมากขึ้น จะเกิดปัญหาสังคมตามมา และขัดกับหลักศาสนา ต่างฝ่ายต่างอ้างหลักเหตุผลแบบคนละเรื่องเดียวกัน การถกเถียงจึงไม่สามารถหาข้อยุติได้


ความจริงมีผลการศึกษามากมายที่ชี้ชัดว่าการตั้งบ่อนกาสิโนโดยถูกกฏหมาย ไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจ ของประเทศและได้ไม่คุ้มเสีย ลองพิจารราจากตัวอย่างไกล้ๆตัวของ"คณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภาฯ(ชุดแรกปี2543-2549) ได้ชี้ข้อเสียไม่มีดีของการตั้งบ่อนกาสิโนถูกกฏหมายตอนหนึ่งว่า
"เมื่อพิจารณาในทางเศรษฐศาสตร์เชิงมหภาค จะพบว่าเงินหมุนเวียนและเงินได้เสียจากการพนันเป็นเพียงเงินโอน ทีถ่ายโอนจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง ซึ่งเท่ากับเป็นการโอนอำนาจซื้อ จากคนหนึ่งไปให้คนหนึ่งโดยไม่มีการผลิตใดๆเกิดขึ้นระหว่างการถ่ายโอนเงิน" ฉะนั้นจึงเป็นการการถ่ายโอนเงินไป-มาเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติให้กับสังคม เพราะกลุ่มคนที่ชนะการพนันก็ดูดเงินจากคนที่เสียพนันเท่านั้น เมื่อรวมเงินจากคนได้กับคนเสียยังมีรายได้รวมกันเท่าเดิม การอ้างว่าจะทำรายได้ทางเศรษฐกิจเข้าประเทศก็ไม่เป็นจริง


รัฐบาลจะมีรายได้จริงๆก็แค่ค่าสัมปทาน ค่าใบอนุญาติ ค่าภาษี หรือค่าต๋ง ที่ให้เอกชนเช่าไปดำเนินการเท่านั้น แต่ผลเสียกลับมากมายกว่าทีคิด การพนันทำให้ศักยภาพของคนในสังคมลดน้อยถอยลง เพราะประชาชนจะหมกมุ่นมัวเมากับการพนัน
เหนือสิ่งอื่นใด การเปิดบ่อนกาสิโน ยังส่งผลกระทบด้านลบกับเศรษฐกิจชุมชนระดับท้องถิ่น กรณีรัฐวิคตอเรียประเทศออสเตรเลียพบว่าตั้งแต่ปี2535 เป็นต้นมา ในขณะทีธุรกิจกาสิโนมีกำไรมากขึ้น แต่ธุรกิจที่อยู่นอกอุตสาหกรรมพนันต่างแย่ลง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือสถานพักผ่อนบันเทิง และร้านค้าย่อย องค์กรสาธารณกุศลของชุมชน และองค์กรที่ไม่แสวงกำไร โดยมีร้านค้าย่อยบางส่วนต้องงปิดกิจการไปจำนวนมาก


ยังมีผลการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา หลายราย ไม่ว่าจะเป็น ทั้งกลุ่มที่คัดค้าน กลุ่มเห็นด้วย และกลุ่มเป็นกลาง จากผลการศึกษากลุ่มที่เป็นกลางหลายกลุ่ม อย่างกลุ่มทีเรียกตัวเองว่า"PAGE"ได้ประมวล ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งบวกและลบ ในมลรัฐสำคัญของเมริกาทีเปิดบ่อนถูกกฏหมาย ปรกฏว่ารัฐเนวาดาที่มีบ่อนถูกกฏหมาย300แห่ง มีสถิติการฆ่าตัวตายสูงติดอันดับแถวหน้าของประทศ มีนักเรียนต้องหยุดเรียนกลางคัน ทำให้เกิดขบวนการมาเฟีย และผู้มีอิทธิพลแสวงหาผลประโยชน์จากบ่อนการพนัน


นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาของ"ศ.เอิร์ล กริโน" พบว่าต้นทุนของสังคมการพนัน กรณีของสหรัฐ ประกอบไปด้วย ต้นทุนของการก่ออาชญากรรมเพิ่มขึ้น สูญเสียเวลาทำงานมากขึ้น และปัญหาสุขภาพทางกายและจิตของผู้ติดการพนัน รวมกันมีมูลค่าถึง 54,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปีหรือครึ่งหนึ่งของต้นทุนที่เกิดจากปัญหายาเสพติดทีมีมูลค่าถึง111,000 เหรียญสหรัฐต่อปี
ทีสำคัญต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นนั้น สูงกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับถึงประมาณ 6เท่า หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น46เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ก่อให้เกิดต้นทุนทางสังคม 289เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ส่วนต้นทุนทางสังคมต่อผู้ติดพนัน1ราย อยู่ทีประมาณ 3,000-10,000เหรียญดอลลาร์สหรัฐ เลยทีเดียว
ผลงานการศึกษาล่าสุดของ"ศ.วิลเลี่ยม เอ็น ธอมป์สัน" แห่งมหาวิทยาลัยรัฐเนววาดา ถือว่าเป็นผู้ทีมีความเชี่ยวชาญด้านการรพนัน บอกว่า ความสำเร็จของลาสเวกัส ทำให้รัฐบาลหลายรัฐต้องการตั้งบ่อนการพนันขึ้นบ้าง ส่วนมากหวังว่า มันจะสร้างรายได้แบบง่ายดาย "นั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด"
นั่น.... เพราะบ่อนการพนันทำให้คนท้องถิ่นติดการพนันมากขึ้น นั่นเอง








 

โดย: 116 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 18:36:53 น.  

 

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act02010451&day=2008-04-01§ionid=0130
วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10979

เมื่อโจรอยากเป็นตำรวจ

โดย วสิษฐ เดชกุญชร



ผมอดวิตกไปไม่ได้กับข่าวการสอบสวนทุจริตในการสอบคัดเลือกบุคคลภายนอกเข้ารับราชการเป็นตำรวจชั้นประทวน ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ มติชน ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมนี้

ทุจริตรายนี้ สืบเนื่องมาจากที่กองบัญชาการศึกษา (ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ประกาศรับสมัครบุคคลภายนอกเพื่อรับราชการเป็นตำรวจชั้นประทวน เมื่อปลายเดือนมกราคมที่แล้ว ปรากฏตามประกาศว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการเพียง 2,000 อัตรา (ก็ 2,000 คนนั่นแหละ) แยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งสำหรับสายงานป้องกันกับปราบปราม (ปป.1) 1,500 อัตรา อีกกลุ่มหนึ่งสำหรับงานอำนวยการและสนับสนุน (อก.2) 500 อัตรา

ปรากฏว่ามีผู้สมัครเข้าสอบคัดเลือกเป็นจำนวนมากถึงกว่า 100,000 คน ดูเหมือนจะสอบกันไปแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ มีผู้ร้องขึ้นเสียก่อนว่า มีทุจริตเกิดขึ้นในการสอบในกลุ่ม อก.2 การร้องกระทำแบบไฮเทค โดยผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่เว็บไซต์ชื่อ //www.wutthi.com (เว็บไซต์นี้ไม่ใช่ของใครอื่น เป็นของ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน และกองบัญชาการศึกษาต้องประกาศเลื่อนการตรวจสอบร่างกาย การสอบสัมภาษณ์และการจับสลากของผู้สอบในกลุ่ม อก.2 และเลื่อนการประกาศรายชื่อผู้สอบแข่งขันได้และสำรอง ออกไปเป็นต้นเดือนมิถุนายนหน้า ในขณะที่รอผลการสอบสวนของคณะกรรมการ

หนังสือพิมพ์ มติชน ฉบับที่ผมอ้างถึงข้างต้น รายงานว่า คณะกรรมการสอบสวนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งขึ้น (ซึ่งมีผู้บัญชาการศึกษาเป็นประธาน) ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติในการสอบแข่งขันเป็นจำนวน 161 ราย ที่ว่า "ผิดปกติ" ก็คือผู้เข้าสอบ 161 รายนั้น ได้คะแนนรวมเท่ากัน คะแนนรายวิชาเท่ากัน และคำตอบถูกผิดก็เท่ากันด้วย แสดงว่าการทุจริตทำเป็นขบวนการโดยบุคคลภายนอกร่วมมือกับผู้สมัครสอบแข่งขัน

ผมลองเข้าไปเยือนเว็บไซต์ของกองบัญชาการศึกษา (www.edupolice.org) และได้ความรู้กับข้อคิดหลายอย่างจากเว็บไซต์นั้น

อย่างหนึ่งก็คือ การสอบแข่งขันหรือคัดเลือกที่เป็นพิษคราวนี้ ผู้สมัครเข้าสอบเป็นบุคคลภายนอก (คือไม่กำลังเป็นตำรวจอยู่) สำเร็จปริญญาตรี แสดงว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีตำรวจชั้นประทวนที่สำเร็จปริญญาตรีอยู่แล้วเป็นเรือนหมื่น ยังต้องการตำรวจชั้นประทวนที่สำเร็จปริญญาตรีเพิ่มอีก

ผมไม่ทราบว่า ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีนโยบายที่จะยกวิทยฐานะของตำรวจชั้นประทวนให้สูงขึ้น ให้เป็นผู้มีวุฒิระดับปริญญาตรี แทนที่จะเป็นผู้มีวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรีอย่างแต่ก่อนหรือไม่

ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่แน่ใจนักว่า การมีตำรวจชั้นประทวนที่มีปริญญาตรีมากๆ จะเป็นผลดีแก่ตำรวจชั้นประทวนเอง และเป็นผลดีแก่ชาวบ้านอย่างไร

แต่ก่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยแต่รับสมัครบุคคลภายนอกที่มีปริญญาตรีเอาเข้าไปเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร (ยศร้อยตำรวจตรี) ยังผลให้ตำรวจชั้นประทวนอุตส่าห์ตะเกียกตะกายไปเรียนมหาวิทยาลัยกันเอง จนได้ปริญญาตรีกันมาเป็นแถวๆ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่รับรู้รับรอง จนกระทั่งปี 2549 เมื่อนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจขึ้น (ครับ ที่ผมเป็นประธานนั่นแหละ) และคณะกรรมการนั้นเสนอให้ปรับยศให้ตำรวจชั้นประทวนที่มีปริญญาตรีเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ตื่น และเริ่มบรรจุส่วนหนึ่งเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย ยังเหลือที่คอยจะเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรอยู่อีกเป็นจำนวนมาก

บัดนี้ เกิดจะรับผู้มีปริญญาตรีเข้าไปเป็นตำรวจชั้นประทวน (ยศสิบตำรวจตรี) เพิ่มอีก

ผู้สมัครรู้หรือเปล่าว่า เงินเดือนตำรวจชั้นประทวนนั้นเริ่มที่ 5,610 บาท (ยศสิบตำรวจตรี) ต่อจากนั้นจะต้องไต่เต้าขึ้นไป ผ่านยศสิบตำรวจโท สิบตำรวจเอก จ่าสิบตำรวจ จนถึงดาบตำรวจอันเป็นยศสูงสุด และดาบตำรวจนั้น เงินเดือนสูงสุด 21,360 บาท? และรู้หรือเปล่าว่า จากขั้นเงินเดือนสิบตำรวจตรีไปถึงดาบตำรวจเต็มขั้น อย่างเก่งที่สุดจะต้องใช้เวลาประมาณ 26 ปี แต่อย่างไม่เก่ง (คือได้เลื่อนเงินเดือนปีละเพียงขั้นเดียว) จะต้องใช้เวลาถึง 31 ปี?

ถ้าผู้สมัครรู้แล้วยังสมัครใจที่จะเข้าไปเป็นตำรวจ ก็แปลว่า (1) บัณฑิตปริญญาตรีสมัยนี้มีอุดมการณ์ เลื่อมใสศรัทธาในราชการตำรวจ และอยากสวมเครื่องแบบตำรวจอย่างรุนแรงและแน่วแน่ จนยอมที่จะเข้าไปรับงานหนัก เสี่ยงตาย เงินเดือนต่ำ และยศต่ำ หรือ (2) บัณฑิตปริญญาตรีสมัยนี้ จนตรอก ไม่รู้จะไปทำอะไร เลยสมัครเข้าไปเป็นตำรวจ พอให้มีอะไรทำไปพลางก่อน มีโอกาสดีที่ไหนเมื่อไหร่ ก็จะลาออกไปหากินที่นั่นเมื่อนั้น หรือ (3) บัณฑิตปริญญาตรีสมัยนี้หวังว่า เมื่อได้เป็นตำรวจ มีอำนาจและมีเครื่องแบบแต่งแล้ว จะใช้อำนาจหน้าที่หากินในทางที่มิชอบในรูปแบบต่างๆ เช่น รีดไถคนขับรถแท็กซี่รถบรรทุก รับส่วยจากเจ้าของรถบรรทุก ค้ายาเสพติดหรือยัดข้อหายาเสพติดให้สุจริตชน ร่วมมือกับอาชญากรหรือยอมให้อาชญากรเปิดซ่องเปิดบ่อน ฯลฯ

ผมสันนิษฐานว่า 161 คนที่ถูกจับได้ว่าทุจริตในการสอบน่าจะเป็นประเภทที่ 3 เพราะพวกนี้เท่านั้นที่จะกล้าลงทุนลงแรงทุจริต

รู้แล้วคิดแล้ว ผมก็กลัวว่า นอกจาก 161 คนนี้แล้ว อาจจะยังมีอีกหลายสิบหรือหลายร้อยคน ที่หลงหูหลงตาคณะกรรมการสอบสวนไป และหลุดเข้าไปเป็นตำรวจจนได้

ถ้าเป็นอย่างที่ผมกลัว วันหนึ่งข้างหน้าผู้ที่เราเห็นสวมเครื่องแบบตำรวจและนึกว่าเป็น "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" ที่เราฝากผีฝากไข้ได้ ที่จริงอาจจะเป็นโจรในเครื่องแบบตำรวจ ที่ทำให้เรากลายเป็นผีได้อย่างเดียว

แล้วผมก็อดฟุ้งซ่าน นึกกลัวต่อไปด้วยไม่ได้ว่า ที่แล้วมา มีโจรหลุดเข้าไปเป็นตำรวจแบบนี้แล้วกี่คน กี่สิบคน กี่ร้อยคน กี่พันคน หรือกี่หมื่นคน

และเวลานี้มันอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่?

หน้า 6

 

โดย: 117 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 18:47:12 น.  

 

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra01010451&day=2008-04-01§ionid=0131
วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10979

"สมเด็จพระมหาเจษฎาบดินทร์" พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.3 ศูนย์รวมใจชาวนนทบุรี

โดย เชตวัน เตือประโคน




ประติมากรรมต้นแบบพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 3 ที่จะประดิษฐาน ณ วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร (ซ้าย) ปกหนังสือสมเด็จพระมหาเจษฎาบดินทร์ (ขวา)


ในงานวันเสวนาเรื่อง "นนทบุรีคู่บารมีมหาเจษฎาบดินทร์" ที่เพิ่งจัดขึ้น ณ สมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี - หนึ่งในวิทยากรในการเสวนาวันนั้น เล่าให้ฟังว่า...

"วันหนึ่งสบโอกาสได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และได้ร่วมโต๊ะเสวย ทรงเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย และทรงพระเมตตาประทานความรู้อยู่เนืองๆ ผมได้ความรู้จากพระองค์มากเหลือเกิน

"ผมจึงกราบทูลถามว่า ปกติพระองค์เป็นเจ้านายที่ไม่ค่อยจะทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์กับใครเขาเลย เวลานี้เห็นอยู่เป็นพวกมูลนิธิโรคไต กับมูลนิธิแพทย์อาสา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ พอ.สว.

"แต่ว่ามูลนิธิเล็กๆ ชื่อว่า มูลนิธิพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นมูลนิธิเล็กๆ พระองค์ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์เพราะอะไร?"

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงรับสั่งทันทีว่า...

"ไม่มีอะไรหรอก นอกจากพวกเราพี่น้องทุกคนเคยฟังแม่เล่ามาตั้งแต่เด็กๆ ว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทรงอาภัพ ทรงทำคุณประโยชน์แก่ประเทศมหาศาล แต่คนไม่ค่อยรู้จัก เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ปิดทองหลังพระ และแม่ก็เล่าตลอดเรื่องเงินถุงแดง ฉันฟังมาตั้งแต่เด็กๆ เห็นว่า คนรุ่นเก่าท่านคิดอะไรได้ไกลๆ ที่ไม่น่าเชื่อ คนเราเวลานี้สิที่กลับคิดไม่ออกไปไกลๆ เท่านั้น

"เมื่อเขามาขอให้เป็นองค์อุปถัมภ์ ฉันเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยสักเรื่องหนึ่งที่ฉันทำถวายรัชกาลที่ 3 ได้ ฉันจึงรับทำทันที"

... พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทรงอาภัพ...

เห็นจะเป็นดั่ง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตรัสไว้ เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 นั้น แม้พระองค์จะทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติมากมาย แต่ก็มีการพูดถึง และรับรู้กันน้อย

เกี่ยวกับพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น...
ภาพวาดพระบรมมหาราชวัง สมัยรัชกาลที่ 3 แสดงถึงการค้าต่างประเทศที่ขยายตัวอย่างมาก (บน) ภาพวาดแสดงอาณาเขตวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร (ล่าง)




พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2330 ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กับเจ้าจอมมารดาเรียม ที่ต่อมาได้รับการเฉลิมพระอิสริยศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระศรีสุราไลย สมเด็จพระบรมราชชนนี พันปีหลวง

เมื่อพระชนมพรรษา 26 พรรษา ได้รับการสถาปนาขึ้นทรงกรม พระนาม พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พร้อมได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทรงกำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระตำรวจว่าความฎีกา ซึ่งเป็นกรมสำคัญในราชการแผ่นดินทั้งสิ้น ทั้งได้รับการวางพระราชหฤทัยให้รับราชการต่างพระเนตรพระกรรณอยู่เสมอ

พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงรับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาท ด้วยความจงรักภักดี มีความรักชาติบ้านเมืองสูง และทรงมีพระเมตตาต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอย่างยิ่ง ในยามที่แผ่นดินขาดแคลน ทรงนำเงินส่วนพระองค์ที่ได้จากการค้าสำเภากับนานาประเทศขึ้นทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

เป็นมูลเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยตรัสล้อพระองค์ว่า "เจ้าสัว"

ครั้นรัชกาลที่ 2 เสด็จสวรรคตโดยมิได้ตรัสมอบการสืบราชสันตติวงศ์ ในปี 2367 บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการได้ประชุมปรึกษา และมีสมานฉันท์ให้เชิญพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ขึ้นครองสิริราชสมบัติ พระนามพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พุทธศักราช 2367

ตลอดระยะเวลา 27 ปีที่ทรงดำรงสิริราชสมบัติ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์แก่ชาติอเนกอนันต์ทุกด้าน เช่น ด้านความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจการค้า การต่างประเทศ การพระศาสนา วรรณกรรมและศิลปกรรม ก่อนจะเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2394 สิริรวมพระชนมพรรษา 63 พรรษา 2 วัน

พระวิหารวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร - เชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์



ในวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น วันเจษฎาบดินทร์

คุณธรรมประการสำคัญอย่างหนึ่งของรัชกาลที่ 3 ที่ควรกล่าวถึง คือ ความกตัญญู

ครั้งเมื่อสมเด็จพระศรีสุราไลย สมเด็จพระบรมราชชนนี พันปีหลวง เสด็จสวรรคต รัชกาลที่ 3 ได้ทรงสร้าง วัดเฉลิมพระเกียรติ นนทบุรี ขึ้น เพื่อเป็นที่บรรจุอัฐิของพระชนนี โดยบริเวณที่สร้างวัดเฉลิมพระเกียรตินั้น เป็นบริเวณที่ตั้งวิหารเดิมของพระชนนี

วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร จ.นนทบุรี จึงเป็นหลักหมายสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความเกี่ยวเนื่องในพระราชประวัติสมเด็จพระศรีสุราไลยฯ สมเด็จพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นชาวนนทบุรี

ในปี 2551 นี้...

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชานุญาต ให้สร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อันจะเป็นศูนย์รวมใจของชาว จ.นนทบุรี รวมถึงชาวไทยทุกคน

เชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เล่าให้ฟังว่า วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร ริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้น เป็นนิวาสสถานเดิมของสมเด็จพระศรีสุราไลยฯ พระราชชนนีในรัชกาลที่ 3

การสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ เพื่อเป็นศูนย์รวมใจของชาวจังหวัดนนทบุรี ซึ่งขณะนี้ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้สร้างได้ ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนกำหนดวันวางศิลาฤกษ์ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จทันฉลองพระบรมราชานุสาวรีย์ในวันที่ 31 มีนาคม 2552 ซึ่งเป็นวันเจษฎาบดินทร์ในปีหน้า

"ระหว่างนี้ได้จัดหาทุนในการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 3 และด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของชาว จ.นนทบุรี ได้ร่วมสมทบเงินครบแล้ว ในขณะเดียวกันก็อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรู้ถึงคุณงามความดีของรัชกาลที่ 3 จึงได้จัดทำหนังสือสมเด็จพระมหาเจษฎาบดินทร์ ร่วมกับสำนักพิมพ์มติชน"

สำหรับเนื้อหาในเล่มของหนังสือสมเด็จพระมหาเจษฎาบดินทร์ กล่าวถึง...

พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชกรณียกิจในการวางรากฐานทางเศรษฐกิจ, พระราชกรณียกิจในการวางรากฐานการศึกษา, ศิลปกรรมในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, ความสัมพันธ์สยามกับประเทศเพื่อนบ้านในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, การดำเนินนโยบายต่างประเทศกับชาติตะวันตก, เหตุการณ์สวรรคตและพระราชมรดก และ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวกับจังหวัดนนทบุรี

พร้อมกันนี้ยังมีภาคผนวก และดีวีดี งานเสวนา "นนทบุรีคู่บารมีมหาเจษฎาบดินทร์" ที่น่าสนใจ แถมในเล่ม

"เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้มีตั้งแต่ทรงพระราชสมภพ ทรงทำคุณกับแผ่นดิน รวมถึงที่มาของคำว่า "เจ้าสัว" ที่ได้จากรัชกาลที่ 2 จากการค้าสำเภา มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัดในกรุงเทพมหานคร 80-90 เปอร์เซ็นต์ ถ้าพระองค์ไม่ทรงสร้าง ก็ทรงรับบูรณะหรือไม่ก็ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ เช่น วัดสุทัศน์ วัดอรุณฯ วัดราชนัดดา วัดยานนาวา วัดสระเกศ ฯลฯ ที่สำคัญรัชกาลที่ 3 ยังให้แนวคิดต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ให้คำว่า มหาวิทยาลัยชุมชนเป็นแห่งแรกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

"หนังสือสมเด็จพระมหาเจษฎาบดินทร์ เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์สำคัญ ให้คนทั่วไปได้ซึมทราบถึงคุณูปการที่รัชกาลที่ 3 ทรงทำให้แก่ประเทศชาติ" ผู้ว่าฯนนทบุรีกล่าว และทิ้งท้ายไว้ว่า...

"ในวันเจษฎาบดินทร์ คือวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี คิดว่าจะทำให้เป็นพิเศษขึ้นอีก เมื่อมีพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 3 ที่วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหารแล้ว โดยจะทำให้ที่แห่งนี้เป็นสถานที่รวมจิตใจของชาวจังหวัดนนทบุรี เป็นที่ยึดจิตใจประชาชน"

หนังสือสมเด็จพระมหาเจษฎาบดินทร์ เป็นหนังสือปกแข็งเย็บกี่อย่างดี พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตมัน สี่สีทั้งเล่ม มีภาพประกอบงดงาม จำหน่ายในราคา 550 บาท โดยรายได้สมทบกองทุนสำหรับก่อสร้าง และดูแลพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ต่อไป

หน้า 20

 

โดย: 118 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 18:52:39 น.  

 

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10979

วิจัยพบประโยชน์ "แกงเลียง" มีผลยับยั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่

โดย ศิริพร โกสุมภ์




ภาพจาก //www.pantown.com


อาหารไทยกำลังโด่งดังไปทั่วโลก ยิ่งมีโครงการ "ครัวไทยสู่ครัวโลก" แม้จะตกยุคไปบ้างแต่ความเชื่อมโยงของโครงการยังมีอยู่ ทำให้อาหารไทยก้าวสู่ระดับอินเตอร์อย่างรวดเร็วไม่แพ้อาหารจีนและญี่ปุ่น

มาคราวนี้พระเอกของเรื่องคือ "แกงเลียง" แกงผักรวมสารพัดของคนภาคกลาง ตั้งแต่ฟักทอง ใบแมงลัก บวบ ข้าวโพด เห็ด ฯลฯ ใส่เครื่องแกงออกรสชาติเผ็ดพริกไทย กำลังมาแรง

เพราะ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณะผู้วิจัย ประกอบด้วย สุลัดดา พงษ์อุทธา, สมศรี เจริญเกียรติกุล, จุรีพร จิตจำรูญโชคชัย, วรรณี อังคศิริสรรพ, ดิลก บูตะเดช ร่วมกันศึกษาวิจัยพบว่า แกงเลียงมีผลต่อการสร้างเอ็นไซม์ NAD(P)H : quinone reductase ในตับ และยับยั้งการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูแรทสายพันธุ์วิสตาร์

ทั้งนี้ รายละเอียดของการวิจัย คณะผู้วิจัยอธิบายตั้งแต่แรกเริ่มว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคหนึ่งที่พบได้มากในประชากรโลก และมีแนวโน้มเป็นมากขึ้นในประชากรไทย
ภาพจาก //www.lks.ac.th




สาเหตุหลักมาจากรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไป จากหลักฐานการวิจัยพบว่าการบริโภคอาหารที่มีผัก ผลไม้ อยู่มากช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

ดังนั้น การบริโภคแกงเลียง ซึ่งเป็นอาหารไทยที่มีส่วนประกอบหลักเป็นพืชผัก สมุนไพร และเครื่องเทศ ให้พลังงานต่ำ มีสารอาหารและสารสำคัญต่างๆ จากพืช เช่น แคโรทีน และใยอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาก

"จึงทำการศึกษาผลของการกินแกงเลียงดังกล่าวในปริมาณ 1 และ 2 หน่วยบริโภคต่อวัน (เทียบเท่ากับผงแห้งของแกงเลียงปริมาณ 0.032 g และ 0.064 g ต่อน้ำหนักตัวหนู 100 g ตามลำดับ) ในหนูแรทสายพันธุ์วิสตาร์ โดยการละลายผงแกงเลียงในน้ำกลั่น และป้อนให้หนูกินป็นเวลา 6 สัปดาห์ แล้วฉีดสารก่อมะเร็งเข้าทางหน้าท้องหนู ทั้งหมด 2 ครั้ง ในสัปดาห์ที่ 3 และ 4

"ซึ่งผลการศึกษาพบว่าการได้รับแกงเลียง 2 หน่วยบริโภคต่อการทำงานของเอ็นไซม์ NAD(P)H : quinone reductase (QR) ในตับหนูนั้น แกงเลียงมีผลต่อการสร้างเอ็นไซม์ NAD(P)H : quinone reductase ในตับ และการยับยั้งการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูดังกล่าว"

การทดลองในหนู ได้แบ่งหนูออกเป็นกลุ่มๆ 5 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมปกติที่ได้รับ NSS และไม่ได้รับแกงเลียง กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับสารก่อมะเร็งและไม่ได้รับแกงเลียง กลุ่มที่ 3 ได้รับสารก่อมะเร็ง และแกงเลียง 1 หน่วยบริโภค

ส่วนกลุ่มที่ 4 ได้รับสารก่อมะเร็งและแกงเลียง 2 หน่วยบริโภค และกลุ่มที่ 5 ได้รับ NSS และแกงเลียง 2 หน่วยบริโภค

"เมื่อสิ้นสุดการให้อาหาร เก็บตัวอย่างเลือดเพื่อวิเคราะห์หาสารอาหารและสารสำคัญที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับเก็บเนื้อเยื่อตับและลำไส้เพื่อวัดการทำงานของเอ็นไซม์ QR และการเกิด ACF พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับแกงเลียง 2 หน่วยบริโภค มีระดับเรตินอลในน้ำเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการตรวจระดับการทำงานของเอ็นไซม์ QR พบว่าหนูกลุ่มที่ 5 ซึ่งได้รับแกงเลียงเป็น 2 หน่วยบริโภค มีระดับการทำงานของเอ็นไซม์ QR ในตับสูงกว่ากลุ่มควบคุมปกติ (กลุ่ม 1) ประมาณ 2.7 เท่า

"ผลการศึกษาสรุปได้ว่า แกงเลียงสามารถเหนี่ยวนำการทำงานของเอ็นไซม์ QR ในตับ และลดการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ของหนูทดลองได้ จึงอาจมีศักยภาพในการป้องกันการเกิดมะเร็งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ใหญ่..."

แม้การทดลองนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองในห้องแล็บ แต่ผลที่ได้เป็นการจุดประกายความหวังให้กับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้อยู่ไม่น้อย

เพราะทุกวันนี้โรคมะเร็งยังเป็นโรคน่ากลัวร้ายกาจสำหรับมนุษย์ ยังหายารักษาให้หายขาดไม่ได้ หนำซ้ำคนที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในปัจจุบันก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที

หาก "แกงเลียง" มีคุณสมบัติตามที่ได้วิจัยศึกษา แล้วมีการนำมาพัฒนาต่อยอด อาหารไทยคงได้ชื่อเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง

หน้า 21











 

โดย: 119 IP: 118.174.79.135 7 เมษายน 2551 19:02:01 น.  

 

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01edu02020451&day=2008-04-02§ionid=0107
วันที่ 02 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10980

สัมผัส...10ครูไอที โชว์ผลงานที่...กรุงฮานอย



บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดโครงการ "Innovative Teachers Leadership Award" เวทีแสดงผลงานด้านไอทีของครู รวมถึงส่งเสริมและยกย่องครูที่มีผลงานดีเด่นในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาบูรณาการใช้ในการเรียนการสอนอย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิผลจนเกิดคุณประโยชน์แก่แวดวงการศึกษาในระดับประเทศ โดยมีการคัดเลือกครูจากทั่วประเทศรับรางวัลชนะเลิศ "Innovative Teachers Leadership Award 2007" ซึ่งปีนี้มีจำนวน 10 คน ได้รับโล่เกียรติคุณจาก ศธ. และเงินรางวัลคนละ 10,000 บาท พร้อมทั้งได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมและนำเสนอผลงานเข้าประกวดระดับนานาชาติ ในงาน "Microsoft Regional Innovative Teachers Conference 2008" ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 7-11 เมษายนนี้

"มติชน" ขอนำเสนอผลงานของคุณครูทั้ง 10 ท่าน ดังต่อไปนี้

- ครูประทิน ตั้งใจ

โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่

ได้พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้น ม.3 โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงกับการใช้พลังงาน เพื่อพัฒนารูปแบบนวัตกรรมด้านการใช้ไอซีที และใช้ไอซีทีเป็นพื้นฐานการสอน วิธีการเรียนการสอน พัฒนาหลักสูตร และพัฒนาทักษะทางการคิดวิเคราะห์ ซึ่งนักเรียนสามารถสร้างผลงานโดยใช้สื่อเทคโนโลยีต่างๆ เข้าช่วย และสามารถนำเสนอ แลกเปลี่ยนผลการเรียนรู้ แบบประเมินการทำกิจกรรมของนักเรียนในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งมีขั้นตอนกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5 E ที่นำมาใช้พัฒนา 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1.ขั้นการกำหนดปัญหา 2.ขั้นการวางแผนบทเรียน 3.ขั้นนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้จริงในห้องเรียน 4.ขั้นประเมินผลบทเรียนและสะท้อนผลของบทเรียน และ 5.ขั้นปรับปรุงบทเรียน โดยการบูรณาการกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อาทิ ความพอประมาณ รู้จักสำรวจเครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องใช้ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานที่มีอยู่ว่ามีปริมาณไม่มากไม่น้อยเกินความจำเป็น เป็นต้น

- ครูปราโมทย์ ศรีดี

โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยพิษณุโลก

ได้นำโปรแกรม Microsoft Power Point ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับการนำเสนอ (Slide Show) ในรูปแบบต่างๆ มานำเสนอลำดับการสอนของครู เช่นเดียวกับการที่ครูเขียนบนกระดาน จะเป็นการเรียนการสอนที่เป็นธรรมชาติ นักเรียนเห็นครูเขียนอย่างไร Microsoft Power Point ก็นำเสนออย่างนั้น แต่สิ่งที่ดีกว่าคือ ความรวดเร็ว ชัดเจน ถูกต้องแม่นยำ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นรูปภาพ หรือรูปวาดจะมีความเหมือนจริงมากที่สุด และไม่ต้องเสียเวลาวาดบนกระดาน เมื่อนำมาประกอบกับโปรแกรม Camtasia Studio ที่สามารถจับภาพหน้าจอและเสียงบรรยายของครูไว้ด้วย จึงสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ได้อย่างดี การเรียนการสอนจึงไม่ได้จบลงเพียงภายในห้องเรียน แต่ยังสามารถนำมาเรียนซ้ำ-สอนซ้ำได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง เมื่อนำสื่อการเรียนรู้นี้มาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน และให้นักเรียนนำไปศึกษาทบทวนในภายหลังได้ ทัศนคติของนักเรียนต่อรายวิชา รวมถึงผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ของนักเรียนจึงมีสูง

- ครูธาตรี พิมพ์บึง

โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม ขอนแก่น

ได้จัดทำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องไฟฟ้า วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้น ม.3 เป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์แบบศึกษาทบทวน (Tutorial) ประกอบด้วยเนื้อหา 4 หน่วย 1) ไฟฟ้ามาจากไหน 2) กระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้า 3) การต่อวงจรไฟฟ้าภายในบ้าน 4) การเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งลักษณะเด่นของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องไฟฟ้า มีอาทิ มีการติดตามผลการเรียนของผู้เรียน โดยผู้เรียนจะต้องลงทะเบียนเรียนและโปรแกรมจะเก็บข้อมูลผู้เรียนลงฐานข้อมูล (Database) และเมื่อผู้เรียนออกจากบทเรียนโปรแกรมจะบันทึกข้อมูลลงฐานข้อมูล เมื่อกลับเข้ามาในบทเรียนใหม่โปรแกรมจะเรียกฐานข้อมูลรายชื่อผู้เรียนขึ้นมาเพื่อกลับไปที่หน้าเดิมที่ผู้เรียนออกจากบทเรียน นอกจากนี้ เนื้อหาต่อหน่วยเป็นแบบมัลติมีเดีย คือ ประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหว เสียง วิดีโอ และการจำลองสถานการณ์ ผู้เรียนจึงมีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนทุกหน่วย

- ครูดรุณี ทุมมากรณ์

โรงเรียนบ้านขามเปี้ย อุบลราชธานี

ใช้นวัตกรรมการเรียนการสอนที่สร้างสรรค์ให้นักเรียนรักการอ่าน โดยกระตุ้นความสนใจด้วยคอมพิวเตอร์และงานศิลปะการวาดภาพที่นักเรียนชอบ เนื่องจากสภาพปัญหาที่โรงเรียนบ้านขามเปี้ยคือ นักเรียนไม่ค่อยสนใจอ่านหนังสือกัน จะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่กับการเล่นมากกว่าทำการบ้านหรืออ่านหนังสือ คุณครูดรุณีจึงได้จัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้น และส่งเสริมให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่านด้วยการดึงความสนใจในสิ่งที่นักเรียนชอบ นั่นคือคอมพิวเตอร์และศิลปะการวาดภาพมากระตุ้นให้นักเรียนรักการอ่าน เป็นการฝึกฝนและปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่นักเรียน จนนักเรียนเริ่มสนใจและชอบอ่านหนังสือ มีความคิดสร้างสรรค์เป็นผลงานตนเอง เนื่องจากสนุกสนานกับการวาดภาพ ยิ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการวาดภาพ ก็ยิ่งกระตุ้นให้นักเรียนสนใจทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่านมากยิ่งขึ้น

- ครูเสาวรักษ์ บุญรักษ์

โรงเรียนบ้านวังยวน นครศรีธรรมราช

จากคุณสมบัติและลักษณะการใช้งานของอินทราเน็ต คุณครูเสาวรักษ์จึงได้เกิดแนวคิดในการพัฒนาอินทราเน็ตเว็บไซต์ สาระการเรียนรู้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเก็บรวบรวมแหล่งการเรียนรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้เทคโนโลยีสารสนเทศไว้ด้วยกัน เกิดเป็นเว็บไซต์ที่ใช้ในระบบเครือข่ายอินทราเน็ต เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้รวดเร็ว เป็นการฝึกทักษะในการสืบค้นข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของนักเรียน และเป็นฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการสืบค้นข้อมูลความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสำหรับโรงเรียนบ้านวังยวน นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการค้นหาข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมากขึ้น

- ครูลดาวัลย์ เฮงวิจิตกุล

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา กทม.

ได้ใช้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเว็บไซต์เรื่อง Save the Earth มีลักษณะเป็นสื่อมัลติมีเดีย ภายในสื่อประกอบด้วยแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกใบงาน คลิปวิดีโอสาธิตกิจกรรม ตัวอย่างผลงานนักเรียน และแหล่งการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนและนักเรียน โดยมีลักษณะการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ วิชาภาษาอังกฤษ เขียนข้อความรณรงค์สั้นๆ เขียนเรื่องสั้น และเขียนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์, วิชาวิทยาศาสตร์ อ่านบทความเกี่ยวกับโลกร้อน สาเหตุ ผลกระทบ และการป้องกัน, วิชาคณิตศาสตร์ เปรียบเทียบอัตราส่วน ของขยะแต่ละประเภทในโรงเรียน, วิชาสังคม ส่งเสริมคุณธรรม การปลุกจิตสำนึก รับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม, วิชาศิลปะ วาดภาพประกอบเรื่องสั้น, วิชาดนตรี ร้องเพลง Heal the World, วิชาภาษาไทย แปลเพลง และตีความหมายเพลง Heal the World และวิชาคอมพิวเตอร์ สืบค้นข้อมูล สร้างผลงานการ์ตูน Animation นำเสนอผลงาน และการเผยแพร่ผลงานโดยใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือ

- ครูกุลนิษฐ์ วงศ์แก้ว

โรงเรียนวัดจันทร์ประดิษฐาราม กทม.

ใช้สื่อการเรียนการสอนที่เป็นนิทานในรูปแบบของวีซีดี ซึ่งเป็นสื่อที่มีความน่าสนใจ ช่วยในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาทั้งช่วงชั้นที่ 1 และ 2 ทั้งยังสอดคล้องกับโครงการโรงเรียนวิถีพุทธวิถีธรรมอีกด้วย โดยที่สื่อการเรียนการสอนวีซีดีของทางโรงเรียนกระจายไปยังนักเรียนตามสายชั้นต่างๆ ยังมีไม่เพียงพอจัดการเรียนการสอน ครูกุลนิษฐ์จึงผลิตสื่อการ์ตูนนิทานคุณธรรมขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้แต่งนิทานคุณธรรมด้วยตนเอง ให้นักเรียนสามารถสร้างการ์ตูนได้ด้วยตนเอง และเป็นสื่อการจัดการเรียนรู้ในเรื่องคุณธรรม เริ่มจากให้นักเรียนชั้น ป.5 ทำงานเป็นกลุ่มร่วมกันแต่งนิทานคุณธรรม โดยสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต แล้วนำเรื่องที่แต่งขึ้นมาเขียนสตอรี่บอร์ด และวาดภาพตามโดยใช้โปรแกรม Microsoft Paint แล้วสแกนภาพเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อัดเสียงบรรยายของนักเรียนตามเนื้อเรื่องที่แต่งขึ้น โดยใช้โปรแกรม Sonic Foundry Soundforge หลังจากนั้นนำภาพและเสียงมาตัดต่อในโปรแกรม Windows Movie Maker ก่อนจะรวบรวมผลงานนักเรียนจัดทำเป็นแผ่นวีซีดี

- ครูชนารัตน์ คำอ่อน

โรงเรียนระยองวิทยาคม

ที่โรงเรียนระยองวิทยาคมมีการนำนวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอนที่เรียกว่า Learning Circle ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมาใช้ในโรงเรียน โดยครูชนารัตน์เป็นผู้ริเริ่มวัตถุประสงค์ของการนำ Learning Circle ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมาใช้ เพื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้บูรณาการกับวิชาอื่นๆ ในการจัดการเรียนการสอน ทั้งยังเป็นการปลูกฝังให้นักเรียนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีเป้าหมายและมีทิศทางด้วย Learning Circle ซึ่งเป็นรูปแบบความร่วมมือเรียนรู้ระหว่างห้องเรียน เป็นความร่วมมือระหว่างครูประมาณ 8-10 คน ที่อยู่ต่างโรงเรียนหรือต่างวัฒนธรรมอาจจะอยู่ในประเทศเดียวกันหรือต่างประเทศกันก็ได้ รวมกลุ่มกันสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกันที่เรียกว่า Learning Circle และครูแต่ละคนใน Learning Circle จะนำกลุ่มนักเรียนสมาชิกประมาณ 6-8 คน มาเรียนรู้ร่วมกับกลุ่มอื่นๆ ใน Learning Circle ผ่านสื่อบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยใช้กระดานข่าว (Web Board) เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ครูทุกคนใน Learning Circle จะร่วมกันกำหนดขอบข่ายเนื้อหามาให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อที่จะสร้างผลงาน (Project Work) อย่างมีทิศทาง และสอดคล้องกับหลักสูตร โดยขอบข่ายเนื้อหานี้จะกำหนดให้บูรณาการกับวิชาอื่นๆ อาทิ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ โดยขั้นตอนสุดท้ายของกิจกรรม นักเรียนแต่ละกลุ่มจะสร้างผลงานออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่อไป

- ครูนาถฤดี แซ่ตัน

โรงเรียนสตรีระนอง

ได้ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องระบบหายใจ เป็นสื่อการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ช่วงชั้นที่ 3 ซึ่งในโรงเรียนสตรีระนองใช้สอนในระดับชั้น ม.2 โดยครูสามารถใช้สอนในห้องเรียน และนักเรียนสามารถยืมแผ่น CD-ROM ไปเรียนที่บ้าน หรือเรียนทางอินเตอร์เน็ตที่ครูสร้างการเรียนรู้แบบ e-learning ไว้สำหรับนักเรียนที่สนใจได้ศึกษานอกเหนือจากในชั่วโมงเรียน รูปแบบของบทเรียนจะเป็นภาพเคลื่อนไหว ซึ่งมีส่วนประกอบต่างๆ ได้แก่ 1.แบบทดสอบก่อนเรียน 2.การ์ตูนนำเสนอบทเรียน (เพื่อสร้างความน่าสนใจของบทเรียน ) 3.บทเรียน และ 4.แบบทดสอบหลังเรียน

- ครูพงศ์ปณต ผ่องพันธุ์งาม

โรงเรียนจิตรลดา พระตำหนักสวนจิตรลดา

ได้พัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนโดยใช้หลักของการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนรูปแบบสุดท้าย คือ Instructions Games มาเป็นแนวทาง ด้วยเห็นว่าเป็นวิธีการสร้างการเรียนรู้ที่สุดยอด คือ "การเรียนรู้ที่ผู้เรียนไม่รู้ตัว" กล่าวคือ ผู้เรียนคิดว่าตนเองกำลังเล่นเกมอยู่และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ แต่คุณครูเท่านั้นที่รู้ว่าทุกด่านที่ลูกศิษย์ผ่านเกมของครูไปได้คือ การเรียนรู้ทั้งสิ้น ครูพงศ์ปณตได้ทำการทดลองสร้างโปรแกรมต้นแบบ โดยใช้โปรแกรม RPG-Maker 2000 ผลิตเกมที่มีการถามและตอบโดยสอดแทรกเนื้อหาสาระแบบบูรณาการสหรายวิชา คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม การงาน ภาษาต่างประเทศ พลศึกษา ภาษาไทย ดนตรีนาฏศิลป์ และความรู้รอบตัว ให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งทดลองเล่น ผลปรากฏว่าได้รับความสนใจมาก นักเรียนกลุ่มทดลองบอกต่อกัน และชวนกันมาทดลองเล่นที่ศูนย์คอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ และอีกส่วนหนึ่งมาขอโปรแกรมไปเล่นที่บ้านเป็นจำนวนมาก

หน้า 22



 

โดย: 120 IP: 118.174.30.33 7 เมษายน 2551 19:24:35 น.  

 

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01lad03020451&day=2008-04-02§ionid=0115
วันที่ 02 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10980

คอลัมน์ ปรากฏการณ์



- ปันโลหิตให้น้อง

สภากาชาดไทย เชิญบริจาคโลหิตในโครงการปันโลหิตให้น้อง ระหว่างวันที่ 1-16 เมษายน ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เพื่อรณรงค์จัดหาโลหิตช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กโรคเลือด ให้มีโลหิตในการรักษาอย่างต่อเนื่อง และสำรองโลหิตในคลังเพื่อบรรเทาภาวะการขาดแคลนโลหิตในช่วงฤดูร้อนพิเศษ ผู้บริจาคโลหิตในโครงการ ได้รับกระเป๋าผ้าเป็นของที่ระลึก

- เมืองหนังสือ

ดับเบิ้ล เอ บุ๊ค ทาวเวอร์ เปิดเมืองหนังสือ บนถนนสาทร 12 มีหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆ กว่า 1,000 แห่ง สร้างเสริมสังคมรักการอ่านให้เป็น ไลฟ์สไตล์ใหม่ของคนไทย พร้อมจัดกิจกรรม อาทิ การเปิดตัวหนังสือ, การเสวนาในแวดวงหนังสือ, กิจกรรมกระตุ้นต่อมความคิด, เทศกาลหนังสือ, School visit เป็นต้น เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. ดูรายละเอียดได้ที่ //www.DoubleAbooktower.com

หน้า 25

 

โดย: 121 IP: 118.174.30.33 7 เมษายน 2551 19:44:02 น.  

 

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra01030451&day=2008-04-03§ionid=0131
วันที่ 03 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10981

"พงศาวดาร" เครื่องมือ ยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ"

โดย วิภา จิรภาไพศาล wipha_chi@yahoo.com




เจ้าพระยาจักรีกลับจากราชการทัพกรุงกัมพูชา ขณะเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี (จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร)


บรรดาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติ มีบางเหตุการณ์ที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ทำให้มีการตีความ และนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นใหม่อยู่เป็นระยะ

ดังเช่นเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) พระปฐมบรมราชกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.2325

แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะผ่านมา 226 ปี หากคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับแตกต่างกันไป มีการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรี หลายต่อหลายครั้ง เมื่อมีเอกสาร หรือการตีความใหม่เกิดขึ้น

สำหรับนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็นระยะ เช่น บทความชื่อ "ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี" ของ ปรามินทร์ เครือทอง ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงกรุงธนบุรีแตกไว้โดยละเอียด

ตั้งแต่ การเกิดรัฐประหารขึ้นในกัมพูชาซึ่งอยู่ในอำนาจของกรุงธนบุรีในขณะนั้นซึ่งเป็นเวลา 1 ปี ก่อนกรุงธนบุรีแตก บรรยากาศทางการเมืองที่มีกลุ่มต่างๆ ก่อตัวขึ้น จนถึง 24 ชั่วโมงสุดท้ายของกรุงธนบุรี และ 24 ชั่วโมงแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนพระราชดำรัสสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ให้ชวนคิดว่า

"กูวิตกแต่ศัตรูมาแต่ประเทศเมืองไกล แต่เดี๋ยวนี้ไซ้ลูกหลานของกูเอง ว่ากูคิดเปนบ้าเปนบอแล้วดังนี้ จะให้พ่อบวชก็ดี ฤาจะใส่ตรวนพ่อก็ดี พ่อจะยอมรับทำตามใจลูกบังคับทั้งสิ้น" (ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายน พ.ศ.2550)

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟือนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรวมทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ประดิษฐานนอกกำแพงพระราชวังเดิม ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี




และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชาศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปลายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคมนี้ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุงรัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพียง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูรณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแปรไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง"
"พงศาวดาร" เครื่องมือในการยึดกรุงธนบุรี




โดยพระราชพงศาวดารที่มีการ "ชำระ" ในครั้งนั้นคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ทำไมจึงเลือกพระราชพงศาวดารฉบับนี้ ปรามินทร์ให้เหตุผลว่า

"พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ยังมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ชาติสยามในช่วงกรุงธนบุรีอย่างมาก เนื่องจากถูกใช้เป็นต้นฉบับในการ "ชำระ" พระราชพงศาวดารฉบับอื่นๆ ในเวลาต่อมา เช่น พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม พระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์ 2 เล่ม (ฉบับหมอบรัดเลย์) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เป็นต้น

โดยพระราชพงศาวดารแต่ละฉบับมีความเกี่ยวเนื่องกันดังนี้ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เป็นต้นแบบให้ฉบับพระพนรัตน์ใช้ "ชำระ" ดัดแปลง แต่งเติม ฉบับพระพนรัตน์เป็นต้นฉบับที่หมอบรัดเลย์ใช้พิมพ์ และฉบับหมอบรัดเลย์ เป็นต้นฉบับในการชำระของฉบับพระราชหัตถเลขา

เนื้อความส่วนใหญ่ในพระราชพงศาวดารทั้ง 4 ฉบับ จึงสอดคล้องและเสริมซึ่งกันและกันในรายละเอียดที่ตกหล่น แต่ส่วนที่ต่อเติมเสริมเข้ามานี้มักจะถูกตั้งข้อสังเกตในความน่าเชื่อถืออยู่บ่อยครั้ง จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เราไว้ใจพระราชพงศาวดาร "ฉบับหลวง" เหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด"

อย่างไรก็ตาม "การชำระ" พระราชพงศาวดารดังกล่าวยังคงทิ้งร่องรอยที่ขัดแย้งกันไว้ ในพระราชพงศาวดาร 2 ฉบับ คือ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา

โดยพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงการยกทัพใหญ่ไปตีกรุงกัมพูชาดังนี้"

"ครั้นปีฉลูตรีศก (จ.ศ.1143 พ.ศ.2324) เดือนยี่ ดำรัสให้จัดทัพเป็น 6 ทัพ ให้เจ้าพระยาสุรศรีเป็นทัพหน้า พระเจ้ากษัตริย์ศึกเป็นจอมทัพหลวง กรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นทัพหนุน เจ้าพระยานครสวรรค์เป็นยกรบัตร กรมขุนรามภูเบศรเป็นทัพหลัง พระยาธรรมมาเป็นกองลำเลียง ยกไปตีเมืองพุทไธเพ็ชร์

ฝ่ายการแผ่นดินข้างกรุงธนบุรีนั้นก็ผันแปรต่างๆ เหตุพระเจ้าแผ่นดินเสียพระจริตฟั่นเฟือนไป ฝ่ายพุทธจักรอาณาจักรทั้งปวงเล่า ก็แปรปรวนไปเป็นหมู่ มิได้เป็นปกติเหมือนแต่ก่อน เหตุพระเจ้าแผ่นดินนั้นทรงนั่งอูรุพัทธ์ โดยพระกรรมฐานสมาธิ และยังภิกษุทั้งปวงให้คารวะเคารพนบนมัสการแก่พระองค์ ฝ่ายการในอากาศเล่า ก็วิปริตต่างๆ คือมีอุกาบาตรและประทุมกาษบันดาลตกเป็นต้น"

ขณะที่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวไว้ว่า

"เริ่มต้นเมื่อกรุงธนบุรีทราบข่าวจลาจลที่กรุงกัมพูชา ในเดือน 2 ปีชวด หรือก่อนเจ้าพระยาจักรีจะยกทัพไปเป็นเวลา 1 ปีเต็ม สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหน้า พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์ กับพระยากำแหงสงครามเจ้าเมืองนครราชสีมาเก่าเป็นเกียกกายกองหนุน พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตรทัพ พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศเป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลำเลียง ทั้งหกทัพเป็นพลหมื่นหนึ่งยกไปตีเมืองพุทไธเพชร...

...ฝ่ายพระพุทธจักรและอาณาจักรทั้งปวงเล่า ก็แปรปรวนวิปริตมิได้ปกติเหมือนแต่ก่อน ครั้นลุศักราช 1143 ปีฉลู ตรีศก ทรงพระกรุณาให้แต่งทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์น คุมเครื่องราชบรรณาการลงสำเภาออกไป ณ เมืองจีนเหมือนตามเคยมาแต่ก่อน และปีนั้นโปรดให้หลวงนายฤทธิเป็นอุปทูตออกไปด้วย

ครั้นถึง ณ วันอาทิตย์ แรม 6 ค่ำ เดือน 9 สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ โรงพระแก้ว ให้ประชุมพระราชาคณะพร้อมกัน และพระองค์มีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส สำคัญพระองค์ว่าได้พระโสดาปัตติผล จึงดำรัสถามพระราชาคณะว่า พระสงฆ์บุถุชนจะไหว้นบเคารพคฤหัสถ์ซึ่งเป็นพระโสดาบันบุคคลนั้น จะได้หรือมิได้ประการใด"

เมื่อรวมเหตุการณ์ในพงศาวดารทั้ง 2 ฉบับ ลำดับเหตุการณ์จะเป็นดังนี้

"... 1.เดือน 2 ปีชวด เตรียมทัพ 2.เดือน 2 ปีฉลู ยกทัพ 3.เดือน 7 ปีฉลู ส่งทูตไปจีน 4.เดือน 9 ปีฉลู เกิดเหตุพระเจ้าตากมีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร ที่ผู้เขียน (ปรามินทร์ เครือทอง) พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า

พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!

หน้า 20

 

โดย: 122 IP: 118.174.30.33 7 เมษายน 2551 20:06:06 น.  

 

//news.mjob.in.th/technology/cat8/news2646/
วัน-สต็อป โฟโต้ช็อป ออนไลน์

สมัยนี้ หากจะให้อินเทรนด์ เกาะกระแสคนยุคไซเบอร์ อะไรๆ ก็ต้องไปรวมกันอยู่บนหน้าเว็บ บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกันหมด ไม่ว่าจะเป็นสังคม เพื่อนฝูงก็มีเว็บเครือข่ายทางสังคม เช่น เฟซบุ๊ก หรือฟลิกเกอร์ ที่เป็นแหล่งรวมพบปะของเพื่อนในกลุ่ม เป็นที่รวมของการแบ่งปันไฟล์ดิจิตอล และรูปภาพ หรือระบบงาน ซอฟต์แวร์ประเภทต่างๆ ก็เอาขึ้นไปไว้บนเครือข่ายเพื่อให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถเรียกหาได้แบบออนไลน์ หรือที่รู้จักกันว่า ซอฟต์แวร์ในฐานะบริการหนึ่ง (software as a service) หรือ คลาวด์ คอมพิวติ้ง (cloud computing)
บริการในยุคบุกเบิกก็อย่างเช่น โปรแกรมอี-เมล์ แต่ปัจจุบันมีการขยายขอบเขตการให้บริการไปสู่การสร้างและจัดการกับคอนเทนต์หรือเนื้อหาบนเว็บไปอย่างหลากหลาย เรื่อยไปกระทั่งจัดการกับระบบปฏิบัติการได้ทั้งระบบทางออนไลน์ ซึ่งข้อดีคือ ไม่เสียเวลาในการอัพเกรดซอฟต์แวร์ในมุมของผู้ใช้งาน เพราะหน้าที่ดังกล่าวตกเป็นของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายเสียมากกว่า

หันมาที่บริการระบบงานออนไลน์ ล่าสุด ทางอโดบี ก็ขอขี่กระแสความแรงของยุคคลาวด์ คอมพิวติ้ง ด้วยการส่งบริการแต่งภาพโฟโต้ช็อปขึ้นไปไว้บนออนไลน์อีกหนึ่งบริการซึ่งต้องบอกว่าในขณะนี้ยังเป็นเพียงเวอร์ชันทดสอบดูกระแสตอบรับของตลาด โดยเป็นเวอร์ชันพื้นฐานที่ชื่อว่า โฟโต้ช็อป เอ็กซ์เพรส อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถปรับแต่งภาพของตนได้อย่างสะดวกผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

ทั้งเนื่องจากเป็นบริการที่มีการใช้งานบนเว็บ จึงไม่ผูกติดกับคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องใดเครื่องหนึ่งเช่นการใช้งานซอฟต์แวร์ทั่วไปที่ต้องติดตั้งลงบนเครื่อง หากแต่ผู้ใช้เอ็กซ์เพรสจะสามารถใช้งานบนคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ รวมถึงระบบปฏิบัติการและโปรแกรมอินเตอร์เน็ต บราวเซอร์ใดๆ ก็ได้ และทันทีที่มีการลงทะเบียนใช้งานบนเว็บ ผู้ใช้ยังจะสามารถเข้าถึงบัญชีการใช้งานส่วนตัว (account) จากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้เช่นกัน

ในส่วนการใช้งาน เพียงแค่ผู้ใช้เข้าไปลงทะเบียนเพื่อใช้งานทางเว็บไซต์ //www.photoshop.com/express ก็สามารถเข้าไปใช้บริการระบบงานได้ฟรี โดยสามารถอัพโหลดภาพของตนขึ้นไปบนเครือข่าย และปรับแต่งด้วยชุดเครื่องมือพื้นฐานของโปรแกรมแต่งภาพโฟโต้ช็อปซึ่งสามารถสั่งการด้วยการชี้และคลิก สามารถจัดการได้ทั้งลดตาแดงของแบบในภาพ เลือกใช้เฉพาะส่วนของภาพ ปรับความมืด-สว่างของแสง ปรับความเข้ม-จางของสี และฟังก์ชันอื่นๆ หรือหากการปรับแต่งภาพยังไม่เป็นที่พอใจ ผู้ใช้ยังสามารถย้อนภาพกลับไปที่การปรับแต่งแต่ละครั้งเพื่อแก้ไข หรือกดเพียงปุ่มเดียวเพื่อกลับไปยังภาพต้นแบบก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถจัดกลุ่มภาพลงไปไว้ในอัลบั้มภาพที่เก็บบนเว็บหรือจะเลือกโพสต์ภาพลงในเว็บเครือข่ายทางสังคม ทั้งหมดสามารถทำได้ง่ายจากโปรแกรมที่เดียวกันในโฟโต้ช็อป เอ็กซ์เพรส แบบวัน สต็อป เซอร์วิส ที่สำคัญผู้ใช้แต่ละรายที่สมัครเป็นสมาชิกเพื่อใช้งานบนเว็บยังจะได้รับพื้นที่เก็บสำรองข้อมูลออนไลน์อีกคนละ 2 กิกะไบต์ ซึ่งภายใต้แผนระยะยาวจะเพิ่มบริการให้มากกว่านี้แต่จะอยู่ในบริการที่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

โดยอโดบีเองก็เห็นว่าการให้บริการโปรแกรมโฟโต้ช็อป เอ็กซ์เพรสแบบฟรีๆ นอกจากเป็นการนำร่องทดสอบตลาดแล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังเป็นแผนการทำตลาดและเป็นยุทธศาสตร์ในการแนะนำสินค้าที่จะขายในครั้งต่อๆ ไป โดยบริษัทหวังว่า ลูกค้าบางรายหลังจากทดลองใช้แล้วติดใจ ในที่สุดก็อาจหันมาซื้อซอฟต์แวร์อย่างโฟโต้ช็อป เอเลเมนต์ส ที่ขายในราคา 99 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเลือกที่จะสมัครใช้บริการเอ็กซ์เพรสแบบเสียค่าบริการรายเดือนต่อไป







ข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ


 

โดย: 123 IP: 118.174.30.33 7 เมษายน 2551 20:42:32 น.  

 

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra02030451&day=2008-04-03§ionid=0131
วันที่ 03 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10981

สูจิบัตรเขาพระสุเมรุ มีแจกที่อยุธยา มรดกโลก

คอลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ



"พระเมรุ" แรกมียุคกรุงศรีอยุธยา เลียนแบบนครวัด "วิษณุโลก" จำลองเขาพระสุเมรุ เป็นรายการเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะ ที่กระทรวงวัฒนธรรมจะจัดให้มีขึ้นที่สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พรุ่งนี้ วันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2551 ตั้งแต่ 15.00 น. เป็นต้นไป

การเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะอย่างนี้เป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะระบบการศึกษาแห่งชาติมีปัญหาล้าหลังมาก และจำเป็นต้องร่วมกันทำด้วยวิธีต่างๆ กันไปตามความถนัดจัดเจนของกลุ่มนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องทำอย่างเดียวกันหรือเหมือนกัน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องมีความเห็นสอดคล้องกัน เช่น นักวิชาการอื่นๆ อาจเห็นต่างไปว่าพระเมรุมีกำเนิดตั้งยุคน่านเจ้า, ยุคสุโขทัย, ยุคเทือกเขาอัลไตก็ได้ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่ามีหลักฐานอะไรล่ะ? น่าเชื่อแค่ไหน?



แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ในความเคลื่อนไหวเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะ เพื่ออยุธยามรดกโลก ดังคำแถลงของผู้เกี่ยวข้อเรื่องนี้มีว่า

เหตุจากสื่อมวลชนเสนอข่าวอยุธยาถูกเตือนจากผู้หวังดีว่าจะถูกถอดจากมรดกโลก เพราะบริหารจัดการอยุธยา "มรดกโลก" เป็นสวนสนุก ไม่มีลักษณะเมืองประวัติศาสตร์ที่ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลก

ภาคประชาชนพลเมืองไทยสยาม จำต้องร่วมด้วยช่วยกันแบ่งปันแลกเปลี่ยนและเผยแพร่วิชาความรู้ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมกรุงศรีอยุธยาสู่สาธารณะ เพื่อผดาผดุงกรุงศรีอยุธยา "มรดกโลก" ให้ทรงค่าสืบไป

ขอย้ำว่า อย่า (good but mouth) ดีแต่ปาก ว่ารักอยุธยา มรดกโลกฉะนั้นต้องไปร่วมงานนี้ รับสูจิบัตรเขาพระสุเมรุ แจกฟรีทุกคน คนละเล่ม แล้วอ่านอย่างพินิจพิจารณาพยานหลักฐานต่างๆ ด้วยตัวเอง

หน้า 20

 

โดย: 124 IP: 118.174.30.33 7 เมษายน 2551 20:48:16 น.  

 

มทร.พระนครอบรมธรรมะ

รศ.ดวงสุดา เตโชติรส อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) พระนคร เปิดเผยว่า เพื่อตอบสนองนโยบายนำคุณธรรม และศีลธรรมอันดีงามสู่สถาบันการศึกษา มทร.พระนคร ได้จัดโครงการ ฝึกอบรมปฏิบัติธรรม เสริมสร้างปัญญา ในโครงการตามรอยพระพุทธศาสนา แนะแนวทางการปฏิบัติธรรม ร่วมกับชมรมคนรักพระนคร ให้กับคณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป โดยจัดฝึกนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันศุกร์ ซึ่งจะนิมนต์พระสงฆ์มาแสดงธรรมเทศนาระหว่างการนั่งสมาธิด้วย เพื่อให้นำหลักธรรมที่ได้ฝึกปฏิบัติไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างมีสติและเกิดปัญญา ถือเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมชีวิตให้แข็งแกร่ง และขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
รศ.ดวงสุดากล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาได้รับความสนใจในการเข้าร่วมฝึกปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมเข้าปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องทุกวันศุกร์ เวลา 18.00-20.00 น. ที่ห้องประชุม มทร. พระนคร (พณิชยการพระนคร) อีกทั้งยังเป็นการสนองตอบความต้องการของภาคประชาชนอีกด้วย ผู้ที่สนใจสอบถามโทร.0-2282-9009 ถึง 15 ต่อ 6023

หน้า 29







ข้อมูลจาก ข่าวสด

 

โดย: 125 IP: 118.174.30.33 7 เมษายน 2551 20:56:08 น.  

 

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01edi01040451&day=2008-04-04§ionid=0102
วันที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10982

ทีวีของรัฐ-สาธารณะ

บทนำมติชน



มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในวงการโทรทัศน์ของไทย เช่น ช่อง 11 เปลี่ยนชื่อเป็น NBT พร้อมกับปรับโฉมใหม่ทั้งรายการที่เน้นรายการข่าว ผู้ประกาศข่าว ผู้ปฏิบัติงานโดยเป็นทีมงานไอทีวีเดิมและทำพิธีเปิดป้ายสถานี โดยนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา สถานี ไทย PBS หรือสถานีโทรทัศน์สาธารณะแห่งแรกของประเทศไทยที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ โดยนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการสถานีชั่วคราวได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 1 เมษายน ว่า จะเปลี่ยนชื่อสถานีจากไทย พีบีเอส เป็น ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ และปรับผังรายการใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป ส่วน อสมท ทางนายจักรภพประกาศจะตั้งกรรมการบริหารหรือบอร์ด อสมท 9 คน ในเร็วๆ นี้ และให้เวลานายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม จากนั้นจะทำการประเมินผลการบริหารงาน หากทำได้ไม่ดีจะเปลี่ยนคนมาบริหาร ทั้งนี้ นายจักรภพแสดงความข้องใจที่ อสมท ขาดทุนไป 27 ล้านบาทในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

การเปลี่ยนแปลงในแวดวงโทรทัศน์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ทั้ง 3 สถานีล้วนเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่มีรายละเอียดทีแตกต่างกัน กล่าวคือ เอ็นบีทีคือสถานีโทรทัศน์ในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ หรือช่อง 11 เดิม ไทย พีบีเอสที่เปลี่ยนสภาพมาจากไอทีวีเดิม เป็นหน่วยงานรัฐที่ก่อกำเนิดตาม พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะ พ.ศ.2551 ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ แต่ใช้เงินทุนที่หักเอามาจากภาษีสุราและยาสูบ ไม่ให้มีโฆษณา เพราะต้องการให้เป็นทีวีสาธารณะ ส่วน อสมท เป็นบริษัทมหาชนจำกัด แต่กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ มีกรรมการบริหารคอยกำกับด้านนโยบาย โดยทำสัญญาจ้างคนมาเป็นผู้อำนวยการ

ความเป็นหน่วยงานของรัฐหรือทีวีของรัฐที่แตกต่างกันนี้ส่งผลต่อการปฏิบัติงานในความเป็นสื่อสารมวลชน ซึ่งปกติมีการแข่งขันกันอยู่ทั้งแข่งขันกับสื่อมวลชนในแขนงเดียวกันและแข่งขันกับสื่อมวลชนต่างแขนงสร้างประโยชน์ต่อผู้ชม สิ่งที่น่าคิดอยู่ตรงที่ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เดิมที่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียง มาเป็น เอ็นบีที เปลี่ยนภาพลักษณ์และคัดเลือกคนทำงานและบริษัทเข้ามาร่วมงาน ในความเป็นสื่อของรัฐนั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้พนักงานมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและการแสดงความเห็นโดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของผู้บังคับบัญชา แต่สภาพความเป็นจริงที่ปรากฏให้เห็นไม่เพียงแต่รัฐมนตรีที่กำกับดูแลประกาศจะสร้างความสมดุลของข่าว นำเสนอข่าวอย่างเป็นกลางและจะทำให้เป็นทีวีสาธารณะซึ่งอาจสร้างความสับสนต่อประชาชนว่า ทีวีสาธารณะที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร

สำหรับสถานีสาธารณะไทยพีบีเอสที่เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ คงจะสร้างความสับสนอยู่บ้าง เมื่อสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 -เอ็นบีทีประกาศตัวเป็นคู่แข่งในการเสนอข่าว ถือเป็นเรื่องที่ดี ไทย พีบีเอสมีเสรีภาพโดยสมบูรณ์และมีเงินทุนที่รัฐบาลต้องจัดให้ปีละไม่เกิน 2,000 ล้านบาทควรจะนำเสนอรายการต่างๆ ที่ประชาชนให้การยอมรับ โดยเฉพาะรายการข่าว แต่ในรอบเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า ยังไม่เข้มข้นเท่าที่ควร ซึ่งแตกต่างจากสมัยไอทีวีในยุคเริ่มต้น รวมทั้งรายการบันเทิงก็ยังไม่หลากหลาย ไม่ดึงดูดให้ประชาชนหมุนคลื่นมารับชม

ความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ การมีเสรีภาพ ของสถานีโทรทัศน์จะปรากฏให้เห็นก็ต่อเมื่อผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงานได้ระดมพลังกันสร้างสรรค์งาน ยิ่งในท่ามกลางสภาพการเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่ผันผวน ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มีความขัดแย้ง สถานีโทรทัศน์ต้องทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ ด้วยความตรงไปตรงมาในการให้ข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วน รอบด้าน ไม่ไปตัดสินเสียเองจากการที่เลือกข้างเลือกฝ่ายเหมือนนักการการเมืองหรือกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน โดยถือว่าประชาชนมีวิจารณญาณที่จะตัดสินได้เอง ไม่ต้องไปยัดเยียดให้คนเชื่อเพื่อจะได้เป็นพวกเดียวกัน

ความลำเอียงอันเกิดจากอคติก็ดี การเซ็นเซอร์ตัวเองด้วยความเกรงใจหรือเกรงกลัวต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาลก็ดี หากสถานีโทรทัศน์ช่องไหนมีพฤติการณ์เช่นนี้บ่อยครั้ง สาธารณชนสามารถเปรียบเทียบกับสื่อมวลชนอื่นๆ และย่อมสรุปได้เองว่า สื่อไหนคือสื่อเทียม สื่อไหนคือสื่อแท้ สื่อที่ต้องการเป็นสื่อแท้ต้องระมัดระวังการทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา

หน้า 2








 

โดย: 126 IP: 118.174.185.186 7 เมษายน 2551 21:26:50 น.  

 

// //www.komchadluek.net


มธ.ทำวัคซีนหวัดใหญ่รุ่นใหม่ฤทธิ์เต็มร้อยแม้เจอไวรัสกลายพันธุ์


ว่าที่ดร.ธรรมศาสตร์ ยึดคติหนามยอกเอาหนามบ่ง ใช้ไวรัสไข้หวัดนกเป็นแม่แบบในการพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่ออกฤทธิ์ได้แม้เจอไวรัสข้ามสายพันธุ์ ขณะที่วัคซีนทั่วไปทำไม่ได้ เผยทดสอบในหนูผ่านฉลุย คาดปีหน้าลุยทดสอบในคน

น.ส.กัญญารัตน์ถึงอินทร์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า ทีมงานศึกษายีนไวรัสไข้หวัดนกเพื่อเป็นแม่แบบในการพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบป้องกันไวรัสข้ามสายพันธุ์ ขณะที่วัคซีนไข้หวัดนกที่ใช้ในปัจจุบัน ออกฤทธิ์ที่โปรตีนเปลือกนอกของไวรัสเท่านั้น ขณะที่ไวรัสไข้หวัดแต่ละตัวมีโปรตีนที่เปลือกนอกต่างกัน ทำให้วัคซีนด้อยประสิทธิภาพหากไวรัสกลายพันธุ์ หรือข้ามสายพันธุ์

วิกฤติไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นทำให้มองว่ากระบวนการผลิตวัคซีนที่มีอยู่อาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ ไม่สามารถป้องกันไวรัสข้ามสายพันธุ์ และยังจำกัดระยะเวลาในการป้องกัน ทำให้ต้องฉีดทุกปี ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนกจะดื้อต่อยารักษาที่ใช้กันอยู่

ทีมงานจึงศึกษาหาโปรตีนที่ไวรัสไข้หวัดทั้ง11 สายพันธุ์มีเหมือนกัน และพบโปรตีนเป้าหมาย 2 ตัว คือ เอ็ม 2 อยู่ที่ผิวไวรัส และเอ็นพี อยู่ภายในกรรมพันธุ์ของไวรัส แต่สกัดออกมาได้ปริมาณน้อยเกินไป จึงนำมาตัดต่อทางพันธุกรรมโดยใส่เข้าไปในแบคทีเรีย เพื่อให้สามารถเพาะพันธุ์เพิ่มปริมาณ

ด้านศ.ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา ที่ปรึกษางานวิจัยวัคซีนไข้หวัดข้ามสายพันธุ์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การทดลองทำได้สำเร็จโดยผลิตโปรตีนดังกล่าวได้ไม่จำกัดจำนวน จากนั้นนักวิจัยนำโปรตีนเป้าหมายที่ได้ไปเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตวัคซีน และทดลองในหนู 60 ตัว ซึ่งหลังจากฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ก็จะได้รับไวรัสจากแมวที่ตายด้วยโรคไข้หวัดนก

การทดสอบพบว่าวัคซีนไม่เป็นอันตรายกับหนู สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานในร่างกาย อีกทั้งหนูกลุ่มที่ได้รับวัคซีนสามารถต้านทานไวรัสได้ดี ขณะที่หนูกลุ่มควบคุมมีอาการป่วย โดยมีอาการปอดอักเสบและเลือดออกในปอด ซึ่งเป็นอาการเดียวกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดนก

ขั้นตอนต่อไปสำหรับงานวิจัยนี้จะทดสอบในสัตว์ที่คล้ายมนุษย์ ซึ่งอาจจะใช้ตัวเฟอร์เรท (Ferret) และคาดว่าจะได้วัคซีนต้นแบบป้องกันไข้หวัดใหญ่ข้ามสายพันธุ์สำหรับใช้กับคนในปี 2552

ทั้งนี้โครงการวิจัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ข้ามสายพันธุ์ เป็นความร่วมมือของโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


 

โดย: 127 IP: 118.174.185.186 7 เมษายน 2551 21:50:22 น.  

 

มอง "โลกร้อน" ผ่านสายตาสื่อทรงอิทธิพล

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2551 22:29 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

เสวนาบทบาทสื่อต่อภาวะโลกร้อน


ทรงกลด บางยี่ขัน


จรูญพร ปรปักษ์ประลัย


ธาดา ปรีชาชาติ


ธารา บัวคำศรี (ขวา) เปิดตัวหนังสือโลกร้อน 5 องศา




ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรารับสารจากสื่อทีวีมากกว่าอ่านหนังสือพิมพ์ และเรื่องราวในภาพยนตร์ก็กระทบจิตสำนึกได้มากกว่าบทความดีๆ ประจำสัปดาห์ รวมไปถึงนิตยสารแนวๆ ที่มีอิทธิพลต่อความคิดวัยรุ่นได้มากกว่าคำสั่งจากผู้ใหญ่ แล้วสื่อเหล่านี้จะทำอะไรเพื่อสังคม ในภาวะที่ทุกคนกำลังตื่นตัวต่อสถานการณ์ "โลกร้อน" ได้บ้าง?

ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการนิตยสาร อะ เดย์ (A Day), ธาดา ปรีชาชาติ ผู้ควบคุมการผลิตรายการ "ปราชญเดินดิน" บริษัท พาโนรามา เวิลด์ไวด์ จำกัด และจรูญพร ปรปักษ์ประลัย ผู้กำกับ (creative director) ภาพยนตร์แอนมิเมชัน "ก้านกล้วย" ต่างเป็นตัวแทนของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์และสื่อภาพยนตร์ ร่วมถกถึง "บทบาทสื่อมวลชนต่อภาวะโลกร้อน" ภายในนทรรศการโลกร้อน 5 องศา ของกลุ่มกรีนพีชเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวริล์ด พลาซา กรุงเทพฯ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทรงกลดในฐานะคนทำสื่อที่มีอิทธิพลต่อเด็กวัยรุ่น ให้ความเห็นต่อหนังสือ "ต้นไม้ใต้โลก" ซึ่งเป็นงานเขียนของเขาเองว่าได้รับการตอบที่ดีจาก "เด็กตาใส" หรือ "เด็กเดินสยาม" ซึ่งเป็นเด็กที่ไม่เคยทำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้นจริงๆ แล้วมีจิตใจดีแต่ไม่รู้จะเริ่มทำอย่างไร จึงต้องการคนที่พูดกับเด็กกลุ่มนี้ได้ และกล่าวว่าการทำหนังสือเกี่ยวโลกร้อนออกมาแล้วขายดีนั้นแสดงว่าเป็นลางที่ดีเพราะมีคนสนใจ ทั้งนี้หลายคนอาจจะไม่ชอบหนังสือประเภทแฉดารา แต่แทนที่จะด่าว่าเป็นหนังสือไม่ดีก็ทำหนังสือดีๆ ออกมาดีกว่า

พร้อมทั้งยกตัวอย่างวิธีการเรียกร้องให้คนหันมาสนใจภาวะโลกแบบแนวๆ โดยเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ถือเป็น "วันโกหก" (April Fool Day) ซึ่งปีนี้เขาพบว่าทางอินเทอร์เน็ตมีการรณรงค์ให้อนุรักษ์แมมมอธ โดยให้ถือเป็นวันอนุรักษ์แมมมอธ (Save Mammoth Day) ด้วย แรกทีเดียวเขาสงสัยว่าเป็นมุขหรือเปล่าเพราะแมมมอธสูญพันธุ์ไปแล้ว เมื่อเข้าไปดูก็พบรายละเอียดว่าแมมมอธเป็นสัตว์หายาก แต่โลกร้อนทำให้น้ำแข็งละลายและค่อยๆ เผยซากแมมมอธออกมา เมื่อไม่มีน้ำแข็งก็ไม่มีอะไรปกป้องแมมมอธ ซึ่งเขาคิดว่าเป็นวิธีน่าสนใจที่เชิญชวนให้คนหันมาใส่ใจโลกภาวะโลกร้อน

ด้านธาดา ผู้ควบคุมการผลิตรายงานปราชญ์เดินดินและคนหวงแผ่นดินให้ความเห็นว่า สังคมของเรานั้นจะฟังแต่คนที่เป็น "ด็อกเตอร์" และจบการศึกษาดีๆ และตั้งคำถามว่าเราเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคนทั่วๆ ไป หรือชาวบ้านเขาก็มีสิ่งดีๆ ให้เราเรียนรู้จากเขาได้

ยกตัวอย่าง "ลุงสงัด" วัย 85 ปราชญ์เดินดินในรายงานของเขานั้นปลูกป่าโดยเริ่มจากไม่มีอะไรเลย ด้วยการนำกระป๋องนมที่คนอื่นทิ้งมาครั้งละ 10-100 ใบเพื่อใส่ดินสำหรับเพาะอนุบาลกล้ายางนา จนกระทั่งปัจจุบันองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็ได้มาขอต้นไม้เหล่านี้ไปปลูกบ้าง

"ถามว่าปลูกทำไม? แกบอกว่าดูทีวีแล้วได้ยินพระราชดำรัสว่า "ในหลวงจะเป็นน้ำพระราชินีจะเป็นป่า" แกจึงเริ่มปลูกป่าเพื่อในหลวง หรือ "จ่าวิชัย" ที่ทุกคนรู้จักดี แกปลูกป่ามา 18 ปี 2 ล้านต้น แต่ก็ยังมีคนสงสัยว่าคนอะไรจะปลูกป่าได้ขนาดนั้น ก็ไปตั้งกระทู้ทางอินเทอร์เน็ตวิเคราะห์ว่าวันหนึ่งแกต้องปลูกต้นไม้วันละกี่ต้นจึงจะได้ขนาดนั้น จริงๆ แล้วที่แกทำได้อย่างนั้นเพราะแกปลูกด้วยเมล็ดแล้วรอฝนให้ต้นไม้งอก"

"หรือ "ลุงฉ่ำ" ที่ตัดต้นไม้ในป่าดงดิบนครสวรรค์ไปกว่า 2 ล้านต้น วันนี้แกสำนึกแล้วหันมาปลูกป่าและเป็นประธานเครือข่ายชุมชนป่าแม่วงค์ แม่เปิน จ.นครสวรรค์ ทุกวันนี้สังคมชนบทมีคนอย่างนี้อยู่ เขากำลังช่วยคนในสังคมเมืองให้มีป่า" ธาดากล่าว

ส่วนจรูญพรตัวแทนจากสื่อภาพยนตร์กล่าวว่า โลกร้อนเป็นเรื่องที่ทุกสื่อต้องให้ความสนใจเพราะกระทบกับคนทั้งโลกและเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน ทางกันตนามองว่าเป็นปัญหาใหญ่และมีเวลาแก้ไขจำกัด ในเชิงของสื่อนั้นภาพยนตร์เป็นสื่อพิเศษที่เข้าถึงคนได้เยอะและเข้าถึงคนได้ง่าย ดังเช่นภาพยนตร์ An Inconvenienth Truth ที่ทำให้คนตื่ตัวต่อภาวะโลกร้อน แต่สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับคนทำภาพยนตร์คือต้องรีบคิดว่าจะทำอย่างไรให้ภาพยนตร์มีผลในแง่ปฏิบัติได้ ทั้งนี้มีคนที่รู้ข้อมูลว่าจะทำอย่างไรเพื่อลดโลกร้อนอยู่เยอะแต่ว่าทำได้หรือยัง

"น่าจะมีอะไรมากกว่าถือถุงผ้า-ปิดไฟ ควรมีนโยบายระดับประเทศเพราะโลกร้อนเรามองแค่จุดเล็กๆ ไม่ได้ มีหลายประเทศประเทศที่ใช่นโยบายปิดปากืมีกระบวนการตั้งคำถามว่าโลกร้อนจริงหรือไม่ ถึงจริงก็อย่าทำให้เศรษฐกิจพัง ปัญหาตอนนี้คือเกิดช่องว่างบางอย่างของความร่วมมือ-ร่วมใจ วิธีคิดของคนยังคิดถึงปัญหาส่วนตัวมากกว่าปัญหาส่วนรวม"

"ยกตัวอย่างพนักงานขององค์กรผลิตไฟฟ้าระดับชาติเขาได้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรีเขาก็ใช้อย่างเต็มที่โดยไม่คิดจะประหยัด ทั้งที่หน่วยงานออกมารณรงค์ให้คนประหยัดพลังงาน หากเรายังคิดกันแบบให้คนอื่นทำก่อน สุดท้ายผมคิดว่าปัญหานี้จะจบลงอย่างไม่สวย" จรูญพรกล่าว

ทั้งนี้กันตนากำลังผลิตแอนนิเมชันเพื่อให้คนตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งจรูญพรเผยถึงแนวทางนำเสนอของแอนนิเมชันดังกล่าวว่าที่สุดจะชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะคนเราไม่รู้จักพอ

นอกจากนี้ภายหลังการเสวนายังมีการเปิดตัวหนังสือโลกร้อน 5 องศาซึ่งเรียบเรียงและค้นคว้าข้อมูลโดย ธารา บัวคำศรี ผู้ประสานงานฝ่ายรณรงค์ประจำประเทศไทยของกรีนพีช เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนำข้อมูลคาดการณ์จากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกภายใต้คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ซึ่งระบุว่าแม้เราจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมากแล้วก็ตามแต่อุณหภูมิเฉี่ยผิวโลกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 องศาเซลเซียสในช่วงศตวรรษหน้า

และหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอีก 5 องศาเซลเซียสจากผ่านจุดผลิกผัน (Tipping Point) ไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทั้งหมดในโลกและโลกจะตกอยู่ภาวะวิกฤติร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยประสบมา.







 

โดย: 128 IP: 118.174.185.186 7 เมษายน 2551 22:00:51 น.  

 

i- CREATe 2008 เพื่อคนพิการ

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ คอนพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับศูนย์บำบัดเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการแห่งสิงคโปร์ จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือ i-CREATe 2008 ระหว่างวันที่ 13-15 พฤษภาคม 2551 ที่โรงแรงอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค โดยจะมีการนำเสนอผลงานวิชาการจากนักวิจัยประเทศต่างๆ จำนวน 70 ผลงาน พร้อมการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อการฟื้นฟูและช่วยเหลือประชากรคนพิการและ ผู้สูงอายุในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนนิทรรศการทางด้านเทคโนโลยีเพื่อคนพิการจากหน่วยงานและบริษัทเอกชนจากประเทศต่างๆ

หน้า 31

 

โดย: 129 IP: 118.174.185.186 7 เมษายน 2551 22:10:48 น.  

 


วันที่ 07 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3990 (3190)

"กทช."คลอดแผนจัดสรรเลขหมาย ตั้งสำนักบริหาร-ยึดเงื่อนไขแจกเบอร์เหมารายปี

กทช.คลอดร่างหลักเกณฑ์การจัดสรรเลขหมายฉบับล่าสุด ชงตั้งสำนักบริหารและจัดสรรเลขหมาย ขึ้นตรงคณะกรรมการกทช.รองรับการทำงานของคณะกรรมการเลขหมายฯ ออกเกณฑ์พิจารณาจัดสรรเลขหมายเหมาเป็นรายปี โดยใช้เกณฑ์อ้างอิงจากจำนวนลูกค้าย้อนหลัง 12 เดือน ยอมตัดเงื่อนไขเดิมที่ให้มือถือพรีเพดต้องผูกเบอร์ไปกับซิมการ์ด หลังเอกชนร้องกระทบการทำตลาด

พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ กทช.ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างหลักเกณฑ์การจัดสรรและบริหารเลขหมายโทรคมนาคม พ.ศ.2551 และเตรียมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในเร็วๆ นี้ โดยกระบวนการดังกล่าวจะเป็นการรับฟังความคิดเห็นเฉพาะประเด็นใหม่ที่ได้จัดทำขึ้นเพิ่มเติมหลังจากที่ได้ทำประชาพิจารณ์ไปก่อนหน้านี้ โดยร่างหลักเกณฑ์ฉบับล่าสุดได้มีการปรับโครงสร้างการบริหารเลขหมายและกระบวนการจัดสรรเลขหมายให้ดีขึ้น เช่น ให้มีคณะกรรมการเลขหมายโทรคมนาคม 5-7 คน ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ กทช.เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการจัดสรรเลขหมาย กลั่นกรองและเสนอความคิดเห็น รวมทั้งให้ข้อวินิจฉัยจำนวนเลขหมายที่ขอรับการจัดสรร

รวมทั้งให้จัดตั้งสำนักบริหารและจัดการเลขหมายโทรคมนาคม อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กทช.และคณะกรรมการเลขหมายโทรคมนาคม เพื่อรับผิดชอบงานธุรการ งานวิชาการ การประชุม รวบรวมข้อมูลและดำเนินงานด้านวิชาการ โดยให้มีผู้อำนวยการที่ได้รับการแต่งตั้งจากเลขาธิการสำนักงาน กทช.รับผิดชอบการปฏิบัติงาน และมีผลตอบแทนไม่น้อยกว่าตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงาน กทช.

ในส่วนของขั้นตอนการจัดสรรเลขหมายได้ปรับให้มีความรวดเร็วมากขึ้น เช่น ภายหลังจากที่เลขาธิการ กทช.ได้รับหนังสือขอรับการจัดสรรเลขหมายโทรคมนาคมแล้ว ให้แจ้งต่อกรรมการทุกคนภายใน 1 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือ และให้สำนักบริหารจัดการเลขหมายดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลให้แล้วเสร็จใน 7 วันเพื่อให้ กทช.พิจารณา จากนั้นให้เสนอต่อคณะกรรมการเลขหมายโทรคมนาคมเพื่อกลั่นกรองและให้ข้อเสนอแนะในการจัดสรรเลขหมายต่อ กทช. ภายใน 7 วัน

ส่วนหลักเกณฑ์การจัดสรรเลขหมายโทรคมนาคมในกรณีเลขหมายโทรศัพท์ประจำที่ต้องมีเลขหมายที่ใช้งานไปแล้วไม่น้อยกว่า 80% ของจำนวนเลขหมายที่ได้รับการจัดสรรในแต่ละพื้นที่ รหัสเลขหมายท้องถิ่น หรือ area numbering code ส่วนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผู้ยื่นขอรับการจัดสรรต้องมีเลขหมายคงเหลือพร้อมให้บริการเป็นจำนวนน้อยกว่าเลขหมายที่ให้บริการในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา

โดยจะพิจารณาจัดสรรให้ใช้งานในเวลา 1 ปี โดยผู้ขอรับการจัดสรรจะต้องแสดงหลักฐานรับรองว่าจะสามารถมี active numbers ไม่น้อยกว่า 80% ของจำนวนที่ขอรับการจัดสรร และรายงานข้อมูลแสดงจำนวนลูกค้าที่ใช้งานจริงในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาเพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบด้วย โดย กทช.จะทยอยจัดสรรให้ต่อการใช้งานคราวละ 3 เดือน

นอกจากนี้ส่วนของโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นการเรียกเก็บเงินล่วงหน้า (pre-paid) ซึ่งร่างหลักเกณฑ์ฉบับก่อนหน้านี้ได้กำหนดมิให้ผู้ประกอบการต้องบรรจุเลขหมายลงในซิมการ์ดก่อนที่จะมีผู้ขอใช้บริการด้วย อย่างไรก็ตามทางผู้ประกอบการได้แสดงความเห็นคัดค้านหลักการนี้เพราะเป็นอุปสรรคในการทำตลาด กทช.จึงตัดหลักเกณฑ์ข้อนี้ออกไป

สำหรับค่าธรรมเนียมเลขหมายไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยยังคงเก็บในอัตรา 12 บาท/เดือน สำหรับผู้รับใบอนุญาตรายใหม่ และ 24 บาท/เดือนสำหรับผู้ประกอบการรายเดิมที่ขอรับจัดสรรเลขหมายเพิ่มเติม และ 120 บาท/เดือน สำหรับเลขหมายที่ไม่ได้นำออกมาใช้งานภายในระยะเวลา 180 วัน ในรอบ 1 ปีนับจากวันที่ได้รับการจัดสรรโดยต‰องจˆายคˆาธรรมเนียมล่วงหน้า1ปี

แต่กรณีที่ไม่ชำระค่าธรรมเนียมภายใน เวลาที่กำหนด ผู้รับการจัดสรรจะต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่ม 2% ของอัตราค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระ/เดือน

หน้า 31

 

โดย: 130 IP: 118.174.185.186 7 เมษายน 2551 22:45:41 น.  

 

วันที่ 09 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10987

กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ...งมอะไรอยู่?

โดย ชลวิทย์ เจียรจิตต์ ภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครรินทรวิโรฒ



กระทรวงที่ควรจะสร้างภาพลักษณ์ให้กับสังคมในทุกรัฐบาลคือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงวัฒนธรรม การดูแลวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ อัตลักษณ์ ภาพลักษณ์ วัฒนธรรมไทย ให้โดนใจคนในสังคม ผ่านมาเกือบ 1 ไตรมาส ยังหาผลงานไม่พบ ถือว่าเดินเครื่องช้ามาก การทำงานแบบงานประจำ โดยไม่มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนโยบาย น่าเสียดายเวลาของประเทศไทย

สังคมไทยมีปัญหาเชิงปัญญาที่จะแก้ปัญหา เพียงเรื่องวุฒิการศึกษาต่างประเทศท่านยังปล่อยให้สังคมอึมครึม สะท้อนภาวะความเป็นผู้นำอย่างน่าเป็นห่วง

ปัญหาในสังคมไทยที่เฝ้ารอการแก้ไขอย่างเป็นระบบหลายเรื่อง น่าจะมีโครงการนำโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เช่น ปัญหาสภาพจิตของคนในสังคม ปัญหาเด็กแว้น เด็กสก๊อย เด็กติดอินเตอร์เน็ต สร้างคลิปฉาวคาวโลกีย์ เด็กจรจัด สภาพจิตใจเด็ก ผู้ใหญ่ต้องการผู้กล้าสร้างเกมทันปัญหา

กังวลกับปัญหาเยาวชนไทยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นกรณีผู้ใหญ่ละเมิดสิทธิเด็ก ครูข่มขืนศิษย์ เด็กถูกล่อลวงทางอินเตอร์เน็ต ขายบริการทางเพศ มั่วสุมยาเสพติด ไม่รักการเรียนรู้ ขาดหลักยึดทางจิตใจ บ้าวัตถุนิยม ไม่มีจริยธรรม โกงข้อสอบโอเน็ต, เอเน็ต เน้นเพศนิยม ไม่สนใจเรื่องรับผิดชอบทางสังคม ขาดจิตสำนึกสาธารณะ ฯลฯ

กระทรวงที่ควรจะขับเคลื่อน ทัศนคติเยาวชนให้ใฝ่ดีไม่ตามกระแสโลกาภิวัตน์จนเสียจริต คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรเป็นเจ้าภาพต่อยอดไปทุกกระทรวง ควรมีโครงการหลากหลายที่จะทำให้เป็นนโยบายที่ยั่งยืนทางสังคม หากไม่สันทัด ลองไปศึกษาโครงการ CSR (Cooperate Social Responsibility) ขององค์กรเอกชนดูบ้าง เช่น โครงการทางการศึกษาของสำนักพิมพ์มติชน CSR ของบริษัทปูนซีเมนต์ โครงการ ESSO Challenge ที่เป็น CSR ของบริษัท เอ็กซอนโมบิล หรือโครงการของพระสงฆ์หลายรูปอย่างท่าน ว.วชิรเมธี สร้างโครงการดีๆ ให้เยาวชนมากมาย

หากสร้างสรรค์ไม่เป็นลองสั่งข้าราชการไปร่วมงานกับองค์กรเหล่านี้เพื่อมาทำในนามกระทรวงบ้าง

กระทรวงควรทำโครงการดีๆ ขอเสนอแนะดังนี้

1.โครงการเกี่ยวกับครอบครัว การอยู่ร่วมกัน สานสัมพันธ์วันครอบครัวแห่งชาติ จะทำอย่างไรให้พ่อ-แม่-ลูก อยู่ใกล้ชิด สนิทกัน

2.โครงการเกี่ยวกับการปลูกจิตสำนึกเยาวชน ควรขอความร่วมมือระหว่างพระสงฆ์รุ่นใหม่ หมอหรือผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิต และมหาวิทยาลัย เพื่อร่วมกันปรับทิศทาง ฉีดวัดซีนเข็มทิศชีวิต ความแกร่งทางจิตใจ ไม่ใช่แฟนทิ้งแล้วดิ่งพสุธา

3.โครงการสร้างภูมิปัญญา การให้เด็กใฝ่รู้ ใฝ่เรียน การสร้างห้องสมุดแบบอย่าง เช่น ห้องสมุดมารวย หรือห้องสมุดดีๆ ทันสมัยที่เด็กเยาวชนไทยอยากไปอยู่ใกล้ เพื่อใฝ่เรียนรู้ เด็กไทยส่วนใหญ่ใฝ่รู้แต่ขาดแรงหนุนเรื่องสถานที่ ลองคิดโปรเจ็คต์ดีๆ

4.โครงการมาตรฐานความพอเพียงของชีวิต ควรร่วมกับผู้ประกอบการทางธุรกิจ ไม่ควรสร้างกระแสตามแฟชั่น กระเป๋าแบรนด์เนม มีทัศนคติการทานพอเพียง การใช้สิ่งของพอเพียง สร้างนิสัยลดความอยาก จะปราศจากกระแสกิเลสความไม่พอในชีวิต

5.โครงการเยาวชนไทยปลอดภัยจากยาเสพติด สร้างค่านิยมเลวสำหรับเยาวชนกินเหล้าสูบบุหรี่ สร้างมาตรฐานคุ้มค่า เยาวชนทั้งการพูด แต่งกาย จิตใจ

ควรดูแบบอย่างโครงการ To Be Number One ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาเป็นแบบอย่างรณรงค์ดารามาช่วยสร้างกระแสสังคมไทยปลอดอบายมุข

อยากให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯทำโครงการเพื่อพัฒนาสังคมไทยให้ยั่งยืน และสร้างความมั่นคงทั้งทางกาย จิตใจ ให้แก่มนุษย์ในสังคมไทย

ข้าราชการในกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นคนมีความตั้งใจ สัมผัสได้จากเคยไปบรรยายให้ความรู้ มีความมุ่งมั่น อยากสร้างสังคมไทยในมิติหลากหลาย

ผู้เขียนก็เหมือนข้าราชการไทยทั่วไป หากไม่มีเจ้ากระทรวงคิดนอกกรอบให้มุ่งมั่น ทำโครงการดีๆ โดดเด่น ให้เป็นกระแส คงยากที่จะขับเคลื่อนกระทรวงให้ไปในทิศทางในการแก้ปัญหาหลายด้านให้สมชื่อ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

กระทรวง ทบวง กรม อื่นๆ ผู้เขียนไม่อยากไปเยี่ยม แต่กระทรวงที่อยากดูชื่อเจ้ากระทรวงเป็นกระทรวงแรกทุกครั้ง คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงวัฒนธรรม อยากเห็นผลงาน ใครจะฝากสั่งรัฐมนตรีมาด้วยเหตุใด ไม่สนใจ แต่ขณะนี้ ท่านคือเจ้ากระทรวงแล้ว อย่าคิดมาก มุ่งมั่นจัดการกับปัญหาในสังคม

ข้อเสนอผู้เขียนมีมุมมองไม่มาก แต่อยากให้ที่ปรึกษา และมหาบริวารร่วมช่วยกันประสานงานพัฒนาสังคมอย่างสร้างสรรค์

การเป็นรัฐมนตรี กว่าจะได้เป็นก็ยาก ได้เป็นแล้วก็ไม่ง่าย ถ้าจะทำให้เป็นตำนานถึงลูกหลานฝากงานคุณภาพไว้กับแผ่นดิน

แต่หากมาเป็นเพื่อเกียรติ มีอำนาจ เช้าเซ็นหนังสือ บ่ายประชุม เปิดงานเป็นเสนาบดีแนวนี้ ไม่ต้องจบปริญญาจากฟิลิปปินส์หรอก นายทองดี ป.4 ก็เป็นได้

หน้า 6

 

โดย: 131 IP: 118.174.128.243 9 เมษายน 2551 7:49:34 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11802


แจ้งจับนักข่าวบีบีซี-สมาคมนักข่าวต่างประเทศฐานหมิ่นเบื้องสูง หลังจัดสัมมนามีข้อความพาดพิง



ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) วันที่ 8 เม.ย. พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พงส.(สบ2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.บุญเลิศ กัลยาณมิตร พงส.(สบ2) บก.ป. เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับ นายโจนาธาน เฮด (Jonathan Head) ผู้สื่อข่าวบีบีซี และคณะกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112



กรณี นายโจนาธาน ซึ่งเป็นพิธีกรงานใช้ถ้อยคำเปิดรายการสัมมนาในหัวข้อเรื่อง "coup, capital and crown" ซึ่งเข้าข่ายความผิดดังกล่าว เหตุเกิดที่ห้องประชุมสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย อาคารมณียา ถ.เพลินจิตร แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2550



โดยนำสำเนาซีดีบันทึกภาพและเสียงในงานสัมมนาดังกล่าว เอกสารการถอดคำพูดเป็นภาษาอังกฤษ และเอกสารการถอดความเป็นภาษาไทยมามอบไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับเรื่องไว้ก่อนจะเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาต่อไป



พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พงส.(สบ2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน ให้สัมภาษณ์ว่า เนื่องจากทราบจากเพื่อนชาวต่างชาติ จึงไปขอดีวีดีที่ทางสมาคมผู้สื่อข่างต่างประเทศบันทึกไว้มาดู และเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วเห็นว่าถ้อยคำที่ใช้นั้นเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย ตนในฐานะคนไทยคนหนึ่งเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดี



"เรื่องนี้ขอยืนยันว่าไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เป็นเรื่องส่วนตัวที่ผมดำเนินการด้วยตัวเองทั้งหมด และพร้อมที่จะต่อสู้คดีหากมีการแจ้งความกลับ" พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กล่าว



ส่วนขั้นตอนการพิจารณานั้น พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กล่าวว่า เอกสาร และซีดีได้มอบให้พนักงานสอบสวนไว้แล้วซึ่งก็หมดหน้าที่ของตนแล้ว ส่วนขั้นตอนต่อไปเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนที่จะต้องส่งหลักฐานไปให้กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติถอดความอีกครั้งหากพบว่าเข้าข่ายความผิดก็ต้องเรียกตัวผู้ถูกกล่าวหามาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป



พ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร พงส.(สบ2) บก.ป. พนักงานสอบสวนที่รับแจ้งความคดีนี้ กล่าวถึงขั้นตอนการสอบสวนว่า หลังรับเรื่องแล้วต้องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาตั้งคณะพนักงานสอบสวนเพราะเป็นกรณีสำคัญ ส่วนหลักฐานที่ผู้ร้องทุกข์ให้มานั้นก็จะส่งให้กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำการแปลเป็นภาษาไทยอีกครั้ง รวมทั้งสอบปากคำนักวิชาการด้านภาษาเพิ่มเติมอีกว่าถ้อยคำที่มีการกล่าวหากันนั้นเข้าข่ายความผิดตามที่แจ้งหรือไม่



ที่มา: มติชนออนไลน์








--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 9/4/2551

 

โดย: 132 IP: 118.174.110.16 9 เมษายน 2551 19:37:43 น.  

 

พารากอนจัดงาน "สงกรานต์ มิวสิค เฟสติวัล" 13-15 เม.ย.นี้
วันที่ 13 เมษายน 2551 - 15 เมษายน 2551 เวลา 12:00 น.
พิมพ์ | อีเมล์
สถานที่จัดกิจกรรม
พาร์ค พารากอน สยามพารากอน


สยามพารากอน ร่วมกับ พีดี ครีเอชั่น จำกัด จับมือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงาน "แบงคอก สงกรานต์ มิวสิค เฟสติวัล แอท สยาม พารากอน” มิวสิคปาร์ตี้สุดคูลที่รวมศิลปิน-นักร้องกว่า 60 ชีวิต อาทิ เจ-เจตริน, คริสติน่า อากีเลร่า, ดา เอ็นโดรฟิน, อ๊อฟ-ปองศักดิ์, ไอซ์-ศรัณยู, โดม-ปกรณ์ ลัม, บี้ เดอะสตาร์, ปาล์มมี่, เจนนิเฟอร์ คิ้ม, โจอี้ บอย ฯลฯ มาร่วมงานตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ตลอด 3 วันเต็ม นอกจากนี้ในวันอาทิตย์ที่ 13 เม.ย. ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ท่านจะได้ชมขบวนแห่นางสงกรานต์จากซุปเปอร์โมเดล อาทิ ซินดี้-สิรินยา, จี๊ด-แสงทอง, เก๋-ชลลดา, โอเด็ต ฯลฯ พบกับความมันส์ในช่วงวันสงกรานต์ ตั้งแต่ 13-15 เม.ย.นี้ เวลา 12.00 - 24.00 น. ณ พาร์ค พารากอน สยามพารากอน


 

โดย: 133 IP: 118.174.110.16 9 เมษายน 2551 20:49:58 น.  

 

//www.prachatai.com/05web/th/home/11777


รายงาน : หักปากกา ‘หล่อเล็ก’ กทม. เมินปฏิญญา ‘ป้อมมหากาฬ’ เตรียมไล่รื้อชุมชนอีกครั้ง



ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง



เสียดายที่เวลาย้อนกลับไปไปในวันที่ 7 ธันวาคม 2548 ไม่ได้ จึงไม่ได้เห็นภาพลักษณ์ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหนุ่มที่มีบุคลิกของคนมีวิสัยทัศน์ยาวไกลจาก ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ที่ดูเป็นที่ยอมรับของ ‘ชุมชนป้อมมหากาฬ’ อย่างมากในวันนั้นกันอีกแล้ว เป็นภาพของผู้บริหารที่มีเหตุผล รู้จักรับฟังปัญหาและข้อเสนอของชาวบ้านรวมไปถึงการรู้จักนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาเป็นประโยชน์ในการดำเนินนโยบายจนสามารถเข้าไปจัดการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านใน ‘ชุมชนป้อมมหากาฬ’ กับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ด้วยเวลาไม่นานทั้งที่ปัญหานี้ยืดเยื้อมากว่า 13 ปี เพราะการบังคับใช้คำสั่งพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน พ.ศ. 2535 ให้เวนคืนที่บริเวณรอบๆป้อมมหากาฬมาทำเป็น ‘สวนสาธารณะ’





ใต้เงาต้นไทรอันเก่าแก่ หน้าบ้านโบราณร่วมร้อยปี หลังกำแพงพ่อปู่ป้อมปราการของเมืองหลวงที่สถิตย์สถานกว่า 200 ปี และท่ามกลางสายตาสาธารณะนับร้อยคู่เป็นพยาน กลางลานเอนกประสงค์ 7 ธันวาคม 2548 นายอภิรักษ์ จรดปากกาลงนามอย่างเป็นทางการในปฏิญญาร่วมกับนายธวัชชัย วรมหาคุณ ตัวแทนชุมชนป้อมมหากาฬ และนายวิวัฒน์ชัย อัตถากร อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากรในขณะนั้น เพื่อยืนยันการร่วมกันสร้างโครงการ ‘ชุมชนบ้านไม้โบราณป้อมมหากาฬ’









“ในอดีตกรุงเทพมหานครมีแนวคิดเรื่องการสร้างพื้นที่สีเขียว โดยหวังให้คนเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีการใช้กฎหมายในการจัดการพื้นที่ทำให้มีปัญหากับชุมชนในเรื่องการไล่รื้อเพื่อเวนคืนที่มาทำสวนสาธารณะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง แต่ถ้า กทม.ยังยึดหลักการที่จะเดินตามกรอบกฎหมายดังกล่าวเพียงอย่างเดียวจะทำให้ไม่มีทางออกในการแก้ปัญหาและเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนแท้จริง จึงหันมามองการพัฒนาที่มีชุมชนเป็นแกน” นี่คือคำกล่าว ของนายอภิรักษ์ ผู้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในวันนั้น



เขาพูดต่อไปอีกว่า ชุมชนป้อมมหากาฬต่อสู้เพื่อยืนกรานในสิทธิที่อยู่อาศัยมากว่า 13 ปี ในระหว่างนั้นทำให้ชุมชนเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งขึ้น อีกทั้งเดิมทีมีความผูกพันกับพื้นที่และรู้จักประวัติศาสตร์ของชุมชน จากการศึกษาของมหาวิทยาลับศิลปากร ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์และมีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม พบว่า ชุมชนป้อมมหากาฬมีจุดเด่นในเรื่องประวัติศาสตร์ของพื้นที่ โดยเฉพาะการสร้างบ้านด้วยไม้ติดต่อกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นที่เดียวที่เหลือในกรุงเทพฯ อีกทั้งชุมชุมชนยังเด่นทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเช่น การเป็นพื้นที่กำเนิดของลิเกที่เรียกว่า ‘ลิเกพระยาเพชร’ ทางมหาวิทยาลัยศิลปากรจึงเสนอแนวทางจัดการออกมาเป็น ‘โครงการชุมชนบ้านไม้โบราณป้อมมหากาฬ’ ซึ่ง ทาง กทม.เห็นว่าการพัฒนาแบบนำวิถีชีวิตชุมชนมามีส่วนร่วมเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงมาลงนามในปฏิญญาเพื่อร่วมมือกัน



แต่แล้วเวลาไม่ทันจะผ่านล่วง 3 ปีไปให้เต็มขวบ กทม. ชุดที่มีนายอภิรักษ์ เป็นผู้ว่าฯ ก็กลับมาอิหรอบเดิมที่พูดจากับประชาชนด้วย ‘กฎหมาย’ และ ‘ไม่มีชุมชนเป็นแกน’



วันที่ 3 เมษายน 2551 ทาง กทม. มีท่าทีชัดเจนออกมาผ่าน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความออกมาแล้ว กทม.ไม่สามารถที่เวนคืนที่ดินเพื่อนำไปสร้างโครงการพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตได้ (แนวทางการจัดการพื้นที่ที่ร่วมกันคิดออกมาหลังปฏิญญา 7 ธ.ค. 48) จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักการโยธา (สนย.) สำนักสิ่งแวดล้อม (สสล.) และสำนักพัฒนาสังคม (สพส.) ไปจัดทำแผนแต่ละฝ่าย เช่น สสล. จะต้องนำเสนอรูปแบบในการก่อสร้างสวนสาธารณะ โดยเฉพาะ สนย. จะต้องจัดทำแผนการรื้อย้ายทั้งหมดให้เสร้จเรียบร้อยก่อน และต้องนำเสนอแผนการรื้อย้ายไม่เกินภายในเดือนเมษายน โครงการดังกล่าวถือเป็นการทำตามเจตนารมณ์เดิมที่จะเวนคืนที่ดินเพื่อทำ ‘สวนสาธารณะ’



ทั้งนี้ ทางกทม. จะนำประกาศรื้อย้ายเข้าไปติดในพื้นที่ ชาวชุมชนมีเวลา 30 วัน เพื่อย้ายออกจากพื้นที่ จากนั้น สนย.จะเข้าไปรื้อย้ายทันที โดย กทม.ระบุว่ามีชาวบ้านพร้อมและโอนบ้านมาให้กทม.แล้ว 27 หลังคาเรือน และสนย. จะดำเนินการรื้อย้ายในส่วนนี้ก่อน (ที่มาจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 3 เมษายน)



ปัจจุบัน ชุมชนป้อมมหากาฬมีผู้อาศัยอยู่ 212 คน มีบ้านจำนวน 63 หลัง ซึ่งบ้าน 27 หลังที่กทม.ระบุว่ามีการโอนกรรมสิทธิแล้วเป็นบ้านไม้โบราณแทบทั้งสิ้น โดยเจ้าของเดิมเป็นผู้ให้เช่าแต่ไม่ได้อยู่ภายในชุมชนตั้งแต่ดั้งเดิม ในขณะที่ผู้เช่าเป็นคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนมานานและรู้จักกันกับคนอื่นๆเป็นอย่างดี

มีบ้านอีก 13 หลัง เป็นบ้านที่มีกรรมสิทธิชัดเจนและยืนยันว่าจะไม่ย้ายออกจากชุมชุม ในขณะที่มีบ้านจำนวน 5 หลังไม่มีบ้านเลขที่ และอีก 8 หลังยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับกรณีการไล่รื้อครั้งนี้



หลังวันที่ 7 ธันวาคม 2548 ชุมชนป้อมมหากาฬได้พยายามปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อแสดงจุดยืนว่าสามารถอยู่อาศัยและทำงานพัมนาพื้นที่ร่วมกันกับ กทม.ได้ เริ่มต้นจากการซ่อมแซมบ้านโดยเฉพาะบ้านไม้โบราณ มีการสร้างกระบวนการฟื้นฟูภูมิปัญญาและทำเป็นศูนย์ข้อมูลในชุมชน เช่น ประวัติศาสตร์ชุมชนในฐานะที่เป็นชุมชนที่มีการตั้งถิ่นฐานแบบชานพระนครริมน้ำแห่งสุดท้ายในกรุงเทพฯ ลิเกในฐานะที่ ‘ลิเกพระยาเพชรปราณี’ เป็นต้นกำเนิดของลิเกในประเทศไทย รวมไปถึงวิถีชีวิตอย่างการทำกรงนกเป็นธุรกิจสำคัญของชุมชน เป็นต้น



อีกโครงการหนึ่งที่เป็นรูปธรรมและเป็นการทำงานร่วมกันด้วยดีมาตลอดระหว่าง ชุมชน กรุงเทพมหานครและมหาวิทยาลัยศิลปากร มาตลอดคือแนวคิดในการทำชุมชนป้อมมหากาฬเป็น ‘พิพิธภัณฑ์มีชีวิต’ ซึ่ง การที่ กทม. เลือกนำวิธีการตีความกฎหมายตามตัวบทมาจัดการกับชุมชนอีกครั้ง จึงดูเหมือนเป็นการละทิ้งการทำงานกับชุมชนที่พร้อมทำงานด้วยและเดินจากการวางนโยบายด้วยองค์ความรู้ไปอย่างไม่แยแส



ทิศทางของ กทม. ในการไล่รื้อชุมชนดูเหมือนจะชัดเจนมาตั้งแต่เมื่อต้นปี ในเวทีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทางกทม. เคยกล่าวในเวทีนั้นอย่างสวนทางกับคำพูดของนายอภิรักษ์ เมื่อปี 2548 ว่า ชุมชนป้อมมหากาฬไม่ใช่ชุมชนโบราณ และคนไม่สามารถอยู่ร่วมกับโบราณสถานได้



นอกจากนี้ อีกทั้งในแง่กฎหมาย กฤษฎีกาได้ตีความมาแล้วในการให้อำนาจโดยชอบแก่ กทม.ในการสร้างสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์เก่าแก่ที่มีมาก่อนปี 2535 เสียอีก







ปลายเดือนมกราคม 2551 ทางชุมชนป้อมมหากาฬจึงได้เชิญคณะกรรมาธิการที่อยู่อาศัยของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีนายวิจิตร อยู่สุภาพ เป็นประธาน ลงพื้นที่ชุมชน เมื่อคณะกรรมาธิการชุดลงพื้นที่แล้ว มีเห็นว่า ชุมชนป้อมมหากาฬมีคุณค่าที่ควรรักษา จึงได้เตรียมจัดทำข้อเสนอทางด้านกฎหมายแก่ กทม. เพื่อให้แนวทางการจัดการร่วมเป็นไปได้ ล่าสุดกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำ

สำหรับผลสะท้อนจากฝั่งชุมชน เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2551 ชาวชุมชนป้อมมหากาฬจัดประชุมกันภายใน นายธวัชชัย วรมหาคุณ ประธานชุมชน กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่มาจากภายนอก “เขากำลังทำลายความเป็นพี่น้อง ความเป็นชุมชน ความเป็นเชื้อสาย แล้วเราจะทำอย่างไรถ้าเราถูกขโมยแผ่นดิน”



นายธวัชชัย เล่าให้คนในชุมชนฟังรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครเวลานี้ว่า การไล่รื้อชุมชนมีเกิดขึ้นหลายแห่ง ชุมชนย่านวัดกัลยาณมิตรก็กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน บ้าน 17 หลังกำลังถูกไล่รื้อและดำเนินการไปแล้ว 8 หลัง ในขณะที่ชุมชนหวั่งหลี ย่านวัดยานนาวาถูกไล่รื้ออกไปหมดแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอคนในหวั่งหลีที่รู้จักกันจึงถามเขาว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน เขาร้องไห้แล้วบอกว่า ตอนนี้เช่าบ้านอยู่แถวสุขาภิบาล 3 เมื่อก่อนนี้ตอนยังอยู่ที่หวั่งหลี เขาไปไหนคนก็รู้จักกันทั้งชุมชน แต่บ้านที่สุขาภิบาล 3 ก็เหมือนคุก เพราะไม่รู้จักใคร ตอนกลางวันลูกไปทำงานก็ต้องปิดประตูไว้ให้อยู่แต่ในบ้าน



“สำหรับชาวป้อมมหากาฬ เขาเตรียมที่ไว้ให้เป็นแฟลตที่บางบอน แต่เราจะยอมหรือไม่ ” เป็นคำถามที่ นายธวัชชัย โยนลงมาให้คนในชุมชนตอบเพื่อกำหนดจุดยืนและท่าทีที่ชัดเจนร่วมกันในอนาคต และคำตอบที่กลับมาเป็นไปเช่นเดียวกันกับเป้าหมายในตลอด 16 ปีที่ผ่านมา



นั่นคือ ‘การอยู่ในที่ดินเดิม’







ดังนั้น ถ้า กทม. ยืนกรานการจะสร้าง ‘สวนสาธาณะ’ ต่อไป สิ่งที่รออยู่ข้างหน้า คือ ความขัดแย้งระลอกใหม่ที่เริ่มตั้งเค้าอีกครั้ง ในขณะที่ กทม. ยังมีทางเลือกที่สามารถเดินไปกับชุมชนได้ เพราะกฎหมายที่นำมาบังคับใช้ดูเหมือนจะยังไม่ได้พลวัตรไปกับประชาชนในชุมชน แต่เป็นกฎหมายที่ออกมาตั้งแต่ กทม.ยังไม่เคยทำงานร่วมกับชุมชนเลย ซึ่งเหมือนเป็นการนำข้อบังคับเก่าแก่ตั้งแต่ปี 2535 หรือนำข้อบังคับที่เป็นรากเหง้าความขัดแย้งเมื่อ 15 ปีที่แล้วที่ยังไม่ได้แก้ไขมาบังคับใช้



หาก กทม. ซึ่งมีผู้ว่ามาจากพรรคประชาธิปัตย์ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเลือกจะเดินไปกับประชาชน ท่าทีที่น่าจะแสดงออกหลังกฤษฎีกาตีความก็ยังสามารถเป็นไปในทางเดียวกันกับคณะกรรมาธิการสภาที่ปรึกษาฯ ที่กำลังคิดทำงานด้านกฎหมายเพื่อหาข้อเสนอและความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่เป็นทางออกให้ประชาชนอย่างเป็นกระบวนการมากกว่าที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างทื่อๆด้านๆ



การเลือกทางบังคับใช้กฎหมายตอนนี้และทันที ทำให้ กทม. ในภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงในการต้องตอบคำถามสำคัญจากคนในชุมชน ‘ป้อมมหากาฬว่า ปฏิญญาที่นายอภิรักษ์ เคยลงนามไว้ และการทำงานร่วมกันที่ผ่านมาเกือบ 3 ปี แท้จริงแล้วมีความหมายเพียงแค่การสร้างภาพและยื้อเวลาในการ ‘ไล่’ และ ‘รื้อ’ เท่านั้นหรือ ?










--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 7/4/2551

 

โดย: 134 IP: 118.174.110.16 9 เมษายน 2551 21:06:33 น.  

 

//www.oknation.net/blog/Radish/2008/04/09/entry-1
ซอฟต์แวร์สำหรับสร้างเว็บไซต์
Posted by Naizan , ผู้อ่าน : 46 , 00:43:21 น. | หมวดหมู่ : มุมดาวน์โหลด
พิมพ์หน้านี้

โปรแกรม AppServ (สำหรับจำลองเครื่องเป็นเซิร์ฟเวอร์ เพื่อรันสคริปต์ php)
//www.appservnetwork.com/index.php
*freeware


โปรแกรม Dreamweaver MX 2004 (สำหรับเขียนโค๊ด และจัดองค์ประกอบของหน้าเว็บ)
//www.thaiware.com/main/download.php?id=3202&mirror=0+Dreamweaver&hl=th
*shareware


โปรแกรม Photoshop (สำหรับตกแต่งรูปภาพ เพื่อใช้ตกแต่งเว็บ)
//www.thaiware.com/main/info.php?id=2448
*shareware


โปรแกรม Web Album Generator 1.8 (สำหรับสร้างอัลบั้มภาพออนไลน์)
//www.ornj.net/
*freeware

สำหรับการติดตั้งและการใช้งานนั้น ก็หาได้ไม่ยากนะครับ ลองค้นหาจากบริการ search engine ทั้งหลายละกัน

 

โดย: 135 IP: 118.174.110.16 9 เมษายน 2551 21:18:44 น.  

 

สยองแรงงานพม่า ดับ 54 ศพ ทุรนคารถห้องเย็น [10 เม.ย. 51 - 12:52]

เมื่อเวลา 00.20 น. คืนวันที่ 10 เม.ย. ร.ต.ท.ศุภชัย ศรีสมโภชน์ ร้อยเวร สภ.สุขสำราญ จ.ระนอง รับแจ้งมีรถห้องเย็นลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่าหลบหนีเข้าเมืองมาจอดทิ้งไว้หน้าโรงเรียนบ้านบางกล้วยนอก ริมถนนเพชรเกษม หมู่ 3 บ้านบางกล้วยนอก ต.นาคา อ.สุขสำราญ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ไกรทอง จันทองใบ ผกก. พ.ต.ท.โชคชัย จารุจารี รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ยอดระบำ รอง ผกก.สส. ประสานขอรถพยาบาลและแพทย์ รพ.สุขสำราญเดินทางไปร่วมตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบรถสิบล้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 70-0619 ระนอง ดัดแปลงเป็นรถบรรทุกห้องเย็นจอดอยู่ข้างทาง กระจกบังลมหน้าติดสติกเกอร์ว่า “รุ่งเรืองทรัพย์” สภาพประตูฝาท้ายห้องเย็นเปิดอ้าทิ้งไว้ โดยมีแรงงานชาวพม่านั่งหมดแรงอยู่ข้างทางหลายสิบราย ส่วนภายในตู้ห้องเย็นเจ้าหน้าที่ถึงกับตะลึงเมื่อพบศพผู้เสียชีวิตกองสุมเรียงรายอยู่เต็มห้องเย็น จึงช่วยกันลำเลียงออกมาตรวจสอบอย่างทุลักทุเล พบว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 54 ศพ แยกเป็นเพศชาย 16 ศพ หญิง 36 ศพ และเด็กชายหญิงอย่างละ 1 ศพ ทั้งหมดเป็นแรงงานต่างด้าวชาวพม่าลักลอบหลบหนีเข้าเมือง

จากการสอบสวนทราบว่ากลุ่มแรงงานต่างด้าวชาวพม่าลักลอบเดินทางเข้าประเทศไทย โดยอาศัยเรือประมงลอยลำจากฝั่งพม่ามาขึ้นที่ฝั่งไทย และนัดหมายให้รถห้องเย็นคันเกิดเหตุมารับเพื่อเดินทางต่อเข้ามาตัวเมืองระนอง โดยมีแรงงานพม่าเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ในห้องเย็นกว่า 130 คน โดยใช้วิธียืนเบียดกันมา ปรากฏว่าระบบปรับอากาศในห้องเย็นเกิดขัดข้องทำให้ไม่มีอากาศหายใจ กลุ่มแรงงานส่วนใหญ่ทนไม่ไหวถึงกับฟุบหมดสติ พวกที่ยังพอมีเรี่ยวแรงช่วยกันทุบตัวถัง พร้อมทั้งส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งคนขับรถได้ยินเสียงผิดปกติจึงจอดรถลงไปดู พบว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากจึงรีบทิ้งรถเผ่นหนีไป บรรดาแรงงานที่รอดตายต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านแจ้งตำรวจมาตรวจสอบดังกล่าว สำหรับศพผู้เสียชีวิตทั้ง 54 ราย ทางเจ้าหน้าที่ต้องลำเลียงไปเก็บไว้ที่ รพ.สุขสำราญ ชั่วคราว

พ.ต.อ.ไกรทอง จันทองใบ ผกก.สภ.สุขสำราญ เผยต่อไปว่า อยู่ระหว่างตรวจสอบทะเบียนรถเพื่อติดตามตัวเจ้าของรถมาสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ส่วนแรงงานต่างด้าวที่รอดชีวิตมีทั้งหมด 67 คน ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 21 ราย ส่วนอีก 46 ราย ทางเจ้าหน้าที่ได้แยกตัวไปสอบปากคำและดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองต่อไป เบื้องต้นผู้รอดตายเผยว่า ขึ้นรถมาได้ไม่นานระบบปรับอากาศในห้องเย็นก็เสีย ทุกคนต่างดิ้นรนเพื่อจะเอาตัวรอดแต่ออกมาไม่ได้ ส่วนใหญ่ถึงกับฟุบหมดสติขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตา

สำหรับเหตุโศกนาฏกรรมตายหมู่ของแรงงานต่างด้าวเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 50 ที่ผ่านมา มีเรือประมงขนาดเล็กลักลอบขนแรงงานเถื่อนชาวพม่ากว่า 50 คน เดินทางออกจากเกาะสองฝั่งพม่า มุ่งหน้ามาขึ้นฝั่งที่ จ.ระนอง ปรากฏว่าระหว่างทางเกิดคลื่นลมแรง ทำให้เรืออับปางจมลงกลางทะเลอันดามัน ผู้โดยสารและนายท้ายเรือเสียชีวิตรวม 51 ศพ โดยศพส่วนหนึ่งลอยมาขึ้นฝั่งไทย บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะช้าง หมู่ 2 ต.เกาะพยาม ประมาณ 1 กม. และอยู่ห่างชายฝั่ง จ.ระนอง ไปราว 20 กม. เจ้าหน้าที่ไทยเก็บรวบรวมไว้ได้ 22 ศพ ส่วนศพที่เหลือลอยอืดอยู่ในทะเลฝั่งพม่า แต่ไม่มีใครสนใจมาเก็บศพ ปล่อยให้เน่ากลายเป็นอาหารปลาในทะเลทั้ง


 

โดย: 136 IP: 118.174.61.227 10 เมษายน 2551 18:30:04 น.  

 

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10988

จรรยาบรรณหายไปไหน

คอลัมน์ จอดป้ายประชาชื่น

โดย เพ็ญทิพย์ อักษรเนียม



ท่ามกลางกระแสความนิยมล้นปรี่ของประชาชนต่อซิตี้คอนโดฯ ในยุคน้ำมันแพง ทำให้ผู้ประกอบการผุดคอนโดฯขึ้นราวดอกเห็ด

ซิตี้คอนโดฯจะมีพื้นที่ใช้สอยต่อห้องประมาณ 30 ตารางเมตร มีราคาขายต่ำกว่าล้านเล็กน้อยหรือแพงกว่าล้านนิดหน่อย ชนชั้นกลางโดยเฉพาะผู้ที่ยังโสดสามารถหาซื้อได้ง่าย ส่งผลให้มีผู้ประกอบการหลายรายหันมาพัฒนาโครงการนี้จำนวนมาก รายไหนสายป่านยาว และผังเมืองเอื้ออำนวย ก็จะพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลายสิบชั้น

แต่หากใครต้องการขายเร็ว ก็ต้องทำโครงการขนาดเล็ก ซึ่งตามกฎหมายควบคุมอาคารระบุว่าจะสร้างได้สูงไม่เกิน 23 เมตรจากพื้นดิน หรือสร้างได้ไม่เกิน 8 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงขั้นต่ำ 2.60 เมตร

ล่าสุด กทม.ได้ไปสุ่มตรวจ พบ 11 โครงการของคอนโดวัน ที่มี พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เป็นเจ้าของ ก่อสร้างสูงเกินที่กฎหมายกำหนด!!

กทม.สั่งให้แก้ไขด้วยการทุบส่วนที่เกิน ส่งผลให้ลูกค้าที่จองชั้น 9 ต้องรับเงินคืน!!

เรื่องนี้ถือเป็นบทเรียนสำหรับลูกค้าที่จอง ที่ต้องตรวจสอบและศึกษารายละเอียดโครงการให้ดีก่อนตัดสินใจ

เจ้าของอาคารที่ลักไก่เพื่อหวังผลประโยชน์

สถาปนิกผู้ออกแบบรวมทั้งวุฒิสถาปนิกผู้เซ็นอนุญาตแบบ และวุฒิวิศวกรแต่ละสาขา ที่เซ็นอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้าง ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ร่วมกันทำ เพราะถือเป็นการผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ โทษขั้นต่ำคือการพักใบอนุญาต 5 ปี

กรณีที่เกิดขึ้น สภาวิศวกรและสภาสถาปนิก ต้องเชือดเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยกับโครงการอื่นๆ อีก

หน้า 18

มติชนออนไลน์

 

โดย: 137 IP: 118.174.61.227 10 เมษายน 2551 18:49:00 น.  

 

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10988

35 ปีแห่งที่มาของโทรศัพท์เคลื่อนที่ "มาร์ติน คูเปอร์" ผู้อยู่เบื้องหลังแห่งการพูดคุยตาม"คลื่น"

คอลัมน์ จูนคลื่น

โดย waisang@matichon.co.th





ยุคที่"โทรศัพท์เคลื่อนที่" ทุกคนในทุกมุมโลกมีติดตัว ใครจะรู้บ้างว่า ...ผู้อยู่เบื้องหลังแห่งการประดิษฐ์โทรศัพท์มือถือ เรียกกันติดปากนี้ในความสำเร็จนี้ คือ มาร์ติน คูเปอร์ (Martin Cooper) ซึ่งสามารถสร้างเครื่องต้นแบบ โทรศัพท์มือถือโมโตโรลา รุ่น DynaTAC สำเร็จเป็นเครื่องแรก เมื่อ 3 เมษายน 2516 เมื่อครั้งเขายังดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบริษัท โมโตโตลา ทั้งนี้ เขาใช้เวลาศึกษา จัดการกับ ฐานการสร้างเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไร้สายมาตั้งแต่ ค.ศ.1940 (พ.ศ.2483)

ความเป็นมาจากนั้น ก่อนเป็นโทรศัพท์มือถือ ปี.2520 มาร์ติน คูเปอร์ ได้พัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม อีก 4 ปี ต่อมา บริษัทเอทีแอนด์ที (AT&T)ร่วมกับห้องปฏิบัติการเบลล์ (Bell Labs) ได้พัฒนาต้นแบบระบบโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ใช้งานได้มาตรฐานเดียวกัน 1 ปีถัดมาระบบใหม่ได้เริ่มใช้งานเป็นครั้งแรกในมลรัฐชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา คนแรกที่มาร์ติน คูเปอร์ ใช้โทรศัพท์มือถือโทรไปหาคือ โจเอล เอ็งเจล (Joel Engel) หัวหน้านักวิจัยของบริษัทเอที แอนด์ ที และ เบล แล็บส์ พูดคุยกันรู้เรื่อง โมโตโรลา รุ่น DynaTAC 8000X จึงอวดโฉมจำหน่ายในปี 2526

ตามมาด้วย บริษัทในประเทศญี่ปุ่น ได้เริ่มให้บริการโทรศัพท์มือถือในเชิงพาณิชย์เป็นรายแรก ถัดมาประเทศสหรัฐอเมริกา

นับเป็นการปฏิวัติโลกแห่งการสื่อสารมาถึงวันนี้ และเป็น 1 ในสิ่งประดิษฐ์รอบ 50 ปี

ปีนี้ครบรอบ 35 ปีแห่งความสำเร็จที่ มาร์ติน คูเปอร์ ผู้บุกเบิกซึ่งอยู่เบื้องหลังการพลิกโฉมหน้าสังคมการสื่อสาร

นับแต่นั้นเป็นต้นมาโทรศัพท์เคลื่อนที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ และมากกว่าการเป็นเพียงแค่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบการทำงานต่างๆ ได้ถูกพัฒนาให้รองรับการบริการที่หลากหลายมากเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ-ส่งรูปภาพที่ถ่ายผ่านกล้องดิจิทัลขนาดเล็ก

พร้อมทั้งเสียง การฟังเพลงโปรดผ่านตัวรับสัญญาณวิทยุที่ติดมาในโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตลอดจนการเล่นอินเทอร์เน็ตและแชทกับเพื่อนรู้ใจ แต่ในอนาคตเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นอุปกรณ์ทุกอย่างที่ถูกควบคุมผ่านโทรศัพท์มือถือ และปัจจุบันบางส่วนเป็นจริงขึ้นมา เช่น การควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ผ่านโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋ว

ด้วยวัย 79 ปี ที่ยังดูแข็งแรง เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี กรุงลอนดอน เมื่อช่วงแรกคิดค้นเจ้ามือถือนั้น ไม่ได้คาดว่า อุปกรณ์ชิ้นนี้จะมีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบา และสามารถบรรจุมัลติมีเดียทั้งหลายไว้ในเครื่องๆ หนึ่งถือไว้ในมือเดียว เพราะโมโตโรลา โทรศัพท์รุ่นบุกเบิกนั้น มีขนาดใหญ่กว่าโทรศัพท์ในปัจจุบันมาก หนักเกือบ 2 ปอนด์ ยาว 10 นิ้ว และสามารถโทรออกได้แค่ 20 นาที แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปและเป็นไปได้ ซึ่งเขาเฝ้ามอง ติดตาม รวมถึงยังมีส่วนในการสร้างสรรค์มันด้วย

ทุกวันนี้ มาร์ติน คูเปอร์ ยังทำงานอยู่ และเขานั่งเก้าอี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอาร์เรย์คอมม์ ซึ่งเป็นผู้นำโลกในด้านเทคโนโลยีสายอากาศอัจฉริยะ

การกำเนิดของโทรศัพท์มือถือ ขึ้นมาได้นั้น เป็นเพราะ "จินตนาการ" ที่ไม่มีขอบเขตของมาร์ติน คูเปอร์ หากวันนี้เรามักเรียกว่า มันคือ วิสัยทัศน์นั่นเอง

หน้า 26 มติชนออนไลน์

 

โดย: 138 IP: 118.174.61.227 10 เมษายน 2551 18:54:49 น.  

 

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10988

ทุนอุปถัมภ์กับความฝันของซีพี

โดย เสรี พงศ์พิศ //www.phongphit.com โครงการมหาวิทยาลัยชีวิต



เป็นเรื่องดีที่สภาพัฒน์กับมติชนสุดสัปดาห์ช่วยกันเปลือยความคิด ความฝัน หรือวิสัยทัศน์ของ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ทำให้คนไทยได้รับรู้ว่า ลึกๆแล้วซีพีคิดอย่างไร

ต้องยอมรับว่าคุณธนินท์เป็นคนมีจินตนาการที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้อย่างยอดเยี่ยม และคงทำให้คนจำนวนไม่น้อยหลงใหลไปกับความฝันอันมีมนต์เสน่ห์ จึงอยากจะวิพากษ์ความฝันของซีพี ไม่อยากให้ผู้คนหลับใหลและได้แต่ฝัน เพราะ "เมื่อความฝันสิ้นสุดลง คนก็เริ่มค้นหาความจริงกันใหม่" อย่างที่อมาตยา เซน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ชาวอินเดียพูดไว้

หวังว่าการวิพากษ์นี้จะไม่ทำให้คุณธนินท์ด่วนสรุปเอาแบบที่พูดไว้ตอนท้ายที่สภาพัฒน์ว่า "ประเทศอื่นมองทุกคนเป็นคนดีหมด แต่เมืองไทย มองทุกคนเป็นผู้ร้าย มันไม่ใช่" ก็ดีนะที่อย่างน้อยก็มีคุณธนินท์ที่เป็นคนไทยและไม่ได้มองเช่นนั้น

คุณธนินท์พูดเรื่องน้ำ เรื่องการสร้างเขื่อน และยุให้รัฐบาลนี้ "กล้าสู้กับเอ็นจีโอและอธิบายให้เข้าใจ" ซึ่งก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพราะปัญหาไม่ใช่เอ็นจีโอโง่ ไม่มีข้อมูล ไม่เข้าใจ แต่เพราะมีความเข้าใจคนละอย่าง มีกระบวนทัศน์พัฒนาคนละแบบ มีวิธีการมองโลกมองชีวิตอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจากวิธีคิดแบบคุณธนินท์ที่ว่า "ถ้าทำเขื่อนแล้วสัตว์น้ำหายไปกี่ชนิด เทคโนโลยีวันนี้กรมประมงทำได้ เพาะได้ เราก็เพาะใส่เข้าไปก็แล้วกัน แล้วจะเสียหายอะไร มีแต่ทำให้น้ำไม่ท่วม เราใช้น้ำได้ประโยชน์เต็มที่ ใช้น้ำมาปั่นไฟ"

คิดแบบนี้เรียกว่าคิดแบบกลไก คิดแบบแยกส่วน คิดแบบลดทอน (reductionism) ชีวิตก็ดี สิ่งแวดล้อมก็ดีเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ซับซ้อน มีระบบ มีคุณค่ามหาศาล ลดทอนลงมาให้เหลือแค่พลังงาน เอาน้ำมาปั่นไฟ ไม่ให้น้ำท่วม โดยไม่ได้คิดถึงสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวม ไม่ได้คิดถึงระบบคุณค่า ความหลากหลายทางชีวภาพ ความสมดุลของธรรมชาติ ของวิถีชุมชน ซึ่งมีประเพณี วิถีวัฒนธรรม

คนคิดแบบนี้ไม่เชื่อว่า "เด็ดดอกไม้ดอกเดียวกระเทือนถึงดวงดาว"

เขาพูดเรื่องความเสี่ยงของเกษตรกรได้อย่างน่าฟัง และน่าคิด และซีพีก็ได้ทำมาหลายสิบปีที่ช่วยเกษตรกรไม่ให้รับความเสี่ยง (คนเดียว-และมากเกินไป อันนี้เขาพูดไม่หมด) ซีพีให้ชาวบ้านเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง ปลูกข้าวโพด ปลูกพืชต่างๆ โดยใช้พันธุ์ของตนเอง อาหารของตนเอง ปุ๋ย ยา และอื่นๆ ของตนเอง ชาวบ้านมีหน้าที่เพียงเลี้ยง-ปลูก ดูแลให้โต ให้ได้ผลตามวิธีการ ขั้นตอนที่ซีพีบอก

ชาวบ้านคิดว่า ปลูกแล้ว เลี้ยงแล้วจะเอาพันธุ์ไปขยายเอง ปลูกเอง เลี้ยงเองก็ทำไม่ได้ ต้องเอาของซีพีเท่านั้น ถึงเอาไปจากที่ตนเองปลูกและเลี้ยงก็ปลูกไม่ได้ เลี้ยงไม่โต

แต่ถ้าหากเพื่อลดความเสี่ยงซีพีจะรับเอาความเสี่ยงไป และให้เกษตรกรเป็นเพียงแรงงานเท่านั้น ถามว่าเป็นอะไรที่พึงปรารถนาสำหรับสังคมที่กำลังพัฒนาหรือไม่ และเกษตรกรเขารับได้และยอมหรือไม่ หรือว่า ส่วนหนึ่งต้องยอมเพราะไม่มีทางเลือก

นี่เป็นวิธีคิดแบบอุตสาหกรรม ต่างกันเพียงว่าแทนที่ "กรรมกร" จะทำในโรงงานก็ทำในทุ่งในสวน ในเล้าไก่ คอกหมู โดยมีผู้จัดการใหญ่นั่งคอยบอกคอยสอน คอยควบคุมดูแล ระบบแบบนี้ขอเรียกว่า "ทุนอุปถัมภ์" ก็แล้วกัน เขาปฏิเสธว่านี่เป็นทุนผูกขาด เขาอธิบายได้สวยงามแบบทวงบุญคุณว่า เป็นการให้นายทุนมารับความเสี่ยงแทนเกษตรกร

น่าแปลกใจไม่น้อย ที่เขาพูดเรื่องทุนมนุษย์ว่าสำคัญที่สุด แต่เขาคิดถึงแต่เพียงว่า จะหาคนเก่งจากทั่วโลกสักแสนคนมาอยู่เมืองไทย และประเคนสัญชาติไทยและบัตรประชาชนให้เลยทันทีโดยไม่ต้องมีเงื่อนไข แต่ไม่ได้คิดว่า ทำอย่างไรจึงจะ "พัฒนา" คนไทย สร้างคนไทยที่เป็นเกษตรกร เป็นชาวบ้านให้เป็นทุนมนุษย์ที่สามารถอยู่รอดและแข่งขันกับโลกให้ได้สักแสนคน

เสียดายที่เขาไม่ได้เอ่ยถึง "สถาบันปัญญาวิวัฒน์" เพื่อจะบอกว่าการศึกษาไทยล้มเหลว จนซีพีต้องลุกขึ้นมาสร้างคน สร้างทุนมนุษย์เพื่อไปทำงานให้ตนเอง แต่เขาก็ไม่ได้คิดถึงการสร้างเกษตรกรให้ "พึ่งพาตนเอง" เพราะซีพีมีวิธีคิดแต่เพียงว่าจะให้แรงงานและเกษตรกรพึ่งพาซีพีตลอดไปได้อย่างไร

เจ้าสัวซีพีมีภาพฝันที่น่าทึ่งว่า ในยุคที่น้ำมัน แพง สินค้าเกษตรเริ่มแพง ไทยควรต้องปรับตัวปรับการทำงาน ความร่วมมือกับประเทศอื่นเพื่อดันราคาสินค้าเกษตรอย่างข้าวให้สูงขึ้นอีกหลายเท่า ยางพาราให้ได้สักกิโลกรัมละ 150 บาท และสินค้าอื่นๆ อย่างปาล์ม มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย ซึ่งกำลังกลายเป็นพลังงานทางเลือก

เขาชวนฝันว่า ทำอย่างไรจัดการให้ 62 ล้านไร่ ที่ทำการเกษตรให้ได้ผลผลิตมากกว่าวันนี้ โดยการจัดการชลประทานให้ดีสัก 25 ล้านไร่ รวมทั้งปรับรูปที่ดิน จัดรูปที่ดิน "หาพันธุ์ที่ดี เอาเทคโนโลยีมาใส่" เขาฝันว่า วันนี้เมืองไทยขายผลผลิตการเกษตรได้เพียง 5 แสนล้านบาท ถ้าทำอย่างที่เขาแนะน่าจะได้ประมาณ 3 ล้านล้านบาท มากกว่าวันนี้ 6 เท่า

เป็นอะไรที่เข้าใจได้ว่า ถ้าเมืองไทยพัฒนาไปได้เช่นนี้ ซีพีก็ได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะคนกลางที่ค้าขายและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกกระบวนการขั้นตอนมากกว่าใครคือซีพี

เขาบอกว่า ประเทศพัฒนาแล้วเขาทำกันเช่นนี้ แต่เขาก็พูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เขามองแต่รัฐและนายทุน ไม่ได้มองเกษตรกร ไม่ได้มองประชาชนส่วนใหญ่ว่ามีทางออกทางอื่นอีกหรือไม่ นอกจากมาเป็น "แรงงาน" ให้นายทุนอย่างซีพี

ต้องถามว่า ประเทศพัฒนาแล้วรวมถึงเกาหลีและไต้หวันเขามีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำด้านการเกษตรแบบซีพีหรือไม่ หรือเกษตรกรของเขารวมตัวกันเป็นสหกรณ์และบริหารจัดการการผลิตผลผลิตทางการเกษตรเอง จนพ่อค้าคนจีนไต้หวันต้องมาอยู่เมืองไทย ตั้งบริษัทจัดการการเกษตร การแปรรูปผลผลิต เพราะที่นี่ยังมีที่มีทางให้ทำอีกมาก เพราะเกษตรกรอ่อนแอ ยังไม่สามารถรวมตัวกันเพื่อจัดการตนเองอย่างที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาทำกัน

ความเสี่ยงของเกษตรกรเป็นเรื่องจริง เสี่ยงเพราะทำไปโดยไม่มีความรู้จริง ไม่มีข้อมูล เห็นคนอื่นทำก็ทำตามมา เห็นเขาปลูกปอก็ปอ มันก็มัน อ้อยก็อ้อย เห็นเขาเลี้ยงหูม เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้งแล้วรวยก็เฮโลตามเขา แล้ววิธีการลดความเสี่ยงมีแค่การเข้าไปรับความเสี่ยงแบบซีพีหรือแล้วทำไมเกษตรกรถึงเจ๊งกัน เป็นหนี้กัน แม้ว่าทำ กับซีพี

ถ้าเกษตรกรเสี่ยงเพราะไม่มีความรู้ ไม่มีข้อมูล ก็น่าจะทำให้มีความรู้มีข้อมูล ถ้าไม่มีพลังเพราะทำ คนเดียวก็น่าจะมีการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน เป็นสหกรณ์ ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นทั่วประเทศว่า กลุ่มเกษตรกรก็ดี กลุ่มวิสาหกิจชุมชนก็ดี หรือสหกรณ์การเกษตรก็ดี มีที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ แต่ยังน้อยเกินไป ทำไมไม่หาทางช่วยให้กลุ่มเหล่านี้เข้มแข็ง

ปัญหาที่คุณธนินท์บอกว่า ให้รัฐบาลไปอธิบายให้เอ็นจีโอเข้าใจเรื่องเขื่อน เรื่องน้ำ ก็เป็นปัญหาเดียวกันกับที่มีคนพยายามไปอธิบายให้ซีพีเข้าใจวิธีคิดเรื่อง "ชุมชนเข้มแข็ง" เรื่องการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์ เป็นอะไรที่คนทำเซเว่นอีเลฟเว่นไม่ยอมเข้าใจ อ้างแต่ว่าได้ทำให้ผู้คนสะดวกซื้อ ได้ของดีมีคุณภาพ ขณะที่ร้านขายของชำเล็กๆ ในตำบล หมู่บ้านทยอยปิดลง คนเล็กคนน้อยหาที่ยืนไม่ได้ในสังคมที่มีการผูกขาดทุน

กระบวนทัศน์พัฒนาที่อยู่บนฐานการคิดแบบองค์รวม ย่อมไม่ได้มองคนเป็นเพียงแรงงานปัจจัยการผลิต ไม่ได้มองแค่รายได้ แต่มองคนในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่ต้องการเป็นอิสระ มีความฝัน ความใฝ่ฝัน ไม่ใช่เครื่องจักรกล ไม่ได้ทำได้เพียงกิน ขี้ ปี้ นอน แต่ต้องการความสุขและเสรีภาพ มีความภูมิใจใน "ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์" ศัพท์ที่เขียนเหมือนกัน สะกดเหมือนกัน แต่นายทุนกับเอ็นจีโอเข้าใจไม่เหมือนกัน

ต้องช่วยกันตั้งคำถามว่า วันนี้ประเทศไทยต้องการพัฒนาตนเองไปทางไหน และจะไปอย่างไร ด้วยวิธีการแบบไหน หรือว่าเราชัดเจนตั้งแต่ทำแผน 10 แล้วว่า เราจะอยู่แบบ "พอเพียง" จะใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนำ สภาพัฒน์ฟังคุณธนินท์แล้วยังคิดเรื่องพอเพียงอยู่หรือไม่ คิดแบบไหน

วันนี้ทั่วโลกกำลังตั้งคำถามว่า คนต้องการอะไร ถ้าต้องการความสุข ทำไมไม่แสวงหาความสุขด้วยวิธีการที่เป็นสุขจริง ทำไมต้องหน้าดำคร่ำเครียด หาแต่เงิน ทำแต่เรื่องเศรษฐกิจ ว่าแล้วรัฐบาลฝรั่งเศสก็จ้างนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลสองคน คือ โยเซฟ สติกลิตซ์ และ อมาตยา เซน มาช่วยทำ "ดัชนีความสุข" ต้องการ GDH แทน GDP

ถ้าวันนี้ประเทศเกษตรกรรมอย่างไทยกำลังได้เปรียบ ทำอย่างไรจะปรับยุทธศาสตร์พัฒนาที่ทำให้ผู้คนอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องเอาเศรษฐกิจเป็นตัวชี้วัด ไม่ใช่เห็นตัวเลข 3 ล้านล้านที่เจ้าสัววาดฝันให้ก็ตาโต

อมาตยา เซน บอกว่า "เพื่อก้าวพ้นนิยายของการพัฒนา เราจะต้องมีระบบเศรษฐกิจที่พึ่งตนเอง" สี่ห้าสิบปีที่ผ่านมาเราได้แต่ฝันไปกับนิยายของการพัฒนาที่สัญญาว่า "พรุ่งนี้รวย" ทั้งรัฐบาล ทั้งนายทุน ขุนศึกศักดินามาบอกมาแนะนำกันพร้อมหน้า

โยเซฟ สติกลิตซ์ อดีตที่ปรึกษาประธานาธิบดีบิล คลินตัน และรองประธานและหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจของธนาคารโลก คือคนที่วิจารณ์มาตรการของ IMF ที่ทำกับไทยและกับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายว่ามีวาระซ่อนเร้น เรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ของตนเองและประเทศพัฒนาแล้ว มากกว่าที่จะช่วยเหลืออย่างจริงใจ

ถ้าให้สองคนนี้พูดเรื่องเมืองไทยพวกเขาคงดีใจกับ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งคุณธนินท์ไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว ซึ่งก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะเขาเคยขอให้รัฐบาลกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เศรษฐกิจจะได้โต

ขณะที่ศาสตราจารย์โรเบิร์ต มันเดลล์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอีกคนหนึ่งพูดที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วว่า

"เศรษฐกิจพอเพียงจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็ก และยังไม่เข้มแข็งพอ เมื่อพิจารณาการใช้จ่ายรวมของประเทศ ประกอบด้วยการบริโภค ภาคเอกชน การลงทุนของธุรกิจ การใช้จ่ายภาครัฐบาล การนำเข้าและการส่งออกแล้วสามารถนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้โดยเริ่มจาก การสร้างความเข้มแข็งของภาคครัวเรือนที่เป็นหน่วยย่อยที่สุดของระบบเศรษฐกิจ"

การสร้างระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งตนเองไม่ใช่ความฝัน เราเห็นตัวอย่างมากมายในประเทศไทย ทั้งระดับชุมชนและระดับตำบล ไม่ว่าที่ไม้เรียง ที่ท่าข้าม ที่อินแปง เราเห็นว่า เงื่อนไขเพื่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งตนเอง คือ ต้องสร้างคน สร้างความรู้ และสร้างระบบ ซึ่งก็คือ เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง

เศรษฐกิจพอเพียงพูดถึง "ความพอประมาณ" ซึ่งเป็นความพอดี เป็นทางสายกลาง เป็นคุณธรรม เราไม่ได้สร้างอะไรที่เป็นนามธรรม เราสร้างคนที่มีคุณธรรม ที่รู้ว่าพอดีพองามอยู่ที่ไหน เศรษฐกิจพอเพียงพูดเรื่อง "มีเหตุผล" หมายถึงสร้างความรู้ ฐานความรู้ มีแบบมีแผน มีขั้นมีตอน

เศรษฐกิจพอเพียงพูดถึง "ภูมิคุ้มกันที่ดี" ซึ่งก็คือการสร้างระบบที่ดีนั่นเอง เพราะหากมีระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นก็จะมีความมั่นคง ยั่งยืน ไม่ทำโครงการซึ่งมีเงินก็ทำได้ แต่ต้องทำระบบ ซึ่งมีเงินอย่างเดียวทำไม่ได้ ต้องอาศัยความรู้และใช้ปัญญาจึงจะทำได้

วิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์ คือเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้เกษตรกรรวมตัวกันเพื่อจัดการการผลิต การตลาด การบริโภคในท้องถิ่น และการก้าวออกไปสู่ตลาดภายนอก รวมถึงการส่งออก ซึ่งก็ทำกันอยู่ เพียงแต่ยังน้อย ไม่อาจสู้กับซีพีได้ แต่หากว่า ได้เรียนรู้ ได้พัฒนาตนเอง เกษตรกรก็จะสามารถจัดการได้ทุกขั้นตอน เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย ซึ่งบางแห่งมีสหกรณ์หรือบริษัทของตนเองที่ดำเนินการขั้นตอนต่างๆ กลายเป็นยักษ์ใหญ่กว่าซีพีก็ยังมี แต่พวกเขาใหญ่จากข้างใน จากตัวเอง และทำเพื่อเกษตรกรซึ่งเป็นสมาชิก เป็นเจ้าของกิจการนั้น

หรืออย่างประเทศอิตาลี เศรษฐกิจแบบอิตาลีที่คนเล็กคนน้อยอยู่ได้ พัฒนาได้ ไม่ต้องมีบริษัทยักษ์ใหญ่แบบทุนอุปถัมภ์อย่างเดียว มีสหกรณ์เข้มแข็ง มี SME ที่ไทยไปเรียนรู้เอามาเลียนแบบ แต่ทำให้ดีไม่ได้เหมือนเขา

ระบบเศรษฐกิจแบบอิตาลีเป็นตัวอย่างหนึ่งของข้อโต้แย้งแนวคิดของ มาร์กซิสม์ และแนวคิดของทุนนิยม (อย่างน้อยสามานย์) ที่ว่าเศรษฐกิจชุมชน คือ เศรษฐกิจที่รอวันตาย เพราะทั้งสองระบบมองคนเป็นเพียงปัจจัยการผลิต เป็นแรงงาน ที่ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อใดที่มีการจัดการโดยรัฐหรือทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะมีระบบเศรษฐกิจ "ใหญ่" หนึ่งเดียวเท่านั้นไม่มีอะไรที่เรียกว่า เศรษฐกิจชุมชน

ประเทศไทยในยุคแผนฯ 10 ที่ประกาศว่าเศรษฐกิจพอเพียง คือปรัชญาของการพัฒนายุคนี้ ต้องตอบตัวเองให้ได้ เราจะพัฒนาแบบทุนอุปถัมภ์ที่มีหลักประกัน ความมั่นคง มีความเสี่ยงน้อย หรือจะพัฒนา เพื่อให้เกษตรกรอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีกินและมีความสุขแบบพอเพียง

หน้า 7 มติชนออนไลน์

 

โดย: 139 IP: 118.174.61.227 10 เมษายน 2551 19:05:00 น.  

