เชียงคานครั้งแรก...ทริปนี้ที่ฉันป่วย
29 Oct 2010
หนึ่งทุ่มครึ่งนัดเจอกันที่ออฟฟิศ เพื่อออกเดินทางไปร่วมงานกฐินของบริษัทที่อุดรธานี งานนี้นายคนไทยจัดการทั้งค่ารถตู้ ค่าน้ำมันและค่าที่พักให้ เพื่อนร่วมทางก็มีกันแค่หกคน ก่อนออกเดินทางหนึ่งสัปดาห์ เราก็ไปคุยกับนายว่า อยากจะขอแว๊ปไปเที่ยวเชียงคานได้ไม๊ นายก็บอกว่า "ทำไมไม่ไปลาวละ" เราก็บอกว่าก็ "มันไม่ ฮิปอะ ตอนนี้เค้า เห่อ เชียงคานกัน ขอไปเห็นก่อน" นายก็เลยถามว่า "แผนเป็นยังไง" เราก็เลยแจกแจงไปว่า
"ออกจากออฟฟิศประมาณสองทุ่ม"
"ไปเช้าที่เชียงคานดูพระอาทิตย์ขึ้น"
"แหม้ โรแมนติก" เสียงนายอีกคนแซวมา
หะหะ
"จากนั้นก็ปั่นจักรยานเล่นในเชียงคาน"
"บ่ายๆก็ออกจากเชียงคานเพื่อเิดินทางมาอุดรฯ เจอพี่ที่วัดตอน 5 โมงไงค๊า"
นายก็พูดออกมาว่า "อืมๆ น่าไปๆ"
"อนุมัติ!"
.
จากนั้นทั้งสัปดาห์ก็วุ่นอยู่แต่หาที่พักทั้งในอุดรฯและเชียงคาน หาที่เที่ยวในอุดรฯ ร้านอาหารที่น่าไป ร้านกาแฟที่น่านั่ง ข้อมูลเพียบเร้ยยยยยยยยยย
ตัดกลับมาวันเดินทาง
ออกเดินทางประมาณสองทุ่มกว่าๆ ระหว่างทางก็ร้องคาราโอเกะไปด้วย ถึงโคราชก็แวะเข้าห้องน้ำ เปิดรถตู้มา เจอลมหนาวเข้าไป ป๊าด...เย็นได้ที่เลยนะนี่ นี่แค่โคราชนะ เชียงคานกะอุดรฯจะขนาดไหน เอาเสื้อกันหนาวแบบบางๆมาด้วยสิ ไม่รู้จะไหวหรือเปล่า ขับมาไม่นานก็เจอน้ำท่วมถนนแถวๆขอนแก่น หลังจากนั้น ดิฉันก็เริ่มจาม น้ำมูกไหล คัดจมูก ยาก็ไม่ได้เตรียมมาด้วย
.
ถึงเชียงคานประมาณตีห้าครึ่ง
โทรหาโฮมสเตย์ที่เราติดต่อไว้ หัวละ 150 บาท ติดต่อไว้สำหรับเข้ามานอนพัก อาบน้ำ ล้างหน้า เจ้าของบ้านใจดี เปิดบ้านทั้งหลังให้คณะของเรา แถมยังไม่คิดเงินคนขับรถด้วย น่ารักมากๆ
"อากาศหนาวจริง"
พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็ตั้งใจว่าจะไปตักบาตร เลยเดินไปซื้อข้าวเหนียวที่ตลาดก่อน ลุงบัณฑิตที่เราติดต่อไว้ แนะนำบ้านญาติหลังนี้มาให้เราพัก เดินมาหาเราที่บ้านแล้วชวนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ภูทอก" แต่เราพึ่งเข้ามา ลุงเลยพาอีกคณะที่พักที่บ้านคุณลุงไปก่อน เราก็เลยตกลงกันว่า เดี๋ยวตักบาตรเสร็จเราค่อยขึ้นไปบนภู
"แวะชมความงามของน้ำโขงตอนเช้า"
"น้ำเยอะมาก" วิวสวยจริงๆ
"บรรยากาศตอนเช้าของตัวเมืองเชียงคาน"
"เดินไปตลาดก็ดูบ้านแบบเก่าๆไปพลาง"
"เชียงคานนี้มีบ้านไม้เก่าๆ สวยๆ เยอะมาก"
เห็นแล้วชอบจริงๆ
"นายแบบของเราสำหรับทริปนี้"
ผ่านโรงหนัง "สุวรรณรามา" เจอพระเอกตลอดกาลสมัยเป็นหนุ่ม
"มาซื้อข้าวเหนียวเจ้านี้"
ออกจากตลาดได้ไม่ทันไร ก็เจอพระเดินรับบินฑบาตรพอดี
"ฉุกละหุกกันเลยทีเดียว"
.
