Cursors
scrollbar
background
bullet
สีfont
สีlink
webpage
ลบกรอบ
ภาพcomment
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ตัดกรรมตัดเวร
โดยพระราชสังวร ( พุธ ฐานิโย )
การตัดกรรมคือการหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป ส่วนการตัดเวรคือการหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกันและกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ กัมมัสสะโกมหิ (เรามีกรรมเป็นของๆตน) กัมมะทายาโท (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น) กัมมะโยนิ (เรามีกรรมนำเกิด) กัมมะพันธุ (เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง) กัมมะปะฏิสะระโน (เรามีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย) ยัง กัมมัง กะริสสามิ (เราทำกรรมอันใดไว้) กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา (เป็นบุญหรือเป็นบาป) ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น) อภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง (พึงพิจารณาเห็นเนืองๆดังนี้) ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า
กรรมใดใครก่อไว้แล้วในเมื่อใจเป็นผู้จงใจทำลงไปแล้วเป็นกรรมอันเป็นบาป ภายหลังจึงมานึกได้และไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กาย วาจา ทำลงไป พูดลงไป ใจตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรมโดยหลักของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการที่ไปทำพิธีตัดกรรมนี่หมายถึงตัดผลของบาปนั้นมันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด
ถ้าเข้าใจว่าทำบาปทำกรรมแล้วแล้วไปทำพิธีล้างบาปได้ ทำพิธีตัดกรรมแล้วมันหมดบาปประเดี๋ยวก็ทำกรรมชั่วแล้วมาหาหลวงพ่อหลวงพี่ตัดบาปตัดกรรมให้ มันก็ไม่กลัวต่อบาปเพราะฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่าทำกรรมอันเป็นบาปแล้วตัดกรรมให้หมดไปได้ มันเป็นไปไม่ได้
********ยกตัวอย่างเรื่องกรรมบางส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า********
ชาติหนึ่งเคยเกิดเป็นนักเลงชื่อปุนาลี ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่าสุรภิผู้มิได้ประทุษร้ายใคร ด้วยผลแห่งกรรมนั้นต้องไปท่องนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปี ด้วยกรรมที่เหลือในภพสุดท้ายก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ซึ่งเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นไปค้างคืนกับพระสมณโคดม ให้ใครต่อใครหลงเข้าใจพระองค์ผิด
ทั้งที่นางค้างที่อื่น แต่รุ่งเช้ามาก็ทำท่าโผเผมาจากเชตวนารามที่พำนักของพระพุทธองค์ อีกสองสามวันต่อมามีคนโจษจันเรื่องนี้กันแล้ว พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านางสุนทริกา เพื่อป้ายความผิดว่านางถูกพระพุทธองค์ฆ่าปิดปาก คนทั้งหลายก็สงสัยว่าอาจจะเป็นจริง ร้อนถึงพระราชาต้องส่งราชบุรุษไปสืบเรื่องดูตามร้านสุรา เมื่อได้ความชัดแจ้งก็จับนักเลงที่ฆ่านางสุนทริกา กับเดียรถีย์ที่จ้างฆ่านางสุนทริกา มาลงโทษทั้งหมด
อีกชาติหนึ่งเกิดเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ มีผู้เคารพสักการะ เป็นผู้สอนมนต์แก่มานพ ๕๐๐ คน และได้ใส่ความภีมฤษีผู้มีอภิญญา มีฤทธิ์มาก หาว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม มานพทั้งหลายก็พลอยชื่นชมยินดีไปด้วย เมื่อไปภิกขาจารในสกุล ก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม
ผลของกรรมนั้นภิกษุ๕๐๐คนเหล่านี้ทั้งหมดพลอยถูกใส่ความด้วย เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกาที่ถูกนักเลงฆ่าและป้ายความผิดให้พระพุทธองค์ รวมทั้งภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเชตวนาราม ก็พลอยถูกหาว่าร่วมกันฆ่าปิดปากนางสุนทริกาและถูกด่าว่าด้วย จนกระทั่งพระราชาจับนักเลงและเดียรถีย์ที่ร่วมกันฆ่านางได้ เรื่องราว จึงได้สงบ
อีกชาติหนึ่งไปกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภูพุทธเจ้า มีนามว่านันทะ จึงต้องท่องไปในนรกหลายหมื่นปี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถูกใส่ความมาก และด้วยกรรมที่เหลือ ชาติสุดท้ายนี้จึงถูกนางจิณจมาณวิกา ใส่ความว่าพระองค์ทำให้นางตั้งครรภ์