 

วันที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10986

เงินรั่วไหลในท้องถิ่น

บทนำมติชน



ความอื้อฉาวจากกรณีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ถูกร้องเรียนว่ามีการทุจริตเกี่ยวกับการจัดซื้อหนังสือและสื่อการเรียนการสอนจากบริษัทเอกชนเพื่อมอบให้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตามจังหวัดต่างๆ และกระทรวงมหาดไทย โดยนายสุพล ฟองงาม รัฐมนตรีช่วยฯได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง แม้จะมีความคืบหน้า ดังที่ "มติชน" ได้ติดตามนำเสนอข่าวอย่างเกาะติด แต่ก็ถือว่าดำเนินไปด้วยความล่าช้าและกระทำการตรวจสอบ อบจ.ได้เพียง 4-5 จังหวัดเท่านั้น ทั้งๆ ที่ในปี 2551 มี อบจ.ถึง 66 จังหวัด ที่ตั้งโครงการจัดซื้อหนังสือและสื่อการเรียนการสอนเป็นเงิน 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งไม่น่าจะเชื่อว่าสุจริต โปร่งใสกันทั้งหมด นอกจากนี้ การสอบสวนต้องมีการลงไปในพื้นที่เพื่อดูเอกสาร สอบ ปากคำพยานบุคคลอันประกอบไปด้วยอดีตผู้บริหาร อบจ. เจ้าหน้าที่ อบจ. ผู้บริหารโรงเรียน เป็นต้น แต่คณะกรรมการมีแค่เพียง 2 ชุดเท่านั้น

หากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุพลไม่เอาจริงที่สอบถามความคืบหน้ากับคณะกรรมการสอบสวน หรือไม่สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้เอาเรื่องกับ อบจ. หากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไม่เข้มงวดกวดขันด้วยการแจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ระงับการรับหนังสือและให้ส่งหนังสือที่ไม่ถูกต้องคืนไปยัง อบจ. การดำเนินการของ อบจ.บางแห่งที่นำเอาความปรารถนาดีมาบังหน้าว่า ต้องการช่วยเหลือด้านการศึกษา อยากจะให้นักเรียนได้อ่านหนังสือดี มีประโยชน์ต่อปัญญา แต่เบื้องหลังคือช่องทางการหากินอันมิชอบก็ไม่ต่างไปจาก "อ้อยเข้าปากช้าง" ซึ่งเป็นธรรมดาที่ช้างจะต้องกลืนกินอ้อยลงไปในท้องของมันด้วยความเอร็ดอร่อยในรสหวานของอ้อย ไม่มีทางจะดึงอ้อยออกมาจากปากช้างหรือจากท้องช้างได้เลย

ขนาดทุจริตกันอย่างกว้างขวาง กินกันคำโตที่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ให้ตรวจสอบทั้งเอกสารของ อบจ. หนังสือเรียนที่ อบจ.พิมพ์รูปตัวนายก อบจ.เพื่อใช้สำหรับหาเสียง หาคะแนนนิยมเพื่อการเลือกตั้งสมัยต่อไปตัวเองจะได้รับเลือกกลับเข้ามาบริหารงานในท้องถิ่นอีกครั้งหนึ่ง การฮั้วประมูลของบริษัทเอกชนที่เข้าแข่งขันเสนอขายหนังสือพร้อมราคาขายซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นการสมยอมราคากันเองและเป็นบริษัทที่ส่งขายหนังสือไปทั่วประเทศ ซึ่งโจษจันกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ปิดไม่มิด นั่นคือเรื่อง อบจ.เรียกรับเงินใต้โต๊ะ 45-50 เปอร์เซ็นต์ จากบริษัทเอกชนที่อยากจะขายหนังสือและสื่อการเรียนการสอน แต่ก็แปลกที่ไม่เห็นอากัปกิริยาของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะทุกข์จะร้อน โดยหลังจากที่ส่งข้อมูลให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยว่ามี อบจ.ใดบ้างตั้งงบประมาณจัดซื้อหนังสือ สื่อการเรียนการสอนให้โรงเรียนแล้วก็เป็นอันจบเรื่องจบราวกัน ทั้งๆ ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรจะมีส่วนร่วมในการหาข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความโปร่งใสให้กับ อบจ.

เงินทองที่ อบจ.ได้รับและนำมาใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อหนังสือ สื่อการเรียนการสอนต่างๆ การจ้างครูพิเศษมาช่วยสอนตามโรงเรียนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนครู ฯลฯ เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่าเป็นเงินของ อบจ. แท้จริงแล้วเงินดังกล่าวเป็นภาษีของประชาชน ประกอบไปด้วยภาษีที่เก็บในจังหวัดว่าได้แก่ ภาษีการค้าจากน้ำมันเบนซิน น้ำมันที่คล้ายกัน น้ำมันดีเซล ก๊าซปิโตรเลียมที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ภาษีการค้ายาสูบ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะตามประมวลรัษฎากร ภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ ภาษีเพื่อการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ ค่าภาคหลวงแร่ ค่าธรรมเนียมจากผู้เข้าพักโรงแรม ฯลฯ ภาษีของประชาชนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ อบจ.ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่นในระดับจังหวัดซึ่งกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจก็บัญญัติไว้ว่าจะใช้ไปทางด้านใดบ้าง ซึ่งมีถึง 29 รายการ ยังจะต้องใช้อย่างคุ้มค่า เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่รั่วไหลไปเข้ากระเป๋าคนมีอำนาจใน อบจ.

การรั่วไหลของเงินภาษีอากรของประชาชนโดยฝีมือของ อบจ.มีมานานแล้ว และเมื่อผู้บริหาร อบจ.โดยนายก อบจ.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในจังหวัดอันเป็นไปตามตามกฎหมายใหม่เริ่มต้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน ปัญหาทุจริตก็ยังดำรงอยู่ แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยปรากฏว่าจะมีการสอบสวนจากกระทรวงมหาดไทย คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งไม่เกิดประสิทธิภาพในการตรวจสอบเท่าที่ควร กรมการปกครองที่กำกับดูแลผู้ว่าฯ นายอำเภอ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สภา อบจ. องค์กรภาคสังคมในจังหวัด ฯลฯ กลับไม่เคยหยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุพล และองค์กรอิสระอย่าง สตง.จริงจังกับเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะชำระความสกปรกใน อบจ.ได้ต้องทำเป็นการใหญ่ บางทีกรรมการสอบสวน 2 ชุด ไม่เพียงพอต่อการชำระสะสางสิ่งเน่าเหม็นที่หมักหมมมานานใน อบจ.ได้

หน้า 2 มติชนออนไลน์

 

โดย: 140 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 19:26:07 น.  

 


วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3991 (3191) ประชาชาติออนไลน์

สั่งจับตา1,400คอนโดส่อเดี้ยงสวล. กทม.เข้มผิด"รื้อถอน-ระงับก่อสร้าง"

สผ.-กทม.จับตาคอนโดฯ-อพาร์ตเมนต์ 1,400 โครงการ ตรวจเข้มเลี่ยงจัดทำรายงานอีไอเอ ลอตแรก 16 โปรเจ็กต์ แจ็กพอตสั่งแก้ไข ระงับก่อสร้าง จนถึงขั้นให้รื้อถอน เตือนดีเวลอปเปอร์ระวังกับดักมาตรา 39 ทวิ กม.ควบคุมอาคาร ฉวยช่องสร้างก่อนได้รับใบอนุญาตมีปัญหาภายหลัง

นายเกษมสันต์ จิณณวาโส เลขาธิการ สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เปิดเผยว่า จากที่ สผ. และกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีนโยบายร่วมกันตรวจสอบโครงการที่พักอาศัยรวม โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ฯลฯ ที่มีจำนวนยูนิตตั้งแต่ 80 ยูนิตขึ้นไป ซึ่งอยู่ในข่ายต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แต่หลายโครงการพยายามเลี่ยงดำเนินการ โดยอาศัยมาตรา 39 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ที่เปิดช่องให้ก่อสร้างได้ทันทีเมื่อยื่นแบบโครงการ โดยไม่ต้องรอให้หน่วยงานท้องถิ่น คือ กทม. ออกใบอนุญาตก่อสร้างให้ก่อน

พบว่ามีโครงการที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกระงับการก่อสร้างเพราะมีเจตนาเลี่ยงกฎหมายในหลายพื้นที่ จึงมีแผนจะตรวจเข้มในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอีก โดยมุ่งเน้นไปที่โครงการที่ก่อสร้างภายใต้มาตรการ 39 ทวิ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารเป็นกรณีพิเศษ โดยได้ประสานไปยังสำนักงานเขตของ กทม.ทั้ง 50 เขตแล้ว แนวทางดำเนินการคือในช่วงที่พิจารณาอีไอเอของแต่ละโครงการ ซึ่งขณะนี้มียื่นเข้ามา 1,400 โครงการ และส่วนใหญ่เป็นการยื่นขออนุญาตก่อสร้างภายใต้มาตรา 39 ทวิ กทม.จะลงพื้นที่ตรวจสอบไซต์โครงการว่าได้ดำเนินการตรงกับเอกสารที่ระบุไว้ในอีไอเอหรือไม่

"อย่างเช่น ระบุในอีไอเอว่าจะก่อสร้างโครงการสูง 5-6 ชั้น หากตรวจสอบพบว่ามีก่อสร้างเกินเป็น 7-8 ชั้น ถือว่าไม่ตรงกับที่ยื่นขออีไอเอ กทม.ก็จะระงับการก่อสร้าง เพราะที่ผ่านมาโครงการส่วนใหญ่จะยื่นขออนุญาตก่อสร้างแค่ 5-6 ชั้น จำนวนยูนิตไม่ให้ถึง 80 ยูนิตที่เข้าข่ายต้องทำอีไอเอ อาจจะระบุแค่ 75 ยูนิต จากนั้นจึงยื่นอีไอเอส่วนต่อขยายเพิ่มอีก 30 ยูนิตภายหลัง"

นายเกษมสันต์กล่าวว่า ในส่วนของ สผ.เวลานี้อยากขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการเจ้าของโครงการให้ดำเนินการให้ถูกต้อง แต่หากยังมีการฝ่าฝืนหรือเลี่ยงกฎหมายก็คงต้องดำเนินการโดยเฉียบขาด สผ.จะใช้วิธีตักเตือนบริษัทที่ปรึกษาซึ่งเป็น ผู้จัดการรายงานอีไอเอ หากรายใดจัดทำรายงานโดยไม่ตรงกับสภาพข้อเท็จจริงก็จะลดอายุใบอนุญาต หรือทำผิดร้ายแรงซ้ำหลายครั้ง ก็อาจถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต ขณะที่ กทม.จะสั่งระงับการก่อสร้างโครงการที่กระทำฝ่าฝืนกฎหมายทันที

ส่วนที่ผู้ประกอบการอ้างว่าต้องยื่นขออนุญาตก่อสร้างตามมาตรา 39 ทวิ เพราะการพิจารณาอีไอเอล่าช้า ยืนยันได้ว่าปัจจุบันการพิจารณาจะแล้วเสร็จภายในเวลา 75 วัน หากเกินไปกว่านั้นจะถือว่าอีไอเอผ่านการพิจารณาแล้ว ทำให้คณะกรรมการทุกชุดต้องเร่งดำเนินการโดยรวดเร็ว และรัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง

แต่ปัญหาอาจเกิดจากผู้ประกอบการบางส่วนเลี่ยงกฎหมาย หรือจำต้องเร่งก่อสร้าง รวมทั้งมีโครงการเกิดขึ้นจำนวนมากถึง 1,400 โครงการ ทำให้บริษัทที่ปรึกษาซึ่งมีอยู่แค่ 51 บริษัทไม่สามารถรองรับงานได้ทัน หรือบางส่วนมีงานล้นมือจนทำให้การจัดทำอีไอเอไม่ได้มาตรฐาน

แหล่งข่าวจากสำนักการโยธา กทม. เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบการก่อสร้างโครงการที่พักอาศัยรวม พบว่าขณะนี้มีที่ก่อสร้างผิดแบบ มีการต่อเติม ขยายจำนวนยูนิต หรือสร้างสูงเกินความสูง 23 เมตร ซึ่งถือเป็นอาคารสูงตามที่กฎหมายกำหนดหลายร้อยอาคาร กระจายอยู่ทั้ง 50 เขต ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานเขตไปดำเนินการตามกฎหมายควบคุมอาคารแล้ว วิธีการคือทางเขตจะสั่งให้ระงับการก่อสร้าง จากนั้นปิดประกาศห้ามใช้อาคาร และให้ดำเนินการแก้ไขภายใน 30 วัน ถ้าเจ้าของอาคารยังไม่ยอมแก้ไขก็จะต้องรื้อถอน และมีโทษปรับรายวันกรณีไม่ระงับการก่อสร้าง

"กทม.เข้าไปตรวจสอบอาคารทุก 15 วันอยู่แล้ว ส่วนาคารได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 39 ทวิ กทม.จะต้องตรวจสอบภายใน 120 วัน ซึ่งช่วงแรกจะไม่เห็นว่า เจ้าของอาคารสร้างผิดแบบ จะเห็นในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เมื่อตรวจพบก็จะให้แก้ไข หรือสั่งระงับการก่อสร้าง"

จากนั้นนอกจากจะเอาผิดจากเจ้าของอาคารแล้ว ยังลงโทษวิศวกรและสถาปนิกที่ควบคุมการการก่อสร้างด้วย โดยส่งรายชื่อให้กับสภาวิศวกรและสถาปนิกดำเนินการต่อไป แต่ที่ผ่านมาทางสภาฯไม่ได้มีการ ดำเนินการใดๆ การทำผิดจึงมีอยู่เรื่อยๆ เนื่องจาก กทม.ไม่มีอำนาจจะไปลงโทษได้

สำหรับอาคารที่สร้างหรือต่อเติมผิดไปจากแบบก่อสร้าง ขณะนี้พบว่าส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ ซึ่งสร้างเกินความสูงตามแบบที่ยื่นขออนุญาต ที่ดำเนินการแล้วมี 16 โครงการ ได้แก่ คอนโดวัน ของบริษัท พลัสพร็อพ เพอร์ตี้ จำกัด 11 โครงการ โครงการ เดอะ พลัส ของบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ซอยพหลโยธิน 37 นอกนั้นเป็นโครงการของบริษัท แอ็ทมิรัล จำกัด, บริษัท สุพรีมทีม จำกัด, บริษัท โชคพลัส จำกัด และบริษัท ฮาร์ทพลัสลิฟวิ่ง จำกัด

ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เท่าที่ทราบคอนโดฯที่สร้างสูงเกิน 23 เมตร มีอยู่หลายสิบอาคารกระจายอยู่หลายทำเล สาเหตุหลักๆ มาจากก่อสร้างไม่ถูกต้องตามแบบที่ยื่นขออนุญาต เช่น ไม่ได้ขุดชั้นดินในส่วนชั้นล่างสุดของอาคาร แต่ใช้วิธีก่อสร้างระดับเดียวกับถนน เมื่อสร้างเสร็จตัวอาคารจึงสูงเกินที่กฎหมายกำหนด

"อาจจะเป็นที่เจตนาของผู้ประกอบการที่ต้องการลักไก่ ไม่พยายามทำให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการก่อสร้างที่ต้องขุดชั้นดินลงไป เพราะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น" ดร.ธีระชนกล่าว

นอกจากปัญหาความสูงอาคารเกินกำหนด เวลานี้ผู้ประกอบการหลายรายยังมีเจตนาจะหลีกเลี่ยงการจัดทำอีไอเอ โดยก่อสร้างไปก่อนโดยอาศัยมาตรา 39 ทวิ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เช่น ระบุจำนวนห้องชุดให้ไม่เกิน 79 ยูนิต แต่เมื่อก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จและเตรียมโอนให้ลูกค้า จะซอยห้องชุดมากกว่าที่ยื่นขออนุญาตก่อสร้างตอนแรก แล้วยื่นอีไอเอส่วนที่ต่อขยายภายหลัง แต่ทราบว่า สผ.และ กทม.เข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ระบุว่า ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2550มีคอนโดฯที่อยู่ระหว่างเปิดขายรวม 185 โครงการ เปิดขายใหม่ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 รวม 44 โครงการ คิดเป็นจำนวนยูนิตที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 34,257 ยูนิต ยังไม่เริ่มก่อสร้าง 8,789 ยูนิต

หน้า 1

 

โดย: 141 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 19:31:40 น.  

 

วันที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10986

คำพิพากษาฎีกา-บันทึกสภา ไขความลับ"โภคิน-ทักษิณ" ปริศนา"ไอ้โม่ง"ฟันค่าเงินบาท

โดย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์





แม้เวลาผ่านไปเกือบ 11 ปี แต่ความลับดำมืดที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า มีนักธุรกิจขาใหญ่ที่รู้ความลับการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อเช้าตรู่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 และร่ำรวยจากการค้าเงินบาทยังไม่กระจ่างชัด

จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา (ที่ 5730/2550-ดูรายละเอียดใน"มติชนออนไลน์" //www.matichon.co.th.) ยกฟ้องคดีที่นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก นายสุเทพ เทือสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กับหนังสือพิมพ์อีก 8 ฉบับ เป็นเงินกว่า 2,500 ล้านบาท กรณีที่นายสุเทพอภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 26 กันายน 2540 โจมตีเรื่องการลดค่าเงินบาทว่า สงสัยว่า นายโภคินจะนำความลับเรื่องการลดค่าเงินบาทไปบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้บริษัทของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ประโยชน์จากการลดค่าเงินดังกล่าว

หลังจากนั้น "มติชนออนไลน์" นำบันทึกรายงานการประชุมสภาผู้แทนชุดที่ 20 ปีที่ 1 ครั้งที่ 25-26 ( สมัยสามัญครั้งที่ 2 เล่ม 21 พ.ศ.2540 ) หน้า 179-181 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 (วันเดียวกับที่นายสุเทพอภิปราย) มาเผยแพร่

บันทึกดังกล่าว เป็นคำอภิปรายของ พ.ต.ท.ทักษิณรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ชี้แจงข้อกล่าวหาของนายสุเทพที่พาดพิงว่า รู้ความลับเรื่องลดค่าเงินบาทจากนายโภคิน

เมื่อนำข้อเท็จจริงจากเอกสารทั้ง 2 ชิ้น มาเรียบเรียงและวิเคราะห์แล้ว อาจไขความลับที่เกิดขึ้นและไขปริศนาได้ว่า ใครคือ "ไอ้โม่ง" ที่ร่ำรวยจากการรู้ความลับในการลดลดค่าเงินบาทและนำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์

1

จากคำพิพากษาศาลฎีกาพบข้อเท็จจริงดังนี้

1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อภิปรายว่า ในการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อเช้าวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 มีขาใหญ่ร่ำรวยจากการรู้ความลับเรื่องการลดค่าเงินบาท เนื่องจากในการประชุมเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นความลับที่สุด (ก่อนประกาศลอยตัวค่าเงินบาท 3 วัน) ระหว่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธปท.นั้น มีนายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องอยู่ในที่ประชุมด้วย

2.นายสุเทพตั้งข้อสงสัยว่า นายโภคินได้นำความลับเรื่องการประชุมดังกล่าวมาบอก พ.ต.ท.ทักษิณ (ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์แอนด์คอมมูนิเคชั่น หรือชินคอร์ป) ซึ่งอาจมีการนำความลับดังกล่าวไปหาประโยชน์ด้วยการซื้อดอลลาร์ล่วงหน้าได้กำไรหลายพันล้านบาท

3.นายสุเทพระบุว่า รู้เรื่องดังกล่าวมาจากนายภูษณ ปรีย์มาโนช รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ (ขณะนั้น) นายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ และนายเริงชัย

4.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ปฏิเสธว่า การประชุมวันดังกล่าว มีผู้เข้าประชุมและรู้ความลับเพียง 3 คน คือ พล.อ.ชวลิต นายทนง และนายเริงชัย

5.นายโภคินยืนยันว่า ไม่ได้รับรู้การตัดสินใจปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ไม่เคยติดต่อหรือแจ้งโทรศัพท์บอก พ.ต.ท.ทักษิณและไม่เคยรับประโยชน์ใดๆ จากการปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว

6.ข้อเท็จจริงฟังยุติในชั้นศาลฎีกาว่า ในการประชุมเมื่อเช้าวันที่ 29 มิถุนายน 2540 มีนายโภคินร่วมอยู่ด้วย จากคำเบิกความยืนยันของนายเริงชัยและนายทนง ซึ่งเป็นพยานโจทก์ (นายโภคิน) โดยก่อนประชุมนายเริงชัยได้ทักท้วงแล้วว่า เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท ควรให้นายโภคินอยู่ด้วยหรือไม่ แต่ พล.อ.ชวลิตอนุญาตให้นายโภคินอยู่

7.คำเบิกความของนายเริงชัยและนายทนง แตกต่างขัดแย้งกับคำเบิกความของนายโภคินโดยสิ้นเชิง ( พยานทั้งสองปากเป็นประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์และไม่มีส่วนได้เสียในคดี ทั้งเป็นพยานที่โจทก์อ้าง จึงเชื่อว่า เบิกความไปตามความจริง)

การที่นายสุเทพอภิปรายว่า นายโภคินซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่สมควรจะไปนั่งอยู่ด้วยในการประชุมตัดสินใจที่จะให้ค่าเงินบาทลอยตัวนั้น

"ไม่ใช่ข้อความอันเป็นเท็จหรือฝ่าฝืนต่อความจริง ฟ้องของโจทก์ (นายโภคิน) ในส่วนนี้ต่างหากที่ฝ่าฝืนต่อความจริง"

8.ศาลเห็นว่า การกระทำของ พล.อ.ชวลิตที่ยอมให้โจทก์ (นายโภคิน) ร่วมรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท อันเป็นเรื่องความลับที่สุดซึ่งเกี่ยวกับประโยชน์และส่วนได้เสียของประเทศและประชาชนจำนวนมาก ก่อนวันประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ถึง 3 วันทั้งๆ ที่โจทก์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือควรรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและการตัดสินใจในครั้งนี้เลย และหลังจากนั้นยังยืนยันในที่สาธารณะต่อสื่อมวลชนมาโดยตลอดว่า มีผู้รู้ถึงการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเพียง 3 คนเท่านั้น คือ ตัว พล.อ.ชวลิต นายทนง และนายเริงชัย

"เป็นข้อพิรุธสำคัญ"

"ประกอบกับ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการค้ารายใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบเสียหายรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท อย่างผู้ประกอบธุรกิจการค้าใหญ่รายอื่น ที่มีหนี้สินเป็นเงินตราต่างประเทศที่ต่างประสบความเสียหายอย่างรุนแรง ย่อมเป็นมูลเหตุเพียงพอที่จะทำให้นายสุเทพซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายตั้งข้อสงสัยโจทก์ได้"



2

จากบันทึกการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ดู "มติชนออนไลน์" //www.matichon.co.th.) พบข้อเท็จจริงว่า

1.พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่า รู้เรื่องการประชุมเรื่องการลดค่าเงินบาทที่ทำเนียบรัฐบาลเพราะเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 มีคนโทรศัพท์มาบอกว่า มีการประชุมอย่างซีเรียสของคน 4 คน คือ พล.อ.ชวลิต นายเริงชัย นายทนง และ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าการ ธปท. และผู้จัดการทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน

2.พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า เนื่องจากนายชัยวัฒน์เป็นผู้จัดการทุนรักษาระดับฯ เลยเดาว่า สงสัยจะมีการลดค่าเงินบาท

3.พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า ขณะที่ได้รับโทรศัพท์รับประทานอาหารอยู่กับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ (เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น )และนักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนหนึ่ง และยังบอกเรื่องสงสัยว่า จะมีการลดค่าเงินบาทแก่ พล.ต.สนั่นด้วย

4.ไม่มีบันทึกการประชุมและข้อเท็จจริงว่า พล.ต.สนั่นตอบรับหรือปฏิเสธในเรื่องดังกล่าว

5.พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้บอกว่าคนที่โทรศัพท์แจ้งข่าวการประชุมเป็นใคร?



3

ทั้งจากคำพิพากษาศาลฎีกาและบันทึกประชุมการประชุมสภามีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

1.ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาศาลฎีกาและคำชี้แจงจาก พ.ต.ท.ทักษิณตรงกันคือ มีผู้เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับการลอยตัวค่าเงินบาท 4 คน

2.แต่ข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันคือ คำพิพากษาระบุว่า บุคคลที่ 4 คือ นายโภคิน พลกุล แต่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า คือนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์

3.จากข้อเท็จจริงที่ต่างกันดังกล่าวเป็นเพราะ บุคคลที่โทรศัพท์แจ้งข่าวแก่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกข้อมูลผิด หรือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้บอกข้อมูลที่เป็นจริง

4.ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรียอมรับต่อที่ประชุม (นายสุเทพ) ว่า มีคนโทรศัพท์แจ้งให้รู้ว่า มีการประชุมเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม 4 คน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของ พล.อ.ชวลิตและนายโภคินที่บอกว่า มี 3 คน

ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะนิ่งเฉยเสียหรือปฏิเสธว่า ไม่เคยรู้เรื่องการประชุมเรื่องการลดค่าเงินบาทก็สามารถทำได้

หรือ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ว่า ข้อมูลที่นายสุเทพรับรู้ยากที่จะปฏิเสธ (จนแต้ม?)

การยอมรับว่า มีคนโทรศัพท์แจ้งโดยระบุว่า บุคคลที่ 4 คือ นายชัยวัฒน์เพราะมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากนายชัยวัฒน์เป็นทั้งรองผู้ว่าการ ธปท. และผู้จัดการทุนรักษาระดับฯที่เกี่ยวข้องกับการดูแลค่าเงินบาทโดยตรง ทำให้กลบข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวนายโภคินได้?

5.ข้อสงสัยของนายสุเทพว่า มีคนโทรศัพท์มาบอกเรื่องการประชุมลดค่าเงินบาทกับ พ.ต.ท.ทักษิณสอดคล้องกับคำชี้แจง (คำสารภาพ?) ของ พ.ต.ท.ทักษิณ

6.พ.ต.ท.ทักษิณจงใจเปิดเผยพยานอ้างอิงในเหตุการณ์คือ พล.ต.สนั่นให้เกิดความน่าเชื่อถือ แต่ทำไมไม่ยอมเปิดเผยว่า ใครโทรศัพท์มาแจ้งข่าวการประชุมลับ (ถ้าไม่มีผลประโยชน์?) แต่ใช้วิธีการสร้างตัวละครคนที่ 4 ที่อยู่ในที่ประชุมแทนคนที่นายสุเทพอภิปรายถึง?

7.พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่า รู้ข่าวการประชุมลดค่าเงินบาทตอน 4 ทุ่ม วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 (ประกาศลอยตัวค่าเงินเช้าตรู่ วันที่ 2 กรกฎาคม 2540)

สำหรับนักค้าเงินขาใหญ่หรือนักธุรกิจที่มีเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ แม้เวลาดังกล่าวเป็นช่วงปิดตลาดเอเชีย แต่สำหรับตลาดนิวยอร์ก ซึ่งเพิ่งเปิดตลาดเนื่องจากเป็นช่วงเช้า เวลา 6-7 ชั่วโมง สามารถโกยกำไรได้อย่างมหาศาล

นอกจากข้อเท็จจริงจากเอกสาร 2 ชิ้นดังกล่าวแล้ว นายโภคินซึ่งหลังจากพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วได้รับการสรรหาให้เป็นรองประธานศาลปกครองสูงสุด และเป็นตัวเก็งประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่ 2 ต่อจากนายอักขราทร จุฬารัตน

แต่เมื่อมีนาคม 2547 นายโภคินได้ลาออกจากตำแหน่งรองประธานศาลปกครองสูงสุด มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณในช่วงที่เรืองอำนาจมากที่สุด

ถ้าดูจากปรัชญาการทำธุรกิจและการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานแล้ว การที่นายโภคินได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่เรื่องแปลก

หน้า 17 มติชนออนไลน์

 

โดย: 142 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 19:40:14 น.  

 

เวทีเสวนา:จีน-ธิเบต สู่โอลิมปิคเพื่อสันติภาพ ด้วยการเมืองที่เป็นธรรม
โดย : องค์กรร่วมจัด เมื่อ : 7/04/2008 04:42 PM
เวทีเสวนา จีน - ธิเบต“สู่โอลิมปิคเพื่อสันติภาพ ด้วยการเมืองที่เป็นธรรม”
วันพุธที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๔.๐๐ น. – ๑๗.๐๐ น.
ณ ห้องประชุม ๒๒๒ ชั้น ๒ ตึกคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

หลักการและเหตุผล

ธิเบต คุณูปการที่มีต่อโลก
แม้ว่าภาพของการลุกฮือขึ้นเรียกร้องสิทธิของชนชาติธิเบต ดูเป็นการจลาจลด้วยความรุนแรงจากรายงานที่เสนอผ่านสื่อต่าง ๆ แต่ความรุนแรงดังกล่าวย่อมไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยไร้ที่มาของปัญหา นับตั้งแต่กองทัพประชาชนของรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ ได้ยาตราทัพเข้าไปในดินแดนธิเบต ด้วยข้ออ้างถึงการปลดปล่อยธิเบต ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ (ค.ศ.๑๙๕๐) นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรม ของชนชาติธิเบต การลี้ภัยออกนอกประเทศขององค์ทะไลลามะและคุรุคนสำคัญอื่นๆ กลับกลายเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลสะเทือนต่อจิตวิญญาณของมนุษยชาติอย่างมาก เพราะกลายเป็นช่องทางที่ทำให้ภูมิปัญญาซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ขุนเขาหิมาลัย ได้สำแดงคุณค่าให้โลกประจักษ์ชัด พุทธศาสนาแบบวัชรยานของธิเบตกลายเป็นหัวหอกที่สำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่โลกตะวันตกอย่างกว้างขวาง

จีนกับการเจริญเติบโตทางวัตถุ
ในทางกลับกัน วิถีชีวิตและความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ ของธิเบตที่โลกได้รับรู้ กลับถูกเพิกเฉยจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของจีน ความพอใจกับสมบัติที่แม้ไม่มากมาย ความพึงใจกับการสะสมบุญและอุทิศตนเพื่อธรรมมะ ถูกมองเป็นความยากจนและล้าหลัง รัฐบาลจีนต้องการสร้างความเจริญทางวัตถุและหาประโยชน์จากธิเบต วิธีการหนึ่งที่รัฐบาลจีนนำมาใช้คือ การพยายามสนับสนุนให้คนต่างถิ่นอพยพเข้ามาตั้งรกรากและทำมาหากินในธิเบต จนนำมาซึ่งความแปลกแยกกับคนท้องถิ่น เหตุเพราะวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน รวมไปถึงความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายรายได้และทรัพยากร ปัญหาดังกล่าวค่อยๆ ก่อตัวสะสมมาอย่างยาวนาน บวกกับการที่รัฐบาลจีนได้จำกัดสิทธิในด้านต่างๆ ของชาวธิเบตโดยเฉพาะเสรีภาพในทางศาสนา มีการจับกุมคุมขังนักบวช ปิดวัด อยู่เป็นระยะตลอดเวลาห้าสิบกว่าปีที่เข้ายึดครองธิเบต ทำให้ความไม่พอใจที่สั่งสมมาถึงจุดแตกหักดังเหตุการณ์ที่กำลังที่เกิดขึ้น

การเจรจา หนทางสู่สันติภาพ? (dialogue?)
รัฐบาลจีนกล่าวโทษไปยังประมุขของทิเบตคือ องค์ทะไลลามะและรัฐบาลพลัดถิ่นของธิ
เบต ณ เมืองธรรมศาลา ว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าว ไม่ว่าข้อกล่าวหานี้จะเท็จจริงประการใดก็ตาม แต่นโยบายและการกระทำของจีนที่มีต่อธิเบตตลอดห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา ย่อมเป็นประจักษ์พยานว่า รัฐบาลจีนเป็นมูลเหตุสำคัญของปัญหาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้จะถูกบดบังด้วยภาพความรุนแรงของการจราจล แต่การเคลื่อนไหวของพระภิกษุสงฆ์ชาวธิเบตตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะในกรุงลาซาขณะนี้ ก็เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลจีนร่วมเจรจาวิสาสะ(Dialogue) ถึงเสรีภาพอันพึงมีทางศาสนาและวัฒนธรรมความเชื่อ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากจีนเสมอมา

ความเป็นธรรมกับการค้า
อีกทั้งนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลจีนในระยะหลัง เลือกที่จะละเลยความถูกต้องชอบธรรมต่าง ๆ ในการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในดินแดนที่มีความขัดแย้ง และถูกตั้งคำถามต่อเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็น กรณีดาร์ฟูร์ในซูดาน หรือต่อเหตุการณ์ในพม่า เป็นต้น รัฐบาลจีนเลือกใช้อำนาจและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีอยู่กับนานาประเทศ เป็นเครื่องมือในการยุติการวิพากษ์วิจารณ์และสร้างความชอบธรรมจากนานาชาติ ในกรณีของธิเบตก็ไม่ต่างออกไปนัก การใช้มหกรรมกีฬาโอลิมปิคเป็นเสมือนตัวประกันต่อนานาชาติ ในการเรียกร้องให้ยุติปัญหาโดยเร็วอย่างปราศจาการแก้ปัญหาอย่างถึงราก

องค์กรร่วมจัด
เราตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดเวทีเสวนาพูดคุยในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้ข้อมูลความรู้และสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชน ต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ และคาดหวังว่าความเข้าใจดังกล่าวจะนำไปสู่ท่าทีที่พึงมีพึงเป็นของสังคมไทยต่อกรณีนี้ด้วย

กำหนดการ
๑๔.๐๐ น. ลงทะเบียน และชมนิทรรศการ “วิถีแห่งธิเบต”
๑๔.๓๐ น.- ๑๕.๐๐ น. ฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับธิเบต
๑๕.๐๐ น.-๑๗.๐๐ น. เสวนา “สู่โอลิมปิคเพื่อสันติภาพ ด้วยการเมืองที่เป็นธรรม“

วิทยากร
๑. ภิกษุณีธัมมนันทา
๒.รสนา โตสิตระกูล
๓.ดร. สุรพงษ์ ชัยนาม
๔.Dorothy Guerrero

พร้อมชมนิทรรศการและหนังสือที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมธิเบต และพุทธศาสนานิกายวัชรยาน และการเปิดตัวหนังสือ “ปัญญาญาณแห่งการอภัย” (Wisdom of Forgiveness) ขององค์ทะไลลามะและวิกเตอร์ ชาน (นักหนังสือพิมพ์ชาวจีน)

องค์กรร่วมจัด : เครือข่ายพุทธิกา สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา โครงการสตรีและเยาวชนศึกษามหาวิทยลัยธรรมศาสตร์ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป อาศรมวงศ์สนิท INEB (International Network for Engage Buddhist) เสมสิกขาลัย

สำรองที่นั่งเข้าร่วมกิจกรรมฟรี :
เครือข่ายพุทธิกา โทรฯ ๐๒-๘๘๖๙๘๘๑, ๐๒-๘๘๓๐๕๙๒
E-mail: b_netmail@yahoo.com
สนพ.สวนเงินมีมา โทรฯ ๐๒-๒๒๒๕๖๙๘ ๐๒-๖๒๒๐๙๕๕ ๐๒-๖๒๒๐๙๖๖
E-mail: publishers@suan-spirit.com เว็บไซต์: //www.suan-spirit.com

 

โดย: 143 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 19:54:54 น.  

 

เชิญร่วมงาน วงสนทนาเกษตรอินทรีย์ ครั้งที่ ๒ (Green Dialogue)
โดย : เครือข่ายตลาดสีเขียว เมื่อ : 7/04/2008 04:36 PM
ในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2551 เวลา 13.30-15.00 น.

ณ สหกรณ์เลมอนฟาร์มพัฒนา จำกัด 104/34 หมู่1 ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. (สอบถามเส้นทาง : 02-5752222, 02-5753788)

มาทำความรู้จักกับมาตรฐานอาหารและผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ในแบบง่ายๆ ที่ผู้ประกอบเช่นคุณและชุมชนก็สามารถสร้างเองได้

ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนสบายๆและให้ความรู้โดย คุณนาถฤดี นาครวาจา ผู้จัดการสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์(มกท.)หน่วยงานที่ให้การตรวจสอบรับรองมาตรฐานในระดับสากล และได้การรับรองระบบ (Accreditation) จาก IFOAM
(ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ)

จัดโดย เครือข่ายตลาดสีเขียว
บริษัทสวนเงินมีมา 113-115 ถ.เฟื่องนคร ตรงข้ามวัดราชบพิธ พระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์ 02-2225698 , 02-6220955, 089-6419283(มิ้ม) โทรสาร 02-6223228
e-mail : suanco@suan-spirit.com
www.suan-spirit.com หรือ //www.thaigreenmarket.com

 

โดย: 144 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 19:57:18 น.  

 


ขอเชิญเข้าร่วม2008 การประชุมวิชาการ ISPOR THAILAND และเชิญร่วมนำเสนอผลงานวิจัย
โดย : โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ และองค์กรร่วมจัด เมื่อ : 7/04/2008 04:32 PM
โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และนักวิชาการในองค์กรวิชาชีพ International Society for Pharmacoeconomics and Outcomes Research (ISPOR) ประจำประเทศไทย จัดการประชุมวิชาการ ISPOR THAILAND ประจำปี 2551 ภายใต้ชื่อ "Pharmacoeconomics and Outcomes Research in Thailand : A Stepping Stone toward National Drug Policy"

ในวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2551 ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ 1 โรงแรมรามาการ์เดนส์ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจาก เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นพ.ชาตรี บานชื่น เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม

ความร่วมมือกันของ 3 หน่วยงาน ในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดแนวคิดสำคัญของการนำความรู้ทางด้านเภสัชเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับการคัดเลือกยาของประเทศ เป็นกลไกสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ที่จะนำไปสู่การประยุกต์ใช้จริงของเภสัชเศรษฐศาสตร์ นับเป็นเวทีในการรวมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและผู้สนใจทางด้านเภสัชเศรษฐศาสตร์ จากหลายองค์กร อาทิ มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ได้มีโอกาสเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ นำเสนอผลงานและความก้าวหน้าของงานวิจัย ก่อให้เกิดการทำงานร่วมกันของคณะทำงาน มีการขยายผลงานออกเป็นรูปธรรม เช่น การเข้าร่วมเป็นคณะทำงานที่ปรึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ทางยาและสาธารณสุข , การพัฒนาคู่มือในการประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ และการนำมาเพื่อใช้ประเมินความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ต่อระบบยาของประเทศ อีกด้วย

ผู้สนใจเข้าร่วมการนำเสนอผลงานวิจัย สามารถส่งบทคัดย่อผลงานวิจัยเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ด้วยรูปแบบตัวอักษร Angsana New ขนาด 16 pt. ไม่เกิน 250 คำ สำหรับภาษาอังกฤษ และความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4 สำหรับภาษาไทย พร้อมซีดี มาที่ น.ส.จันทนา พัฒนเภสัช โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ชั้น 6 อาคาร 6 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ถ.ติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 หรือ ทาง e-mail ptana2003@gmail.com ภายในวันที่ 30 เมษายน 2551 และจะประกาศผลบทคัดย่อที่ผ่านการคัดเลือก ภายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 โดยผู้เข้าร่วมการนำเสนอผลงาน จะมีค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน 1,000 บาท

สำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยาย โดยลงทะเบียนก่อนวันที่ 18 เมษายน 2551 จะมีค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน 1,700 บาท และ 2,000 บาท สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมหลังวันที่ 18 เมษายน 2551 ส่วนค่าลงทะเบียนสำหรับผู้ลงทะเบียนจากภาคเอกชน 3,000 บาท

พิเศษ !!! ค่าลงทะเบียน สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี/โท/เอก แบบเต็มเวลา เพียง 500 บาท และสำหรับเภสัชกร สามารถเก็บสะสมหน่วยกิตการศึกษาต่อเนื่องจากการประชุมครั้งนี้ได้ด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ น.ส.จันทนา พัฒนเภสัช โทรศัพท์ 02-590-4549 , 02-590-4373-5 หรือทางเว็บไซต์ //www.hitap.net ลิงค์ไปที่ //www.hitap.net/news_details.php?news_id=858


 

โดย: 145 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 20:05:00 น.  

 

โครงการฝึกอบรมนักวิจัยด้านสตรีศึกษาเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมอบรม รุ่นที่ 6
โดย : มูลนิธิผู้หญิง เมื่อ : 7/04/2008 12:26 PM
ในหัวข้อเรื่อง “วัฒนธรรม เพศภาวะ และการบริโภค”
(Culture, Gender and Consumption)

ฝึกอบรมวันที่ 14 – 28 กันยายน 2551 ณ ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมการฝึกอบรม
เปิดรับสมัครตั้งแต่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2551
ประกาศผลการคัดเลือก ภายในเดือน พฤษภาคม 2551

ติดต่อขอรับใบสมัครและสอบถามรายละเอียดได้ที่
//www.soc.cmu.ac.th/~wsc Email: wsc@chiangmai.ac.th
โทร 0-5394-3592 – 3, 0-2394-3572

จัดโดย
มูลนิธิผู้หญิง กฎหมายและการพัฒนาชนบท ร่วมกับศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยการสนับสนุนจาก NKJF (The Norwegian Female Lawyers Organization)

 

โดย: 145 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 20:29:47 น.  

 

ศมส. เปิดเสวนางานวิจัยอนาคตไฟใต้
โดย : ศุนย์มานุษยวิทยา เมื่อ : 7/04/2008 11:55 AM
ดร.ปริตตา เฉลิมเผ่า กอนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เผยว่า จากการที่ศูนย์ฯ ได้ให้ทุนสนับสนุนในการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นั้น ในวันพุธที่ 30 เมษายน 2551 นี้

จะมีการจัดเวทีสัมมนาผลงานวิจัยจากโครงการวิจัยในเรื่อง อนาคตไฟใต้ : สื่อ ทหาร เด็ก และทักษะวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นการนำเสนองานวิจัยในประเด็นต่างๆ อาทิ ไฟใต้ในสายตาสื่อเทศ : ทัศนะต่อรายงาน กอส. โดย คุณปรางทิพย์ ดาวเรือง นักรบกลับบ้าน : ประสบการณ์จากสมรภูมิ โดย พ.อ.หญิง พิมลพรรณ อุโฆษกิจ เมล็ดพันธุ์เลือด? : เด็กใต้ในฐานะเหยื่อความรุนแรง โดย ซากีย์ พิทักษ์คุมพล และ อยู่กันฉันท์มิตร : คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้ โดย แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ประเด็นต่างๆเหล่านี้เป็นผลงานวิจัยจากนักวิจัยในโครงการ และมีนักวิชาการที่มีชื่อเสียงให้ความเห็น ผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โปรดแจ้งการลงทะเบียนล่วงหน้า และรับจำนวนจำกัด

ติดต่อสอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 และ 3503 ดูกำหนดการได้ที่ //www.sac.or.th

 

โดย: 146 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 20:34:03 น.  

 

มอส.เปิดรับ "บัณฑิตทางกฎหมายที่มีใจให้คนจน"
โดย : มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เมื่อ : 8/04/2008 03:51 PM
มอส.เปิดรับ "บัณฑิตทางกฎหมายที่มีใจให้คนจน" เป็น "อาสาสมัครนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนรุ่น ๓"
๑ ปี มีสิ่งเหล่านี้.. ที่คุณจะได้!

ได้เพื่อนร่วมเรียนรู้
ได้พี่ทนายเป็นที่ปรึกษา
ได้สัมผัสปัญหาจริง
ได้ฝึกใช้กฎหมายช่วยเหลือผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ
และเป็นหนึ่งในเครือข่ายผลักดันแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิ์
เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งความดีงาม เป็นธรรม และสันติ ในสังคม.

หากจบนิติศาสตร์ อายุไม่เกิน ๓๐ ปี มีจิตใจมุ่งมั่นอยากเรียนรู้งานทางสังคม วาระการทำงาน ๑ ปีเต็ม ร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนทั่วประเทศ

รีบยื่นใบสมัครและเอกสารการสมัครงานมาที่ ฝ่ายอาสาสมัคร มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
๔๐๙ ชั้น ๒ ซอยโรหิตสุข ถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ แขวง/เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ๑๐๓๒๐

ตั้งแต่วันนี้ถึง ๓๑ พฤษภาคม ศกนี้


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร ๐ ๒๖๙๑ ๐๔๓๗ ๙, (พี่ดำ) ๐๘๔-๑๕๕-๐๑๖๒


ดาวน์โหลดใบสมัคร
//www.thaivolunteer.org/doawload/app.doc

รายละเอียดโครงการ
//www.thaivolunteer.org/mam/index.php?option=com_content&task=view&id=519&Itemid=40 พูดคุย ถาม-ตอบ
//www.thaivolunteer.org/news_board/view.php?id=585
เว็บไซด์มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
//thaivolunteer.org

 

โดย: 148 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 20:43:43 น.  

 

เปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดเมื่อ 3 เมษายน 2551
การสัมมนาโครงการวิจัย
“อนาคตไฟใต้: สื่อ ทหาร เด็ก และทักษะวัฒนธรรม”
จัดโดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
และศูนย์ข่าวสารสันติภาพ มูลนิธิเพื่อการศึกษาประชาธิปไตยและการพัฒนา
วันพุธที่ 30 เมษายน 2551
ณ ห้อง 407 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
8.30 น. ลงทะเบียน
9.00 น. ดร.ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(องค์การมหาชน) กล่าวรายงาน
9.05 – 9.15 น. คุณอนุสรณ์ วงศ์วรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเปิดงาน
9.15 – 9.45 น. ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมการบริหาร
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กล่าวปาฐกถานำ
9.45 – 10.00 น. พักรับประทานอาหารว่าง
รายการภาคเช้า
10.00 – 11.15 น. ไฟใต้ในสายตาสื่อเทศ: ทัศนะต่อรายงาน กอส.
โดย คุณปรางค์ทิพย์ ดาวเรือง
ผู้สื่อข่าวและนักวิจัยอิสระ
นำเสนอความเห็นโดย คุณสมเกียรติ จันทรสีมา
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดำเนินรายการโดย คุณประทับจิต นีละไพจิตร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
11.15 – 12.30 น. นักรบกลับบ้าน: ประสบการณ์จากสมรภูมิ
โดย พันเอกหญิงพิมลพรรณ อุโฆษกิจ
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
เปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดเมื่อ 3 เมษายน 2551
นำเสนอความเห็นโดย พลตำรวจโทสมศักดิ์ แขวงโสภา
อดีตผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดำเนินรายการ โดย อ.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
12.30 – 14.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
รายการภาคบ่าย
14.00 – 15.15 น. เมล็ดพันธุ์เลือด?: เด็กใต้ในฐานะเหยื่อความรุนแรง
โดย อ.ซากีย์ พิทักษ์คุมพล
สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
นำเสนอความเห็นโดย คุณทิชา ณ นคร
ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก
ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดำเนินรายการ โดย คุณนฤพนธ์ ด้วงวิเศษ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
15.15 – 16.30 น. ขัดกันฉันมิตร: คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้
โดย อ.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
นำเสนอความเห็นโดย คุณพระนาย สุวรรณรัฐ
ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารชายแดนใต้
คุณสมชาย เสียงหลาย
รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
รศ.ดร.วรวิทย์ บารู
วุฒิสมาชิกจังหวัดปัตตานี
ดำเนินรายการ โดย ผศ.ดร.นิติ ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
16.30 น. ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวปิดงาน

 

โดย: 149 IP: 118.174.110.233 10 เมษายน 2551 20:59:55 น.  

 

//coolapply.blogspot.com/
skip to main | skip to sidebar The Cool Applications


วันพฤหัสบดี, เมษายน 10, 2008
<20 เม.ย.51> Open House หลักสูตร MTT และ บรรยายพิเศษ "ICT Innovation"

รายละเอียด: Open House หลักสูตร MTT ของ วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ฟังบรรยายพิเศษ หัวข้อ "ICT Innovation" จาก ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์

วันเวลา: วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2551 เวลา 13.00-17.00 น.
สถานที่: ห้อง แกรนด์ บอลรูม 3 โรงแรม แกรนด์ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
สำรองที่นั่งได้ ตั้งแต่บัดนี้ถึง 19 เม.ย.51

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: โทรศัพท์ 02-623-5055-8 ต่อ 4132
แผ่นที่: //www.cie.tu.ac.th/web2/file/seminar/148_file.gif

เขียนโดย Cool Apply ที่ 8:36 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
<25 เม.ย.51> รักษาสุขภาพด้วยสมาธิ

รายละเอียด: บรรยาย เรื่อง รักษาสุขภาพด้วยสมาธิ โดย รศ.นพ.กัมมาล กุมาร ปาวา จัดโดย สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ์ื์

วันเวลา: ศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 13.00 – 15.00 น.
สถานที่: ห้องประภาศน์ อวยชัย ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-2264396 ต่อ 100

เขียนโดย Cool Apply ที่ 8:11 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: รักษา, สมาธิ, สุขภาพ
<24 เม.ย.51> ฝึกลมปราณเพื่อสุขภาพ ครั้งที่ 4

รายละเอียด: ฝึกลมปราณเพื่อสุขภาพ โดย อาจารย์ศุภกิจ นิมมานทรเทพ จัดโดย สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มิได้คิดค่าใช้จ่ายหรือเก็บค่าลงทะเบียนแต่อย่างใด

วันเวลา: พฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2551 เวลา 13.00-15.00 น.
สถานที่: ห้องประภาศน์ อวยชัย ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ


รายละเอียดเพิ่มเติม: โทร. 02-2264396 ต่อ 100

เขียนโดย Cool Apply ที่ 7:50 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ฝึกลมปราณ, ฟรี, สุขภาพ
วันจันทร์, เมษายน 7, 2008
<ไม่มีหมดเขต> โครงการส่งเสริมการใช้น้ำร้อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์


รายละเีอียด : มีการให้ความรู้ ศึกษาความเป็นไปได้ และ สนับสนุนเงินลงทุน แก่ ผู้ร่วมโครงการ ในการผลิตน้ำร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์





การสมัคร : สามารถกรอกใบสมัครแล้วส่งแฟกซ์มาที่เบอร์ 0 2221 7841

หรือ E-mail มาที่ swh@dede.go.th

ดาวน์โหลด : //www.dede.go.th/dede/fileadmin/usr/bose/document/SHW_application_form.doc








ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน โทร 0 2223 0021-9

คุณยงยุทธ์ สวัสดิสวนีย์ ต่อ 1481

คุณประสิทธิ์ สิริทิพย์รัศมี ต่อ 1246

คุณณัฐพงศ์ งามประดิษฐ์ ต่อ 1417

หรือ


//www.dede.go.th/dede/index.php?id=907



เขียนโดย Cool Apply ที่ 5:44 หลังเที่ยง 0 ความคิดเห็น
<28 เม.ย.51> สัมมนา กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมด้วยการออกแบบ

รายละเอียด : ประชาสัมพันธ์โครงการจัดประกวดนวัตกรรมการออกแบบ สัมมนาการสร้างนวัตกรรมการออกแบบ จัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บริษัท ไอดีไซน์พับลิชชิ่ง จำกัด คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วันเวลา : จันทร์ที่ 28 เมษายน 2551 เวลา 10.00 - 16.00 น.
สถานที่ : ศูนย์การค้า สยามดิสคัฟเวอร์รี่ Activity Room ชั้น 5
ลงทะเบียน : //www.nia.or.th/onlinereg/onlinereg.php?event=ds01

กำหนดการ : //www.nia.or.th/www_thai/activity/agenda/agenda_20080428.htm

แผนที่ไปสยามดิสคัฟเวอร์รี่ : //www.nia.or.th/images/map/SiamDiscovery.jpg


ข้อมูลเพิ่มเติม
นาย พันธพงศ์ ตั้งธีระสุนันท์
โทรศัพท์ 02-644-6000 ต่อ 135
แฟ็กซ์ 02-644-8444

เขียนโดย Cool Apply ที่ 5:33 หลังเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: นวัตกรรม, ฟรี, สร้าง, สัมมนา, ออกแบบ, เรียน
<10 เม.ย.51> สัมมนา แผนที่นำทางแห่งชาติในการพัฒนาพลาสติกชีวภาพ

รายละเอียด: สัมมนา ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลาสติกชีิวภาพ จากองค์กรที่มีบทบาทสำคัญ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาิติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพไทย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานความร่วมมือทางวิชาการของเยอรมัน(GTZ)

วันเวลา: พฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 2551 เวลา 8.30 - 12.30 น.
สถานที่: ห้องกมลทิพย์ 1 ชั้น 2 โรงแรมสยามซิตี กรุงเทพฯ


ข้อมูลเพิ่มเติม
บวรกิตติ์ เนคมานุรักษ์
โทรศัพท์ 02-644 6000 ต่อ 137
โทรสาร 02-644 8444
อีเมล์ bawornkit@nia.or.th

เขียนโดย Cool Apply ที่ 12:48 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: พลาสติกชีวภาพ, พัฒนา, ฟรี, ฟัง, ยุทธศาสตร์, สัมมนา
<สิ้นสุด 15 เม.ย.51> นิทรรศการภาพถ่าย "วิกฤตน้ำ วิกฤตชีิวิต"


รายละเอียด: กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขอเชิญทุกท่านร่วมนิทรรศการภาพถ่าย "วิกฤตน้ำ วิกฤตชีวิต" ภายในงานจะมีการมอบรางวัลให้กับภาพถ่ายที่ชนะการประกวด และจัดแสดงภาพ โดยภาพถ่ายที่นำมาจัดแสดงสะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตและปัญหาของแหล่งน้ำ


ระหว่างวันที่ 1-15 เมษายน 2551
สถานที่ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3


เขียนโดย Cool Apply ที่ 12:33 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: กรีนพีซ, นิทรรศการ, น้ำ, ฟรี, ภาพถ่าย, วิกฤติ, แสดง
บทความที่เก่ากว่า สมัครสมาชิก: บทความ (Atom) คลังบทความของบล็อก
▼ 2008 (17)
▼ เมษายน (17)
<20 เม.ย.51> Open House หลักสูตร MTT และ บรรยายพิเ...
<25 เม.ย.51> รักษาสุขภาพด้วยสมาธิ
<24 เม.ย.51> ฝึกลมปราณเพื่อสุขภาพ ครั้งที่ 4
<ไม่มีหมดเขต> โครงการส่งเสริมการใช้น้ำร้อนด้วยพลัง...
<28 เม.ย.51> สัมมนา กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมด้วยการ...
<10 เม.ย.51> สัมมนา แผนที่นำทางแห่งชาติในการพัฒนาพ...
<สิ้นสุด 15 เม.ย.51> นิทรรศการภาพถ่าย "วิกฤตน้ำ วิ...
<เริ่มเรียน 21 เม.ย.51> ภาษาและวัฒนธรรมเกาหลีเบื้อ...
<เริ่มเรียน 5 ก.ค.51> การสืบค้นผ่านเน็ตอย่างไรให้ไ...
<เริ่มเรียน 21 มิ.ย.51> การใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟ...
<เริ่มเรียน 16 มิ.ย.51> การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยภาษ...
<เริ่มเรียน 16 มิ.ย.51> การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยภาษ...
<เริ่มเรียน 16 มิ.ย.51> ภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
<เริ่มเรียน 21 พ.ค. 51> อบรม ภาษาเขมร
<เริ่มเรียน 26 เม.ย. 51> การพูดในที่สาธารณะ รุ่นที...
<เริ่มเรียน 21 เม.ย.51> ภาษาศาสตร์เพื่อการท่องเที่...
<เริ่มเรียน 19 หรือ 20 เม.ย.51> โยคะเพื่อสุขภาพ
เกี่ยวกับฉัน
Cool Apply
ดูข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของฉัน

 

โดย: 150 IP: 118.174.35.69 11 เมษายน 2551 5:21:27 น.  

 



แถลงการณ์มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนฯ ประณามการละเมิดชีวิตและศักดิ์ศรีแรงงานข้ามชาติ



วันที่ 10 เม.ย.2551 มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ออกแถลงการณ์ประณาม ‘การละเมิดต่อชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแรงงานต่างชาติ’ ซึ่งอ้างถึงเหตุการณ์การลักลอบค้ามนุษย์ด้วยการขนส่งแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าโดยรถบรรทุกสิบล้อที่มีตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็น เกิดการเบียดเสียดยัดเยียดจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจ 54 ราย



ทั้งนี้ มสพ.ได้เสนอข้อเรียกร้อง 4 ประการ ได้แก่ (1) ให้รัฐสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้ามนุษย์ของบริษัทดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบถึง การมีส่วนรู้เห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดต่อ ชีวิตของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ (2) ชะลอการส่งกลับ และให้สถานที่พักพิงที่เหมาะสมแก่แรงงานกลุ่มนี้ในระหว่างที่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง (3)ให้เยียวยาและจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้เสียชีวิตตามความเหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนดโดยไม่เลือกปฎิบัติ และ (4) ให้รัฐกำหนดนโยบายเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างชัดเจน และปรับปรุงแก้ไขการดำเนินการเรื่องการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการคอรัปชั่นและการลักลอบค้ามนุษย์ที่ทำให้เกิดการเอาเปรียบแรงงาน





ประนามการละเมิดต่อชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแรงงานข้ามชาติ

เรียกร้องให้สอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิด

รวมทั้งแก้ไขระบบ แรงงานข้ามชาติเพื่อคุ้มครองสิทธิฯ



เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2551 จากเหตการณ์การลักลอบค้ามนุษย์โดยการขนส่งแรงงานข้ามชาติจาก ประเทศพม่าจำนวน 121 คนโดยทางรถบรรทุกสิบล้อมีลักษณะเป็นตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็น จากจังหวัดระนองไปยังจังหวัดภูเก็ต ปรากฎว่า มีแรงงานข้ามชาติเบียดเสียดยัดเยียดในรถบรรทุกจำนวนกว่า 121 คน มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจไป 54 คน เป็น ชาย 16 ศพ และเด็กชาย 1 ศพ เป็นหญิง 36 ศพ และเด็กหญิง 1 ศพ



สาเหตุเบื้องต้นน่าจะเกิดจากการขาดอากาศหายใจ ในจำนวนนี้มีผู้ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจำนวน 67 คน ใน จำนวนนั้น 21 คนอยู่ในอาการขาดอ๊อกซิเจนจนต้องให้ออกซิเจน และอีก 46 คนอยู่ในสภาพอิดโรยทั้งหมดยังคง ต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการบำบัดฟื้นฟูร่างกายจิตใจ



มูลนิธิฯ ขอประนามการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และแสดงความเสียใจอย่างสุด ซึ้งต่อความสูญเสีย ที่เกิดขึ้นต่อชีวิตของแรงงานข้ามชาติที่แสวงหาโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น แต่กลับต้องประสบต่อ สถานการณ์ที่สามารถหลีกเลี่ยง ได้ด้วยการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนในฐานะมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมและต้องได้รับการปฎิบัติที่เท่าเทียม



เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการเอารัดเอาเปรียบจากผู้จ้างและจากผู้ลักลอบขนแรงงานเข้ามาทำงานในประเทศไทย แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านเดินทางมาประเทศไทยด้วยเหตุผลทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันให้มีการอพยพแรงงาน และด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและธุรกิจ กิจการต่างๆ ใน ประเทศไทยก็เป็นปัจจัยดึงดูดให้แรงงานเหล่านี้เข้ามาแสวงหาโอกาส ซึ่งนับเป็นสภาพการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของประเทศไทย ในฐานะประเทศที่รับแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงาน



อย่างไรก็ดี ทางมูลนิธิฯ เห็นว่า การคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยเป็นภาระที่สำคัญของรัฐและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง อันจะปกป้องคุ้มครองไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิต่อแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในชีวิต ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง และมีความผิดอาญาแผ่นดิน และสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศที่รับแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในประเทศ

ทางมูลนิธิฯ ขอเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและระยะยาวในการยุติการละเมิดสิทธิ มนุษยชนพื้นฐานและสิทธิแรงงาน



1.ให้รัฐสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้ามนุษย์ของบริษัทดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบถึง การมีส่วนรู้เห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดต่อ ชีวิตของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้



2.ให้ชะลอการส่งกลับ และให้สถานที่พักพิงที่เหมาะสมแก่แรงงานกลุ่มนี้ในระหว่างที่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง



3.ให้เยียวยาและจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้เสียชีวิตตามความเหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนดโดยไม่เลือกปฎิบัติ



4.ให้รัฐกำหนดนโยบายเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างชัดเจน และปรับปรุงแก้ไขการดำเนินการเรื่อง การจดทะเบียน แรงงานข้ามชาติที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการคอรัปชั่นและการลักลอบค้ามนุษย์ที่ทำให้เกิดการเอาเปรียบ แรงงานและความเสียหายต่อชีวิตของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย และทั้งนี้ เพื่อสร้างให้เกิดระบบการจัดการแรงงานที่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจไทย ในขณะเดียวกันต้องเคารพต่อสิทธิมนุษยชนพื้นฐานของแรงงานข้ามชาติ เหล่านี้เป็นสำคัญ



ประเทศไทยควรสร้างมาตรการและแนวทางการปฎิบัติให้สอดคล้องกับพิธีสารเพื่อป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรม ข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม อนุสัญญาต่อต้าน การค้ามนุษย์ ทีประเทศไทยลงนามเมื่อปี พ.ศ. 2544



















--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 11/4/2551

 

โดย: 151 IP: 118.174.35.69 11 เมษายน 2551 5:57:46 น.  

 





คบเพลิงเปลี่ยนเส้นทางหนีประท้วงในซานฟรานซิสโก ประธานโอลิมปิกแนะจีนกู้วิกฤติ







ชุลมุนเล็กน้อยเมื่อคบเพลิงมาถึงซานฟรานฯ



เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ไม่พอใจการใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมในทิเบต ได้มาชุมนุมประท้วงกันที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นเมืองที่คบเพลิงโอลิมปิกกำลังจะมาถึง แต่ทางด้าน นายชาร์ค รอจจ์ ประธานจัดงานโอลิมปิกกล่าวว่า จะไม่มีการเปลี่ยนเส้นทางการวิ่งคบเพลิงรอบโลกให้สั้นลง แม้จะต้องเผชิญกับการประท้วงก็ตาม



ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมกว่าร้อยคนได้มารวมตัวกันกลางถนนที่ซานฟรานซิสโก ก่อนจะมีการวิ่งคบเพลิงผ่าน เพื่อประท้วงการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุมในทิเบต โดยผู้ชุมนุมหลายคนถือธงทิเบตและมีการตะโกนประณามจีนด้วย



เจ้าหน้าที่ทางการซานฟรานซิสโก เกรงว่าการประท้วงในซานฟรานซิสโก จะเกิดความรุนแรงแบบเดียวกับที่เกิดในลอนดอนและปารีส ขณะที่เจ้าหน้าที่จัดงานโอลิมปิกกลัวว่าจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บในตวามโกลาหลของการประท้วง โดยในช่วงแรกๆ ได้มีเกิดการปะทะตะลุมบอนกันเล็กน้อยระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนจีนและกลุ่มต่อต้านจีน แต่ก็ไม่มีรายงานความรุนแรงในระดับร้ายแรง



ผู้วิ่งคบเพลิงได้มาถึงที่หมายในสหรัฐฯ เมื่อเวลา บ่ายโมง 20 นาที ตามเวลาท้องถิ่น (2020 ตามเวลาสากล, 2020 GMT) โดยคบเพลิงในครั้งนี้มาพร้อมกับกองกำลังตำรวจอารักขา ซึ่งมีทั้งผู้คุ้มกันในขบวน, มอเตอร์ไซค์ และถึงขั้นใช้หน่วยสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก แต่ภายในไม่กี่วินาทีถัดมา นักวิ่งคนแรกก็หลบหายเข้าไปในโกดังสินค้าของท่าเรือ เป็นสัญญาณว่าผู้จัดได้เปลี่ยนแปลงแผนการวิ่งคบเพลิงไปจากเดิมแล้ว



เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เผยนามผู้หนึ่งบอกว่า “เพราะมีคนพากันมาปิดเส้นทางเดิม พวกเราจึงต้องอาศัยเส้นทางอื่นที่สั้นกว่า” เจ้าหน้าที่ยังกล่าวอีกว่า แม้จะมีเหตุปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ไม่มีการจับกุมผู้ประท้วง



อย่างไรก็ตาม ช่างภาพ AFP รายงานว่ามีจับกุมผู้ประท้วงหนุ่มโปรทิเบตรายหนึ่ง หลังจากที่เกิดการปะทะกันระหว่างผู้สนับสนุนจีน ซึ่งเป็นชาวอเมริกันที่เกิดในจีน รู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นผู้ชุมนุมที่สนับสนุนทิเบตพยายามจะคลี่ธงทิเบตห่างออกไปจากสถานที่ชุมนุมของกลุ่มผู้สนับสนุนจีนไม่กี่หลา



หลายชั่วโมงต่อมา ในทางตะวันตกของจีน กลุ่มลามะชาวทิเบตได้รวมตัวกันเข้ามาขัดขวางเจ้าหน้าที่รัฐที่พาขบวนผู้สื่อข่าวต่างประเทศเข้าไปในเขตพื้นที่ทิเบต โดยกลุ่มลามะดงักล่าวเรียกร้องให้องค์ดาไล ลามะ กลับประเทศ พร้อมทั้งตะโกนว่าพวกเขาไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างมีสิทธิมนุษยชน การเรียกร้องครั้งนี้มีส่วนทำให้การประท้วงของนักเคลื่อนไหวในประเทศอื่นๆ เกิดปะทุขึ้น







ริชาร์ด เกียร์และกลุ่มผู้สนับสนุนทิเบตรวมตัวหน้า UN Plaza



ในวันเวลาเดียวกัน ขณะที่มีการวิ่งคบเพลิงผ่านซานฟรานซิสโก กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวทิเบตรวมตัวกันที่ลานที่ทำการสหประชาชาติในซานฟรานซิสโก เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนสทธิมนุษยชนและต่อต้านการมาถึงของคบเพลิงโอลิมปิก



ในการชุมนุมได้มีการชูธงทิเบตและป้ายมากมาย มีการปล่อยนกพิราบ 50 ตัว เป็นเครื่องหมายแทน 50 ปี ที่ทางการจีนได้เข้ายึดครองทิเบต มีการเริ่มต้นกิจกรรมประท้วงคบเพลิงโอลิมปิกด้วยการวิ่งคบเพลิงเพื่อเสรีภาพของทิเบต ผู้ชุมนุมประสานเสียงร่วมกันว่า ‘จงปลดปล่อยทิเบตเดี๋ยวนี้’ ‘รัฐบาลจีนต้องออกไปจากทิเบต’ ขณะเดียวกันก็มีป้ายเขียนว่า ‘พวกเราจะลุกขึ้นสู้จนกว่าทิเบตจะเป็นอิสระ’ และ ‘ทางการจีนหยุดสังหารชาวทิเบตได้แล้ว’



นอกจากนี้ยังได้มีการเดินขบวนจากลานที่ทำการของสหประชาชาติ ไปยังสถานกงสุลสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนจะกลับมายังลานสหประชาชาติอีกครั้ง



มีการจุดเทียนสำหรับพิธีการในช่วงกลางคืนของวันที่ 9 ขณะเดียวกันก็มี เดสมอนด์ ตูตู อาร์คบิชอพแห่งแอฟริกาใต้, ริชาร์ด เกียร์ พระเอกชื่อ รวมถึงผู้นำชาวทิเบตและบุคคลอื่นๆ ได้ขึ้นพูดบนเวที



โดยตูตูกล่าวว่า “เราอยากจะบอกกับทางการจีนว่า ‘โอลิมปิกเกมจะช่วยพัฒนาสิทธิมนุษยชนของคุณได้บ้าง’ เรายังหวังเช่นนั้นอยู่ แต่สิ่งที่เราอยากจะบอกกับผู้นำ ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ก็คือ ‘ขอให้ทำเพื่อความดีงามอย่างหนึ่งได้ไหม ขอให้คุณไม่ต้องไปในงานโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งจะได้ไหม ถือว่าทำเพื่อลูกหลานของเรา เพื่อประชาชนที่งดงามของทิเบต อย่าได้ไปเลย!’ ”



ส่วนนักแสดงชื่อดัง ริชาร์ด เกียร์ ได้ขึ้นพูดบนเวทีว่า “ไม่มีทางที่จะเกิดความสามัคคี ไม่มีทางจะเกิดความปรองดองอย่างแท้จริงได้ หากปราศจากความจริงแท้”







คบเพลิงเปลี่ยนเส้นทาง ผู้คนที่เฝ้ารอต้องผิดหวัง



หลังจากที่คบเพลิงได้เปลี่ยนเส้นทางไปแล้ว ก็มีการวิ่งนำคบเพลิงไปยังสนามบินนานาชาติของซานฟรานซิสโก เพื่อปิดพิธีอย่างเป็นทางการสำหรับเมืองนี้ โดยการเปลี่ยนเส้นทางวิ่งกระทันหันทำให้ผู้สนับสนุนโอลิมปิกในครั้งนี้หลายคนรู้สึกผิดหวัง เพราะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสจะได้ยลโฉมคบเพลิง



นายกเทศมนตรีซานฟรานซิสโก กาวิน นิวซัม ออกมาพูดถึงการตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางในครั้งนี้ว่า “มีผู้ชุมนุมรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก และมันก็มีความไม่แน่ไม่นอนจนเกินจะคาดเดาได้ พวกเราจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง แล้วมันคงทำให้คนอีกหลายคนพลาดโอกาสสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตไป”



“ผมจึงต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วย ผมต้องการให้งานในครั้งนี้สมบูรณ์แบบ ผมอยากให้โลกนี้เป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ อยากให้เหตุที่เกิดในปารีสไม่ได้เกิดขึ้นจริงตั้งแต่แรก อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นในลอนดอนไม่ได้เกิดขึ้นจริงตั้งแต่แรกด้วย”



หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (Wall Street Journal) รายงานว่า ประธานคณะกรรมการโอลิมปิก ชาร์ค รอจจ์ จะงดเส้นทางวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกภายนอกประเทศจีนเพื่อไม่ให้เกิดภาพไม่น่าดูจากการประท้วงอีก แต่ตัว ซาร์ค รอจจ์ ออกมาบอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด



“ผมรู้สึกเศร้า กับการได้เห็นว่า สัญลักษณ์แห่งคบเพลิงอันงดงาม ซึ่งก็คือการรวมผู้คนจากต่างศาสนา ต่างเชื้อชาติ ต่างระบอบการเมือง ต่างวัฒนธรรมและต่างภาษาให้เป็นหนึ่งเดียว ต้องมาถูกโจมตี” รอจจ์ กล่าว



ประธานโอลิมปิกยอมรับวิกฤติ หนุนจีนให้เคลื่อนไหวด้านสิทธิ



ชาร์ค รอจจ์ ได้ออกมาบอกในวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า การประท้วงจนคบเพลิงจนทำให้การวิ่งคบเพลิงติดขัดนั้น ทำให้มหกรรมโอลิมปิกครั้งนี้อยู่ในภาวะวิกฤต และขอร้องให้ทางการปักกิ่งออกมาแสดงสัตยาบันในการปรับปรุงเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน



ในช่วงที่มีการวิ่งคบเพลิงผ่านซานฟรานซิสโก กำลังตำรวจปราบจลาจลกว่าร้อยนาย ถือโล่และกระบองมาคอยคุ้มกันคบเพลิง ไม่ให้เกิดความโกลาหลแบบเดียวกันที่เกิดในยุโรป รอจจ์ ออกมาเผย เขามั่นใจว่าทางการปักกิ่งยังสามารถเป็นเจ้าภาพที่ประสบความสำเร็จจากการจัดงานครั้งนี้ได้



เขาออกมาแนะว่า ผู้นำกีฬาควรทำให้นักกีฬารู้สึกมั่นใจ “บอกพวกเขาว่า ไม่ว่าพวกเขาจะได้เห็นหรือได้ยินอะไรมาก็ตาม งานมหกรรมกีฬาในครั้งนี้จะต้องเป็นงานที่จัดออกมาอย่างดีเยี่ยม บอกพวกเขาว่าพวกเราจะรับมือกับวิกฤติในขณะนี้ให้ได้”



รอจจ์ ได้ชี้ให้เห็นในการประชุมแถลงข่าวว่า เจ้าหน้าที่ทางการจีนได้เคยให้สัญญาเมื่อตอนที่ขอเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2008 ว่า หากพวกเขาได้รับอนุญาตเป็นเจ้าภาพ งานมหกรรมกีฬาจะทำให้ “เกิดการพัฒนาวาระทางสังคมของประเทศจีน รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย”



“นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าข้อเรียกร้องสำหรับคำมั่นสัญญาในเชิงจริยธรรม มากกว่าคำมั่นสัญญาในเชิงกฏเกณฑ์ แน่นอนว่าพวกเราจะร้องขอให้จีนเคารพในคำมั่นสัญญาเชิงจริยธรรมนี้” รอจจ์กล่าว







ที่มา



No plan to cut torch relay as U.S. protesters mass , Emma Graham-Harrison and Benjamin Kang Lim , Reuters , 9/4/2551

Confusion, protests mar US leg of Olympic torch relay , Rob Woollard , AFP , 9/4/2551

Olympic chief admits crisis, urges China to act on rights , Charles Whelan , AFP , 10/4/2551

San Francisco to Chinese government: “Free Tibet!” , Fog City Journal , 9/4/2551














--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 11/4/2551


 

โดย: 152 IP: 118.174.35.69 11 เมษายน 2551 6:27:32 น.  