เดินลงมายังซอย 9 ล่าง ก็เจอ
"ร้านข้าวเปียก"
ตัดสินใจกันว่าจะแวะชิมก่อน พระเดินมาอีกวัดนึง
"ตักบาตรกัน"
"เจ้าของร้านใจดีมาก"
"ทักทายแจ่มใส เราก็ส่องรูปได้ตามสบาย"
"ได้ปาท่องโก๋ติดมือมากินกันรองท้องก่อน"
"อากาศประมาณ 16 องศา เสื้อคลุมบางๆก็โอเคแล้วค๊า"
"รอ รอ รอ"
"น้ำซุป"
"ข้าวเปียกใส่ถ้วยแล้วตักน้ำซุปใส่ลงไป"
"น่ากินไม๊คะ"
"ชัยพาเด็กๆมาด้วย"
.
อิ่มแล้วก็เดินเที่ยวกันต่อ ตั้งใจไว้ว่าจะเดินเลาะริมแม่น้ำชมเมือง
กลับบ้านก่อน จากนันก็จะขึ้น "ภูทอก" กัน
"บ้านเก่าที่นี่ ทำเป็นเกสเฮาส์เก๋ๆเยอะมาก"
เกสเฮ้าส์หลังนี้ ทำหลังบ้านไว้สำหรับลูกค้าหย่อนใจชมริมโขง
"ระหว่างทาง"
"อากาศดี เงียบสงบ ชอบจริงๆ"
"เดินเลาะริมโขงไปเรื่อย"
"เจออะไรสวยๆ ก็ถ่ายเก็บไว้"
"ยืนมองแพปลากันอยู่"
"อยากลงไปดู แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปรบกวนกิจวัตรประจำวันของคนเชียงคานไม๊"
เลยได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ
.
ถึงบ้านก็จัดแจงปลุกพี่คนขับรถแล้วก็เดินทางขึ้นไป "ภูทอก"
ทางคดเคี้ยว สูงชัน น่ากลัวอยู่ไม่หยอก
แต่พอขึ้นไปแล้วก็หายเหนื่อย เห็นวิวเมืองเชียงคานและน้ำโขงที่คดเคี้ยว
"เห็นน้ำโขงไหลอ้อมเขาทางนู้นไม๊คะ"
หมอกยังคงลงอยู่แม้แดดจะเริ่มมาแล้ว
"ลมเย็นสบาย อากาศก็ดี"
"แดดพยายามส่องผ่านหมอก"
"ถ่ายรูปกันหน่อยยยยยย"
.
ถ่ายรูปกันจนพอใจ นั่งเล่นกันสักพักก็กลับลงไปด้านล่าง เรามีโปรแกรมจะไปเที่ยว
"แก่งคุดคู้"
กันอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็๋นทางเดียวกับที่มา "ภูทอก" นี่แหละ
เพียงแต่แก่งคุดคู้นี้ จะถึงก่อนภูทอก
"มุมสือมวลชน"
ด้วยความที่ว่ามาช่วงน้ำเยอะ ก็เลยเห็นแก่งไม่ชัดเท่าไหร่ มองได้แค่เห็นหินโผล่มาแบบสามก้อนแบบนั้น เห็นที่เค้าถ่ายในพันทิพย์ก็ดูสวยดี แต่มาวันนี้ เห็นได้แค่นี้แหละค๊า
"ลิบๆนู้น"
ที่ แก่งคุดคู้ นี้ ของกินเยอะจริงๆ
ที่เห็นขายกันเยอะก็จะเป็น "กุ้งฝอยทอดกรอบ" ก็เลยจัดไปหนึ่งแผ่น
"อร่อยติดใจ กรอบ หอม"
"มะพร้าวแก้ว"
ทำกันสดๆ แบ่งเกรดเป็น A B ซะด้วย แบบเกรด A จะเป็นมะพร้าวอ่อน อร่อยมาก
ยืนชิมจนหวานติดลิ้นติเลย
.