ชาติหนึ่งเคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ได้ผลักน้องชายต่างมารดาลงในซอกเขา เอาหินทุ่มใส่ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุ่มใส่ที่เขาคิชกูฏ จนสะเก็ดหินกระเด็นถูกหัวแม่เท้า ห้อพระโลหิตในชาติสุดท้าย
จะเห็นว่าแม้ขณะเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายท่านยังต้องได้รับผลของกรรมเก่าที่ทำไว้ในชาติก่อนมาสนองหลายอย่าง จึงเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมนั้นตัดไม่ได้
แต่ตัดเวรนี้มีทางเป็นไปได้ เวรหมายถึงการผูกพยาบาทคอยแก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นฆ่าเขาตายเมื่อนึกถึงกรรมแล้วกลัวเขาจะอาฆาตจองเวร จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ถ้าหากว่าเขาได้รับส่วนกุศลเขาได้รับความสุข เขาเลื่อนฐานะจากภาวะที่ทุกข์ทรมานไปสู่ฐานะที่มีความสุข เมื่อเขานึกถึงคุณความดีนึกถึงบุญคุณ เขาก็อโหสิกรรมให้ไม่ตามล้างตามผลาญกันอีกต่อไป อันนี้คือตัดเวรซึ่งตัดได้
บางท่านอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าช่างโหดร้ายจริงๆทำอะไรก็บาป แต่แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โหดร้ายอย่าเข้าใจท่านผิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กฎความเป็นจริงของธรรมชาติคือรู้ว่าฆ่าสัตว์เป็นบาป ลักทรัพย์เป็นบาป ผิดกาเมเป็นบาป มุสาเป็นบาป ดื่มสุราและสิ่งมอมเมาเป็นบาป
แต่บาปที่กล่าวมานั้นมันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประสูติแล้ว ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาประสูติแล้วมาบัญญัติขึ้นเอง หรือมาบัญญัติบาปกรรมและโทษทัณฑ์อะไรไว้ลงโทษสัตว์ทั้งหลาย
การทำบาปทำกรรมนั้นสิ่งที่เรียกว่าเป็นบาปเป็นการกระทำด้วยกาย วาจา โดยมีใจเป็นผู้เจตนาคือมีความตั้งใจ ทำลงไปแล้วเป็นบาปทันทีคือการละเมิดศีลห้าข้อเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครรักษาศีลห้าข้อได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จึงเป็นการตัดทอนผลของบาป
บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีต เมื่อวานนี้หรือเมื่อเช้านี้ ย่อมตัดกรรมไม่ได้แล้วและจะต้องให้ผลต่อไป แต่เราจะตัดการทำกรรมชั่วในปัจจุบันได้และไม่ต้องรับผลของกรรมชั่วในอนาคต เมื่อเราตั้งใจรักษาศีลห้าข้อให้บริสุทธิ์ตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ขณะปัจจุบันนี้ได้ชื่อว่าตั้งใจตัดเวรตัดกรรมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติต่อๆไปได้จนกระทั่งตลอดชีวิตของเรา เราก็จะได้ตัดกรรมตัดเวรตลอดชีวิตเรา นี่คือการตัดกรรมตัดเวรที่ถูกต้อง
ศีลห้านี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นแม่บทแห่งศีลทั้งหลายทั้งปวง เป็นหลักธรรมที่เป็นข้อมูลเป็นจุดเริ่มแห่งการทำความดี ผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาเป็นประโยชน์ให้เกิดทางมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง
ขอให้ยึดมั่นในศีลห้าประการ เมื่อท่านมีศีลห้าข้อนี้ครบโดยบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ความเป็นมนุษย์ของท่านสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะปลูกฝังความดีอันใดลงไป คุณความดีนั้นก็จะฝังแน่นในกาย วาจา และในใจของท่าน
|
Create Date : 13 มีนาคม 2551 |
|
5 comments |
Last Update : 13 มีนาคม 2551 16:21:31 น. |
Counter : 914 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: kaoim 13 มีนาคม 2551 20:09:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: ammataya 14 มีนาคม 2551 19:51:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลิตช์ (Litchi ) 15 มีนาคม 2551 23:41:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: a_mulika 17 มีนาคม 2551 17:20:12 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|