 

โครงการ เรารักข้าวไทย


"โครงการ เรารักข้าวไทย"

โครงการสนับสนุนอาหารปลอดจีเอ็มโอ

ความร่วมมือของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และร้านอาหารไทยทั่วประเทศ

ภายใต้แนวคิดการสร้างเครือข่ายร้านอาหารสุขภาพ ปลอดจีเอ็มโอเพื่อผู้บริโภคชาวไทย



วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2551

เวลา 09.45 น.-12.00 น.

โรงเรียนธุรกิจการอาหารไทยและนานาชาติ (TIFA)

(โรงเรียนสอนทำอาหารของอาจารย์ยิ่งศักดิ์)

ถนนพระราม 3 ซอย 44 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา



กำหนดการ

09.45-10.00 น. ลงทะเบียนสื่อมวลชน

10.00-10.30 น. ณัฐวิภา อิ้วสกุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพันธุวิศวกรรม กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถลงข่าวเปิดตัวโครงการเรารักข้าวไทย

10.30-11.00 น. อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ พูดคุยในประเด็น "ทิศทางของผู้บริโภค กับความต้องการอาหารที่ปลอดภัย" และแสดงทัศนะต่อเรื่องภัยคุกคามจากอาหารจีเอ็มโอ

11.00-11.30 น. ตอบคำถามสื่อมวลชน

11.30-12.00 น. อาจารย์ยิ่งศักดิ์สาธิตทำอาหารเพื่อสุขภาพ ปลอดจีเอ็มโอ ด้วยเมนูข้าวไทย

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ

วิริยา กิ่งวัชระพงศ์ ผู้ประสานงานสื่อมวลชน โทร.02-357-1921 ต่อ 115 หรือ 089-487-0678

 

โดย: 153 IP: 118.174.35.69 11 เมษายน 2551 6:38:34 น.  

 

ประชาสัมพันธ์ "ชมรมเพื่อนธรรมชาติ"
ประชาสัมพันธ์ "ชมรมเพื่อนธรรมชาติ" เป็นชมรมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม โดยเรามีโครงการที่จะดำเนินการตลอดทั้งปี หากท่านใดมีอุดมการณ์เดียวกัน และสนใจคลิกดูได้ที่ //www.naturefanclub.th.gh ค่ะ

ประชาสัมพันธุุ์จากกลุ่มนิเวศน์ประชาธรรม
กลุ่มนิเวศประชาธรรม กลุ่มการเมืองภาคประชาชนซึ่งเกิดจากการแลกเปลี่ยน
ประเด็นปัญหาและทางออกของสังคมไทย ในเวปไซต์ “บ้านตุลาไทย” ขอเชิญทุกท่านศึกษาเอกสาร “ชุดความคิดนิเวศประชาธรรม” ได้ที่เวปไซต์//www.npd-group.comและร่วมเสนอข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาการเคลื่อนไหวในอนาคต

หากท่านเห็นด้วยกับหลักการเบื้องต้นในเอกสารชุดความคิดนี้ ทางกลุ่มขอเชิญท่านสมัครเป็นสมาชิกเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแนวทาง “นิเวศประชาธรรม” ต่อไป

ต้องการรับข่าวสารจากกลุ่มนิเวศประชาธรรม กรุณาส่ง email หัวข้อ
“ขอรับข่าวสาร” ไปที่ npd-group@hotmail.com

 

โดย: 154 IP: 118.174.35.69 11 เมษายน 2551 6:58:01 น.  

 

ประชาสัมพันธุุ์จากกลุ่มนิเวศน์ประชาธรรม
กลุ่มนิเวศประชาธรรม กลุ่มการเมืองภาคประชาชนซึ่งเกิดจากการแลกเปลี่ยน
ประเด็นปัญหาและทางออกของสังคมไทย ในเวปไซต์ “บ้านตุลาไทย” ขอเชิญทุกท่านศึกษาเอกสาร “ชุดความคิดนิเวศประชาธรรม” ได้ที่เวปไซต์//www.npd-group.comและร่วมเสนอข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาการเคลื่อนไหวในอนาคต

หากท่านเห็นด้วยกับหลักการเบื้องต้นในเอกสารชุดความคิดนี้ ทางกลุ่มขอเชิญท่านสมัครเป็นสมาชิกเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแนวทาง “นิเวศประชาธรรม” ต่อไป

ต้องการรับข่าวสารจากกลุ่มนิเวศประชาธรรม กรุณาส่ง email หัวข้อ
“ขอรับข่าวสาร” ไปที่ npd-group@hotmail.com

 

โดย: 155 IP: 118.174.35.69 11 เมษายน 2551 7:02:15 น.  

 

สสวท. ขอเชิญร่วมกิจกรรมวิทยาศาสตร์ “องค์ความรู้แสง- เสียง-ดิน” ฟรี ! จัดที่เสถียรธรรมสถาน นางสาวนารี วงศ์สิโรจน์กุล รองผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) แจ้งว่า สสวท. ร่วมกับเสถียรธรรมสถาน จัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์หัวข้อ “องค์ความรู้แสง- เสียง-ดิน”
ในวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2551 เวลา 14.30-16.00 น. ณ เสถียรธรรมสถาน จึงขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมฟรี
โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่คุณสลักฤทัย โทร. 02 392 4021 ต่อ 1111

 

โดย: 156 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 9:08:40 น.  

 

สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำโดย นายสิน พงษ์หาญยุทธ นายกสมาคมฯ และนางสาววีรยา ศันสนะเกียรติ ในฐานะประธานจัดงาน ขอเรียนเชิญร่วมงาน “สถาปนิก’51:... Unplugged” งานแสดงนวัตกรรมรักษ์โลกที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน พร้อมร่วมสัมผัสนิทรรศการและเทคโนโลยีด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และวัสดุที่ยิ่งใหญ่ ตลอดจนเวทีการเสวนา International Forums โดยวิทยากร 16 ท่านจากนานาประเทศ เวทีการเสวนาภาษา (นัก) อนุรักษ์ และเวทีเสวนาภาคประชาชน รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ในวันที่ 30 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 11.00 – 21.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์1-3 อิมแพคเมืองทองธานี ผู้เข้าร่วมชมงานจะได้รับ CD-Rom “แบบบ้านพอเพียง” หนังสือ และสมุดบันทึก “รู้จัก...สถาปนิก ฉบับ 08” รับความสะดวกจากรถบริการ Shuttle Bus จากสถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต (จตุจักร) เข้าสู่งานฟรี!!!

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์
ภัทรภร ตันตรงภักดิ์ โทร. 0-2204-8550, 086-668-1415
วิลาสินี โฆษจันทร โทร. 0-2204-8226, 081-734-2756

 

โดย: 157 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 9:31:59 น.  

 


500406 สปินทรอนิกส์ เทคโนโลยีใหม่เพื่อพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ในอนาคต

ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว
ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

“อิเล็กทรอนิกส์” เป็นศาสตร์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ เครื่องซักผ้า เตาไมโครเวปตลอดจนอุปกรณ์ไฟฟ้าในสำนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ขนาดของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ถูกย่อส่วนให้มีขนาดเล็กจิ๋วจนถึงระดับนาโนเมตร (๑ ในล้านส่วนของมิลลิเมตร) จึงเกิดศาสตร์ใหม่ เรียกว่า “นาโนอิเล็กทรอนิกส์” อุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตจะมีขนาดเล็กมากในระดับอะตอมและโมเลกุล สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนเพียงตัวเดียว


ควอนตัมดอทคู่ที่ปลูกสร้างด้วยเทคนิค Molecular Beam Epitaxy และอาจนำไปใช้เป็น “คิวบิท” ที่อาศัยหลักการของอิเล็กตรอนสปิน
อิเล็กตรอนสปินเป็นการหมุนควงซ้าย (สปินอัพ) และหมุนควงขวา (สปินดาวน์) ของประจุไฟฟ้า ทำให้เกิดขั้วแม่เหล็กขึ้น
จึงมีพลังงานต่างกันเมื่อถูกกระทำจากสนามแม่เหล็กภายนอก


พลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมมีลักษณะเป็นค่าโดด กำหนดโดยค่าควอนตัม ตามกฎเกณฑ์ของควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งเป็นแนวคิดทางฟิสิกส์แบบใหม่ที่พัฒนาในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๕๐ – ๑๙๗๐ โดย ไอน์สไตน์ ไฮเซมเบิกจ์ ฟายมานน์ ฯลฯ การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุไฟฟ้าลบในอะตอมมีลักษณะเป็นวงโคจรรอบนิวเคลียสและยังหมุนรอบตัวเอง เช่นเดียวกับลูกข่าง เรียกว่า “สปิน”

การหมุนรอบตัวเองของอิเล็กตรอนนั้นมีเพียง ๒ ลักษณะ คือหมุนควงซ้าย และหมุนควงขวา ค่าควอนตัมของสปินจึงมีเพียง + ๑/๒ และ – ๑/๒ ประจุไฟฟ้าที่หมุนควงนี้ทำให้เกิดขั้วแม่เหล็กได้ เมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็กจากภายนอก พลังงานของอิเล็กตรอนที่หมุนควงซ้ายและหมุนควงขวาจึงมีค่าไม่เท่ากัน แล้วแต่ทิศทางของสนามแม่เหล็ก แนวคิดนี้จึงนำมาสู่การใช้อิเล็กตรอนสปินแทน “๐” และ “๑” หรือ “คิวบิท” (Qubit) ซึ่งเป็นพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ในอนาคต

กลุ่มวิจัยด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาโครงสร้างควอนตัมดอทที่ควบคุมอิเล็กตรอนเดี่ยวได้มีการศึกษาโครงสร้างควอนตัมดอทคู่ เพื่อให้ อิเล็กตรอนเดี่ยวแต่ละตัวมี “สปิน” ต่างกัน จึงสามารถทำงานเป็น “คิวบิท” ซึ่งจะนำไปใช้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ได้ งานวิจัยเกี่ยวกับควอนตัมดอทคู่นี้เป็นความร่วมมือกับ ศ.ชาร์ล ทู แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานดิเอโก

ควอนตัมดอทคู่นี้ทำจากสารประกอบกึ่งตัวนำอินเดียมอาเซไนด์และแกลเลี่ยมอาเซไนด์ โดยเทคนิคการปลูกผลึกในระดับนาโนเมตรด้วยลำโมเลกุล สารประกอบกึ่งตัวนำในตระกูลแกลเลี่ยม อาเซไนด์นี้ใช้ทำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย เช่น ชิปไอซีความเร็วสูง ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ เลเซอร์ไดโอดที่ใช้งานสื่อสารผ่านเส้นใยแสง และเซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง เป็นต้น การผสมเติมธาตุแมงกานีส (Mn) เข้าไปในสารประกอบกึ่งตัวนำชนิดนี้ทำให้ได้สารตัวใหม่คือ แกลเลี่ยมแมงกานีสอาเซไนด์ (Gallium Managanese Arsenide : GaMnAs) ซึ่งเป็นการประกอบกึ่งตัวนำที่มีคุณสมบัติทางแม่เหล็ก (Magnetic Semiconductor) จึงสามารถใช้คุณสมบัติ ของอิเล็กตรอนสปินได้อย่างเต็มที่ นับเป็นการบุกเบิกศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า “สปินทรอนิกส์” ซึ่งจะเป็นความรู้ใหม่ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ และจะทำให้เราสามารถพั ฒนาสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ในอนาคตได้

งานวิจัยพื้นฐานข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ศูนย์วิจัยพัฒนาด้านอวกาศของกองทัพอากาศ สหรัฐอเมริกา และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


 

โดย: 158 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 9:39:22 น.  

 


500404 ควอนตัมคอมพิวเตอร์

ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว
ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

คอมพิวเตอร์ในยุคต้น ๆ มี ขนาดใหญ่ เท่าห้อง ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะเดียวกันมีขนาดเพียงตั้งโต๊ะหรือโน้ตบุ๊ค และมีสนนราคาที่คนส่วนใหญ่ซื้อใช้ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์เข้ามา อยู่ในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น การติดต่อผ่านอินเทอร์เน็ต อีเมลล์ การซื้อขาย และธุรกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การประชุม ทางไกลผ่าน video conference กลายเป็นเครื่องมือที่จำเป็นของสังคม ยุคใหม่ ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม งานคอมพิวเตอร์ไม่ได้ อยู่เพียงในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเข้าไปพัฒนา แนวคิดใหม่ของศาสตร์ทางด้านศิลปะ ด้านวัฒนธรรม ด้านอักษรศาสตร์ และด้านสังคมศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผสมผสานกับการใช้ โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปดิจิตัล เครื่องเสียง MP3 เครื่องเล่นดีวีดี ทำให้ชีวิตประจำวันเราเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีหลายตัว หายไปจากท้องตลาด เช่น ฟิล์มถ่ายรูป เทปเพลงที่ใช้แถบเสียง วีดีโอที่ใช้เทป สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ มีขนาดเล็กลง ราคาถูกลง แต่มีสมรรถนะสูงขึ้น รวมทั้งคอมพิวเตอร์

เครื่องมือวิจัย Molecular Beam Epitaxy ที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
โครงสร้างควอนตัมที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ควอนตัมดอทที่มีรูปแบบการเรียงตัวตามหลัก
การควอนตัมเซลลูล่าออโตมาต้า ควอนตัมดอทคู่ เพื่อทำงานเป็น Qubits โดยอาศัยหลักการหมุนรอบตัวเองของอิเล็กตรอน


คอมพิวเตอร์ที่มีใช้งานในปัจจุบันใช้ชิบไอซีที่ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์ล้านๆ ตัว ทำหน้าที่เป็นมันสมองและหน่วยความจำทรานซิสเตอร์ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของคอมพิวเตอร์แต่ละตัว มีขนาดซับไมโครเมตร (หนึ่งในพัน หรือหนึ่งในหมื่นส่วนของมิลลิเมตร) ซึ่งประดิษฐ์สร้างโดยเทคโนโลยีล่าสุดที่อาศัยหลักการของการย่อส่วน แม้ชิบไอซีจะมีขนาดเล็กลงมากแล้วก็ตาม มันก็ยังกินไฟฟ้ามากและมีขีดจำกัดในด้านความเร็วของคอมพิวเตอร์อยู่ ถ้าท่านมีประสบการณ์ ช้คอมพิวเตอร์ประเภทโน้ตบุ๊คอยู่บ้าง ท่านจะพบว่าการชาร์จแบตเตอรี่ ของคอมพิวเตอร์ต้องทำบ่อยพอสมควร และบางครั้งการทำงานของคอมพิวเตอร์จะช้าหากข้อมูลที่ต้องวิเคราะห์มีขนาดโต

ประเด็นในด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์สำหรับอนาคต จึงได้แก่การพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลักการใหม่ๆ เพื่อให้มีขนาดเล็กลงไปอีก กินไฟน้อยมาก และมีความเร็วสูงหลักการใหม่ๆ นี้มีหลายวิธี เช่น คอมพิวเตอร์ทางแสง คอมพิวเตอร์ดีเอ็นเอ คอมพิวเตอร์ โมเลกุล ซึ่งหลักการเหล่านี้เริ่มเลียนแบบการทำงานของสิ่งมีชีวิตมากขึ้น แนวคิดใหม่อย่างหนึ่งได้แก่ ควอนตัมคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาศัยปรากฏการณ์ทางควอนตัม ได้แก่ การที่อะตอมและโมเลกุลมีระดับพลังงานเป็นชั้นๆ หรือการที่อิเล็กตรอนในอะตอมมีการหมุนรอบตัวเอง ๒ แบบ คือ หมุนวนซ้ายและหมุนวนขวา คุณสมบัติทางควอนตัมของอะตอม และโมเลกุลสามารถนำมาใช้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ได้ ทรานซิสเตอร์ระดับอะตอมหรือโมเลกุลทำงานได้ โดยใช้อิเล็กตรอน เพียงตัวเดียว หรือในบางกรณีไม่ได้อาศัยการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ในการคำนวณหรือจดจำข้อมูลเลย แต่ใช้หลักพื้นฐานของแรงคูลอมป์แทนควอนตัมคอมพิวเตอร์จึงนอกจากมีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร (หนึ่งในล้านส่วนของมิลลิเมตร) แล้วยังแทบไม่กินไฟฟ้า และทำงานได้เร็วมากด้วย คอมพิวเตอร์ในอนาคตจึงอาจเล็กมาก เท่าฝ่ามือ ใช้แบตเตอรี่ที่เกือบไม่ต้องชาร์จไฟฟ้าเป็นเดือนๆ แต่ทำงานได้รวดเร็วมาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย โดย ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว และคณะ ได้ติดตั้ง เครื่องมือวิจัยล้ำยุคเพื่อศึกษาโครงสร้างควอนตัมมากกว่า ๑๓ ปีแล้ว เพื่อค้นหาเทคนิคในการประดิษฐ์สร้างควอนตัมดอทที่มีขนาดนาโนเมตร ที่มีรูปแบบการเรียงตัวกันเป็นองค์ ประกอบพื้นฐานของควอนตัม คอมพิวเตอร์ตามหลักการควอนตัมเซลลูล่าออโตมาต้า (Quantum Cellular Automata) และควอนตัมดอทคู่เพื่อใช้งานตามหลักการของ สปินทรอนิกส์ (Spintronics) งานวิจัยดังกล่าวเป็นงานวิจัยพื้นฐาน สำหรับอนาคต ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้การสนับสนุนในยุคเริ่มต้น และต่อจากนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากสำนักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย (สกว.) องค์การวิจัยด้านอวกาศของกองทัพ อากาศสหรัฐอเมริกา และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติซึ่งจะเป็น ประโยชน์แก่วงการวิจัยของประเทศไทยต่อไปในอนาคต.



 

โดย: 159 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 9:42:52 น.  

 


500405 ควอนตัมดอทโซล่าเซลล์

ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว
ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

ควอนตัมดอทโซล่าเซลล์หรือเซลล์แสงอาทิตย์ ชนิดโครงสร้าง ควอนตัมดอทเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ที ่มีประสิทธิภาพการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็น พลังงานไฟฟ้าที่สูงมากกว่า ๒๕ - ๓๐% ในขณะที่เซลล์แสงอาทิตย์ที ่ทำจากผลึกซิลิกอนซึ่งใช้งาน อยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพเพียง ๑๒ - ๑๕% ในยุคน้ำมันแพง การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ที่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ มีความสำคัญในระยะยาว เพราะควรเป็นพลังงานสะอาดและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมพลังงานแสงอาทิตย์จึงเป็นความหวัง หนึ่งที่เหมาะกับประเทศไทยที่ มีปริมาณแสงอาทิตย์จำนวนมากกว่าพื้นที ่อื่นหลายแห่งในโลก

เซลล์แสงอาทิตย์ที่ทำจากผลึกซิลิกอนและใช้งานภาคสนามในปัจจุบันมีประสิทธิภาพ ค่อนข้างต่ำ จึงต้องใช้พื้นที่รับแสงที่กว้างมาก เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอต่อการใช้งาน ทำให้ต้นทุนการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์จำนวนมากนี้สูงมาก จนไม่เป็นที่นิยมของ ผู้สนใจใช้งาน การประยุกต์ใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจึงมีอย่างจำกัดเฉพาะ ในชนบทที่อยู่ห่างไกลจากระบบสายส่งไฟฟ้ากำลัง เนื่องจากประสิทธิภาพต่ำและราคาสูง ไฟฟ้าที่ผลิตได้จึงมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของชาวชนบท เช่น ใช้ไฟฟ้าได้วันละไม่เกิน ๒ ชั่วโมง สำหรับไฟแสงสว่างและโทรทัศน์ขนาดเล็ก ความเชื่อมั่นในการใช้พลังงานใหม่จึงถดถอย ต้องหันมาใช้พลังงานน้ำมันเหมือนเดิม ซึ่งส่งผลด้านลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้พัฒนาควอนตัมดอทโซล่าเซลล์มากว่า ๕ ปีแล้ว โดยใช้เทคนิคการปลูกโครงสร้างควอนตัมดอทด้วยลำโมเลกุลในสภาพสูญญากาศดีเยี่ยม ปัจจุบันสามารถสร้างโซล่าเซลล์ชนิดนี้ที ่มีประสิทธิภาพสูง ๒๕.๙% โครงการวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุน จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และศูนย์วิจัยด้านอวกาศของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ขณะนี้ยังได้รับการสนับสนุนการวิจัย จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย


 

โดย: 160 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 9:49:04 น.  

 


500403 “นาโนวิทยาการความก้าวหน้าอิเล็กทรอนิกส์” ที่วิศวฯ จุฬาฯ

โดย ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว
ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

อิเล็กทรอนิกส์ เป็นศาสตร์ทางวิศวกรรมไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของอิเล็กตรอนในอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ชิ้นส่วนที่เป็นพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ได้แก่ ทรานซิสเตอร์ ซึ่งมีขนาดเล็กมากแต่จะทำงาน ในรูปแบบของวงจรรวมหรือที่ เรียกกันว่า ชิปไอซี ซึ่งประกอบด้วยทรานซิสเตอร์ทำงานร่วมกัน เป็นจำนวนมาก บางครั้งเป็นล้านๆ ตัว เช่นในกรณีของชิ้นส่วนในเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ควบคุมเครื่องจักรกลในโรงงาน แม้แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เช่น เครื่องซักผ้า โทรทัศน์วิทยุ เครื่องใช้ไฟฟ้าในสำนักงาน ได้แก่ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ เครื่องโทรสาร ฯลฯ

ทรานซิสเตอร์เป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กจิ๋วในระดับไมโครเมตร หรือ ๑ ในพันส่วนของมิลลิเมตร ซึ่งสร้างขึ้นโดยเทคนิคการย่อส่วน โดยย่อส่วนให้เล็กลงไปเรื่อยๆ ทำให้คอมพิวเตอร์ยุคใหม่มีขนาดเล็กลง แต่มีสมรรถนะสูงขึ้น และราคาถูกลง จนกลายเป็นอุปกรณ์ใช้งานในสังคมยุคใหม่อย่างกว้างขวาง ผลกระทบเชิงสังคมที่เกิด จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดจิ๋วที่เห็นได้ชัด ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปดิจิตัล ที่กลายเป็นของใช้งานของคนทุกระดับ ทุกวัยในปัจจุบัน

วิศวกรที่ทำงานด้านอิเล็กทรอนิกส์ พยายามคิดค้นเทคโนโลยี ใหม่ๆ เพื่อย่อส่วนให้ มีขนาดเล็กจนถึงระดับนาโนเมตรหรือ ๑ ในล้านส่วนของมิลลิเมตร จึงเกิดศาสตร์ ใหม่ที่เรียกว่า นาโนอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีขนาดจิ๋วมากนี้เป็นระดับของขนาดอะตอมหรือโมเลกุลทรานซิสเตอร์ในระดับนาโนเมตรจึง สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนได้เป็นตัวๆ ทรานซิสเตอร์ จึงกินกระแสไฟฟ้าน้อยมาก และทำงานได้เร็ว ซึ่งเป็นที่ต้องการมากในทางวิศวกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะในยุคน้ำมันแพง และในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีจำนวนมาก

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดย ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว และคณะ ได้มีการศึกษาวิจัยงานด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์มากว่า ๑๓ ปีแล้ว โดยติดตั้งเครื่องมือปลูกผลึกสารกึ่งตัวนำด้วยลำโมเลกุลในสภาพสูญญากาศที่ดีเยี่ยม เมื่อปี ๒๕๓๖ เพื่อสร้างโครงสร้างควอนตัมดอทที่มีขนาดนาโนเมตร และนำมาประยุกต์ใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลากหลายชนิดได้แก่ เลเซอร์ไดโอดตัวตรวจจับสัญญาณแสง เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง และทรานซิสเตอร์อิเล็กตรอนเดี่ยว ซึ่งจะเป็นการบุกเบิกวิทยาการใหม่ๆสำหรับอนาคต ผลงานวิจัยดังกล่าวได้รับการสนับสนุนเงินทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ศูนย์ นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ล่าสุดเพิ่งได้รับการสนับสนุนด้านทุนวิจัยจากศูนย์วิจัยด้านอวกาศของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา

เทคโนโลยี การปลูกโครงสร้างควอนตัมดอทนี้เป็นแนวคิดใหม่ที่ไม่ได้อาศัยการย่อส่วน แต่เป็นการก่อตัวเองโดยธรรมชาติ เช่นเดียวกับเซลล์ของสิ่งมีชิวิต จึงเป็นโครงสร้างที่ ไม่มีจุดบกพร่อง มีคุณสมบัติดีเยี่ยมทั้งทางไฟฟ้าและทางแสง เหมาะที่จะเป็นชิ้นส่วนพื้นฐานทางนาโนอิเล็กทรอนิกส์ และนาโนโฟโตนิกส์ต่อไป.


 

โดย: 161 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 9:52:02 น.  

 


510210 ขอเชิญผู้สนใจเสนอผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2552 เพื่อขอรับรางวัลจาก วช.

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ประกาศเชิญชวนให้เสนอผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2552 โดยผู้ที่ประสงค์จะเสนอผลงานประดิษฐ์คิดค้นเพื่อขอรับรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มการเสนอผลงานประดิษฐ์คิดค้นได้ที่ //www.nrct.net และส่งผลงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 เมษายน 2551 หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ ส่วนวิจัยเกียรติคุณ ภารกิจบริหารจัดการผลงานวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จตุจักร กรุงเทพฯ โทร. 0-2579-2288 , 0-2561-2445 ต่อ 530 และ 539 โทรสาร 0-2579-2288 , 0-2579-0455 ได้ทุกวันในเวลาราชการ





 

โดย: 162 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 9:57:40 น.  

 


510301 ขอเชิญผู้สนใจเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือก “รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น” และ “รางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่” ประจำปี 2551

มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดโครงการรางวัล “นักเทคโนโลยีดีเด่น” และรางวัล “นักเทคโนโยลีรุ่นใหม่” (อายุไม่เกิน 35 ปี) ขึ้น เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ไทยมีกำลังใจในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และเป็นเป้าหมายที่เยาวชนจะพึงมุ่งพัฒนาตนให้เป็นกำลังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต ขอเชิญผู้สนใจเสนอรายชื่อเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกในตำแหน่ง “นักเทคโนโลยีดีเด่น และประชาสัมพันธ์ให้ผู้สนใจเสนอชื่อนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2551” และกรุณากรอกรายละเอียดตามแบบฟอร์มที่ได้แนบมาด้วย

โปรดส่งเอกสารดังกล่าวกลับไปยัง สำนักงานเลขานุการโครงการรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เลขที่ 111 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี 12120 ภายในวันที่ 30 เมษายน 2551




 

โดย: 163 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 10:01:02 น.  

 


510310 คู่มือการฝึกอบรมโดยใช้กรณีศึกษานวัตกรรมท้องถิ่น (Case-Based Training Manual)


ผลงานของโครงการ "วิถีใหม่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย" โดยมี ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้สำรวจและค้นหาตัวอย่างการทำงานที่ดีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พบว่ามีนวัตกรรมท้องถิ่นที่สามารถเผยแพร่เป็นบทเรียนให้แก่ อปท. ทุกแห่งได้ศึกษาจำนวนไม่น้อยกว่า 500 เรื่อง ในพื้นที่ 4 ภาค 75 จังหวัด และจำแนกประเภทนวัตกรรมท้องถิ่น ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้จะเป็นบทเรียนที่ดีให้แก่ อปท. อื่นๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองของ อปท. อื่นๆ ในวงกว้างต่อไป อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ของ อปท. อย่างยั่งยืน


UNDP เห็นประโยชน์จากการรวบรวมนวัตกรรมท้องถิ่นเหล่านี้ จึงได้ให้การสนับสนุน ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา นำผลงานของโครงการนี้ มาจัดทำเป็น \\"คู่มือการฝึกอบรมโดยใช้กรณีศึกษานวัตกรรมท้องถิ่น\\" (Case-Based Training Manual) สำหรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนและการฝึกอบรมบุคลากรของ อปท. โดยการนำกรณีศึกษามาเป็นตัวอย่างการค้นหาคำตอบ หรือทางออกสำหรับปัญหาในกรณีศึกษาแต่ละเรื่องซึ่งเป็นคำตอบหรือทางออกที่ อปท. ในประเทศไทยได้นำไปปฏิบัติได้จริงๆ แล้วทั้งสิ้น


UNDP มีจุดมุ่งหมายว่า กรณีศึกษาในคู่มือนี้จึงเป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนซึ่งเป็นผู้บริหารและพนักงาน อปท. ซึ่งมีประสบการณ์การทำงาน เดินเข้าสู่สถานการณ์การเรียนรู้ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันสู่กันได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของ อปท. และนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนในชุมชนต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย




 

โดย: 164 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 10:05:59 น.  

 


510305 ยาชานาโนซึมผ่านผิวหนัง


จุฬาฯประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนาโน ออกแบบระบบนำส่งยาชาในรูปแบบยาทาแทนยาฉีด เล็งสนองความต้องการธุรกิจความงาม รวมถึงการผ่าตัดในคนไข้เด็ก


รศ.ดร.สุวบุญ จิรชาญชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัย วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทีมงานอยู่ระหว่างพัฒนาระบบนำส่งยาชา ให้เป็นสารขนาดนาโนเมตรใช้ทาผ่านผิวหนัง เหมาะใช้ในธุรกิจศัลยกรรมความงาม และวางยารักษาผู้ป่วยเด็ก


การให้ยาชาก่อนผ่าตัดมักฉีดเข้าสู่บริเวณที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ชา โดยเฉพาะการทำศัลยกรรมบนใบหน้า ทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บ แต่ยาชาที่บรรจุในแคปซูลนาโนไม่ต้องใช้เข็มฉีดเข้าสู่ร่างกาย เพียงแค่ใช้ยาเปิดผิวหนังเพื่อกระตุ้นผิวหนัง ก่อนทายาชาให้ซึมออกฤทธิ์บริเวณชั้นผิวหนังที่ต้องการ ยาชานาโนเป็นงานวิจัยใน "โครงการพัฒนานาโนไคติน-ไคโตซาน เพื่อเป็นจุลยานต้นแบบของการนำส่งยาชาเฉพาะแห่ง"

ทีมวิจัยเลือกใช้วัสดุไคโตซาน ซึ่งเป็นสารสกัดที่ได้จากเปลือกกุ้งและกระดองปู เป็นสารนำส่งยาโดยควบคุมโครงสร้างให้เป็นวัสดุนาโน และออกแบบทิศทางให้โมเลกุลจัดเรียงตัวและรวมกลุ่มเป็นทรงกลม โดยมีช่องว่างอยู่ตรงกลางสำหรับบรรจุยา


"ความคืบหน้าของโครงงานวิจัย ปัจจุบันโมเลกุลยาชาและสายโซ่นาโนโพลีเมอร์ สามารถยึดติดกันเพียง 5-10% ซึ่งประสิทธิภาพไม่เพียงพอที่จะออกฤทธิ์ชาได้เต็มที่ นักวิจัยต้องการการยึดติดอย่างน้อย 50% หรือยิ่งมากก็ยิ่งดี เพื่อให้ยาชามีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้นักวิจัยยังทดลองใช้สายโซ่ไคติน-ไคโตซานที่สั้นลง รวมถึงปรับปรุงวิธีบรรจุ ค้นหาหมู่สารโมเลกุลที่เป็นขั้วและไม่เป็นขั้วชนิดไม่เป็นสารพิษมาเติมลงไป" " รศ.ดร.สุวบุญ กล่าว


โครงการวิจัยระบบนำส่งยาชาแบบทายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นและจะต้องพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ กระทั่งทดสอบในสัตว์และคนตามลำดับ คาดว่าจะใช้เวลาอีก 1 ปี จึงจะพร้อมทดสอบในคน





 

โดย: 165 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 10:10:13 น.  

 


510402 เผยร่าง พรบ. คุ้มครองภูมิปัญญาไทย ป้องกันต่างชาติฉวยโอกาส

นักกฎหมายไบโอเทคร่วมอาจารย์จุฬาฯ วิจัยการออกกฎหมายคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ป้องกันคนนำไปใช้ในทางเสื่อม หรือต่างชาติหยิบฉวยไปจดสิทธิบัตร และแสวงหาประโยชน์ทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมและงานวิจัยต่อยอด

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) แถลงผลงานวิจัยเรื่อง "การศึกษาวิจัยแนวทางการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น" ซึ่งไบโอเทคร่วมศึกษาวิจัยกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เพื่อวางแนวทางการออกกฎหมายคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศไทยไม่ให้ถูกละเมิดหรือนำไปใช้ในทางเสื่อม

ดร.ธนิต ชังถาวร นักวิชาการด้านทรัพย์สินทางปัญญา และนักวิจัยด้านกฎหมายเทคโนโลยีชีวภาพของไบโอเทค เผยว่า ประเทศไทยมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย และอุดมสมบูรณ์ เป็นจุดเด่นดึงดูดให้ต่างชาติสนใจและนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์

แต่บางคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงนำไปใช้ในทางที่เสื่อมเสีย เช่น ชาวต่างชาตินำเศียรพระพุทธรูปจำลองไปใช้ในการแสดงสินค้าต่างๆ, นำหัตถ์ของพระพุทธรูปไปทำเป็นที่เขี่ยบุหรี่ หรือภาชนะวางสบู่ในห้องน้ำ, นำตู้พระธรรมไปทำเป็นตู้ใส่รองเท้า เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นการดูหมิ่นวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอย่างยิ่ง รวมทั้งการขาดผู้สืบทอดภูมิปัญญา ขาดการส่งเสริมการใช้หรือศึกษาวิจัยต่อยอด

"ที่สำคัญคือขาดกฎหมายคุ้มครอง จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาหยิบฉวยภูมิปัญญาของไทยไปวิจัยต่อยอดและจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ เช่น กวาวเครือ, เปล้าน้อย หรือกรณีที่บริษัทต่างชาตินำท่าแม่ไม้มวยไทยไปดัดแปลงเพียงเล็กน้อย แล้วจดสิทธิบัตรเป็นท่าทางการออกกำลังกายท่าใหม่ โดยที่เจ้าของภูมิปัญญาเดิมไม่ได้รับประโยชน์แต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีกรณีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าด้วยชื่อฤาษีดัดตนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหากมองอีกแง่มุมหนึ่งอาจไม่มีความผิด เพราะเป็นการนำชื่อของภูมิปัญญาไทยไปแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ได้นำเอาองค์ความรู้ไปใช้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นช่องโหว่ของกฎหมายอีกเช่นกันที่จะต้องมีการคุ้มครององค์ความรู้และชื่อของภูมิปัญญานั้นๆ ด้วย เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางเสื่อมเสีย" ดร.ธนิต แจง

ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวประกอบด้วย 3 โครงการ ได้การ โครงการศึกษากรอบความคิดการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ซึ่งนักวิจัยได้ศึกษากฎหมายที่มีอยู่ในประเทศไทย และกฎหมายนานาชาติต่อการคุ้มครองภูมิปัญญา, โครงการวิจัยภาคสนามการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย โดยนำโครงการแรกไปหารือร่วมกับครูภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยทั่วทุกภูมิภาค และสุดท้ายจึงดำเนินเป็นโครงการยกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย

รศ.สุกัญญา สุจฉายา ผู้อำนวยการศูนย์คติชนวิทยา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า จากการที่ได้วิจัยภาคสนามร่วมกับครูภูมิปัญญาท้องถิ่นในภูมิภาคต่างๆ รวมแล้วกว่า 100 คน ทำให้พบว่าการขาดผู้สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น และการนำไปใช้ในทางไม่เหมาะสม เช่น ภูมิปัญญาทางด้านศิลปะชั้นสูง และด้านศาสนา เป็นปัญหาที่คนท้องถิ่นต้องการให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยให้ชาวบ้านได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย

ส่วนความไม่รู้ขอบเขตในการถ่ายทอดภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นก็มีส่วนทำให้เกิดปัญญาการละเมิดภูมิปัญญาโดยชาวต่างชาติหรือถูกนำไปจดสิทธิบัตรในต่างประเทศได้ เช่น การท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ที่ชาวต่างชาติมีโอกาสเข้าถึงภูมิปัญญาชาวบ้านได้ง่าย

อย่างไรก็ดี คำว่า "ภูมิปัญญา" ยังเป็นเรื่องสับสนในคนกลุ่มต่างๆ ดังนั้นจึงต้องมีการให้นิยามของคำว่า "ภูมิปัญญา" ให้ครอบคลุมภูมิปัญญาทุกอย่างในประเทศไทยและเป็นที่เข้าใจตรงกันทุกคน ซึ่ง ศ.พิเศษ ดร.ประคอง นิมมานเหมินทร์ ภาคีสมาชิกสำนักศิลปกรรม ประเภทวรรณศิลป์ สาขาวรรณกรรมพื้นเมือง ราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาโครงการวิจัย ได้ให้คำนิยามไว้ว่า "ภูมิปัญญา หมายถึง องค์ความรู้ที่กำเนิดหรือมีอยู่ภายในท้องถิ่นต่างๆ ในราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบทอด พัฒนา เผยแพร่ หรือใช้ประโยชน์ในวิถีชีวิต และมีคุณค่าเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป"

"นานาชาติเริ่มให้มีการขึ้นทะเบียนและจดทะเบียนภูมิปัญญากันแล้ว ซึ่งก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าดีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การออกกฎหมายให้ความคุ้มครองภูมิปัญญาของประเทศไทยจะช่วยแก้ปัญหาการละเมิดภูมิปัญญาไทยที่เคยมีมาได้" ดร.ประคอง เผย ซึ่ง ดร.ธนิต เพิ่มเติมว่า แม้แต่องค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลกหรือไวโป (WIPO) ยังดำเนินการเพื่อหากฎหมายแม่แบบในการคุ้มครองภูมิปัญญาด้วยเช่นกัน

หลังจากดำเนินการวิจัยเป็นเวลา 1 ปี คณะนักวิจัยได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย ซึ่งประกอบด้วย 6 หมวด 39 มาตรา โดยมีสาระสำคัญ เช่น การส่งเสริมภูมิปัญญาโดยการอนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบทอดภูมิปัญญา การจัดทำฐานข้อมูลภูมิปัญญา การขึ้นทะเบียนภูมิปัญญาที่สำคัญโดยคณะอนุกรรมการผู้ชำนาญเฉพาะสาขา การคุ้มครองภูมิปัญญาและชื่อของภูมิปัญญาที่ต้องขออนุญาติก่อนนำไปใช้เชิงการค้าหรือศึกษาวิจัย ห้ามนำไปใช้ในทางที่เสื่อมเสีย ส่งเสริมและสนับสนุนกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญา และบทลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดกฎหมายคุ้มครองภูมิปัญญา โดยกำหนดให้เป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดร.ธนิต กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีกฎหมายคุ้มครองภูมิปัญญาแล้ว การนำภูมิปัญญาไปใช้ศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำไปสู่การจดสิทธิบัตร เริ่มต้นก่อนการวิจัยจะต้องมีการขออนุญาตเจ้าของภูมิปัญญาเสียก่อน จึงจะสามารถจดสิทธิบัตรได้ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการละเมิดภูมิปัญญา และมีความผิดตามกฎหมาย อย่างไรก็ดี การออกกฎหมายคุ้มครองภูมิปัญญานั้นจำดำเนินการโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาต่อไป.



 

โดย: 166 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 10:14:01 น.  

 


510403 จุฬาฯ ร่วมมือกับ บริษัทวิจัย IATEC BV ประเทศเนเธอร์แลนด์
ตั้งบริษัทให้บริการวิจัยทางคลินิกอย่างครบวงจรในประเทศไทย

สถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับบริษัทวิจัยทางคลินิก Iatec BV จากประเทศเนเธอร์แลนด์ จัดงานเปิดตัวบริษัท Asia-Pacific CRO Co.,Ltd. บริษัทผู้ให้บริการวิจัยทางคลินิกอย่างครบวงจร เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้บริหารและบุคลากรจากหลากหลายบริษัทและหน่วยงานทางการแพทย์ เข้าร่วมงาน อาทิ
ศ.นพ. จรัส สุวรรณเวลา นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฯพณฯ Mr. Pieter Marres เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ประธานและผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตลอดจนนักวิชาการและ นักวิจัยทางการแพทย์จากนานาประเทศ


ศ.นพ. สุทธิพร จิตติมิตรภาพ ประธานกรรมการบริษัท Asia-Pacific CRO Co., Ltd. และประธานคณะกรรมการอำนวยสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า การศึกษาวิจัยทางคลินิกหรือการทดลองในมนุษย์โดยเฉพาะการทดลองยา นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการพิสูจน์และยืนยันถึงประสิทธิผลและความปลอดภัยในการรักษา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการรักษาผู้ป่วย ที่ในปัจจุบันต้องการ การดูแลรักษาที่ได้ผลและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น


การร่วมมือของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ IATEC BV จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีประสบการณ์อย่างมากด้านการวิจัยทางคลินิก ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นเลิศของการศึกษาวิจัยทางคลินิก ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติ รวมทั้งจะทำให้ประชาชนเข้าถึงยาได้มากขึ้น ทั้งนี้นอกจากจะอาศัยประสบการณ์และความเป็นที่รู้จักในวงการนี้ของ IATEC BV แล้ว คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย และ หน่วยงานพันธมิตรของไทยได้มีประสบการณ์ในการทำวิจัยทางคลินิก มีผลงานเป็นที่เชื่อถือจากวงการนี้เช่นเดียวกัน จึงนับว่าเป็นการผนวกเอาจุดเด่นจากทั้งสองฝ่ายมารวมกัน นอกจากนี้จากการวิเคราะห์การวิจัยทางคลินิกที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันพบว่าจะต้องมีการดำเนินการในกลุ่มประชากรในภูมิภาคเอเชียนี้ด้วย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในภูมิภาคนี้ต่ำกว่าการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป และท้ายที่สุดกลุ่มผู้บริโภคสัดส่วนสูงก็คือประชาการในภูมิภาคเอเชีย


ศ.นพ. สุทธิพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยความพร้อมของ บริษัท Asia-Pacific CRO Co., Ltd. ที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ทั้งในเรื่องประสบการด้านการวิจัย กอปรกับบุคลากรที่ผ่านการอบรมมาตรฐานการปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกที่ดี( Good Clinical Practice) บริษัทสามารถให้บริการงานวิจัยทางคลินิกได้อย่างครบวงจรแก่ทั้งบริษัทยา และหน่วยงานที่ทำวิจัยอื่นๆ โดยเน้นการบริการศึกษาวิจัยทางคลินิก ชีวสมมูล เภสัชจลนศาสตร์ ชีวประสิทธิผล ตลอดจน การวิเคราะห์ทางสถิติและการจัดการข้อมูล รูปแบบการดำเนินการแบบบริษัทยังเป็นรูปแบบใหม่ของการบริหารจัดการที่เชื่อมโยงวิชาการกับภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ที่ทำให้การบริหารจัดการคล่องตัวมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดี


ศ.นพ. เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า การวิจัยในคนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะอยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน เพื่อคุ้มครองอาสาสมัคร รวมถึงระเบียบวิธีวิจัยให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักจริยธรรมสากลที่กำหนดไว้ (International Conference on Harmonisation Good Clinical Practice, ICH-GCP) ทั้งนี้การวิจัยและทดสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ได้คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานสากล จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆโดยเฉพาะยา สามารถวางตลาดได้อย่างรวดเร็ว


สำหรับบริษัท IATEC BV ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้เชี่ยวชาญงานด้านวิจัยคลินิก มีการดำเนินการวิจัยทางคลินิกที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและสถาบันนานาชาติ โดยใน ๑๑ ปีที่ผ่านมา IATEC BV ได้มีการร่วมมือกับสภากาชาดไทย ในการทำงานวิจัยเรื่องโรคโรคเอดส์โดยการจัดตั้งศูนย์ HIV-NAT ภายใต้ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย นอกจากนี้ IATEC BV ยังประสบความสำเร็จในการดำเนินงานวิจัยด้านคลินิกในหลายประเทศ อาทิ เนเธอร์แลนด์ แอฟริกาใต้ อาร์เจนติน่า เบลเยี่ยม สหรัฐอเมริกา ยุโรป เป็นต้น





 

โดย: 167 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 10:16:47 น.  

 


510404 ขอเชิญผู้สนใจเสนอชื่อพร้อมผลงาน เพื่อรับรางวัลจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร




ด้วยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) จะมี การประชุมสัมมนาวิชาการประจำปี 2551 ระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน 2551 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดการประชุมวิชาการประจำปี 2551 ในวันที่ 2 มิถุนายน 2551 เวลา 09.00 น. พร้อมพระราชทานรางวัลและโล่เกียรติคุณบุคคลด้านการวิจัยการเกษตรเชิงพาณิชย์และผู้ชนะเลิศการประกวดผลงานวิจัยด้านการเกษตรเชิงพาณิชย์

สำนักงานฯ จึงขอเชิญผู้สนใจเสนอรายชื่อผู้มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การ สรรหารางวัลเกียรติคุณบุคคลด้านการวิจัยการเกษตรเชิงพาณิชย์ เข้ารับการพิจารณาสรรหารางวัลเกียรติคุณบุคคลฯ ตาม เอกสารที่ส่งมาด้วย 1 และเสนอผลงานการวิจัยการเกษตรเชิงพาณิชย์เข้าประกวด ตาม สิ่งที่ส่งมาด้วย 2 ส่งไปยังสำนักงานฯ ภายในวันที่ 11 เมษายน 2551 และวันที่ 17 เมษายน 2551 ตามลำดับ ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สำนักสนับสนุนงานวิจัย โทรศัพท์ 0-2579-7435 ต่อ 106, 123 และ โทรสาร 0-2579-7693

ดาวน์โหลด เอกสารที่ส่งมาด้วย 1 และ เอกสารที่ส่งมาด้วย 2



 

โดย: 168 IP: 118.174.51.78 12 เมษายน 2551 10:22:44 น.  

 







Search this site


>> ข่าวสารแวดวง IT

--------------------------------------------------------------------------------
เดนมาร์กคว้าแชมป์ ตลาดไอทีเศรษฐกิจดีที่สุดในโลก
อีก 18 ปีหุ่นยนต์จะทำงานแทนคนญี่ปุ่น 3.5 ล้านคน
ไอซีทีทำได้แค่ขอความร่วมมือคุมเว็บ"ไฮไฟว์"
เก็บตกสีสันงานแข่งแฮกเมืองมะกัน Vista-MacBook ถูกเจาะเรียบเหลือแต่ลินุกส์
กลุ่มเบญจจินดาเปิดตัวทดสอบ WiMAX เทคโนโลยีไร้สายล่าสุดในไทยเป็นรายแรก
เบนคิว "คิว41"
ริเวอร์เบดนำร่องโซลูชั่นสตีลเฮด พร้อมรุกตลาดไทยเต็มตัว
ซิลิกอนวัลเ์ลย์ไทยเกิดไม่ได้ถ้า..
เอไอเอสทุ่มไวแมกซ์ 1.5 พันล.
เอเอ็มดีคลอดชิป 3 คอร์ "Phenom"
เอไอเอส โหนกระแสไวแม็กซ์เกทับคู่ แข่งทดสอบของจริง
ซินเน็คตีปีกรัฐหนุคอมพ์ไทยแข่งต่างชาติ
กูเกิล สกายแบบใหม่ ไม่ต้องโหลดซอฟต์แวร์..
กระแสตลาดไอทีใน "คอมมาร์ต" เมื่ออุปกรณ์อิเล็กฯเป็นของเล่นยุคใหม่
Windows Server 2008 Visual Studio 2008 และ SQL Server 2008 บุกไทย

--------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุนการจัดทำระบบข่าวประจำวัน โดย //www.rssthai.com



ดาวน์โหลด.. สารคดีเฉลิมพระเกียรติ ชุด พระราชอัจฉริยภาพด้านวิทยุสื่อสาร..(wmv)

“การสื่อสารเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งในการพัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งการรักษาความมั่นคงและปลอดภัยของประเทศด้วย ยิ่งในสมัยปัจจุบัน ที่สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ย่อมมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ ทุกฝ่ายและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารของประเทศ จึงควรจะได้ร่วมมือกันดำเนินงานและประสานผลงานกันอย่างใกล้ชิดและสอดคล้อง สำคัญที่สุดควรจะได้พยายามศึกษาค้นคว้าวิชาการและเทคโนโลยีอันทันสมัยให้ลึกซึ้งและกว้างขวางแล้วพิจารณาเลือกเฟ้นส่วนที่ดี มีประสิทธิภาพแน่นอนมาปรับปรุงใช้ด้วยความฉลาดริเริ่มให้พอเหมาะพอสมกับฐานะและสภาพของบ้านเมืองของเรา เพื่อให้กิจการสื่อสารของชาติมีโอกาสได้พัฒนาอย่างเต็มที่และสามารถอำนวยประโยชน์แก่การสร้างเสริมเศรษฐกิจ สังคมและเสถียรภาพของบ้านเมืองได้อย่างสมบูรณ์แท้จริง” (พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ 15 กรกฎาคม พุทธศักราช 2526)




เทปบันทึกพระสุรเสียง VR 009 กับศูนย์สายลม..ส่วนที่ 1
..@.. ส่วนที่ 2 (กรกฎาคม 2528)..(wma)





หนังสือพระเจ้าอยู่หัว นักวิทยุสื่อสารผู้ยิ่งใหญ่..(pdf)

ในโอกาสปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์ ร่วมกับสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดทำ “หนังสือพระเจ้าอยู่หัว นักวิทยุสื่อสารผู้ยิ่งใหญ่” ซึ่งเป็นหนังสือประมวลพระราชกรณียกิจ และพระอัจฉริยภาพด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรอบ 38 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์ ผู้ถวายงานสนองพระเดชพระคุณได้รวบรวมไว้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นต้นมา ด้วยพระราชกรณียกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคมหลากหลายด้าน แต่ละด้านได้แสดงออกถึงพระปรีชาสามารถ พระอัจฉริยภาพและความเป็นพหูสูต ที่ล้วนเกิดจากพระปัญญาคุณที่สามารถเข้าถึง มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแก่นหรือธรรมชาติที่แท้จริงของวิชาการแขนงนี้ ทั้งยังทรงสามารถนำเอามาใช้ประโยชน์ต่อส่วนรวมได้อย่างแท้จริง หนังสือดังกล่าว มีขนาด ๘.๕๐ x ๑๐.๒๕ นิ้ว หนา ๓๒๐ หน้า ปกแข็งพิมพ์ ๔ สี ปั๊มทองเค เนื้อในกระดาษอาร์ตมัน พิมพ์ ๔ สี ทั้งเล่ม ราคา ๘๐๐ บาท ท่านที่สนใจสามารถติดต่อสั่งจองได้ที่ สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เลขที่ ๔๐/๕๔ ซอยอินทามระ ๘ ถนนสุทธิสารฯ เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. ๐-๒๖๑๖-๖๙๓๖-๙ โทรสาร. ๐-๒๖๑๖-๖๙๔๐


“รวมเป็นส่วนหนึ่ง...
ในการสร้างความเท่าเทียมกัน
ในสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร
...สมัครสมาชิกชมรมฟรี”

<< ใบสมัครสมาชิก..[WORD]..[PDF] >>
:: บทความทางวิชาการ


“...จากเดิมที่พระองค์ท่านทรงทดลองโดยใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุประจำที่ มาทดลองใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุชนิดมือถือแทนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำเป็นต้องเสด็จวิ่งขึ้น-ลง ระหว่างห้องทรงงานกับดาดฟ้าพระตำหนักซึ่งอยู่ต่างระดับกันชั้นหนึ่งหลายครั้ง เนื่องจากสายอากาศได้ติดตั้งอยู่บนดาดฟ้าทั้งนั้น ได้รับสั่งเล่าให้ผม (พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์) ฟังว่า มีครั้งหนึ่งทรงสะดุดพื้น เกือบทรงหกล้ม เครื่องรับ-ส่งวิทยุ หลุดจากพระหัตถ์กระเด็นไปตามพื้น แต่ไม่ชำรุดเสียหายอะไร รับสั่งว่า เครื่องเขาทนทานดี (เครื่องรับ-ส่งวิทยุที่ทรงใช้งานเป็นเครื่องรับ-ส่งวิทยุ Motorola HT-220)” ***


การปาฐกถาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เรื่อง “ตามรอยพระยุคลบาทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ” โดย ศาสตราจารย์ ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน นายกสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันพุธที่ 12 ธันวาคม 2550..[WORD]

80 พรรษา พระผู้เป็นพลังแห่งแผ่นดิน..[WORD]

ตามรอยพระยุคลบาท 80 พรรษา HS1A..[WORD]

ตามรอยพระยุคลบาท 80 พรรษา ในหลวงกับ IT..[WORD]

งานหน่วยแพทย์ทางวิทยุ พอ.สว. พระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์..[WORD]

คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ..[WORD]

หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินทั่วโลก Emergency Numbers Around the World ..[WORD]








ชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน : Information and Communication Technology for All (ICT for All)
ผู้ประสานงานโครงการ นายทศพนธ์ นรทัศน์ (HS4HNL)
ตู้ ปณ.2 ปณฝ.ราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10401
โทร. 08-1261-0726
e-Mail: webmaster@ictforall.org, hs4hnl@msn.com Website: //www.ICTforALL.org



© 2008 all rights reserved.

 

โดย: 169 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 10:38:21 น.  

 

//www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=48&s_id=40&d_id=40


Pridi Banomyong Institute
65/1 Sukhumvit 55 Rd., (between Thonglor 1-3) Vadhana, Bangkok 10110 Thailand
Tel.02-3813860-1 Fax.02-3813859
www.pridiinstitute.com
email : banomyong_inst@yahoo.com

 

โดย: 170 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 10:51:25 น.  

 

ฝากเว็บไซด์ดีๆให้ดูด้วยจ้ะ //www.blogger.com/posts.g?blogID=4667376440430024532




 

โดย: 175 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 10:59:05 น.  

 

กระทรวงแรงงานระดมสมองผู้บริหารระดับสูง ปรับโครงสร้างกระทรวงใหม่ เสนอแนวคิดเพิ่มกรมบริหารแรงงานต่างด้าว พร้อมปรับสำนักงานประกันสังคมให้คล่องตัวในรูปแบบหน่วยบริการพิเศษ หรือ SDU
การรวมตัวกันของนักบริหารแรงงานในการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างกระทรวงแรงงาน ที่โรงแรมชลพฤกษ์รีสอร์ท อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก โดยการนำของนางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นประธานรับฟังผลสรุปการระดมสมองของผู้บริหารระดับ 9 ขึ้นไป โดยมีการเสนอแนวคิดตั้งกรมบริหารแรงงานต่างด้าว แยกออกจากกรมการจัดหางาน ที่จะรับผิดชอบเฉพาะแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ ส่วนกรมใหม่จะดูแลแรงงานต่างด้าวที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะการจ้างงานบริเวณชายแดน นอกจากนี้ ยังมีการเสนอปรับโครงสร้างสำนักงานประกันสังคมให้คล่องตัวขึ้นในรูปแบบหน่วยบริการพิเศษ หรือ SDU รองรับการบริหารเงินกองทุนที่จะเพิ่มจำนวนเป็นหนึ่งล้านล้านบาท ในปี 2557 พร้อมเสนอเพิ่มหน่วยงานระดับสำนักต่าง ๆ และสำนักงานแรงงานอำเภอ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า เห็นด้วยกับการตั้งสำนักกฎหมายแรงงาน เพราะสอดรับกับตำแหน่งที่ปรึกษาแรงงานระดับ 10 ส่วนการแยกเป็นกรมบริหารแรงงานต่างด้าว เห็นว่าจะเป็นการรองรับแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายสัญชาติต่าง ๆ ที่จะเข้ามา นอกเหนือจากพม่า ลาวและกัมพูชา แต่ควรพิจารณาความเชื่อมโยงกับกรมการจัดหางานที่ยังต้องรับผิดชอบการส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศ เพราะเป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับนานาชาติเช่นเดียวกัน
ด้านนายจุฑาธวัช อินทรสุขศรี ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่าในส่วนของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีแนวคิดยกฐานะกองตรวจความปลอดภัยและสถาบันความปลอดภัยในการทำงาน เป็นสำนักความปลอดภัยในการทำงาน ขณะที่การตั้งสำนักเศรษฐกิจแรงงาน เพื่อเป็นหน่วยงานเชิงเศรษฐกิจเหมือนเช่นที่มีในกระทรวงเศรษฐกิจต่าง ๆ
ทั้งนี้ โฉมใหม่ของกระทรวงแรงงานจะเป็นไปในทิศทางใด จะได้มีการประสานกับ ก.พ. และ ก.พ.ร. อย่างใกล้ชิดต่อไป

 

โดย: 176 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 11:17:30 น.  

 



หัวข้อข่าว : นักวิจัยไทย พัฒนาโปรแกรมอับดุลรองรับกลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาข้อมูลรอบด้านผ่านMSN Messenger
นักวิจัยไทย พัฒนาโปรแกรมอับดุลรองรับกลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาข้อมูลรอบด้านพร้อมเป็นเพื่อนสนทนาผ่านMSN Messenger ในรูปแบบอัตโนมัติ
ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ นักวิจัยหน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ขณะนี้ทีมนักวิจัยศูนย์เนคเทคได้วิจัยและพัฒนาโปรแกรมประเภท Chat Bot หรือระบบอัตโนมัติสำหรับพูดสนทนาบนอินเตอร์เน็ตกับคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ที่เรียกว่า อับดุล ซึ่งผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ผ่านMSN Messengerได้ทันที อาทิ พจนานุกรมและแปลข้อความภาษาไทยเป็นอังกฤษ ตรวจสอบสภาพการจราจร ดูผลสลากกินแบ่ง ข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว ราคาหุ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมถึงเป็นเพื่อนสนทนาได้อัตโนมัติ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเล่นโปรแกรมอับดุล สามารถเข้าไปเพิ่มรายชื่อเพื่อนใหม่ได้ใน MSN Messenger โดยพิมพ์ hlt001-hlt010@nectec.or.th
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้เปิดให้บริการ 16 รายชื่อ ซึ่งรองรับผู้ใช้ได้ 16,000 คน พร้อมตั้งเป้าขยายให้ครอบคลุมผู้ใช้ 100,000 คน รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของโปรแกรมอับดุลให้ตอบรับเป็นรูปแบบเสียง เชื่อมโยงข้อมูลจากเว็บไซด์วิกิพีเดียเพิ่มมากขึ้น และตอบปัญหาที่คนสนใจอย่างรอบหนัง ผลบอล สายรถเมล์ นอกจากนี้ ศูนย์เนคเทคยังเปิดแข่งขันค้นหาซอฟต์แวร์ตัดคำภาษาไทยที่ดีที่สุดในเดือนกรกฎาคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโปรแกรมอับดุลมากขึ้น โดยสอบถามรายละเอียดได้ที่ //www.hlt.nectec.or.th





 

โดย: 177 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 11:24:00 น.  

 

ข่าว : สนช.ประสบความสำเร็จพัฒนาเครื่องผลิตน้ำมันและไฟฟ้าจากขยะได้เป็นเครื่องแรกของประเทศ
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ประสบความสำเร็จพัฒนาเครื่องผลิตน้ำมันและไฟฟ้าจากขยะได้เป็นเครื่องแรกของประเทศ หวังลดปริมาณขยะในสิ่งแวดล้อม เพิ่มมูลค่าจากสิ่งของเหลือใช้
นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ขณะนี้สามารถพัฒนาเครื่องผลิตน้ำมันและไฟฟ้าจากขยะพลาสติกและชีวมวลได้แล้ว โดยมีมูลค่าเครื่องละ 35 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่คนไทยพัฒนาสำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเป็นเครื่องต้นแบบไพโรไลซิส-แก๊สซิฟิเคชันเครื่องแรกของโลก เนื่องจากมีสองระบบในเครื่องเดียว ทั้งนี้เครื่องดังกล่าวสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับหลอดไฟทั่วไป และผลิตน้ำมันดีเซลใช้กับเครื่องจักรกลการเกษตร และรถจักรยานยนต์ ได้ 0.6 ลิตรต่อขยะ 1 กิโลกรัม รองรับขยะได้ 200 กิโลกรัมต่อชั่วโมง เป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยลดปริมาณขยะที่มีในท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมาใช้วิธีกำจัดไม่ถูกต้องด้วยการฝัง
ด้าน นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สำหรับงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จะมีขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ จะนำผลงานด้านพลังงานทดแทนจากทั่วโลกมาจัดแสดง โดยเบื้องต้นได้ประสานกับประเทศญี่ปุ่นแล้ว เพื่อกำหนดแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศต่อไป

 

โดย: 178 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 11:31:46 น.  

 

: เจ้าของรางวัลโนเบลด้านสันติภาพของเคนยาถอนตัวจากการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก
นางวังการีมา มาไท เจ้าของรางวัลโนเบลด้านสันติภาพ ประจำปี 2547 ของเคนยาได้ประกาศถอนตัวออกจากการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกที่จะมีขึ้นในแทนซาเนียสุดสัปดาห์นี้ เพื่อเป็นการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนกรณีจีนใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วงในทิเบต นางกล่าวว่า การวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกที่ผ่านมาก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่มวลมนุษยชาติตลอดระยะทางการวิ่งคบเพลิงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นางเรียกร้องให้จีนเร่งปลดชนวนความตึงเครียดในทิเบต เมืองดาร์ฟูร์ ของซูดาน และพม่า ทั้งนี้ นางไม่ต้องการเป็นต้นเหตุของความแตกแยก แต่ต้องการให้เกิดสันติภาพขึ้นโดยเร็ว

 

โดย: 179 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 11:36:02 น.  

 

หัวข้อข่าว : จัดแข่งขันยิมนาสติกศิลป์ยุวชนขั้นพื้นฐาน และยิมนาสติกศิลป์ยุวชนนานาชาติ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2551 ที่เชียงใหม่
สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ พร้อมจัดการแข่งขันยิมนาสติกยิมนาสติกศิลป์ยุวชนนานาชาติ 23-25 เมษายนนี้ มีจีนและกัมพูชาส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันกับสโมสรของไทยรวม 8 ทีม
นายเชาว์ เหลืองอร่าม รองอธิการบดีสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ นำคณะกรรมการแถลงข่าวการแข่งขันยิมนาสติกศิลป์ยุวชนขั้นพื้นฐาน และยิมนาสติกศิลป์ยุวชนนานาชาติ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2551 ที่โรงฝึกยิมนาสติกและการเต้น สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาพื้นฐานกีฬายิมนาสติกตั้งแต่ระดับยุวชน นำไปสู่การเป็นกีฬาเพื่อความเป็นเลิศในอนาคต และที่สำคัญ การแข่งขันครั้งนี้เป็นการสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างสโมสรกีฬาของไทยและทีมนักกีฬาจากนานาประเทศ คือสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือว่ามีความเป็นเลิศทางกีฬายิมนาสติกอยู่แล้ว และประเทศกัมพูชา
สำหรับการแข่งขันครั้งนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 เมษายน 2551 มีทีมสโมสรกีฬาเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 8 ทีม เป็นสโมสรของไทย 6 ทีม ได้แก่ ทีมศูนย์ฝึกยิมนาสติกและการเต้น สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ ทีมสโมสรยิมนาสติกสัตหีบ ทีมชมรมยิมนาสติกหาดใหญ่ ทีมยิมนาสติกศรัสตรายิม ทีมกองทัพอากาศ และทีมชมรมยิมนาสติกจังหวัดแพร่ กับทีมโรงเรียนกีฬายี่ซี สาธารณรัฐประชาชนจีน และทีมกัมพูชา นักกีฬาที่เข้าร่วมแข่งขันแบ่งเป็นเพศชายอายุ 8-12 ปี เพศหญิงอายุ 6-9 ปี มีการแข่งขันทั้งประเภททีมและประเภทบุคคล

 

โดย: 180 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 11:40:33 น.  

 

หัวข้อข่าว : สวช.จัดงานมหกรรมสงกรานต์ 4 ภาค สืบสานประเพณีที่ดีงามและถูกต้อง
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดงานมหกรรมสงกรานต์ 4 ภาค เพื่อสืบสานประเพณีอันดีงาม และให้ชาวต่างชาติได้เห็น เข้าใจถึงวัฒนธรรมของไทย
นางนพพร มุกดามณี รองเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กล่าวถึงการจัดงานมหกรรมสงกรานต์ 4 ภาค ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 19 - 20 เมษายนนี้ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ว่า เนื่องจากที่ผ่านมาทั่วโลกรู้จักประเพณีสงกรานต์ของไทย ว่าเป็นสงครามน้ำ ซึ่งบางแง่มุมมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์เปลี่ยนแปลงไปจากความหมาย และคุณค่าของประเพณีสงกรานต์ในอดีต ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ หรือ สวช.จึงเห็นว่าควรจะมีการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของชาติไทย เพื่อให้ชาวไทยและชาวต่างชาติได้รับรู้ โดย สวช.ร่วมกับสมาคมชาวเหนือ สมาคมชาวอีสาน ,สมาคมชาวปักใต้ ,สภาวัฒนธรรมภาคกลาง ,สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และองค์กรเครือข่ายทั่วประเทศ ร่วมกันจัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด แต่ไม่มีโอกาสเดินทางกลับบ้านได้มีโอกาสร่วมงานวัฒนธรรมพื้นบ้านของตนเอง และเพื่อนบ้านภาคต่างๆ ซึ่งเป็นประเพณีที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
รองเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดงานจะมีขบวนแห่ที่เป็นต้นแบบของวัฒนธรรมทั้ง 4 ภาค โดยจะมีประเพณีรดน้ำขอพรจากศิลปินแห่งชาติ จำนวน 200 ท่าน ซึ่งถือเป็นประเพณีสำคัญของไทยเพื่อเป็นสิริมงคล . .

 

โดย: 181 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 11:55:19 น.  

 

ประสบการณ์เรื่องการแกว่งแขน
ประสบการณ์เรื่องการแกว่งแขน
ผมเป็นคนนอนไม่ค่อยหลับ และความดันโลหิตสูง ผมเกือบตายเพราะเชื่อหมอสมัยใหม่ จนต้องเข้าห้องไอซียูเป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นผมเสื่อมศรัทธาหมอสมัยใหม่ ผมจำเป็นต้องมีทางออก
มิย. 2547 ภรรยาผมที่เป็นทัตแพทย์มาบอกผมว่ามีคนไข้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและครอเรสตรอรอลสูง ได้หายจากโรคดังกล่าวภายใน 3 เดือน โดยการแก่วงแขน 2,000 ครั้งต่อวัน ทุกวัน ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าแก่วงแขนอย่างไร
กค. 2547 ผมได้ไปงานวันเกิดของลุงของภรรยา ลุงอายุ 83 ปี แต่สุขภาพและท่าทาง ไม่ต่างจากคนอายุ 40 ปี เคลื่อนไหวว่องไว พูดจาเสียงดังฟังชัด มิหน่ำซ้ำยังขับรถไปไหมมาไหนเอง ผมก็เลยถามลุงว่าลุงมีเคล็ดลับในการบำรุงสุขภาพอย่างไร ? ลุงบอกว่า ลุงแกว่งแขนวันละ 1,000 ครั้ง ทุกวัน
ผมก็เริ่มสนใจว่าการแกว่งแขนเป็นอย่างไร ก็เลยเดินหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ บังเอิญโชคดี ไปเจอในร้านหนังสือเล็ก ราคา 20 บาท แล้วผมก็ฝึกการแกว่งแขนตามหนังสือช่วง 15 นาทีก่อนนอน จำนวน 1,000 ครั้งทุกวัน ผมนอนหลับได้สนิททุกคืน มิหน่ำซ้ำยังต้องนอนกลางวันหลังอาหารเที่ยงอีก
19 สค. 2547 ผมกินอาหารกลางวัน ปรากฏว่าผมเจ็บขากรรไกรด้านขวาขณะเคี้ยวอาหาร คล้ายๆกระดูกบนล่างหลุดออกจากกันและกัน ทำให้เวลาเคี้ยวจึงเจ็บปวดมาก ผมรีบไปโรงพยาบาลศิครินทร์ หมอผู้เชี่ยวชาญติดประชุม ผมต้องรอครึ่งชั่วโมง ขณะที่รอนั้น ผมโทรบอกภรรยาเกี่ยวกับอาการดังกล่าว ภรรยาผมบอกให้กลับบ้านเถอะ เพราะประเทศไทยยังไม่มีหมอผู้เชี่ยวชาญบริเวณขากรรไกร อย่างมาก หมอก็ให้ยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวด ผมก็ไม่เชื่อ จนผมได้พบหมอ ก็เป็นจริงอย่างที่ภรรยาผมพูด หมอให้ยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวด ตอนเย็นผมทรมานมากในการกินอาหาร แล้วก่อนนอนผมก็แกว่งแขนตามปรกติ ขณะที่แกว่ง ก็เกิดความคิดว่าน่าจะเอากล้ามเนื้อไหล่ชนบริเวณหลังหู ได้ผลครับ ภายใน 3 วัน อาการเจ็บขากกรไกรหาย โดยไม่ได้กินยาสักเม็ด
6 ธค. 2547 ตื่นมาตอนเช้า เป็นหวัดน้ำมูกไหลพร้อมจาม ในวันนั้นไปเล่นกอลฟ์กับลูกค้า ผมจามจนหมดแรง ขณะเล่นกอลฟ์ จนเล่นไม่ไหวจึงขอกลับก่อนในสภาพที่แย่มาก คืนนั้นผมก็แกว่งแขนตามปรกติ และก็เกิดความคิดอีกว่าการแกว่งแขนก็เหมือนทำชี่กงคือพลังงานอยู่ที่มือหลังการทำชี่กง แกว่งแขนก็น่าจะเป็นเหมือนกัน ดังนั้นพอแกว่งแขนเสร็จ ผมก็ใช้มือทั้งสองถูกันจนเกิดความร้อน แล้วเอามือทั้งสองโป่ะที่จมูก เพื่อรักษาอาการหวัด แล้วถูใหม่ แล้วโป่ะอีก อย่างนั้นอยู่ 5 ครั้ง
7 ธค.2547 ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่ปรากฏอาการหวัดเหลืออยู่เลย และลูกค้าที่ผมเล่นกอลฤ์ด้วยเมื่อวานมาเจอผม เขางงมากที่ผมหายภายในข้ามคืน
14 ธค 2547 ตอนบ่าย รู้สึกเจ็บคอด้านซ้ายคล้ายอาการหวัด อีกครั้ง ผมก็ทำอีกครั้ง แต่เอามือทั้งสองลูบบริเวณคอด้านซ้าย ทำอยู่ 5 ครั้ง
15 ธค. 2547 ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่ปรากฏอาการเจ็บคอเหลืออยู่เลย
ในช่วง ธค 2547 ถึง มค 2548 ผมผ่านการเป็นหวัด 4 ครั้ง แล้วก็หายภายในข้ามคืนทั้งสี่ครั้ง ซึ่งโดยปรกติ การเป็นหวัดครั้งหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7 ถึง 10 วัน ถึงจะหาย
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมมีอาการเสียวฟันกรามล่างซ้าย ภรรยาผมก็ตรวจดูว่ามีฟันผุหรือหินปูนเกาะหรือเปล่า ปรากฏว่าไม่มีความผิดปรกติใดๆ แต่ก็ยังเสียวฟันซี่นี้อยู่ ตอนช่วงแกว่งแขน ผมก็ใช้วิธีเดิมคือการให้กล้ามเนื้อไหล่กระแทกต้นคอด้านซ้าย อาการเสียวฟันดังกล่าวก็หายไป
อาการอีกอย่างคือเหนื่อยง่าย ซึ่งผมได้กลั้นหายใจในขณะแกว่งแขน ประมาณ 30 รอบของการแกว่งแขน ทุกๆการแก่วงแขน 100 ครั้ง จากนั้นก็ปล่อยลมหายใจออกมา ผมรู้สึกความร้อนวิ่งจากต้นคอขึ้นไปทั่วสมอง นี่หรือเปล่าที่ทำให้เส้นเลือดในสมองได้มีโอกาสออกกำลังกายคือให้มีการยืดหยุ่น ทำให้รักษาความดันโลหิตสูง ขณะเดียวกัน อาการเหนื่อยง่ายของผมก็หายไป
ผมได้แชร์ประสบการณ์นี้ให้คุณพิชัย ซึ่งเขาเป็นโรคปัสสวะไม่สุด และภรรยาเขาเป็นโรคนอนไม่หลับสนิทคือนอนได้ 2-3 ชั่วโมงแล้วก็ตื่น พอเขาไปแกว่งแขน 1,000 ครั้งต่อวันสม่ำเสมอ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมก็เจอคุณพิชัยอีก ผมก็ถามอาการปัสสวะไม่สุดของเขาอีก ปรากฏว่าเขาลืมปัญหานี้ไปแล้ว เพราะมันหายไปตั้งแต่สองวันแรกที่เขา
แกว่งแขน ขณะเดียวกัน ภรรยาเขาก็นอนหลับได้สนิททุกคืน ปัจจุบันทั้งคู่ก็ยังคงแกว่งแขนวันละ 1,000 ครั้ง และคุณพิชัยด้ไปเหมาหนังสือนี้ทั้งหมดที่สำนักพิมพ์มีอยู่ เพื่อนำไปแจกเพื่อนๆ
อีกคนหนึ่งคือคุณธานี ซึ่งผมได้บอกเรื่องการแกว่งแขนให้เขาฟัง แล้วเขาก็เอาไปบอกให้พ่อเขาซึ่งมีอาการปวดเข่า หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน พ่อเขาก็หายจากอาการดังกล่าว เพราะการแกว่งแขน ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ บางครั้งคนเราอาจจะอุปโลกขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองก็ได้
นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ไม่มีการเสริมแต่งใดๆ เพราะผมไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆจากการเผยแพร่ประสบการณ์นี้ นอกจากการได้ช่วยให้ญาติมิตรหายจากการเป็นโรคต่างๆ โดยไม่ต้องกินยาของพวกฝรั่ง ที่มีผลข้างเคียงระยะยาว
วิธีการแก่วงแขน
ยืนแยกเท้าเท่าความกว้างของไหล่ ย่อเข่าเล็กน้อย แขนทั้งสองแนบลำตัว ปลายลิ้นแตะเพดานบน จากนั้นยกแขนทั้งสองไปข้างหน้า แล้วผลักแขนทั้งสองไปข้างหลัง แล้วให้แขนกลับมาเองโดยธรรมชาติ เหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกา ไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป บริเวณลำคอและไหล่ควรจะผ่อนคลาย หลับตาเพ่งสมาธิไปกับการนับจำนวนครั้งในการแกว่งแขน ทุกๆ 100 ครั้งของการแก่วง ควรจะมีการกลั้นลมหายใจ จำนวน 30 ครั้งของการแกว่ง ควรจะแกว่งแขนต่อเนื่องกันวันละ 500 ครั้งสำหรับผู้ที่ต้องการให้ร่างกายแข็งแรง และ 1,000 ครั้ง ต่อวัน สำหรับผู้มีโรคประจำตัว เวลาในการแกว่งที่ดีที่สุดคือก่อนอาบน้ำตอนเย็น หลังการแกว่งทุกครั้ง ฝ่ามือทั้งสองจะมีพลังงานสะสมอยู่ ให้เอาฝ่ามือทั้งสองถูกันให้เกิดความร้อนแล้วไปลูบบริเวณที่เราต้องการรักษา เช่น หัวใจ ท้อง หรือจมูกคอเมื่อเป็นหวัด
จาก นายสามารถ ล.สกุล โทร.02-987-5843 (บ้าน) , 081-173-0886 มือถือ

 

โดย: 182 IP: 118.174.229.43 12 เมษายน 2551 12:16:20 น.  