ลมริมน้ำที่สุดๆ ทำให้เรารู้สึกไม่สบายอีกรอบใหญ่ๆ เลยชวนเพื่อนๆกลับบ้าน แล้วก็แยกย้ายกันนอนพัก ด้วยอากาศและความอ่อนเพลียจากการเดินทาง ก็เลยนอนรวดจนถึงเที่ยง ไม่ไหวๆ ตื่นขึ้นมาก็พาันอาบน้ำเพื่อจะออกเดินทางไปยังอุดรฯ
ส่วนเรา อาบน้ำไม่พอ สระผมอีก รู้สึกว่าน้ำเย็นมาก ตอนอาบน้ำนี่แทบกรี๊ดเลย แต่ถามคนอื่นเค้าบอกว่าก็เย็นสบายนะไม่ยักกะหนาวเท่าที่เรารู้สึก โอ้ว...ไข้ขึ้นชัวร์ๆ ไม่หนุกเลย มาเที่ยวแล้วป่วยเนี๊ยะ ก่อนออกจากเชียงคานก็เลยกินส้มตำ ไก่ย่างกันก่อน
"ร้านแถวๆโฮมสเตย์ของเรา ส้มตำแซ่บมาก"
ปล. ต้องให้สามีพี่เค้าตำน่ะ เพราะได้รสแซ่บคักๆเลยค๊า
"ขอซื้อหมวกก่อน แดดแรงมาก หน้าตาเริ่มไม่ไหวละ"
ขึ้นรถตู้ เอให้ยามาหนึ่งเม็ด และเรากินแอคติเฟตไปอีกหนึ่งเม็ด จากนั้นก็หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ยาวมาก ยาแรงขนาดที่ว่า "ไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อปรับแอร์ที่มันอยู่บนหัวได้เลย" รถตู้อุตส่าห์พาไปทางที่เลียบน้ำโขงเพื่อดูวิวริมโขง แต่เดี้ยนไม่สามารถแม้แต่ผงกหัวมาดูวิวได้จริงๆ
มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่น้องๆและเพื่อนๆกรี๊ดกร๊าด ชื่อชมความงามของลำโขงอีกรอบ ก็เลยตื่นมางง แล้วก็ฝืนตัวลงรถไปดู
"ได้มาหนึ่งภาพ"
"ยืนให้เอถ่ายรูปให้"
"ออกท่าทางได้เท่านี้แหละ เต็มที่ละ"
.
ขึ้นรถก็หลับยาว จนเดินทางไปรับพี่ที่ทำงานอีกสองคนตรงสะพานมิตรภาพ
แล้วก็ตีรถเข้าอุดรฯ เข้าเช็คอินที่โรงแรมนภาลัย
จากนั้นก็ออกมาหย่อนน้องตุ้มลงที่บิ๊กซี แล้วก็รีบไปหานายที่วัด
กะว่าจะไปให้ทันพิธีสงฆ์ แต่พอเราถึงวัดพิธีก็เสร็จพอดี
"กินข้าวที่วัด"
นายจะพาไปกินข้าวและเที่ยวต่อ แต่เราไม่ไหว เลยขอให้รถตู้พามาส่งที่โรงแรม
.
.
"เชียงคาน" ทริปนี้ ป่วยไปซะเยอะ ความตั้งใจที่จะส่งโปสการ์ดสักใบก็ไม่ได้ทำ จะจิบกาแฟที่ร้านนั่นนู้นนี่ก็ไม่ได้ทำ ปั่นจักรยานก็ไม่ได้ทำ แดดแรงไม่ว่า แต่ป่วยนี่สิ สังขารไม่ไหวเลย
คราวหน้าถ้ามีโอกาส อยากจะมาแบบนอนค้าง มีเวลาเยอะหน่อย "เวลาที่เชียงคานเดินช้ามาก" แต่ภาระกิจเราเยอะจนไปทำอะไรที่เร่งรีบ แล้วมันขัดๆกับความรู้สึกและสภาพแวดล้อม... เอาไว้ไปกันใหม่อีกที
๐๐๐๐๐
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2553 |
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2553 14:34:44 น. |
|
5 comments
|
Counter : 2742 Pageviews. |
|
|
มาเยี่ยม เชียง คาน ตอน ค่ำ ๆ ค่ะ กว๊ยเตี๋ยว น่ากิน เนาะ .. ถ้าไม่กิน แสดง ว่าไปไม่ถึง 555 .. วิว สวย บรรยากาศ ดีคงเอกลักษ์ แบบ เดิม นิ..