 

หัวข้อข่าว : ไออีเอ.ระบุราคาน้ำมันจะยังคงสูง แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะมีการชะลอตัวก็ตาม

สำนักงานพลังงานสากล หรือไออีเอ ระบุราคาน้ำมันจะยังคงสูงต่อไป แม้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐจะชะลอตัวในปีนี้ก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวของไออีเอ มีขึ้นหลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ได้ลดตัวเลขประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และบราซิล ลง ซึ่งการประมาณการนี้แสดงให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวอย่างรุนแรง ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศที่กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจอย่าง จีน บราซิล และอินเดีย อย่างไรก็ตามหากเกิดความรุนแรงขึ้นในสถานการณ์โลก กระทั่งกระทบต่อการส่งออกของน้ำมัน หรือเกิดภาวะเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าอย่างรุนแรง ก็มีแนวโน้วว่าราคาน้ำมันจะทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

โดย: 183 IP: 118.174.46.37 12 เมษายน 2551 12:39:50 น.  

 


พม. เตรียมจัดกิจกรรมในโอกาสงานวันสังคมสงเคราะห์โลก (15 เมษายน 2551)
วันที่บันทึก : 11/04/2008 ปรับปรุงวันที่ 11/04/2008 ผู้ชม : 19 ครั้ง


นายชาญยุทธ โฆศิรินนท์ รองปลัดกระทรวงรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ตามที่สมาพันธ์นักสังคมสงเคราะห์ระหว่างประเทศ (International Federation of Social Workers) ซึ่งมีสมาคมวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ของประเทศต่างๆ เป็นสมาชิก 84 ประเทศ นักสังคมสงเคราะห์ จำนวน 500,000 คน กำหนดให้วันที่ 15 เมษายน 2551 เป็นวันสังคมสงเคราะห์โลก (World Social Work Day 2008) โดยกำหนดหัวข้อหลักของงานว่า “Making a World of Difference” และได้เชิญชวนหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ในประเทศต่างๆ ร่วมจัดกิจกรรม สำหรับประเทศไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ได้เชิญหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชนที่มีนักสังคมสงเคราะห์ปฏิบัติงาน สถาบันการศึกษา และองค์กรวิชาชีพด้านสังคมสงเคราะห์ มาประชุมหารือการจัดงานวันสังคมสงเคราะห์โลกของประเทศไทย โดยที่ประชุมเห็นชอบให้จัดกิจกรรมภายใต้หัวข้อหลัก “มาร่วมกันสร้างสังคมที่มีความสุขในโลกแห่งความหลากหลาย” ประกอบด้วย
1. เชิญชวนหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ของภาครัฐและเอกชน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชนทั่วไป “มาร่วมกันสร้างสังคมที่มีความสุขในโลกแห่งความหลากหลาย”
2. การเผยแพร่ข้อมูลการจัดงานวันสังคมสงเคราะห์โลกของประเทศไทยในการประชุมการสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ เรื่อง “องค์การสวัสดิการสังคมกับความมั่นคงของชาติ” ในวันที่ 24 เมษายน 2551 ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร จัดโดยสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
3. จัดให้มีการลงทะเบียนนักสังคมสงเคราะห์ทั่วประเทศตามกฎหมายส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม ทางเว็บไซต์ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ //www.m-society.go.th/msosocial.php ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2551 เป็นต้นไป
4. การจัดประชุมวิชาการนักสังคมสงเคราะห์ทั่วประเทศ จากกระทรวง ทบวง กรม สถาบันการศึกษาและองค์การเอกชนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2551 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร
นายชาญยุทธ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงแนวทางการจัดตั้งภาคีความร่วมมือระหว่างผู้ปฏิบัติงาน นักการศึกษา และสถาบันการศึกษาด้านสังคมสงเคราะห์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นโครงการที่จัดทำโดยประเทศไทยและประเทศฟิลิปปินส์ตามกรอบความร่วมมือของอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ประกอบด้วย กิจกรรมการส่งเสริมผู้ปฏิบัติงาน การกำหนดแนวทางการประสานงานระหว่างผู้ปฏิบัติงาน การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ในอาเซียน กิจกรรมการส่งเสริมนักการศึกษาและสถาบันการศึกษาด้านสังคมสงเคราะห์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดการพัฒนางานด้านสังคมสงเคราะห์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่สามารถตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาสังคม และทำให้ประชาคมอาเซียนเป็นสังคมแห่งการเอื้ออาทรได้ในที่สุด

------------------------------------------



 

โดย: 184 IP: 118.174.46.37 12 เมษายน 2551 13:37:32 น.  

 

ศูนย์รับแจ้งข้อมูลข่าวสาร และเรื่องราวร้องทุกข์
หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง
โทร. 1689 (5 คู่สาย)
ตู้ ปณ.5 กระทรวงการคลัง กรุงเทพฯ 10400 หรือ
ตู้รับเรื่องราวร้องทุกข ์หน้ากระทรวงการคลัง ทางอีเมล์ : call@mof.go.th








 

โดย: 185 IP: 118.174.46.37 12 เมษายน 2551 14:12:54 น.  

 


การสัมมนา "เสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายสตรีและสถาบันครอบครัว" ภาคกลาง
วันที่บันทึก : 11/04/2008 ปรับปรุงวันที่ 11/04/2008 ผู้ชม : 17 ครั้ง


กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กำหนดจัดสัมมนา "เสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายสตรีและสถาบันครอบครัว" ครั้งที่ 4 ภาคกลาง ระหว่างวันที่ 22 - 24 เมษายน 2551 ณ โรงแรมบางกอกพาเลส กรุงเทพฯ (รายละเอียดตามกำหนดการที่แนบ)



เอกสารที่เกี่ยวข้อง :
11/04/2008 กำหนดการสัมมนา






กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เลขที่ 1034 ถนนกรุงเกษม แขวงมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100
โทร. 0-2659-6399 (อัตโนมัติ)
E-mail :

 

โดย: 186 IP: 118.174.46.37 12 เมษายน 2551 14:17:55 น.  

 


กำหนดการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดสวนเฉลิมพระเกียรติ ฯ ราชพฤกษ์ 2549 และงานมหาสงกรานต์ล้านนา 2551
วันที่ 10-14 เมษายน 2551
ณ สวนเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ต. แม่เหียะ อ. เมือง จ.เชียงใหม่
---------------------------------------------------------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 2551

14.45 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (รมว. กก.) พร้อมคณะเดินทางถึงห้องรับรองของ
บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ท่าอากาศยานดอนเมือง กทม. 15.15 น. รมว. กก. และคณะออกเดินทางด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 1116
16.25 น. รมว. กก. และคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่
16.45 น. รมว. กก. และคณะเดินทางถึงโรงแรมระรินจินดา พักผ่อนตามอัธยาศัย
(เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดไทยพื้นเมืองล้านนา)
17.30 น. รมว. กก. และคณะเดินทางออกจากโรงแรมระรินจินดาเพื่อเดินทางไปสวนเฉลิมพระเกียรติฯ
ราชพฤกษ์ 2549
18.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เดินทางมาถึงบริเวณด้านหน้าสวนเฉลิมพระเกียรติฯ (ประตูช้างค้ำ)
18.15 น. กล่าวรายงานโดย อธิบดีกรมวิชาการเกษตร
กล่าวเปิดงานโดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
18.30 น. พิธีเปิดสวนเฉลิมพระเกียรติฯ และงานมิดไนท์ไม้ดอก
รัฐมนตรี 2 ท่าน ตัดริบบิ้นดอกไม้ร่วมกัน
- เปิดประตู สู่สวนเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ร่วมกันกับแขกผู้มีเกียรติ
- ฟ้อนขันดอกรับ และ เดินนำรัฐมนตรี 2 ท่าน ไปที่บริเวณปะรำพิธี
บริเวณด้านหน้าอาคารนิทรรศการถาวร (Expo Center)
พิธีอัญเชิญน้ำทิพมนต์ศักดิ์สิทธิ์โดย
- ขบวนแห่พร้อมเสลี่ยงน้ำทิพมนต์จาก 9 วัด จำนวน 9 เสลี่ยง
- รัฐมนตรี 2 ท่าน ร่วมกันนำน้ำทิพมนต์ หล่อลงรางลินคำ ลงสู่สลุงเงินหลวง
- อาจารย์หลวง ทำพิธีอัญเชิญเทพยดาอินทร์พรหม อันรักษาพระธาตุเจ้าดอยสุเทพ
อันรักษานครพิงค์เชียงใหม่ อันรักษาขอบขันธสีมาล้านนาประเทศได้มาปรุงน้ำทิพมนต์
อันศักดิ์สิทธิ์วิเศษ
- ผู้ทรงศีลในชุดขาวเชิญน้ำทิพมนต์ จากสลุงขึ้นเสลี่ยง
- ขบวนอัญเชิญฯ พร้อมรัฐมนตรี 2 ท่าน เดินร่วมขบวนไปเพื่อนำน้ำทิพมนต์ รวมกันในบ่อน้ำ ณ ลานโพธิ์
- รัฐมนตรี 2 ท่าน เคาะระฆัง 3 ครั้ง
-2-

- เสร็จสิ้นพิธีการ
19.00 น. รัฐมนตรี 2 ท่าน ไปร่วมชมกิจกรรม “มิดไนท์ไม้ดอก” ของกรมวิชาการเกษตร
19.30 น. รัฐมนตรี 2 ท่าน เดินทางถึง ข่วงบ้านล้านนาบนลานราชพฤกษ์ฯ
- พิธีบายศรีฮ้องขวัญ : ผูกข้อมือ โดย ศ. มณี พะยอมยงค์ ศิลปินแห่งชาติ
- การรับประทานอาหารเย็น แบบ “ขันโตกล้านนา”
- ขบวนแห่ขันโตกหลวง และฟ้อนเทียน โดยวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่
- รับประทานอาหารขันโตก และชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา
- เสร็จสิ้นพิธีการ ณ ข่วงบ้านล้านนา

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2551

06.00 น. พระสงฆ์จำนวน 99 รูปเดินทางมาถึงบริเวณหอคำหลวง ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์
06.50 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางมาถึงบริเวณงาน
07.00 น. พระสงฆ์ 99 รูปเดินลงบันไดหน้าหอคำหลวง
รัฐมนตรี 2 ท่านร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ พร้อมแขกผู้มีเกียรติและประชาชนทุกหมู่เหล่า
07.45 น. เสร็จสิ้นพิธีการใส่บาตร
08.00 น. - พิธีเปิดงานมหาสงกรานต์ โดย
- กล่าวรายงาน : ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
- กล่าวเปิดงาน : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
- รัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน ลั่นกลองชัยมงคล 3 ครั้ง
- กลองสะบัดชัย 9 คณะ ตีดังลั่นสนั่น ทั่วล้านนา เพื่อรับกลองชัยมงคล
และ ลั่นกลองหลวง
- รัฐมนตรี 2 ท่าน เข้าสู่ข่วงบ้านล้านนา ณ บริเวณเจดีย์สุดส้าว เพื่อ
- จุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย
- ร่วมสงฆ์น้ำพระแบบโบราณ
- ทำบุญพระประจำวันเกิด
- ปักตุงประจำปีเกิด
- ชมขบวนแห่ล้านนามหาสงกรานต์
- เชิญรัฐมนตรี 2 ท่านเยี่ยมชมสาธิตหัตถกรรมล้านนา และกาดหมั้ว
09.30-10.00 น. รัฐมนตรี 2 ท่าน พักผ่อนตามอัธยาศัย ณ อาคารนิทรรศการถาวร (Expo Center) และให้สัมภาษณ์
สื่อมวลชน ณ อาคารนิทรรศการถาวร(Expo Center)
11.00 น. รัฐมนตรี 2 ท่าน ชมการแข่งขันกลองหลวงล้านนา
11.30 น. รมว. กก. และคณะเดินทางกลับโรงแรมระรินจินดา พักผ่อนตามอัธยาศัย
-3-

13.15 น. รมว. กก. และคณะเดินทางถึงหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่
14.15 น. รมว. กก. และคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่
14.40 น. รมว. กก. และคณะออกเดินทางด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 111 ไปยัง
15.50 น. รมว. กก. และคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

**หมายเหตุ : การแต่งกาย - ชุดพื้นเมืองสีสุภาพ
------------------------------------------------------------------


 

โดย: 187 IP: 118.174.46.37 12 เมษายน 2551 14:33:16 น.  

 


เลน่า มาเรีย ศิลปินพิการชาวสวีเดน แม้พิการแขน แต่น้ำใจท่วมท้นที่จะช่วยเหลือคนพิการ โดยเฉพาะหนูน้อยทั้งหลาย ครั้งนี้บินมาแสดงคอนเสิร์ต 'กำลังใจ' หารายได้ให้กับมูลนิธิคริสเตียนเพื่อเด็กพิการ ในชุดราตรีสวยสีชมพู


บินมาแสดงคอนเสิร์ตการกุศล 'กำลังใจ' ในเมืองไทย 'จัดขึ้นโดย ' เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป และ บริดจ์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด สำหรับศิลปินผู้พิการชาวสวีเดนอย่าง 'เลน่า มาเรีย' เพื่อหารายได้ให้กับมูลนิธิคริสเตียนเพื่อเด็กพิการ ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ท่ามกลางการต้อนรับจากบรรดาแฟนเพลงชาวไทย และแขกผู้มีเกียรติ อาทิ บิ๊กบอส แบงค์ไทยพาณิชย์ คุณหญิงชฎา –ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม , คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล , มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ,สส.กทม.กรณ์ จาติกวณิช และลูกสาว,บอย-โกสิยพงษ์ ฯลฯ พร้อมใจกันมาให้กำลังใจกับการแสดงคอนเสิร์ตอีกครั้งในเมืองไทย

เลน่า มาเรีย ยังได้กำลังใจจากเหล่าเพลงคนพิการทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่จากสมาคมคนพิการต่างๆที่ขนกันมาให้กำลังใจกันอย่างเนื่องแน่น
เลน่า เธอทุ่มเทให้กับคอนเสิร์ตในเมืองไทยครั้งนี้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่การฝึกซ้อมที่หนักหน่วงก่อนวันแสดงจริง หรือก่อนที่จะขึ้นเวทีแสดงคอนเสิร์ตเพียงไม่กี่ชั่วโมงเธอก็ยังซุ่มซ้อมกับแดนเซอร์ นักดนตรี และทีมงาน เพื่อให้คอนเสิร์ตออกมากสมบูรณ์แบบมากที่สุด

เมื่อถึงเวลาแสดงคอนเสิร์ตจริง เลน่า เธอออกมาในชุดราตรียาวปักเลื่อมสลับลายสวยงาม ด้วยบทเพลง You are The Sunshine of my Life, Can’t Smile Without You และอีกหลาย ๆ เพลง โดยมีแดนเซอร์หนุ่มสาวจาก ภัทราวดีเธียเตอร์ มาออกลีลาแดนซ์ได้สมกับคอนเซปต์กำลังใจเพื่อคนพิการจริง ๆ อีกทั้ง ยังมี คอรัสจากกลุ่มน้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนมาร่วมร้องเพลงไปกับเลน่าในบทเพลง Love is what we need และ I’m so happy

ถึงช่วงไฮไลต์สำคัญของคอนเสิร์ตกับบทเพลง Amazing Grace และ The Rose ที่ เลน่า จะต้องออกมาครวญเสียงเพลงคู่กับนักร้องหนุ่มของไทย บี-พีระพัฒน์ เถรว่อง ได้รับเสียงปรบมือจากแฟนเพลงชาวไทยเป็นอย่างมาก สะกดและสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมผู้ฟังในโรงภาพยนตร์สยามภาวลัยตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม สมกับบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเปิดคอนเสิร์ตการกุศลครั้งนี้ในเมืองไทย

เลน่า เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2511 ในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นตำรวจ และคุณแม่เป็นนักอาชีวบำบัด นั่นไม่สำคัญเท่าความรักที่บุพการีมีให้แก่เธออย่างล้นเหลือ ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะเลี้ยงเด็กทารกแรกเกิดที่ไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาขวาที่สมบูรณ์และขาซ้ายที่สั้นเพียงครึ่งเดียว แทนการส่งตัวไปยังสถาบันดูแลเด็กพิการ

ครอบครัวของเลน่ามีสิ่งพิเศษที่เหมือนกันกับครอบครัวอื่น ๆ และพวกเขานำมันมาใช้เป็น นั่นคือการมองโลกในทัศนคติที่เป็นบวก (Positive Thinking) อยู่เสมอ เพราะมันทำให้ความ 'ท้อแท้' ไม่มีโอกาสเกิดขึ้น'ได้เลย อุปสรรคนานัปการที่เกิดขึ้นจริงถูกมองอย่างถูกวิธีและแก้ไขได้อย่างเป็นธรรมชาติ เลน่าได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่มาแต่วัยเยาว์

เธอยังมีความเชื่อมั่นในตัวเองโดยไม่นำตนเองไปเปรียบเทียบอะไรกับใคร ตลอดจนมีความศรัทธาต่อศาสนาอย่างไม่คิดสงสัย เหล่านี้ทำให้เธอพัฒนาการชีวิตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นความสุขที่ไม่มีใครช่วงชิงไปได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเรียนรู้และต่อสู้ให้ได้มาด้วยตัวของเธอเองทั้งสิ้น

การดำเนินชีวิตที่ปกติธรรมดาทว่าเต็มไปด้วยความพยายามอย่างมากมาย และสม่ำเสมอของเลน่า ทำให้เธอกลายเป็นบุคคลผู้น่าทึ่งจากประเทศบ้านเกิดในกรุงสตอกโฮล์ม ข้ามเมืองข้ามทวีปไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก

เริ่มจากการเป็นนักกีฬาทีมชาติที่ทำลายสถิติการแข่งขันกีฬาภายในประเทศ และเมื่อมีอายุได้ 20 ปี ขณะศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยการดนตรี The Royal University College of Music เธอเริ่มเรียนการร้องเพลงจาก เลน่า อีริคสัน(Lena Ericsson)” ศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของสวีเดน

ชีวิตของ เลน่า เปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น เมื่ออัตชีวประวัติของเธอรวมทั้งความสามารถในการแสดงและการร้องเพลงถูกถ่ายทอดผ่านสารคดี “Goal in Sight” ถวายแด่พระราชินีซิลเวีย เบอร์นาด็อทท์ แห่งสวีเดน ในการประชุมใหญ่เพื่อคนพิการที่กรุงวอชิงตันดีซี ซึ่งประธานาธิบดีจอร์ช ดับเบิลยู บุช และภริยา รับชมอยู่ด้วย ความน่าสนใจของสารคดีถูกตัดตอนไปถ่ายทอดในรายการทีวี Good Morning America สารคดีชุดนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นรายการสุดยอดอันดับ 1 ของเทศกาลดัชท์ประจำปี และเป็นรายการโทรทัศน์ดีเด่นประจำสัปดาห์ของสวีเดนด้วย

ไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งความฝันของเลน่าที่จะร้องเพลงและให้กำลังใจแก่ผู้คนทั้งที่ปกติและพิการ เธอเขียนอัตชีวประวัติและประสบการณ์ของตนเองในเชิงบอกเล่าโดยไม่ลืมสอดแทรกความเห็นที่ให้กำลังใจด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายลงในพ็อคเก็ตบุ้คชื่อเก๋ 'บันทึกจากปลายเท้า' (Foot-Notes) ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นบันทึกที่อ่านแล้วก่อให้เกิดความกล้าหาญที่จะเงยหน้าขึ้นมาเผชิญความจริงในโลกนี้อีกครั้ง อยากให้หลาย ๆ คนที่เกิดความท้อแท้ในชีวิตได้เอาชีวิตของเธอเป็นแบบอย่างเพื่อเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิตต่อไปได้

 

โดย: 188 IP: 118.174.97.228 12 เมษายน 2551 19:35:59 น.  

 

มศว จัดงาน 59 ปี'อดีตเพื่ออนาคต'บรรยายพัฒนาวิจัย
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) จัดงานวาระ 59 ปี 'อดีตเพื่ออนาคต' ในวันที่ 28 เมษายน 2551 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ห้องปฐมบริบท อาคารประสานมิตร มศว ประสานมิตร ในปีนี้ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดี บรรยายนำเรื่อง 'หากธงวิจัยไม่สะบัดมหาวิทยาลัยจะก้าวไปอย่างไร'ศ.อานนท์ บุญยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ บรรยายพิเศษเรื่อง 'วิจัยหลักของประเทศกับการพัฒนาสู่มหาวิทยาลัยวิจัย' และมีพิธีมอบโล่รางวัลและเกียรติบัตรแก่ผู้เสนอผลงานวิจัย จากงานศรีนครินทรวิโรฒวิชาการ ครั้งที่ 2 ติดต่อโทร. 0-2649-5000 ต่อ 5666



 

โดย: 189 IP: 118.174.97.228 12 เมษายน 2551 19:45:09 น.  

 

ภัยคุกคามบนเว็บ ที่มุ่งหากำไรจากเครื่องพีซีของเรา


พีซีคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ตกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วก็มี'ซอฟต์แวร์กาฝาก'มากับอันตรายต่างๆ ทั้งไวรัสคอมพิวเตอร์กลายเป็นภัยคุกคามบนเว็บที่ฉกชิงความเป็นตัวตน และทรัพย์สินของเรา


เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) และอินเตอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา บรรดาซอฟต์แวร์กาฝากและซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายต่างๆ ก็เริ่มเติบโตขึ้น เมื่อโลกเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายมากขึ้น ไวรัสคอมพิวเตอร์ก็เริ่มพัฒนาตัวเองกลายเป็นภัยคุกคามบนเว็บที่ร้ายกาจยิ่งขึ้นในปัจจุบัน

ภัยคุกคามบนเว็บเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์อันตราย เช่น สปายแวร์ แอดแวร์ โปรแกรมม้าโทรจัน บ็อต ไวรัส และหนอน ที่ถูกติดตั้งในพีซีโดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัวและไม่ได้ให้การอนุญาต โปรแกรมเหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในการแพร่กระจาย ซ่อนตัว อัพเดทตัวเอง และส่งข้อมูลที่ขโมยได้มากลับไปยังผู้เขียนโปรแกรมที่เป็นอันตรายนั้นๆ อีกทั้งยังมีความสามารถในการรวมตัวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายได้มากขึ้น เช่น โทรจันดาวน์โหลดสปายแวร์ หรือหนอนมาไว้ในเครื่องและทำให้เครื่องพีซีติดเชื้อร้ายด้วยการแพร่กระจายของบ็อต นอกจากนี้ภัยคุกคามบนเว็บอีกลักษณะหนึ่งจะมาในรูปของซอฟต์แวร์เฉพาะขององค์กรผู้ผลิตแอดแวร์ และมัลแวร์ ซึ่งองค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรที่เปิดเผยต่อสาธารณชนโดยตรง เช่น Integrated Search Technologies และ Zango

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจในตลาดมืดของอินเตอร์เน็ตนั้นมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก และยังสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล โดยมีธุรกิจการค้าข้อมูลที่สำคัญ ช่องโหว่ล่าสุด และมีผู้รับจ้างเขียนชุดเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อมุ่งหาประโยชน์จากผู้ใช้ในโลกอินเทอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแนวทางใหม่ในการสร้างตลาดมืดดิจิทัลอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเร็วๆ นี้ มัลแวร์สายพันธุ์ต่างๆ ได้ถูกแบ่งเป็นภัยคุกคามแยกต่างหาก ซึ่งเป็นภัยร้ายที่ต่อยอดมาจากหนอน และไวรัสที่สามารถแพร่พันธุ์ตัวเอง และมีความสามารถในการทำลายพีซีทั่วโลกได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงด้วยตัวของมันเองเพียงลำพัง

ขณะที่ภัยคุกคามบนเว็บที่จูงใจทางด้านเศรษฐกิจในทุกวันนี้ ใช้ซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกันซึ่งเป็นลักษณะชิ้นส่วนย่อยๆ ของโมเดลธุรกิจเฉพาะของภัยคุกคามบนเว็บ และนั่นทำให้นักวิจัยด้านการป้องกันภัยคุกคามมัลแวร์ได้รวมภัยคุกคามบนเว็บซึ่งทำงานให้กับองค์กรมัลแวร์ประเภทเดียวกันเข้าไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน โดยไม่ได้แบ่งประเภทตามความแตกต่างด้านเทคนิค

เกี่ยวกับผู้เขียน

นายจอร์จ มัวร์ เป็นนักวิจัยอาวุโสด้านภัยคุกคาม บริษัท เทรนด์ ไมโคร มีความเชี่ยวชาญด้านสปายแวร์และแอดแวร์ เขาให้ความสำคัญกับวิธีการติดตั้งและการหลบซ่อนของภัยคุกคามบนเว็บในพีซีของผู้ใช้ และองค์กร ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจของผู้เผยแพร่มัลแวร์ด้วย

นายแอนโทนี อาร์ร็อตต์ ผู้ช่วยพิเศษของประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) บริษัท เทรนด์ ไมโคร ดูแลจัดการด้านการวิเคราะห์ภัยคุกคามและข้อตกลงด้านการใช้ข้อมูลภัยคุกคามร่วมกันกับองค์กรภายนอก

และในปี 2550 ที่ผ่านมา ผู้เขียนทั้งสองเป็นหัวหน้าทีมโครงการของ Trend Micro HijackThis v2.0 ซึ่งเป็นการปรับปรุงเครื่องมือวินิจฉัยมัลแวร์ยอดนิยมที่พัฒนาโดยเมอร์จิน เบลล์คอม

 

โดย: 190 IP: 118.174.97.228 12 เมษายน 2551 19:53:35 น.  

 

สมาคมนักข่าวฯเล็งตั้งเครือข่ายสิทธิเสรีภาพสื่อ

12 เมษายน พ.ศ. 2551 17:16:00

สมาคมนักข่าวฯเล็งตั้งเครือข่ายสิทธิเสรีภาพของสื่อ หวังทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครเฝ้าระวังการคุกคามสื่อ เพื่อรายงานให้สาธารณชนได้รับทราบ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายวันชัย วงศ์มีชัย อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ เปิดเผยถึงกรณีการข่มขู่คุกคาม น.ส.ชลธิชา เหลิมทอง ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ประจำรัฐสภา ที่ถูกชายกลุ่มหนึ่งในชุดซาฟารีตามถึงบ้านพักหลังมีปากเสียงกับนักการเมืองจากพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ โดยสมาคมมีความห่วงใยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะติดตามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ก่อนนำเสนอในที่ประชุมของสมาคมฯ

หลังเกิดเหตุ น.ส.ชลธิชา เข้าแจ้งความกับตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ซึ่ง พ.ต.อ.ศรัญญู ชำนาญราช ผู้กำกับการ สน.นางเลิ้ง ให้มีการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าน่าจะมีการข่มขู่เกิดขึ้นจริง

นอกจากนี้ นายวันชัยยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพสิทธิการทำหน้าที่ของกันและกัน ไม่ควรมีพฤติกรรมการข่มขู่คุกคามแทรกแซง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อการทำงานของสื่อมวลชน เพราะเสรีภาพของประชาชนคือ เสรีภาพของสื่อ การคุกคามสื่อคือการคุกคามประชาชน โดยทางสมาคมฯ มีแผนงานในการจัดตั้งเครือข่ายสิทธิเสรีภาพของสื่อ ทำหน้าที่อาสาสมัครเฝ้าระวังการคุกคามสื่อ เพื่อรายงานให้สาธารณชนได้รับทราบ


 

โดย: 191 IP: 118.174.97.228 12 เมษายน 2551 20:24:55 น.  

 

วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10990

เส้นทางค้ามนุษย์ในไทย

คอลัมน์ เคียงข่าว



ในปี 2549 มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำการวิจัยเรื่อง "การคุ้มครอง ช่วยเหลือ พัฒนาสภาพแรงงาเด็กต่างชาติในประเทศไทย" พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเขตพื้นที่และเส้นทางการอพยพเคลื่อนย้ายทั้งของแรงงานเด็กต่างชาติและครอบครัวเข้ามาในไทย มีเส้นทางที่สำคัญ ได้แก่ แนวชายไทยไทย-พม่า จ.เชียงราย อ.แม่สาย อ.เชียงของ ,จ.เชียงใหม่ อ.ฝาง ,จ.แม่ฮ่องสอน อ.ขุนยวม ,จ.ตาก อ.ท่าสองยาง อ.แม่สอด ,จ.กาญจนบุรี อ.สังขละบุรี อ.ทองผาภูมิ

แนวชายแดนไทย-ลาว จ.เชียงราย อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น ,จ.พะเยา อ.เชียงคำ ,จ.น่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ ,จ.นครพนม อ.ธาตุพนม อ.ท่าอุเทน ,จ.หนองคาย อ.ศรีเชียงใหม่ อ.ท่าบ่อ ,จ.มุกดาหาร อ.ดอนตาล อ.ส้มป่อย ,จ.อำนาจเจริญ อ.ชานุมาน ,จ.อุบลราชธานี อ.เขมราฐ อ.พิบูลมังสาหาร

แนวชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สุรินทร์ อ.กาบเชิง อ.ปราสาท อ.บ้านกอก ,จ.สระแก้ว อ. ท่าพระยา อ.อรัญประเทศ ,จ.ตราด อ. คลองใหญ่ อ.เกาะกง

เขตพื้นที่ต้นทางที่เด็กแรงงานต่างชาติเข้ามามีดังนี้

1.พม่า จากเมืองเมียววะดี พะอัน ตะโพ ย่างกุ้ง เกาะเกร็ด ทวาย มะริด ย่างกุ้ง เกาะสอง มยิดจีนา ลาเสี้ยว มัณฑะเลย์ ตองจี มะละแหม่ง

2.ลาว จากสะหวันเขต ปากเซ จำปาสัก คำม่วน สาละวัน ไซยบุรี เซโน โนนชัย สานะคาม บุริคำไซ

3.กัมพูชา จากเมืองกระดาน เกาะกง พระตะบอง เสียมราฐ กำปงจาม ปอยเปต สกาโก กอบเบอร์ปลี (พระตะบอง) ปันเตียเมียนเจย ทะมองไกล พนมเปญ โจอุม อุรมีชัย

สำหรับผู้ได้ประโยชน์จากการค้าแรงงานเด็กต่างชาติ นอกจากกภาคธุรกิจแล้ว อีกกลุ่มคือนายหน้าส่งคนข้ามแดน ผู้จัดหางาน และกระบวนการค้าคนข้ามชาติ ซึ่งอาศัยช่องว่างของการบังคับใช้กฎหมาย ความละเลยและทุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บางคนทั้งประเทศต้นทางและปลายทาง ช่องว่างของความไม่ชัดเจนในนโยบายและการจัดการเรื่องแรงงานข้ามชาติ ทั้งการผ่อนผันการนำเข้า การผลักดันกลับ การจดทะเบียน ฯลฯ ล้วนสามารถสร้างช่องทางหารายได้ทั้งสิ้น

แรงงานข้ามชาติจะต้องจ่ายเงินตลอดรายทางและถูกหักจากค่าแรงงานนั่นเอง

หน้า 13 มติชนออนไลน์

 

โดย: 192 IP: 118.174.97.228 12 เมษายน 2551 20:37:58 น.  

 

จำนวนคนอ่านล่าสุด 595 คน วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6344 ข่าวสดรายวัน


รวบ"ตึ๋งร้อยเสียง"อ้างปตท.ตุ๋น4.2ล.



ศสส.ภาค 4 รวบ"มนุษย์ร้อยเสียง" ต้องสงสัยเลียนเสียง "ประเสริฐ บุญสัมพันธ์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ปตท. โทร.ตุ๋นเศรษฐินีเจ้าของปั๊มหลอกยืมเงินกว่าสี่ล้านบาทไปซื้อที่ดินทำคลังน้ำมัน แลกสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายเอ็นจีวีรายใหญ่ ชี้ผู้ต้องหามีคดีฉ้อโกงด้วยการเลียนเสียงค้างศาลเพียบ ด้าน "ตึ๋ง โยธี" ผู้ต้องสงสัยปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ยันขอให้การในชั้นศาล

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 11 เม.ย. พ.ต.อ.ยรรยง เวชโอสถ ผกก.กลุ่มงานสืบสวน ศสส.ภ.4 พร้อมด้วย พ.ต.ท.พฤฒ จำรูญศาสน์ สว.ศสส.ภ.4 เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานสืบสวน ศสส.ภ.4 ร่วมกันจับกุมนายพงศ์พัฒน์ หรือ "ตึ๋ง โยธี" หรือ นายกฤตยา นกเกิด หรือ นายณรงค์ชัย นกเกิด หรือ นายนิยม นกเกิด อายุ 54 ปี ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น"มนุษย์ร้อยเสียง" อยู่บ้านเลขที่ 168/1 หมู่ 1 ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณ บุรี ตามหมายจับที่ จ. 73/2551 ศาลจังหวัดมหาสาร คาม ลงวันที่ 8 เม.ย. 2551 ซึ่งเป็นผู้ต้องหากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยนำมาสอบ สวนที่กลุ่มงานสืบสวน ศสส.ภ.4 ขอนแก่น

พ.ต.อ.ยรรยงกล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 10.00 น. มีคนร้ายโทรศัพท์ไปหา น.ส.จารุณี เหล่าสุวรรณ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45 ถ.ริมคลองสมถวิล ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม และเป็นผจก.ปั๊มน้ำมันปตท. 3 สาขา ในจ.มหาสาร คาม โดยเลียนแบบเสียง และวิธีการพูดของนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และอ้างกับน.ส.จารุณีซึ่งเป็นผู้เสียหาย ว่าเป็นนายประเสริฐ และต้องการจะมาติด ต่อซื้อขายที่ดินในเขต อ.เมือง จ.มหาสารคาม และจะขอโอนที่ดินซึ่งติดจำนองกับนายกอบจ.มหาสารคาม โดยให้น.ส.จารุณีนำเงินไปให้เพื่อเป็นค่านายหน้า ในการซื้อขายที่ดิน แล้วจะให้น.ส.จารุณีเป็นตัว แทนจำหน่ายน้ำมันและก๊าซเอ็นจีวีรายใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะโอนเงินคืนให้ภายหลัง จนน.ส.จารุณีหลงเชื่อ จึงนำเงินไปให้รวมทั้งสิ้น 4,250,000 บาท

พ.ต.อ.ยรรยงกล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อน.ส.จารุณีตรวจสอบกับบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สาขาใหญ่ที่กรุงเทพมหานครแล้ว ทางกรรมการผู้จัดการ ใหญ่ บริษัท ปตท.แจ้งว่า ไม่ได้มาติดต่อซื้อขายที่ดินที่จ.มหาสารคามแต่อย่างใด น.ส.จารุณีจึงทราบว่าตนเองถูกหลอก และตกเป็นผู้เสียหายจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศสส.ภ.4 ได้สืบสวนจนทราบว่าคนร้ายที่ไปหลอกน.ส.จารุณีสูญเงินมากกว่า 4.2 ล้านบาท คือนายพงศ์พัฒน์ เนื่อง จากเคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อนหลายคดี จนได้ฉายาว่า "มนุษย์ร้อยเสียง" บางคดีศาลตัดสินแล้ว และบางคดียังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาล และออกหมายจับ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศสส.ภ.4 สามารถติดตามจับกุมตัวนายพงศ์พัฒน์ได้ที่ห้องอาหาร โรงแรมมณีจันทร์รีสอร์ต ต.พลับพลา อ.เมือง จ.จันทบุรี พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโซนี่ หมายเลขเครื่อง 35126300-464357-2 จำนวน 1 เครื่อง และโทรศัพท์ยี่ห้ออินฟินิตี้ สีดำ หมายเลขเครื่อง 35530003-000665-9 อีก 1 เครื่อง พร้อมซิมการ์ดระบบดีแทค หมายเลขโทรศัพท์ 087-4463153 ที่ใช้โทร.หลอกน.ส.จารุณีผู้เสียหายได้จากในรถยนต์ที่นายพงศ์พัฒน์ใช้อยู่

พ.ต.อ.ยรรยงกล่าวเพิ่มเติมว่า นายพงศ์พัฒน์ที่ถูกจับกุมตามหมายจับที่ จ.73/ 2551 ศาลจังหวัดมหา สารคาม ลงวันที่ 8 เม.ย. 2551 เป็นผู้ต้องหากระทำความผิดอาญาฐานร่วมกันฉ้อโกง ซึ่งนายพงศ์พัฒน์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาในชั้นจับกุม และขอให้การชั้นศาล แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมกล่าวหาว่าการกระทำผิดในคดีฉ้อโกง เป็นลักษณะเดียวกัน โดยจะอ้างตนเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต่างๆ โดยอาศัยความโลภ หรือความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานของผู้เสียหาย ซึ่งก่อนลงมือกระทำผิด จะศึกษาอุปนิสัยของผู้เสียหายแล้วหลอกให้นำเงินไปวางไว้ในที่ลับตาคน หรือจุดที่คนไม่สนใจ โดยจำนวนเงินแต่ละครั้งที่หลอกได้เป็นจำนวนหลายแสนบาท หรือหลายล้านบาท อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ควบคุมนายพงศ์พัฒน์ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยพร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองมหาสารคามดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.ท.อำนวย เสนาหนอก พงส.สบ.2 สภ.เมืองมหาสารคาม เปิดเผยว่า ขณะนี้ทราบว่า ตำรวจ ศสส. ภ.4 ได้จับกุมนายพงศ์พัฒน์ได้แล้ว แม้ว่าจะปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาก็ตาม แต่จากการสอบสวนผู้เสียหายทราบว่า คนร้ายได้โทรศัพท์มาหาผู้เสียหายโดยเลียนเสียงเป็นนายประเสริฐ โดยคุยโทรศัพท์กับผู้เสียหายประมาณ 2 ชั่วโมง อ้างว่าจะมาซื้อที่ดิน 25 ไร่ ใน จ.มหาสารคาม เพื่อสร้างคลังสินค้าน้ำมันใหญ่เป็นศูนย์ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน ซึ่งมีปัญหาซื้อขายที่ดินกับเจ้าของที่ดินที่ต้องทำเรื่องโอนที่ดิน แต่โอนไม่ได้เพราะนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้กับเงินกู้นอกระบบ ซึ่งต้องเคลียร์เงินส่วนนี้ก่อนถึงจะทำเรื่องโอนที่ดินให้เป็นของ ปตท.ได้ ซึ่งคนร้ายได้เดินทางมาทำเรื่องดังกล่าว โดยให้เอาเงินจำนวนกว่า 4.2 ล้านบาท ไปจ่ายให้กับชายคนหนึ่งตามที่นัดหมายเป็นสองครั้งให้ครบ 4.2 ล้านบาท แล้วคนร้ายที่อ้างว่าชื่อนายประเสริฐก็จะให้เป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำมันและก๊าซเอ็นจีวี รายใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเสียเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว ผู้เสียหายได้ติดต่อไปทางบริษัท ปตท. จำกัด สำนักงานใหญ่ กทม. ก็ทราบว่าบริษัทไม่มีขยายกิจการมาซื้อที่ดินในภาคอีสาน โดยเฉพาะนายประเสริฐ กรรมการ ผจก.ใหญ่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ก็ไม่ได้ดำเนินการซื้อที่ดินในจ.มหาสารคามตามที่คนร้ายอ้างถึงแต่อย่างไร จึงได้แจ้งความจับกุมคนร้ายดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายพงศ์พัฒน์ โยธี ผู้ต้องหารายนี้ มีประวัติการกระทำผิดที่ถูกจับกุมแล้ว คือ 1.คดี พ.ร.บ.การพนัน ท้องที่ สน.ปทุมวัน 2.คดีร่วมกันฉ้อโกงและมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครอง 3.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.พหลโยธิน 4.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.ดุสิต 5.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.ดอน เมือง 6.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.เตาปูน 7.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.บางเขน 8.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.ห้วยขวาง 9.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.บางเขน 10.คดีฉ้อโกงและมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครอง 11.คดีมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ท้องที่ สน.บางซื่อ 12.คดีร่วมกันฉ้อโกง ท้องที่ สภ.อรัญ ประเทศ จ.สระแก้ว 13.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.ภาษี เจริญ 14.คดีฉ้อโกงท้องที่ สน.บางยี่ขัน 15.คดีร่วมกันฉ้อโกงท้องที่ สน.ประชาชื่น นอกจากนี้นายพงศ์พัฒน์ยังมีคดีอยู่ระหว่างถูกออกหมายจับศาลจังหวัดลพบุรี ที่ 196/ 2550 ลงวันที่ 25 ก.ย. 2550 ข้อหาฉ้อโกง

หน้า 1



 

โดย: 193 IP: 118.174.97.228 12 เมษายน 2551 20:42:19 น.  

 

เปิด9แนวร่วม เรารักข้าวไทย กันจีเอ็มโอยึด

โพสต์ทูเดย์ — กรีนพีซดึง 9 ร้านอาหาร ร่วมโครงการ “เรารักข้าวไทย” สร้างแนวร่วมกันข้าวจีเอ็มโอ

น.ส.ณัฐวิภา อิ้วสกุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพันธุวิศวกรรม (จีเอ็มโอ) กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการร้านอาหารที่มุ่งผลิตอาหารปลอดภัยเข้าร่วมในโครงการเพื่อรณรงค์ให้ผู้บริโภคชาวไทยเห็นความสำคัญ และตระหนักว่าข้าวเป็นรากฐานสำคัญของไทย


นอกจากนี้ ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการจะต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า จะไม่ซื้อและขายข้าว จีเอ็มโอให้กับผู้บริโภค และจะสนับสนุนข้าวไทยเท่านั้น เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับผู้ค้าข้าวว่า ข้าวจีเอ็มโอ ไม่เป็นที่ต้องการ โดยเบื้องต้นมีร้านอาหารในกรุงเทพฯ 9 แห่ง ที่พร้อมเข้าร่วมโครงการ อาทิ ร้านอาหารสปริงแอนด์ซัมเมอร์ ร้านครัวคุณย่า เป็นต้น


“ประเทศไทย ในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก และอุดมไปด้วยข้าวหลากหลายสายพันธุ์ กำลังถูกคุกคามโดยบริษัทผลิตสารเคมีเกษตรรายใหญ่ที่ผันตัวเองมาพัฒนาเทคโนโลยีจีเอ็มโอ และต้องการแสวงหาผลประโยชน์และควบคุมแหล่งอาหารของโลกด้วยการยัดเยียดจีเอ็มโอให้” น.ส. ณัฐวิภา กล่าว


นายยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนธุรกิจการอาหารไทยและนานาชาติ และแนวร่วมโครงการ “เรารักข้าวไทย” กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่มีข้าวใดในโลกที่หอม นุ่ม และอร่อยเท่ากับข้าวไทยอีกแล้ว คนไทยจึงโชคดีและควรภาคภูมิใจในข้าวไทย


“วันใดที่ข้าวไทยโดนย่ำยี ฉันจะลุกขึ้นมาก่อม็อบคนครัวครั้งใหญ่ และจะใหญ่กว่าม็อบไหนๆ เพราะข้าวไทยเป็นศักดิ์ศรีของคนไทยมาตั้งแต่อดีตกาล ชาวต่างชาติเดินทางมาไกลค่อนโลกเพื่อมากินข้าวไทย” นายยิ่งศักดิ์ กล่าว

 

โดย: 194 IP: 118.174.97.228 12 เมษายน 2551 20:51:31 น.  

 


รัสเซียสร้างอนุสาวรีย์ยกย่องวีรกรรม “ตูบอวกาศ”

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2551 17:30 น.



ภาพของไลก้าขณะถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศพร้อมยานสปุตนิค 2


เอเจนซี – รัสเซียทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ยกย่องวีรกรรมของเจ้าไลก้า สุนัขซึ่งถูกส่งขึ้นไปยังอวกาศเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นการปูทางให้กับปฏิบัติการสำรวจอวกาศของมนุษย์ในเวลาต่อมา

เจ้าหน้าที่รัสเซียทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ของไลก้าเมื่อวันศุกร์ (11) ซึ่งอนุสาวรีย์ขนาดเล็กดังกล่าวเป็นรูปเจ้าไลก้าขณะยืนอยู่บนจรวด และตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์วิจัยของกองทัพในกรุงมอสโกซึ่งเป็นสถานที่ในการวางแผนส่งไลก้าขึ้นสู่ห้วงอวกาศเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนปี 1957

ทั้งนี้ผลกระทบเกี่ยวกับการส่งสิ่งมีชีวิตขึ้นไปยังอวกาศในช่วงที่ไลก้าถูกส่งขึ้นไปพร้อมกับยานสปุตนิค 2 เมื่อปี 1957 ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก บางคนเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะไม่สามารถมีชีวิตรอดหลังถูกส่งขึ้นไปยังอวกาศหรือทนต่อสภาพอวกาศนอกโลกได้ ดังนั้นวิศวกรอวกาศของรัสเซียจึงได้ริเริ่มโครงการส่งสุนัขขึ้นสู่ห้วงอวกาศเพื่อเป็นการปูทางให้กับปฏิบัติการสำรวจอวกาศของมนุษย์ในอนาคต

สุนัขที่ถูกนำมาใช้ในโครงการอวกาศของสหภาพโซเวียตในเวลานั้นจะเป็นสุนัขเร่ร่อนพันธุ์ผสม เนื่องจากแพทย์เชื่อว่าสุนัขพันธุ์ดังกล่าวสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้เร็วกว่า ซึ่งสุนัขทุกตัวจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนักเพื่อที่มันจะสามารถนั่งในแคปซูลขนาดเล็กได้อย่างพอดี ขณะที่เจ้าไลก้า สุนัขเพศเมีย วัย 2 ขวบ ถูกเลือกให้มารับหน้าที่ดังกล่าวก่อนหน้าที่ยานสปุตนิค 2 จะถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศเพียง 9 วัน

เรื่องราวที่ว่าเหตุใดเจ้าไลก้าจึงถูกเลือกให้มาทำหน้าที่สำคัญในครั้งนี้มีการพูดถึงแตกต่างกันออกไป บางคนกล่าวว่าเป็นเพราะไลก้าเป็นสุนัขที่ดูดี ซึ่งผู้บุกเบิกโครงการอวกาศของสหภาพโซเวียตจำเป็นต้องถ่ายรูปขึ้น ขณะที่บางคนเล่าว่าภารกิจดังกล่าวเกือบถูกยกเลิกด้วยความที่แพทย์สงสารเจ้าไลก้า เนื่องจากไม่สามารถออกแบบยานให้สามารถเดินทางกลับสู่โลกได้อีกครั้งทันกำหนดการปล่อยยานดังกล่าว ดังนั้นภารกิจครั้งนี้จึงหมายถึงเจ้าไลก้าต้องตายเพียงอย่างเดียว

“ไลก้าเป็นสุนัขที่เงียบและน่ารัก ก่อนที่จะเริ่มภารกิจดังกล่าวผมพาไลก้ากลับไปเล่นกับลูกๆ ของผมที่บ้าน ผมอยากทำสิ่งดีๆ ให้กับมันบ้าง เพราะเวลาของมันเหลือไม่มากนัก” ดร.วลาดิมีร์ ยาซดอฟสกี้ระบุไว้ในหนังสือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการอวกาศของสหภาพโซเวียต

ขณะที่ดาวเทียมซึ่งบรรทุกเจ้าไลก้าขึ้นสู่ห้วงอวกาศถูกสร้างขึ้นโดยใช้เวลาไม่ถึงเดือน หลังสหภาพโซเวียตได้ส่งดาวเทียมจำลองดวงแรกของโลกสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมปี 1957 อย่างไรก็ตามเนื่องจากเกิดปัญหาทางเทคนิคในนาทีสุดท้ายก่อนการปล่อยยาน ทำให้ไลก้าต้องทนรออยู่ในยานนานถึง 3 วันขณะที่อุณหภูมิลดต่ำ จนเจ้าหน้าที่ต้องปล่อยความร้อนผ่านท่อเข้าไปในห้องขับยานดังกล่าว

ทั้งนี้หลังจากยานถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แพทย์กลับมาโล่งใจอีกครั้งเมื่อรู้ว่าอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันของไลก้าได้กลับสู่ระดับปกติ หลังการเต้นของหัวใจและความดันของไลก้าเพิ่มสูงขึ้นขณะยานถูกปล่อย ขณะที่ไลก้ากินอาหารซึ่งมีการจัดเตรียมเป็นพิเศษไว้ในตู้เก็บอาหาร ขณะเดียวกันรายงานอย่างเป็นทางการ กลับระบุว่า ไลก้าตายหลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์

อย่างไรก็ตามหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ผู้ร่วมโครงการได้ออกมาเปิดเผยว่า จริงๆ แล้วไลก้าจะต้องถูกฉีดยาให้ตายอย่างสงบตามโครงการที่วางไว้ แต่สุดท้ายไลก้ากลับตายเพราะความร้อนภายในยานที่สูงมากเกินไปหลังถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเพียงไม่กี่ชั่วโมง

นอกจากนี้ยังมีสุนัขอีกหลายตัวที่เสียชีวิตจากการปล่อยยานที่ล้มเหลว ก่อนที่โครงการส่งสุนัขขึ้นไปสำรวจอวกาศจะประสบความสำเร็จในเดือนสิงหาคมปี 1960 ซึ่งสุนัขที่ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศและกลับสู่โลกอย่างปลอดภัยมีชื่อว่า เบลก้าและสเตรลก้านั่นเอง

ทั้งนี้หลังประสบความสำเร็จในการส่งสุนัขขึ้นสู่อวกาศอีกไม่กี่ครั้งหลังจากนั้น สหภาพโซเวียตก็ได้ส่งยูริ กาการิน มนุษย์อวกาศคนแรกของโลก ขึ้นสู่ห้วงอวกาศเมื่อวันที่ 12 เมษายนปี 1961



 

โดย: 195 IP: 118.174.97.228 12 เมษายน 2551 21:09:17 น.  

 



เจาะโศกนาฏกรรมชีวิต...แรงงานเพื่อนบ้านกับปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย





มุทิตา เชื้อชั่ง







ข่าวการเสียชีวิตของชาวพม่า 54 ศพในรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างหลบหนีเข้าเมืองมาทำงานฝั่งไทยเป็นเรื่องสลดหดหู่ยิ่ง



ผลพวงที่เกิดขึ้นพาเราจินตนาการไปไกล ถึงชีวิตที่ยากลำเค็ญของพวกเขาในดินแดนมืดดำอีกฟากฝั่ง ซึ่งเต็มไปด้วยการรบพุ่ง การละเมิดสิทธิ การกดขี่ กระทั่งนึกถึงฉากของการหนีเข้ามารับจ้างเป็นแรงงานราคาถูก ประชาชนชั้นสอง ในประเทศไทย ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ตายเอาดาบหน้า’



ชีวิตเล็กๆ ที่ไม่ (เคย) งดงาม

มีการประมาณการกันว่าแรงงานข้ามชาติในไทยอาจมีถึงสองสามล้านคน ส่วนใหญ่เดินทางหนีความแร้นแค้นมาจากประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ พวกเขาอยู่ทั้งในภาคการเกษตร ประมง ท่องเที่ยว หรืออาจจอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่านั้น เช่น คนทำงานบ้าน ซึ่งล้วนเป็นงานหนัก หรืองานที่แรงงานไทยไม่ทำ



แรงงานข้ามชาติเหล่านี้ มีทั้งแบบที่ถูกกฎหมาย และลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งอย่างหลัง ทำกันเป็นขบวนการและมีจำนวนไม่น้อยที่เกี่ยวพันกับการค้ามนุษย์ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ที่ต้องใช้คำว่า ‘รุนแรง’ เพราะสภาพทั่วไปในการทำงานของพวกเขาเมื่ออยู่ในประเทศไทยก็มักถูกกดขี่ ขูดรีดอย่างหนักเสมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว



ทุน อาสาสมัครชาวมอญ จากเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) ซึ่งอยู่เมืองไทยมาเกือบ 20 ปี และทำงานที่มหาชัย แหล่งใหญ่ของแรงงานมอญ พม่า เล่าประสบการณ์ที่เขาพบเจอให้ฟังว่า ปัญหาใหญ่ของแรงงานคือ การถูกขูดรีดจากทั้งนายหน้าและเจ้าของกิจการ



งานที่มหาชัย มีทั้งการแกะกุ้ง ตัดหัวปลา แร่ปลาหมึก ฯลฯ ผู้ชายบึกบึนบางส่วนก็ไปเป็นลูกเรือประมง เมื่อเริ่มทำงานค่าจ้างของพวกเขาเกือบทั้งหมดถูกหักไปเป็นค่านายหน้าที่พาเข้าประเทศและมาส่งถึงมือนายจ้าง โดยนายหน้าส่วนใหญ่เป็นชาวพม่าเองที่มีเส้นสายโยงใยกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ



ค่านายหน้ามีตั้งแต่ 12,000 – 25,000 บาท แล้วแต่ว่าเข้าจากชายแดนด้านไหน หากเป็นแถบระนอง ราคาอาจถูกลงบ้าง แรงงานบางส่วนขายนาไร่มาจ่ายค่านายหน้า แต่ส่วนใหญ่ไม่มีทรัพย์สมบัติ อาศัยมาทำงานก่อนใช้หนี้ทีหลัง



ทุนเล่าว่า แถวมหาชัยพวกเขาเริ่มทำงานกันตั้งแต่ตีสอง ตีสาม กว่าจะเลิกงานก็สี่ห้าทุ่ม สำหรับคนใหม่ๆ ที่เข้ามาค่าแรงจะอยู่ประมาณ 30-50 บาทต่อวัน แต่ถ้าชำนาญแล้วก็อาจจะได้เป็นร้อยบาท ขณะที่แรงงานบางส่วนเข้าไปทำงานในโรงงาน มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกข่มขู่ไม่ให้ออกไปไหน เนื่องจากไม่มีหลักฐานใดๆ พวกเขาจะมีรายได้อยู่ราว 60-200 บาท ต่อสัปดาห์ และการเปลี่ยนงานเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากหนี้สินติดพันของค่านายหน้า และค่าอะไรต่อมิอะไรจิปาถะ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายประเภท ‘ค่าคุ้มครอง’ ที่จะให้กับนายหน้าที่คอยช่วยเหลือ ประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐเวลาถูกจับ หรือมีปัญหา



“อยู่ที่นู่นมันไม่มีกิน ก็ต้องดิ้นรน มาเสี่ยง ลำบากอยู่ที่นี่อาจจะดีกว่า...เห็นข่าวนี้แล้ว ผมน้ำตาไหลเลย สงสารเขา เขาก็ทิ้งพ่อทิ้งแม่มาหาเงินเหมือนๆ กับคนอื่น”



สำหรับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งล่าสุดนี้ ทางสภาทนายความได้ส่งทนายเข้าไปช่วยเหลือและตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และองค์กรที่ทำงานเรื่องดังกล่าวหลายกลุ่มได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐทบทวนนโยบายและการจัดการกับแรงงานต่างด้าวใหม่ พร้อมทั้งชดเชยความเสียหายแก่ผู้สูญเสียอย่างเป็นธรรม ขณะที่ผู้ที่รอดชีวิตแม้จะมีความผิดจากการหลบหนีเข้าเมืองก็ควรได้รับการคุ้มครองตามสิทธิของความเป็นมนุษย์ก่อนในเบื้องต้น



ปัญหาการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ

โดยระบบ กฎเกณฑ์ที่เป็นอยู่ รัฐไทยเปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติมาขึ้นทะเบียนได้ แต่ก็ยังมีปัญหามากมาย ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมจึงมีแรงงานข้ามชาติแบบลักลอบเข้ามาทำงานกันเป็นจำนวนมาก



สมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) ให้ข้อมูลรูปธรรมการจัดระบบแรงงานว่า เมื่อปี 2547 รัฐไทยเริ่มขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ “ทั้งหมด” รวมถึงลูกเล็กเด็กแดงที่ติดตามมาด้วย โดยกระทรวงมหาดไทยจะจัดเก็บข้อมูลเข้าสู่ระบบทะเบียนราษฎรของแรงงานต่างด้าว และให้เอกสารรับรองเรียกว่า ทร.38/1 เพื่อให้รู้แหล่งที่พักพิง สามารถตรวจสอบได้



จากนั้นแรงงานข้ามชาติจึงสามารถนำใบ ทร. ดังกล่าวมาขอใบอนุญาตทำงาน โดยแรงงานเหล่านี้จะต้องจ่ายค่าขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า 1,300 บาท ค่าตรวจสุขภาพ 600 บาท จากนั้นต้องจ่ายค่าขึ้นทะเบียนใบอนุญาตทำงานที่เรียกว่า ตท.14 อีก 1,800 บาท ค่าธรรมเนียม 100 บาท รวมทั้งหมด 3,800 บาท แต่แรงงานส่วนใหญ่จ่ายแพงกว่านั้นมาก เพราะต้องเสียค่านายหน้าในการจัดการ เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้



นี่เป็นภาระ (เบาะๆ) ของแรงงานข้ามชาติที่มีโอกาสขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย ปัญหาก็คือ รัฐบาลไทยเปิดให้มีการจดทะเบียนเพื่อทำ ทร.38/1 เพียงเดือนเดียว (กุมภาพันธ์ 2547) ซึ่งสั้นและฉุกละหุกมาก จากนั้นก็มีอีกทีช่วงเดือนมีนาคม 2549 จากนั้นมาก็ไม่เปิดให้มีการขึ้นทะเบียนใหม่อีกเลย เพราะต้องการจำกัดจำนวนแรงงานข้ามชาติ แรงงานที่เข้ามาใหม่จึงหมดสิทธิอย่างเด็ดขาด



เมื่อรัฐไม่ยอมรับความจริง บีบลง ‘ใต้ดิน’

เหตุผลที่เรามักได้ยินในการควบคุมจำนวนแรงงานข้ามชาติ คือ เรื่องความมั่นคง และภาระที่รัฐเกรงว่าจะต้องแบกรับ ยังไม่นับรวม ‘ภาพ’ ที่สังคมมักมองพวกเขาเป็นต้นเหตุของอาชญกรรม ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของความไม่มั่นคงในสายตาของรัฐ



อดิศร เกิดมงคล จากกลุ่มเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ (MWG) ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้สะท้อนเฉพาะปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ แต่ทำให้เห็นถึงปัญหาของระบบทั้งหมด นโยบายของรัฐที่มีความคับแคบในการมองเรื่อง ‘ ความมั่นคง’ การไม่ยอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจของไทยต้องการแรงงานเหล่านี้จำนวนมาก เพราะคนพวกนี้ถ้าเลือกได้ ก็อยากเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย แต่ถูกนโยบาย ‘ล็อค’ เอาไว้



ส่วนเรื่องภาระที่จะต้องแบกรับนั้น อดิศร มองว่า แรงงานต่างด้าวนั้นมีการจ่ายเงินเพื่อเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพถึง 1,300 บาทต่อปี หากรัฐทำให้แรงงานข้ามชาติเข้าสู่ระบบทั้งหมด เงินที่ได้จะสามารถจัดการเรื่องสาธารณสุขกับแรงงานข้ามชาติทั้งหมด และอาจรวมไปถึงผู้ลี้ภัย คนไร้สัญชาติ ด้วย



ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาทัศนคติและการจัดการของรัฐ ก็คือ มายาติของสังคมไทย อดิศรยืนยันว่า โดยข้อเท็จจริงแล้ว กลุ่มแรงงานข้ามชาติก่ออาชญากรรมต่ำมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนจำนวน เพราะพวกเขาพยายามจะรักษาตัวเองให้อยู่รอดให้ได้ท่ามกลางข้อจำกัดที่มีมากมายอยู่แล้ว



คนทำงานด้านนี้ต่างก็ประสานเสียงกันเสนอให้รัฐจัดระบบแรงงานข้ามชาติใหม่ โดยเน้นให้เปิดการขึ้นทะเบียน นำแรงงานทั้งหมดเข้าสู่ระบบ



สรุพล กองจันทึก จากสภาทนายความ ยังเสนอด้วยว่า ระบบต้องออนไลน์ให้สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด และจะต้องให้สิทธิแก่แรงงานเหล่านั้นตามสมควรในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องค่าแรง สิทธิในการเปลี่ยนนายจ้าง ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงเพื่อจัดการกับขบวนการ ‘ใต้ดิน’ ที่เป็นอยู่ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นมากมาย ในระดับนโยบายยังต้องมีการประสานงานกัน โดยเฉพาะส่วนของแรงงานและความมั่นคง เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพ



ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ให้กับ ‘เขา’ ผู้เป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ รวมถึงความเป็นมนุษย์ของ ‘เรา’ เองด้วย.....



























--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 12/4/2551

 

โดย: 196 IP: 118.174.210.242 12 เมษายน 2551 22:23:06 น.  

 

Event: Happy Summer Course with Speed Reading โครงการดีๆ เอาใจคนชอบอ่าน

Category : โปรโมชั่นลดราคา

ลดราคา โปรโมชั่น สินค้า
Date: 9 April 2008
Until: 31 May 2008

สถานที่: //www.speedreadingthai.com


ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องจด ไม่ต้องโน้ต ไม่ต้องท่อง แค่นั่งมองเพียงอย่างเดียว ความสามารถที่หลากหลาย เกิดขึ้นได้ในไม่กี่วัน

Speed Reading สร้างสรรค์โครงการดีๆ สำหรับนักเรียน และผู้ที่กำลังเตรียมตัวก้าวเข้าสู่ชีวิตการเป็นนิสิต-นักศึกษา ด้วยโครงการ "Happy Summer Course with Speed Reading"

โครงการพัฒนาศักยภาพของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อพัฒนาความสามารถทางด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การอ่านที่รวดเร็วขึ้น ทำให้มีเวลาเหลือที่จะทบทวนซ้ำ หรืออ่านหนังสือเล่มอื่นๆ ได้อีกเพียบ อีกทั้งสมาธิ ความจำ ความเข้าใจ ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย อันเป็นผลมาจากการพัฒนาสมองทุกส่วน ทั้งสมองซีกซ้าย และสมองซีกขวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองส่วนหน้า ซึ่งว่ากันว่าเป็นส่วนที่อัจฉริยะของโลกใช้กัน

ผู้ที่สนใจสามารถ ลงทะเบียนที่หน้าเว็บไซต์ และเข้าสู่บทเรียนออนไลน์วันละ 2 บท ใช้เวลา 8-10 นาที โดยนั่งมองข้อมูลทีปรากฏอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปฏิบัติตามคำแนะนำ และเมื่อฝึกครบ 30 บทเรียนแล้ว ความสามารถที่ได้ก็จะติดตัวผู้ฝึกไปตลอดชีวิต

URL address: //www.speedreadingthai.com/nt2/activities/happy_summer_course.htm


Powered by ThaiSarn.com

 

โดย: 197 IP: 118.174.210.242 12 เมษายน 2551 22:37:56 น.  

 

Event: สัมมนา Low Cost Marketing เมื่อ "กึ๋น" สำคัญกว่า "เงิน"




Date: 3 May 2008
เวลา: 10.00 - 18.00

สถานที่: ม.ธุรกิจบัณฑิตย์


"น้ำมันแพง บาทแข็ง ต้นทุนพุ่งไม่หยุด ปัญหาหนักอกที่ผู้ประกอบการไทยต้องคิดว่าจะทำอย่างไรดี?"

...นิตยสาร SME Thailand ร่วมกับ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ มีคำตอบให้กับท่าน..ในฟรีสัมมนา Low Cost Marketing เมื่อ “กึ๋น” สำคัญกว่า “เงิน”
พบ 4 เซียนการตลาดแถวหน้าเมืองไทย อาทิ โชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่ม บ.ฟาร์มโชคชัย, สมชาติ ลีลาไกรศร ผอ.ฝ่ายการตลาดและส่งเสริมธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ Kbank, ทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.ทีวี ไดเร็ค จำกัด และ เบญจพร กำเพ็ชร ตรีคันธา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดกลุ่มลูกค้า SMEs เอไอเอส

URL address: //www.smethailandclub.com


Powered by ThaiSarn.com

 

โดย: 198 IP: 118.174.210.242 12 เมษายน 2551 22:43:33 น.  

 

Event: 10-11 พ.ค. 51 ลงแรงสร้างบ้านดิน เป็นศูนย์การเรียนรู้ ให้ชุมชนอยู่ดี

Category : ทั่วไป

เรื่องทั่วไป เรื่องอื่นๆที่ไม่มีในหมวดหลัก
Date: 10 May 2008
Until: 11 May 2008

สถานที่: ศูนย์การเรียนรู้ชาวดิน อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น


เชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม เราจะไปสร้างบ้านดิน ซึ่งเป็นการสร้างบ้าน ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับชุมชน ซึ่งจะใช้เป็นศูนย์การเรียนรู้ โดยมีกลุ่มชาวบ้าน และกลุ่มเยาวชน ร่วมกันดูแล และสร้างเสริมความรู้ของชุมชน

URL address: //www.redbullspirit.org


Powered by ThaiSarn.com

 

โดย: 199 IP: 118.174.210.242 12 เมษายน 2551 22:46:23 น.  

 


วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10990

ดีแทคชวนลูกค้าทำดีรับสงกรานต์ ส่งเอสเอ็มเอสช่วยเด็กพิการใบหน้า



นายพีระพงษ์ กลิ่นละออ ผู้อำนวยการฝ่ายซีเอสอาร์ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทางดีแทคจะรณรงค์โครงการดีแทคทำดีด้วยใจ เพื่อความสุขและรอยยิ้มของเด็กไทย โดยจะช่วยให้เด็กผู้ที่มีความผิดปกติทางใบหน้าได้กลับมามีชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไปอีกครั้ง ดีแทคขอเชิญชวนให้ลูกค้าร่วมทำความดีเนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ด้วยการส่งข้อความให้กำลังใจแก่เด็กที่จะได้รับการผ่าตัดทาง SMS มาที่หมายเลข 1677 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ดีแทคจะมอบเงินบริจาคข้อความละ 10 บาท เพื่อมอบเป็นค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จังหวัดพิษณุโลก ทั้งนี้ สามารถส่งข้อความได้ตั้งวันนี้จนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2551

หน้า 7 มติชนออนไลน์


 

โดย: 200 IP: 118.174.240.98 13 เมษายน 2551 8:46:01 น.  

 

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10991

จาก54ศพที่ระนอง ถึงวิจัย"ค้ามนุษย์" อนิจจาแรงงานต่างด้าว





การตายหมู่ของแรงงานต่างด้าว 54 คนที่ จ.ระนอง เป็นอีกครั้งหนึ่งที่นอกจากประจานความล้มเหลวของหน่วยงานภาครัฐแล้ว ยังเป็นปรอทวัด "คุณธรรม" ในสังคมไทยได้อีกด้วย

ทุกวันนี้คาถาบทที่ว่า "ขาดแคลนแรงงาน" ถูกนำมาร่ายมนต์ จนคนจำนวนมากจังงัง ขณะเดียวกันความอยากได้ "ของถูก" กลายเป็นนิสัยมักง่าย โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา แม้กระทั่งการเคารพเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

แรงงานต่างด้าวนับล้านคนที่หลั่งไหลเข้าประเทศไทยต้องตกเป็นเหยื่อ แม้ไม่เสียชีวิตเหมือน 54 คนนี้ แต่มากกว่าร้อยละ 90 ถูกเลือกปฏิบัติและไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตฐานแรงงาน

ความคลั่งชาติและแบ่งเขาแบ่งเราจนลืมความเป็นคนด้วยกัน กำลังเป็นผลกรรมที่สังคมต้องรับไว้ ขณะนี้ขบวนการค้ามนุษย์กำลังเบ่งบาน เพราะความไร้น้ำยาของรัฐไทย หลายพื้นที่ที่คนมีสีกลายเป็นเหลือบที่ทำนาบนหลังคนเสียเอง

มีงานวิจัยที่ยืนยันภัยร้ายนี้ไว้ชัดเจน

คณะนักวิจัยของเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Rights Promotion Network:LPN) จ.สมุทรสาคร ได้ทำการวิจัยเชิงลึก เรื่อง "กระบวนการเข้าสู่การค้ามนุษย์" ในแรงงานข้ามชาติ มีผลสรุปน่าสนใจคือโดยภาพรวมพบว่ามีรูปแบบการค้ามนุษย์จำนวนมาก ในรูปแบบการจัดหา นำพา การเอารัดเอาเปรียบ การแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานและการปิดกั้นอิสระเสรีภาพ รวมถึงการบังคับในรูปแบบอื่นๆ

ในงานวิจัยระบุว่าแรงงานข้ามชาติในจังหวัดสมุทรสาคร ประกอบด้วย พม่า กัมพูชา และลาว ซึ่งตัวเลขอย่างเป็นทางการในปี 2550 มีอยู่ 74,000 คน แต่ข้อเท็จจริงแล้วมีแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนประมาณ 2 เท่า หรือประมาณ 200,000 คน ซึ่งปริมาณความต้องการแรงงานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยสังเกตได้จากในแต่ละปีมีสถานประกอบการขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น โดยความต้องการแรกของสถานประกอบการคือความต้องการแรงงานราคาถูก เพื่อกำไรสูงสุด จึงมีการใช้แรงงานผิดกฎหมายจำนวนมาก ส่งผลให้แรงงานถูกละเมิดสิทธิต่างๆ มากมาย



ในงานวิจัยยังได้ระบุถึงการจ้างงานในกิจการประมง ซึ่งมีรูปแบบที่เลวร้าย มีแรงงานเด็กข้ามชาติจำนวนหนึ่งต้องลงเรือไปทำประมงที่ประเทศอินโดนีเซีย เหตุผลที่เด็กเหล่านี้ต้องลงเรือประมงเนื่องจากไม่มีสถานะทางกฎหมายจึงจำต้องทำงานเป็นลูกเรือประมงซึ่งเสี่ยงต่ออันตราย บางส่วนพ่อเป็นลูกเรือประมงมาก่อนและแม่มีหนี้สินจำนวนมากเลยคิดว่าการลงเรือจะช่วยให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

ขณะที่แรงงานข้ามชาติที่เป็นผู้ใหญ่ก็ถูกเอารัดเอาเปรียบเช่นกัน บางรายไม่ได้ค่าแรงตลอดทั้งปีเพราะถูกหักเป็นค่านายหน้า บางส่วนถูกขายต่อไปเรือลำอื่นเป็นทอดๆ เนื่องจากพื้นที่ใน จ.สมุทรสาคร มีขบวนการนายหน้าที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันมาตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งนายหน้าจะได้รับเงินจากผู้ประกอบการหรือไต๋เรือต่อหัวประมาณ 15,000-50,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จะตกถึงแรงงานที่ถูกหลอกลงเรือเพียง 3,000-5,000 บาท

สำหรับการหลบหนีเข้าประเทศไทยของแรงงานข้ามชาติจากพม่านั้น มีด้วยกัน 3 ช่องทาง คือ 1.ชายแดน จ.ระนอง ซึ่งเป็นที่นิยมที่สุด เพราะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าที่อื่นคือประมาณคนละ 3,000-8,000 บาท 2.ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก เสียค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 8,000-15,000 บาท 3.ชายแดน อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เสียค่าใช้จ่ายคนละ 12,000-15,000 บาท ซึ่งช่องทางนี้เคยเป็นที่นิยมเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ระยะหลังมีการเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมากขึ้น

ในงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้จำแนกประเภทของนายหน้าใน จ.สมุทรสาคร ไว้อย่างน่าสนใจ ประกอบด้วย 1.นายหน้านำพาข้ามพรมแดน หมายถึงคนที่พาข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย โดยเป็นธุระจัดการเรื่องการเดินทางซึ่งคิดค่าใช้จ่ายแล้วแต่ความยากลำบากของเส้นทาง 2.นายหน้าหางาน/ส่งคนเข้าโรงงาน ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานานและรู้จักกับเจ้าของกิจการ สามารถพูดภาษาไทยได้ดี ซึ่งการเก็บค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับประเภทงาน 3.นายหน้าเคลียร์เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งคนกลุ่มนี้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบางคนและเป็นผู้กว้างขวางในแวดวงแรงงานข้ามชาติ โดยจะทำหน้าที่เจรจาต่อรองเมื่อแรงงานถูกจับ โดยคิดค่าจัดการประมาณ 5,000-10,000 บาท



4.นายหน้าทำบัตร/เอกสาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนไทยที่มีความรู้ในกระบวนการทำเอกสาร เช่น ใบอนุญาตทำงาน ใบทะเบียนราษฎร บัตรสุขภาพ โดยแต่ละครั้งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายมากกว่าความเป็นจริง 1-2 เท่า เช่น ค่าทำใบอนุญาตทำงานและบัตรสุขภาพปกติเสียคนละ 3,800 บาท แต่หากผ่านนายหน้าต้องจ่ายประมาณ 5,000-10,000 บาท 5.นายหน้าส่งคนกลับบ้าน โดยคนกลุ่มนี้รู้จักกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ผลักดันคนต่างชาติกลับภูมิลำเนา หากแรงงานต้องการเดินทางกลับประเทศไทยอีกก็สามารถทำได้ แต่ต้องเสียเงินประมาณ 2,000-3,000 บาท

6.นายหน้าพาไปโรงพยาบาล ส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติที่พูดภาษาไทยได้ หรือคนไทยที่อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกับแรงงานข้ามชาติ หากแรงงานเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้และไม่มีความรู้ขั้นตอนต่างๆ ในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล นายหน้ากลุ่มนี้จะเป็นผู้อาสาพาไป โดยคิดค่าใช้จ่ายครั้งละ 500 บาท

7.นายหน้าเงินกู้ ซึ่งมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติซึ่งจัดบริการเงินกู้นอกระบบในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 20-30 บาท 8.นายหน้าส่งเงินกลับบ้าน ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี มีโทรศัพท์มือถืออยู่ประเทศต้นทาง หากแรงงานข้ามชาติรายด้ต้องการใช้บริการส่งเงินกลับบ้านในประเทศต้นทาง นายหน้าจากฝั่งไทยจะโทรศัพท์ไปบอกเครือข่ายที่ประเทศต้นทางเพื่อจ่ายเงินก้อนเท่าที่แรงงานต้องการส่งกลับ แล้วหักเปอร์เซ็นต์จากยอดเงินประมาณร้อยละ 10-20

9.นายหน้า Sub-Contractor เป็นคนคุมงานที่ส่งคนงานไปตามโรงงานต่างๆ นายหน้ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มีอิทธิพล 10.นายหน้าค้ามนุษย์เป็นกลุ่มคนที่เป็นธุระจัดหา นำพาแรงงานมาเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบ เช่น บังคับค้าประเวณี บังคับให้ทำงาน ซึ่งมีการบังคับขู่เข็ญและทำร้ายร่างกาย นายหน้ากล่มนี้ใน จ.สมุทรสาคร ปรากฏในลักษณะของนายหน้าพาแรงงานข้ามชาตส่งเรือประมงนอกน่านน้ำ โดยมีแหล่งพักคนคล้ายโรงงานที่มีลักษณะปิด

ในงานวิจัยยังเจาะชึกแรงงานข้ามชาติถูกหลอกลวงไว้ในหลายกรณี อย่างเรื่องของนางจีซึ่งถูกหลอกลวงทั้งครอบครัว โดยเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2550 เจ้าหน้าที่ LPN ได้พบนางจีในชุมชนแรงงานแห่งหนึ่งในสมุทรสาครขณะถูกนายหน้าทวงหนี้และเตรียมนำตัวนางจีไปเป็นประกันใช้หนี้พร้อมกับขู่ว่าจะนำหลานชายวัย 5 ขวบ ไปเป็นตัวประกันด้วย

นางจีเล่าว่า ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ฝั่งพม่าได้มีนายหน้าไปชักชวนลูกชายที่ชื่อนายทอนไปทำงานในเรือประมง และได้ให้นายทอนช่วยหาคนจำนวน 10 คน มาเป็นลูกเรือโดยจะให้นายทอนเป็นตำแหน่งหัวหน้าคนเรือ ซึ่งลูกชายเธอได้ชวนน้องๆ 3 คนพร้อมเพื่อนบ้านไปทำงาน โดยลงเรือตั้งแต่ธันวาคม 2549 แต่ชีวิตบนเรือต้องเจอกับไต๋เรือที่โหดร้าย จนกระทั่งลูกเรือทนไม่ไหว เมื่อเรือเข้าฝั่งจึงพร้อมใจกันกระโดดน้ำหนี ทำให้เถ้าแก่เรือทางเงินที่เคยจ่ายล่วงหน้าให้กับนายหน้า และนายหน้าบอกให้นายจีรับผิดชอบทั้งหมด 63,000 บาท แทนลูกเรือที่หนีไปในฐานะที่ลูกชายนางจีเป็นหัวหน้าคนเรือ ชีวิตนางจีต้องวนเวียนจ่ายหนี้สินมากมายมาเป็นปี แต่ลูกชายที่ลงเรือไปใช้หนี้ก็ยังไม่ได้กลับ

หน้า 9 มติชนออนไลน์

 

โดย: 201 IP: 118.174.240.98 13 เมษายน 2551 9:43:24 น.  

 

จำนวนคนอ่านล่าสุด 638 คน วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6345 ข่าวสดรายวัน


เปิดเส้นทางมรณะแรงงานต่างด้าว หนีจากบ้านเกิดตายหมู่เมืองไทย

คอลัมน์ แฟ้มคดี





"แรงงานต่างด้าว" ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเผชิญในรูปแบบต่างๆ แม้กระทรวงแรงงานจะเสนอทางแก้ด้วยการให้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว ให้นายจ้างมายื่นเรื่องขอใช้แรงงานอย่างถูกกฎหมาย

แต่ตามสถิติแล้วไม่ถึงครึ่งที่มาขอขึ้นทะเบียนเอาไว้ ที่เหลือยังเป็นแรงงานเถื่อน ต้องหลบๆซ่อนๆ

และเป็นการหลบซ่อนตั้งแต่เดินทางจากบ้านเกิดมาเมืองไทย

ซึ่งวิธีการมีหลากหลายรูปแบบเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้จะเสี่ยงภัยอยู่บ้างแต่แรงงานเหล่านี้ก็พร้อมเพราะดีกว่าอดตายอยู่บ้านเกิด

อีกเหตุผลสำคัญคือแก๊งขนแรงงานต้องการปริมาณคนมากที่สุดในการ ขนส่งแต่ละเที่ยว เรียกว่าเมื่อเสี่ยงแล้วก็ต้องเอาให้คุ้ม

ด้วยเหตุนี้เองที่ผ่านมาจึงเกิดโศกนาฏกรรมหลายครั้งหลายครา เกี่ยวกับการเสียชีวิตของแรงงานต่าง ด้าวระหว่างหลบหนีเข้าเมืองไทย

แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่จะสะเทือนขวัญและเกิดความสูญเสียชีวิตมากเท่ากับเหตุการณ์ล่าสุด ที่เกิดขึ้นภายในรถห้องเย็น ซึ่งมีแรงงานพม่าทั้งชาย-หญิงเสียชีวิตรวดเดียวถึง 54 ราย!!!

เป็นการตายที่ทรมานทรกรรมอย่างยิ่ง เพราะสาเหตุมาจากขาดอากาศหายใจ

แรงงานพม่าชุดนี้ตำรวจพบเป็นศพนอนเกลื่อนในรถ 10 ล้อห้องเย็นบรรทุกอาหารทะเล โดยจอดทิ้งอยู่ในป่าละเมาะริม ถ.เพชรเกษม บ้านบางกล้วยนอก ต.นาคา อ.สุขสำราญ จ.ระนอง

นอกจากนี้พบผู้รอดชีวิตอีก 67 คน ในจำนวนนี้มี 21 คนที่อาการสาหัสเข้าขั้นโคม่า เนื่องจากขาดอากาศนานเกินไป

รถห้องเย็นดังกล่าวเป็นของบริษัทรุ่งเรืองทรัพย์ มีนายสุชล บุญปล้อง อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47/5 หมู่ที่ 1 ต.บางนอน อ.เมือง จ.ระนอง เป็นคนขับ ซึ่งหลบหนีไปหลังเกิดเหตุ

จากคำให้การของผู้รอดชีวิต ทั้งหมดเดินทางมาจากเกาะสอง ประเทศพม่า เข้ามาทางจ.ระนอง เพื่อเดินทางไปทำงานยังจังหวัดพังงาและภูเก็ต โดยต้องจ่ายเงินรายละ 5,000 บาท

นายหน้าพาชาวพม่าทั้ง 121 ชีวิต มายังแพปลาแห่งหนึ่งย่านสะพานปลาระนอง ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระนอง ซึ่งเป็นจุดที่ขึ้นรถมรณะคันนี้

ทั้งหมดเข้าไปแออัดกันในห้องเย็นที่ไร้ช่องระบายอากาศ

และเพียงไม่นานก็เกิดเหตุขึ้นเมื่อคนงานทั้งหมดรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เพราะเหมือนเครื่องทำความเย็นไม่ทำงาน!??

ชาวพม่าผู้รอดชีวิต เล่าว่า ทุกคนพยายามดิ้นรนทุบฝาผนังห้องเย็นอยู่นาน เนื่องจากไม่สามารถเปิดประตูด้านหลังได้เพราะล็อกจากภายนอก

หลายคนทนไม่ไหวขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคนสองคน บางคนหวีดร้องกระเสือกกระสนเพื่อหวังเอาชีวิตรอด!!!



เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ก่อนที่รถจะจอดเพราะคนขับได้ยินเสียงผิดปกติ จึงจอดรถยังป่าละเมาะห่างจาก อ.เมืองระยองราวๆ 90 ก.ม. ลงมาเปิดประตูตู้ห้องเย็นด้านหลัง

ทันทีที่ประตูเปิดออกก็พบศพคนงานนอนตายจำนวนมาก แต่ละศพมือเท้าเกร็งหงิกงอ จากการทุรน ทุรายเพราะขาดอากาศหายใจ

ขณะเดียวกันหลายคนก็กำลังดิ้นทุรนทุรายเพราะขาดอากาศหายใจ เมื่อเห็นเช่นนั้นคนขับรถจึงวิ่งหนีฝ่าความมืดเข้าป่าเพราะกลัวความผิด โดยเสียบกุญแจรถ คาไว้

เพราะเจอรถของกลางการสืบสาวจึงไม่ยากนัก ไม่นานตำรวจก็ทราบชื่อคนขับ ส่วนเจ้าของรถคือนายดำรง ผุสดี ปฏิเสธไม่รู้เห็นกับการขนแรงงานเถื่อนจนเกิดการตายจำนวนมาก!??

พร้อมกันนี้ตำรวจออกหมายจับนายสุชล คนขับรถ

น.พ.พรพงศ์ จิตต์ประทุม ผอ.ร.พ.สุขสำราญ กล่าวว่า จากการชันสูตรพลิกศพพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมดมาจากการขาดอากาศหายใจ เนื่องจากอัดแน่นอยู่ในพื้นที่แคบเป็นเวลานาน ทำให้ออกซิเจนที่มีอยู่ในห้องเย็นค่อยๆ หมดลงช่วงเวลาประมาณ 1-2 ช.ม.

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พล.ต.ท.ธานี ทวิชศรี ผบช. ภาค 8 ต้องประชุมหารือกับนางกาญจนาภา กี่หมัน ผู้ว่าฯระนอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันเหตุร้ายเกิดขึ้นอีก

จากข้อมูลพบว่าพื้นที่ อ.เมือง จ.ระนอง เป็นอีกจุดใหญ่ที่แรงงานต่างด้าวจะลักลอบเข้ามาทางเรือ แล้วต่อรถไปทำงานตามจังหวัดภาคใต้

รถห้องเย็นขนอาหารทะเลเป็นพาหนะยอดนิยมประเภทหนึ่ง เพราะมีการตรวจค้นไม่มากนักเนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการออกมาโวยวายว่า การเปิดห้องเย็นระหว่างทาง จะทำให้อาหารทะเลเสียหาย!??

ขบวนการขนแรงงานจึงอาศัยจุดนี้ขึ้นมาอ้าง ไม่ให้เจ้าหน้าที่เปิดตรวจดูภายใน

จึงเป็นปัญหาคาราคาซังเรื่อยมา กระทั่งมาเกิดเหตุตายหมู่ครั้งใหญ่ขึ้น

นอกจากเหตุการณ์ล่าสุดนี้แล้ว ที่ผ่านมามีแรง งานต่างด้าวต้องเอาชีวิตมาทิ้งในเมืองไทยระหว่างการเดินทางอยู่ไม่น้อย นับย้อนกลับไปเพียง 6 เดือนเกิดเหตุครั้งใหญ่ๆ หลายครั้ง

หากนับรวมหนล่าสุดมีผู้เสียชีวิตกว่า 100 รายแล้ว!!!

การตายหมู่ครั้งใหญ่อีกครั้งย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ปีที่แล้ว ในพื้นที่ จ.ระนองเช่นกัน แต่ครานี้เหตุเกิดกลางทะเลอันดามัน เมื่อมีเรือประมงไทยพบศพชาวพม่าลอยเกลื่อนทะเลบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะช้าง หมู่ที่ 2 ต.เกาะพยาม อ.เมือง จ.ระนอง ใกล้ชายแดนน่านน้ำพม่า ห่างจากฝั่ง จ.ระนอง ประมาณ 20 ก.ม.



ตำรวจน้ำ ประสานไปยังกองเรือภาคที่ 3 กองทัพเรือ นำเรือออกไปตรวจสอบ พบศพจำนวนมากลอยเกลื่อนกลางทะเล สภาพศพขึ้นอืดคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 วัน เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง จึงสามารถเก็บศพได้ทั้งหมด รวม 22 ศพ เป็นชาย 11 ศพ หญิง 7 ศพ และเด็กชาย 4 ศพ

จากการสอบสวนพบว่า ผู้เสียชีวิตพร้อมเพื่อนๆ รวม 50 คน ลักลอบเดินทางโดยเรือยนต์ขนาดกลาง จากเกาะสองเพื่อมาขึ้นฝั่งที่ จ.ระนอง ต่อรถไปยังจุดหมาย โดยออกจากฝั่งพม่าเมื่อกลางดึกวันที่ 20 ธันวาคม มีนายกะลาเหม่า ชาวพม่าเป็นคนขับเรือ

ระหว่างทางมีคลื่นลมแรง ประกอบกับบรรทุกคนมาเกินอัตราทำให้เรือล่มกลางทะเล และจมน้ำตายเกือบหมด โดยระหว่างออกไปเก็บศพ เจ้าหน้าที่ยังเห็นศพจำนวนมากลอยไปทางฝั่งพม่า!??

อีกเหตุการณ์ที่สูญเสียไม่น้อยเกิดขึ้นบริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมา เมื่อเรือเล็กที่ลักลอบขนคนงานล่มกลางเขื่อน มีแรงงานเสียชีวิตรวม 7 ราย

คดีนี้ตำรวจเชื่อว่าแรงงานดังกล่าวพยายามหลบหนีการตรวจจับบนถนน จึงเปลี่ยนมาเป็นการเดินทางผ่านเขื่อนศรีนครินทร์ แต่เพราะไม่ชำนาญเส้นทางจึงอาจจะแล่นชนตอไม้จนล่มเสียชีวิต

ส่วนการขนส่งทางรถที่เกิดการตายมากที่สุดครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นที่ จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2550 เมื่อคนร้ายใช้รถปิกอัพแบบแค็บขนแรงงานพม่านั่งอัดมากันในห้องโดยสารถึง 7 คน แต่ระหว่างทางเจอด่านตรวจจึงขับหลบหนี กระทั่งเสียหลักพุ่งลงคลอง

ทั้งหมดจมน้ำขาดใจตายในรถนั่นเอง!!!

อย่างไรก็ตามในอดีตที่ผ่านมา แทบไม่เคยเกิดเหตุครั้งใดที่สะเทือนขวัญและสะเทือนใจเท่ากับเหตุการณ์ล่าสุด ที่แก๊งขนแรงงานปล่อยให้ชาวต่างด้าว ต้องขาดใจตายในรถโดยไม่มีทางหลบหนี

ไม่ต่างจากการฆาตกรรมหมู่ที่เลวร้ายที่สุด!!!

หากดูเส้นทางการลักลอบเข้าเมืองไทยของแรงงานต่างด้าว ซึ่งมีทั้งลาว เขมร และมากสุดคือพม่า จะทะลักตามแนวชายแดน ที่ขึ้นชื่อสุดๆ ต้องที่ อ.พบพระ และ อ.แม่สอด จ.ตาก

อีกจุดที่เข้ามามากคือ อ.สังขละบุรี-อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี และยอดฮิตลำดับสุดท้ายคือ จ.ระนอง

ตามเส้นทาง จ.ตาก และ จ.กาญจนบุรี ส่วนใหญ่ใช้การเดินเท้าหรือรถมาต่อที่แนวชายแดน ส่วน จ.ระนอง จะมาทางเรือผ่านทางเกาะสอง

กลุ่มที่มาทาง จ.ตาก ส่วนใหญ่จะขึ้นเหนือไปทำงานตาม จ.เชียงใหม่ พิษณุโลก

ส่วนพวกที่มาทาง จ.กาญจนบุรี จะทำงานในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล หรือจังหวัดชายทะเล อาทิ สมุทรสาคร-สมุทรสงคราม และในภาคตะวันออก

สุดท้ายคือเขต จ.ระนอง หากเข้ามาทางนี้จะมุ่งลงใต้เป็นหลัก

รายจ่ายของคนกลุ่มนี้จะอยู่ที่หัวละ 5,000-10,000 บาท ซึ่งจะมีนายหน้าของชาตินั้นๆ ติดต่อรวบรวมส่งมายังจุดนัดพบแนวชายแดนไทย เพื่อให้แก๊งในเมืองไทยรับช่วงส่งไปยังสถานที่ทำงาน

พวกนี้นอกจากจะได้ค่าหัวจากแรงงานโดยตรงแล้ว ยังจะได้จากนายจ้างอีกด้วย

ว่ากันว่ากลุ่มที่รับงานเป็นล่ำเป็นสันที่สุดคือกลุ่มคนมีสี เพราะสามารถพาผ่านด่านได้ง่าย และตำรวจมักไม่ค่อยตรวจค้น

ส่วนพวกแก๊งทั่วไปหากไม่สามารถเคลียร์กับตำรวจได้ จะมีหลากหลายวิธี ทั้งซุกซ่อนมากับสินค้า หรือมีรถแล่นเคลียร์ทาง หากเจอด่านก็จะโทรศัพท์บอกให้รถขนแรงงานจอดข้างทาง ให้แรงงานเดินลงข้างทางอ้อมด่าน มาขึ้นรถใหม่เมื่อเลยด่านตรวจมาระยะหนึ่ง

เพราะรายได้อันมหาศาลทำให้มีหลายแก๊งที่หากินทางนี้ ประกอบกับบทลงโทษที่ไม่รุนแรงนัก แม้ช่วงหลังจะมีการเพิ่มโทษและยึดทรัพย์เพราะถือว่าเป็นการค้ามนุษย์

แต่ที่ผ่านมาการจับกุมทำได้น้อย แถมส่วนใหญ่จะได้เพียงตัวเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ขนส่งเท่านั้น

น้อยยิ่งกว่าน้อยจะสาวไปถึงตัวการใหญ่ เพราะมักจะตัดตอนด้วยการอ้างว่าลูกน้องหรือคนขับรถขนส่งแรงงานเองโดยพลการ เจ้าของรถตัวจริงไม่รู้เรื่องด้วย!??

ผู้ต้องหาที่ถูกจับก็ไม่กล้าซัดทอด และไม่อยากซัดทอดเพราะรับโทษติดคุกไม่นานก็ออกมาได้แล้ว หากปากโป้งทั้งตัวเองและครอบครัวอาจได้รับอันตราย

ส่วนภาครัฐเอง แม้จะประชาสัมพันธ์ให้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว เพื่อจะได้ไม่ต้องหลบซ่อน แต่อีกทางกลับมีขั้นตอนมากมาย การติดต่อก็ต้องเดินทางไปหลายที่

และแต่ละสถานที่ เจ้าหน้าที่บางรายหากไม่หยอดน้ำมันกว่าจะผ่านมาได้ก็แทบหืดขึ้นคอ!??

รายจ่ายส่วนนี้อาจจะสูงถึงหลักหมื่นต่อคน แม้นายจ้างจะจ่ายให้ตอนแรก แต่ก็จะไปหักจากเงินเดือนทีหลัง ทำให้แรงงานต่างด้าวที่ต้องเสียเงินค่าเดินทางเข้าเมืองไทยแล้ว ยังต้องจ่ายส่วนนี้อีก

จึงอย่าแปลกใจว่าเหตุใดแรงงานเถื่อนจึงยอมเสี่ยงตายเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย แม้บางส่วนจะได้ทำงาน หรือหากถูกจับก็แค่ถูกส่งกลับประเทศ

แต่ก็มีบางส่วนเช่นกันที่เมื่อเข้ามาแล้ว ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในเมืองไทย!!!

หน้า 2



 

โดย: 202 IP: 118.174.24.84 13 เมษายน 2551 10:45:45 น.  

 

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3991 (3191)

พิษซับไพรม"เงินกู้นอก"ป่วน "ธอส.-เอสเอ็มอีแบงก์-ทรู"ขาดทุนอ่วม

วิกฤตซับไพรมลาม ทำแบงก์รัฐ-เอกชนไทยที่กู้เงินนอกป่วน ขาดทุนสวอปต้องจ่ายค่าปรับอ่วม ชี้สาเหตุมาจากสถานการณ์ดอกเบี้ยกลับขา เฟดลดดอกเบี้ยเร็วและแรง ทำ"เอสเอ็มอีแบงก์-ธอส.-ทรู" โดนค่าปรับบวกดอกเบี้ยสูงลิ่ว 15-17% ด้าน "ขรรค์" เผยเบื้องลึก "หม่อมอุ๋ย" จี้สั่งรื้อสัญญาสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดปิดความเสี่ยงใหม่ ส่วนเอสเอ็มอีแบงก์ผู้บริหารตัดสินใจช้าปิดความเสี่ยงไม่ทัน ขณะที่คนวงการเงินหวั่นแบงก์รัฐหากแบกขาดทุนไม่ไหวต้องเอาเงินภาษีโปะอีกแน่ๆ

แหล่งข่าวจากวงการการเงินเปิดเผยว่า ผลวิกฤตซับไพรมสหรัฐอเมริกานอกจากสร้างเสียหายจากการลงทุนโดยตรงในตราสารซับไพรมที่เคยเป็นข่าวไปแล้ว ขณะนี้ได้ลามไปกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะสถาบันการเงินไทยและบริษัทเอกชนที่ไปกู้เงิน ต่างประเทศ ทั้งนี้เกิดจากผู้กู้เงินได้ทำสัญญา ป้องกันความเสี่ยง (สวอป) อย่างมีเงื่อนไข โดยอิงกับอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ ปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศลดลงต่ำกว่าเงื่อนไขที่ทำสัญญาตกลงกัน ทำให้ลูกค้าเงินกู้ที่ทำสัญญาสวอปดังกล่าวถูกปรับจำนวนมาก

ยกตัวอย่างอาทิ เงินกู้เงินต่างประเทศ ดอกเบี้ยคงที่ 9% แต่ผู้กู้ต้องการจ่ายดอกเบี้ยต่ำกว่า 9% จึงซื้อสัญญาใหม่จ่ายดอกเบี้ย 4% ภายใต้เงื่อนไขที่อิงดอกเบี้ยไลบอร์สหรัฐว่าต้องอยู่ในช่วง3-6% ถ้าดอกเบี้ยสูงหรือ ต่ำกว่าช่วงอัตราที่ตกลงกัน ผู้กู้จะต้องจ่ายค่าปรับ 7-8% และจ่ายดอกเบี้ยที่ 9% รวมกันกว่า16-17%ของเงินต้น จึงเกิดความเสียหายมาก เท่าที่ทราบมีธนาคารรัฐ 2 แห่ง คือ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอี และธนาคารอาคาร สงเคราะห์ ส่วนบริษัทเอกชน คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

"เอสเอ็มอีแบงก์" จ่ายค่าปรับอ่วม

แหล่งข่าวกล่าวว่า ในส่วนของเอสเอ็มอีแบงก์เป็นเงินกู้ต่างประเทศ วงเงินประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยกู้เป็นเงินดอลลาร์และทำสวอปแปลงหนี้เป็นเงินบาท อัตราดอกเบี้ยประมาณ 7% แต่ผู้บริหารต้องการที่จะลดภาระดอกเบี้ยให้ต่ำลง จึงไปทำสัญญาสวอปกับธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดอย่างมีเงื่อนไข อิงกับอัตราดอกเบี้ยไลบอร์สหรัฐ

"เงื่อนไขสัญญาที่เอสเอ็มอีแบงก์ทำกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนั้น เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่มีความซับซ‰อน โดยกำหนดเงื่อนไขว่า ถ้าดอกเบี้ยไลบอร์สหรัฐเคลื่อนไหวในช่วงที่ 7.25-3.25%เอสเอ็มอีแบงก์จะจ่ายดอกเบี้ยเพียง 4.25% ตลอดอายุสัญญา ซึ่งสัญญาสวอปนี้ช่วย ลดต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย แทนที่จะจ่าย 7% ตามภาระเงินกู้ ก็จ่ายแค่ 4.25% ตามสัญญาสวอป แต่มีเงื่อนไขอีกว่าถ้าหากดอกเบี้ยไลบอร์สหรัฐเคลื่อนไหวเกินหรือต่ำกว่าเพดานที่กำหนดช่วงไว้จะต้องเสียค่าปรับ ปรากฏว่าผลของวิกฤตซับไพรม เฟดลดดอกเบี้ยลงเร็วมาก ทำให้ดอกเบี้ยไลบอร์ต่ำกว่าช่วงล่างที่ตกลงกันไว้ เอสเอ็มอีแบงก์ต้องจ่ายดอกเบี้ยบวกค่าปรับ ทำให้ต้นทุนภาระจ่ายสูงถึง 15-16% ของเงินต้น นั่นหมายความว่าต่องวดที่ถึงกำหนดจ่ายดอกเบี้ย 3 เดือน หรือ 6 เดือน ต้องจ่ายดอกเบี้ยบวกค่าปรับประมาณ 3,750 ล้านบาท" แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวในวงการการเงินอีกรายกล่าวว่า เท่าที่ทราบทางสแตนชาร์ตในฐานะที่ปรึกษา หารือกับเอสเอ็มอีแบงก์ตั้งแต่เห็นธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยลงเมื่อ ปีที่แล้ว และเสนอให้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญาใหม่ พร้อมกับเสนอแนวทางแก้ไขให้ 3-4 แนวทาง ทั้งนี้การยกเลิกสัญญาเดิมต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากค่าปรับที่ต้องจ่ายแล้วจะคุ้มกว่า

นายพงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ กรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า ขณะยังไม่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากค่าปรับ และฐานะการเงินของธนาคารยังอยู่ในวิสัยที่รับได้ โดยขณะนี้มีหนี้บางส่วนเท่านั้นที่มีปัญหา ซึ่งฝ่ายจัดการของธนาคารกำลังเจรจาแก้ไขอยู่

ธอส.รื้อสัญญาปิดขาดทุน

ในส่วนของ ธอส.นั้นก็ประสบปัญหาเดียวกับเอสเอ็มอีแบงก์ วงเงินกู้ต่างประเทศหลายหมื่นล้านบาท แต่หนี้บางส่วนได้แก้ปัญหาไปบ้างแล้ว โดย ธอส.ยกเลิกสัญญาสวอปไปบางสัญญาและชำระค่าปรับเป็นเงินก้อนไปแล้ว ทำให้ภาระดอกเบี้ยลดลง

"ธอส.ได้เจรจายกเลิกสัญญาหรือแฮร์คัตภาระสวอป ทำสัญญาใหม่โดยยอมจ่ายค่าปรับ แต่ภาระหนี้เงินกู้ยังอยู่เหมือนเดิม ตอนที่ ธอส.มีปัญหา หม่อมอุ๋ย (ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รมต.คลัง) เรียกคุณขรรค์ (ประจวบเหมาะ) ไปคุยเรื่องนี้ และเข้าใจว่าแบงก์ชาติรู้ปัญหา จึงทำ หนังสือถึงแบงก์พาณิชย์ให้รายงานว่าได้ทำสัญญาป้องกันความสี่ยงอะไรไปบ้าง กับธนาคารของรัฐ หรือธนาคารของรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในอนาคต" แหล่งข่าวกล่าว

หวั่นระยะยาวขาดทุนดึงงบรัฐโปะ

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ปกติหากมีแนวโน้มว่าจะผิดสัญญา คู่สัญญาจะต้องหาทางแก้ไขก่อน แต่ปัญหาซับไพรมมันไปเร็ว แก้ไม่ทัน ตอนนี้ทางเอสเอ็มอีแบงก์จ่ายค่าปรับทุกงวด ในแง่ภาระดอกเบี้ยจ่ายปกติที่ไม่ทำสัญญาสวอปก็สูงอยู่แล้ว พอมาเจอค่าปรับจากการผิดสัญญาสวอปก็ยิ่งสูงมาก ลองคิดดูว่าถ้าต้นทุนเงินกู้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสูง 15-16% ขณะที่ดอกเบี้ยรับจากลูกค้าเอสเอ็มอีต่ำกว่าดอกเบี้ยจ่าย อาจจะทำให้แบงก์บริหารลำบาก ถ้าจะอยู่รอดได้ก็ต้องเอาเงินงบประมาณไปช่วยแก้ภาระขาดทุน

"ขรรค์" ยอมรับขาดทุนสวอป

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาเงินกู้ต่างประเทศสกุลดอลลาร์ อายุ 3 ปี และ 5 ปี โดยหนี้ดังกล่าวมีการทำสัญญาสวอปดอกเบี้ยและเงินต้นไว้อิงกับดอกเบี้ย ไลบอร์ แต่เนื่องจากธนาคารไม่มีรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ ประกอบกับเป็นช่วงที่ทุกคนมองว่าดอกเบี้ยขาขึ้น ทางธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดได้เสนอให้ทำสัญญาสวอปดอกเบี้ยและเงินต้น เพื่อปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทางธนาคารจึงได้ซื้อออปชั่นในส่วนนี้ โดยกำหนดกรอบ (band) ดอกเบี้ยที่จะได้รับการคุ้มครอง โดยกำหนดดอกเบี้ยขอบบนไว้สูงมาก ซึ่งน่าจะรองรับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นขณะนั้น และตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าดอกเบี้ยจะลงมาขอบล่างได้

"การกู้เงินนอกเพราะธนาคารจำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนที่มีดอกเบี้ยต่ำที่สุดมาผสมแหล่งเงินทุนอื่นที่เรามี ทางสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดที่เป็นผู้ขายออปชั่นนี้ คอยรายงานสถานการณ์ทิศทางดอกเบี้ยตลอดเวลา เมื่อสถานการณ์ดอกเบี้ยพลิกกลับมาเป็นดอกเบี้ยต่ำ ทางผู้ขายก็แนะนำให้เราปิดความเสี่ยงโดยให้เราซื้อบริการป้องกันความเสี่ยงใหม่ โดยแปลงจากดอกเบี้ยลอยตัวมาเป็นดอกเบี้ยคงที่ประมาณ 8% ซึ่งไม่มีการเสียค่าธรรมเนียมใดๆ ในการปิดสัญญาเก่าและเปลี่ยนออปชั่น หากธนาคารยังคงถือสัญญาดอกเบี้ยลอยตัว ในขณะที่ดอกเบี้ยขาลงหลุดกรอบที่ทำออปชั่นไว้ ธนาคารจะต้องเสียค่าปรับประมาณ 10-12% ซึ่งยังไม่นับรวมดอกเบี้ยเงินกู้"

นายขรรค์กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยคงที่ 8% ธอส.ยังรับได้ แต่ถ้าไม่แปลงมาเป็น ดอกเบี้ยคงที่ ธอส.จะเจอดอกเบี้ยจ่ายค่าปรับจำนวนมหาศาล ปัจจุบันธนาคารมีหนี้ต่างประเทศประมาณ 20,000 ล้านบาท หลังจากที่ธนาคารได้แก้ไขปัญหาความเสี่ยงดังกล่าวแล้ว ทำให้ธนาคารมีส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1.5% จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ต่ำมาก 0.6%

นายขรรค์กล่าวด้วยว่า การแก้ไขปัญหาของ ธอส.ได้ดำเนินการในสมัย ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่ง ปีที่แล้วได้ส่งนโยบายถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ดำเนินการตรวจสอบสถาบันการเงินอย่างเข้มงวด

"ทรู" โดนซับไพรมฟาดด้วย

แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า กรณีบริษัท ทรูที่ต้องไปกู้เงินต่างประเทศเพราะทรูมีหนี้ที่จะครบกำหนดใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่ด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ไม่เอื้อ ทำให้ต้องยืดอายุหนี้ให้ยาวออกไป จึงต้องกู้เงินต่างประเทศมารีไฟแนนซ์หนี้ก้อนดังกล่าว โดยทรูออกไฮยีลด์บอนด์หรือจังก์บอนด์ขายในต่างประเทศประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21,000 ล้านบาท) อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 9% ถ้าบวกค่าธรรมเนียมด้วยจะมีต้นทุนเงินกู้ 11%

"กรณีของทรูก็คล้ายกัน ต้องการลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 9% ลง จึงทำสวอปอิงกับดอกเบี้ยพันธบัตรเทศบาลสหรัฐ โดยกำหนดช่วงเพดานดอกเบี้ยขั้นต่ำและสูงไว้ แต่ปรากฏว่าพิษซับไพรมทำให้นักลงทุนเทขายพันธบัตรเทศบาล ส่งผลให้พันธบัตรเทศบาลสหรัฐราคาตก ยีลด์ (ดอกเบี้ย) จึงพุ่งเกินช่วงที่ทำสัญญาสวอป ทรูจึงต้องจ่ายค่าปรับรวมดอกเบี้ยประมาณ 17-18% ของเงินต้น" แหล่งข่าวกล่าว

ธปท.ส่งผลตรวจสอบให้คลังแล้ว

แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในกรณีที่เกิดขึ้นกับเอสเอ็มอีแบงก์และ ธอส. ที่ได้รับผล กระทบดังกล่าวนั้น ธปท.ได้ตรวจสอบพบและแจ้งพร้อมให้ข้อสังเกตรายงานให้กระทรวงการคลังทราบแล้ว ส่วนจะมีการดำเนินการต่ออย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังในฐานะเจ้าของและเป็นผู้กำกับดูแล เมื่อปีที่แล้ว ธปท.ได้สั่งให้สถาบันการเงินรายงานการทำธุรกรรมสัญญาสวอป ฟอร์เวิร์ด กับลูกค้าให้ ธปท.ทราบเป็นรายวัน เพื่อดูว่าธุรกรรมมีมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้การทำธุรกรรมดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติของการป้องกันความเสี่ยง ยิ่งมีความ ซับซ้อนจะยิ่งมีต้นทุนที่ต่ำ แต่ ธปท.จะกำชับสถาบันการเงินที่ทำธุรกรรมดังกล่าวอยู่แล้วว่าจะต้องมีความเข้าใจและมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี

หน้า 1

 

โดย: 203 IP: 118.174.24.84 13 เมษายน 2551 10:59:31 น.  

 

เวทีสมัชชาผู้ถูกผลกระทบด้านอาชีวอนามัยในวาระครบรอบ 15 ปี โศกนาฏกรรมโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์กับ“ร่าง พ.ร.บ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ กับมิติสุขภาพของผู้ใช้แรงงาน”
โดย : คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เมื่อ : 13/04/2008 10:22 AM
ด้วยคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานจัดงานวันความปลอดภัยขึ้น เพื่อร่วมกันประชุมหารือวางแผนการจัดกิจกรรม โดยคณะทำงานดังกล่าวได้มีการประชุมหารือกันไป 3 ครั้ง ได้ข้อสรุปว่าจะจัดจัดกิจกรรม รำลึกครบรอบ 15 ปีโศกนาฎกรรมโรงงานเดอร์ และการเดินรณรงค์วัความปลอดภัย สำหรับเวทีสมัชชาผู้ถูกผลกระทบจะจัดเสวนา ”เรื่อง15 ปีโศกนาฏกรรมโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ กับ“ร่าง พ.ร.บ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ กับมิติสุขภาพของผู้ใช้แรงงาน”

ดังนั้นสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทยคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย , มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย, มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ทฯ (FES)ในฐานะตัวแทนคณะกรรมการจัดงาน จึงขอเรียนเชิญท่านและตัวแทนของท่าน องค์กรละ 3 ท่าน เข้าร่วมเวทีสมัชชาผู้ถูกผลกระทบจะจัดเสวนา ”เรื่อง15 ปีโศกนาฏกรรมโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ กับ “ร่าง พ.ร.บ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ กับมิติสุขภาพของผู้ใช้แรงงาน” ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ณ.ห้องประชุมราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ

####################################

จากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ผ่านมา เรื่องสุขภาพความปลอดภัยกับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานยังไม่มีใครพูดถึงมากนักแต่หลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรมโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ไฟไหม้ตึกถล่มคนงานต้องสังเวยด้วยชีวิต 188 ศพ บาดเจ็บ 469 ราย เมื่อ10 พฤษภาคม 2536 เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญไปทั่วโลก นักวิชาการ NGO ผู้นำแรงงาน กลุ่มผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากฝุ่นฝ้าย ได้ร่วมกันคิดและพยายามนำเสนอ ประเด็นสุขภาพความปลอดภัย เพื่อเผยแพร่และทำความเข้าใจแก่สาธารณชนและสื่อมวลต่างๆอย่างยืดเยื้อยาวนาน

เพื่อให้สังคม หน่วยงานที่รับผิดชอบ และผู้ใช้แรงงาน ได้มีการหาทางป้องกันการประสบอันตรายอุบัติเหตุและการเจ็บป่วยเรื้อรังด้วยโรคสืบเนื่องจากการทำงาน การดูแลสถานประกอบการ แต่กระนั้นตัวเลขของกองทุนเงินทดแทนที่มีคนงานอยู่ในขอบข่ายจำนวน 7-8 ล้านคน (ในกำลังแรงงานทั้งหมด 33.15 ล้านคนที่อยู่นอกระบบกฎหมาย กองทุนคุ้มครอง 33.15 ล้านคนมีทั้งคนงานนอกระบบ คนงานก่อสร้างคนงานภาคเกษตร) ผู้ประสบอันตรายปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 คน เสียชีวิตปีละ 800 คน นอกจากนี้มีข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขทำการวิจัยพบว่า”ผู้ใช้แรงงาน จะได้รับสารพิษสารเคมี เจ็บป่วยจากการทำงานไม่ต่ำกว่าปีละสองแสนคน รองคิดคร่าวๆว่า 15 ปีตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมเคเดอร์ คนงานจะต้องประสบอันตรายกว่า 3 ล้านคน ไม่รวมป่วยจากสารพิษสารเคมี คนในชุมชน และแรงงานภาคอื่นๆที่ไม่มีข้อมูล

เพราะตลอดระยะเวลา 40 ปีของการพัฒนาอุตสาหกรรม ระบบและมาตรฐานในการวินิจฉัยโรค หรือหน่วยงาน และแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม หน่วยงานที่ตรวจสอบสถานประกอบการ ยังขาดแคลนไม่สมดุลโดยสิ้นเชิงกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ทำให้คนทำงานทั้งในระบบและนอกระบบภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงคนทำงานในภาคเกษตร คนในชุมชน ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพ ต้องเป็นผู้ที่ตกเป็น” เหยื่อ”ของการพัฒนาอุตสาหกรรม มีการเจ็บป่วย พิการ เรื้อรัง และเสียชีวิตไปอย่างไร้ค่า ซึ่งเป็นต้นทุน ที่ไม่มีใครมองเห็น

ดังนั้นการจัดเวทีสมัชชาเพื่อผู้ถูกผลกระทบกับงานทางด้านอาชีวอนามัย จึงเป็นงานที่ต้องการเน้นเพื่อให้เกิดความตระหนัก การมีส่วนร่วม ของบุคคลองค์กรของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ถูกผลกระทบ ผู้ใช้แรงงาน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน นักวิชาการ NGO รวมถึงสื่อมวลชน จะได้มาร่วมกัน แก้ไขป้องกันและหาทางออก โดยร่วมกันผลักดันให้เรื่องสุขภาพความปลอดภัยเกิดเป็นนโยบายระดับชาติ และ ร่วมกันผลักดัน พรบ.จัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้เป็นองค์กรอิสระ เพื่อมีส่วนร่วมในการปฎิรูประบบสุขภาพความปลอดภัย ที่กำลังเป็นปัญหาวิกฤตอยู่ในขณะนี้ ร่วมผลักดันให้มีระบบการวินิจฉัยโรค เกณฑ์ที่เป็นมาตราฐานที่เป็นสากล มีแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางกับหน่วยงานด้านอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อมให้เพียงพอ รวมถึงให้ผู้ใช้แรงงานได้เข้าถึงระบบการวินิจฉัยโรค เพื่อดูแลป้องกัน รักษาคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และคุณภาพชีวิตที่ดีตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยปี 50

วัตถุประสงค์/ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.) เพื่อร่วมกันรำลึก ถึง 15 โศกนาฏกรรมโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ไฟไหม้ ที่ความปลอดภัยยังไม่เกิด
2.) ผู้เข้าร่วมเวที มีความรู้ความเข้าใจ เรื่องความเสี่ยงต่อการเกิดความเจ็บป่วยและการประสบอันตรายจากการทำงานก่อเกิดการตระหนักถึงพิษภัยซึ่งจะขยายผลนำความรู้เพื่อให้เกิดการป้องกันการเจ็บป่วยหรืออันตราย ให้มีการดูแลตรวจสอบปรับปรุงสภาพแวดล้อมในสถานประกอบการ มีการตรวจสุขภาพประจำปี คนงานแบบอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ผู้ใช้แรงงานผู้ที่เข้าร่วมได้เรียนรู้ถึงสภาพปัญหา ได้ปรึกษาหารือวางแผนการการเพื่อการป้องกันปัญหา
3.) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมร่วมกันผลักดันเรื่องสุขภาพความปลอดภัยให้ เป็นนโยบายระดับชาติ และร่วมกันผลักดันให้เกิดสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนมัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ร่วมเข้าชื่อสนับสนุน 10,000 รายชื่อ

วิทยากรช่วงเช้า จำนวน 10 คน
1.ตัวแทนครอบครัวผู้เสียชีวิตโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ 2 คน
2.ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ 1 คน
3.ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานกิจการและสิ่งทอ 1คน
4.ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานนวนคร-รัวสิตปทุมธานี 1คน
5.ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานกลุ่มปราจีนบุรี 1 คน
6.ตัวแทนแรงงานนอกระบบ 1 คน
7.ตัวแทนกลุ่มภาคตะวันออก 1 คน
8.ตัวแทนสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานฯ 1 คน
9. ญาติผู้เสียชีวิตจากการทำงาน 1 คน

วิทยากรช่วงบ่ายช่วงแรก จำนวน 4 คน
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน**
วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
สิริวัน ร่มฉัตรทอง ,สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย**
สมบุญ สีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงานฯ

วิทยากรช่วงบ่ายช่วงหลัง
นายแพทย์พนมพันธ์ ศิริวัฒนานุกูล สำนักโรคจากการประกอบอาชีพ กระทรวงสาธารณสุข
ดร.นภาพร อติวานิชยพงศ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประธานกรรมาธิการแรงงานฯ
อ.บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน

พิธีกร คุณสุธาสินี แก้วเหล็กไหล

ผู้ดำเนินการอภิปราย
คุณเสน่ห์ หงษ์ทอง คุณสาวิทย์ แก้วหวาน
คุณจะเด็จ เชาน์วิไล
ผู้สรุปและกล่าวปิดการสัมมนา คุณทวีป กาญจนวงศ์

ผู้รับผิดชอบ
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย / มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย / สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อม แห่งประเทศไทย / มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ทฯ (FES) / สำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

กำหนดการเวทีเสวนาในวาระครบรอบ 15 ปีเหตุการณ์โศกนาฎกรรมเคเดอร์

...........................................................................
08.45-09.15 น. -ลงทะเบียน / รับเอกสาร
09.15-09.30 น. -กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ในการจัดเวทีเสวนาดังกล่าว
โดย ทวีป กาญจนวงศ์ ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
09.30-09.45 น. -กล่าวเปิดเวทีเสวนา
โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน**
คุณเวสน่า โรดิช มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ทฯ (FES)
ผู้แทนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
09.45-10.10 น. -ชมวิดีทัศน์ ชุด “ความไม่ปลอดภัยในการทำงาน”
10.10-10.25 น. -เบรกกาแฟ
10.25-10.45 น. -การแสดงศิลปวัฒนธรรม โดย วงภราดร
10.45-12.30 น. -เวทีเสวนา “ชะตาชีวิตของคนทำงานกับ ต้นทุนที่มองไม่เห็น
- ตัวแทนครอบครัวผู้เสียชีวิตโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ 2 คน
- ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ 1 คน
- ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานกิจการและสิ่งทอ 1คน
- คุณวิวัฒน์ แสนประเสริฐ
- ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานกลุ่มปราจีนบุรี 1 คน (คุณจรีนันท์ มีมุ่งกิจ)
- ตัวแทนแรงงานนอกระบบ 1 คน
- ตัวแทนกลุ่มภาคตะวันออก 1 คน
- ตัวแทนสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานฯ 1 คน
- ญาติผู้เสียชีวิตจากการทำงาน 1 คน (คุณรัชนี นะราศรี)
ดำเนินรายการและเปิดเวทีในการแลกเปลี่ยนโดย คุณเสน่ห์ หงษ์ทอง
12.30-13.30 น. -รับประทานอาหารกลางวัน
13.30-13.45 น. -การแสดงศิลปวัฒนธรรมสะท้อนปัญหา
“งานที่ปลอดภัย อุบัติเหตุซ้ำซาก ปัญหาที่ถูกมองข้าม” เหตุผลไม่เอาเพราะจะ
ไปเน้นอุบัติเหตุอย่างเดียวไปหรือเปล่า ? และไม่สะท้อนชื่องาน ค่ะ หรือ
“188 ศพ 15 ปี เคเดอร์ ความปลอดภัยของคนงานยังไม่เกิด”
โดย กลุ่มสหภาพแรงงานย่านอ้อมน้อย – อ้อมใหญ่
13.45-15.00 น. -เวทีนำเสนอข้อเสนอทางออก “การขับเคลื่อนประเด็นอาชีวอนามัย
ของคนทำงาน : สิทธิขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
ร่วมเสนอโดย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน**
วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
สิริวัน ร่มฉัตรทอง ,สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย**
สมบุญ สีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงานฯ
ดำเนินรายการโดย นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 15.00-15.15 น. -เบรกกาแฟ
15.15-15.30 น. -การแสดงศิลปวัฒนธรรมโดยวงภราดร
15.20-14.20 น. -เวทีนำเสนอข้อเสนอทางออก “การขับเคลื่อนประเด็นอาชีวอนามัย
ของคนทำงาน : สิทธิขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”ต่อ
ร่วมเสนอโดย นายแพทย์พนมพันธ์ ศิริวัฒนานุกูล
สำนักโรคจากการประกอบอาชีพกระทรวงสาธารณสุข
ดร.นภาพร อติวานิชยพงศ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประธานกรรมาธิการแรงงานฯ
บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ มูลนิธิอารมณ์พงศ์พงัน
ดำเนินรายการโดย จะเด็จ เชาว์วิไล
16.20-16.30 น. -สรุปการเสวนาและกล่าวปิด
โดย ทวีป กาญจนวงศ์ ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย

*** หมายเหตุ กำหนดการสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม****


ขอให้แจ้งรายชื่อเข้าร่วมเวทีสมัชชาสุขภาพฯภายในวันที่ 30 เมษายน 2551

 

โดย: 204 IP: 118.174.24.84 13 เมษายน 2551 11:25:20 น.  

 

แรงงานจี้คลอด “พรบ.ปลอดภัย” “อภัย” รับปากดันเข้า“ครม.-สนช.”

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่กกระทรวงแรงงาน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) นำโดยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตียวประธาน คสรท. น.ส.สมบุญ สีคำดอกแค เครือข่ายผู้ป่วยโรคจากการทำงาน และนายศิริชัย ไม้งาม เลขาฯ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ร่วมหารือ กับนายอภัย จันทนจุลกะ รมว.แรงงาน ถึงการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติในวันที่ 1 พฤษภาคม 2550
น.ส.วิไลวรรณกล่าวว่า การจัดงานในปีนี้ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยจะยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมฉบับที่ภาคประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันร่างและร่างแก้ไข พรบ.แรงงานสัมพันธ์ หากกระทรวงแรงงานรับปากว่าจะนำร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ เสนอไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยินดีเข้าร่วมงานวันแรงงานแห่งชาติปีนี้
น.ส.สมบุญ สีคำดอกแคกล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นผลจากการหารือร่วมกันระหว่างผู้ใช้แรงงาน ผู้ที่รับผิดชอบของกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพราะต้องการให้มีการจัดตั้งสถาบันดูแลความปลอดภัยจากการทำงาน โดยภาคประชาชนเข้าไปมีบทบาท แต่ปรากฏว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมากลับมายัดไส้โดยเสนอร่างจากฝ่ายรัฐบาลให้ ครม.พิจารณาโดยตัดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้แรงงานออกทั้งหมด
ด้านนายอภัยกล่าวว่า การจัดงานวันแรงงานแห่งชาติเป็นคนละเรื่องกับการเสนอกฎหมาย และว่า รัฐมนตรีไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปล้วงลึกในรายละเอียด แต่รับปากว่าหากทุกฝ่ายเห็นตรงกันและเสนอร่างกฎหมายเข้ามาก็จะรีบนำเสนอ ครม. เพื่อส่งต่อไปยัง สนช. โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้มอบให้นายจุฑาธวัช อินทรสุขศรี ปลัดกระทรวงแรงงาน และนายผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อธิบดีกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน ไปหารือร่วมกับตังแทนผู้ใช้แรงงานแล้ว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน หน้า 10 ฉบับวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

 

โดย: 205 IP: 118.174.128.155 13 เมษายน 2551 12:07:31 น.  

 



หลักสูตร | ลงทะเบียนฟรี | รูปการอบรม | ความเป็นมาของโครงการ | หลักการและเหตุผล | วัตถุประสงค์ สำหรับวันที่และสถานที่ในการฝึกอบรมและสัมมนา ทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จะแจ้งให้ทราบผ่านเว็บไซต์ MICT4U.NET ภายในวันที่ 18 เมษายน 2551 สำหรับท่านที่สมัครแล้ว ทางโครงการฯ จะแจ้งรายละเอียดให้ทราบผ่านทาง E-Mail ค่ะ ขอบคุณค่ะ
รายชื่อหัวข้อการสัมมนา

IT Security - iระบบการรักษาความปลอดภัย สำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคปัจจุบัน
Work at Home - แนวทางการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถทำงานนอกสถานที่ได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
รายชื่อหลักสูตรการฝึกอบรม

การใช้งานอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้เริ่มต้น
การใช้งานโปรแกรมสำนักงาน และการจัดการเอกสารเบื้องต้น
การติดตั้ง ดูแลรักษาและแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น
การสร้างเว็บไซต์อย่างง่ายได้ด้วยตนเอง
การพัฒนาเว็บไซต์ระดับสูง
การรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้ดูแลระบบ
การออกแบบและสร้างเว็บเพจมัลติมีเดียแอนนิเมชั่น เบื้องต้น


หน้าแรก | หลักสูตร | ลงทะเบียนฟรี | รูปการอบรม | ติดต่อเรา
ความเป็นมาของโครงการ | หลักการและเหตุผล | วัตถุประสงค์
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2551 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร.


 

โดย: 206 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 13:54:25 น.  

 

อินเตอร์เนตที่ใช้กันอยู่กำลังจะเชยแล้ว เพราะเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่สร้างมันขึ้นมา กำลังพัฒนาเครือข่ายความเร็วสูงกว่าเดิมที่ใช้ดาวน์โหลดภาพยนตร์ทั้งเรื่องในเวลาไม่กี่วินาที

ด้วยความเร็วถึง 10,000 เท่าของเครือข่ายบรอดแบนด์ทั่วไป "เดอะ กริด (the grid)" จะสามารถส่งอัลบั้มรวมฮิตของ เดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ จากอังกฤษไปญี่ปุ่น ในเวลาไม่ถึง 2 วินาที

the grid เป็นผลงานล่าสุดจาก CERN (หน่วยวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคที่สร้างระบบเวิร์ลด ไวด์ เว็บ (www - world wide web) พลังของมันสามารถก่อให้เกิดการส่งข้อมูลภาพโฮโลกราฟิก (ข้อมูลภาพแบบสามมิติเช่นในภาพยนตร์อย่าง สตาร์ เทรค หรือ สตาร์ วอร์ส) เกมออนไลน์ที่มีผู้เล่นพร้อมกันหลายแสนคน หรือโทรศัพท์พร้อมภาพที่มีความละเอียดสูงในราคาเท่ากับการโทรปกติ


จินตนาการภาพโฮโลกราฟิก - howstuffworks

เดวิด บริตตัน (David Britton) ศาสตราจารย์จากภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ (Glasgow University) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำโครงการ the grid เชื่อว่าเทคโนโลยีกริดจะสามารถ "ปฏิวัติ" สังคมได้ "มนุษย์รุ่นต่อ ๆ ไปจะสามารถทำงานร่วมกันและสื่อสารกันในแบบที่คนรุ่นเก่าอย่างผมจินตนาการไม่ถึงเลยทีเดียว" ศาสตราจารย์บริตตันกล่าว

พลังของ the grid จะเป็นที่ประจักษ์ในหน้าร้อนนี้ (ผู้แปลเข้าใจว่าเป็นช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม เนื่องจากแปลจากเว็บไซต์ของอังกฤษ) หลังจากวันที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ CERN เรียกว่า "วันกดปุ่มแดง - The Red Button Day" ซึ่งเป็นวันเปิดเครื่องเร่งอนุภาค LHC - Large Hadron Collider ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพิสูจน์จุดเริ่มต้นของจักรวาล ในวันนั้น the grid ก็จะเริ่มทำงานเพื่อเก็บข้อมูลจากเครื่อง LHC


ส่วนหนึ่งของเครื่อง LHC (สังเกตขนาดตัวคน) - STMicroelectronic

CERN ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เริ่มโครงการการประมวลผลผ่านเครือข่ายแบบกริด (Grid Computing - ข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่) มา 7 ปีแล้ว เมื่อเหล่านักวิจัยตระหนักว่าข้อมูลที่จะได้จาก LHC จะมีปริมาณเท่ากับแผ่นซีดีถึง 56 ล้านแผ่น สามารถเอามาตั้งเป็นความสูงถึง 64 กิโลเมตร

นั่นหมายความว่าเมื่อ the grid ถูกเปิดใช้ ระบบเครือข่ายทั่วโลกจะล่ม เพราะว่าอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน ถูกพัฒนาขึ้นมาจากการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิ้ล ซึ่งเป็นระบบแบบเก่าของระบบโทรศัพท์ ทำให้ขาดความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงมาก

ในทางกลับกัน the grid ถูกสร้างขึ้นด้วยเครือข่ายใยแก้วนำแสง (Fibre Optic Cable) และระบบรู้ทติ้ง (Routing Centre) ที่ทันสมัย หมายความว่าไม่มีส่วนประกอบไหนที่จะหน่วงการรับส่งข้อมูล โดยขณะนี้มีการติดตั้งเครื่องแม่ข่าย (Server) เป็นจำนวนถึง 55,000 เครื่อง และจะเพิ่มเป็น 200,000 เครื่องในอีกสองปีข้างหน้า

ศาสตราจารย์โทนี่ ดอยล์ (Tony Doyle) ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของโครงการ the grid กล่าวว่า "เราต้องการพลังประมวลผลมหาศาล ถ้าตั้งเครื่องทั้งหมดไว้ที่ CERN จะมีปัญหาในเรื่องกระแสไฟฟ้า คำตอบอย่างเดียวของเราคือระบบเครือข่ายที่ทรงพลังพอที่จะส่งข้อมูลอย่างรวดเร็วไปยังศูนย์วิจัยในประเทศต่าง ๆ"


ศาสตราจารย์โทนี่ ดอยล์ - Computer World

ระบบเครือข่ายนั้นถูกสร้างขึ้นแล้ว โดยใช้สายใยแก้วนำแสงที่เชื่อมต่อ CERN กับ 11 ศูนย์วิจัยในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ตะวันออกไกล ยุโรป และทั่วโลก

ปลายสายหนึ่งอยู่ที่ห้องปฏิบัติการ รัทเธอร์ฟอร์ด แอปเปิ้ลตั้น (Rutherford Appleton) ที่ฮาร์เวล (Harwell) ในอ๊อกซฟอร์ดเชียร์ (Oxfordshire)

จากแต่ละศูนย์ การเชื่อมต่อจะแผ่ขยายไปยังศูนย์ย่อยต่าง ๆ ด้วยเครือข่ายทางการศึกษาความเร็วสูง นี่หมายความว่าเฉพาะในเกาะอังกฤษเพียงแห่งเดียว มีเครื่องแม่ข่ายถึง 8,000 เครื่องในระบบกริด ดังนั้นในทางทฤษฎีแล้ว นักศึกษาหรือบุคลากรต่าง ๆ จะสามารถเชื่อมต่อกับ the grid ได้ในภายในฤดูใบไม้ร่วงนี้

เอียน เบิร์ด (Ian Bird) หัวหน้าโครงการการประมวลผลความเร็วสูงจาก CERN กล่าวว่าเทคโนโลยีกริดสามารถทำให้อินเตอร์เน็ตมีความเร็วสูงมากจนผู้ใช้จะเลิกเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องตนเอง แต่จะเก็บมันไว้ในอินเตอร์เน็ตแทน

"มันจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Cloud Computing ซึ่งผู้คนเก็บข้อมูลไว้ออนไลน์และเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้จากทุกหนแห่ง" เบิร์ดกล่าว

เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทั้งหลายในเครือข่าย the grid สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง นักวิจัยที่ประสบกับปัญหาที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงสามารถขอความช่วยเหลือจากคอมพิวเตอร์อื่น ๆ นับพันเครื่องทั่วโลก เป้าหมายคือขจัดปัญหาเครื่องค้าง (Frozen Screen) ที่ประสบโดยผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่ให้เครื่องของตนจัดการกับข้อมูลมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของโครงการ the grid นี้ คือการทำงานร่วมกับเครื่อง LHC เพื่อค้นหาอนุภาคที่ตรวจจับยากที่สุดในธรรมชาติ คืออนุภาค Higgs boson ซึ่งถูกตั้งทฤษฎีไว้ว่าเป็นอนุภาคที่ทำให้สสารมีมวล แต่ยังไม่เคยถูกตรวจจับได้มาก่อน

เครื่อง LHC ถูกออกแบบมาเพื่องานนี้ ซึ่งแม้แต่การทำงานที่ดีที่สุดของมัน ก็สามารถสร้างอนุภาคได้เป็นจำนวนเพียงไม่กี่พันอนุภาคต่อปี การวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจะเป็นงานช้างที่ the grid ต้องทำเป็นเวลาหลายปี

แม้ว่าตัว the grid เองจะไม่เข้าถึงผู้ใช้อินเตอร์เน็ตตามบ้าน ธุรกิจการสื่อสารจำนวนมากได้เปิดตัวเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิก หนึ่งในนั้นเรียกว่า Dynamic Switching ซึ่งจะสร้างช่องทางเฉพาะให้กับผู้ใช้อินตอร์เน็ตที่พยายามจะดาวน์โหลดข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ภาพยนตร์ โดยในทางทฤษฎีแล้ว มันจะทำให้เครื่องทั่วไปสามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์หนึ่งเรื่องในเวลา 5 วินาที แทนที่จะเป็น 3 ชั่วโมงอย่างในปัจจุบัน

นอกจากนี้ the grid ยังเปิดให้นักวิจัยได้ใช้ในสาขาอื่น ๆ เช่นดาราศาสตร์ หรือชีววิทยา

ปัจจุบัน the grid ถูกใช้ออกแบบยาต้านโรคมาเลเรีย ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 1 ล้านคนต่อปี นักวิจัยใช้ the grid เพื่อวิเคราะห์สารประกอบ 140 ชนิด ซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตทั่วไป จะใช้เวลาถึง 420 ปี

"โครงการอย่าง the grid สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากแก่สังคมและวงการธุรกิจเช่นเดียวกับวงการวิทยาศาสตร์" ดอยล์กล่าว

"การประชุมผ่านวิดีโอโฮโลกราฟิกจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เกมออนไลน์จะพัฒนาจนเล่นพร้อมกันได้หลายพันคน และเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking) จะเป็นการสื่อสารหลักของเรา"

"ประวัติศาสตร์ของอินเตอร์เน็ตแสดงให้เห็นว่าเราไม่อาจทำนายผลกระทบจริง ๆ จากมันได้ แต่เรารู้ว่ามันจะกระทบอย่างมาก"

ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการอ่าน – ผู้แปล
ความเกี่ยวข้องระหว่าง Cloud Computing และการขอซื้อ Yahoo! ของ Microsoft
การประมวลผลแบบกริด
(แปลจาก //www.timesonline.co.uk/tol/news/uk/science/article3689881.ece)

 

โดย: 207 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 14:12:08 น.  

 

การเรียกร้องการพัฒนาระบบโทรศัพท์ของคนหูหนวกในประเทศอังกฤษ
การเรียกร้องการพัฒนาระบบโทรศัพท์ของคนหูหนวกในประเทศอังกฤษ
โพสต์เมื่อ: 21:58 วันที่ 4 เม.ย. 2551 ชมแล้ว: 2,415 ตอบแล้ว: 0
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี > เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี > เทคโนโลยีวัสดุ

กลุ่มคนที่พิการทางการได้ยินหรือคนหูหนวกในประเทศอังกฤษได้ทำการเรียกร้องให้นักการเมืองสนใจประเด็นกการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ช่วยในการสื่อสารทางโทรศัพท์ของคนหูหนวกให้ใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเรียกร้องในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งานได้ง่ายขึ้นและราคาก็ควรที่จะลดลงเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้งานมากขึ้น







คุณ Myers ประธานสมาคม TAG ซึ่งเป็นสมาคมที่ช่วยเหลือคนที่พิการทางการได้ยินในประเทศอังกฤษที่เป็นการรวมตัวกันของ Royal National Institute for Deaf People, British Deaf Association และสมาคมเล็กๆอื่นๆที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยิน การรับรู้ กล่าว่าเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยผู้พิการทั้งหลายนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างสำหรับพวกเขา และสิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้เกิดความเท่าเทียมของคนเหล่านี้ทางด้านศึกษา การฝึกอบรมต่างๆและในการทำงานโดยเฉพาะการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นตัวช่วยที่สำคัญให้คนพิการสามารถดำเนินชีวิตประจำวันและทำงานได้เทียบเท่ากับคนปกติ







โดยการเรียกร้องครั้งนี้มีขึ้นเมื่องวานนี้ ซึ่งเทคโนโลยีหลักๆที่ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยให้คนพิการทางการได้ยินสามารถสื่อสารทางโทรศัพท์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็มี





Captioned telephony- เป็นการสื่อสารแบบ 2 ช่องทางโดยใช้โปรแกรมทางคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการรับรู้และการแยกแยะเสียง (Speech Recognition) มาเป็นตัวแปลงสัญญาณเสียงเป็นตัวหนังสือเพื่อให้คนหูหนวกอ่านแทน

Video relay – เป็นการใช้เทคโนโลยีของกล้องวิดิโอขนาดเล็กหรือที่เรียกว่ากล้องเว็บแคมเป็นตัวกลางในการสื่อสาร โดยจะทำการจับภาพเคลื่อนไหวของผู้ใช้และผู้ใช้ก็สามารถสื่อสารกันโดยใช้ภาษามือ

Text relay- เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้คนพิการทางการได้ยินทำการพิมพ์ข้อความที่ต้องการสื่อสารลงไป จากนั้นจะมีพนักงานหรือ โอเปอเรเตอร์ เป็นคนอ่านข้อความนั้นส่งให้ปลายทางแทน






ซึ่งการเรียกร้องในครั้งนี้ เป็นการเรียกร้องเกี่ยวกับการนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยงานในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนพิการที่เป็นประโยชน์มาก







ที่มา //news.bbc.co.uk/1/hi/technology/7327245.stm















โดย



ธนัช





nonne@nutch

 

โดย: 204 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 14:23:40 น.  

 

ตํานานอัญมณีจากหลายอารยธรรม การ์เน็ทหินของคนเดือนมกราแน่ๆเหมือนแช่แป้ง//GARNET
โกเมนหรือการ์เน็ท Garnet
เป็นของคนเกิดเดือนมกราคมแน่ๆเหมือนแช่แป้ง


อัญมณีในตระกูลการ์เน็ทมีอยู่หลายสีค่ะที่รู้จักกันดีคือ ไพโร็บ
แอลมันดีน สเปสซาไทท์ กรอสซูไรท์ อันดราไลท์และอูวาโรไวท์
คําว่าการ์เน็ทมาจากภาษาลาตินแปลว่าเม็ดเล็กๆหมายถึงเม็ด
เล็กๆสีแดงของผลทับทิมซึ่งเหมือนกับลักษณะของการ์เน็ทที่อยู่
ในรูปของคริสตัลนั่นเอง
Garnet is Stone of Faith Constancy and Truth.
การ์เน็ทมีความหมายถึงความมั่นคงไม่เปลี่ยน แปลงหรือซื่อสัตย์
ในความเชื่อที่มีอยู่ อย่างเหนียวแน่นหรืออีกความหมายหนึ่งคือ
การ์เน็ทซึ่งมีสีแดงสดสว่างสวยงามและตัวของการ์เน็ทเองมีความ
แข็งแกร่งทนทานถึงระดับที่7.25ตามสเกลของโมห็จึงทนต่อการ
ต่อการขีดข่วนเป็นรอยอาจจะหมายถึงว่าการ์เน็ทจะทําให้ชีวิต
ของผู้เป็นเจ้าของเต็มได้วยความสุขสมหวังก็ได้ในสมัยโบราญเชื่อ
ว่าการ์เน็ทสามารถให้แสงสว่างในที่มืดได้ชาวเอเชียโบราณขณะ
เดินทางและชาวพื้นเมืองในทวีปอเมริกันทางทางตะวันตกเฉียงไต้
ใช้การ์เน็ทเป็นหัวกระสุน(น่าจะเป็นหัวธนูที่ทําด้วยหินการ์เน็ทมาก
กว่านะคะdogstarมีหัวธนูกับขวานหินอยู่ค่ะทําด้วยหินที่ออกสีเขียวคลํ้าๆ)
ทําอาวุธเพราะเชื่อว่าสีที่แดงเหมือนเลือดของการ์เน็ทจะทํา
ให้เกิดบาดแผลที่มีความเจ็บปวดทรมาณมากกว่าปกติ คนอียิปต์
จะใส่การ์เน็ทลงไปในหลุมศพคนตายค่ะเพื่อเป็นค่าผ่านทางเพื่อ
การเดินทางไปสู่โลกหน้าอย่างปลอดภัยสมัยกลางได้ใช้การ์เน็ททํา
เครื่องรางเพื่อป้องกันวิญญาณร้าย โจร ขโมยและคนที่ปองร้าย
ได้อีกด้วยบางคนนิยมใช้การ์เน็ทแกะเป็นรูปสิงห์โตเพื่อป้องกันภัย
เวลาเดินทางและกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยด้วยค่ะ
การ์ เน็ทเป็นอัญมณีประจําเดือนมกราคมนั่นหมายถึงว่าเด็ก
ที่เกิดในเดือนนี้มีโอกาสที่ดีๆหลายอย่างในชีวิตที่จะเข้ามาให้เลือก
จนไม่หวาดไม่ไหวค่ะมีความมั่นใจในตัวเองสูงเป็นคนเด่นมีความ
นับถือในตัวเองและยังให้ผลดีกับราศี Aries , Virgo and Leoอีกด้วย
การ์เน็ททําให้สุขภาพดี ร่างกายสมดุลย์มีความคิดสร้างสรร
เป็นหินที่ให้พลังงานได้อย่างรวดเร็วทั้งยังเพิ่มพลังงานให้กับหินที่
อยู่ข้างเคียงอีกด้วย นอกจากนั้นการ์เน็ทจะทําหน้าที่ได้ดีในทาง
กระตุ้นธุรกิจให้ดีขึ้นช่วยสร้างสรรอํานาจในองค์กร ป้องกันการวุ่น
วาย สับสนที่อาจจจะเกิดขึ้นได้ การ์เน็ทจะนําข่าวดีมาให้เสริมสร้าง
ความร่วมมือกันและเสริมบารมีกระตุ้นให้เกิดกําลังใจ ความมุ่งมั่น
ที่จะทําให้่กิดการกระตือรือร้นที่จะทําการให้สําเร็จให้ได้ช่วยปรับปรุง
ความมั่นใจในตัวเอง การติดต่อสื่อสารมีพลัง น่าเชื่อถือกระตุ้นการหมุนเวียน
ของโลหิต กระตุ้นหัวใจให้ทํางานให้ดีขึ้น กระตุ้น การทํา
งานของปอด และDNAป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบบริเวณ
ผิวหนัง ช่วยการรักษาโรคที่เกี่ยวกับสันหลัง ซ่อมแซมเนื้อเยื่อของ
หัวใจ ปอดและโลหิตและช่วยให้ร่างกายรับพวกเกลือแร่ต่างๆเช่น
ไอโอดิน แม็กนีเซียม คัลเซี่ยมและไวตามิน เอ ดี และ อี ได้ดี ใน
สมัยโบราณใช้เป็นเครื่องรางแลกเปลี่ยนกันระหว่างเพื่อนเพื่อเป็น
เครื่องหมายของความจริงใจความเป้นมิตรแท้และหวังว่าคงจะได้
พบกันอีกเชื่อกันว่าชาวอียิปต์ใช้การ์เน็ทใช้ป้องกันงูกัด อาหารเป็นพิษ
การ์เน็ทสีแดงเชื่อกันว่าช่วย กระตุ้นทางระบบการหมุนเวียน
ของโลหิต เพิ่มพลังขับดันทางเพศให้มีมากขึ้น จิตใจแจ่มใส สดชื่น
ควบคุมอารมณ์โกรธได้เป็นหินสําหรับคนรักสุขภาพเพราะว่าจะ
ช่วยขับไล่พลังงานที่อ่อนแอและไม่ดีต่อร่างกายออกไปและเป็น
หินแห่งคํามั่นสัญญาว่าจะมุ่งมั่นที่จะทําให้ความตั้งใจและคํามั่น
สัญญาที่ให้ไว้ต่อตัวเองและต่อผู้อื่นให้สําเร็จลุล่วงไปได้เป็นหิน
แห่งความรักความอบอุ่นและทุ่มเทความเข้าใจต่อผู้อื่นค่ะไม่ลังเล
ที่จะแสดงความรู้สึกให้ผู้อื่นได้รับรู้
อัญมณีในตระกูลการ์เน็ทมีอยู่หลายสีค่ะชื่อของมันมาจาก
ภาษาลาตินแปลว่าเม็ดเล็กๆหรือgranatusหมายถึงเม็ดเล็กๆ
สีแดงเหมือนผลทับทิมซึ่งเหมือนกับลักษณะของการ์เน็ทที่อยู่ใน
รูปของคริสตัลเล็กเกาะกลุ่มกันอยู่เนื่องจากการ์เน็ทเป็นหินที่มี
ความแข็งและทนทานต่อการขีดข่วนได้ดีค่ะจึงนิยมใช้ทําเครื่อง
ประดับยกเว้นโกเมนที่อยู่ในตระกูลเดอร์มันตอยด์ ค่ะเพราะมีเนื้อ
อ่อนขีดข่วนง่ายยากต่อการรักษาเรามารู้จักการ์เน็ทกันนะคะ
ไพโร็บการ์เน็ท Pyrope Garnet มีสีแดงเข้มเหมือนเลือด
เพราะว่ามีส่วนผสมของเหล็กและโครเมี่ยมจึงเป็นที่นิยมมากใน
ศตวรรษที่18-19โดยเฉพาะโบฮีเมียนการ์เน็ท(โบฮีเมียคือชื่อ
เมืองอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐเชคมีชื่อมากทางด้านแฟชั่นศิลปะทุกแขนง)
ชอบเอาไปทําเครื่องรางเพื่อนําโชคดีมาสู่ผู้สวมใส่ค่ะ
ชื่อไพโร๊บมาจากภาษากรีกแปลว่าไฟหรือดวงตาลุกแดงเป็นแสง
ไฟนิยมกันมากเพราะเชื่อว่าเป็นหินแห่งความมุ่งมั่นช่วยให้จิตใจ
เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวไม่ย่อท้อ ไพโรปการ์เน็ทนํ้าดีมากๆจะเหมือน
ทับทิมเลยค่ะอาจจะทําให้เกิดการสับสนเอาได้ง่ายๆ
สเปซาทีน การ์เน็ท Spessatine Garnet มีสีส้มอมแดง
หรือสีส้มเป็นการ์เน็ทที่ไม่ธรรมดาถ้าเป็นลักษณะดิบจะมีสีส้มถ้า
นําสารที่มีแร่เหล็กผสมอยู่จะทําให้เกิดสีส้มเข้มจนเกือบแดงลักษณะ
ภายในจะมีรอยเล็กๆซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติคล้ายกับชายขอบ
ระย้าของลูกไม้ที่ใช้ประดับเสื้อผ้าค่ะ หรืออาจเหมือนรอยขนนก
ได้ชื่อชื่อว่าสเปซาทีน มาจากชื่อเมืองสเปซารท์ในแคว้นบาวาเรีย
ประเทศเยอรมันซึ่งเป็นแหล่งที่พบค่ะ
อัลมันดีน การ์เน็ท สีแดงเข้มเกือบดําอาจจะพบสีชมพูได้
เหมือนกันในพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์กล่าวว่าโนอาห์ได้ใช้
การ์เน็ทชนิดนี้ทําเป็นตะเกียงเป็นเพื่อส่องนําทางในเวลากลางคืน
(พระเจ้าได้ลงโทษมนุษย์ที่ทําความชั่ว มัวเมาในอบายมุขต่างๆ
พระองค์ได้เลือกโนอาห์และครอบครัวและทรงแนะนําให้โนอาห์
ต่อเรือเรือลําใหญ่มากและเลือกสัตว์ทุกชนิดอย่างละคู่ไว้บนเรือ
เมื่อโนอาห์สร้างเรือเสร็จแล้วพระเจ้าได้บันดาลให้ฝนตกหนัก
จนนํ้าท่วมโลกคนตายทั้งหมดเหลือแต่โนอาห์และครอบครัวเท่า
นั้น ที่รอดชีวิตเมื่อท้องฟ้ามืดมิดโนอาห์ได้ใช้ตะเกียงดวงนี้ค่ะ)
อัลมันดีนการ์เน็ทนิยมใช้เป็นอัญมณีเพื่อปลอบใจ ทําให้จิตใจ
อบอุ่นฟื้นตัวจากความโศกเศร้า ชื่ออัลมันดีนมาจากชื่อเมือง
อัลลาบันดา (Alabanda City)
อูวาโรไวท์ การ์เน็ท ได้ชื่อมาจากขุนนางชาวรัสเซีย ชื่อว่า
เคานท์เซอร์เกย์ อูวารอฟ มีลักษณะสีเขียวสว่างสดใสเหมือนสีของ
มรกตเพราะว่ามีโครเมี่ยมผสมอยู่ อูวาโรไวท์คุณภาพดีจะมาจาก
เทือกเขาอูราล ประเทศรัสเซีย
เฮสโซไนท์หรือ กรอสซูลาร์การ์เน็ท มีหลายสีเช่นส้มอม
นํ้าตาลสีดํา ส้มอมแดง สีเขียวกูสเบอรี่ (กรอสซูลาร์เป็นชื่อทางพฤกษศาสตร์
ของลูกกูสเบอรี่ R. grossularia มีสีเขียวเหมือนกันและรสเปรี้ยว)
นิยมทําเป็นรูปหลังเบี้ย
อันดราไดท์ เป็นการ์เน็ทที่มีสีดําซึ่งไม่น่าสนใจมากนักใน
วงการค้าอัญมณีแต่มีอันดราไดท์บางชนิดที่เป็นสีเขียวจะเรียกว่า
เดอร์มันตอยด์Dermantoid ซึ่งมีเนื้ออ่อนกว่าสีเขียวสวยสว่าง
แต่หาได้ยากมากและมีขนาดเล็ก
โรห์โดไลท์ เป็นการ์เน็ทชนิดพิเศษที่มีการผสมกันของ
อัลมันดีนการ์เน็ทกับไพโร๊บการ์ เน็ทในอัตราส่วนเกือบครึ่งต่อครึ่ง
มีสีแดงอมม่วงมีการเปล่งประกายใสสว่างเป็นที่นิยมมาก
ในบรรดาการ์เน็ทสีแดงทั้งหลาย


 

โดย: 205 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 14:33:58 น.  

 

ภาพถ่ายปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากดาวเทียม
โพสต์เมื่อ: 11:41 วันที่ 19 มี.ค. 2551 ชมแล้ว: 8,759 ตอบแล้ว: 1
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี > vEnergy
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี > เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี > เทคโนโลยีวัสดุ
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี > เทคโนโลยีอิเลคทรอนิกส์

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายจากดาวเทียม ที่แสดงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่มนุษย์เป็นตัวการหลักในการปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ



ในแต่ละปี คาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณกว่า 30,000 ล้านตันถูกปล่อยขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศ โดยฝีมือของมนุษย์จากการเผาผลาญเชื้อเพลิงจากฟอสซิลเป็นหลัก



คณะกรรมาการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศแห่งสหประชาชาติ หรือ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) แถลงว่า ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีนั้น ก็ทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนตามไปด้วย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำแข็งละลายเร็วขึ้น เรียกว่า สภาพภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันและรุนแรง (extreme weather conditions)



ดร. Michael Buchwitz จาก University of Bremen ประเทศเยอรมนี และทีมงานได้ตรวจวัดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์ โดยการประมวลและวิเคราะห์ผลจากข้อมูลระหว่างปี 2003 -2005 ภาพถ่ายจากดาวเทียมด้านสิ่งแวดล้อม Envisat (environmental satellite) ที่ถูกปล่อยสู่วงโคจรในวันที่ 1 มีนาคม 2002 โดยมี SCIAMACHY (SCanning Imaging Absorption spectroMeter for Atmospheric CartograpHY) เป็นหน่วยงานที่ดูแล



โดยภูมิภาคที่ทีมงานได้ศึกษาคือ จากกรุงอัมสเตอดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ถึงกรุงแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มีประชากรและอุตสาหกรรมหนาแน่น



ปริมาณก๊าซมาจากกิจกรรมต่างๆของธรรมชาติ (การเน่าเปื่อยผุพังของอินทรียวัตถุในธรรมชาติในน้ำและบนบก โดยจุลินทรีย์ การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ในเวลากลางคืน การหายใจของสัตว์ ไฟป่า ภูเขาไฟ มหาสมุทร การย่อยสลายของดิน หิน ฯลฯ) และจากการกระทำมนุษย์ เช่นเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อการอุตสาหกรรมและเพื่อขับเคลื่อนยานพาหนะ



การไหลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากธรรมชาตินั้นมีมากกว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง ซึ่งทำให้การจับตาดูเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากมนุษย์นั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ธรรมชาติเป็นทั้งผู้ผลิตและเป็นทั้งผู้ทำลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่มนุษย์เรากลับเป็นผู้ผลิตก๊าซมลภาวะเพียงอย่างเดียว ไม่ได้กำจัดออกไปด้วย



ในขณะนี้ ทีมงานสามารถที่จะตรวจจับปริมาณก๊าซในระดับต่างๆภายในภูมิภาคได้ แสดงให้เห็นว่าเครื่องวัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของ SCIAMACHY นั้นมีคุณภาพอยู่ในระดับสูง แต่ก่อนที่จะสรุปรวบยอด ยังคงต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์ในรายละเอียดต่อไป



อย่างไรก็ดี เมื่อปีที่แล้วผู้นำสหภาพยุโรฟก็ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเด็นโลกร้อนและหวังจะลดปริมาณก๊าซลง 20% จากระดับก๊าซที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศในปี 1990 ภายในปี 2020










ภาพถ่ายดาวเทียมของ SCIAMACHY ระหว่างปี 2003 -2005 โดยใช้สีเป็นตัวชี้วัดจำนวนโมเลกุลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อปริมาณออกซิเจน (O2) 1 ล้านโมเลกุล



อ้างอิง
SCIAMACHY."SCIAMACHY".Available from: //www.sciamachy.org March 19, 2008.

Science Daily. “Satellite Makes First Ever Observation Of Regionally Elevated Carbon Dioxide From Manmade Emissions”. Available from: //www.sciencedaily.com/releases/2008/03/080318110330.htm March 19, 2008.




นิภาภรณ์ สีถาการ
ร่วมแบ่งปันความรู้และความเห็นแล้ว 43 ครั้ง - ได้รับดาวแล้ว 145 ดวง - โหวตเพิ่มดาว

 

โดย: 206 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 14:49:02 น.  

 

//www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?pid=128993
Search Engine ช่วยค้น คำบรรยาย (lecture)
โพสต์เมื่อ: 08:13 วันที่ 21 พ.ย. 2550 ชมแล้ว: 214,567 ตอบแล้ว: 1
วิชาการ.คอม > วิทยาศาสตร์
วิชาการ.คอม > วิทยาศาสตร์ > คอมพิวเตอร์
วิชาการ.คอม > วิทยาศาสตร์ > คอมพิวเตอร์ > เขียนโปรแกรม
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี > เทคโนโลยีสารสนเทศ

นักวิจัยจากสถาบัน MIT คิดค้น Search Engine แบบใหม่ ที่สามารถช่วยให้การทบทวนตำราและการฟังการบรรยายของอาจารย์น่าอภิรมย์มากขึ้น….ข่าวดี

แม้ว่าทางมหาวิทยาลัยจะได้บันทึกเสียง (และภาพ) ของการบรรยายของอาจารย์ ไว้ให้นักศึกษาได้ดาวน์โหลด (คิดว่ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีบริการ pod cast นี้ให้ ถ้าไม่มีก็คงต้องเอาแถบบันทึกเสียงไปขออนุญาตผู้บรรยายบันทึกเสียงเอาเองค่ะ) มาฟังให้ชุ่มฉ่ำหัวใจก่อนวันสอบ แต่เมื่อสิ่งที่เราไม่เข้าใจมีเพียงเรื่องหรือหัวข้อหนึ่ง (ซึ่งคำอธิบายที่เราอยากฟังซ้ำเพียงประมาณ 10 – 15 นาที) ซึ่งอยู่ในคาบที่มีความยาว 90 -120 นาที เราคงมีเวลาไม่พอที่จะมานั่งเปิดฟัง pod cast (หรือดู VDO การบรรยาย) ทั้งหมด เพราะจะถึงนาทีเข้าห้องสอบเราก็คงยังดาวน์โหลดมาดูหรือฟังได้ไม่หมด

Search Engine แบบใหม่ที่ว่านี้เรียกว่า lecture search engine ค่ะ พัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสส (Massachusetts Institute of Technology หรือ (MIT)) นำโดยโปรเฟสเซอร์ Regina Barzilay และผู้อำนวยการสำนักวิจัย โปรเฟสเซอร์ James Glass

แนวคิดการพัฒนานี้อาศัย web-based technology เป็นตัวช่วยค่ะ ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาหัวเรื่องสำคัญ จากเทปบันทึกการบรรยาย อาศัยเทคโนโลยีการจับคำพูดและภาษา (speech and language technology) ซึ่งจะช่วยให้ผู้บรรยายได้จัดวางโครงสร้างเนื้อหาลงไปในการบันทึกวีดิทัศน์ที่ถ่ายทำขณะที่ทำการบรรยาย

เทปบันทึกการบรรยายของสถาบัน MIT ที่เปิดให้นักศึกษาได้ดาวน์โหลดนั้นมีมากกว่า 200 ชุด (ที่ //web.sls.csail.mit.edu/lectures/.) เรียก OpenCourseWare (OCW) ที่เปิดให้นักศึกษา โดยเฉพาะนักศึกษานานาชาติได้เข้าไปทบทวนเนื้อหาการเรียนการสอน

คณาจารย์จากสถาบัน MIT ส่วนใหญ่จะบันทึกคำบรรยาย และโพสเทปเหล่านั้นออนไลน์เพื่อให้นักศึกษาได้ดาวน์โหลดเพื่อกลับมาทบทวน แต่ปัญหาก็มีอยู่ที่ว่าหากต้องการจะฟังหรือดูในหัวข้อเฉพาะ (specific topics) หรือเรื่องที่เจาะจงเป็นพิเศษ ก็แทบจะเป็นไป ไม่ได้ เพราะในไฟล์เสียงหรือไฟล์วิดิทัศน์เราจะกวาดสายตา (scan)หาหัวข้อเหมือนที่เราทำในกระดาษก็ไม่ได้ ก็เลยต้องมานั่งดูหรือฟังทั้งหมด


บทบรรยายของผู้สอนจะถูกสร้างขึ้นโดยโปรแกรมเข้ารหัสคำพูด (speech recognition software) สิ่งที่ท้าทายมากประการหนึ่งก็คือ จะมีคำศัพท์เฉพาะ (technical term) มากมายซึ่งอาจจะยังไม่ได้บัญญัติในโปรแกรม ดังนั้น นักพัฒนาจึงได้นำเอาตำรา (textbooks) โน๊ตการสอน (lecture notes) และบทคัดย่อ (abstracts) เพื่อนำมาสร้างคำสำคัญ แล้วป้อนเข้าไปในโปรแกรม

เมื่อทำการทดลอง พบว่าโปรแกรมจับคำพูดนั้น สามารถจับคำพูดของผู้บรรยายได้มีความถูกต้อง 4 ใน 5 คำ แต่คำผิดที่พบก็เป็นคำไม่สำคัญ หรือไม่ใช่ keyword ที่ผู้ใช้จะนำมาสืบค้น (ในทางบรรณารักษ์ คำที่ไม่ใช่คำสำคัญเหล่านี้อาจเรียกว่า error word เช่น คำ for, a, or, the, and, an, with, etc.)

เมื่อผู้บรรยายจบการบรรยาย โปรแกรมจับคำพูดก็สร้างเร็คคอร์ดเสร็จ แล้วก็แบ่งคำบรรยายเหล่านั้นออกเป็นส่วนๆ ตามหัวข้อ ส่วนละ 100 คำโดยประมาณจากสูตรคำนวณเปรียบเทียบคำที่เสียงซ้อนทับกันภายในโปรแกรม คำที่ถูกเข้ารหัสจะมีการให้น้ำหนัก คือ คำที่ผู้บรรยายพูดซ้ำบ่อยๆก็จะมีน้ำหนักมาก และมีความสำคัญมาก และกลุ่มที่มีคำใกล้เคียงกันก็จะถูกจัดเป็นส่วนๆ (section) อีกด้วย

จากเว็บไซต์ทดลอง (Prototype web site) ที่ทั้งคู่ได้พัฒนาขึ้น ผู้ใช้สามารถค้นหาโดยป้อนคำค้นที่ต้องการลงไป แล้วค้นหา ก็จะได้ไฟล์ส่วนที่เกี่ยวข้องขึ้นมาเพื่อทดลองเปิดฟังดู โดยโปรแกรมก็จะนำผลการสืบค้นขึ้นมาแสดงตามน้ำหนัก (หรือความเกี่ยวข้อง) ของคำค้น (keyword)

ในอนาคต นักพัฒนาทั้งคู่หวังว่า จะสามารถพัฒนาให้โปรแกรมสามารถทำการสรุปย่อการบรรยายได้ หรือแม้กระทั่งอาจจะให้ผู้ใช้เป็นผู้ที่สามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขข้อผิดพลาดของสคริพท์หรือใส่บันทึกท้ายบทเพิ่มได้ด้วยตนเอง

อ้างอิง
Anne Trafton. “MIT develops lecture search engine to aid students”.
Accessed from: //web.mit.edu/newsoffice/2007/lectures-tt1107.html

Dated Nov 20, 2007.

NSF.” Researchers Develop Lecture Search Engine to Aid Students”.
Accessed from: //www.nsf.gov/news/news_summ.jsp?cntn_id=110699&org=NSF&from=newsField Dated Nov 20, 2007.




นิภาภรณ์ สีถาการ

 

โดย: 207 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 14:53:21 น.  

 

ยาลดความอ้วนที่ทำให้อิ่ม "ตามธรรมชาติ"
โพสต์เมื่อ: 23:43 วันที่ 7 มิ.ย. 2550 ชมแล้ว: 213,643 ตอบแล้ว: 6
วิชาการ.คอม > สุขภาพ
วิชาการ.คอม > วิทยาศาสตร์ > ชีววิทยา
วิชาการ.คอม > เทคโนโลยี > เทคโนโลยีชีวภาพ
วิชาการ.คอม > สุขภาพ > สุขภาพทั่วไป
วิชาการ.คอม > สุขภาพ > อาหารการกิน

แม้ทั่วโลกจะมีคนเป็นล้านที่มีปัญหาเรื่องความอ้วน แต่ก็ยังไม่มี“ยาวิเศษ”ตัวใดที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นทางออกที่ดี อย่างไรก็ตาม นักวิจัยหนุ่มจากมหาวิทยาลัย Hebrew University of Jerusalem ได้หาวิธีลดความอ้วนที่สามารถนำมาใช้ได้จริง และทำให้คนที่กำลังลดความอ้วนไม่ต้องเผชิญกับความหิวอีกต่อไป

ซึ่งจากการพัฒนาครั้งนี้ ทำให้นาย Yaniv Linde (ในรูปด้านล่าง) นักศึกษาปริญญาเอกภายใต้การดูแลของ ศ. Chaim Gilon แห่งภาควิชาเคมีอินทรีย์ ของมหาวิทยาลัย Hebrew ได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่น Kaye Innovation Awards ในวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา

Linde กับเพื่อนร่วมวิจัยได้พัฒนาสารตัวนึงขึ้นมา โดยสารนี้สามารถเลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน aMSH ที่มีอยู่ในร่างกายเรา ฮอร์โมน aMSH จะถูกหลั่งออกมาในช่วงที่เรารับประทานอาหาร และจะไปจับกับตัวรับสัญญาณในสมองที่ชื่อว่า MC4R พอการจับตัวระหว่างฮอร์โมนกับตัวรับที่สมองมากถึงระดับหนึ่ง สมองจะส่งสัญญาณไปบอกร่างกายให้เรารู้สึก “อิ่ม!”

นักวิจัยหนุ่มสาวเหล่านี้ได้พัฒนาวิธีการแปลกใหม่ในการสังเคราะห์เปปไทด์ (เปปไทด์ หรือ peptide คือสารที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนมากกว่าหนึ่งโมเลกุลขึ้นไป) ให้มาเป็นตัวตายตัวแทนของฮอร์โมน aMSH ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายเรา นักวิจัยเหล่านี้ได้สาธิตให้เห็นว่า เปปไทด์ BL-3020 ที่พวกเขาได้สังเคราะห์ขึ้นมานั้น เมื่อถูกทานเข้าไปแล้ว สามารถทนทานต่อน้ำย่อยในระบบย่อยอาหาร และสามารถถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ พอเข้าไปในกระแสเลือด เปปไทด์ตัวนี้จะวิ่งไปหาตัวรับ MC4R เพื่อให้สมองส่งสัญญาณให้เรารู้สึก “อิ่ม!”

ผลที่ได้ก็คือ ใครก็ตามที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ก็สามารถทานยาตัวนี้เพื่อที่จะบรรเทาความหิวได้ แม้กินน้อยก็รู้สึกอิ่ม ทำให้น้ำหนักลดลงตามธรรมชาติ ในการทดลองกับหนู โดยให้หนูกิน BL-3020 เข้าไปขนานหนึ่ง พบว่าหนูกินอาหารน้อยลงกว่าปกติในช่วง 24 ชม.ต่อมา และในการทดลองต่อมา ให้หนูกินยาตัวนี้ทุกวัน เป็นเวลา 12 วันติดต่อกัน พบว่าหนูที่ได้รับยาตัวนี้มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าหนูทั่วไปที่มีอายุและขนาดเท่ากัน แต่ไม่ได้รับยาตัวนี้ ถึง 40%

เปปไทด์ตัวนี้ได้รับการจดสิทธิบัตรทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ และสิทธิการพัฒนาตัวเปปไทด์ให้เป็นยาลดความอ้วนก็ได้ถูกซื้อไปแล้ว โดยบริษัท Bioline RX Ltd. of Jerusalem

รางวัลนวัตกรรมดีเด่น Kaye Innovation Awards ของมหาวิทยาลัย Hebrew มีมาตั้งแต่ปี 1994 ริ่เริ่มขึ้นโดยนาย Isaac Kaye นักอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ชาวอังกฤษ โดยมีจุดประสงค์ที่จะสนับสนุนการค้นคว้าสิ่งใหม่ๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและมหาวิทยาลัย

แหล่งข่าว: //www.sciencedaily.com/releases/2007/06/070606113405.htm

ที่มา: Hebrew University of Jerusalem
ข่าววันที่: 6 มิถุนายน 2550




นวัต

 

โดย: 208 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 15:00:05 น.  

 

รักษาเอดส์แนวใหม่โดยใช้ตัวตรวจจับหรือโพรบระดับโมเลกุล (molecular probe)
สแตนฟอร์ด 10 ก.ย.- นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐใช้โพรบระดับโมเลกุล ซึ่งมีคุณสมบัติเรืองแสงเมื่อจับกับเซลล์มะเร็งในสิ่งมีชีวิต
ตัวตรวจจับหรือโพรบ ( probe) ที่กล่าวถึงนี้ในทางพันธุวิศวกรรมหมายถึงโมเลกุล DNA หรือ RNA ที่ติดฉลากสารเรืองแสง ใช้เพื่อตรวจหาลำดับเบสที่เข้าคู่กัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเซลล์มะเร็งมีลำเบส CTCT ก็ต้องออกแบบโพรบให้มีลำดับเบสที่เข้าคู่กันเป็น GAGA เมื่อโพรบจับกับยีนมะเร็ง (หรือยีนอะไรก็ได้ที่สนใจ) จะมีกลไกให้สารฟลูออเรสเซนต์ที่ติดฉลากอยู่เรืองแสงให้เห็น
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Stanford University School of Medicine เค้าได้พัฒนาวิธีการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งรวมถึงโรคอื่นๆ ครับ
โพรบที่สร้างขึ้นในกรณีนี้ คือ โมเลกุลที่จับกับโปรตีเอส ซึ่งทำงานตลอดเวลา (protease คือเอนไซม์ย่อยโปรตีนครับ) พบอยู่ทั่วไปในเซลล์มะเร็ง โดยปกติแล้วโมเลกุลนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่ที่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากสารฟลูออเรสเซนต์ที่ติดฉลากบนโพรบจะเรืองแสงเมื่อตัวโพรบจับกับเป้าหมาย
สารฟลูออเรสเซนต์ที่ติดฉลากอยู่จะปล่อยแสง near-infrared คือช่วงคลื่นของแสง ที่อยู่เกินกว่าคลื่นแสงที่คนเราสามารถมองเห็นได้ มีค่าความยาวคลื่นระหว่าง 700 ถึง 1,300 นาโนเมตร ซึ่งสามารถทะลุผ่านผิวหนังและเห็นได้โดยกล้องชนิดพิเศษครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Galia Blum กล่าวว่า “ปัจจุบันการตรวจหามะเร็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเต้านมมักกระทำโดยการตรวจแมมโมแกรมด้วยวิธีเอ็กซเรย์ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งยิ่งขึ้น” โดยเธอได้กล่าวเสริมว่าวิธีการใช้โพรบนี้น่าจะมีผลเสียน้อยที่สุดในการตรวจผู้ป่วยระยะเริ่มแรก
ท่านผู้อ่านสามารถเปิดดูรายละเอียดได้ที่วารสาร Nature Chemical Biology ครับ
ที่มา //www.cqs.com/cancertherapy.htm
//www.sciencedaily.com/upi/index.php?feed=Science&article=UPI-1-20070910-11081600-bc-us-probe.xml


gik_ravicha
ร่วมแบ่งปันความรู้และความเห็นแล้ว 10 ครั้ง - ได้รับดาวแล้ว 141 ดวง - โหวตเพิ่มดาว

 

โดย: 209 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 15:07:04 น.  

 

จำนวนคนอ่านล่าสุด 1663 คน วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6345 ข่าวสดรายวัน


ย้ายนายพลตร.เมษา-ล้างบาง 7 ผบช.หลัก

5 บิ๊กภูธรบช.ก.-ส. ผู้การดังๆปรับใหญ่



เปิดโผนายพลสีกากียุค "พัชรวาท" ล้างบางบิ๊กตร.สาย "เสรี" หมักนัดถกก.ตร. 17 เม.ย.นี้ รับทราบเรื่องรับ "เพรียวพันธ์-ชลอ" กลับตร. เปิดโผ "จงรัก" ขึ้นเป็นรองผบ.ตร.แทนตำแหน่งเดิมพัชรวาท "บุญเรือง" ขยับขึ้นผู้ช่วยผบ.ตร. เด้งรูด "ผบช.ภาค 1-2-4-5-6- ผบช.ส.-ผบช.ก." แล้วตั้ง "ฉลอง สนใจ" คุมภาค 1 "ธีรยุทธ กิติวัฒน์" นั่งภาค 2 "ถาวร จันทร์ยิ้ม" คุมภาค 4 "สถาพร ดวงแก้ว" คุมภาค 5 "ธนู ชัยนุกูลศิลา" คุมภาค 6 "สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง" เป็นผบช.ก. "ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง" คุมสันติบาล ระดับผู้การมีชื่อ "ปราโมทย์ ปทุมวงศ์" โยกกลับนครบาล เป็นผบก.น.9 "ไพศาล เชื้อรอด" ผบก.น.7 "วิทยา รัตนวิชช์" ผบก.น.6 "วิมล เปาอินทร์" ผบก.น.4

เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช. มีมติให้พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาราชการแทนผบ.ตร. ขึ้นเป็นผบ.ตร.เรียบร้อยแล้ว รอเพียงขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ เท่านั้น นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและพล.ต.อ.พัชรวาทได้เริ่มทำโผแต่งตั้งโยกย้ายนายพลทันที โดยคาดว่าจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ในวันที่ 17 เม.ย.นี้ โดยจะมีการแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ กลับเป็นรองผบ.ตร.ฝ่ายบริหาร พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ กลับเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.ฝ่ายบริหาร และแต่งตั้งพล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นรองผบ.ตร.แทนตำแหน่งเดิมของพล.ต.อ.พัชรวาท พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ ผบช.ประจำตร. ที่โดนย้ายในยุคพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จะได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.แทนพล.ต.ท.จงรัก

ในระดับผู้บัญชาการนั้น คาดว่าจะมีการล้างบางตำรวจสายพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์หลายนาย พล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ ผบช.ส. อาจโดนย้ายเข้ากรุ เป็นจตร.(สบ 8) พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง ผบช.ภาค 1 ย้ายไปเป็นผบช.ประจำตร. พล.ต.ท.บุญชอบ คงน้อย ผบช.ภาค 4 เป็นผบช. ประจำตร. พล.ต.ท.เจตนากร นภีตะภัฏ ผบช.ภาค 2 ย้ายไปเป็นจตร.(สบ 8) พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ ชูกิจคุณ ผบช.ภาค 5 เป็นจตร.(สบ 8) พล.ต.ท. วสันต์ วัสสานนท์ ผบช.ภาค 6 เป็นผบช.ศ. พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.ก. เป็นจตร.(สบ 8) พล.ต.ต.จุติ ธรรมมโนวาณิช รองผบช.น. พล.ต.ต. ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองผบช.ส. เป็นผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.ธีระศักดิ์ กลิ่นพงษา รองผบช. ภาค 4 เป็นรองผบช.ประจำตร.

ขณะที่พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง จตร. (สบ 8) จะได้เป็นผบช.ส. พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ประจำตร. เป็นผบช.ภาค 1 พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผบช.ประจำตร. เป็นผบช.ภาค 4 พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์ จตร.(สบ 8) เป็นผบช.ภาค 2 พล.ต.ท.ธนู ชัยนุกูลศิลา จตร.(สบ 8) เป็นผบช.ภาค 6 พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผบช.ศ. เป็นผบช.ภาค 5 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง จตร.(สบ 8) เป็นผบช.ก. พล.ต.ต.จำนง แก้วศิริ รองผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. เป็นรองผบช.ก. พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รองผบช.ก. เป็นรองผบช.น. พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.สบส. ขึ้นเป็นรองผบช.ศ. พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รองผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. เป็นรองผบช.น.

ในระดับผบก.มีโยกย้ายหลายตำแหน่ง พล.ต.ต. วิศณุ ม่วงแพรสี ผบก.จร. คนสนิทพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ คาดว่าจะโดนย้ายไปเป็นผบก.ประจำสง. ผบ.ตร. พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผบก.เชียง ราย เป็นผบก.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ผบก.ตม.ทอช. เป็นผบก.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.อลงกรณ์ หทัยยุทธ ผบก.สระบุรี เป็น ผบก.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.พศิน นกสกุล ผบก.ทล. เป็นผบก.กระบี่ พล.ต.ต.สมบัติ ศุภชีวะ ผบก.อก.ส. เป็นผบก.ประจำจต. พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร ผบก.ขอนแก่น เป็นผบก.กต.5 จต. พล.ต.ต.อภิชาติ เชื้อเทศ ผบก.น.6 เป็นผบก.ชุมพร

พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ มีเพียร ผบก.น.9 เป็นผบก. จร. พล.ต.ต.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบก.ประจำ จต. เป็นผบก.สมุทรสาคร พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร ผบก.ปค.รร.นรต. เป็นผบก.กาญจนบุรี พล.ต.ต. ปราโมทย์ ปทุมวงศ์ ผบก.ฉะเชิงเทรา ได้กลับนครบาล เป็นผบก.น.9 พล.ต.ต.ไพศาล เชื้อรอด ผบก.ท. เป็นผบก.น.7 พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.7 เป็นผบก.น.6 พล.ต.ต.พิสัณห์ อาวีกร วรเทพนิตินันท์ ผบก.กาฬสินธุ์ เป็นผบก.ขอนแก่น

พล.ต.ต.จรัญ ชิตะปัญญา ผบก.ประจำตร. เป็นผบก.อำนาจเจริญ พล.ต.ต.สุพรรณ ประเสริฐสม ผบก.อำนาจเจริญ เป็นผบก.ร้อยเอ็ด พล.ต.ต. เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ผบก.มุกดาหาร เป็นผบก. อุดรธานี พล.ต.ต.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ผบก. ประจำสง.ผบ.ตร. เป็นผบก.เชียงราย พล.ต.ต.พงศ์เดชน์ ไชยประวัจน์ ผบก.ประจำสง.ผบ.ตร. เป็น ผบก.ตม.ทอช. พล.ต.ต.สมพิศ ชนะมี ผบก.อก. ภาค 3 เป็นผบก.อุบลราชธานี พล.ต.ต.ประสิทธิ์ ทำดี ผบก.นครพนม เป็นผบก.บุรีรัมย์

พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร ผบก.สบพ. เป็นผบก.ทท. พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ ผบก.ปดส. เป็นผบก.น.4 พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบก.สส. เป็นผบก.ปทส. พล.ต.ต.วีระพงษ์ ชื่น ภักดี ผบก.นครนายก เป็นผบก.สระบุรี พล.ต.ต. อรรถกิจ กรณ์ทอง ผบก.น่าน เป็นผบก.ลำพูน พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา ผบก.ลำพูน เป็นผบก. เชียงใหม่ พล.ต.ต.เดชา บุตรน้ำเพชร ผบก.ภูเก็ต เป็นผบก.อก.ภาค 8 พล.ต.ต.สุดใจ ญาณรัตน์ ผบก.อก.ภาค 8 เป็นผบก.ระนอง พล.ต.ต.อภิรักษ์ หงษ์ทอง ผบก.ระนอง เป็นผบก.ภูเก็ต พ.ต.อ.ชัย วัฒน์ เกตุวรชัย รองผบก.ป.ได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้การในสันติบาล

หน้า 16



 

โดย: 210 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 15:44:17 น.  

 

ข่าวหน้า 1
'ป๊อก'ล้างบางผู้การกรมรบฯเด็กเก่าคมช.


13 เมษายน 2551 กองบรรณาธิการ

"อนุพงษ์" ล้างบาง ทหารรบพิเศษ 2 ผู้การกรมฯ ลูกน้องมือขวาพร้อมเป็นแกนนำปฏิวัติของ "บิ๊กบัง" เด้งโชว์สมัคร-แม้ว แถมยึดกำลังปฏิวัติ ส่งลูกน้องในกองทัพภาค 1-พล.1 รอ. คุมทหารปืนใหญ่จนถึงชายแดน


กาญจนบุรี ผู้การกรมฯ เชียงใหม่โดนหางเลข หลังส่งกำลังช่วยเฝ้าสำนักโหร คมช. ด้าน "พรชัย" เพื่อน ตท.10 โผล่รดน้ำดำหัว "ทักษิณ" เผยเคลียร์อดีตนายกฯ แล้ว จับตาเตรียมคัมแบ็ก

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนามในคำสั่ง ทบ.ที่ 118/2551 แต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษ หรือที่เรียกว่า ระดับผู้บังคับการกรม ซึ่งเป็นหน่วยคุมกำลังจำนวน 104 นาย แต่ที่ฮือฮาที่สุดคือ การสั่งเด้ง เสธ.ยอง พ.อ.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 (ผบ.รพศ.1) นายทหารมือขวาของ พล.อ.สนธิ พ้นการคุมกำลัง มาเป็นผู้อำนวยการกองยุทธการ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผอ.กยก.นสศ.)

สำหรับ พ.อ.ภูมิพัฒน์นั้น เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการมือหนึ่งของ พล.อ.สนธิ และ 1 หนึ่งใน 8 นายทหารที่ร่วมวางแผนในการยึดอำนาจ 19 ก.ย. 2549 ด้วย นอกจากนี้ พ.อ.ชัยชนะ นาคเกิด ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 3 (ผบ.รพศ.3) นายทหารมือหนึ่งของรบพิเศษ ก็ถูกย้ายระนาบ จากการคุมกำลัง ไปเป็นเสนาธิการกองพลรบพิเศษที่ 1 (เสธ.พล.รพศ.1)

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า พล.อ.อนุพงษ์ต้องการพิสูจน์ให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เห็นว่าตนเองไม่ใช่พวก คมช.อีกต่อไปแล้ว รวมทั้งเป็นการกระชับอำนาจในการคุมกำลังปฏิวัติในมือของ พล.อ.อนุพงษ์เองอย่างเบ็ดเสร็จ

หลังจากที่การโยกย้ายนายพลที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ได้เด้ง พล.ท.สุนัย สัมปัตตะวนิช ผบ.นสศ. นายทหารที่สนิทสนมกับ พล.อ.สนธิ เข้ากรุที่ปรึกษา ทบ.ไปแล้ว โดยให้ พล.ท.ภุชงค์ รัตนวรรณ เพื่อนสนิทเตรียมทหาร 10 มาเป็น ผบ.นสศ.คนใหม่แทน โดยที่ พล.ท.ภุชงค์นั้นก็เป็นที่รู้กันดีว่ามีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับ พล.อ.สนธิ จนถูกจับตามองตั้งแต่รับตำแหน่งเมื่อ 1 เม.ย.ที่ผ่านมาแล้ว ว่าจะมีการล้างบางนายทหารในสายของ พล.อ.สนธิ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดที่มีการเด้ง พ.อ.ภูมิพัฒน์ และ พ.อ.ชัยชนะ

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรบพิเศษอ้างว่าการย้าย พ.อ.ภูมิพัฒน์ เนื่องจากขึ้นมาเป็นผู้บังคับการกรมเร็วเกินไป ด้วยเพราะเป็นเตรียมทหารรุ่น 24 ส่วน พ.อ.ชัยชนะก็เป็นผู้บังคับการกรมมานานถึง 4 ปีแล้ว แต่ไม่สามารถย้ายขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษได้ เพราะมีนายทหารรุ่นพี่อยู่หลายคน

"พล.ท.ภุชงค์ต้องการจัดระเบียบในหน่วยรบพิเศษใหม่ ให้เป็นไปตามระบบอาวุโส เพราะโดยส่วนตัวแล้ว พล.ท.ภุชงค์ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกับ พ.อ.ภูมิพัฒน์ และยังสนิทกับ พ.อ.ชัยชนะด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยึดหลักการ" แหล่งข่าวระบุ

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า สำหรับนายทหารรุ่นพี่ที่มีความสามารถและเป็นที่ยอมรับของหน่วย ซึ่งเป็นเตรียมทหารรุ่น 18 ที่ขึ้นมาแทนคือ ให้ พ.อ.วินัย ฉ้งทับ เสนาธิการ พล.รพศ.1 มาเป็น ผบ.รพศ.1 แทน พ.อ.ภูมิพัฒน์ แล้วให้ พ.อ.อุดมศักดิ์ บัวพรหมมาตร์ ผอ.กองปฏิบัติการ พล.รพศ.1 มาเป็น ผบ.รพศ.3 แทน พ.อ.ชัยชนะ แต่ทั้ง พ.อ.วินัยและ พ.อ.อุดมศักดิ์ เป็นนายทหารรบพิเศษที่มีหลักการ และเป็นที่ไว้วางใจของ พล.ท.ภุชงค์

นอกจากนี้ ยังมีการย้ายสลับทหารรบพิเศษในหลายตำแหน่ง โดยย้ายนายทหารที่ได้ชื่อว่าสนิทสนมกับ พล.อ.สนธิ และ พล.ท.สุนัย ออกจากตำแหน่งสำคัญ เช่น ให้ พ.อ.ธนา วิทยวิโรจน์ มาเป็นรอง ผบ.ศูนย์สงครามพิเศษ (ศสพ.) แล้วให้ พ.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท นายทหารที่ พล.ท.ภุชงค์ไว้ใจเข้ามาเป็นรอง เสธ.นสศ.แทน

ในคำสั่งดังกล่าว พล.อ.อนุพงษ์ยังมีการโยกย้ายระดับผู้บังคับการกรมหลายหน่วย โดยมีการส่งเด็กในคาถาที่เติบโตในกองทัพภาค 1 และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) สยายออกไปคุมกำลัง เช่น การส่ง พ.อ.สิงห์ทอง หมีทอง จากนายทหารฝ่ายเสธ.หน้าห้อง ซึ่งเป็นลูกน้องที่โตมาใน พล.1 รอ. ไปเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 19 (ผบ.ร.19) จ.กาญจนบุรี ซึ่งก็เป็นหน่วยของ พล.ร.9 ที่มาร่วมปฏิวัติด้วย โดยเด้ง พ.อ.สู่ชัย บุญรัตน์ มาเป็น รอง ผบ.มทบ.13 จ.ลพบุรี แทน และตั้ง พ.อ.กฤษณ์ดนัย อิทธิมณฑล จาก ผอ.กองยุทธการ กองทัพภาคที่ 1 เป็นผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.ป.1 รอ.) คุมกำลังปฏิวัติในกรุงเทพฯ

นอกจากนั้นมีการย้ายในกองทัพภาค 3 เช่น การย้ายสลับ พ.อ.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ จากผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 4 (ผบ.ร.4) ไปเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 17 (ผบ.ร.17) แล้วให้ พ.อ.ผดุง ยิ่งไพบูลย์สุข มาเป็น ผบ.ร.4 แทน และตั้ง พ.อ.อุทัย ชัยชนะ เสนาธิการกองพลทหารราบที่ 4 (เสธ.พล.ร.4) เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 7 (ผบ.ร.7) พร้อมกันนั้นยังได้ย้ายระนาบ พ.อ.นพพร เรือนจันทร์ ผบ.ร. 7 ซึ่งเคยส่งทหารไปดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้ที่สำนักสุขิโต ของ อ.วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ไปเป็น เสธ.พล.ร.4

มีรายงานว่า ที่ จ.เชียงใหม่ บ้านพักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเปิดบ้านให้คนใกล้ชิดเข้ารดน้ำอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ปรากฏว่ามีเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 หลายคนมาร่วมรดน้ำดำหัวด้วย เช่น พล.อ.พรชัย กรานเลิศ และ พล.อ.อภิชัย ทรงศิลป์ โดย พล.อ.พรชัยปฏิเสธข่าวความขัดแย้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากเกิดเหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา

"ตอนท่านอยู่ต่างประเทศได้พูดคุยกับท่านตลอด และก็ไปพบท่าน อธิบายให้เข้าใจว่าผมดำรงตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. ซึ่งไม่ได้คุมกำลัง ท่านเข้าใจผม ไม่มีปัญหาอะไร" พล.อ.พรชัยกล่าว

มีรายงานข่าวว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณเคยแสดงความไม่พอใจ พล.อ.พรชัยกับเพื่อน ตท.10 เนื่องจาก พล.อ.พรชัยไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือเมื่อครั้งที่เกิดการยึดอำนาจและเมื่อครั้งที่ตกอับอยู่ต่างประเทศ ทั้งที่เขาสนับสนุนให้ พล.อ.พรชัยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. อย่างไรก็ตาม พล.อ.พรชัยได้เดินทางไปทำความเข้าใจกับ พ.ต.ท.ทักษิณที่ฮ่องกงและลอนดอนหลายครั้ง.

 

โดย: 211 IP: 118.174.75.128 13 เมษายน 2551 15:52:13 น.  

 

//www.oknation.net/blog/pakapoo/2008/04/13/entry-3

คลิก ฟังเพลง ดี ดี มีคุณค่า
@ เพลงครูบนดอย
@ รวมอัลบั้มเพลงจากภาพยนต์ THE SOUND OF MUSIC / สุดยอดอมตะ แห่งรางวัลออสก้าร์
@ เพลงแต่งโดย จิตร ภูมิศักดิ์
@ เพลง: รัตติกาล (เพ็ญศรี/สุเทพ) พร้อมภาพหาชมยาก
@ เพลง: เพื่อมวลชน
@ หากคิดถึง เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ต้องฟังเพลงนี้
@ เพลง: ทานตะวัน-ขับร้องหมู่
@แสงดาวแห่งศรัทธา/บรรเลง
@สู่เส้นชัย
@มหาวิทยาลัย
@พลังใจ /คิดถึง ตี้ กรรมาชน
@แสงดาวแห่งศรัทธา(ขับร้อง)
@เป้าหมายการศึกษา
@อยากให้ความรักแก่คนทั้งโลก
@บินหลา/กรรมาชน
@ เดือนหงายกลางป่า/รางวัลชมเชย เพชรในเพลงของกรมศิลปากร ปี พ.ศ.๒๕๔๙
แสงดาวแห่งศรัทธา ( ซิมโฟนี่ )เวอร์ชั่นเฉพาะกิจ
@ รวมเพลงของ.. อี๊ด ฟุตปาธ-เพลงที่แต่งจากชีวิตจริงจกลูกของเพื่อน
_ ** /\\** _ เสียงจากคีตาญชลี / เพลงเพื่อชีวิตจากลุ่มน้ำเพชรบุรี
@รวม 5 เพลง จากแดนพม่า
_/*|_จากคำสอนของท่านพุทธทาส - ร้อยเรียงเป็นบทเพลงแห่งธรรมะ

วันอาทิตย์ ที่ 13 เมษายน 2551
_|**\\/**|_ รวมลิ้งค์_เพลงของ จารุกนก นะ อย่า..เข้าใจผิด คิดว่า..เป็นเพลงของ สุนทราภรณ์
Posted by ป้าไม่อยู่ปู่เข้าเวบ , ผู้อ่าน : 3 , 19:17:49 น.
พิมพ์หน้านี้

วังบัวบาน


//www.oknation.net/blog/pakapoo/2008/04/09/entry-1

wowohwow9@hotmail.com

 

โดย: 212 IP: 118.174.88.143 13 เมษายน 2551 19:33:30 น.  

 

วันจันทร์ที่ 14 เดือนเมษายน พศ. 2551



CRUISING DOWN THE RIVER กับเด็กเอ๋อชื่อทอม ครูซ











คุณทอมมีความผิดปกติอย่างที่มักเรียกทับศัพท์ว่า dyslexia (ซึ่งออกเสียงว่า "ดิซเล็ก-เซีย" หรือ "ดิซเล็ก-ซิอา") เป็นความสับสนทางสมอง สิ่งที่ตามมาคือผู้ที่มีอาการเช่นนี้จะมีปัญหาทางด้านภาษา อ่านหนังสือ เขียนหนังสือได้ช้ากว่าคนปกติ รวมทั้งการฟังแล้วจับความไม่ท

คอลัมน์ For a Song ของนักเรียนวชิราวุธ

โดย ศุภาศิริ สุพรรณเภสัช



เล่าเรื่อง Johnny Zero ที่โหล่ของชั้นเรียนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้นึกถึงดารายอดนิยมที่ชื่อ Tom Cruise ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของนักเรียนวชิราวุธหลายคน

ในตอนแรกๆ เด็กๆ ออกเสียงนามสกุลคุณทอมเป็น "ครุยซ์" ตามที่เคยได้ยินบ่อยๆ ทางโทรทัศน์และวิทยุ

เมื่อได้ยินจากสื่อถือว่าถูกต้อง...

นี่เป็นความคิดที่ผิด เพราะสื่อต่างๆ ไม่ได้พิเศษไปกว่าผู้มีอาชีพอื่นๆ และอาจทำผิดพลาดทั้งที่ไม่ตั้งใจและตั้งใจได้เสมอ สิ่งใดที่ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านจากสื่อ จึงต้องแค่ "รับไว้พิจารณา" เท่านั้น ไม่ใช่ "ฮือตามสื่อ"

แต่ครูไม่จำเป็นต้องแสดงความเก่งของครูโดยบอกว่าเด็กออกเสียงผิด เพียงชวนเปิดพจนานุกรมดูด้วยกัน ก็จะเห็นว่า cruise ซึ่งแปลว่า แล่นเรือเที่ยว หรือแล่นไปมานั้น ออกเสียงว่า "ครูซ"

ได้คำแถมที่ว่า cruiser ซึ่งแปลว่า เรือลาดตระเวน อ่านว่า "ครูซ-เออะ" ออกเสียง "ครูซ" หนักๆ แล้วตามด้วย "เออะ" เบาๆ ห้ามออกว่า "ครู-เซ่อ" เพราะครูไม่ค่อยชอบจ้ะ

หากเปิด "ดิคพูดได้" หรือ talking dictionary ก็จะได้ฟังกันชัดๆ

คราวนี้เลยรู้แล้วว่า คุณทอม ครุยซ์ นั้น ความจริงแล้วชื่อ "ทอม ครูซ" ต่างหาก แถมยังรู้อีกว่า cruise ไม่ได้แปลว่าแล่นเรือเที่ยวอย่างเดียว แต่รถยนต์ก็อาจ cruise ไปมาตามถนนหากคนขับไม่ได้รีบเร่ง

นักเรียนรีบ "สร้างมโนภาพ" ทอม ครูซ ขับรถเปิดประทุน crusing along the street เพื่อจะได้ไม่ลืมทั้งวิธีออกเสียงนามสกุลคุณทอมและคำแปลของ cruise



เมื่อบอกว่าดาราชั้นนำอย่างทอม ครูซ มีปัญหาเรื่องการอ่านหนังสือมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถม เด็กๆ จะแปลกใจ เพราะหากอ่านหนังสือไม่คล่อง จะอ่านสคริปต์หนังได้อย่างไร

คุณทอมมีความผิดปกติอย่างที่มักเรียกทับศัพท์ว่า dyslexia (ซึ่งออกเสียงว่า "ดิซเล็ก-เซีย" หรือ "ดิซเล็ก-ซิอา")

วงการแพทย์มีสถิติว่า ประมาณห้าเปอร์เซ็นต์ของประชากรในโลกนี้มีอาการดิซเล็กเซีย

ดิซเล็กเซียเป็นความสับสนทางสมอง สิ่งที่ตามมาคือผู้ที่มีอาการเช่นนี้จะมีปัญหาทางด้านภาษา อ่านหนังสือ เขียนหนังสือได้ช้ากว่าคนปกติ รวมทั้งการฟังแล้วจับความไม่ทันด้วย

อาการดิซเล็กเซียทำให้ทั้งครอบครัวของคุณทอมมีปัญหาเรื่องการเรียนหนังสือ เริ่มตั้งแต่คุณแม่ แต่แม่ของคุณทอมได้รับการดูแลจากครูที่เข้าใจเรื่องดิซเล็กเซียตั้งแต่ครั้งอายุยังน้อย เมื่อโตขึ้นเธอกลายเป็นครูสอนเด็กพิเศษเหล่านี้ แม่จึงมีส่วนช่วยลูกของตัวเองอย่างมาก เพราะลูกของเธอทุกคน คือ ทอมและน้องๆ ล้วนมีปัญหาเรื่องเดียวกัน

ตั้งแต่ชั้นประถม ทั้งทอมและน้องถูกเพื่อนๆ ตราหน้าว่า "โง่ทั้งบ้าน" เพราะอ่านหนังสือไม่ค่อยออก สะกดไม่ค่อยได้ แม้กระทั่งบางคำที่แสนง่าย

เมื่อครั้งเป็นเด็ก ทอมมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เขารู้สึกตัวว่าโง่ จนบางครั้งมีอาการซึมเศร้า

ยิ่งเมื่อพ่อแม่หย่ากัน แม่พาทอมกับน้องย้ายบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะต้องตระเวนไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ หรือเมื่อบางโรงเรียนเลิกจ้าง ก็ต้องไปหางานที่โรงเรียนใหม่

การต้องย้ายบ้านและย้ายโรงเรียนบ่อยๆ ยิ่งทำให้ทอมสับสน แต่ก็ได้แม่และครูดีๆ ที่มีความเข้าใจในปัญหาของเด็กพิเศษ ช่วยประคับประคองตลอดมา

เพราะทอมอ่านหนังสือช้า สมัยเป็นเด็กแม่ต้องช่วยอ่านหนังสือให้ฟัง เขาใช้จำจากที่แม่อ่านอีกที่หนึ่ง แม้จะค่อยๆ สอบผ่านไปได้ แต่ทอมก็มีความรู้สึกตัวว่าโง่อยู่เสมอ

เมื่ออยู่ชั้นมัธยม ทอมรวบรวมกำลังใจไปสมัครเล่นละคร และพบว่าการเล่นละครได้ดีทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อเริ่มมั่นใจความรู้สึกว่าด้อยก็เริ่มหายไปทีละน้อย

ทอมไม่เคยเล่าว่า ตอนที่ท่องบทละครโรงเรียน ต้องให้แม่ช่วยอ่านบทให้หรือเปล่า แต่ชาลี แชปลิน นักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงของโลก เริ่มแสดงละครตั้งแต่อายุน้อยและอ่านหนังสือไม่ค่อยแตก ต้องให้พี่ชายอ่านบทให้ฟัง เมื่อฟังแล้วก็จำได้แม่นยำ

เคยได้ยินมาว่าคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องลูกทุ่งผู้ล่วงลับของไทย ก็มีปัญหาเรื่องการอ่าน ต้องให้คนอื่นอ่านเนื้อเพลงให้ฟังเช่นกัน แต่คุณพุ่มพวงมีความสามารถด้านการร้องเพลงและการแสดงที่เป็นเลิศ

คนทั่วๆ ไปคิดว่าผู้มีอาการดิซเล็กเซีย "ไม่ฉลาด" ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วส่วนใหญ่ออกจะฉลาดเกินกว่าเกณฑ์ปกติเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ต้องได้การช่วยเหลือที่ถูกต้องจากครูหรือผู้เชี่ยวชาญในการนี้แต่เนิ่นๆ

เล่าถึงทอม ครูซ แล้ว ครูจนมุมต้องเลือกเพลงโบราณชื่อ Cruising Down the River มาสอน

ทำนองเพลงที่เป็นจังหวะวอลซ์อ่อนหวาน แต่เด็กบางคนบอกว่าชวนหลับ เนื้อเพลงสั้นๆ ใช้ภาษาอังกฤษง่ายๆ ให้ไปเติมคำศัพท์พลิกแพลงได้ Cruising down the river / On a Sunday afternoon / With the one you love / The sun above waiting for the moon / The old accordion playing a sentimental tune / Cruising down the river on a Sunday afternoon...

ครูอาจให้นักเรียนช่วยกันเปลี่ยนเนื้อเพลงจาก Sunday ไปเป็นวันอื่นๆ เปลี่ยน afternoon เป็น morning หรือ nighttime (เขียนติดกัน) เปลี่ยนเครื่องดนตรีจาก accordion เป็น violin หรืออะไรก็ได้

นักเรียนคนหนึ่งเปลี่ยนเนื้อเพลงเป็น cruising down the mountain ทำให้เพื่อนๆ ต้องหัวเราะ เมื่อนึกถึงท่าทอม ครูซ แล่นฉลิวลงมาจากภูเขา

ครูถามว่าออกหัวหรือก้อย

นักเรียนตอบว่า หัวหรือก้อยไม่ทราบ แต่ในเมื่อเป็นทอม ครูซ ยังไงๆ ก็หล่ออยู่ดีครับ

โรงเรียนใดสนใจได้ซีดีเพลงที่กล่าวถึงในคอลัมน์นี้ พร้อมเนื้อเพลงและคำแปล

โปรดติดต่ออาจารย์พงษ์พิพัฒน์ สอสกุล ที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย

โทร.0-2669-4526-9 ต่อ 292 หรือ 08-6514-4919 อี-เมล : spongpipa@vajiravudh.ac.th

หน้า 22 หนังสือพิมพ์มติชน 13 เม.ย.









 

โดย: 213 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 10:51:13 น.  

 

ชวนร่วมปิดตำนานกว่า 133 ปีอย่างเป็นทางกสท จัดวันอำลา'โทรเลข' 24-30เม.ย.นี้

กสท จัดวันอำลา'โทรเลข' 24-30เม.ย.นี้ หลังเปิดให้บริการ 133 ปี ผุดแคมเปญร่วมส่งครั้งสุดท้าย'คำละบาท' ก่อนปิดตำนานอย่างเป็นทางการสิ้นเดือนนี้ ปณ.เผยคนแห่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จนแบกต้นทุนไม่ไหว


นายสมพล จันทร์ประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 เมษายน ว่า กสท ในฐานะเจ้าของกิจการโทรเลข และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในฐานะผู้ให้บริการโทรเลข จะร่วมมือกันจัดกิจกรรมส่งท้ายการปิดให้บริการโทรเลขในระหว่างวันที่ 24-30 เมษายนนี้ ที่ที่ทำการไปรษณีย์กลางบางรัก และศูนย์บริการลูกค้าของ กสท แจ้งวัฒนะ หลังจากเปิดให้บริการมาแล้วประมาณ 133 ปี ภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติของโทรเลข เพื่อให้ร่วมงานทราบที่มาที่ไปก่อนที่จะปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 เมษายน 2551

'ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือรูปแบบของงาน แต่ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะจัดกิจกรรมให้ประชาชนสามารถส่งโทรเลขครั้งสุดท้าย คิดค่าบริการคำละ 1 บาท โดยขั้นตอนจะต้องส่งอย่างน้อย 10 คำ ถ้าไม่ถึง 10 คำ ก็จะคิด 10 บาท ขณะเดียวกันก็จะเชิญบุคคลสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการโทรเลข คือ เป็นคนเก่าคนแก่ เช่น อดีตอธิบดีกรมไปรณีย์โทรเลข เข้าร่วมงาน และทำการปิดบริการโทรเลขอย่างเป็นทางการ' นายสมพลกล่าว

นางสาวอานุสรา จิตต์มิตรภาพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ไปรษณีย์ไทย กล่าวว่า บริการดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แต่ที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการลดน้อยลง และรายได้ลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่มาแทนที่ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเตอร์เน็ต จนไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนการให้บริการได้ จึงจำเป็นต้องปิดให้บริการ

 

โดย: 214 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 11:20:00 น.  

 

หนุนรัฐให้ทุนครู 5 ปีดูความเข้มแข็งการศึกษาเป็นหลัก

หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 12 เมษายน 2551


ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงที่ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับปริญญาตรี หลักสูตร 5 ปี เห็นชอบให้สานต่อการผลิตครูหลักสูตร 5 ปี รุ่นที่ 2 และ 3 ว่า ตนสนับสนุนและเห็นด้วยอย่างยิ่ง และไม่อยากให้เรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นผลงานของพรรคนั้นพรรคนี้ แต่เรื่องโครงการผลิตครูหลักสูตร 5 ปี กลุ่มที่รัฐบาลให้ทุน นั้นตนอยากให้รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นชุดไหนเมื่อเข้ามาบริหารประเทศควรจะสานเรื่องนี้ต่อ และควรสนับสนุนอย่างจริงจัง เพราะอย่าลืมว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาศีลธรรรม ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อมต่างๆ ล้วนต้องแก้ด้วยการศึกษาแทบทั้งสิ้น ซึ่งการจะแก้ไขปัญหาต่างๆ นั้นกลไกสำคัญคือการศึกษา กลไกลหลักอยู่ที่บุคลากรครู

'ที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปประมาณ 20 - 30 ปีมาแล้ว เริ่มเกิดวิกฤติในวิชาชีพครูอย่างมาก จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งเกี่ยวกับวิชาชีพครูว่า เริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อม อยากเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตครูได้หันมาเอาจริงเอาจังในการผลิตครูได้แล้ว จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ผมตระหนักในเรื่องนี้'

ศ.ดร.วิรุณ กล่าวว่า ขอชื่นชมที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ลุกขึ้นมาผลักดันครู 5 ปี รุ่นที่ 2 และ 3 เพื่อจะให้ทุนแก่นักเรียนที่มีความตั้งใจอยากเข้าสู่เส้นทางอาชีพครู ซึ่งครู 5 ปีที่ได้รับทุนการศึกษาในรุ่นที่1 ขณะนี้กำลังเข้าสู่การฝึกงาน ซึ่งรุ่นแรกกระจายอยู่ในสถาบันการศึกษาที่มีการเรียนในคณะศึกษาศาสตร์และครุศาสตร์ จำนวน 2,500 คน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของระบบการศึกษา การมีโครงการผลิตครู 5 ปีรุ่น 2 และ3 เป็นการเพิ่มครูมิติใหม่ให้กับวงการศึกษาถึง 5,000 คน และจะค่อยๆ กระจายออกไปสู่ระบบการศึกษาในวงกว้างต่อไป

อย่างไรก็ตามงบประมาณที่รัฐต้องจ่ายในการผลิตครูหลักสูตร 5 ปี รุ่นละ 1,000 ล้านบาทนั้น ตนอยากเห็นสกอ. ดำเนินการคัดสรรสถาบันการศึกษาที่เอาจริงเอาจังในการผลิตครู มีการปรับตัวเอง ปรับวิธีการเรียนการสอน ปรับหลักสูตรเพื่อให้ครู 5 ปีเป็นครูมิติใหม่ขึ้นมา แต่เท่าที่รู้มานั้นบางสถาบันยังคงสอนแบบเดิม และหากสกอ.จะให้ทุกสถาบันการศึกษาผลิต โดยไม่ดูความเข้มข้น เข้มแข็งและเอาจริงเอาจังของสถาบันการศึกษาเป็นหลัก เกรงว่าเราจะได้ครูแบบเดิม ที่ไม่ใช่ครูมิติใหม่หรือครูพันธุ์ใหม่ อย่างที่ตั้งใจ

 

โดย: 214 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 11:31:43 น.  

 

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10992

จับตาสงครามสื่อโทรทัศน์ เมื่อเกมตลาดปะทะการเมือง





ด้วยมูลค่าตลาดสูงเกือบ 50,000 ล้านบาท ของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาทีวี หรือคิดเป็นสัดส่วน 55% จากเค้กอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งก้อน 90,000 ล้านบาท ในปี 2551 ทำให้สถานการณ์อุตสาหกรรมสื่อโทรทัศน์ปีนี้ดุเดือดไม่แพ้ปีที่ผ่านมา

แถมปีนี้นอกเหนือจากเกมการแข่งขันทางธุรกิจที่ต้องสัประยุทธ์ห้ำหั่น เพื่อช่วงชิงคนดูในการสร้างเรตติ้งและรายได้ให้มากที่สุดแล้ว ยังมีตัวแปรสำคัญคือ กฎระเบียบต่างๆ ที่ออกมามีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติการประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2551 ยิ่งก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโทรทัศน์อีกระลอกหนึ่ง

แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้างว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวไม่มีความสมบูรณ์ในบางประการ แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อรองรับกลไกที่สังคมกำหนดขึ้นใหม่

ประการแรกที่เกิดขึ้นแล้วสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของสื่อโทรทัศน์ปีนี้ จากที่ประเทศไทยเคยมีช่องสถานีโทรทัศน์หลัก อันประกอบไปด้วย ช่อง 3, 5, 7, 9 (โมเดิร์นไนน์) ไอทีวี และช่อง 11 แล้ว ทีไอทีวีเดิมที่ต้องปิดตัวลง ก็ได้ก้าวข้ามสู่ทีวีสาธารณะ หลังจากที่ได้มีการจัดตั้ง "องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย" ขึ้น ในนาม สถานีโทรทัศน์สาธารณะไทยพีบีเอส หรือทีวีไทย ทีวีสาธารณะ (ทีพีบีเอส) ในเวลาต่อมา

ส่วนทางด้านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์เอง ก็ถูกปรับภาพลักษณ์ครั้งใหม่สู่สถานีเอ็นบีที (National Broadcasting Television) ภายใต้คอนเซ็ปต์ โมเดิร์น อีเลฟเว่น ที่มีรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช เป็นแม่งาน ด้วยการส่งนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจกุมบังเหียนมาลุยงานเต็มที่

หากมองโดยภาพรวมของภาวะการแข่งขันแล้ว แต่ละสถานีคงหนีไม่พ้นการนำเสนอรายการที่สนองความต้องการของผู้ชมให้มากที่สุด โดยเฉพาะยุคที่ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และในสภาวะที่บ้านเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ทั้งจากปัจจัยความอ่อนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจระดับประเทศและทั่วโลก

ดังนั้น รูปแบบรายการจึงต้องมีคุณภาพจริงๆ ถึงจะอยู่รอด เพื่อดึงเม็ดเงินโฆษณาจากเจ้าของสินค้า และเพื่อให้ภาพรวมของผังสถานีมีการผสมผสานระหว่างรายการข่าว สาระ และบันเทิง โดยเฉพาะ "รายการข่าว" ยังเป็นไฮไลต์สำคัญของปีนี้

เริ่มจากช่อง 3 ที่ลงทุนครั้งใหญ่สร้างแบรนด์สถานีครอบครัวข่าวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา มีรายการที่โดดเด่น คือ เรื่องเล่าเช้านี้ และผู้หญิงถึงผู้หญิง ในปีนี้ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง พร้อมกับให้ความสำคัญกับรายการข่าวอื่นๆ ให้มีความโดดเด่นและมีบุคลิกที่ชัดเจนขึ้น เช่น การขยายเวลารายการเรื่องเด่นเย็นนี้ และปรับความเข้มข้นของข่าวเที่ยงวัน พร้อมกับหันมาโฟกัสข่าวเศรษฐกิจมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มรายการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ในลักษณะรูปแบบรายการแสดงความสามารถ ทั้งรายการซีซ่า และแอลจี สตาร์ซ ทาเลนต์ ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้

ฟากโมเดิร์นไนน์ ทีวี ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) แผนงานปีนี้ ในส่วนของรายการข่าวนั้น ยังคงเดินตามนโยบาย คือ การนำเสนอข่าว ที่มุ่งเน้นให้มีการนำเสนออย่างถูกต้องเป็นกลาง ตรงไปตรงมา และเสนอข่าวแบบรอบด้าน พร้อมกับจะมีการปรับช่วงเวลาไพรม์ไทม์เพิ่มขึ้น จากเดิม 18.00-22.00 น. เป็น 16.30-22.00 น. ในวันจันทร์-ศุกร์ เนื่องจากพบว่าเวลา 16.30-18.00 น. มีเรตติ้งสูงขึ้น 3-5 ดังนั้น เมื่อปรับให้ไพรม์ไทม์เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้รายได้โฆษณาช่วงดังกล่าวสูงขึ้นด้วย จากที่ปัจจุบันทำได้ 75-80%

ส่วนช่อง 5 เอง หลังจากได้ปรับโครงสร้างผังรายการครั้งใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา ปีนี้รายการยิบย่อย แบบ 5 หรือ 10 นาที จึงไม่มีให้เห็นมากนัก และไม่ผูกขาดรายการเฉพาะผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งเท่านั้น ช่อง 5 จึงถือว่ามีสีสันมากขึ้น แม้จะยังคงน้ำหนักของการเป็นกระบอกเสียงของกองทัพอยู่ก็ตาม

ผลสำเร็จของช่อง 5 ช่วงไตรมาสแรกนี้ เห็นได้จากรายการข่าวของช่วงหลัก คือ เช้า 06.00 กลางวัน 11.30 ภาคค่ำ 19.00 และ 4 ทุ่ม โดยรวมมีผู้ชมเพิ่มขึ้น 10% รายการบันเทิงที่สร้างเรตติ้งอย่างมาก คือ ละครสงครามนางฟ้า ด้วยเรตติ้งสูงสุดถึง 12 และเรตติ้งเฉลี่ย 10 หรือมีผู้ชมประมาณกว่า 5 ล้านคน นับว่าสูงสุดกว่าทุกรายการ และสูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา

สำหรับช่องทีไอทีวีเดิม หลังจากเปลี่ยนตัวเองสู่สถานะใหม่ ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ แห่งแรกของประเทศไทยนั้น ก็ได้ประกาศแสดงจุดยืนผังรายการใหม่ พร้อมกับการปรับอัตลักษณ์สู่ทีวีสาธารณะเต็มตัวเมื่อต้นเดือนเมษายน โดยแบ่งเป็น รายการข่าว 39.85% สารคดีข่าวและวิเคราะห์ข่าว 6.63% รายการสารคดี 22.63% รายการสารประโยชน์ 14.37% รายการเด็กและเยาวชน 6.74%

และสาระบันเทิง 11.94% โดยแบ่งเป็น รายการที่ผลิตโดยสถานี 54.73% รายการจัดซื้อลิขสิทธิ์ เช่น สารคดี 17.64% รายการที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกโดยไม่มีค่าใช้จ่าย 24.37% และรายการจ้างผลิต 3.36%

หลังจากเริ่มดำเนินการก่อร่างสร้างเป็นสถานีแห่งใหม่ ทีพีบีเอส คิดเป็นระยเวลาทดลองการเป็นทีวีสาธารณะได้ประมาณ เกือบ 2 เดือน นายเทพชัย หย่อง ผู้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการ ได้ความเห็นว่า ทีพีบีเอสพร้อมเข้าสู่สนามแข่งขันแล้ว เพราะถือเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะถ้าการแข่งขันนั้นเป็นไปแบบเสรี ไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง

ที่สำคัญทีวีสาธารณะนี่เอง จะมาตอบโจทย์ผู้ชมทางบ้านได้เป็นอย่างดีว่า การเมืองจะไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้ นั่นเพราะข้อจำกัดทางกฎหมายที่ไม่ให้อำนาจการเมืองมาสั่งการ "องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย" ได้ เพราะทีวีสาธารณะจะประคับประคองตัวเองได้ด้วยภาษีที่จัดเก็บจากประชาชน โดยกรมสรรพสามิตจะเป็นผู้จัดส่งให้กับสถานีโทรทัศน์ดังกล่าว ใช้ในการบริหารจัดการไม่เกินปีละ 2,000 ล้านบาท

แต่การที่รัฐบาล โดยนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาลุยงานแบบเร่งด่วนในการปรับภาพลักษณ์ของช่อง 11 สู่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที สนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาสื่อของรัฐให้ก้าวทันสมัย ให้เกิดข่าวสารที่สมดุล และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐยึดคืนคลื่นเอฟเอ็ม 97, 105, 88, 93.5 และ 95.5 เมกะเฮิร์ตซ์ จากกรมประชาสัมพันธ์มาบริหารจัดการเอง

จึงไม่แปลกนักที่จะมีเสียงออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการเข้ามาแบ่งเค้ก ฮุบสื่อ ของรัฐ กรณีช่อง 11 ที่พยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ โดยกรมประชาสัมพันธ์ได้มอบหมายให้ บริษัท ดิจิตอล มีเดีย เป็นการรวมตัวกันของคนข่าวทีไอทีวีเดิม และมีมือขวาของอดีตนักการเมืองใหญ่จากกลุ่มอำนาจเก่าเป็นผู้กุมอำนาจ เข้ามาบริหารช่วงเวลารายการข่าวทั้งหมด

สำหรับผังรายการประกอบด้วย รายการข่าวประจำวัน สารคดีข่าว และกีฬา รวมเวลาประมาณ 9 ชั่วโมงต่อวัน โดยจะนำคอนเซ็ปต์ข่าวที่โดดเด่นของไอทีวีมาใช้

ในวันประกาศปรับภาพลักษณ์ใหม่ นายจักรภพย้ำชัดว่า ต้องการผลักดันให้ช่อง 11 เป็นทีวีสาธารณะ ชูเรื่องข่าวเป็นจุดขาย มีความเป็นกลางในการนำเสนอข่าวสารและรายการต่างๆ โดยไม่ถูกรัฐบาลควบคุม และเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีคุณค่าอีกช่องหนึ่งของประเทศ หลังจากเดิมถูกมองเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล

แต่จากวิธีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์คอนเซ็ปต์ช่อง 11 หรือเอ็นบีที ที่รัฐบาลต้องการนำพาไปนี้ จึงถูกจับตามองว่านี่เป็นการประกาศท้าชนกับทีพีบีเอส ทีวีสาธารณะ แบบแลกหมัด นั่นเอง

นอกจากนี้ กระแสการเข้าฮุบสื่อของรัฐยิ่งทวีความหนักหน่วงขึ้นอีก เมื่อมีประเด็นเกิดขึ้นจากการที่นายจักรภพออกมาพูดในทำนองที่ว่าจะต้องมีการพิจารณาตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ อสมท คนใหม่แทนนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ เนื่องจากพบว่าการบริหารงานของ อสมท โดยเฉพาะผลประกอบการเดือนมกราคม ขาดทุนรวม 27 ล้านบาท และการดำเนินงานที่มีข้อสงสัยอีกหลายประการ

แม้ว่านายจักรภพจะมีหน้าที่ควบคุมสื่อของรัฐก็ตาม และ อสมท ก็เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นใหญ่โดยภาพรัฐ แต่อีกด้านหนึ่งของบทบาท อสมท คือ บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ การออกมาทำหน้าที่ของคนของรัฐในครั้งนี้ จึงมีผลกระทบทันทีต่อหุ้นและผู้ถือหุ้น อสมท

จากหลากหลายประเด็นดังกล่าว จึงเป็นภาระหน้าที่อันหนักหน่วงของผู้ประกอบการโทรทัศน์ในปีนี้ ที่จะต้องเผชิญกับหลายตัวแปรที่ถือเป็นปัจจัยรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจเองก็ฉุดให้อุตสาหกรรมเติบโตได้ไม่ดีนัก เจ้าของสินค้าชะลอการใช้เม็ดเงินโฆษณาลง ก็ถือเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ไหนจะต้องมาคอยปรับตัวรองรับกติกาใหม่ เจอกับผู้เล่นหน้าใหม่อีก หรือความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์ทางการเมืองอีก

ดังนั้น ความท้าทายของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ หรือกึ่งรัฐ กึ่งเอกชน เพราะต้องรับสัมปทานจากภาครัฐมาดำเนินการในปีนี้

จะสามารถบริหารจัดการ ดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่ต่างฝ่ายต่างตั้งมั่นได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เมื่อเกิดการแข่งขันขึ้น หากทุกฝ่ายคำนึงถึงคุณภาพรายการ ประชาชนจะเป็นผู้ได้ประโยชน์เต็มๆ และประชาชนนี่เองที่จะเป็นผู้ตัดสินว่าแต่ละช่องทีวีจะให้คุณ หรือมุ่งหาผลประโยชน์บนสมบัติของชาติกันแน่

หน้า 19 มติชนออนไลน์

 

โดย: 215 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 13:57:21 น.  

 

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3992 (3192)

ยุโรปเตือน "เสิร์ชเอ็นจิ้น" เตรียมบังคับลบข้อมูลผู้ใช้บริการ

คอลัมน์ webbiz

โดย siripong@kidtalentz.com



เว็บไซต์ในเชิงพาณิชย์โดยมากนิยมเก็บข้อมูลส่วนตัวและพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าเอาไว้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ เพราะเทคโนโลยีเอื้อให้ทำกันได้ไม่ยาก ที่เห็นๆ ว่าเว็บแต่ละเว็บสามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้ใช้บริการนั่นแหละ มาจากข้อมูลที่เว็บไซต์เหล่านั้นเก็บเอาไว้ โดยเฉพาะผู้ให้บริการ "เสิร์ชเอ็นจิ้น"

โดยอาจจะไม่ได้บอกกล่าวหรือแม้บอกกล่าวก็มีคนสนใจไม่มากนัก แต่ก็มีคนสนใจอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกันที่เรียกร้องเอากับเว็บไซต์ใหญ่ๆ ซึ่งเทคโนโลยีเหนือกว่าเว็บไซต์ทั่วๆ ไปให้ยุติพฤติกรรมการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการ

แต่บางคนก็อาจจะชอบเพราะทำให้ได้รับบริการที่ตรงกับใจ เป็นเรื่องลางเนื้อชอบลางยา

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อตกลงก่อนเข้าใช้บริการอยู่แล้ว การเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการไว้นานเกินไปก็ไม่ใช่สิ่งพึงประสงค์นัก อย่างน้อยๆ ก็ในสหภาพยุโรป เมื่อเร็วๆ นี้มีข้อเสนอจากหน่วยงานที่ปรึกษาเข้าไปถกกันในกรรมาธิการสหภาพยุโรป และมีแนวโน้มว่ากรรมาธิการจะมีความโน้มเอียงไปในทางที่ไม่เห็นด้วยกับการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการไว้นานเกินกว่าที่ควร โดยให้คำแนะนำว่าควรกำหนดให้เก็บไว้ได้ไม่เกินหกเดือน

แน่นอนว่าข้อเสนอซึ่งอาจจะกลายเป็นข้อกำหนดดังกล่าวภายในสหภาพยุโรปนี้ย่อมต้องขัดกับผลประโยชน์ของผู้ให้บริการเว็บไซต์ต่างๆ โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอ็นจิ้นนั่นก็คือ กูเกิล, ยาฮู และเอ็มเอสเอ็น

ปัจจุบัน กูเกิล และ เอ็มเอสเอ็น จะล้างข้อมูลที่ระบุตัวตนของผู้ใช้บริการที่เก็บเอาไว้ หลังจากครบ 18 เดือน ขณะที่ยาฮูเก็บเอาไว้ 13 เดือน

หน่วยงานที่ปรึกษาของกรรมาธิการสหภาพยุโรประบุว่า บริษัทผู้ให้บริการค้นหาผ่าน อินเทอร์เน็ตทั้งหลายไม่แสดงให้เห็นความชัดเจนในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของ ผู้ใช้บริการ และให้ความเห็นว่าไม่ควรเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการและนำไปประมวลผลใช้นอกเหนือไปจากเพื่อยังผลสำหรับการค้นหาเท่านั้น ในกรณีที่ผู้ใช้บริการมิได้ลงทะเบียนใช้งานโดยตรง และไม่นำไปใช้เพื่อการโฆษณาหากผู้ใช้บริการไม่ยินยอมพร้อมใจ

นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่า เสิร์ชเอ็นจิ้นไม่มีความจำเป็นในการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากไอพี แอ็ดเดรส ที่ระบุเครื่องที่ใช้งานเท่านั้น เพื่อที่จะให้บริการการค้นหาพื้นฐานและการโฆษณา

ดูเหมือนแนวทางการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในยุโรปจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

หน้า 24

 

โดย: 216 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 14:14:41 น.  

 


วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3992 (3192)

SMEs ออนไลน์ ทำได้ง่ายนิดเดียว

คอลัมน์ จุดแกร่งเอสเอ็มอี

โดย ผศ.ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา คำว่า E-commerce มีการพูดถึง ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี และต้องการเพิ่มช่องทางใหม่ในการขายสินค้าและบริการ รวมทั้งผู้ที่ต้องการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ของตนเองไปสู่สายตาของผู้บริโภคทั่วโลก จึงทำให้ผู้ประกอบการสนใจลงทุนกับรูปแบบการตลาดดังกล่าวมากขึ้น

อย่างไรก็ตามการตลาดออนไลน์ก็มีข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการไทยอยู่บ้าง จากที่ดิฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ประกอบการขนาดย่อมที่มองการณ์ไกล ด้วยการหันมาพัฒนาตลาดออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่มีเป้าหมายในการบุกตลาดที่มีลูกค้ารอคอยอยู่ทุกสารทิศ ทำให้ทราบว่าทุกวันนี้ผู้ประกอบการนั้นมีปัญหาใหญ่ๆ อยู่ 2 เรื่อง คือ การขาดความชำนาญในเทคโนโลยี และขาดบุคลากรที่เป็นมืออาชีพเข้ามาช่วยทำงานด้านนี้ ทำให้มีปัญหาเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์ของตนเอง ที่ผ่านมาดิฉันและลูกค้าทั่วไปจึงเห็นเว็บไซต์หลายบริษัทไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

อีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ประกอบการเผชิญอยู่ก็คือ การขาดความรู้เรื่อง E-commerce โดยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้มีค่อนข้างมาก แม้ว่าจะให้ความสนใจตลาดออนไลน์ก็ตาม แต่หลายรายถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ เช่น ถูกหลอกว่าจะทำเว็บไซต์ให้ในราคาขูดเลือดขูดเนื้อ สุดท้ายตลาดออนไลน์ในความคาดหวังก็ไม่เป็นรูปธรรม

เมื่อดิฉันทราบว่าผู้ประกอบการยังมีปัญหาเรื่องตลาด

ออนไลน์ ซึ่งความจริงแล้วง่ายนิดเดียว ! (แต่ก็ยากสำหรับบางท่าน) จึงมีข้อแนะนำว่า การทำ E-commerce นั้นสามารถเริ่มต้นได้ด้วยงบฯที่ไม่น่าจะบานปลาย

เริ่มจากการคัดเลือกโดเมน เรื่องนี้ดิฉันขอแนะนำให้ผู้ประกอบการหาที่ปรึกษาที่มีความรู้เรื่องไอที เพื่อเลือกโดเมนที่เหมาะสมและเอื้อต่อการทำธุรกิจในระยะยาว ไม่ใช่ตั้งมาแล้วก็ล้มเลิกไป อย่างที่เห็นๆ กันว่าบางเว็บนั้นไม่สามารถเข้าไปได้ ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการมองหาบริษัท ที่ปรึกษาด้านไอทีซึ่งเป็นมืออาชีพ นอกจากนี้แล้วผู้ประกอบการบางรายยังใช้ระบบประหยัดด้วยการจ้างนักศึกษาที่เรียนทางด้านนี้โดยตรง และความสามารถก็ไม่แพ้มืออาชีพเท่าใดนัก

เมื่อวางแผนทำเว็บไซต์ของตนเองเป็นรูปธรรมแล้ว ผู้ประกอบการจะต้องตกลงกับผู้รับจ้างทำเว็บให้เคลียร์กันทั้ง 2 ฝ่าย ว่าการอัพเดตข้อมูลนั้นจะทำอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้มีปัญหามาก มีผู้ประกอบการจำนวนมากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลในเว็บไซต์ได้ เนื่องจากไม่มีความรู้และไม่สามารถติดต่อหรือตามหาผู้ที่มาทำเว็บไซต์ให้ ผลที่ออกมาก็คือเว็บนิ่งค่ะ

หากไม่อยากยืมจมูกคนอื่นหายใจ มีข้อแนะให้ใช้เว็บสำเร็จรูปซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้ประกอบการสามารถทำตลาด ออนไลน์ได้เช่นกัน แม้ว่าเว็บจะไม่สวยหรูอย่าง ที่คาดคิดไว้ แต่เว็บสำเร็จรูปจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถบริหาร รวมทั้งควบคุมดูแลเรื่องข้อมูลด้วยตนเอง มี ผู้ประกอบการหลายท่านที่พึ่งพาลูกหลานที่มีความรู้ด้านไอทีมาช่วยเลือกเว็บสำเร็จรูป ใครจะลองบ้างก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์

เมื่อมีเว็บไซต์ของตนเองแล้ว สิ่งที่ ผู้ประกอบการต้องทำก็คือ อย่าปล่อยให้เว็บเงียบเหงานะคะ จะต้องทำการตลาดให้กับเว็บ เช่น โฆษณาในสื่อต่างๆ หรือแม้แต่การใส่เว็บไซต์ของตนเองลงในนามบัตร แผ่นพับ ใบปลิว ฯลฯ ถ้าจะให้ดี ก็จะต้องทำการโฆษณากับเว็บไซต์อื่นๆ ที่ได้รับความสนใจจากการใช้งานของนักท่องอินเทอร์เน็ต

สิ่งสำคัญที่สุดที่ดิฉันทราบจากผู้ประกอบการที่ลงทุนกับตลาดออนไลน์ก็คือ อย่าทำมั่วๆ ตามชาวบ้าน จะต้องรู้ว่าลูกค้าของตนเองเป็นใคร และกลุ่มเป้าหมายบริโภคสื่อเว็บไซต์นั้นใช่กลุ่มที่จะซื้อสินค้าหรือไม่ เช่น หากเป็นธุรกิจที่ขายปุ๋ยสำหรับเกษตรกรก็ควรมองหารูปแบบอื่น เพราะชาวนาคงไม่มีเวลาเปิดคอมฯค้นหาข้อมูลทางเว็บไซต์ เป็นต้น

สุดท้ายขอฝากข้อคิดสำหรับผู้ที่ลงทุนทำ E-commerce จะต้องทราบว่าเว็บไซต์ที่ดี ควรมีการอัพเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อนำเอาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์มาโชว์ ที่สำคัญต้องเปิดช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า เช่น การสั่งซื้อ การแสดงความคิดเห็น ฯลฯ หากเริ่มต้นคิดและลงมือทำอย่างจริงจัง ก็จะทราบดีว่าการตลาดออนไลน์ทำง่ายนิดเดียวค่ะ !

หน้า 44 ประชาชาตติออนไลน์

 

โดย: 217 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 14:26:02 น.  

 


วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3992 (3192)

"กระทรวงไอซีที"รุกตั้ง3หน่วยงานใหม่ต่อแขนขาด้านวิจัย-พัฒนา

"ไอซีที" เดินหน้าตั้ง 3 หน่วยงานใหม่ เพิ่ม "1 กรม-2 สำนัก" แยกตั้งองค์กรมหาชน ชี้ทำงานคล่องตัวกว่า หวังเพิ่มแขนขาเสริมแกร่งด้านงานวิจัยและพัฒนาไอซีทีของประเทศ "มั่น" พร้อมเข็นเข้าเสนอ "ครม." พิจารณาด่วนจี๋ ทั้งเจียดงบฯ 13 ล้านบาทร่างหลักสูตรเติมความรู้เรื่องไอซีที "ข้าราชการ-พนักงานกระทรวงไอซีที"

นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งกระทรวงได้มีการแบ่งหน่วยงานของกระทรวงไว้ แต่ผ่านมา 5 ปีแล้วก็ยังไม่ได้มีการตั้งให้ครบ จึงได้ตั้งคณะกรรมการร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงขึ้น เพื่อจัดตั้งหน่วยงานใหม่ภายใต้สังกัดขึ้นอีก 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมสำรวจและทำแผนที่พลเรือน เพื่อให้เป็นแขนขาของกระทรวงในการทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากทั้ง 3 หน่วยงานมีความสำคัญในการพัฒนา ไอซีทีของประเทศ โดยจะผลักดันให้ผ่านสภาได้โดยเร็ว

นอกจากนี้ กระทรวงยังได้จัดงบประมาณ 13 ล้านบาท เพื่ออบรมข้าราชการและพนักงานในกระทรวงกว่า 200 คน ให้มีความรู้ด้านไอซีทีให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าการอบรมในปีแรกจะให้ได้ 100 คน โดยขณะนี้กำลังให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่างหลักสูตรอยู่ คาดว่าในอีก 1-2 เดือนจะเริ่มดำเนินการอบรมได้

แหล่งข่าวจากกระทรวงไอซีทีกล่าวว่า กระทรวงได้ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขึ้น โดยทั้ง 2 สำนักงานจะตั้งเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน เพื่อให้การทำงานคล่องตัวไม่ต้องติดขัดกับระบบราชการจนเกิดไป ขณะเดียวกันก็ได้ร่างกฎกระทรวงไอซีทีแบ่งส่วนราชการกรมสำรวจ และทำแผนที่พลเรือนขึ้นด้วย ซึ่งทั้งหมดกำลังจะผลักดันให้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว

เหตุผลที่ต้องจัดตั้งสำนักงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขึ้น เพราะรัฐมนตรีไอซีทีเห็นว่าการวิจัยและพัฒนามีความสำคัญมาก จึงอยากตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อทำหน้าที่ดำเนินการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม ทั้งในด้านเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการประยุกต์ใช้ไอซีทีให้สอดคล้องกับแผนแม่บทไอซีทีแห่งชาติด้วย โดยหวังว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และเกิดการประยุกต์ใช้ไอซีทีในภาคการผลิตได้อย่างจริงจัง

ขณะเดียวกัน สำนักงานส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จะมีหน้าที่จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาไอซีทีแห่งชาติ รวมถึงสนับสนุนให้มีการใช้ไอซีทีในการพัฒนาประเทศทุกๆ ด้าน ทั้งอุตสาหกรรม พาณิชย์ การศึกษา และทำหน้าที่กระตุ้นเตือนให้สังคมตระหนักถึงความเสี่ยงและภัยที่จะเกิดจากการใช้ไอซีทีไม่เหมาะสม รวมถึงการเสนอแนะมาตรการในการแก้ไขปัญหา พัฒนากฎหมายเกี่ยวกับไอซีทีด้วย

ส่วนหน้าที่ของกรมสำรวจและทำแผนที่พลเรือน คือให้บริหารจัดการด้านแผนที่พลเรือน จัดให้มีการสำรวจจัดทำแผนที่ในมาตราส่วนต่างๆ เพื่อใช้สนับสนุนในการพัฒนาประเทศและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี อาทิ การสำรวจและผลิตแผนที่สำหรับการเกษตร อุตสาหกรรม สาธารณสุข การท่องเที่ยว คมนาคมขนส่ง อุตุนิยมวิทยา ความปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ

หน้า 23

 

โดย: 218 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 14:41:31 น.  

 




คิดอย่างเซียน เขียนอย่างมืออาชีพ เวอร์ชั่น "วันชัย-ภิญโญ" "ศิลปะในการเล่นกับคนหน้าเหลี่ยม"



ชื่ออของ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ หรือ "วันชัย ตัน" รู้จักกันดีในหมู่นักอ่านหนังสือแนวสารคดี รวมถึงเรื่องท่องเที่ยว เพราะเขาไม่เพียงแต่จะเป็นบรรณาธิการบริหาร นิตยสารสารคดี ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีอายุยาวนานกว่า 20 ปี แต่วันชัย หรือ "พี่จอบ" ของน้องๆ ยังมีผลงานเขียนสารคดีขนาดยาวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 ชิ้น

วันชัยบอกว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานของเขา การเดินทางเสาะหาข้อมูลจากลงพื้นที่จริงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนเขียนสารคดี ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการเขียนที่ดีที่สุด

คิดอย่างเซียน เขียนอย่างมืออาชีพ

อีกหนึ่งคือ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks ถือเป็นนักสัมภาษณ์ตัวยง เรียกได้ว่าเป็นมือสัมภาษณ์อันดับต้นๆ ของเมืองไทย เขาเคยก่อตั้งนิตยสาร OPEN ขึ้นในโลกหนังสือ จนได้รับคำชมอย่างกว้างขวางว่าเป็นนิตยสารที่สื่อความคิดด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในสังคมไทยได้อย่างเฉียบคม

ปัจจุบัน "ภิญโญ" มีเว็บไซต์ที่ทำและออกแบบร่วมกับเพื่อนพ้องชื่อ onopen.com ขณะเดียวกันสำนักพิมพ์ openbooks ยังคงผลิตหนังสือกระตุกต่อมปัญญาให้แก่ผู้คนในสังคม ตลอดมา

เมื่อเร็วๆ นี้ วันชัยและภิญโญโคจรมาพบกัน บนเวทีประชาชาติเสวนา ในหัวข้อ "คิดอย่างเซียน เขียนอย่างมืออาชีพ"

"ประชาชาติธุรกิจ" คัดสรรเนื้อหาสาระที่น่าสนใจมาฝากคุณผู้ฟัง ดังต่อไปนี้

หน้า 36



2 คน 2 คม บนโลกน้ำหมึก

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด จบจากโรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ ปี 2522 สอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาวิชาวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ และทำกิจกรรมในรั้วท่าพระจันทร์มาโดยตลอด เช่น เป็นสมาชิกของชุมนุมศิลปการแสดง ทำละครเคลื่อนไหวทางการเมือง เขียนบทงิ้วการเมือง และทำหน้าที่ฝ่ายโค้ชของชุมนุมเชียร์ ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์

สิ่งที่ได้ทำที่ภูมิใจที่สุด คือ การแปรอักษรภาพอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เมื่อปี 2526 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยในรอบ 30 กว่าปี ที่มีการแสดงความเคารพท่านในที่สาธารณะ จนอาจารย์ปรีดีมีจดหมายจากฝรั่งเศส แสดงความขอบคุณที่ยังระลึกถึงท่านอยู่

หลังจบการศึกษา ได้เข้าทำงานในกองบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ต่อมาได้ร่วมก่อตั้งนิตยสารสารคดี ในปี 2528 และดำรงตำแหน่งบรรณาธิการตั้งแต่ พ.ศ.2533 จนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบันนอกจากงานประจำเป็น บ.ก. สารคดีแล้วเขายังดำรงตำแหน่งประธานชมรมนักข่าว สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, รองประธานมูลนิธิโลก สีเขียว, กรรมการบริหารมูลนิธิ สืบนาคะเสถียร และเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์มติชน ใช้นามปากกา วันชัย ตัน

วันชัยมีพี่สาวสุดที่รักยิ่งชื่อ วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ นักต่อสู้เพื่อคนจน ผู้ล่วงลับ

ส่วน ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เกิดที่ จ.จันทบุรี เรียนจบจากคณะพาณิชยศาสตร์การบัญชี จุฬาฯ เคยเป็นผู้สื่อข่าวที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์, Asia Times และบรรณาธิการเซ็กชั่น Business ของนิตยสาร GM เขาเป็นผู้ก่อตั้ง และบรรณาธิการ open นิตยสารทางเลือกที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดเล่มหนึ่งของไทย นิตยสาร open ได้รับรางวัล Young Publisher of the Year 2005 จาก บริติชเคาน์ซิล

นอกจากนี้ ภิญโญยังเป็นบรรณาธิการหนังสือหลายเล่ม อาทิ พิษทักษิณ Open House 1, 2, 3 อิสตรี อีโรติก แฟนฉัน OPEN DRAGON The Chemistry of Movie : มหา"ลัยเหมืองแร่ ส่วนผลงานด้านงานเขียนคือ FOOLSTOP (2545) คุรุ ผีเสื้อ และลมตะวันตก (2546) ไม่นับรวมบทสัมภาษณ์ คนที่น่าสนใจในประเทศไทยอีกหลายคน

หน้า 35


วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ไม้ตียุง-กล้วยแขก-ทักษิณ

บ.ก.สารคดีเริ่มต้นว่า เชื่อมั้ยว่า 4 ปีในมหาวิทยาลัย ผมไม่ค่อยได้เรียนหรอก ส่วนใหญ่จะทำกิจกรรม แต่ก็ต้องเรียนเพราะว่ามันยาก ยากขนาดที่ว่าบางวิชา ถ้าตีโจทย์ผิด ครูก็จะให้ศูนย์เลย ไม่มีประนีประนอม โดยเฉพาะวิชาวรรณคดีอังกฤษเป็นวิชา ที่ค่อนข้างโหด เพราะว่าต้องอ่านภาษาอังกฤษทั้งหมด อ่านเยอะมาก บางทีก็ต้องตีความตั้งแต่บทละคร วรรณคดี วรรณกรรม ไปจนถึงบทกวี

แต่สิ่งที่ได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะสาขาวรรณคดีอังกฤษ ก็คือเราได้รู้จักประวัติศาสตร์สังคมผ่านตัวละคร วรรณคดีอังกฤษมันจะสะท้อนสภาพสังคมทุกๆ ยุคในสมัยนั้น ฉะนั้นเราก็เลยได้เห็นตัวละครที่มีชีวิตชีวาผ่านหน้าหนังสือ ผ่านตัวละคร

ทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์สังคมของคนอังกฤษ เวลาพูดถึงอังกฤษก็จะเข้าใจประวัติศาสตร์สังคมของยุโรป แล้วก็เข้าใจประวัติศาสตร์สังคมของอเมริกันด้วย นี่คือข้อดีในการเห็นอดีต

หลังเรียนจบมาใหม่ๆ ผมไม่คิด (นะ) ว่าจะได้มาทำงานหนังสือ เพราะว่าตอนเรียนหนังสือก็สนใจหลากหลาย แต่เผอิญผมเป็นเด็กยากจน ต้องหาตังค์ ช่วงที่เรียนอยู่ปี 4 ก็ออกมาทำงานที่หนังสือเมืองโบราณ อยู่ฝ่ายศิลป์ครับ สมัยนี้อาจจะจำไม่ได้แล้ว คือมีกระดาษกาวใช้ทำอาร์ตเวิร์ก ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ แล้วก็ต้องแบกเพลตไปโรงพิมพ์ ก็ทำมาตลอด ก็ทำมาพอที่จะมีรายได้เรียนหนังสือ

ถึงช่วงหนึ่ง พรรคพวกที่ทำหนังสือวารสารเมืองโบราณ ก็อยากทำหนังสือสักเล่มหนึ่งที่มันน่าสนใจ ตอนนั้นเราเป็นเด็กที่สุด ก็อยากทำหนังสือ ก็คิดกันว่าอยากจะทำหนังสือที่มันอยู่ได้ แล้วก็เป็นหนังสือที่สวย น่าอ่าน ก็เลยเป็นที่มาของนิตยสารสารคดี

ถึงวันนี้ก็ 25 ปีแล้ว เป็นบรรณาธิการ 18 ปี ก็อาจจะเป็น บ.ก.ที่อายุเยอะ

ที่สุดในประเทศมั้ง (หัวเราะ) เพราะส่วนใหญ่ บ.ก.ในนิตยสารที่ทำเนื้อหาด้วย ค่อนข้างจะมีน้อย คือต้องลงพื้นที่ ทำข้อมูล เขียนหนังสือ ต้องหาโฆษณาเองด้วย ทำหน้าที่หลายอย่าง ทุกวันนี้ผมก็ยังลงพื้นที่อยู่

คือเราเองก็เป็นเหมือนเป็ด คือบินก็ไม่เก่ง เดินก็ไม่เก่ง ว่ายน้ำก็ไม่ได้เรื่อง แต่ถามว่าว่ายได้มั้ย ว่ายได้ ผมก็คล้ายๆ เป็ดนั่นแหละ คือพยายามเปิดโลกกว้าง บวกกับที่เป็นคนชอบสนใจอะไรเยอะแยะไปหมด ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดูดาวก็ชอบ ดูนกก็ชอบ การเมืองก็ชอบอ่าน เรื่องสิ่งแวดล้อมก็ชอบ

ซึ่งข้อดีของการได้รู้แบบเป็ด คือทำให้เราเห็นหลายมิติในเรื่องๆ หนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าผมก็เล่นหุ้น อย่างน้อยก็ 20 กว่าปีมาแล้วนะ ก็เห็นหลายๆ มิติในการมองประเด็นใดประเด็นหนึ่ง คือไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเศรษฐกิจหรอกนะ แล้วก็มามองมิติทางเศรษฐกิจ มาพูดถึงประเด็นใดประเด็นหนึ่ง แต่จะมีความเข้าใจในหลายๆ ประเด็น ก็เลยทำให้เวลาพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือเวลาผมเขียนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผมคิดว่ามันมีประโยชน์ตรงที่ว่า เราสามารถเชื่อมโยงข้อมูลหลากหลายมิติได้อย่างกลมกลืน

ยกตัวอย่าง เรื่อง "สหวิริยา" ผมเคยเขียนในมติชนแล้ว ผมเขียนในหลายมิติ เขียนในมุมเศรษฐกิจ ฉายภาพว่าบริษัทนี้ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร มันขาดทุนมหาศาล แล้วพอดีมันก็มีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับโครงการที่อำเภอบางสะพาน

แล้วเราก็รู้ว่า ธุรกิจเหล็กมันเป็นอุตสาห กรรมที่สกปรกที่สุดในโลกอันหนึ่ง คือในโลกนี้มีอุตสาหกรรมที่สกปรกอยู่ 3 อย่าง คือ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า แล้วก็อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นิวเคลียร์มันสะอาด แต่ว่ากากยูเรเนียมจากโรงงานนิวเคลียร์มันเป็นปัญหามาก อุตสาห กรรมอย่างนี้ค่อนข้างทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ถ้าใครไปดูอุตสาหกรรมเหล็กที่จีนหรืออินเดีย เราจะรู้ว่ามันมีปัญหามลพิษสูงมาก ดังนั้นเวลาผมเขียนก็ไม่ได้มองในมิติเรื่อง สิ่งแวดล้อมอย่างเดียว ผมยังเขียนในเชิงธุรกิจ มิติเรื่องระดับโลก

ลงพื้นที่เก็บข้อมูล คลีนแอนด์เคลียร์

อีกด้านหนึ่งที่มักเขียนออกมาแล้วอาจโดนใจคน คือการที่เราลงพื้นที่เก็บข้อมูลด้วย คือไม่ได้เขียนอย่างเดียว แต่ตาเราต้องเห็นสิ่งที่เราจะเขียนด้วย คือถ้าเป็นไปได้ ผมจะลงพื้นที่ด้วย เพราะเวลาเห็นของจริง มันต่างจากสิ่งที่เราเห็นในอินเทอร์เน็ต

ในเรื่องการเขียน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมเป็นคนใช้หลัก "คลีนแอนด์เคลียร์" สะอาดตา คือสั้นๆ แต่ได้ใจความ แล้วโดยส่วนตัวผมไม่ชอบเขียนอะไรเยิ่นเย้อ แต่ก่อนที่จะเขียน ผมก็ต้องทำตัวเป็นคนอ่านที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็จะบอกตัวเองว่า เราอยากรู้อะไร

แล้วการเขียนหนังสือ ผมเขียนแทนคนอ่านเสมอ ผมเป็นคนชอบอธิบาย ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า คนไม่ได้เข้าใจอะไรมากมายหรอก แล้วผมก็ชอบใช้ภาษาง่ายๆ 20 ปีที่ผ่านมา ผมต้องบอกตัวเองเสมอว่า ผมต้องอธิบาย

เพราะว่าการอ่านที่ดี คือการอ่านแล้วมัน flow อ่านรวดเดียวแล้วมันไม่ติดขัด อันนี้ก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง แต่ว่าสิ่งที่สำคัญก่อนนั้นก็คือว่า เราจะต้องทำตัวเป็นคนที่ไม่รู้เรื่อง แต่นักเขียนส่วนใหญ่จะเขียนหนังสือที่ตัวเองอยากรู้ ผมอาจจะหาข้อมูลมาเป็น 100 เรื่อง แต่ผมอาจจะเลือกใช้ประมาณ 4-5 เรื่อง เพราะว่า 4-5 เรื่องคิดว่าเป็นเรื่องที่คนอยากรู้มากกว่า

อย่างเรื่องสหวิริยา ผมไม่เคยไปพูดถึงประเด็นรายละเอียดว่า เรื่องเขาไปแย่งที่ดินกัน แย่งกันถมที่ดิน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ชนชั้นกลางไม่อยากรู้หรอก แต่ว่าผมจะเขียนว่า อุตสาหกรรมเหล็กมันเหมาะกับประเทศไทยจริงหรือเปล่า ขณะที่ อ.บางสะพานมันเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่บางทีพอกลายเป็นเรื่องธุรกิจก็เหมือนเรากลับมองข้ามไป

ความน่าเชื่อถือ - สังคมแตกแยกกัน

...สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ สำคัญมากนะครับ ผมว่ามันมีอยู่คำหนึ่งเรียกว่า "ความน่าเชื่อถือ" ผมว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ อยู่ที่ความน่าเชื่อถือเลยล่ะ อย่างในนิตยสารสารคดี ผมว่าหัวใจสำคัญก็คือ "ความน่าเชื่อถือ" ผมเองก็เคยเขียนวิจารณ์คุณทักษิณ (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) มาตลอด แต่สิ่งที่ผมใช้คำว่า คุณทักษิณ ผมไม่เคยเรียกทักษิณเฉยๆ เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่เราเสนอคือความจริง ให้คนตัดสินเอง

เราไม่เคยใช้สำนวนโวหารให้คนรู้สึกว่า เราไม่พอใจคุณทักษิณผ่านข้อมูล เรารู้สึกว่าคนที่เป็นนายกฯ เราวิจารณ์ได้ แต่เราไม่สามารถไปลบหลู่เขาได้ ผมคิดว่า บทความหรือข้อเขียนที่มันมีคุณค่าแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องมีคือความน่าเชื่อถือของสิ่งที่คุณกล่าวหา หรือสิ่งที่คุณวิพากษ์วิจารณ์เขา

เวลาผมเขียนคอลัมน์ รู้สึกว่าจะต้องทำงานเยอะ แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่เขียนอะไรยาวๆ ด้วยสำนวนโวหารลากไปได้ แต่ในแต่ละย่อหน้ามันจะต้องซ่อนอะไรบางอย่างไว้ด้วย มันอาจจะยากนะ คือข้อเขียนของผมนอกจากจะกระชับแล้ว การหยอดข้อมูลก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งก็เป็นศิลปะ (นะ) ผมว่าหยอดมาก มันก็อาจจะทำให้สำลักออกมาเลย ก็คือต้องรู้จักหยอด

แต่ประเด็นคือ เรื่องความเป็นกลาง ผมเคยเถียงกับเพื่อนมาตั้ง 10 กว่าปีแล้ว ผมคิดว่า สื่อมันไม่มีความเป็นกลางหรอก สื่อไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกลาง แต่สื่อทำหน้าที่นำความจริงมาบอกคนอ่าน แล้วคนอ่านก็ไปตัดสินเอง

สมัยก่อนเราเคยเชื่อว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล นั่นคือความจริงแท้เมื่อ 500-600 ปีที่แล้ว แต่เราก็มารู้ว่าความจริงที่เราเคยยึดมั่นมาตลอด มันก็ไม่ใช่ กลายเป็นพระอาทิตย์ ซึ่งถ้าถามผม มันก็เป็นความจริง ณ วันนี้ ถ้าพูดในเชิงควอนตัม ฟิสิกส์ ไม่มีอะไรเป็นศูนย์กลางเลย

หมายความว่า เราเองก็พร้อมที่จะเปิดรับความจริงที่มันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข่าวรายวัน การหาข้อมูลมันอาจจะมีสิ่งที่ผิดพลาดเกิดขึ้นได้แน่นอน แต่รายสัปดาห์หรือราย 3 วันก็อาจจะน้อยลง แต่ความผิดพลาดก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าหน้าที่ของเราคือหาข้อเท็จจริงให้กับสาธารณชน แต่อย่าไปยึดมั่นกับความรู้ชุดนั้นๆ

คนไทยทะเลาะกันเยอะ เพราะว่ามีตัวตนเยอะ รัฐบาลก็เหมือนกับน้ำเต็มแล้ว ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ใครพูดมาก็ไม่เชื่อแล้ว เพราะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด ก็เกิดการทะเลาะกันตามความคิด นี่คือสาระสำคัญที่สังคมไทยแตกแยกกันอยู่ทุกวันนี้

ไม้ตียุง - กล้วยแขก - ทักษิณ

ครั้งหนึ่งผมเคยเขียนเรื่องไม้ตียุง เพราะที่บ้านยุงเยอะ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยไปซื้อไม้ตียุงมา ยุงมาเราก็ตีแหลก ก็ชักสนุก แล้วจากที่เคยป้องกันตัวอยู่ในบ้าน ก็ลามไปห้องครัว ห้องกินข้าว สุดท้ายก็ออกไปนอกบ้าน ไปที่ท่อระบายน้ำที่มียุงมากๆ แล้วไม้ตียุงมันเป็น 3 มิตินะ ตียุงตาย แถมได้กลิ่นคาวเลือดด้วย

ก็คิดเปรียบเทียบว่า เหมือนจอร์จ บุช เลยนะ สงครามระหว่างอิรักกับอเมริกา ก็คือวันนี้ ถ้าคนไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีอาวุธ มันก็อาจจะไม่คิดอะไรมาก แต่วันหนึ่งเทคโนโลยีมากขึ้น เราก็ไปรุกรานเขาถึงที่ ผมก็เลยมาเขียนเปรียบเปรยกับการที่เราเอาไม้ตียุงไปล่าฆ่ายุง มันก็เป็นเรื่องของการสังเกตนะว่าเราสังเกตหรือเปล่า

หรืออีกเรื่องหนึ่ง คือแถวออฟฟิศผมจะมีกล้วยแขก แถวนางเลิ้งนั่นแหละ ผมอยู่นางเลิ้งมานาน เชื่อมั้ยว่าเมื่อก่อนกล้วยแขกเนี่ย มีเจ้าเดียวจริงๆ ชื่อแม่กิมเล้ง มันก็อร่อยมาก เป็นกล้วยแขกที่หอม กรอบ อร่อย แล้ว 3 ปีที่ผ่านมา มันก็เริ่มมีหลายเจ้า แม่โน้น แม่นี้ กล้วยแขกเจ้าเก่า ประมาณ 30 เจ้า เป็นเจ้าเก่ากันหมดเลย

จนกระทั่งวันนี้ แม่กิมเล้งเนี่ย คนไม่รู้จักแล้ว คือคนไม่รู้ว่าอันไหนคือของจริง ของเก๊ แล้วสี่แยกแถวนั้นก็กลายเป็นแม่โน่นแม่นี่เต็มไปหมด จากกล้วยแขกที่เคยมีคุณภาพก็หายไปเลย ลูกน้องผมคนหนึ่งมีกล้วยแขกค้างอยู่ในรถประมาณ 2 อาทิตย์ ก็หยิบมากิน ปรากฏว่ายังกรอบอยู่เลย ก็ตกใจ

ก็เปรียบเทียบว่า กล้วยแขกก็ไม่ต่างจากสังคมไทย ที่เป็นสังคมบ้าเห่อตามกระแส อย่างชาเขียว หรือโอท็อป จริงๆ โอท็อปควรจะเป็นสินค้าที่มันควรจะเป็นความภูมิใจของท้องถิ่นเขา แต่ตอนนี้เชื่อมั้ยครับ ไปภูเก็ต ก็มีเครื่องเรือน มีทุกอย่างที่เกี่ยวกับชาวเขาขายทั้งหมด ทุกอย่างก็กลายเป็นแบบว่าแห่กันทำ

ดังนั้นถ้าเราเป็นคนช่างสังเกต เราก็สามารถไปเปรียบเทียบหรือเปรียบเปรยกับปรากฏการณ์ในสังคมที่เป็นเรื่องระดับประเทศได้ เพราะสมมุติฐานก็คือสมมุติฐานเดียวกันหมด ก็เขียนได้

อีกวิธีคือผมจะใช้วิธีว่า สิ่งที่เราเปรียบ เทียบมันต้องกระทบ เป็นเรื่องที่ชนชั้นกลาง คนอ่านอ่านแล้วกระทบ อย่างบ้านผมอยู่สุขุมวิทก็ขับรถทุกวัน ก็ผ่านสยามพารากอน รถก็ติด แต่คนไทยก็ไม่ได้ว่าอะไร ติดก็ติดไป ก็ค่อยๆ ไป ไม่มีบ่น แต่ถ้าลองขับรถไปทำเนียบ เจอชาวบ้านไปประท้วงสิ จะไขกระจกรถด่าสารพัด ก็นำมาเขียนได้เปรียบเทียบได้

จริงๆ ผมว่าการเขียนไม่ยาก แต่ตอนคิดว่าจะเขียนประเด็นอะไรนี่สิ...ยาก แต่ถ้าคิดได้แล้วมันไม่ยากมาก ครึ่งชั่วโมง 1 ชั่วโมงก็เขียนเสร็จแล้ว

ครั้งหนึ่งผมเขียนเรื่องทักษิณไปเดินสายไปตามสัญจรหรือทัวร์นกขมิ้น ผมก็เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ทักษิณไม่เคยไปในที่ที่มีปัญหาเลย ไม่เคยไปปากมูล ไม่เคยไปพื้นที่ภาคใต้ที่มีการฆ่ากันตาย แต่ก็มีคนบอกว่าทักษิณไปหาชาวบ้านตลอดเวลา ซึ่งก็ถูก แต่เขาไม่เคยลงไปหาชาวบ้านที่เขามีปัญหาจริงๆ เลย ไม่เคยไปแก้ปัญหาเลย

คือผมก็เขียนในมุมที่คนหรือนักข่าว อาจจะไม่ได้ทันนึกมากกว่า ซึ่งอีกส่วนหนึ่ง ก็มาจากความกล้า กล้าที่จะเขียน ซึ่งก็อาจมีความเสี่ยงอยู่บ้าง (หัวเราะ)

หน้า 36


 

โดย: 219 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 15:26:56 น.  

 

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เบื้องหลัง "พิษทักษิณ"

เจ้าของสำนักพิมพ์โอเพ่นเปิดประเด็นว่า ...ผมจะเล่าเรื่องตอนทำหนังสือเรื่องพิษทักษิณให้ฟัง ถ้ายังไม่ลืมกันสัก 2-3 ปีก่อน ขณะนั้นเรากลัวคุณทักษิณกันมากๆ เลย แล้วที่ผมคิดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า ตอนนั้นทำสำนักพิมพ์ (OPEN BOOK) อยู่ แต่เป็นช่วงปลายๆ แล้วที่กำลังจะเลิกทำนิตยสาร

ช่วงนั้นก็ไปเดินดูตามแผงหนังสือแล้วพบว่ามันน่าตกใจมาก ที่แผงหนังสือมีหนังสือที่เชียร์ทักษิณ ซึ่งเรียกว่าเป็นหนังสือขาขึ้นของทักษิณประมาณสัก 30 เล่ม ถามว่าเป็นไปได้ยังไงที่ในประเทศหนึ่ง มีนักการเมืองอยู่คนหนึ่งแล้วจะมีแต่ในแง่บวกอย่างเดียว ในต่างประเทศถ้าคุณมีประธานาธิบดี หรือคุณมีนายกรัฐมนตรี ผมว่าหนังสือเกินครึ่งเป็นหนังสือวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำ เพราะข้อตำหนิมีเยอะ

เวลาคุณอยู่ในจุดที่มันมีแสงสว่าง เวลาแสงสว่างตกถึงตัวคุณ ไฟแรงมากซัก 500 วัตต์ จะเห็นรายละเอียดหมดว่า ความผิดพลาดในชีวิตส่วนตัว ความผิดพลาดในชีวิตการทำงาน หรือความผิดพลาดในการดำเนินนโยบาย

ลองไปอ่านเรื่องจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในอเมริกาสิครับ มีแต่หนังสือวิจารณ์บุชเยอะมาก ตั้งแต่วิธีคิด เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องนโยบาย ซึ่งก็เขียนกันดีๆ ทั้งนั้น มีการเขียนรายละเอียดกันถึงขั้นว่า ความผิดพลาดของบุชคืออะไร ปมของบุชหรือพ่อเขาคือจอร์จ บุช คืออะไร คอนเน็กชั่นระหว่างกลุ่ม บุชกับราชวงศ์ในตะวันออกกลางเป็นมาอย่างไร

เขาสามารถเขียนแยกเล่มได้เลยว่า บุชอยู่เทกซัส

แล้วเทกซัสเป็นกลุ่มทุนที่ทำธุรกิจน้ำมัน ฉะนั้นจะมีเส้นสายโยงใยในราชวงศ์ในตะวันออกกลาง แล้วก็คบกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ แล้วกลุ่มทุนที่สนับสนุนประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกาช่วงหลังทั้งหมดคือ กลุ่มทุนน้ำมัน แล้วก็เชื่อมโยงกับกลุ่มที่ค้าอาวุธข้ามชาติ แล้วกลุ่มทุนพวกนี้คือผลักดันให้ตระกูลบุชและอื่นๆ พวกนีโอคอนเซอร์เวทีฟทั้งหลาย ขึ้นไปครองอำนาจในอเมริกา ฉะนั้นถ้าในกรณีแบบอเมริกา หรือกระทั่งในอังกฤษเอง ก็มีการวิจารณ์โทนี่ แบลร์ แม้ว่าคะแนนนิยมจะสูงมาก แต่ตามแผงหนังสือคุณจะไม่เห็นหนังสือชมแบลร์นะ

ดังนั้นมันเป็นเรื่องประหลาดมาก ที่อยู่ดีๆ จะมีการมา "อวย" กันขนาดนั้น ที่น่าสนใจคือ "อวย" แล้วขายได้ พวกผมก็แปลกใจ แล้วมันก็ไม่มีข้อผิดพลาด หรือว่าข้อวิพากษ์วิจารณ์ แล้วช่วงนั้นก็เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น คุณทักษิณก็บารมีเยอะมาก ทุกคนนิ่ง เราก็มานั่งนึกว่า เราจะทำยังไงกันดี

คนที่จะให้สัมภาษณ์เราก่อนออกมาเป็นหนังสือยังเสียวๆ เลยว่าจะให้สัมภาษณ์ยังไงดี เราก็เลยนั่งคิดกันว่าจะสัมภาษณ์ใคร ก็พยายามจะลิสต์คนออกมาให้ครอบคลุมกว้างๆ

แต่ว่าเราต้องไปหาคนแรกก่อน ถ้าคุณได้คนนี้ คนอื่นก็อาจจะยอม คนคนนั้นคือ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ซึ่งอาจารย์สุเมธก็ยังเคืองผมอยู่ หาว่าไปหลอกแก (หัวเราะ)

ผมก็บอกว่า อาจารย์ครับ ผมจะทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับนโยบายรัฐบาลนะครับ ก็บอกอย่างนี้ แต่ไม่ได้บอกว่า ชื่อเรื่อง "พิษทักษิณ" แต่ผมไม่ได้โกหกอาจารย์นะ ผมคิดชื่อได้ทีหลัง ทำหนังสือเสร็จแล้วจึงได้ชื่อหนังสือ พอได้อาจารย์สุเมธ คนอื่นก็เริ่มใจชื้นว่า เหรอ ! มีอาจารย์สุเมธด้วยเหรอ คนอื่นก็เริ่มตอบรับ

ชนะ "ความลวง" ด้วย "ความจริง"

เป็นนักข่าวประเทศไทยคงรู้ว่า ยันต์กันผีนั้นสำคัญ (หัวเราะ) เพราะประเทศไทยผีดุ ในบางเรื่องถ้าคุณรู้สึกว่ามันเป็นผีที่ตัวใหญ่มาก คุณก็จำเป็นต้องใช้ยันต์ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก แล้วมันต้องหลากหลาย ถ้าจะคุยเรื่องนโยบายต่างประเทศ ก็ต้องคุยกับอาจารย์ไกรศักดิ์ (ชุณหะวัณ) ซึ่งอาจารย์โต้งแกก็กล้าที่จะวิจารณ์

เรื่องเศรษฐกิจคุยกับอาจารย์สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ จากทีดีอาร์ไอ ซึ่งก็ตรงไปตรงมา ขึ้นไปคุยกับอาจารย์ฉลาดชาย รมิตานนท์ ที่ จ.เชียงใหม่ หรืออย่างคล้าย พี่จอบ (วันชัย) คือการลงพื้นที่ ผมไปหา ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม

ที่ อ.สนามชัยเขต ฉะเชิงเทรา ไปนอนที่บ้านคืนหนึ่งเลย ผู้ใหญ่แกตื่นเช้า ผมตื่นสาย แต่ในที่สุดก็ได้สัมภาษณ์

ผมคิดว่าบ้านเมืองไทย มีความโชคดีอยู่อันหนึ่ง คือยังเป็นบุญอยู่ ผมว่าลึกๆ แล้ว ประเทศเรายังมีคนกล้าหาญอยู่เยอะ เพียงแต่บางทีเราอาจต้องเดินไปหาเขา คนเหล่านี้แหละที่ช่วยรักษาบ้านเมืองไว้ ไม่ใช่นักการเมืองหรอก ไม่ใช่คนที่ออกโทรทัศน์ทุกเช้า เที่ยง เย็น แล้วก็พูดจาเลอะเทอะกันอยู่ทุกวันนี้

แต่มันคือคนเหล่านี้ คือ ปราชญ์ของแผ่นดิน คือนักคิด นักเขียน นักวิชาการ ชาวนา คนเดินดินธรรมดา แล้วมีภูมิรู้ มีความรู้อยู่จริง คุณแค่ไปนั่งคุยกับเขาอย่างที่คุณมีความสงสัยและมีฐานความรู้อยู่บ้าง สิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมด มันจริงมากๆ เลย

และถามว่าอะไรที่จะเอาชนะความเท็จ ชนะความลวง และอำนาจที่มันไม่เป็นธรรมได้ ผมว่ามีอยู่อย่างเดียวคือ "ความจริง" ฉะนั้นหน้าที่ของเราที่เป็นนักข่าวในวันนั้นก็คือ เดินไปหาคนที่กล้าพูดความจริง แล้วเมื่อความจริงออกมา ก็ปรากฏว่ามันทิ่มแทงใจคน ฉะนั้นเรามีหน้าที่ไปหาความจริง เอาความจริงมาร้อยเรียงให้มันเห็นภาพความจริงทั้งหมดว่า สังคมไทยในชั่วโมงนั้นมันเผชิญหน้ากับอะไรอยู่

ผมเดินไปสัมภาษณ์พี่เก๊ (ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์) โดยที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว แกก็น้อยอกน้อยใจว่า การที่ต้องสู้กับคนอย่างทักษิณ แล้วโฆษณาหนังสือพิมพ์มันหายไปเยอะ คนดีๆ ก็อาจกลายเป็นคนที่ไม่เอาไหนขึ้นมาได้

แต่บางทีสถานการณ์มันบีบบังคับคุณ ซึ่งบางทีคุณต้องเลือกข้าง แล้วถ้าคุณเลือกข้างที่มันเป็นเสียงส่วนใหญ่ คุณก็ปลอดภัยเพราะคุณพวกเยอะ แต่พอวันหนึ่งเมื่อมันมีปัญหาใหญ่ๆ ขึ้นมาในชีวิตคุณว่า เสียงส่วนใหญ่มันถูกหรือเปล่าวะ ที่เฮกันอยู่มันจะเฮกันไปลงเหวหรือเปล่า คุณยังจะเดินตามไปลงเหวอยู่มั้ย

หรือคุณจะเริ่มตั้งคำถามบางอย่างในชีวิตคุณ แล้วคุณฉุกคิด แล้วคุณก็เริ่มมองหาว่า เสียงส่วนน้อยควรจะมีโอกาสได้พูดอะไรที่เป็นทางออกใหม่ๆ ให้สังคมได้ขบคิดหรือเปล่า แล้วเราหาคนเหล่านั้นเจอมั้ย เราจะร้อยเรียงกันแล้วค่อยทำให้เสียงเหล่านั้นมันดังขึ้นบ้างมั้ย

ช่วงที่เริ่มทำหนังสือพิษทักษิณ ช่วงนั้นก็มีหนังสือซีรีส์รู้ทันทักษิณของอาจารย์เจิมศักดิ์ (ปิ่นทอง) พอเริ่มมีการคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา คนก็เริ่มเห็น กระแสก็เลยก่อตัวขึ้นมา

ในช่วงนั้นที่ทำ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ยังเชียร์คุณทักษิณอยู่เลย ผมไปงานเปิดตัวหนังสือพิมพ์ผู้จัดการยุคเปลี๊ยนไป๋ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันนั้นคนที่ควรจะต้องปาฐกถาคือ อาจารย์สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีคลังในตอนนั้น ซึ่งเคยเป็นกรรมการของบริษัทผู้จัดการ

อาจารย์สมคิดเดินเข้ามาในงานด้วยท่าที อ่อนแรงมาก แต่บอกว่าพูดไม่ไหวแล้ว ขอไม่พูด ให้คุณสนธิเป็นคนพูดแทน ผมก็ตามอาจารย์สมคิดเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง แกก็นั่งท่าหมดแรงเลยนะ แล้วก็บ่นเรื่องการเมืองให้ฟัง แต่อาจารย์ก็อยู่ในการเมืองมาตลอด (หัวเราะ) คนที่เดินมาพร้อมกับอาจารย์สมคิด ก็คือ คุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ แกก็ดูสนิทสนมกับอาจารย์สมคิดมากนะ

คุณสนธิลุกขึ้นไปพูดบนเวที แล้วก็บอกว่า การเมืองไทยมันควรจะเดินเข้าสู่ยุคใหม่ที่มันแบ่งขั้วชัดเจน คือสื่อมวลชนก็เลือกข้างกันเหมือนอเมริกาไปเลย ว่าถ้าคุณเป็นเดโมแครต คุณก็ประกาศตัวว่า หนังสือเราสนับสนุนเดโมแครต ถ้าคุณเป็นรีพับลิกัน ก็บอกไปเลยว่าสนับสนุนรีพับลิกัน

แล้วคุณสนธิก็บอกว่า ผมก็ไม่ลังเลที่จะสนับสนุนคนอย่างคุณทักษิณ ชินวัตร ก่อนหน้าเมืองไทยรายสัปดาห์สัก 1 ปี แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมา ผู้จัดการก็เปลี๊ยนไป๋อีกทีหนึ่ง จนมาถึงปัจจุบัน

ดังนั้นถ้าคุณตามการเมืองไทย หรือตามผู้คนเหล่านี้ คุณจะมีเรื่องประหลาดใจเยอะมาก ว่าท้ายที่สุดแล้ว พอเปิดไฟสว่างขึ้นมา ยืนกันอยู่ตรงไหน ที่บอกว่ายืนกันแม่นๆ ตกลงยืนอยู่ตรงไหนแน่ บางทีกลับมารอบนี้ก็อาจจะเห็นคนกระโดดไปมากันอีกก็ได้

กลายเป็นว่าการเมืองไทยมันเลยไม่เหลือหลักการ หรืออุดมการณ์อะไรที่แท้จริง ซึ่งในภาวะอย่างนี้ คนทำหนังสือ หรือคนทำข่าว มันลำบากมาก

ดังนั้นนอกจากจะไม่มีจุดยืนแล้วในเมืองไทย อย่างพวกฝ่ายซ้าย 6 ตุลา สามารถมารวมกับรัฐบาลสมัคร (สุนทรเวช) ได้ เราไม่มีข้างที่ชัดเจน แล้วไม่มีที่จะให้ซุกหัวนอนด้วย เพราะคุณไม่รู้ว่าจะยืนอยู่ตรงไหน ทางออกของเราคืออะไร

สังคม citizen reporter

ภาวะแบบนี้มันทำงานได้ยากมาก ถ้าคิดในเชิงอุดมการณ์นะครับ และในเชิงการทำงานต่อไปในอนาคตข้างหน้า การจะยืนระยะของสื่อมวลชนยุคนี้ มันถูกท้าทายอย่างหนัก คุณจะยืนยังไงให้มั่นคง คุณจะเสนอข่าวแบบไหน คุณควรจะรักษาความเป็นกลางมั้ย มันมีมั้ย

หรือคุณควรจะเลือกข้าง แล้วเลือกข้างยังไงให้มันเป็นกลาง ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แล้วมันท้าทายมากนะ แค่ประเด็นทางการเมืองในประเทศเรา

ยังไม่ต้องพูดถึงบริบทโลกที่มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แล้วมันค่อนข้างที่จะบีบ ชีวิตคนทำข่าวอยู่ทุกวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าบรรยากาศที่นั่งคุยกันอยู่แบบนี้ มีคนเยอะๆ นั่งฟัง มีนักศึกษามานั่งฟัง มันยังจะอยู่ในสังคมข่าวสารประเทศนี้ได้สักกี่ปี

โชคดีที่ประเทศเราล้าหลังแล้วก็ปรับตัวช้า ก็อาจจะเห็นบรรยากาศแบบนี้อีกซัก 10 ปี 20 ปี แต่ถ้ามันปรับตัวเร็ว กองบรรณาธิการมันอาจจะเปลี่ยนไปได้เร็วกว่านี้ จำนวนคนอาจจะลดลงไป บทบาทของหนังสือพิมพ์น่าจะเปลี่ยนไป

คือรูปแบบของการเกิดขึ้นของสื่อใหม่ๆ มันเข้ากำลังเข้าไปท้าทายพวกสถาบันทั้งหลาย มันสามารถเข้าไปตรวจสอบได้อย่างถึงพริกถึงขิง โดยมีคนทำงานเพียงแค่สัก 10 คนก็ได้ ถ้าคุณมีกล้องสักตัวหนึ่ง มันเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้หมดเลยนะ คือวิธีทำข่าว วิธีการทำงานมันจะเปลี่ยนไปหมด แล้วต่อไปคุณก็เป็นเจ้าของสื่อด้วยตัวคุณเอง

คุณอาจจะเป็นบล็อกเกอร์ แต่เป็นบล็อกเกอร์ที่ทรงอิทธิพลมากๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วคนเข้าไปอ่านบล็อกของคุณเยอะมากๆ คุณก็สามารถเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงอะไรได้เยอะมาก แล้วสิ่งเหล่านี้มันกำลังจะมาเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน รวมทั้งในที่สุดก็อาจจะเปลี่ยนวิธีเขียนด้วย

ถามว่าเราจะรักษาท่าทีของความเป็น กลางไว้ได้อย่างไร ในเมื่อเราคุยกับสาธารณะ ผมว่ามันเป็นศิลปะแล้วล่ะ มันคงตอบได้ยาก คือมันก็เป็นศาสตร์ด้วยนะ แต่มันเป็นศิลปะที่คุณจะต้องเดินไต่ไปบนความแตกต่างระหว่าง 2 ข้าง

หน้า 36

 

โดย: 220 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 15:33:51 น.  

 

เผยระนองมีกว่า12เครือข่ายค้าแรงงานข้ามชาติ


ดีเอสไอเผยเครือข่ายค้าแรงงานข้ามชาติพื้นที่ระนองมีกว่า 12 เครือข่ายพร้อมประสานตำรวจภูธรภาค 8 ตั้งข้อหาดำเนินคดีตามพ.ร.บ.ป้องกันการค้าหญิงและเด็ก ซึ่งมีบทลงโทษหนักกว่าคดีลักลอบขนแรงงานต่างด้าวให้กันผู้รอดชีวิตไว้เป็นพยานเอาผิดและยึดทรัพย์ทั้งขบวนการ


(14เม.ย.) พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้บัญชาการสำนักกิจการต่างประเทศ และคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่จังหวัดระนอง เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่า จนเป็นเหตุให้มีแรงงานต่างด้าวเสียชีวิตคาตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็น 54 ศพ ว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ดีเอสไอร่วมกับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ดำเนินคดีกับขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ

ทั้งนี้เนื่องจากคดีดังกล่าวถูกจับตาจากองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่ผ่านมาคดีลักลอบขนแรงงานข้ามชาติ ตำรวจจะดำเนินคดีกับแรงานต่างด้าวในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง และแจ้งข้อหานำพาคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกับคนขับรถ หากมีแรงเสียชีวิตขณะขนส่งก็จะเพิ่มข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ซึ่งข้อหาดังกล่าวมีบทลงโทษต่ำ ทำให้ผู้กระทำผิดไม่เกรงกลัว

พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวอีกว่า ขณะนี้พ.ร.บ.การค้ามนุษย์ยังไม่มีผลบังคับใช้ ดีเอสไอจึงเสนอให้ตั้งข้อหาดำเนินคดีกับขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติตามพ.ร.บ.มาตรการป้องกัน การค้าหญิงและเด็กซึ่งจะมีผลให้สามารถยึดอายัดทรัพย์ได้ผู้เกี่ยวข้องทั้งขบวนการเนื่องจากการสืบสวนเชิงลึกพบว่าขบวนการค้าแรงงานเถื่อนจะเรียกเก็บค่าหัวคิวจากแรงงานต่างด้าวแบ่งเป็นค่าโดยสารเรือจากเกาะสอง ประเทศพม่า มายังจ.ระนอง ค่าเหยียบแพปลาหัวละ 100-200 บาท ค่าขนส่งทางรถยนต์หัวละ 1,000 บาท โดยเฉลี่ยขบวนการค้าแรงงานเถื่อนจะได้ผลประโยชน์จากการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศเที่ยวละไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท คดีค้าแรงงานต่างด้าวจึงต้องจัดเป็นคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องปราบปรามด้วยการยึดอายัดทรัพย์ เพื่อทำให้เครือข่ายผู้กระทำผิดหลาบจำ

“หากดำเนินคดีกับขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ ตามพ.ร.บ.ป้องกันการค้าหญิงและเด็กแรงงานต่างด้าวที่มีชีวิตรอดกว่า 50 คน จะถูกกันเป็นพยานในคดีอาญา ไม่ใช่เพียงผู้ต้องหาที่ต้องผลักดันกลับประเทศพม่า ทั้งนี้สำนักงานคุ้มครองพยาน กระทรวงยุติธรรม จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดูแลพยานชาวพม่า เพื่อให้สะดวกในการนำตัวพยานขึ้นเบิกความเอาผิดกับขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ”พ.ต.อ.สุชาติกล่าวและว่าจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับตำรวจภูธรภาค 8

ซึ่งรวบรวมข้อมูลเครือข่ายค้าแรงงานข้ามชาติในจ.ระนองไว้ 17 เครือข่าย โดยนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลของดีเอสไอ

จำนวน 12 เครือข่าย เพื่อขยายผลการสอบสวนร่วมกัน ดีเอสไอยังเร่งเก็บข้อมูลเครือข่ายค้าแรงงานต่างด้าวในอ.สังขละบุรี

จ.กาญจนบุรี และอ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งจะขนแรงงานพม่าเข้ามาขายแรงงานในจ.สมุทรสาครอีกด้วย

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เจ้าของรถตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็นที่ใช้เป็นพาหนะขนแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศไทยประกอบธุรกิจค้ารถยนต์มือสอง จึงเป็นประเด็นต้องขยายผลว่า ซื้อรถห้องเย็นมาเพื่ออะไร ทั้งที่ไม่ได้ทำธุรกิจแพปลาอีกทั้งรถยนต์ดังกล่าวยังถูกดัดแปลงสภาพ หากดูภายนอกจะเป็นรถขนอาหารทะเล แต่ภายในห้องเย็นได้ถูกแปลงสภาพเป็นตู้คอนเทนเนอร์ที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ไม่ใช่เครื่องปรับอุณหภูมิ ดังนั้นจึงต้องเร่งรวบรวมหลักฐานว่ามีการดัดแปลงรถยนต์สำหรับใช้ขนส่งแรงงานต่างด้าว เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่หรือไม่

 

โดย: 222 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 15:43:49 น.  

 

สงกรานต์ ธนาคารออมสิน


14 เมษายน 2551 กองบรรณาธิการ

เปิดที่มา "ปฏิทินสงกรานต์" เป็นปฏิทินไทยที่เริ่มจัดทำขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยยึดถือคำทำนายทางโหราศาสตร์ไทย เป็นตัวสื่อออกมาทางภาษาภาพ


ส่วนตารางในการดูวันเดือนปี เริ่มนับเอาวันที่ 13 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยตามการนับวันทางสุริยคติ

นายยุทธพงษ์ เรืองหิรัญ หัวหน้ากลุ่มศิลปกรรม ธนาคารออมสิน ธนาคารของรัฐ ซึ่งได้จัดทำปฏิทินสงกรานต์แจกประชาชนมาช้านาน ให้ข้อมูลว่า เมื่อประมาณสมัยรัชกาลที่ 4 ช่วงเทศกาลสงกรานต์ในวันถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ทางราชการจะนำเอา "แผ่นประกาศสงกรานต์ของหลวง" หรือรูปมหาสงกรานต์มาแขวนไว้หน้าพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย เพื่อให้ประชาชนที่สนใจมาดูประกาศการทำนายทายทักสถานการณ์ความเป็นไปในรอบปี พร้อมทั้งวันฤกษ์งามยามดีที่เหมาะสมสำหรับประกอบกิจกรรมอันเป็นมงคล ซึ่งมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจ และจุดนี้เองนับเป็นแนวความคิดริเริ่มที่ก่อให้เกิดปฏิทินสงกรานต์ขึ้น

ปฏิทินสงกรานต์ ได้มีการจัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 5 และได้มีการนำเอาตารางบอกข้างขึ้น ข้างแรม และวันเดือนปี ทางสุริยคติและจันทรคติใส่เข้าไปด้วย โดยยึดเป็นต้นแบบพิมพ์ตามนั้นเรื่อยมา

แต่ในปัจจุบันปฏิทินสงกรานต์ที่ทำตามแบบคติโบราณดั้งเดิมแทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว คงเหลือเพียงหน่วยงานแห่งเดียวเท่านั้นที่ยังมิได้ละทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ในการจัดพิมพ์ปฏิทิน คือ "ธนาคารออมสิน" ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความใกล้ชิดผูกพันกับประชาชนมาช้านาน ด้วยการจัดทำสิ่งของที่ระลึกไว้แจกจ่ายประชาชนที่นำเงินมาฝากในวาระสำคัญ หรือเทศกาลต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการออมทรัพย์และเป็นสื่อเชื่อมโยงความเอื้ออาทรผูกใจกัน จนถึงปีนี้ธนาคารออมสินก่อตั้งมาครบ 95 ปีแล้ว

นายยุทธพงษ์ เรืองหิรัญ หัวหน้ากลุ่มงานศิลปกรรม ธนาคารออมสิน กล่าวว่า ปฏิทินสงกรานต์เริ่มพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ.2494 ศิลปินยุคบุกเบิก คือ อาจารย์ประสงค์ ปัทมานุช ศิลปินแห่งชาติ โดยมีอาจารย์โพธิ์ ใจอ่อนน้อม พนักงานธนาคารออมสิน เป็นผู้ชักชวนเข้ามาทำงานวาดภาพปฏิทินสงกรานต์ รูปแบบการวาดภาพจิตรกรรมของ อ.ประสงค์มีความงดงามทางศิลปะแบบเหมือนจริง ตัวนางสงกรานต์ เทวดา นางฟ้า ที่เป็นบริวารห้อมล้อมนางสงกรานต์เน้นทรวดทรงสรีระอย่างภาพนู้ด มีมิติความนูนโค้งได้สัดส่วนและให้แสงเงาเสริมบรรยากาศดูกลมกลืนบนสรวงสวรรค์

นายยุทธพงษ์ กล่าวว่า อ.ประสงค์เป็นผู้วางแนวทางที่ดีในการวาดปฏิทินสงกรานต์ โดยฉีกแนวออกมาจากจิตรกรรมไทยโบราณมาเป็นจิตรกรรมไทยร่วมสมัย ท่านทำงานเป็นเวลา 23 ปี ก็เกษียณอายุและมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจิตรกรผู้วาดเรื่อยมา

การวาดภาพปฏิทินสื่อคำทำนายทางโหราศาสตร์ จะได้ข้อมูลจากโหรหลวง สำนักพระราชวัง ซึ่งตามประเพณีปฏิบัติแล้ว ก่อนจัดพิมพ์ปฏิทินสงกรานต์ โหรพราหมณ์จะเป็นผู้นำคำทำนายขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงพระราชวินิจฉัย และลงพระปรมาภิไธยเห็นชอบก่อน จากนั้นโหรจะส่งคำทำนายมาถึงธนาคารออมสินและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อจัดทำเป็นปฏิทินสงกรานต์เผยแพร่ประชาชนได้

"องค์ประกอบหลักปฏิทินมีนางสงกรานต์ เทวดานางฟ้าถือพระเศียรท้าวกบิลพรหม และตัวราศีประจำปี โดยจิตรกรจะนำคำทำนายจากโหรหลวงมาดูว่า นางสงกรานต์ปีนี้คือใคร ใช้อะไรเป็นพาหนะ มีนาคให้น้ำกี่ตัว นางสงกรานต์เสด็จมาเวลาใด จากนั้นจึงเขียนภาพตามคำทำนายของโหร ส่วนการออกแบบองค์ประกอบรอง ผู้วาดจะต้องกำหนดรูปแบบขึ้นเองตามความคิดสร้างสรรค์ เช่น ลายซุ้มล้อมคำทำนาย บางคนวาดลายกระหนก บางคนเขียนลายเครือเถาว์" หัวหน้ากลุ่มงานศิลปกรรมธนาคารออมสินกล่าว

นางสงกรานต์ประจำปีนี้ คือ "นางทุงสะเทวี" ธิดาองค์โตของท้าวกบิลพรหม ซึ่งมีธิดา 7 องค์ตามวันทั้ง 7 ในสัปดาห์ ตามตำนานนางสงกรานต์เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิก หน้าที่ของนางสงกรานต์ทั้ง 7 คน คือ ต้องอัญเชิญพานใส่พระเศียรของท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ ปีใดจะตกเป็นหน้าที่ของใครอยู่ที่ว่า วันมหาสงกรานต์ในปีนั้นจะตรงกันวันใด ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ก็เป็นหน้าที่ของ "นางทุงสะเทวี"

มีข้อสังเกตเกี่ยวกับนางสงกรานต์ ที่ประดับบนพาหนะจะมีอิริยาบทแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษ กล่าวคือ รุ่งเช้าถึงเที่ยงวัน นางยืนบนพาหนะ เที่ยงวันถึงหกโมงเย็น นางนั่งบนพาหนะ หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน นางนอนลืมตาบนพาหนะ และเที่ยงคืนถึงรุ่งเช้า นางนอนหลับตาบนพาหนะ

ภาพวาดปฏิทินสงกรานต์ของธนาคารออมสินปีนี้ เป็นผลงานของ จงเจตน์ ตนุธรณ์ วาดภาพ "นางทุงสะเทวี" ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม สวมเครื่องประดับอาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือสังข์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังครุฑเป็นพาหนะ โดยมีตัวราศีประจำปีคือ หนู (ปีชวด) นางฟ้าและเทวดากำลังบรรเลงเครื่องดนตรีวงมโหรี มีนาคพ่นน้ำ 4 ตัว

คำทำนายทางโหราศาสตร์มีดังนี้ ปีนี้ วันพุธเป็นธงชัย วันอังคารเป็นทั้งอธิบดีและอุบาทว์ วันพฤหัสบดีเป็นวันโลกาวินาศ ปีนี้วันอาทิตย์เป็นวันอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 400 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 40 ห่า ตกในมหาสมุทร 80 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 120 ห่า ตกในเขาจักรวาล 160 ห่า นาคให้น้ำ 4 ตัว เกณฑ์ธัญญาหารได้เศษ 2 ชื่อ วิบัติ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผลกึ่งเสียกึ่ง เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีวาโย (ลม) น้ำน้อย นอกจากนี้ยังมีวันจันทร์ดับ ทางปฏิทินโหราศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2551-31 มี.ค.2552 วันหยุดทางราชการ รวมทั้งวิธีการนับยามตามกาลโยคอีกด้วย

สำหรับปฏิทินสงกรานต์ยุคเก่าๆ ธนาคารออมสินยังคงเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารออมสิน เพื่อให้ผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปฏิทินสงกรานต์ ตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ.2495 ปีมะโรง วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันอาทิตย์ นางทุงสะเวทียืนมาบนหลังครุฑ ปี พ.ศ.2497 ปีมะเมีย วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันอังคาร "นางรากษสเทวี" เสด็จมาหลังหมู ปี พ.ศ.2498 ปีมะแม วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันพุธ "นางมณฑาเทวี" เสด็จมาบนหลังลา ปี พ.ศ.2500 ปีระกา วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันเสาร์ "นางมโหธรเทวี" มีนกยูงเป็นพาหนะ

แม้ปฏิทินสงกรานต์เหล่านี้ จะอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา แต่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอเข้าชมปฏิทินสงกรานต์ ตลอดจนสิ่งของที่ระลึกอีกมากมายได้ที่ คุณปรีดาพร ไพศาลนันทน์ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ธนาคารออมสิน โทร.0-2299-8000 ในวันและเวลาราชการ.

///////////////
www.thaipost.net

 

โดย: 223 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 16:01:53 น.  

 

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3992 (3192)

เศรษฐินี "เฉิง หยาน" ผู้สร้างอาณาจักรพันล้านจากขยะ



ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า บรรดา "ขยะ" ที่เราทิ้งกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะ มีค่าดั่ง "ทอง" และกลายเป็นอาชีพที่สร้างความร่ำรวยให้คนหลายๆ คน รวมถึงเศรษฐีนีชาวจีน "เฉิง หยาน" ที่ขึ้นแท่นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของจีนใน ปี 2549 และติดอันดับมหาเศรษฐีระดับ พันล้านในทำเนียบของ "ฟอร์บส" ในปีเดียวกัน ด้วยมูลค่าทรัพย์สินใน มือถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์

เธอผู้นี้สร้างเนื้อสร้างตัวจนติดอันดับโลกจากธุรกิจรีไซเคิลกระดาษ จนหลายคนเรียกขานเธอว่า "ราชินีแห่งขยะ" (Queen of Trash)

โดยเธอเป็นผู้ก่อตั้งและควบตำแหน่งประธานบริหารบริษัท "ไนน์ ดราก้อน เปเปอร์" ซึ่งรับซื้อเศษกระดาษในตลาดสหรัฐ จากนั้นจะนำไปผ่านกระบวนการรีไซเคิลเพื่อทำเป็นกระดาษแข็งที่เรียกว่า paperboard สำหรับนำไปใช้ผลิตกล่องบรรจุสินค้าในจีน

หลังจากเปิดดำเนินการมากว่า 12 ปี รายงานผลกำไรของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 ไนน์ ดราก้อน เปเปอร์ มีกำไรราว 270 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 19 เท่าตัวเมื่อเทียบกับในปี 2546 ซึ่งปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่ๆ ของไนน์ ดราก้อนฯ อาทิ โคคา-โคลา ไนกี้ และโซนี่

ที่จริงแล้ว ก่อนหน้าที่ "เฉิง หยาน" จะสร้างอาณาจักรธุรกิจรีไซเคิลกระดาษ จนใหญ่โตอย่างในปัจจุบัน เธอเริ่มต้น ธุรกิจจากการเปิดบริษัทซื้อขายกระดาษในฮ่องกงเมื่อปี 2528 ด้วยเงินลงทุนเพียง 3,800 ดอลลาร์ ซึ่งรับซื้อเศษกระดาษ จากสหรัฐ

ต่อมาในปี 2533 เธอย้ายไปอยู่ที่ลอสแองเจลิส และแต่งงานกับสามีคนที่ 2 ซึ่งเกิดที่ไต้หวัน แต่ไปเติบโตที่บราซิล จากนั้นก็ตั้งบริษัทส่งออกกระดาษชื่อ "อเมริกา ชุง นัม" ซึ่งเป็นบริษัทผู้ส่งออกกระดาษขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และเป็นผู้ส่งออกไปตลาดจีนรายใหญ่ที่สุด

เธอเดินทางกลับไปฮ่องกงในปี 2538 และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท "ไนน์ ดราก้อน เปเปอร์" ร่วมกับสามีและน้องชาย เพราะมองเห็นโอกาสจากความต้องการมหาศาลในตลาดจีน โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ย่านตงกวน และสามารถระดมเงินได้มากถึง 500 ล้านดอลลาร์จากการขายหุ้น ไอพีโอในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อเดือนมีนาคม 2549

"เฉิง หยาน" ในวัย 50 ปีเคยให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีไว้ว่า เธอเพิ่งจะอายุ 20 กว่าๆ เท่านั้นในตอนที่เริ่มเข้ามา สู่ธุรกิจนี้ใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นเศษกระดาษยังเป็นของที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นแค่ขยะสกปรก ซึ่งก็ไม่ต่างกับที่เธอรู้สึกในตอนแรก

แต่เธอเริ่มค้นพบศักยภาพของธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เมื่อได้ร่วมงานกับบริษัทผลิตกระดาษในเมืองเสิ่นเจิ้นเมื่อทศวรรษ 1980 ซึ่งถือเป็นยุคบูมของบริษัทผู้ส่งออก สัญชาติจีน และกำลังหิวกระหายกล่องกระดาษสำหรับใส่สินค้าส่งออกไป ต่างประเทศอย่างมาก

ขณะที่กระดาษที่ผลิตในจีนยังด้อยคุณภาพและมีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่มองเห็นโอกาสทำเงินจากธุรกิจรีไซเคิลกระดาษ ซึ่งเธอเปรียบว่า ขยะจากกระดาษเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่มีค่าเช่นเดียวกับป่าไม้ เพราะกระดาษรีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ได้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปัจจุบัน ไนน์ ดราก้อน เป็นบริษัท ผู้ผลิต paperboard รายใหญ่สุดของจีน โดยมีเครื่องจักร 13 ตัว ซึ่งมีความสามารถในการผลิตราว 4.5 ล้านตัน ต่อปี และมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 72% เป็นปีละ 7.75 ล้านตันในปี 2551 และเพิ่มเป็น 10.15 ล้านตัน ภายในปี 2552 โดยเตรียมลงทุนสร้างโรงงานแห่งที่ 4 ในหนิงเหอมูลค่า 2.3 พันล้านหยวน เพิ่มจาก 3 โรงงานที่มี อยู่ในฉงชิ่ง ตงกวน และไทคัง

"รีซอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ซิสเต็มส์" ประเมินว่า ความต้องการใช้กระดาษประเภทนี้ในจีนจะเพิ่มขึ้น เป็น 34 ล้านตัน ภายในปี 2553 หรือราว 24% ของความต้องการรวม ทั้งโลก

นั่นทำให้ราคาขยะประเภทกระดาษ เพิ่มขึ้น เพราะกระดาษ paperboard ได้กลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญไปแล้ว โดยนับถึงเมื่อปลายปี 2550 ราคาเศษกระดาษเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 135 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มจาก 100 ดอลลาร์ในช่วงปลายยุค 1990

เคล็ดลับความสำเร็จของ "เฉิง หยาน" อยู่ที่ความสามารถในการมองไปข้างหน้า

"การทำนายความต้องการของตลาดได้ไกลกว่าคู่แข่ง เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้"

หน้า 4 ประชาชาติออนไลน์


 

โดย: 224 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 16:13:52 น.  

 

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10992

ยูเนสโกจับมือกรมศิลป์เปิดเว็บ

มรดกโลกสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ให้ข้อมูล-หลังนักท่องเที่ยวขาดความเข้าใจ



รายงานข่าวจากกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) แจ้งว่า องค์การยูเนสโกร่วมกับกรมศิลปากรเปิดตัวเว็บไซต์แหล่งมรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้ที่สนใจไปเยี่ยมชมมรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกได้แล้วที่เว็บไซต์ //www.archaeological-data.go.th/Website/HTM/index.htm ทั้งนี้ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร ถือเป็นแหล่งมรดกโลก 1 ใน 5 ของประเทศไทย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในปี พ.ศ.2534 แต่มีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และทราบว่ามรดกโลกแห่งนี้ไม่ได้หมายถึงแต่เฉพาะอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชรอีกด้วย ซึ่งอุทยานประวัติศาสตร์ทั้ง 3 แห่งนี้มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกันในหลายด้าน และถือได้ว่าเป็นอาณาจักรแห่งแรกของชาวไทย

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากการสำรวจทางสถิตินักท่องเที่ยวระหว่างเดือนตุลาคม 2548-กันยายน 2549 พบว่า อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 457,000 คน ในขณะที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชรมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพียง 1 ใน 3 ของสุโขทัยเท่านั้น โดยนักท่องเที่ยวจะใช้เวลาเยี่ยมชมอุทยานทั้ง 3 แห่ง โดยเฉลี่ย 1-3 ชั่วโมง และส่วนใหญ่จะไม่เยี่ยมชมมรดกโลกแห่งนี้ครบทั้ง 3 อุทยาน เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจ ความตระหนักของนักท่องเที่ยวต่อมรดกโลกแห่งนี้ ซึ่งนักท่องเที่ยวบางส่วนยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องว่า อุทยานประวัติศาสตร์ทั้ง 3 แห่งนี้มีความคล้ายคลึงกัน

"องค์การยูเนสโกจึงร่วมกับกรมศิลปากรจัดทำแผนสื่อความหมาย เพื่อนำเสนอความเชื่อมโยงระหว่างอุทยานประวัติศาสตร์ทั้ง 3 แห่ง ในฐานะที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน ซึ่งการประชาสัมพันธ์อุทยานทั้ง 3 แห่งร่วมเสมือนเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หนึ่งเดียวนั้นจะทำให้นักท่องเที่ยวสนใจในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชรมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะใช้เวลาในอุทยานและในจังหวัดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นให้ดีขึ้น"

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การพัฒนาเว็บไซต์เป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร โดยบนเว็บไซต์จะนำเสนอข้อมูลหลายประเภท เช่น เส้นทางศึกษาทางวัฒนธรรมระหว่าง 3 อุทยาน แผนที่แสดงเส้นทางศึกษาทางวัฒนธรรมในแต่ละอุทยานสำหรับผู้ที่มีเวลา 1 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีเวลาครึ่งวัน และสำหรับผู้ที่มีเวลาท่องเที่ยวเต็มวัน การเปลี่ยนแปลงของเมืองต่างๆ ตามกาลเวลา และอื่นๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจภาพรวมของอาณาจักรสุโขทัยที่ชัดเจนมากขึ้น

"โครงการนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก International Safeguarding Campaign for Sukhothai และดำเนินการโดยศูนย์เพื่อการวางแผนการท่องเที่ยวและการแก้ปัญหาความยากจนแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับนักโบราณคดี และเจ้าหน้าที่ประจำแหล่งท่องเที่ยว องค์การยูเนสโกยังมีแผนที่จะนำรูปแบบการพัฒนาสื่อความหมายจากโครงการนี้ไปประยุกต์ใช้กับแหล่งภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อื่นในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งส่วนใหญ่มักประสบปัญหาคล้ายคลึงกันในการถ่ายทอดความเข้าใจแบบองค์รวม"

หน้า 23 มติชนออนไลน์

 

โดย: 225 IP: 58.9.140.87 14 เมษายน 2551 16:23:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.